1 มิถุนายน 2546 21:34 น.
13 นางมาร
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ เมื่อน้องชายขอตัวกลับบ้านสมศรี จัดการจานชาม
เก็บบ้านให้เรียบร้อย กล่อมลูกคนเล็กให้หลับปุ๋ยในเปลสีฟ้า เรียก ป้าแจ่ม
ผู้เป็นแม่นมของลูกเธอให้ ขึ้นมาดูแลต่อไป
แล้วเธอจึงเดินไปหาน้องแป้งที่ห้องนอนแล้ว เล่านิทานให้น้องแป้งฟัง
น้องแป้งนอนอยู่บนเตียงซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม
" จุนแม่ขา เล่านิทานเรื่องเจ้าหญิงกระต่ายให้น้องแป้งฟังน่ะค่ะ"
สมศรีตอบว่า
" ได้สิ ลูก เดี๋ยวแม่จะเล่าให้ฟังน่ะ " ว่าแล้วก็ลูบผมอันอ่อนนุ่มของแป้งเบาๆพร้อมกับเล่านิทาน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วยังมีดินแดนแสนไกล
ที่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลน
ภายใต้โพรงต้นสนใหญ่ ยังมีครอบครัวเล็กๆ
อาศัยอยู่ ประกอบไปด้วยพ่อแม่กระต่ายสีขาวปุกปุย
และลูกกระต่ายอีกหลายตัวที่ซุกตัวอยู่ข้างๆแม่กระต่าย
" คุณแม่ขา แล้วเมื่อไรคุณพ่อจะกลับมาล่ะค่ะน้องแป้งคิดถึงคุณพ่อ" น้องแป้งถามแม่ขัดจังหวะการเล่านิทาน
" คุณพ่อทำงานยุ่งจ๊ะลูก คุณพ่อหาเงินมาให้น้องแป้งไปโรงเรียนไงค่ะ "
" น้องแป้งอยากให้คุณพ่ออุ้ม แล้วโยนแป้งไปสูงๆนี่ค่ะ คุณแม่" น้องแป้งทำเสียงเศร้า
หัวอกคนเป็นแม่ เมื่อได้ยินลูกพูดอย่างนี้ ในใจก็หวั่นไหว ริ้วความเจ็บแผ่กระจาย
ดังละลอกคลื่น สาดเซาะฝั่ง สงสารลูกจับใจ
" น้องแป้ง ฟังแม่เล่านิทานต่อน่ะลูก เดี๋ยวคุณพ่อก็กลับแล้ว น่ะอีกประเดี๋ยวจ้า"
ไม่นานลูกสาวตัวน้อยก็หลับปุ๋ยใต้ผ้าห่มหนานุ่ม สมศรีก้มลงหอมที่เรือนผมลูกเบาๆ
ลูกกระต่ายตัวน้อยของแม่ แม่สัญญาจ๊ะว่าจะเอาพ่อกระต่ายกลับมาสู่รังของเราให้ได้น่ะจ๊ะแม่สัญญา
ติ๊ก ๆๆ เสียงนาฬิกาเดิน เวลาล่วงไปจาก เที่ยงคืนเป็นตี 1
สมศรี นั่งรอผู้เป็นสามีกลับบ้าน อยู่ที่ห้องดูทีวี โซฟา หนานุ่มสีครีม
ม่านประดับลายดอกไม้สีหวาน พื้นหินอ่อนเป็นมัน
ปลามังกร เกล็ดสีเงินแวววาว ว่ายเวียน วนอย่างแช่มช้าในตู้ปลาหรูหรา ขนาดใหญ่
ทุกสิ่งในบ้านที่ได้ประดับประดา ตบแต่ง เป็นบ้านที่สวยงาม พรั่งพร้อมไปด้วย
สิ่งอำนวยความสะดวก
ของนอกกายเหล่านี้ในครั้งนึงมันเคยทำให้สมศรีมีความสุข ความพอใจที่ได้ครอบครอง
แต่ใน เวลานี้ ณ ทุกนาที ที่หัวใจเต้นไปพร้อมกับการรอคอย
ของภายนอกเหล่านี้ไม่ได้ช่วยทำให้สมศรีมีความสุขเลย
เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอ เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตคู่ของเรา
สมศรีเฝ้าคิดหาคำตอบ มันเกิดจากอะไร ทำไมทำไม
เธอบกพร่องตรงไหน ทำไมสามีจึงได้แปรไปได้เพียงนี้
เธอไม่อยากจะต้องเป็นบ้าหาคำตอบ ที่เป็นเหมือนหลุมดำมืดมน
ไม่มีจะสิ้นสุด นี้อีกต่อไปแล้ว คืนนี้เป็นอย่างไรเป็นกัน
เธอจะต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง
ครืนๆๆ เสียงประตู เหล็กหน้าบ้านเปิด จากรีโมทควบคุมที่ติดตั้งในรถยนตร์ของสามี
แสงไฟจากไฟหน้ารถยนตร์ สาดเป็นลำ แล้วก็มืดไป เสียงปิดประตูรถดังปังใหญ่
สมศรีนั่งอยู่ที่เดิม มีเพียงเสียงในหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเร็วขึ้น กลับมาแล้วสิน่ะ
คนที่เธอรอคอย
เสียงสามีเดินเข้าประตูบ้านมา ด้วยความมึนเมา หน้าตาแดงก่ำ เขาหันมามองเธอแว๊บนึง
แล้วก็ทำท่าจะเดินขึ้นไปชั้นบน สภาพของเขาเสื้อผ้ายับย่น
กลิ่นเหล้า คละคลุ้ง โชยมาแต่ไกล
" เนกค่ะ เรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อยน่ะค่ะ" สมศรีลุกขึ้นแล้วเดินไปใกล้ๆสามี
" วันนี้ มาน ดึกแล้วน่ะ คุ้นน ผมจาไปนอนแล้ว" เสียงเมาอ้อแอ้ สติไม่อยู่กับตัว
สมศรีเห็นว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะ คุยหรือ สนทนากับคนเมา
ในยามนี้ เขาไม่มีสติอะไรอีกต่อไปแล้ว
สมศรีข่มใจ ระงับความโกรธ เดินไปที่ตัวสามีที่ยืนตาเยิ้ม กลิ่นเหล้าแรงจัดขึ้นเมื่อได้ยืนในระยะใกล้กันเพียง
ลมหายใจรด
" มาค่ะเดี๋ยว ศรีถอด เนคไทน์ ให้ " ว่าแล้วเธอก็เอามือไปแกะ ปมที่มัดแน่น
เขายืนนิ่ง มองศรีด้วยสายตา ชนิดหนึ่งซึ่งเธออ่านไม่ออก
รู้แต่ว่าสายตา นั้น ช่างว่างเปล่า ไร้ซึ่งความแววของความรักที่ฉายออกมา
จากนั้นเธอ อดใจไม่ไหว เธอคิดถึงเขาเหลือเกิน อยากอยู่ในอ้อมกอด อันอบอุ่นของเขาดังวันวาร
เธอ โผเข้าหา อ้อมอกและกอด เขาไว้ซุกจมูกลงชิดกับเสื้อกลิ่นของคนที่เธอ
รัก สูดกลิ่นซึ่งสำหรับเธอมีเพียง 2 กลิ่นที่เธอเฝ้าสูดดม กลิ่นจากเขาคือกลิ่นเหล้า ส่วนอีกกลิ่นคือกลิ่นจากลูกน้อยของเธอกลิ่นนม
น้ำตาอุ่นๆๆ ไหลรินชุ่มบนเสื้อ กลิ่นที่ว่าเหม็นเหล้า ค่อยๆหายไปเพราะจมูกเริ่มชินและปรับกลิ่นได้
" เนกค่ะ เนกเป็นอะไรไปค่ะ ศรีจะทนไม่ได้อยู่แล้วน่ะค่ะ" เสียงเธอเริ่มสูงขึ้น
"ปล่อยผม ผมจะไปนอน อย่าทำตัวให้น่ารำคาญไปกว่านี้เลย" เสียงเมาๆ เอ่ยขึ้น
ไม่เพียงแค่พูดเปล่าๆ แต่เขายังสะบัดและผลักเธอ ออกไปให้ห่างออกไป
เขาทำราวกับเธอเป็นตัวยุงไร ที่มาไต่ตอม
แล้วเขาก็เดินหันหลังเดินไปที่บันได ศรีเดินตามไปแล้วจับเขาไว้
" เดี๋ยวสิค่ะ เนก คุยกับศรีก่อน" เธอจับเขาไว้
"อย่ามายุ่ง ปายไกลๆได้ไหม" คราวนี้เขา สะบัดเธออย่างแรง
แรงจนเธอเสียหลักล้มลง กองอยู่ที่พื้น ดูไกลๆราวกองฟ้าผืนเก่าที่ไร้ค่า
" โอ้ย ! " เมื่อเสียหลักล้มลง เธอก็ไม่มีแรงที่จะลุก
มองไปที่เขาเห็นแต่แผ่นหลังที่เดินขึ้นไปห้องนอนชั้นบน
เธอยังนั่งอยู่ท่าเดิมไม่ได้ลุกขึ้น น้ำตาเหือดแห้งไปหมดแล้ว ไม่มีน้ำตาสักหยด สมองมึนงง
เจ็บยิ่งกว่าเจ็บ ที่ใจรู้สึกเหมือนมีคมมีดมากรีดเป็นรอย เธอรู้สึกว่าเลือดอุ่นๆได้รินออกมาจากหัวใจ
นั่งนิ่งอยู่ชั่วครู่ เธอจึงค่อยๆหยัดกายลุกขึ้น
เหนื่อยเหลือเกิน วันนี้เธอไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว เธออยากจะหลุดเข้าไปในโลก
แห่งความฝันโลกแห่งการหลับไหลเต็มที จึงปิดไฟทุกดวง
ล๊อกบ้านให้เรียบร้อยแล้ว เธอจึงเดิน
ขึ้นไปบนห้องนอน
ห้องนอนของเขาและเธอ ห้องที่เคยเป็นที่ส่งตัวในวันวิวาห์
เตียงกว้างใหญ่ มองไปไร้ร่างของสามี
เพราะอะไรเธอรู้ดี หลังจากมีลูกชายให้เขา เขาก็ให้ช่างมาตบแต่งห้องอีกห้องที่เคย
ใช้เป็นห้องรับรองแขก
เขาบอกเธอเพียงว่าอยากมีห้องเป็นส่วนตัว เราแยกห้องกันตั้งแต่นั้น
มีประตูเชื่อมระหว่างห้องใหญ่และห้องของเขา
" คุณไม่ต้องกังวลน่ะ มีประตู คุณเดินมาหาผม ได้ผมก็เดินไปหาคุณได้
คุณคงเข้าใจน่ะว่าผมไม่อยากทำให้คุณตื่นเวลาผมต้องทำงานดึกๆ
แยกห้องกันอย่างนี้น่ะ ลองดู "
ดูเหมือนเป็นสัญญาณแห่งร้ายแห่งชีวิตคู่ที่เธอเริ่มรู้สึกได้
แต่ด้วยความที่อยากตามใจสามีเธอจึงพูดได้เพียงว่า
" ตามใจคุณเถิดค่ะ หากคุณทำอะไรแล้วสบายใจก็ทำไปเถิด"
เธอเปิดไฟที่หัวเตียง เอื้อมมือไปหยิบ
เพื่อนที่ดีที่สุดในยามนี้เพื่อนที่ ทำให้เธอได้ไปสู่ห้วงเวลาแห่งความสุข
ยาเม็ดสีขาว เล็กๆถูกเทออกมา จากขวด
เธอกินเข้าไป 2 เม็ด ดื้มน้ำตาม จากนั้นเธอจึงค่อยเอนกายลงนอน
หนังตาค่อยๆหนักขึ้น สมองหยุดสั่งการณ์ ชั่วคราว หัวใจ
ที่เป็นแผล ค่อยๆไร้ความรู้สึก
เช้าวันใหม่ วันที่สมศรีอยากให้ชีวิตเธอเป็นดังวันใหม่ เหลือเกิน
อยากให้ภาพความเลวร้าย ที่เกิดกับชีวิตเป็นเพียงฝัน
เช้านี้เธอมี ธุระสำคัญ วันนี้จะเป็นวันตัดสินชีวิตของเธอ
ดวงหน้าขาว นิ่งมองไปข้างหน้า เธอแต่งกายด้วยชุดสีดำล้วน
สีดำสีที่เธอโปรดปราน สีที่มีความลับซ่อนอยู่
จัดแจงเรื่องงานบ้าน และบอกกล่าวป้าแจ่มให้ทำกับข้าวแทนเธอ
แล้วเธอจึงขับรถ ออกไปจากบ้าน ไปฟังไปดูอะไรบางสิ่งด้วยตาของตัวเอง
เลี้ยวรถเข้าไปยังสำนักงาน
สำนักงานที่เธอได้ว่าจ้างใครคนหนึ่งทำหน้าที่ให้เป็นหูเป็นตา
เธอทำถูกไหมน่ะ สมศรีเป็นคนหนึ่งซึ่งให้เกรียรติ และเคารพสิทธิ์ของผู้อื่นเสมอมา
เสียงในหัวบอกว่า " ไม่หรอกในเมื่อเธอ เป็นเหมือนดังคนโง่ เธอก็แค่หาคนให้ความกระจ่างแค่นั้น
ในเมื่อ เขาทำกับเธอได้ เธอก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเคารพกันอีกต่อไป"
ตรงตามเวลานัด
สมศรีเข้าไปยังห้องทำงานของผู้ชายคนหนึ่ง ยืนซองเงินปึกใหญ่ให้เขา
ชายคนนั้นยิ้มแล้วบอกกับเธอว่า
" คุณผู้หญิง ต้องจำไว้น่ะครับว่า สิ่งของที่อยู่ในซองนี้เป็นเหมือนดาบสองคม
คุณจะต้องนำไปใช้ในทางที่ถูก ใช้ในทางที่ควร " เสียงแก่ๆของเขาพูดขึ้น
" เปิดซองดูสิครับ "
สมศรีถอดแว่นดำออกแล้วเก็บเข้ากระเป๋า เธอนั่งตรงข้ามกับชายผู้นั้น
พยายามทำตัวให้เป็นปรกติทั้งที่จริงๆแล้วเธอ รู้สึกราวกับเธอเป็นเด็ก
ที่มาฟังครูใหญ่ ตัดสินชะตาชีวิต เธอเอื้อมไปหยิบสิ่งที่อยู่ในซองด้วย
มือที่สั่นระริก
เธอเทมันออกมา สิ่งที่อยู่ข้างในคือเอกสารและรูปถ่าย
รูปแรกที่เปิดเป็นรูปถ่ายรถยนตร์ของสามีเธอที่จอดอยู่ ณ ลานจอดรถของทาวเฮ้าน์
หรูแห่งหนึ่ง
" สามีคุณ ทุกเย็นจะแวะไปที่บ้านหลังนั้น " เสียงผู้ชายซึ่งทำหน้าที่นักสืบกล่าวขึ้น
เอกสารการติดตามพร้อมรูปถ่ายผมเขียนรายงานไว้หมดแล้วน่ะ ครับ
สมศรีไม่มีคำพูดใด ออกจากปากไม่มีน้ำตาสักหยด
เธอไม่อยากรับรู้ เธอไม่แน่ใจว่าเธอทำใจได้ไหม
" ขอบคุณค่ะ หากดิฉันมีอะไรจะโทรมาค่ะ " เธอกล่าวด้วยเสียงอันราบเรียบ
นักสืบมองตามร่างสีดำไป อย่างฉงน น้อยครั้งที่เขาจะเจอคนที่เงียบ
ไม่แสดงออกไม่ร้องไห้ เมื่อได้รับรู้ว่าสามี มีบ้านที่ 2
เธอผู้นี้ ผู้หญิงอีกคนที่เงียบกริบไม่มีปฎิกริยาใดๆ
แล้วเธอก็นำเอกสารซองนั้นเดินมาในรถ
เสียงที่พี่แม่เธอเคยกล่าวไว้ยังดังก้องอยู่ในหัว
"จำไว้น่ะลูก อย่าแสดงออกให้ใครรู้ถึงความรู้สึกของเรา
ทุกอย่างต้องเก็บไว้ แสดงออกได้เพียงสิ่งที่เราต้องการ "
เมื่ออยู่ในรถเธอตั้งสติ พยายามเรียกสติกลับคืนมา
เราเป็นใคร เราคือใคร เราจะไปไหน
นี่เราจะไปไหนต่อ เธอฟุบหน้าลงกับพวกมาลัยรถ
เราจะไปไหนดีเราจะไปไหนดี
หากใครที่ไม่เคยอยู่ในภาวะอย่างเธอคงจะไม่เข้าใจว่า
การได้รับรู้อย่างแน่ชัดว่าสามีเธอ มีบ้านที่ 2
และเธอได้รับมอบตำแหน่ง ภรรยาหลวง อย่างเต็มรูปแบบนั้น
รู้สึกอย่างไร
พยายามรวบรวมความคิดและกำลังกาย ไตร่ตรอง
ทำอย่างไรเราจะทำอย่างไรดี
เรียวแรงในตัวเหลือน้อยเต็มที
เธอทำอะไรไม่ถูก อีกต่อไป ขนาดได้เตรียมใจไว้แล้ว
เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดชื่อของน้องชาย
แนบโทรศัพท์ไว้กับหูเอนหลังลงติดกับเบาะ
"น้องหรอจ๊ะ พี่เองน่ะ น้องพอมีเวลาว่างไหม
พี่ไม่สบาย ขับรถเองไม่ไหว " เสียงเธอพูดช้าๆ
" พี่ศรี พี่อยู่ไหน เดี๋ยวผมไปหา พี่อยู่ไหน " เสียงน้องเธอเต็มไปด้วยความเห็นห่วง
" เธอค่อยๆบอกสถานที่ ให้น้องชาย"
นั่งอยู่ในรถเนิ่นนาน น้ำตาไหลย้อนกลับรดลงที่ใจ
เป็นเหมือนยาพิษที่กัดกร่อนจิตใจ แสบร้อน เกินคำพรรณา
ไม่รู้เวลาผ่านไปเท่าใด ที่กระจกก็มีเสียงเคาะ
เธอค่อยๆหันไปมอง
น้องชายเธอนั้นเอง
พี่ศรีมาทำอะไรที่นี่ครับ แล้วพี่เป็นอย่างไรบ้าง
เธอยิ้ม ที่มุมปากแล้วบอกน้องว่า
" พี่ปวดหัว น้องอย่างพึ่งถามอะไรตอนนี้น่ะ ช่วยพาพี่กลับบ้านก่อนน่ะ"
เธอขยับกายเปลี่ยนไปนั่งด้านคนนั่ง หลับตาลง
น้องชายคนเดียวของเธอ นั่งที่คนขับ
เขาเอือมมือมาจับมือเธอเบาๆแล้วบอกเธอว่า
" พี่ครับ ทำใจดีๆไว้ ผมอยู่ข้างพี่ครับ ผมอยู่นี่แล้วพี่ไม่ต้องกลัว"
" จ๊ะ ขอบใจน้องมาก"
เมื่อกลับถึงบ้านเธอขึ้นไปยังห้องนอน ปล่อยให้น้องชายเล่นกับหลาน
อยู่ชั้นล่าง
เมื่อถึงห้องนอน ห้องส่วนตัว วางกระเป๋าที่มีเอกสารหนาหนัก ลงบนเตียง
แล้วเธอก็ฟุบหน้าลงบนเตียง
น้ำตาที่เคยกลั่นไว้ ไหลรินออกมา ราวทำนบเขื่อนพัง ความเก็บกด ความเครียด
ทั้งมวลได้ถูกขับมาพร้อมกับหยาดน้ำตาหยดน้อย ที่ หลั่งริน ออกมา
เธอสะอื้นตัวโยก หายไปแทบไม่ทัน หัวใจเธอได้ แตกสลายไปแล้ว
ไม่มีแล้ว ไม่มีอีกแล้ว ความฝันอันงดงาม ครอบครัวที่อบอุ่น ดวงใจ
ของเธอ สลายไปเสียแล้ว
เธอจะทำอย่างไรกับชีวิตที่เหลือต่อไปดี
เธอจะกินยาเพื่อให้หลับ เพื่อจากโลกนี้ไปเลยดีหรือไม่
หรือเธอจะให้เขา ผู้ซึ่งทำร้ายจิตใจเธอ จากโลกไปแทน
หรือเธอจะ ทำให้ นังคนที่แย่งสามีเธอ ตายไปจากโลก
เธอจะทำอย่างไรเธอจะเลือกทางเดินไหนดี
อยากจะบุกไปหาคุณอเนก อยากจะเดินไป อาละวาด
ที่รังรักของมัน หรือจะทำอะไรดี ยิ่งคิดยิ่งสับสน
เหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยไปหมดทั้งใจ
เธอค่อยๆ เทสิ่งที่อยู่ในซองสีน้ำตาลเอาออกมาดูหน้าเธอคนนั้น
คนที่เป็นมือที่สาม คนที่ทำให้เธอต้องกลางเป็น ภรรยาหลวง
ดูรูปอย่างช้าๆ
ความลับทั้งมวล ที่เป็นเหมือนหลุมดำ บัดนี้ได้กระจ่างออกมาแล้ว
ในรายงานเขียนว่า บ้านหนังดังกล่าว
มีผู้ที่อยู่เพียงคนเดียว ทำงานราชการ
ทุกเช้าจะออกไปทำงานและตอนเย็นจะกลับมาก่อน 6 โมงเย็น
หน้าถัดไปเขียนว่ารูปถ่าย ผู้ที่อยู่บ้านหลังนั้น
ตัดสินใจเปิดกระดาษหน้าถัดไป
สายตาเบิกกว้าง
" อุ๊ย" มีเพียงเสียงนี้ที่เล็กลอดออกมา เธอเอามือปิดปาก
ภาพผู้ชายหนุ่ม หน้าตาดี หุ่นกำยำ ปรากฎขึ้น ไม่ใช่รูป สาว หรือ ผู้หญิงอย่างที่เธอเข้าใจ
สมองประมวลผลอย่างรวดเร็ว เรื่องจริงหรอนี่
สามีเธอเป็นเกย์
ภรรยาน้อยของเธอ เป็นผู้ชาย
นี่มันเรื่องจริงหรือนี่
นี่มันเกิดกับชีวิตของเธอจริงๆหรือนี่
โลกเหมือนหมุนเวลาย้อนกลับไป
ในวันที่เธอได้ กระโดดชนเขาในวันแต่งงานของเพื่อน
เธอ เข้าใจแล้วว่า ที่เคยเข้าใจว่าเธอเลือกเขานั้น
เป็นความคิดที่ผิด เขาต่างหากเป็นผู้เลือกผู้หญิงที่จะมาเป็นแม่
คนที่จะเป็นหนังหน้าไฟ ปิดบังความเป็นชายรักชายของเขา
บัดนี้เธอรู้ แล้วว่า เมื่อเธอได้ผลิตลูกชายสืบทอดสกุลให้เขา
ให้พ่อ แม่เขาได้มีหลานชายสมความปรารถนา เขาจึงไม่เคยสนใจใยดี
ในตัวสมศรีอีก
ฟ้าที่เคยมึดครึ้มมาตลอดกลับสว่างขึ้นเธอได้รู้แน่แล้วว่าสามี
มีใจรักผู้ชาย สมศรีนึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา
ก็ทำให้เข้าใจเขาผู้เป็นสามีมากขึ้น ว่าการที่จะต้องทน
ฝืนใจอยู่กับผู้หญิง เขาคงทรมานไม่น้อย
ปิ๊ง สมศรีหาทางออกให้ชีวิตได้แล้ว
เธอตัดสินใจแล้ว ทางนี้เป็นทางที่ดีที่สุด
สำหรับทุกคน เธอตัดสินใจที่จะขับรถไปยัง
บ้านไปยัง รังรักของสามีและผู้ชายคนนั้น
คิด ไตร่ตรอง แล้วก็ลงมือทำทันที นี่ล่ะ นิสัยของเธอ
เอาให้มันรู้ดำ รู้แดงไปข้างนึง
ก่อนออกจากบ้านเธอวานให้น้องชายช่วยดูแลบ้านให้สักพัก
และให้ป้าแจ่มดูแลเรื่องกับข้าวแทนเธอ
เธอบอกกับคนอื่นว่า จะไปธุระสักพักก็จะกลับ
เธอแวะไปที่เปลของลูกชายคนเล็กที่หลับตาพริ้มแล้วพูดว่า" เดี๋ยวแม่มาลูก เดี๋ยวแม่จะกลับมา
ลูกรอแม่สักพักน่ะจ๊ะ เดี๋ยวแม่จะไปพาพ่อกลับมา"
แล้วเธอก็ขับรถออกไป ไม่ใยที่น้องชายเธอจะขอติดตามไปด้วย
กว่าจะฝ่าการจราจรไปถึงบ้านหลังนั้นได้ ตะวันก็ยอแสง
เมฆก้อนเล็กๆสะท้อนแสงเป็นสีส้มจัด เธอยังนั่งอยู่ในรถ
รอเวลาและ เรียบเรียงสิ่งที่เธอกำลังจะทำ
ตราบเมื่อสิ้นแสงสุดท้าย แล้วความมืดโรยตัวเธอจึงค่อยๆ
เปิดประตูรถ เดินไปยังบ้านที่มีรถของสามีเธอจอดอยู่
แสงไฟสว่างไหว สาดออกมาจากบ้าน
เธอเอื้อมมือเปิดประตู โชคดีประตูไม่ได้ล๊อก
เธอค่อยๆเดินไปอย่างช้าๆๆ เดินเข้าไปในบ้านของเขา
ปรากฎว่าประตูไม้ด้านในถูกใส่กลอน
เธอ เคาะที่ประตูเบาๆ
ก๊อกๆๆๆๆๆ
แล้วยืนรออยู่สักพัก
ก็มีเสียงคนเดินมาที่ประตู มีเสียงพูดว่า
" ไอ้พล มันคงมาแล้ว เดี๋ยวผมไปเปิดประตูก่อนน่ะพี่ "
เมื่อเปิดประตูออกมา ชายผู้นั้นเห็นเธอยืนอยู่
เขามีสีหน้า ตกใจออกมาแว๊บนึง
เธอมองเด็กหนุ่มคนนั้น หน้าตาเข้ม ผิวขาว
รูปร่างดี กว่ารูปที่เธอได้เห็น
เธอผลักประตู เดินเข้าไปในบ้าน
สามีเธอนั่งหันหลังอยู่
เขาพูดว่า
" ทำไม พลมาเงียบ จัง เอ้าไอ้พล เข้ามา เข้ามา " สามีเธอคิดว่าเธอเป็นเพื่อนที่เขากำลังรอ
เธอค่อยๆ เดินมาข้างหลังเขา เอื้อมมือหยิบสิ่งของในกระเป๋าออกมา
อย่างช้าๆๆ
"เนกค่ะ" เธอเรียกพร้อมหยิบ ผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋า
เธอกำมันไว้
สามีเธอหันหลังกลับมาด้วยความตกใจสุดขีด
ศรี เธอมาได้อย่างไร
เขาหน้าถอดสี มองเธอผู้เป็นภรรยาและเยื่องๆกันคือ ภรรยาหนุ่มรูปหล่อของเขา
ทั้งสามจ้องกันอยู่ในความเงียบ
เธอและเขา สาม สามีถรรยา หญิง 1 ชาย 2
หลังการสนทนาผ่านไป
เธอบอกประโยคสุดท้ายว่า
" ศรีจะไปรอที่บ้านน่ะค่ะ เนก คิดดีๆล่ะกัน กับเงื่อนไขที่ศรีได้เสนอไป"
--------------------------------------------------
เมื่อขับรถมาถึงที่บ้าน น้องชายเธอวิ่งออกมารับ ด้วยสีหน้าแสดงความเป็นห่วงยิ่ง
" พี่ศรี ไปไหนมา ครับ กินข้าวหรือยัง "
เธอยิ้มให้น้องชาย แล้วบอกว่าพี่ไปจัดการธุระมาน้อง
เธอยิ้มออกมาจากหัวใจ
ปัญหาทุกอย่างคลี่คลาย ทุกสิ่งได้ถูก สะสางไปแล้ว
บัดนี้ สมศรีรู้สึกเบาสบายอย่างบอกไม่ถูก
เธอได้เลือกแล้ว กับเส้นทางสายนี้
" คุณแม่ค่ะ คุณแม่มาแล้ว น้องแป้งคิดถึงคุณแม่ "น้องแป้งวิ่งมาหาแม่
เธออุ้มลูกสาวขึ้น พร้อมกับหอมที่แก้ม
" แม่มาแล้ว จ๊ะ น้องแป้งเป็นเด็กดีไหมลูก ดื้อกับคุณน้าหรือเปล่า"
น้องแป้งไม่ดื้อค่ะ น้องแป้งเป็นเด็กดี
เมื่อเสร็จภาระกิจทุกอย่างแล้วทุกอย่างแล้วเธอจึงพาลูกเข้านอน คืนนี้
เธอไม่ต้องอยู่รอเขาอีกต่อไป
เธอไม่ต้องใช้ยาเพื่อให้นอนหลับ
อีกหากแต่เธอสามารถหลับลงด้วยความอิ่มใจ
กับสิ่งที่เธอได้ทำ เธอคิดดีแล้ว
ตอนนี้ก็อยู่ที่เขา จะเป็นผู้พิจารณาข้อเสนอที่เธอได้บอกไป
เนกค่ะ คุณคิดเอาเองน่ะค่ะ แล้วเธอก็หลับไปพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ
สายๆวันต่อมาวันนี้แล้วน่ะที่ เนกผู้เป็นสามีจะต้องเลือก
เสียงรถของเขากลับมาแล้ว
เธอเดินออกไปห้องบ้านกอดอก
มองสามีและคนข้างๆๆ
สามีของเธอลงจากรถพร้อมกับเด็กหนุ่มคนนั้น
เขาเดินมาหาเธอแล้วบอกว่า
" ตกลง ผมเลือก ทางนี้ หวังว่าคุณคงทำได้อย่างที่สัญญา " อเนกพูดขึ้น
สมศรีมีสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกใด
น้องแป้ง น้องแป้งมานี่ลูก
" หวัดดีคุณพ่อกับอาซ่ะ ลูกคุณอาจะมาอยู่บ้านหลังนี้กับเราด้วย"
น้องแป้ง วิ่งไปหาคุณพ่อ
เขาอุ้มลูกสาวตัวน้อยขึ้น น้องแป้งมองไปที่ผู้ชายที่มากับพ่อแล้วถามว่า
" คุณพ่อคุณอาคนนี้เค้าเป็นครายค่ะ"
" เค้าเป็นญาติของเราจะมาอาศัยกับเราด้วยน่ะลูก "
ไปค่ะ เราเข้าบ้านกัน
แล้วทั้งหมดก็เดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่งดงาม
บ้านที่ต่อไปจะมีแต่อบอุ่น กันเส้นทางที่เธอและเขาได้เลือกแล้ว
....ทางออกชีวิตบางเวลาดูช่างยากเย็นเหลือเกินในการ หาทางไป .....
ดังนั้น ชีวิตเรา อย่าทำให้ยาก เกินไป ทำให้ทุกอย่างง่ายๆ เลือกทางที่ทำให้ทุกคนมีความสุข
และพึงพอใจในสิ่งที่มีและสิ่งที่เป็น
เพียงแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอกับการก้าวเดินไปบนโลกสีฟ้าใบนี้ แล้วไม่ใช่หรือ
1 มิถุนายน 2546 21:31 น.
13 นางมาร
...........แว้ แง้ แง้ อุแง้ อุแง้ เสียงเด็กอ่อนในเปลแผดเสียงร้องดังขึ้นดังขึ้น หน้าตาแดงก่ำ นิ้วเท้าเล็กเรียงขนาดใหญ่ไม่เกินเม็ดถั่วแดง จิกงองุ้มลง หญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วม ต้องละมือจากการล้างทำความสะอาดขวดนม เช็ดมือและมาอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้น มาจากเปล จับดูผ้าอ้อมมีรอยชื้นเป็นดวง
" ดูสิพึ่งกินนมเสร็จ ก็ฉี่อีกแล้ว เฮ่อ "
ปากก็บ่นมือก็ควานหากระกร้า ผ้าอ้อม หยิบผืนใหม่มาเตรียมเปลี่ยนให้เจ้าตัวน้อย ใช้เวลาไม่นาน สมศรีก็สามารถกล่อมลูกชายคนเล็กให้นอนต่อได้
ด้วยความที่มีประสปการณ์การเลี้ยงเด็กมาแล้วจากลูกคนแรก
อากาศเริ่มเย็น แสงแห่งดวงตะวันเริ่ม ลาลับที่ขอบฟ้า เย็นวันนี้ก็เหมือนทุกวันที่สมศรีจะต้องเตรียมทำกับข้าว
ไว้ให้คุณอเนกสามีและ ลูกสาวคนโตวัย 3 ขวบ วันนี้สมศรีเจอยอดฝักแม้วที่ตลาด จำได้ว่าสามีชอบ จึงได้ซื้อมาผัด และเตรียมทำแกงจืดเต้าหู้ไข่ใส่หมูสับและผักกาดขาวให้น้องแป้ง ส่วนตัวเองสมศรีจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองชอบกินอะไร รู้แต่คนข้างๆ ชอบกินอะไรตัวเองก็จะไปเสาะแสวงหามาให้ ด้วยรู้สึกว่าการได้เห็นคนที่เรารักได้กินของโปรด ได้มีความสุขกับอาหารที่เราทำ
ความสุขความอิ่มใจ มันก็มากมายจนเหลือคณา มากเกินกว่าทำของโปรดของตัวเอง
กรี๊งๆ เสียงโทรศัพท์ดังทำลายความเงียบลง " สวัสดีค่ะ ต้องการพูดกับใครค่ะ " กรอกเสียงลงไปตามสาย
"ศรีหรอ พี่น่ะ วันนี้ติดงานเลี้ยงลูกค้า กินข้าวกับลูกไปก่อนน่ะไม่ต้องรอ "
" แล้วเค้าไม่ได้นัดล่วงหน้าหรอค่ะ วันนี้ศรีอุตส่าห์ทำของโปรดของพี่" ก้อนแข็งๆ ขึ้นมาจุกที่ลำคอ น้ำตาปริ่มๆอยู่ที่ขอบตา
" ขอโทษจริงๆ น่ะ เค้านัดมาด่วน พี่ไม่กลับค่ำ ไม่เกิน เที่ยงคืนน่ะจ๊ะ แค่นี้น่ะ ขาดคำปลายเสียงเสียงก็ดัง
"ตุ๊ด ตูด ตู๊ด ๆ.ตุ๊ด ตุ๊ด ."
สมศรีวางโทรศัพท์ลง หันไปมองเจ้าตัวน้อยที่หลับปุ๋ยอยู่ในเปล นึกถึงลูกสาวคนโต น้องแป้ง ที่ป่านนี้คงกำลังเล่นอยู่บ้านคุณยาย นึกดีใจ ที่วันนี้ คุณยายและญาติๆ ขอตัวน้องแป้งไปเล่น กับหลานๆ ที่มาเยี่ยม อีกสักพักเมื่อได้เวลาอาหารเย็น คงจะให้น้าศรมาส่ง เพราะว่าวันนี้ศรีบอกไว้แล้วว่าทำแกงจืดใส่เต้าหู้ไข่ไว้ให้
.............บรรยากาศยามนี้ช่างเงียบเหงา จนจับจิต ศรีเดินออามานั่งที่ระเบียงข้างบ้าน ที่ระเบียงมีเก้าอี้สีขาว ตั้งอยู่สอง ตัวพร้อมโต๊ะกลม หันหน้าออกไปที่สวนข้างบ้าน สวนที่จัดไว้สวยงาม กระถางดินเผา ที่เราสองคนช่วยกันเดินหา ล้อมรอบด้วยต้นไม้ประดับอยู่รอบๆ ต้นข้าหลวงหลังลาย ยังคงความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ แผ่ใบหยักเขียวสร้างความสดชื่น
เก้าอี้ตัวเดิมดูเก่ามอซอ ต่างจากวันที่เธอเคยปรึกษาฉันว่า จะซื้อเป็นคู่หรือว่าซื้อตัวเดียว ด้วยว่าราคาค่อนข้างสูง และในที่สุดเธอเองที่บอกว่า ซื้อเป็นคู่ ไว้ให้ ผมกับศรี ได้นั่งเคียงข้างกัน ในบ้านของเรา
แล้ววันนี้ ไหนล่ะ คนที่เคยบอกว่าจะอยู่ข้างกัน ในบ้านของเรา ไหนล่ะคนที่บอกว่าเราจะมีบ้านที่อบอุ่น
หากจะนับ ฉันขอนับว่านี่เป็นบ้านของฉันและลูกเท่านั้น จะถูกต้องกว่า เพราะบ้านของคุณก็คือที่ทำงาน
คุณใช้เวลาอยู่ที่ทำงานมากกว่าวันละ 10 ช.ม.
คิดพลางเอาเข่าทั้งสองขึ้นมาชันบนเก้าอี้ เท้ายันไว้โดยไม่ใยดีว่าเก้าอี้จะเปื้อน ฉันเอาแขนที่อวบอ้วน มากอดเข่าไว้หลวมๆ ด้วยติดไขมันที่หน้าท้องที่ถูกดันขึ้นมาชิดกันเป็นลอน
หายใจเข้าออกอย่างแผ่วเบา มองไปยังท้องฟ้าเห็นนกน้อย 2 ตัวบินเคียงกันกลับรวงรัง ความเจ็บ ความเหงา ยิ่งเผาผลาญจิตใจ สะท้อนในอก
พักหลังฉันเรียนรู้ที่จะกอดเข่าในยามที่ไม่มีเขาอยู่เคียงข้าง เข่ายังไงก็เป็นเพื่อนที่ดีที่ทำให้ หัวใจฉันได้อบอุ่นได้บ้าง ที่สำคัญเข่าไม่เคยทิ้งให้ฉันต้องกินข้าวคนเดียว
..........ความคิดล่องลอย ถอยหลังไปถึงวันวารที่ยังหวาน 7 ปีแล้วน่ะที่ฉันและสามีได้ตกลงใจใช้ชีวิตร่วมกัน
นึกถึงวันแรกที่เราเจอกันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว สมศรียังจำได้ดี บางครั้งการเก็บอะไรดีๆไว้ในความทรงจำมันก็ทำให้ชีวิตมีความสุข ได้ยิ้มละมัยทุกครา
........ ที่โบสถ์แห่งหนึ่งซึ่งศรีเดินทางไปเป็นสักขี พยานให้เพื่อนรักเข้าพิธีวิวาห์ งานแต่งงานเรียบง่าย มีเพื่อนและญาติ ของคู่บ่าว สาวมา ร่วมงานไม่มากนัก ศรีเห็นเขาก่อนใคร ด้วยว่าเสื้อที่เค้าใส่สีช่างเหมือนท้องฟ้า สีเข้มปั๊ด
ดวงหน้าเข้ม ตาคม จมูกโด่งเป็นสัน ไรเคราขึ้นเขียว ศรีมีเวลาไม่นานก่อนที่เจ้าสาวจะโยนช่อดอกไม้ ในการแอบไปถามเพื่อน ว่าเขาคือใคร มาจากไหน สืบมาได้ความว่า ชื่ออเนก เพิ่งกลับมาจากการไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ นิสัยดีพอใช้ ที่สำคัญโสด เอาล่ะเป็นไงเป็นกัน ศรีจะลองเสี่ยงดู
"อุ๊ย ขอโทษค่ะ "
หลังจากที่พยายามยืนอยู่ใกล้ๆ เค้าตอนที่เจ้าสาวโยนช่อดอกไม้
" ไม่เป็นไรครับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า "
ตามแผนที่คิดไว้ ไม่ยากที่คนอย่างเธอจะแสดง ท่ากระโดดรับดอกไม้ให้ดูเหมือนจริง ทั้งที่แท้จริงแล้วศรีตั้งใจจะกระโดดชนเค้าคนนั้น ให้องศาพอดี ต่างหาก
หลังจากวันนั้น 3 ปี หลังจากดูใจกันมา ระฆังวิวาห์ ของสมศรี และอเนก ก็ดังขึ้น การ์ดเชิญของเราสองคน เรียบง่าย การ์ดแผ่นเดียวที่ด้านบนทีคำสลักไว้ว่า Now and Forever
ด้านล่างเป็นรูปเงาของคนสองคนที่หันหลังซบกันอยู่ที่ริมทะเลยามตะวันยามตกดิน สามปีที่ใช้เวลาศึกษากันและกัน สามปีที่เป็นช่วงเวลาดีๆ ในชีวิตของสมศรี หลังแต่งงานจำได้ว่าเพื่อนที่ทำงานมาทักทายถามไถ่
" อิจฉาเธอจังน่ะ ศรี เธอโชคดีจัง ที่ได้เจอคนดีๆ อย่างคุณเนก " ป้อมเพื่อนที่ทำงานแผนกเดียวกันพูด
" ใช่ เราก็เห็นด้วยเธอไปเจอเค้าที่ไหน ยังมีเหลืออีกสักคนไหม นี้ ชั้นน่ะยังหาไม่เจอเลยเธอ " เพื่อนอีกคนพูดขึ้น
สมศรีคิดในใจ ว่าใครจะไปบอกพวกเธอว่าคน นี้เองที่ฉันตั้งใจกระโดดไปชน
"แหม พวกเธอก็ ไม่ขนาดนั้นหรอก ไปไป ทำงานกันได้แล้ว" สมศรีพูดตัดบท
ยามนั้นสมศรีทำงานอยู่ที่บริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง งานที่ทำเป็นงานที่เธอรัก ด้วยการใช้ความคิดออกแบบ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์นั้นเป็นที่ติดตลาด สมศรีเป็นสาวยุคใหม่ บุคลิก คล่องแคล่ว รูปร่างสมส่วน ผิวขาว ตาโต แก้มเนียนใส หน้าตาถูกแต่งเติมไว้เป็นสีชมพู เรื่อยๆ ให้ดูเป็นสาวสุขภาพดี ผมสีน้ำตาลยาวเป็นลอน ประบ่า
กับเธอ คนที่ฉันกระโดดชน เมื่อเรียนจบกลับมาจากเมืองนอก ก็ได้ทำงานในบริษัท ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ชื่อดัง ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วโลก
"ศรี วันนี้เดี๋ยวผมไปรับน่ะ ศรีเลิกงานหรือยัง" เสียงของอเนกส่งมาตามสาย
"ผมคิดถึงศรี จะขาดใจอยู่แล้ว"
"อะไรจะขนาดนั้นค่ะ เดี๋ยวเย็นนี้ก็เจอกันแล้ววันนี้อยากกินอะไรค่ะ " สมศรีหัวเราะ ยามหวานเค้าก็ช่างออดอ้อน
"อยากกินศรีอย่างเดียวล่ะครับ ตอนนี้"
"ไม่เอา พูดเล่นอยู่ได้ เอาจริงๆ สิค่ะ ศรีจะได้เตรียมซื้อได้ถูก" เสียงของศรีเริ่มเข้มขึ้น
"กินอะไรก็ได้ เอาง่ายๆ ผัดผักก็ได้คับผม คุณแม่"
ในบ้านหลังไม่ใหญ่ บ้านที่สร้างมาด้วยหยาดเหงื่อของเราสองคน กระเบื้องทุกอัน ไม้ทุกแผ่น ต้นไม้ทุกต้น ที่ประกอบกันเราสองคนช่วยกันสร้าง ช่วยกันหา ช่วยกันเลือก หลังอาหารค่ำ เราสองคนจะออกมานั่งสูดอากาศ ที่ ระเบียงบ้าน อเนกชอบฟังเพลง เค้าจะเปิดเพลงคลอเบาๆ ส่วนสมศรีก็จะชงกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล
ยกมาให้เค้า ส่วนตัวเองก็ดื่มน้ำขิง ร้อนๆ เคียงข้างเค้า นั่ง ชมแสงดาว แสงเดือนด้วยกัน จากนั้นก็เป็นเวลาที่เราสองคนจะได้ซุกกายบนเตียงนุ่ม ใต้ผ้าห่ม ซุกไซ้ ด้วยกายอันเปลือยเปล่า
แนบชิดหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เสียงหายใจที่หอบถี่ขึ้น เสียงเนื้อแนบเนื้อ บรรเลงเป็นจังหวะลีลา โรมรัน โหมกระหน่ำ กอดเกี่ยว พลันกายลอยละล่อง ไปในละอองเศษสวรรค์
" เนกอยากมีลูกไหมค่ะ " สมศรีนอนเกยท่อนแขนของสามี
" เราสองคนก็อายุ เริ่มมากแล้ว เดี๋ยวแก่ไปจะเลี้ยงไม่ไหวน่ะ "
" ค่ะ เราจะได้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์สักที" ฝันถึงครอบครัวที่มีพ่อ มีแม่ และลูกๆ ในบ้านหลังน้อย
................................
กริ๊งๆเสียงกดกริ่งหน้าบ้าน ทำให้สมศรี ตี่นจากภวัง และเดินไปเปิดประตูหน้าบ้านคงจะเป็นคนบ้านนู้นที่ขับรถมาส่งเด็กหญิงตัวน้อย
" แป้ง ถืออะไรมาด้วยลูก ไหนมาให้แม่ดูสิ " ในมือเด็กหญิงถือกล่องขนมปัง
" พี่ศรี ผมเอาแป้งมาส่งแล้ว น่ะ เห็นบอกว่า วันนี้พี่ทำของโปรดไว้ให้แก "
" อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนไหม ศร น้องมีธุระอะไรไหม " ศรีเอ่ยปากชวนน้องชาย
"แล้ว พี่อเนกยังไม่กลับหรอ ไหนวันนี้ ได้ยินเจ้าแป้งบอกว่า พ่อจะกลับมากินข้าว" ศรีหน้าเจื่อนไปนิดนึง
"มา เข้ามาเถิด วันนี้พอดีอเนกเค้าติดงาน มากินข้าวเป็นเพื่อนที่หน่อย" ออนเดินน้ำหน้า พร้อมอุ้มน้องแป้ง
เข้าบ้านไม่ให้น้องชายเห็น หยดน้ำน้อยๆที่ล้นปริ่มๆ อยู่ที่ขอบตา
อุ้มน้องแป้งมาที่โต๊ะกินข้าว แล้ววางลงบนเก้าอี้พิเศษ สำหรับเด็ก 3 ขวบ
"แม่ แม่วันนี้ แป้งจะกินเองน่ะ น้องแป้งโตแล้ว น้องแป้งจะไปโรงเรียนแล้ว" เด็กหญิงวัย 3 ขวบช่าง
ฉอเลาะ เด็กผู้หญิงก็พูดเก่งอย่างนี้
"ใครสอนมาลูกว่าน้องแป้งโตแล้ว" ศรียิ้ม ขันกับความแก่แดดของเด็กหญิง
สมศรีวางชามแกงจืดที่ใส่เต้าหู้ ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ หมูสับบด พร้อมด้วยผักกาดขาวหวานนิ่ม
" ก็คุณยายบอกว่า แป้งโตแล้ว แป้งกินข้าว อาบน้ำเองได้แล้ว "
หันไปมองน้องชายที่เดินไปที่ มุ้งเล็กๆสีฟ้าที่ครอบเจ้าตัวเล็กไว้
"เจ้าตัวเล็กนี่มาทีไร หลับทุกทีเลยน่ะพี่ศรี "
" เพิ่งหลับไปตอนหัวค่ำนี้เอง ปาล์มเลี้ยงง่ายไม่งอแง" ศรีบอกพลางตักข้าวสวย หอมกรุ่นใส่จาน
"มา มานั่งนี่ กินข้าว พี่หิวแล้ว กินให้หมดไม่ต้องเหลือเลยน่ะ"
" พี่ศรี นี่ก็เก่งน่ะ ใครจะนึกว่า ผู้หญิงเก่งอย่างพี่จะออกจากงานมาอยู่บ้านเลี้ยงลูก"
" พี่เองก็ไม่นึกเหมือนกันน้องเอ๋ย ว่าชีวิตพี่จะต้องเป็นอย่างนี้ "
******โปรดติดตาม ขวดนมและขวดเหล้า ตอนจบได้เร็วๆนี้****************