คุณคงมีเรื่องในวัยเด็กที่ไม่เคยลืมกันใช่ไหม
ไม่ใช่เรื่องน่าอายประเภทว่าเข้าห้องน้ำผิด หรือร้องไห้หน้าแถวเคารพธงชาติในวันแรกที่ไปโรงเรียนหรอกนะ ผมกำลังหมายถึงเรื่องราวบางอย่างในวันที่โลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ใบเล็กจิ๋ว ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากครอบครัวและเพื่อนฝูง เรื่องราวที่จำได้เลือนราง ทว่าไม่ยอมหลุดหายไม่จากความทรงจำ คล้ายภาพในอดีตซึ่งตกตะกอนคั่งค้าง
ตัวผมเองมีเรื่องราวหนึ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น แต่เมื่อถึงคราวต้องเล่าให้ใครฟังซึ่งมีไม่บ่อยครั้งนัก ผมกลับบั่นทอนเรื่องราวทั้งหมดให้คนเข้าใจว่าเป็นแค่จินตนาการในวัยเด็ก เป็นแค่เหมือนฝันจากการงีบหลับในตอนบ่ายที่อากาศร้อนอ้าว จุดประสงค์ก็เพื่อให้คนฟังรู้สึกขบขันและลืมเรื่องที่ผมเล่าไปให้หมดเท่านั้นเอง
เนื่องด้วยเหตุผลที่แท้จริงนั้นช่างเกินจริงและฟังดูไม่น่าเชื่อเอาซะเลย แต่สำหรับผม มันคือความทรงจำที่ยังไม่อาจทำใจให้ลืม คล้ายสิ่งสำคัญที่งอกงามในใจผม ทุกวันนี้เรื่องราวจบลงแล้ว เหลือเพียงแต่ภาพเลือนรางให้ยังนึกถวิลหา เรื่องของเธอคนนั้น...
ผมได้รู้จัก 'เธอ' ตอนอยู่ชั้นอบุบาล
สมัยเด็กผมมีชีวิตไม่ต่างจากเด็กคนอื่นมากนัก ผมตื่นนอนตอนเช้าตรู่ นั่งรอที่โต๊ะอาหารพลางมองแม่ถือจานใบโตใส่ขนมปังปิ้ง ไข่ดาว และแฮมออกมาจากครัว ผมขึ้นรถโรงเรียนคันสีเทาพร้อมเพื่อนคนอื่นไปโรงเรียนอนุบาล หลังเลิกเรียนรถคันเดิมก็จะมาส่งผมกลับบ้าน แม่จะออกมารับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ผมใช้วันหยุดไปกับการวาดรูปเล่นและจินตนาการ ทุกอย่างล้วนดูธรรมดาจนไม่น่าจะเล่าให้ยืดยาวด้วยซ้ำ
แม้ภายนอกผมจะใช้ชีวิตตามครรลอง ตอนนั้นเองซีกส่วนความเหงาหงอยภายในใจของผมก็เริ่มขยายตัว ทว่าด้วยความเป็นเด็ก ผมจนปัญญาที่จะเล่าให้พวกผู้ใหญ่ฟังด้วยภาษาอันจำกัด ผมไม่รู้จะอธิบายให้ครูฟังอย่างไรว่าในส่วนลึกผมรู้สึกเบื่อหน่ายกิจวัตรซ้ำซากแบบนี้ เบื่อที่จะต้องกำมือขึ้นฟ้าแล้วโบกไปมา หรือแม้แต่กับเพื่อนร่วมห้องที่เปี่ยมด้วยพลังและส่งเสียงโหวกเหวก ผมรู้สึกราวกับมีม่านพลังที่ขวางผมไว้ไม่ให้เข้าถึงคนเหล่านั้น
ความจริงผมไม่ได้มองว่าพวกเขาน่ารำคาญหรอกนะ พวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ที่ใช้ชีวิตแตกต่างจากผมก็เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องตั้งแง่รังเกียจ แต่กับพวกเขาแล้วไม่ใช่ ดูเหมือนเพื่อน ๆ จะมองว่าผมเป็นเด็กประหลาด หรือไม่ก็เป็นพวกมนุษยสัมพันธ์แย่จนเหมือนมีรังสีความน่ารังเกียจแผ่ขยายออกมา
บรรยากาศเงียบสงบมักมาเยือนเป็นระยะในช่วงพักเที่ยง นักเรียนบางคนออกไปเล่นกันกลางแจ้ง หรือบางคนก็สุมกันอยู่ที่มุมห้องและเล่นเกมกระดานกัน หลังทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว ผมมักจะหยิบสมุดบันทึกเล่มนั้นออกมาและนั่งอยู่ในห้องเรียนที่รายล้อมด้วยกระจกสีชา ความเงียบสงบเป็นสิ่งซึ่งโลกของผมโหยหาราวอากาศ
วันหนึ่งตอนผมอายุได้ราวห้าขวบ หลังจากแปรงฟันก่อนนอนตามครรลองของเด็กดี ผมมุดเข้าใต้ผ้าห่มและกำลังหลับตาลงนอนเมื่อสายตาสะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่ง เหนือที่นอนของผมมีรอยอะไรบางอย่างคล้ายรอยเปื้อนเป็นวงกลมรอยหนึ่ง ที่สะดุดตาคือในวงกลมนั้นมีรอยสีน้ำตาลออกเข้มอยู่สามวงเล็ก ๆ โดยวงที่สามซึ่งขนาดเล็กสุดวางตัวกลางวงกลมใหญ่อีกสองวง เหมือนกับ...
ผมสะบัดความคิดไร้สาระนี้ออกไปจากหัวทันที ไม่น่าเป็นไปได้
ใบหน้าคนจะมาปรากฏบนเพดานได้อย่างไรกัน
ทว่าด้วยวัยช่างจินตนาการในตอนนั้น ความพิศวงในใจกลับไม่หมดไปโดยง่าย คืนต่อมาผมเปิดโคมไฟดวงจิ๋วไว้ที่หัวเตียงแล้วมองดูรอยนั้นอีกครั้ง วงกลมเล็กสีน้ำตาลเข้มสองวงที่วางข้างกันดูเหมือนตาสองข้าง มีจมูกเป็นรอยเปื้อนเล็ก ๆ อยู่ตรงกลางใบหน้า ให้ความรู้สึกสั่นสะท้านคล้ายมีคนกำลังเพ่งมองมาจากเพดาน
ทุกคืนผมคอยเพ่งมองเพื่อพิสูจน์ว่าผมแค่ตาฝาดไป หรือแค่เป็นเพราะแสงไฟที่วูบไหวภายในห้อง แต่ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ รอยเปื้อนนั้นก็ดูเหมือนใบหน้าคนมากขึ้นไปทุกที จากใบหน้าโล้น ๆ เริ่มมีริมฝีปากเส้นบางเฉียบ วันถัดมาใบหูเล็กสองข้างก็ปรากฏขึ้น บนส่วนศีรษะมีเส้นเล็กละเอียดรวมกันเป็นเส้นผมเป็นทรงหน้าม้าสั้น ใบหน้านั้นดูเหมือนเด็กผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม
ผมไม่รู้ว่าใบหน้า -- หรือถ้าพูดให้ถูกคือรอยเปื้อนนั้นปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มันอาจจะอยู่ ณ ที่ตรงนั้นมาแสนนานแล้วก็ได้ เพียงแต่ผมไม่เห็นมัน แสงไฟสีส้มอ่อน ๆ จากโคมไฟขับให้ใบหน้านั้นดูชัดเจน จนมองดูเหมือนว่ามันมีชีวิตขึ้นมา
สมัยนั้นผมพยายามคิดว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร แต่กลับหาได้เพียงคำตอบที่ล้วนฟังดูไม่เข้าท่า (แม้แต่ในสายตาของเด็กอนุบาล) อย่างไรก็ตาม ตอนนี้รอยบนเพดานเพิ่มมากขึ้นจนปรากฏรูปร่างของเด็กหญิงวัยอนุบาล จากเริ่มแรกที่มีเพียงใบหน้ากลม สัดส่วนร่างกายอย่างแขน ขา ลำตัวเริ่มปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ คล้ายกับว่าเธอกำลังเติบโตอย่างเงียบ ๆ ภายใต้แสงไฟสลัวในห้องผม เธอสวมชุดกระโปรงเหมือนเด็กผู้หญิงที่ผมเคยเห็นจากข้างนอก
ผมแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่รู้สึกกลัว ทั้งที่เด็กวัยเดียวกัน หากเห็นรอยเปื้อนบนเพดานที่เหมือนหน้าคนแล้วอาจกลัวจนเก็บไปฝันร้ายเลยก็ได้ แต่ผมกลับไม่คิดว่าสิ่งที่เห็นนั้นน่ากลัวอะไรนัก ถึงจะดูผิดธรรมชาติก็เถอะ ผมไม่คิดว่ารอยบนเพดานจะคุกคามหรือทำอะไรน่าสะพรึงกลัวได้ แต่คำถามมากมายยังคงค้างอยู่ในใจ
ตกกลางคืนเมื่อทุกคนเข้านอน และได้ยินเสียงรถของพ่อผู้ซึ่งทำงานจนดึกดื่นทุกวันกลับมาบ้าน ผมจะใช้ชีวิตอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมและไฟสีส้มสลัว ผมเงยหน้าขึ้นมองเพดานแล้วครุ่นคิด รอยเปื้อนนั้นเด่นชัดมากจนไม่อาจเรียกว่าเป็นแค่รอยเปื้อนได้อีกแล้ว แต่ดูเหมือนรอยประทับของมนุษย์คนหนึ่ง
ผมไม่คิดว่าเธอจะพูดหรือเคลื่อนไหวได้ แต่ก็พยายามที่จะสื่อสารกับเธอ คืนหนึ่งหลังรวบรวมความกล้า ผมลองเอ่ยปากเรียก แน่นอนว่าไม่มีเสียงพูดตอบกลับมา ผมลองเรียกดูอีกครั้ง เด็กหญิงบนเพดานยังนิ่งงัน
ผมรู้ว่ามันฟังดูโง่เง่า แต่ผมเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองเท่าที่เด็กไม่ค่อยร่าเริงอย่างผมจะทำได้ ผมพูดชื่อเล่น อายุ อาชีพของพ่อแม่ งานอดิเรก เป็นการแนะนำตัวในแบบที่เด็กอายุราวห้าหกขวบถูกสอนมาจากโรงเรียน ผมไม่คาดหวังว่าจะมีคำตอบใดกลับมา แต่เมื่อสิ้นสุดการแนะนำตัวอันแสนพิลึกพิลั่น ผมมองไปที่ใบหน้าเธอ และเห็นว่ารอยริมฝีปากบาง ๆ ของเธอผลิรอยยิ้มออกน้อย ๆ
เรื่องพรรค์นี้มีให้เห็นอีกครั้ง คืนต่อมา แม่เข้ามาในห้องของผมและจัดแจงดุว่าเรื่องสมุดกับดินสอสีที่ผมวางเกลื่อนกลาดรอบห้อง หลังแม่ออกไปจากห้อง ผมจนใจเก็บดินสอสีและสมุดบันทึกของผมให้เป็นระเบียบ หลังทิ้งตัวลงบนเตียงแล้ว ผมสังเกตได้ว่าสีหน้าของเธอดูเปลี่ยนไป สีหน้าเธอเหมือนเด็กคนหนึ่งที่ถูกดุว่าแต่จนปัญญาจะโต้เถียง ริมฝีปากนั้นโค้งขึ้นคล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น (เธอไม่มีตาสีขาว) ต่อสู้สุดกำลังไม่ให้น้ำตาไหลเอ่อ
ผมสรุปเอาว่าเธอคงใช้สีหน้าในการสื่อสาร ทดแทนคำพูดที่ไม่อาจเปล่งออกมาได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น การจะสานสัมพันธ์กับเธอคงต้องเริ่มจากเป็นฝ่ายพูดก่อน ผมเริ่มวิตก วันวานห้าปีที่ผ่านมาผมแทบไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มการสนทนา จริงอยู่เธอเป็นแค่รอยประทับที่รูปร่างคล้ายคน แต่สำหรับผม... ไม่รู้จะด้วยเหตุผลใด ผมไม่อยากทำลายความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดระหว่างเรา
ผมเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ และคิดว่าต่อให้ผมเล่าก็คงไม่มีใครเชื่อ ถ้าผมเป็นบุคคลยอดนิยมของห้องเรียนก็คงเรียกความสนใจได้อยู่หรอก แต่คนเก็บเนื้อเก็บตัวอย่างผมใครจะสนใจฟังล่ะ ผมจึงไม่เคยคิดปริปากบอกใครเกี่ยวกับเรื่องเด็กหญิงบนเพดาน
แม้แต่กับพ่อแม่ก็เช่นกัน ผมยังดำเนินชีวิตไปตามปกติ ทำทุกอย่างตามที่เด็กทั่วไปพึงจะทำ ภายนอกเรายังเป็นครอบครัวที่อยู่ด้วยกันสามคน ไม่มีใครรู้ว่าทุกค่ำคืนจะมีบุคคลหนึ่งปรากฏขึ้นบนเพดานห้องของผม
(อ่านต่อตอนหน้า)
11 สิงหาคม
วันแม่กำลังเวียนมาอีกหน แต่ละปีช่างผ่านไปไวแทบไม่น่าเชื่อ ภาพนักเรียนกุลีกุจอเย็บกระดาษสีจัดบอร์ด
และตัวแทนงานวันแม่ซักซ้อมบนเวทีเดินทางกลับมาให้เห็นอีกครั้ง แสงอาทิตย์เริ่มลับแล้ว แต่ทุกอย่างรอบตัว
ฉันยังว้าวุ่นไม่ต่างกับสายไฟของเครื่องเสียงที่เตรียมสำหรับพิธีในวันรุ่งขึ้น ฉันหนีความชุลมุนออกมา
และเดินกลับบ้าน เสียงเจ้าหน้าที่ฝ่ายโสตฯ ทดสอบเครื่องเสียงยังดังออกมาด้านนอก
ระยะทางระหว่างบ้านกับโรงเรียนไม่ไกลกันนัก ฉันกลับถึงบ้านในที่สุด เสียงอะไรบางอย่างดัง
เป็นจังหวะกระทบหู เป็นอีกวันที่แม่ก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ที่จักรเย็บผ้า พร้อมกับถามว่า
“กลับมาแล้วเหรอลูก” โดยไม่ละสายตาจากงาน ฉันวางกระเป๋าลงพื้น และเริ่มหยิบของทำ
กับข้าวจากตู้เย็นโดยไม่พูดอะไรสักคำ ฉันไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้แม่ฟัง
แถมเรื่องนอกเหนือจากงานวันแม่แล้ว ฉันก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นให้ต้องบอกเล่าเสียด้วย
หลังทำกับข้าวเสร็จ ฉันมักจะนั่งกินข้าวอยู่คนเดียวเสมอ แม้ความจริงแม่จะนั่งเย็บผ้าอยู่ห่าง
จากฉันไปเพียงหนึ่งฟากกำแพง แต่ความเงียบเหงามักจะแผ่เข้าปกคลุม รสชาติของอาหารที่ทำไม่เคยอร่อย
ฉันฝืนกลืนมันลงไปและวางสำรับไว้ให้แม่กินหลังเสร็จงาน
วันรุ่งขึ้น คุณครูประกาศให้นักเรียนทุกคนลงมาเข้าแถวที่ลานอเนกประสงค์ของโรงเรียน
นักเรียนชั้นมัธยมอย่างพวกฉันมายืนรอโดยไม่ต้องสั่ง พิธีวันแม่เริ่มขึ้นแล้ว เสียงดนตรีไทยบรรเลงขึ้น
พร้อมกับเสียงโฆษกพรรณนาเรื่องความสำคัญของวันแม่แห่งชาติซึ่งฉันได้ยินจนจำขึ้นใจ
ฉันก้มหน้าลง พลางคิดว่าทำไมต้องมีงานวันแม่ด้วยนะ ผลการเรียนฉันไม่ได้ดีนักแถมยังต้องมานั่ง
ร่วมพิธีของโรงเรียนบนพื้นปูนแข็ง ๆ ทุกอย่างดูยาวนานและซ้ำซาก ตัวแทนคลานเข่าเอาดอกมะลิ
ไปกราบที่ตักแม่บนเวที นักเรียนทุกคนตาแดงเรื่อ ตัวแทนพิธีเริ่มกอดแม่แน่น ทุกคนทำเหมือนกับว่าแม่
จะหายตัวไปในวันรุ่งขึ้น แต่ความจริงสำหรับฉันคือไม่ว่าจะวันใด แม่ก็จะยังก้มหน้าทำงานที่แม่รักจับใจอยู่เสมอ
ฉันถอนใจในขณะที่คุณครูภาษาไทยใจดีท่านหนึ่งแจกดอกมะลิพลาสติกให้ฉันเอาไปกราบแม่ที่บ้าน
ฉันกลับถึงบ้านและวางดอกมะลิไว้ข้างเตียงแม่ เสียงกระสวยจักรดังขึ้นมาเป็นจังหวะ
เสียงนั่นดังถี่ขึ้น เร่งเร้าไม่ต่างกับวันเวลาที่เดินผ่าน
วันแม่แห่งชาติผ่านไปแล้ว และย่างเข้าสู่วันแม่อีกครั้งหนึ่ง ฉากเก่า ๆ วนเวียนกลับมาเหมือนฉายหนังย้อน
แม้นักเรียนตัวแทนห้องและคนทำบอร์ดจะเปลี่ยนหน้าไปบ้าง ฉันเดินผ่านบอร์ดประกวดคำขวัญ
และกลอนวันแม่ ตัวเลขปีพ.ศ.ใหม่ทำจากกระดาษสีน้ำเงินแปะอยู่บนหัวบอร์ด วันเวลาผันผ่าน
แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนคือแม่ของฉัน
บ้านฉันเป็นร้านรับตัดเย็บเสื้อผ้า ในโอกาสสำคัญหรืองานเลี้ยงฉลอง ลูกค้ามากหน้าหลายตามักจ้าง
แม่ตัดเย็บชุดสวยให้พวกเขา แม่ไม่เคยจ้างใครช่วยงาน นับตั้งแต่จำความได้ ฉันไม่เคยได้เห็นแม่นั่งดูทีวี
หรือชวนฉันออกไปหาของอร่อย ๆ กินข้างนอกเป็นบางโอกาส ในความทรงจำทั้งหมด
ฉันจำได้แต่เพียงภาพแผ่นหลังของแม่นั่งอยู่ที่จักรตัวเก่าบุโรทั่ง แต่แม่ไม่เคยเลิกทำ เพราะมันคือสิ่งที่แม่รักที่สุด
ลูกค้าที่เคยจ้างแม่ทำชุดล้วนออกปากเป็นเสียงเดียวกันว่าชุดของแม่ไม่มีใครเทียบได้
น่าแปลกที่แม้ฉันจะเป็นลูก ฉันกลับไม่ได้พรสวรรค์ของแม่มาเลย แม้แต่ร้อยด้ายเข้าเข็มฉันยังไม่อดทนพอจะ
ทำให้สำเร็จ แต่อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องนั่งจมอยู่กับจักรเย็บผ้าจนไม่มีเวลาเหลือให้
คนอื่นเหมือนแม่ แม่ไม่เคยบ่นว่าลูกค้าหรือเหน็ดเหนื่อยเลย แม่รักงานทำเสื้อและรักเสมอมา
อาจจะรักมากกว่าลูกไม่ได้เรื่องอย่างฉันก็ได้
ฉันวางดอกมะลิไว้ที่เตียงอีกครั้งก่อนเข้านอน วันที่บนปฏิทินคือ 12 สิงหาคม 2548
เวลาหมุนผ่านไปอีกครั้ง เพียงอึดใจเดียว ลายมือเขียนด้วยปากกาของฉันในสมุดก็บอกวันที่
11 สิงหาคม 2549 เป็นสัญญาณว่าวันแม่แห่งชาติกำลังมาถึงอีกครั้ง
ปีนี้ตัวฉันเปลี่ยนไป ผมฉันยาวขึ้นกว่าตอนสมัยมัธยมหนึ่ง ความสูงของร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ร่างกายฉันปรากฏส่วนสัดความเป็นผู้หญิง สะโพกผายออกเผยส่วนโค้งเว้าของสรีระ
หน้าอกปรากฏทรวดทรง ผิวพรรณที่เคยเรียบราบนั้นเริ่มมีน้ำมีนวลเหมือนสาวแรกรุ่นที่เคยเห็นในโทรทัศน์
ครูวิชาสุขศึกษาสมัยเรียนประถมหกเคยสอนว่า นี่คือสัญญาณบ่งบอกว่าเพศหญิงเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ ธรรมชาติทำให้หญิงผู้นั้นพร้อมจะเป็นแม่คน เธอจะสนใจเพศตรงข้าม ใฝ่หาคู่ครอง
และเธอจะใช้ชีวิตร่วมกับเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน เธอจะเลี้ยงดูเชื้อไขของเธอด้วยร่างกายที่พระเจ้า
ทรงสร้าง ฉันเคยฟังเรื่องแบบนี้จากบทเรียนและคำสอนศาสนา แต่กลับไม่เคยนึกภาพตัวเองกลายเป็น
ในสิ่งที่เคยได้ยิน
ความรักในวัยรุ่นนั้นหักห้ามใจยาก เพื่อนผู้หญิงในชั้นเรียนเริ่มสนอกสนใจผู้ชายกันมากขึ้น
ฉันเองมีคนที่แอบชอบอยู่เงียบ ๆ เขาเป็นนักฬาแบดมินตันของโรงเรียนชายล้วนข้าง ๆ เพียงได้ยินชื่อ
ของเขา ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยกลับร้อนผ่าวและมีรอยยิ้มเขินอายเปื้อนริมฝีปาก ฉันฝันอยู่เสมอว่าอยาก
ให้เขามองเห็นฉัน อยากใช้ชีวิตกับเขาจนวันสุดท้าย ถึงจะหวานเอียนแต่รักครั้งแรกของคนอื่น
คงไม่ต่างกันนัก ฉันคิดเช่นนี้
ฉันเริ่มฝันเฟื่อง อยากมีชีวิตเหมือนในนิยายวัยรุ่นที่เขียนตามเว็บไซต์ ใช้ชีวิตอยู่กับความหรูหรา
มีคนรักเป็นชายหนุ่มหล่อ รวย นิสัยดิบเถื่อนแต่น่าเอ็นดู ฉันฝันถึงโลกที่ไม่มีพ่อแม่ รู้สึกราวกับโลกทั้งใบ
เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูหวาน ฉันเริ่มหลงละเริงกับม่านความฝันที่สร้างขึ้นเอง ฉันโตเป็นสาวสะพรั่ง
ฉันมีความรัก ภายในใจฉันเหมือนดอกไม้ที่เริ่มผลิบาน
ถ้าฉันมีโทรศัพท์มือถือสักเครื่องก็คงดี ฉันจะได้ตามสืบหาเบอร์โทรศัพท์ของเขามา
ถ้าเป็นรุ่นที่มีกล้องถ่ายรูปด้วยก็ยิ่งดี ฉันจะได้ถ่ายรูปมุมสวย ๆ ลงบล็อคหรือไดอารี่ออนไลน์
เพื่อนฉันทำแบบนี้และพากันมีแฟนไปแล้วหลายคน
แต่ในความเป็นจริง ฉันไม่มีอะไรเหมือนในนิยายเลยสักนิด อย่าว่าแต่หนุ่มร้ายนิสัยดีเลย
แม่คงไม่ซื้อโทรศัพท์ให้ฉันหรอก ฉันกลับเข้าบ้านและพบภาพที่เหมือนนำมาฉายซ้ำจนเก่า ไม่รอช้า
ฉันเดินเข้าไปในห้องนอนของแม่ วางดอกมะลิไว้ข้างเตียง และทิ้งตัวลงนอนบนเตียงภายในห้องของฉัน
กลิ่นกายสาวแรกรุ่นฟุ้งกระจายจากหมอนสีขาว ภายในใจนึกเพียงว่าทำไมชีวิตถึงไม่เป็นอย่างฝันบ้าง ทำไมนะ
เจ็บใจเหลือเกิน
ฉันยังคงคิดเช่นนั้น จนวันเวลาผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว ราวกับมีคนหมุนเวลาทั้งโลกให้เดินไปพร้อมกัน
ฉันส่องกระจกในเช้าวันหนึ่ง เค้าความแก่นแก้วของสาวแรกเริ่มวัยรุ่นเลือนหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
คงเป็นเพราะชุดนักเรียนมัธยมปลายกระมัง กระโปรงและโบว์สีน้ำเงินคงทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
มาถึงตอนนี้ ฉันได้เรียนรู้โลกของวัยรุ่นมากขึ้น ไม่ว่าจะด้านสดใส หรือขื่นขมมืดหม่น
สีชมพูในวันวานก็ดูจะจางลงไปพร้อมกาลเวลา โลกของฉันไม่ได้มีแค่ความเพ้อฝันอีกต่อไปแล้ว
ฉันได้เรียนรู้ว่าความรักมีการไม่สมหวัง ความฝันมีวันสลายได้เหมือนแผ่นกระจกบาง ๆ โลกเริ่มผลัก
ให้ฉันก้าวต่อไปข้างหน้า ทิ้งความเจ็บปวดและความไร้เดียงสาไว้ในห้วงเวลาเก่า
พอย่างเข้าสู่วัยรุ่น ครูมักเอาวิดิทัศน์หรือสารคดีเกี่ยวกับชีวิตวัยรุ่นมาให้พวกฉันดู ทั้งเรื่องยาเสพย์ติด
ปัญหาสังคม แต่เรื่องที่สะเทือนใจพวกฉันที่สุดคงเป็นเรื่องการคลอดลูก วันหนึ่งหลังจากซักซ้อมพิธี
วันแม่อันยืดยาวเสร็จแล้ว ครูนำนักเรียนชั้นมัธยมห้าไปยังห้องประชุมซึ่งมีจอโปรเจคเตอร์ผืนใหญ่บนกำแพง
ฉันเหลียวมองคนรอบข้าง เพื่อน ๆ ของฉันต่างโตเป็นสาว เค้าความเป็นเด็กไร้เดียงสาและดูแก่นแก้ว
เลือนหายไป ถูกแทนที่ด้วยหญิงสาวแรกรุ่นอันเปี่ยมด้วยความฝันและพลัง
วิดิทัศน์นำเสนอภาพของการให้กำเนิดมนุษย์คนหนึ่ง นับตั้งแต่ภาพผู้หญิงอุ้มท้องโย้ จนถึงวินาทีที่
แพทย์นำเด็กทารกออกมาสู่โลกอย่างปลอดภัย ทุกคนพากันถอนหายใจและเบือนหน้าหนีเป็นช่วง ๆ
แต่วินาทีที่ทารกน้อยร้องไห้ สายตาของนักเรียนทุกคนต่างจับจ้องที่จอ ฉันเห็นเพื่อนบางคนน้ำตาไหล
บางคนสูดน้ำมูกแก้เก้อ ความอัศจรรย์ตรงหน้ายังตราตรึงใจฉันไปจนถึงช่วงบ่าย
พวกนักเรียนชายไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดหรือปิติซาบซึ้งในการให้กำเนิดมนุษย์
เมื่อทารกในวิดิทัศน์เริ่มส่งเสียงร้อง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ความอบอุ่นกลับแผ่ซ่านในใจฉัน
ราวกับสัมผัสได้ถึงความสุขของหญิงสาวผู้กลายเป็นแม่คน
ฉันเริ่มมองย้อนกลับมาที่ตัวเอง วัยรุ่นผู้ยังไม่รู้จักโลกมากพอ และไม่เคยคิดถึงใครนอกจากตัวเอง
จะเป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายฉันหรือเปล่านะที่ทำให้เป็นแบบนี้ มีคนเคยบอกว่าวัยรุ่น
ตอนต้นคือวัยต่อต้านและฝันเฟื่องเรื่องความรัก ฉันไม่ปฏิเสธ นักเรียนหญิงในชั้นต่างสนอกสนใจเรื่องผู้ชาย
แค่ชื่อนักเรียนชายหน้าตาหล่อเหลาก็ทำให้ใบหน้าของพวกเธอแดงเรื่อด้วยความขวยเขิน
ทว่าหลังจากชมวิดิทัศน์ของผู้หญิงต่างชาติคนนั้นแล้ว มุมมองความรักที่เคยใสซื่อของฉันก็พลัน
เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
ฉันในตอนนี้เป็นสาวรุ่นเต็มตัว หากฉันเป็นแม่คนขึ้นมาในวันหนึ่ง ชีวิตที่เคยมีอยู่จะเปลี่ยนแปลงไปไหมนะ
การเป็นแม่ของลูกคนหนึ่งต้องละทิ้งอะไรบ้าง เสียสละอะไรบ้าง ฉันไม่รู้เลย แต่ความรักลม ๆ แล้ง ๆ
ที่ฉันมีในตอนนี้ วันหนึ่งเมื่อเติบโตขึ้น มันคงเป็นรักที่ยั่งยืน และก่อร่างขึ้นเป็นชีวิตคู่ ถึงเวลานั้น
ฉันก็จะกลายเป็นแม่คน และกลายเป็นผู้ใหญ่ในที่สุดใช่ไหม ภาพทารกน้อยในวันนี้ทำให้ฉัน
เริ่มคิดถึงอนาคตของตัวเอง
ระหว่างทางกลับบ้าน ฉันนึกถึงแม่
ฉันมักเห็นภาพแม่นั่งทำงานหน้าจักรเย็บผ้าตัวเก่า เราไม่มีเวลาร่วมกันมากนัก
หลายครั้งฉันพบว่าฉันน้อยใจแม่ ฉันเคยได้ยินเพื่อนหลายคนพูดถึงแม่ในฐานะเพื่อนคู่คิด
พวกเขาสองคนออกไปซื้อเสื้อผ้าด้วยกันในวันหยุด หรือไปของกินอร่อย ๆ กันตามร้านเปิดใหม่ในห้างสรรพสินค้า
นับตั้งแต่พ่อจากพวกเราไป แม่แทบไม่เคยเงยหน้าจากงาน สิ่งเดียวที่ยังเชื่อมโยงเราไว้
คือเสียงของกระสวยจักรเย็บผ้า เราต่างดิ้นรนมีชีวิต มีเพียงเสียงกระสวยที่เชื่อมต่อระหว่างโลกของเราสอง
นานวันเข้า เสียงนั้นก็กลายเป็นเหมือนเสียงประจำของบ้าน มันมีความอบอุ่น มีเลือดเนื้ออยู่
ภายในเสียงที่เป็นจังหวะคล้ายเพลงกล่อมเด็ก ในวันที่เหนื่อยล้า ฉันจะนอนฟังมันจนหลับไป
แม่เป็นช่างเสื้อมากว่ายี่สิบปีแล้ว แม่ทำได้ทุกอย่างนับตั้งแต่ปะชุนไปจนถึงเย็บชุดออกงาน
ให้คนใหญ่คนโต งานตัดเย็บเสื้อผ้าดูไม่ง่ายเลย ฉันคิดเช่นนั้นระหว่างที่แม่เลื่อนผ้าเข้าตีนผี
แม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่แม่ก็ยังมีความสุขกับการทำเสื้อเสมอ หุ่นโชว์หน้าร้านเรามักจะมีชุดเสื้อผ้าประดับไว้
ไม่ว่าจะเป็นชุดทำงาน ชุดราตรีของสตรี และชุดแต่งงานตัวหนึ่งที่แม่ไม่เคยนำออกมา
จากหุ่นโชว์เหมือนตัวอื่น คงเป็นเพราะชุดแต่งงานนั้นไม่มีแบ่งยุคสมัยกระมัง ฉันคิด
ดูเหมือนชุดที่แม่โปรดปรานที่สุดจะเป็นชุดแต่งงาน แม่ให้ความสำคัญกับรายละเอียดในงานเสมอ
แต่ทุกครั้งที่มีลูกค้ามาขอตัดชุดแต่งงาน แม่จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แม่จะชงชาเอิร์ลเกรย์หอมกรุ่น
ระบายยิ้มบนใบหน้าระหว่างร่างแบบเสื้อ แม่มักฟังเพลงจากสถานีวิทยุระหว่างทำงาน
แต่เมื่อต้องลงมือทำชุดแต่งงาน แม่มักเปิดเพลงจากเครื่องเล่นเทปคาสเซ็ตต์ตัวเก่าซึ่งวางอยู่ข้าง
จักรเย็บผ้า เพลงโปรดของแม่คือเพลง 'Those Good Old Dreams' ของวง The Carpenters
นั่นคือชื่อของวงดนตรียุค 70s วงโปรดของแม่ ทำนองเพลงนี้ติดหูฉันมานับตั้งแต่จำความได้
ปีที่ฉันเข้ามหาวิทยาลัยปีแรก ฤกษ์แต่งงานในปีนั้นตรงกับช่วงย่างเข้าวันแม่ คู่หนุ่มสาวมากหลาย
พากันมาจ้างแม่จัดเย็บชุดแต่งงานให้ว่าที่เจ้าสาว วันหนึ่งในตอนบ่าย มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งอายุน่าจะมากกว่า
ฉันไม่กี่ปีมาที่ร้าน ระหว่างแม่กำลังค้นอุปกรณ์วัดขนาดตัว ฉันเห็นหญิงสาวนั่งที่เก้าอี้
มือสองข้างวางบนหน้าท้องที่นูนออกคล้ายจะโอบกอด ใบหน้าเธอผลิรอยยิ้มอบอุ่น
ห้วงความรักของฉันก้าวขึ้นไปอีกลำดับหนึ่ง จากรักอันเพ้อฝันของวัยรุ่นแปรเปลี่ยนเป็นความผูกพัน
และความหมายของรักครั้งสุดท้าย ฉันไม่รู้ว่าชีวิตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร หญิงสาวผู้กำลัง
จะเป็นแม่คงไม่รู้เช่นกันว่าลูกของเธอจะเป็นคนอย่างไร มีทางเดินชีวิตแบบไหนในวันข้างหน้า
ฉันรู้เพียงแค่ว่าพวกเขาสองคนมีความสุข และเด็กคนนั้นก็คงมีความสุขเช่นกัน
วันเวลาผ่านไป ฉันกลับจากมหาวิทยาลัยด้วยความเหนื่อยล้า ฉันล้มตัวลงนอนบนเตียงทันทีที่
ถึงห้องนอนโดยคร้านจะลุกไปอาบน้ำ รายงานของนักศึกษาปีสามวางอยู่บนโต๊ะเหมือนจะเย้ยหยัน
ระหว่างที่เปลือกตาสองข้างกำลังจะปิดลงสนิท เสียงกระสวยตักรอันคุ้นเคยดังขึ้นมาอีกครั้ง
ฉันลุกขึ้นนั่งและเดินลงไปข้างล่าง แม่กำลังเย็บชุดราตรีสีส้มโอรสอยู่ คงเป็นของลูกค้ากลุ่มที่ชอบออกงานสังคม
ฉันเพิ่งสังเกตว่าแม่เปลี่ยนไป แผ่นหลังนั้นดูเหมือนจะงองุ้มลง เส้นผมดำตรงของแม่บัดนี้เริ่มมีสีเทาและขาวปะปน ความคล่องตัวและความกระฉับกระเฉงดูเหมือนจะลดน้อยลงด้วย ฉันรินน้ำเย็นใส่แก้วให้แม่ แม่ระบายยิ้ม ริ้วรอยกาลเวลาแผ่ไปทั่วใบหน้า ฉันไม่เคยรู้ว่าแม่แก่ชราลงไปมากถึงเพียงนี้
วันเวลาของแม่เริ่มน้อยลง และคงต้องหมดไปในวันหนึ่ง ฉันเริ่มมองไปรอบตัว เห็นรูปถ่ายที่แม่วางประดับ
ไว้ในบ้าน มันเก่าจนภาพกลายเป็นสีม่วงอมน้ำตาล ฉันหยิบขึ้นมองดูภาพของแม่เมื่อเนิ่นนานมาแล้ว
สมัยยังสาวแม่เคยมีชีวิตสนุกสนาน ภาพถ่ายแม่ยืนอยู่หน้าดิสโก้เธคกับเพื่อน ๆ รูปถัดมาเป็น
สวนสนุกแดนเนรมิต รูปแม่ปูเสื่อล้อมวงทานกับข้าวจากปิ่นโตกับเพื่อน หนึ่งในนั้นฉันเห็นพ่ออยู่ด้วย
รูปแม่กับพ่อยืนอยู่ใต้ซุ้มดอกไม้สีขาวในงานแต่ง ท้องของแม่นูนออกใต้ผ้าไหมสีขาว
หญิงสาวในภาพถ่ายคงมีความฝันมากมาย แต่เธอกลับเลือกทิ้งทุกอย่างไว้และฝากชีวิตไว้
กับชายคนหนึ่ง เพื่อฉัน... เพื่อให้ลูกน้อยคนนั้นมีความสุขมากที่สุด มากเท่าที่เธอจะทำได้
และเก็บความฝันเอาไว้เพียงความทรงจำสีอ่อนจางเหมือนภาพถ่าย
เวลาเดินผ่านพาให้ฉันเติบโตขึ้นอีก ความรักที่เคยมีในสมัยมหาวิทยาลัยได้แปรเปลี่ยนเป็น
ความสัมพันธ์ลึกซึ้ง และผูกหัวใจกับชายคนนั้น โดยไม่รู้ตัว ความฝันที่ฉันมีก็พลันแปรเปลี่ยนไป
พร้อมกับเด็กคนหนึ่งที่เติบโตขึ้นภายในกาย ฉันตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ราวกับวันเวลาเร่งเดินจนฉัน
และเขาตามไม่ทัน ความรู้สึกหวาดหวั่นก่อตัวขึ้นภายในใจ ฉันยังไม่พร้อม
ฉันยังมีฝันและหลายสิ่งที่อยากทำ แต่ความจริงก็ได้มารอตรงหน้าแล้ว
เขาขอฉันแต่งงานในวันหนึ่ง
เขาพาฉันไปร้านอาหารที่เคยไปด้วยกันในเดทแรก ฉันรู้สึกราวกับมันเพิ่งผ่านมาเมื่อไม่นานนี้
ฉันยังจำภาพเขาสวมชุดนักศึกษาแขนยาว ผูกเนคไทแบบนักศึกษาปีหนึ่งได้ ผมที่เคยตัดสั้นสมัยเรียน
รักษาดินแดนกำลังยาวขึ้นไม่เป็นทรง ท่าทางเขาขัดเขินใช่ย่อย พอเห็นภาพที่เขายื่นแหวนแต่งงาน
ให้ตรงหน้า ฉันแทบไม่เชื่อว่าเขาคือคนที่ฉันตอบตกลงฝากชีวิตไว้ ตอนนั้นฉันแอบคิดว่าเขาเป็น
ผู้ชายขี้อายและคงไม่มีอะไรมากไปกว่าการเป็นเพื่อนกัน
ความสุขก่อตัวในใจ พร้อมกับลูกน้อยที่กำลังเติบโต แต่ความอบอุ่นคงอยู่ไม่นานนัก
ความหวาดหวั่นก็ย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง เหมือนที่เขาบอกว่าหัวใจของหญิงสาวมักปรวนแปร
เมื่อใกล้ถึงวันวิวาห์ ฉันจะฝากชีวิตไว้กับเขาได้จริงหรือ ฉันจะผ่านมันไปได้ไหม
ฉันตัดสินใจผิดหรือเปล่านะ
ฉันพร้อมจะเป็นแม่คนแล้วหรือ
แม่ผู้ตอนนี้แก่ชราแล้วออกปากจะเย็บชุดแต่งงานให้ฉัน ฉันจึงได้เห็นภาพอันคุ้นเคยทว่าอบอุ่นอีกครั้ง
แม่ฟังเพลงโปรดซึ่งพูดถึงความฝันในวันวาน ใบหน้านั้นระบายยิ้มอย่างมีความสุขระหว่างร่าง
แบบด้วยดินสอ เพราะอะไรกันนะ แม่ถึงมีความสุขทุกครั้งเมื่อต้องทำชุดแต่งงาน ฉันไม่รู้เลย
ฉันไม่เคยรู้ว่าโลกของแม่เป็นอย่างไร และแม่เห็นโลกของคนอื่นเป็นแบบไหน
เช้าตรู่ก่อนงานวิวาห์ ชุดแต่งงานของฉันก็ได้เสร็จสมบูรณ์ มันเป็นชุดแต่งงานสีขาวแบบต่อใต้อก
ฉันเคยได้ยินว่ามันช่วยพรางท้องได้ แต่ความจริงฉันไม่นึกรังเกียจหรอกหากท้องจะโย้ออกมา
แม่ช่วยฉันสวมชุดแต่งงาน เราจัดงานแต่งงานแบบเรียบง่าย ไม่มีแขกเหรื่อมากมายเหมือนงานใน
โรงแรมห้าดาว ฉันกับแม่เลยมีห้วงเวลาสุดท้ายของครอบครัวนานกว่าเจ้าสาวคนอื่น
จากนั้นฉันนั่งลงที่หน้ากระจกบานใหญ่สำหรับลองเสื้อ แม่เกล้าผมฉันขึ้น สัมผัสของมือแม่หยาบกร้าน
ทว่าอ่อนโยน ฉันหลับตาลงพลางนึกย้อนไปถึงตอนเป็นเด็ก แม่เป็นคนถักเปียให้ฉันก่อนออกจากบ้าน
สัมผัสมือของแม่ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เราสองคนนั่งที่หน้ากระจกบานนี้ ตอนนั้นแม่คิดอะไรอยู่นะ
จะเคยนึกภาพเด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นเติบโตขึ้นเป็นสาวหรือเปล่า แม่รู้หรือเปล่าว่าวันหนึ่ง
เด็กหญิงคนนั้นจะกลายเป็นวัยรุ่นและนึกต่อต้านแม่ในใจ
ฉันไม่จำเป็นต้องเอ่ยถาม แม่ของฉันเริ่มพูดขึ้น ใจของเราสองคนเชื่อมโยงกันตลอดมา
...วันเวลาเร็วจังนะ แม่ยังจำตอนที่ถักเปียให้ลูกก่อนไปโรงเรียนได้เลย ลูกชอบใช้โบว์สีน้ำตาลลาย
สก็อตที่แม่ซื้อมาให้ พอถักเสร็จลูกก็นั่งยิ้มอยู่หน้ากระจกตั้งนาน ตอนนั้นฟันลูกเริ่มหักหายไปบางซี่
ดูน่ารักเชียวล่ะ
...แม่เคยคิดนะว่าอยากหยุดเวลาไว้เพียงแค่นั้น แค่ตอนที่ถักเปียอันสุดท้ายเสร็จ และมองลูกถือ
กระเป๋าเดินออกไปนอกบ้านก็พอ ให้ลูกเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่แม่รู้จักไปตลอด
แต่วันหนึ่งลูกก็เติบโตขึ้น ลูกโตเร็วจนแม่จำไม่ได้เลยล่ะ มารู้ตัวอีกที วันหนึ่งลูกก็กลายเป็นสาวแล้ว
เด็กหญิงฟันหลอในวันนั้นหายไป ลูกเริ่มสนใจเพื่อนผู้ชาย มีโลกอีกใบหนึ่งที่แม่ไม่เคยได้เห็น
มีทางเดินที่แม่ไม่รู้จัก แต่ก็ยังหวังว่าลูกจะมีความสุขอยู่เสมอ
...แม่มองดูลูกเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ จะตามไปก็ไม่ทันแล้ว ลูกเดินไปเร็วมาก
แม่นึกถึงตอนเราสองคนหัดเดินด้วยกันในห้องนี้ ตอนนั้นแม่เอาเท้าลูกวางบนเท้าแม่และเดินด้วยกัน
ลูกหัวเราะใหญ่แม้จะยังเดินเตาะแตะ พ่อยังแซวแม่ว่าลูกคงเดินเองไม่ได้แน่ถ้าแม่ยังทำแบบนี้
แต่ดูสิ เจ้าหญิงตัวน้อย ๆ ของเขากำลังจะเป็นเจ้าสาวแล้วนะ
น้ำตาเริ่มไหลรินบนใบหน้าฉัน
ความรักของคนเป็นแม่ยิ่งใหญ่เสมอ มันสัมผัสหัวใจฉันจนอบอุ่นเกินบรรยาย
...แม่ชอบทำชุดแต่งงานมาตั้งแต่ยังสาวแล้ว มันเป็นชุดที่หญิงสาวทุกคนใฝ่ฝันอยากจะสวมใส่
มันเป็นเหมือนตัวแทนของชุดเจ้าหญิงในนิทาน นิทานที่จบลงอย่างมีความสุขชั่วกาลนาน
แต่ใครจะรู้ว่าชุดแต่งงานนี้แหละที่จะเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอด
...ก่อนสวมชุด เธออาจเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง แต่หลังสวมชุดแต่งงานตัวสวยแล้ว
ชีวิตของเธอคนนั้นก็จะเปลี่ยนไป ตอนต่อของเจ้าหญิงในนิทานจะเริ่มขึ้น เธอจะกลายมาเป็น
ภรรยาของชายคนหนึ่ง และไม่นานหลังจากนั้น เธอจะเรียกตัวเองว่า "แม่" และโอบอุ้มทารก
คนหนึ่งไว้นานถึงเก้าเดือน เมื่อเด็กคนนั้นถือกำเนิดขึ้น สองมือของเธอก็ต้องเลี้ยงดูจนเขาเติบโต
และมองดูเขาเดินจากไปด้วยใจกังวล เขาจะหกล้มจนได้แผลระหว่างทางหรือเปล่านะ
เขาโตพอที่จะออกเดินไปเพียงลำพังแล้วหรือยัง เธอถามคำถามนี้วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้จะเห็นว่าลูกของเธอเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ
...ลูกอาจจะคิดว่าการแต่งงานทำให้ความฝันในชีวิตหมดไป เปล่าเลยลูก ทุกครั้งที่แม่นึกย้อน
กลับไปตอนฟันซี่แรกของลูกขึ้น วันที่ลูกเรียก "แม่" ได้ วันที่ลูกสะพายกระเป๋าไปโรงเรียนได้
โดยไม่ร้องไห้อีกแล้ว แม่บอกกับตัวเองเสมอเลยว่าความฝันในอดีตของแม่เริ่มเป็นจริงขึ้นมาทีละน้อยแล้ว
แม่ถึงได้มีความสุขทุกครั้งที่ต้องทำชุดแต่งงาน เพราะมันหมายความว่าหญิงสาวคนนั้น
พร้อมแล้วที่จะให้ชีวิตหยุดลงที่รักครั้งสุดท้าย และสร้างครอบครัวกับชายคนนั้นไปตลอด
...สำหรับผู้หญิง ความรักคือความสุข เธออาจจะมีฝันมากมาย แต่สุดปลายทางความฝันนั้น
คือครอบครัวที่อบอุ่น เธอคือผู้ให้กำเนิดชีวิตหนึ่ง และสร้างให้เขาเป็นคนที่อ่อนโยน
มีหัวใจและมีความสุขได้ เธอคือสิ่งที่เรียกว่า "แม่" ยังไงล่ะลูก
ฉันลืมตาขึ้น ดวงตาฉันแดงเรื่อและมีม่านน้ำตา แม่เกล้าผมฉันเสร็จแล้ว ใบหน้าฉันละม้ายคล้ายแม่
ในรูปถ่ายใบนั้น ฉันถึงได้เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงไม่เคยถอดชุดแต่งงานตัวหน้าร้านออกจากหุ่น
มันคือชุดแต่งงานของแม่นั่นเอง ชุดที่แม่ใช้สื่อแทนคำพูดว่านี่คือครอบครัวของแม่
และแม่มองดูความฝันในอดีตกลายเป็นจริงขึ้นมาทีละน้อยจากตัวฉัน จากลูกของเธอ...
วันเวลาผ่านไปอีกหน ฉันมองดูลูกชายตัวน้อยกำลังก่อปราสาททราย เขายิ้มให้ฉันระหว่างที่
เหม่อมองไปยังเขาและสามีที่กำลังสร้างป้อมปราการใหญ่จากชายหาด
เรื่องที่แม่พูดไว้เวียนกลับมาในห้วงความคิด ฉันมองดูลูกชายและรู้ทันทีว่าเขาคือความฝันของฉัน
จากฝันในวัยรุ่นที่อยากมีคนเคียงกาย ไปจนถึงตามหารักครั้งสุดท้าย ปลายทางความฝันของฉัน
อยู่ตรงหน้าแล้ว เหมือนเนื้อเพลงโปรดที่แม่ชอบฟังมาเสมอ...
It's a new day for those good old dreams
One by one it seems they're coming true
Here's the morning that my heart had seen
Here's the morning that just had to come through
Same old stage but what a change of scene
No more dark horizons, only blue
It's a new day for those good old dreams
All my life I dreamed of loving you
It's a new day for those good old dreams
And It's all because of you
(มันเป็นวันใหม่สำหรับความฝันของวันวาน
ดูไปแล้วราวกับมันเป็นจริงขึ้นมาทีละน้อย
นี่เป็นรุ่งอรุณที่ใจฉันเคยเห็น รุ่งอรุณที่มาถึงในที่สุด
เวทีชีวิตยังคงเหมือนเดิม แต่ฉากกลับแปรเปลี่ยน
ไม่มีอีกแล้วขอบฟ้าที่หม่นมืด มีเพียงสีฟ้าสว่าง
เป็นวันใหม่สำหรับความฝันในอดีตกาล
ตลอดชีวิต ฉันฝันว่าได้รักเธอ
เป็นวันใหม่สำหรับม่านฝันในวันเก่า
และเหตุผลของทุกสิ่งมีเพียงอย่างเดียว นั่นคือเธอ) - ผู้เขียน