สุริยาลาลับล่วงเวหาพอเมฆาครึ้มสีฤดีหม่นเป็นความมืดมัวหมองครองใจคนแต่แรกเริ่มเดิมจนสนธยาจะจรไกลใจคิดพิศวาสนุชนาฏนวลน้องต้องกังขาในเดือนมืดมิดแสงแห่งจันทรารักโรยลาล้าใจกลางไพรวันหากความรักจักครึ้มคล้ายครึ้มฟ้าเจ็บอุราร้าวรานปานโดนหั่นด้วยพระแสงแห่งพรหมเล่มคมนั้นกรีดสะบั้นหั่นเชือดอย่างเลือดเย็น
ยามยลเนื้อนิ่มนวลยียวนนุช
ผิวพรรณดุจดอกดอมหอมดาษดื่น
มาลาเคล้าทั่วคามยามค่ำคืน
เหมือนกับพื้นคลื่นพฤกษ์ระทึกไพร
กลิ่นมาลีคลี่ลอยบนดอยเลียบ
พ้นทำเนียบถิ่นนาสู่ฟ้าไฉน
หอมละมุนกรุ่นมัดชัดละไม
นาสาไหวหวิวหวิวเหมือนปลิววน
ผิวนวลโฉมส่องฉายปลายคันฉ่อง
เป็นพลอยผ่องส่องผุดประดุจผล
เนื้อนิ่มแกมแต้มกลิ่นระบิลกล
นวลหน้ามนขวัญมิ่งหญิงน่ามอง
เมื่อครั้งลองมองชะแลชะแง้หลบ
จึงประสบพบสิ่งนิ่งทั้งสอง
คือนัยน์ตาทาบติดคิดไตร่ตรอง
เหมือนกับท้องหาศทุ่งดาวคลุ้งทิว
หน้าผากวิบยิบหวามทรามสวาท
คราวมองผาดเพ่งผล็อยกลอยนวลผิว
ราวลมปรวนหวนป้องท้องฟ้าปลิว
สองดาวลิ่วลอยล่องท่องพร้อมลม
จึงฝันอยากเย้ายวนนวลหน้าหยก
ตลอดศกพรรษาคราเสพสม
ขอยลเชื้อเนื้อชุ่มก็คุ้มชม
สุขอารมณ์สมรักมิยักโรย