26 กรกฎาคม 2545 08:09 น.

*+*+*+*+* หลังคาใหม่ *+*+*+*+*+*

13 นางมาร

โฮ่ง ฮ่อง ๆๆ แฮ่ก หงิง หงิง ๆๆๆๆๆ
            "ว่าไงเจ้ารถถัง วันนี้ไปคุ้ยต้นไม้ของแม่มากัดเล่นหรือเปล่า" หลังจากกลับจากการผจญ ชีวิตในสังคมการทำงาน
            พิมกลับถึงบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ก็ยังดีที่มีเจ้ารถถัง มาต้อนรับด้วยการตะกุยประตูบ้าน
           พร้อมด้วย แววตา ดีใจ ที่เจ้านายกลับมา  เมื่อจอดรถเปิดประตูเจ้ารถถังก็จะตะกุยตะกาย
            " เดี๋ยวถุงน่องขาด ไอ้รถถังเดี๋ยวก่อน " พิมรีบไล่เจ้าถังออกไปก่อนก็ตัวมันออกจะโต แรงก็เยอะ
           ขณะที่ กำลังจะปิดประตูหน้าบ้าน ก็ได้ยินเสียงคุณตาเรียก
          " พิมกลับมาแล้วหรอ เข้ามาดูหลังคาใหม่ในครัวสิ สวยอย่างกับโรงละครเลย " ตาพูดด้วยเสียงแสดงความภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก
           คุณตาคนนี้บ้านอยู่ตรงข้ามกับบ้านพิม จริงๆคุณตาซื้อบ้านก่อนแล้วบังเอิญ บ้านตรงข้ามขาย ฉันเลยได้มาอยู่ใกล้กันนับว่าเป็นบุญของฉันจริงๆ
คุณตาเล็ก แม้ไม่ใช่พ่อของแม่ แต่ในความผูกผันกันนั้นเราเป็นยิ่งกว่าญาติ นานมาแล้ว สมัยที่คุณตาทวดของพิมยังหนุ่ม ได้รับอุปการะ เด็กชายจากต่างจังหวัดมาเป็นลูกบุญธรรมเลี้ยงดู ส่งเสีย จนได้ดิบได้ดี คุณยายที่เป็นยายแท้ๆ ของพิมจึงมีศักดิ์เป็นน้องสาวของคุณตาเล็ก และพิมก็รักและเคารพคุณตาเล็กและคุณยายจิ๋ว ดังเป็นตายายจริงๆก้าวเข้าบ้านคุณยาย ภาพความทรงจำวัยเด็กปรากฎขึ้นในความทรงจำ
                      "พิม กินขนมลูกวันนี้ ตามี เนยแข็งและขนมปัง ฝรั่งเศษ  สเต็กเนื้อแกะก็มีน่ะ" คุณตาซึ่งทำงานให้สายการบินชื่อดัง มักหอบหิวของดีๆจากบนเครื่องลงมาให้ลูกหลานกิน
                       " โอโห มีช็อกโกแลต กับไข่ปลาคาร์เวียด้วย " ของกินมากมายในตู้เย็นที่คุณตานำมาให้ พิมเองก็ชอบกินอาหารฝรั่งอยู่แล้วไม่น่าแปลกใจที่ทำไม ตอนโต พิมถึงได้ชอบขนม นม เนย และของหวาน ไอศครีม
                    
ครอบครัวคุณตาเป็นครอบครัวใหญ่ แค่ลูกๆก็ 5 คนแล้ว และยังมีหลานๆอีก เป็นครอบครัวที่อบอุ่น
แม้บางครั้งจะอุ่นจนกลายเป็นร้อน ด้วยเสียงเด็กทะเลาะกัน แต่ก็ยังดี ดีกว่าบ้านของพิมที่มีแต่ความเงียบ 
บ้านพิมมีคนอยู่เพียง 3 คน แม่ซึ่งทำงานนอกบ้านกลับดึก และพิม กับ พลอย วัยเด็กของพิมที่น่าจะเป็นเด็กที่มีปัญหาเพราะ พ่อกับแม่ความคิดต่างกันจนเกินกว่าจะร่วมทางกันได้  แต่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะพิมได้ไออุ่นจากครอบครัวคุณตาที่พิมและน้องไปอยู่ไปกินข้าว ไปนอนเล่นตั้งแต่เด็กจนโต จะกลับบ้านมาก็เฉพาะตอนนอน ไม่น่าแปลกใจที่พิมจะสมมุติว่าบ้านคุณยายก็คือบ้านพิมอีกหลังหลายครั้งที่ได้รับความเจ็บช้ำใจ จากนอกบ้านแค่ได้มาเล่าให้คุณยายฟังทุกข์โศกใดก็ดูจะผ่อนคลายลง
                           "พิม พิม มาดูหลังคาสิลูก " เสียงคุณตาเรียกทำให้พิมตื่นจากภวัง
                           "มาแล้วค่ะกำลังจะเดินไป " พิมเปิดประตูหลังครัวเข้าไป 
                           " โอโห ตารื้อทำใหม่ซ่ะสวยเชียว " สถานที่ปรุงอาหารที่เราเรียกว่าครัว นั้นมีโต๊ะเก่าๆผุ ซึ่งมีเตาแก๊สตั้งอยู่ข้างๆมีโอ่งน้ำกาละมังล้างจาน และท่อระบายน้ำ จริงๆแล้วครัวของคุณยายไม่ได้อยู่ในตัวบ้านแต่อยู่หลังบ้านใต้ชายคา ยามใดฝนตก คนที่ทำกับข้าวก็จะต้องโดนน้ำฝนหยด แหมะๆๆ เพราะหลังคาที่อยู่ชั้น 2 ของบ้านสั้นเกินกว่าจะป้องกันแดดฝน
                    เมื่อหลายปีก่อนคุณตาได้หาไม้ไผ่มาเสียบต่อออกไปจากตัวบ้านและนำผ้ายางมาคลุมบนไม้ไผ่พวกนั้นเป็นหลังคาชั่วคราว
                    วันนั้นเมื่อพิมกลับมาจากโรงเรียนและแวะไปหาคุณยายในครัว
                      " พิม มาดูนี่สิ ปฏิมากรรมของตา มันจะหล่นมาทับหัวกระบานไหมนี่ " ยายพูดพลางหยิบผักบุ้งในกระทะผัดกลิ่นหอมชวนให้หิวข้าว
                      พิมเดินไปดูที่หลังคาไม่ไผ่และสารพัดไม้ที่คุณตาจะหาได้แล้วก็ หัวเราะกับคุณยาย เสียวไส้จริงๆ ว่าวันไหนลมพัดแรง ไม่พวกนั้น
                     มันจะหล่นลงมาไหม        
                     " ยาย เดินดีๆๆน่ะ อย่าเอาอะไรไปโดนมันบ่ะ เดียวมันจะพังลงมาทั้งแถบ " 
                        จั๊กๆๆๆ เสียงฝนตกฟ้าคำราม วันนั้นยายลงไปทำครัว ขณะกำลังผัดกระเพราะหมูสับใส่ถั่วฝักยาว กลิ่น
                         ฉุนแสบจมูกทำให้ผู้อยู่ใกล้ต้องจามกันถ้วนหน้า
                         " ใครอยู่ข้างใน หยิบน้ำตาลให้ที " เสียงคุณยายเรียกคนในบ้าน
                         พิมลุกไปหยิบน้ำตาลให้ยาย ภาพที่พิมเห็นก็คือ ยายต้องใส่รองเท้าบูต และสวมงอบ กันน้ำท่วมและกันฝนที่หยด
                       ลงมาตามรอยรั่ว 
                       " ยาย รีบทำแล้วรีบเข้าบ้านน่ะ เดี๋ยวไม่สบาย ไม่รีบเข้าบ้านเดี๋ยวอึ่งอ่างมาน่ะ" พิมพูดด้วยความห่วงใยสุขภาพ
                       ของคุณยาย พื้นก็ลื่นฝนก็ตก น้ำก็ท่วม 
                     คุณตาจะรู้ไหมน่ะ ว่าความประหยัดของคุณตาจะทำให้คุณยายซึ่งเป็นคนทำกับข้าวจะต้องลำบากเปียกปอนทำ
กับข้าวให้ทุกคนใน บ้านกิน แต่จะว่าไปพิมคิดว่า น่าจะเป็นสาเหตุมาจากการที่ สมัยก่อนตอนที่คุณตาอยู่บ้านนอกคุณตาฐานะยากจน เมื่อโตมาคุณตาจึงได้รู้ค่าของเงิน รู้จักใช้ทุกบาททุกสตางค์ จนกลายเป็นคนประหยัดเกินไปอะไรที่คุณตาคิดว่าทำได้เอง ก็จะไม่จ้างใครทั้งสิ้น เสียดายเงิน เป็นที่ระอาใจกับความรั้นของคุณตาที่ไม่ยอมซ่อมแซมหลังคาไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร 
                     " พี่เล็ก ชั้นอยากได้หลังคาใหม่ ให้ช่างเค้ามาตีราคาสิ นี่ไม้มันก็ผุมากแล้ว เงินก็มีที่เจ้านิดให้" ยายพูดกับตาด้วยสายตาวิงวอน
                    " ไปจ้างเค้า ก็คิดแพงเป็นหมื่นๆ ชั้นทำเองก็ได้ " พร้อมคำบ่นอีกมากมาย ซึ่งทำให้ทุกคนเบื่อที่จะพูดเรื่องหลังคาอีก
                   วันนี้ที่เดิม ที่ที่เคยที่น้ำรั่ว มีไม้ผุๆ แทนหลังคา กลับถูกแทนที่ด้วยหลังคา อันสวยงาม ต่อยื่นมาจากตัวบ้าน
               ช่างดูแข็งแรง โอโถง ให้ความปลอดภัยแก่คนที่อยู่ด้านล่างได้เป็นอย่างดี
แต่หลังคาใหม่จะรู้ไหมหนอ ว่าตอนนี้พิมเศร้าเหลือประมาณ เนื่องจากวันนี้ ไม่มีเสียงกระทะ เสียงทำกับข้าวอีกต่อไปแล้ว คุณยายจากโลกนี้ไปเมื่อ 6 เดือนก่อนด้วยโรคมะเร็ง
             เวลานี้พิมมองหลังคาพลางคิดยายอย่างจับใจ หลังคานี้ คุณยายอยากได้มาตลอดแต่วันนี้ วันที่มีหลังคาที่กันฝนให้ยายได้
            แต่ยายก็ไม่ได้อยู่ให้หลังคาได้กันแดดกันฝนพิมได้แต่ชมคุณตาว่าสร้างได้สวยดี แต่ฉันก็ยังมีคำถามในใจ 
ทำไมคุณตาไม่ทำตั้งแต่ยายยังอยู่จะได้ใช้ประโยชน์ได้ เพราะยายไม่อยู่ก็ไม่มีคนทำกับข้าวอีกต่อไป คุณตาให้ซื้อกินเอาเพราะทำแล้วมันเปลือง พิมเดินกลับบ้านด้วยความตั้งใจที่ว่า
                 " หากวันนี้ ฉันอยากจะทำสิ่งใดให้คนที่ฉันรัก ฉันจะลงมือทำเดี๋ยวนี้ แทนที่จะทำตอนทุกอย่างสายเกินไป "				
23 กรกฎาคม 2545 12:23 น.

*+*+*+*+* คนขายหนังสือ+*+*+*+*+*+*+

13 นางมาร

ปี๊บๆๆๆมี ขวด กระดาษ เศษเหล็กหนังสือพิมพ์มาขายไหมค๊าบ ปี๊บๆๆ
               เสียงรถซาเล็ง ดังมากระทบโสตประสาท ทำให้ฉันตื่นขึ้นมารับอรุณ
วันนี้วันเสาร์ วันที่สมควรนอนตื่นสายให้สมกับที่ได้ ลุยงานมา 5 วัน
               แต่ในเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่สามารถที่จะนอนหลับได้อีก  พลิกตัวไปมา สายตาเหลือบไปเห็น ชั้นวางหนังสือที่มีหนังสือเล่มน้อยใหญ่เรียงกันมากมาย หนังสือพวกนี้คงเหงาเพราะว่านานแล้วที่ไม่ได้หยิบมาอ่าน
ว่าแล้ว ฉันก็ลุกไปหยิบ มาหนึ่งเล่ม ปกสีคล้ำ สภาพกระดาษกรอบเหลือง ฉันพลิกดู
เห็นลายเซ็น ของแม่ ที่เซ็นพร้อมวันเดือนปีที่ตั้งต้นเป็นเจ้าของ ไพรวรรณ 10 มกราคม 2510
เปิดหน้าแรก ด้วยความเก่าและกลิ่นอายของอดีต ที่มากระทบปลายจมูกทำให้ ภาพในอดีต หลั่งไหลเข้ามาในความทรงจำ
              หวนคิดถึง  บ้านเล็กๆ ที่มีเพียง เราสามคน แม่ลูก บ้านที่
มีพื้นที่แวดล้อมไปด้วย ต้นไม้นานาพันธุ์  จนอาจดูรกไปบ้าง
รอบๆบ้านก็คือ บ้านแบบเดียวกับฉัน ปลูกติดๆกันเป็นหมู่บ้าน
จะว่าไปหมู่บ้านฉันเป็นหมู่บ้านที่สร้างยุคแรกๆ ที่เริ่มมีบ้านจัดสรรทีเดียว
ข้างๆตัวบ้านมี ห้องเก็บของที่ดู อย่างไรก็ไม่เหมือนห้อง น่าจะเรียกว่าเพิงเก็บของมากกว่า
มีเพียงหลังคาและไม้ผุๆ ในนั้นเป็นที่เก็บของ หนังสือมากมายหลากหลายประเภท
              ยามนั้นฉันยังตัวเล็ก ได้แต่แหงนหน้ามอง กองหนังสือที่ท้วมหัว
ด้วยความรู้สึกว่ามันเป็นขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ ที่ยามเหงา ไม่มีอะไรทำก็จะ
เข้าไปตะกุย ขุดคุ้ย หนังสือสักเล่มออกมา เปิดดู ซึ่งแตกต่างจากพี่สาวของฉัน
ที่ไม่เคยสนใจ กองหนังสือในห้องนั้น ไม่เคยแม้แต่จะหยิบมันขึ้นมาดู 
             หนังสือในนั้นส่วนใหญ่เป็นหนังสือของคุณแม่ ซึ่งแม่ฉันนั้นเป็นลูกแม่โดม
ในยุคนั้น แม่เป็น สาวรุ่นใหม่ ที่ เรียนเอกภาษาอังกฤษ อีกทั้งยังอยู่
ชมรม การละคอนอ  เพราะฉะนั้น หนังสือในนั้น ฉันคิดว่ามันคงจะ เล่มที่แม่ชอบจริงๆ
แม่ถึงได้หอบ หิ้วมัน มา  นับตั้งแต่ ที่แม่เรียนจบแล้วแม่ก็แต่งงานกับ 
พ่อซึ่งเป็นตำรวจตระเวนชายแดน ยามนั้นต้องร่อนเร่ไปประจำตามจังหวัดต่างๆๆ
 ฉันได้ทราบเพียงว่าพ่อแต่งงานกับแม่ที่กรุงเทพเช้ามา แม่และพ่อเดินทางไปกับสัมภาระเล็กน้อย
 โดยรถเต่าคันเล็ก ไม่รู้ว่าหนังสือพวกนี้ตอนนั้นไม่ไปฝากใครไว้ แต่ฉันว่าพวกมันคงเหงาเพราะว่าคง
ไม่มีใครจะหยิบมันขึ้นมาอ่าน
             10 ปีผ่านไป  หลังจากที่แม่และลูกได้ย้ายกลับมากรุงเทพ และให้พ่ออยู่ประจำที่ต่างจังหวัดคนเดียว
หนังสือคงไม่เหงา แล้วเพราะ ตอนนี้ หนังสือที่แม่ได้ทิ้งไปได้กลับมาหา เจ้าของอีกครั้ง หนังสือคงดีใจ
แต่หารู้ไม่เวลา ต่อมาพวกมันจะต้องจากเราไปหาเจ้าของคนใหม่
เวลานั้นฉันและพี่ ยังเล็กนัก ประมาณ 8 ขวบ ฉันได้แต่หยิบหนังสือ เล่มโตๆๆมาเปิดไปมา แต่มันก็เป็นจุดเริ่ม
ต้น ที่ค่อยๆซึมซับทำให้ ฉันหลงรักตัวอักษรมาจนบัดนี้
               วันหนึ่ง ฉันกับแม่ไปซื้อของนอกบ้าน เมื่อกลับมา พี่สาววิ่งมาบอกแม่อย่างดีใจว่า
              "แม่ แม่วันนี้ ได้เงินตั้ง 38 บาทนี่ไง" พี่สาวฉันวิ่งมาบอกแม่ด้วยเสียงภูมิใจ
              " เอามาจากไหนล่ะลูก" แม่ถามด้วยความสงสัย
             " ก็ วันนี้มีคนมารับซื้อหนังสือเก่า หนูเลยขายหนังสือของแม่ไป เค้ากิโลตั้ง 1 บาท" 
     เวลานั้นฉันมองเห็นแม่ มองลูกสาวตัวน้อยที่ทำหน้าภาคภูมิใจที่ได้หาเงินมาได้ แต่สำหรับตัวฉันเอง
 แม้ฉันจะเด็กแต่ ฉันก็ได้รับรู้กระแสของความเสียใจ ที่หลั่งรินออกมาจาก ความรู้สึกของคนรักหนังสือ
            " แม่ แม่ แต่หนูคัดบางเล่มและเก็บไว้ อยู่ในห้องเก็บของแม่ไปดูสิค่ะ"
ฉันจำได้ว่าเวลานั้น แม่ไม่มีคำพูดอะไรสักคำ ออกจากปาก
แม่ได้แต่ไปดู เพิงหนังสือของเรา และลูบคลำหนังสือที่เหลือด้วยแววตาที่เสียดายอย่างสุดซึ้ง
คงจะไม่มีประโยชน์ที่แม่จะดุว่าพี่สาวเพราะ อย่างไรหนังสือก็ได้เปลี่ยนเจ้าของไปแล้ว
           ฉันได้แต่ภาวนาว่า ขอให้หนังสือพวกนั้นได้ไปอยู่กับเจ้านายคนใหม่ที่ดี และได้ใช้ประโยชน์
จาก ข้อความข้างในอย่างเต็มที่
           " ขอให้โชคดีน่ะเจ้าหนังสือ " ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย
          
            วันนี้ ฉันมีหนังสือเป็นของตัวเองส่วนหนึ่งของทั้งหมดก็คือหนังสือที่ยังเหลือรอด จากการขายให้ ซาเล็ง
ได้ถูกนำมาจัดเรียงบนชั้นวาง ข้างเตียงนอน ของฉัน น่าขอบใจที่วันนั้น เจ๊ก ขายขวดไม่ได้เหมาซื้อหนังสือทั้งหมดและน่าขอบใจ ที่พี่สาวฉันอุตสาห์เหลือไว้ให้ ทำให้อย่างน้อย วันนี้ก็มีหนังสือของแม่
เหลือให้ฉันอ่าน ......... ฉันสัญญาจะดูแลเธออย่างดี จะไม่ให้เธอต้องไปอยู่ บนรถซาเล็งอีก
ฉันสัญญา				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟ13 นางมาร
Lovings  13 นางมาร เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟ13 นางมาร
Lovings  13 นางมาร เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟ13 นางมาร
Lovings  13 นางมาร เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึง13 นางมาร