26 กรกฎาคม 2545 14:31 น.
13 นางมาร
หลังจากวันที่ขโมย ขึ้นบ้านและออนรอดชีวิตมาได้ ทำให้ออนสำนึกได้ว่า ชีวิตนี้มีค่ายิ่งนัก
เราควรใช้ชีวิตอย่างถนอมรัก และรู้รักษาลมหายใจไว้ให้ดีที่สุด และออนก็คิดได้อีกอย่างว่า
เราควรใช้ชีวิต อยู่บนความไม่ประมาท
เมื่อพ่อทราบเรื่อง พ่อสั่งให้ช่างมาเปลี่ยนประตูหลังบ้านซึ่งผุมากจนทำให้ขโมยใช้แรงดึงเบาๆกลอน
ก็หลุดออกมา รวมถึงกลอนประตูทุกบานในบ้าน พ่อสั่งเปลี่ยนใหม่หมด กลอนและประตูใหม่ทั้งหมดทำให้ออนรู้สึก
ปลอดภัยขึ้นมาได้นิดนึง แต่ในความรู้สึกส่วนลึก แล้วออน ก็ยังคงหวาดผวาเวลา ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซด์ ขับวน
ไปวนมาผ่านหน้าบ้านตอนดึก ๆ พ่อจะรู้ไหมว่า เวลานี้ออนโหยหา พ่อมากที่สุด ถ้ามีพ่ออยู่กับเรา
ออนคงจะหลับตานอนได้อย่างเป็นสุข และอุ่นใจ แต่ในชีวิตคงไม่มีวันนั้น
ทางด้านลูกส้มฉุน น้องชายคนเล็กของบ้าน ก็ทำท่าเซื่องซึมอยู่หลายวัน หมาคงมีสัญชาติญานในการรับสู้ความรู้สึก
"ลูกฉุน มากินข้าวมา วันนี้มีเนื้อของโปรดด้วยน่ะ " เสียงพี่แอนเรียก พร้อมทั้งวางจานข้าวไว้บน หนังสือพิมพ์ที่ปูอยู่มุมบ้าน
บนหนังสือพิมพ์ มีอาหารเม็ด 1 โคม และน้ำสะอาดใส่อ่างเล็กวางไว้
ที่ห้องนั่งเล่น หมาหัวฟู หางสั้นกลมละม้ายหางกระต่าย ยังคงนอนไม่กระดิกตัว มันกางขาสั้นๆ แผ่ออก4 มุม ดูราว
หมูหันที่เค้าขายกันตามเหลา มันเอาหน้าที่มีจุด 3 จุด (ตา 2 จมูก1 ) ซุกลงระหว่าง ขาหน้า 2 ขา และใช้ตาเหลือบมองเจ้าของ
ออนนอนเล่นอยู่ที่พื้นบ้าน ออนเอื้อมมือไปดึงตึว ส้มฉุนมานอนในอ้อมแขน ส้มฉุนเปลี่ยนท่านอนเป็นท่าทะแคงธรรมดา
" ส้มฉุน พี่ออนไม่ว่าอะไรลูกหรอก เรารู้ว่าเราไม่ได้เลี้ยงฉุนมาให้เป็นหมา พี่ๆเข้าใจส้มฉุนน่ะลูก" ออนพูดพลางเอามือลูบ
ขนฟูๆ ที่หัวอย่างเบามือ ออนรู้ดีว่าส้มฉุนจะสามารถฟังทำนองเสียงและเข้าใจได้
ตั้งแต่วันนั้น วันที่เราตัดสินใจว่าจะเลี้ยงหมา พูดเดิ้ล เรา 3 คนแม่ลูกได้ประชุมและลงมติแล้ว ว่าเราจะช่วยกันดูแล
การรับเลี้ยง หมาสักตัว บางคนอาจคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่แท้จริงแล้ว มันหมายถึงภาระความรับผิดชอบ ต้องมีการวางแผน
ให้ดี ฟังเหมือนวางแผนครอบครัว แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ การมีหมา สักตัวในบ้าน มันมีภาระมากมายนัก สำหรับ สุนัขพันธ์
พูดเดิ้ล ซึ่งเป็นหมาที่มีอุปนิสันพื้นฐาน ขี้งอน ขี้เหงา และต้องการให้คนเอาใจนั้น ภาระยิ่งมากขึ้น อาทิเช่น ทุกวันตอนเย็น ต้องหาอาหารให้มันกิน และพามันไปห้องน้ำ
แวลาจะนอน ก็ต้องให้มันมานอนที่ปลายเตียง ( หากคุณจะไปท่องราตรี จงรู้ไว้เถิด จะมี เจ้า 4 ขา นั่งรอคุณกลับบ้าน)
ทุกวันอาทิตย์ จะต้องอาบน้ำ เป่าขน หวีขน ให้ไม่ติดกัน ทุก 3 เด้อนจะต้องพามันไปตัดขนให้เป็นทรง เป็นต้น
เมื่อเราตกลงกันได้ว่าจะเลี้ยงหมา และเราก็จะขอหมาจากบ้านคุณยาย เรื่องต่อไปก็เรื่องการตั้งชื่อ
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่มีการหารือกันพักใหญ่ โดยส่วนตัวแล้ว ออนชอบชื่อไทย เพราะว่า มันเป็นหมาฝรั่ง ต้องให้ชื่อไทย
ชื่อมากมาย ถูกน้ำมาเลือกไม่ว่าจะเป็น ขนุน ตับหวาน เฉาก๋วย มะนาว มะยม เถิดเทิง และอีกมากมาย
และสุดท้ายก็ได้ มาลงที่ชื่อ ส้มฉุน ของหวาน แบบไทยๆ ที่มีมานาน หากแต่หาทาน ยากเต็มที
เมื่อแรกส้มฉุนยังเป็นหมาเด็ก ก็เหมือนเด็กอ่อนคนหนึ่ง เรา 3 คนช่วยกันเลี้ยงป้อนข้าว ป้อนนม
เราเลี้ยง ส้มฉุนในบ้าน มันไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้เดือนแรกๆ เราจึงต้องคอยตามเก็บกวาด ฉี่ และ อึ
ของลูกฉุน เวลาที่ ต้องทิ้ให้อยู่ตัวเดียว ส้มฉุนก็จะร้อง หงิง หงิง เมื่อมีใครสักคนกลับมาบ้าน ส้มฉุนก็จะดีใจ
มาตะกุย ตะกาย เอาลิ้นมาเลีย หน้า เลีย ตา หากว่ามันพูดได้มันคงจะบอกว่า
" เย้ เย้ พี่ๆ กลับ มาแล้ว ผมดีใจจัง ผมอยู่บ้านตัวเดียว ผมเหงา " หงึง หงึง บ๊อก บ๊อก
วันที่ส้มฉุนเริ่มโต ออนจำได้ วันนั้น ส้มฉุนไม่สามารถขึ้นบันได ลงบันได ได้ ต้องให้คนอุ้ม
ออนตัดสินใจ อุ้มส้มฉุนมาที่บันได ชั้นล่าง แล้ว เริ่มสอน ให้ มันขึ้นบันไดเอง
เริ่มตั้งแต่ เอาขาหน้า ของมันวางบนบันได ขั้นที่ 1 และเอาขาหลังด้านช้ายยกขึ้นตาม ตามมาด้วยขาหลังด้านขวา
ส้มฉุนมี ที่ท่าหายกลัว จากนั้นออนก็สอนซ้ำอยู่สัก 3 ครั้ง จากนั้น ส้มฉุนก็เริ่มที่จะ ตะกายขึ้นบันไดได้ ออนดีใจมากที่หมา
มีพัฒนาการ อย่างน้อยหมา เราก็ไม่ปัญญาอ่อน
บางวันส้มฉุน ไม่ยอมกินข้าว พี่ๆ ก็ต้องเอาลูกชิ้นเนื้อ มาป้อน พร้อมทำท่า กินให้ดูด้วยว่าอร่อย แล้วส้มฉุนถึงจะกินตาม
จะเห็นว่า เราเลี้ยง หมาเหมือนไม่ใช่ หมา ส้มฉุน อาจไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำ ว่ามันเป็นหมา ดังนั้น จึงไม่ผิดอะไร ถ้าส้มฉุน จะมัวแต่นอน
หลับอุตุ โดยไม่ได้ยินเสียง ขโมยที่เข้ามาขนของไปในคืนนั้น
จริงๆส้มฉุน มีประโยชน์อย่าอื่นมากกว่าเฝ้า บ้านนั้น ก็คือ มันจะอยู่เป็นเพื่อนได้ยามที่เรา ต้องการใครสักคน ที่นั่ง
ฟังเรา คุยได้ โดยไม่ขัดจังหวะ มันจะเป็นเพื่อนที่ไม่มีมารยา ตรงไปตรงมา หากมันดีใจมันก็จะกระโดด โลดเต้น หากมันเศร้ามันก็จะซุกตัวอยู่ใต้
เก้าอี้ ยามที่เรา กินข้าวคนเดียว เพียงแต่เรายกจานข้าวมานั่งที่พิ้น มันก็จะมานั่งข้างๆ เราก็ให้เนื่อมันกินสักชิ้น เท่านี้ เราก็มีเพื่อนกินข้าวแล้ว
ในยาม ที่เราต้องการร้องไห้ กับใครสักคน แต่ไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นเราอ่อนแอ เราก็สามารถร้องไห้กับหมาได้( ขอเลียนแบบคำพูดของ
คนแถวนั้หน่อย) หมาไม่สามารถเอาเรื่องเราไปพูดต่อได้ ว่า วันนั้นเห็นเราอ่อนแอ ร้องไห้ หมาไม่เคยนินทาว่าร้ายใคร ไม่เหมือนมนุษย์
ปากหวาน ก้นเปรี้ยว หมาปากเหม็นก้นก็เหม็น
ในเมื่อออนไม่สามารถพึ่งพา ส้มฉุน ในด้าน เฝ้าบ้านไม่ได้ ออนจึงบอกแม่ว่า
" แม่ ออนอยากได้หมา มาเฝ้าบ้าน เอาดุ ดุ น่ะ เอาแบบเลี้ยงง่ายๆด้วย " ออนบอกแม่พร้อมยกเหตุ ผลประกอบมากมาย
ว่ามันจะได้เฝ้าบ้านขโมยจะได้ เห็นว่ามีหมาอยู่ กลางคืนมันจะได้เห่าด้วย
" ไม่เอา หรอก เป็นภาระจะ ตาย ก็อาศัย ปิดบ้านให้ดีๆ สิลูก " แม่บอกอย่างจริงจัง
" จริงๆ มันก็ เป็นภาระ ล่ะค่ะ ส้มฉุน ตัวเดียวก็จะแย่อยู่แล้ว " ออนล้มเลิกความตั้งใจไป ด้วยความที่ตัวเองก็ต้องทำงาน
กลับบ้านก็ค่ำ หากเลี้ยงหมาอีกตัว จะเป็นการเพิ่มภาระอีกมาก
เวลาผ่านไป ออนลืมเรื่อง ที่ต้องการจะมีหมาดุ ดุ ไปแล้ว แม่ก็มาบอกออนว่า เพื่อนแม่จะยกหมาให้ เป็นหมาที่เค้าใช้ พ่อแม่มันเฝ้าสวน
ที่ต่างจังหวัด แม่มาถาม ว่าออนจะเอาไหม
เป็นคำถามที่ออนต้องขอเวลาคิด ไตร่ตรอง อย่างหนัก เอ จะเอาดีไหมน่ะ หมาอีกตัว มาเฝ้าบ้าน
โปรดติดตามตอน 3 ต่อไปได้เร็วๆๆนี้
26 กรกฎาคม 2545 14:29 น.
13 นางมาร
..........แด่คนรักน้องหมาทุกคน
เมื่ออาทิตย์ลับชอบฟ้า นกน้อยบินกลับรวงรัง ความมืดเริ่มโรยตัว
ปกคุลมท้องฟ้าไว้ด้วย ผ้าสีดำแห่งรัตติกาล ช่วงหัวค่ำเช่นนี้ ในหมู่บ้านจัดสรร
ที่มีบ้านหลังเล็กๆปลูกชิดกัน ไม่น่าแปลกที่จะได้ยินเสียง แม่ครัวแต่ละบ้าน
ผัดอาหาร ปรุงอาหาร เสียงกระทะ กระทบตะหลิว โช้ง เช้ง เสียงตำน้ำพริก โป๊ก โป๊ก
ดังออกมาจากครัว
สักพักเสียงทุกอย่างก็สงบลง เมื่อได้เวลาที่สมาชิกในบ้านล้อมวงกินข้าว
สอบถามสารทุกข์สุขดิบ และ กินของหวานผลไม้ กันที่ห้องนั่งเล่นพร้อมดูกล่องสีเหลี่ยม
ที่ถ่ายทอดความเป็นไปบนโลกใบนี้
บ้านของออนก็เช่นกัน วันนี้เป็นวันที่ค่อนข้างจะพิเศษ เพราะว่าออนพี่สาว
และแม่ได้ อยู่พร้อมหน้า ดูเจ้ากล่องเหลี่ยมที่มีภาพเคลื่อนไหว ด้วยกัน เราทั้งสามหารู้ไม่ว่า
นอกประตูข้างบ้านซึ่งเป็นกระจกใส ติดเหล็กดัดมีเงาดำ ซุ่มดูเรา 3 คนอยู่จากนอกประตู
มันจ้องมองเข้ามาด้วยแววตาของความกระหายรู้
ฉับพลัน สายตาออนก็มองไปทางประตูข้างบานนั้น
"แม่ แม่ ดูที่ประตูสิเงาอะไร ดำๆ" ออนบอกแม่เสียงตกใจ แต่มีรอยยิ้มที่มุมปาก
"ไหน ไหน ตรงไหน เงาอะไร " แม่มองไปทางประตูข้างบานนั้น
" ก็ลูกโชกุลไง นั่งอยู่นอกบ้าน" ออนบอกแม่พลางหัวเราะ เพราะภาพที่ออนเห็นคือ
น้องหมา พันธ์ BOSTON เทอเรีย ตัวสีดำ ตาโปนกลม หน้ายู่ ปากย่น หูตั้ง ตรงตา 2 ข้างเป็นสีดำ
ที่เหลือเป็นสีขาว มองไกลๆ จะนึกว่าใส่หน้ากาก ตัวสูงประมาณ เตี้ยกว่าเข่านิดเดียว นั่งตาโปนจ้องเข้ามาในบ้าน
ออน อ่านสายตาออก ลูกส้มโชกุลคงเหงา เพราะต้องอยู่นอกบ้านตัวเดียว สมาชิกที่เหลืออยู่ในบ้านหมด
" ลูกกุล อยากเข้าบ้านหรอลูก อยู่นอกบ้านก่อนน่ะเฝ้าบ้านไง ลูก" ออนหันไปพูดกับโชกุล
โชกุลคงคิดในใจว่าทำไม ส้มฉุนน้องหมาอีกตัวสามารถอยู่ในบ้านได้ แล้วทำไมมันต้องอยู่นอกบ้าน
ออนจะบอกให้น้องหมาเข้าใจได้ยังไงน่ะ ว่ามันเป็นหน้าที่ของลูกโชกุลที่จะต้องอยู่นอกบ้านเพื่อเฝ้าบ้าน
นึกถึงวันนั้น วันที่ทำให้ มีส้มโชกุลในบ้านหลังนี้ เหตุการณ์ทุกอย่างยังอยู่ในความทรงจำเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
กลางดึกคืนวันศุกร์ คืนนั้น ออนอยู่กับพี่สาวตามลำพัง เราไม่ได้รู้สึกว่าจะมีภัยอันตรายใดๆเนื่องจาก
คุณพ่อของเรารับราชการเป็นตำรวจมือปราบ มีชื่อในกองบัญชาการตำรวจ ประกอบกับละแวกบ้านนั้น
เป็นญาติพีน้อง และเพื่อนบ้าน กันทั้งนั้น ทำให้เราอยู่กันอย่างประมาทมาก ไม่เคยกลัวต่อสิ่งใด
ว่าจะมาทำอันตรายเราถึงในบ้าน หน้าบ้านเรามีป้ายชื่อและยศ ของพ่อติดอยู่ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเพียง
หัวโขน ติดไว้เท่านั้น พ่อประจำอยู่ที่ต่างจังหวัด บ้านหลังนี้พ่อซื้อให้เราแม่ลูกอยู่อาศัย
ออนยังจำค่ำพ่อตอนเอาป้ายมาติดหน้าบ้านได้
" เอาชื่อพ่อมาติดไว้ แค่นี้ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งหรอก " พ่อพูดกับลูกๆ
คืนนั้น ออนและพี่แอนนอนหลับสนิมในห้อง แต่ละห้องประตูก็ไม่ได้ล็อก
ประตูห้องพี่แอนกลอนเสีย ส่วนห้องออนก็ไม่ได้ลงกลอนด้วยลืมและหลับไปก่อน
ปลายเตียง ออนมีลูกส้มฉุน พันธ์ พูดเดิ้ล ขนาดกลาง สีน้ำตาลอ่อนเหมือนไมโล
ใส่ นมข้นหวาน ตาโต จมูกดำ ขนฟู ปุกปุย นอนขดตัวอยู่ ในห้องที่ติดเครื่องปรับอากาศ
เช้ามาออนตื่นลงมาก่อน พบว่าชั้นล่างของบ้าน ข้าวของถูกรื้อค้นออกมากระจัดกระจาย
เจ้าจอสี่เหลี่ยมที่อยู่ข้างเปียโน หายไป เครื่องเสียงล่องหนได้ ในกระเป่า กล่องเก็บตุ้มหู แหวน สร้อย
ถูกค้นเพื่อหา ทรัพย์สินของมีค่า หัวใจตกอยู่ที่ตาตุ่ม มันชาตั้งแต่หัวจรดเท้า
งง อยู่สักพัก เมื่อตั้งสติได้ ออนพึ่งรู้ตัวว่าโดนขโมยขึ้นบ้าน
" พี่แอน ตื่น ตื่นได้แล้ว ขโมยขึ้นบ้าน" แอนอยากจะตะโกนให้ดังกว่านี้ แต่เสียงดูเหมือนจะตีบตัน
ทั้งที่ปรกติ ออนเป็นคนเสียงดัง แต่วันนั้นออนแทบไม่มีเสียง
"โทรไปบอกแม่ สิ เบอร์บ้านนั้น ออนรู้ใช่ไหม" พี่แอนบอกออนพลางมองหน้ากันสองคนพี่น้อง
วันนั้นเราหน้าจ๋อยกันทั้งคู่ แหวนพลอยแดงระดับเพชร เครื่องเสียงชุดใหญ่ นาฬิการาคาแพง ที่เราได้ถอดทิ้งไว้ข้างล่าง
มันไม่อยู่ให้เราใส่อีกแล้ว จาก ที่เคยลำพองว่าจะไม่มีใครกล้าบุกบ้านเรา วันนี้รู้แล้วว่าเราคิดผิด
" ส้มฉุน เป็นหมายังไง ทำไมไม่เฝ้าบ้าน " ออนพูดกับส้มฉุน ทั้งที่ความจริงก็รู้ว่าไม่ใช่ความผิดของมัน
" เลี้ยงเสีย ข้าวสุกจริงๆเลย ส้มฉุนไม่เหาเลยหรอออน" พี่แอนถามออน เพื่อทำให้บรรยากาศดีขึ้น
"ไม่เห่าหรอก นอนห้องแอร์ หลับอุตุ"
เจ้าส้มฉุน ตื่นขึ้นมาลงมาข้างล่าง มันคงไม้กลิ่นผิดปรกติ มันไม่แต่เดินดมทั่วบ้านแล้วก็ทำหน้าสำนึกผิด
เหมือนรู้ตัวว่า เมื่อคืนมันไม่ได้ทำหน้าที่ของหมาเลย แม้แต่เสียงเห่าก็ไม่มี
สักพักใหญ่ แม่ก็กลับ0มาถึงบ้าน ออนบอกแม่ติดตลกว่า
"แม่ แม่ ขโมยมันเหลือลูกไว้ให้ 2 คนน่ะ"
ทั้งที่ในใจฉันคิดว่า พ่อ แม่เราช่างโชคดีนักที่ขโมยไม่ได้เอาสมบัติที่มีค่าพี่สุดของบ้านไป นั้นคือลูกสาวทั้ง 2 ชีวิต
( อ่าน หมาในอยากออกหมานอกอยากเข้า(2) ได้ในตอนต่อไป
26 กรกฎาคม 2545 08:09 น.
13 นางมาร
โฮ่ง ฮ่อง ๆๆ แฮ่ก หงิง หงิง ๆๆๆๆๆ
"ว่าไงเจ้ารถถัง วันนี้ไปคุ้ยต้นไม้ของแม่มากัดเล่นหรือเปล่า" หลังจากกลับจากการผจญ ชีวิตในสังคมการทำงาน
พิมกลับถึงบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ก็ยังดีที่มีเจ้ารถถัง มาต้อนรับด้วยการตะกุยประตูบ้าน
พร้อมด้วย แววตา ดีใจ ที่เจ้านายกลับมา เมื่อจอดรถเปิดประตูเจ้ารถถังก็จะตะกุยตะกาย
" เดี๋ยวถุงน่องขาด ไอ้รถถังเดี๋ยวก่อน " พิมรีบไล่เจ้าถังออกไปก่อนก็ตัวมันออกจะโต แรงก็เยอะ
ขณะที่ กำลังจะปิดประตูหน้าบ้าน ก็ได้ยินเสียงคุณตาเรียก
" พิมกลับมาแล้วหรอ เข้ามาดูหลังคาใหม่ในครัวสิ สวยอย่างกับโรงละครเลย " ตาพูดด้วยเสียงแสดงความภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก
คุณตาคนนี้บ้านอยู่ตรงข้ามกับบ้านพิม จริงๆคุณตาซื้อบ้านก่อนแล้วบังเอิญ บ้านตรงข้ามขาย ฉันเลยได้มาอยู่ใกล้กันนับว่าเป็นบุญของฉันจริงๆ
คุณตาเล็ก แม้ไม่ใช่พ่อของแม่ แต่ในความผูกผันกันนั้นเราเป็นยิ่งกว่าญาติ นานมาแล้ว สมัยที่คุณตาทวดของพิมยังหนุ่ม ได้รับอุปการะ เด็กชายจากต่างจังหวัดมาเป็นลูกบุญธรรมเลี้ยงดู ส่งเสีย จนได้ดิบได้ดี คุณยายที่เป็นยายแท้ๆ ของพิมจึงมีศักดิ์เป็นน้องสาวของคุณตาเล็ก และพิมก็รักและเคารพคุณตาเล็กและคุณยายจิ๋ว ดังเป็นตายายจริงๆก้าวเข้าบ้านคุณยาย ภาพความทรงจำวัยเด็กปรากฎขึ้นในความทรงจำ
"พิม กินขนมลูกวันนี้ ตามี เนยแข็งและขนมปัง ฝรั่งเศษ สเต็กเนื้อแกะก็มีน่ะ" คุณตาซึ่งทำงานให้สายการบินชื่อดัง มักหอบหิวของดีๆจากบนเครื่องลงมาให้ลูกหลานกิน
" โอโห มีช็อกโกแลต กับไข่ปลาคาร์เวียด้วย " ของกินมากมายในตู้เย็นที่คุณตานำมาให้ พิมเองก็ชอบกินอาหารฝรั่งอยู่แล้วไม่น่าแปลกใจที่ทำไม ตอนโต พิมถึงได้ชอบขนม นม เนย และของหวาน ไอศครีม
ครอบครัวคุณตาเป็นครอบครัวใหญ่ แค่ลูกๆก็ 5 คนแล้ว และยังมีหลานๆอีก เป็นครอบครัวที่อบอุ่น
แม้บางครั้งจะอุ่นจนกลายเป็นร้อน ด้วยเสียงเด็กทะเลาะกัน แต่ก็ยังดี ดีกว่าบ้านของพิมที่มีแต่ความเงียบ
บ้านพิมมีคนอยู่เพียง 3 คน แม่ซึ่งทำงานนอกบ้านกลับดึก และพิม กับ พลอย วัยเด็กของพิมที่น่าจะเป็นเด็กที่มีปัญหาเพราะ พ่อกับแม่ความคิดต่างกันจนเกินกว่าจะร่วมทางกันได้ แต่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะพิมได้ไออุ่นจากครอบครัวคุณตาที่พิมและน้องไปอยู่ไปกินข้าว ไปนอนเล่นตั้งแต่เด็กจนโต จะกลับบ้านมาก็เฉพาะตอนนอน ไม่น่าแปลกใจที่พิมจะสมมุติว่าบ้านคุณยายก็คือบ้านพิมอีกหลังหลายครั้งที่ได้รับความเจ็บช้ำใจ จากนอกบ้านแค่ได้มาเล่าให้คุณยายฟังทุกข์โศกใดก็ดูจะผ่อนคลายลง
"พิม พิม มาดูหลังคาสิลูก " เสียงคุณตาเรียกทำให้พิมตื่นจากภวัง
"มาแล้วค่ะกำลังจะเดินไป " พิมเปิดประตูหลังครัวเข้าไป
" โอโห ตารื้อทำใหม่ซ่ะสวยเชียว " สถานที่ปรุงอาหารที่เราเรียกว่าครัว นั้นมีโต๊ะเก่าๆผุ ซึ่งมีเตาแก๊สตั้งอยู่ข้างๆมีโอ่งน้ำกาละมังล้างจาน และท่อระบายน้ำ จริงๆแล้วครัวของคุณยายไม่ได้อยู่ในตัวบ้านแต่อยู่หลังบ้านใต้ชายคา ยามใดฝนตก คนที่ทำกับข้าวก็จะต้องโดนน้ำฝนหยด แหมะๆๆ เพราะหลังคาที่อยู่ชั้น 2 ของบ้านสั้นเกินกว่าจะป้องกันแดดฝน
เมื่อหลายปีก่อนคุณตาได้หาไม้ไผ่มาเสียบต่อออกไปจากตัวบ้านและนำผ้ายางมาคลุมบนไม้ไผ่พวกนั้นเป็นหลังคาชั่วคราว
วันนั้นเมื่อพิมกลับมาจากโรงเรียนและแวะไปหาคุณยายในครัว
" พิม มาดูนี่สิ ปฏิมากรรมของตา มันจะหล่นมาทับหัวกระบานไหมนี่ " ยายพูดพลางหยิบผักบุ้งในกระทะผัดกลิ่นหอมชวนให้หิวข้าว
พิมเดินไปดูที่หลังคาไม่ไผ่และสารพัดไม้ที่คุณตาจะหาได้แล้วก็ หัวเราะกับคุณยาย เสียวไส้จริงๆ ว่าวันไหนลมพัดแรง ไม่พวกนั้น
มันจะหล่นลงมาไหม
" ยาย เดินดีๆๆน่ะ อย่าเอาอะไรไปโดนมันบ่ะ เดียวมันจะพังลงมาทั้งแถบ "
จั๊กๆๆๆ เสียงฝนตกฟ้าคำราม วันนั้นยายลงไปทำครัว ขณะกำลังผัดกระเพราะหมูสับใส่ถั่วฝักยาว กลิ่น
ฉุนแสบจมูกทำให้ผู้อยู่ใกล้ต้องจามกันถ้วนหน้า
" ใครอยู่ข้างใน หยิบน้ำตาลให้ที " เสียงคุณยายเรียกคนในบ้าน
พิมลุกไปหยิบน้ำตาลให้ยาย ภาพที่พิมเห็นก็คือ ยายต้องใส่รองเท้าบูต และสวมงอบ กันน้ำท่วมและกันฝนที่หยด
ลงมาตามรอยรั่ว
" ยาย รีบทำแล้วรีบเข้าบ้านน่ะ เดี๋ยวไม่สบาย ไม่รีบเข้าบ้านเดี๋ยวอึ่งอ่างมาน่ะ" พิมพูดด้วยความห่วงใยสุขภาพ
ของคุณยาย พื้นก็ลื่นฝนก็ตก น้ำก็ท่วม
คุณตาจะรู้ไหมน่ะ ว่าความประหยัดของคุณตาจะทำให้คุณยายซึ่งเป็นคนทำกับข้าวจะต้องลำบากเปียกปอนทำ
กับข้าวให้ทุกคนใน บ้านกิน แต่จะว่าไปพิมคิดว่า น่าจะเป็นสาเหตุมาจากการที่ สมัยก่อนตอนที่คุณตาอยู่บ้านนอกคุณตาฐานะยากจน เมื่อโตมาคุณตาจึงได้รู้ค่าของเงิน รู้จักใช้ทุกบาททุกสตางค์ จนกลายเป็นคนประหยัดเกินไปอะไรที่คุณตาคิดว่าทำได้เอง ก็จะไม่จ้างใครทั้งสิ้น เสียดายเงิน เป็นที่ระอาใจกับความรั้นของคุณตาที่ไม่ยอมซ่อมแซมหลังคาไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร
" พี่เล็ก ชั้นอยากได้หลังคาใหม่ ให้ช่างเค้ามาตีราคาสิ นี่ไม้มันก็ผุมากแล้ว เงินก็มีที่เจ้านิดให้" ยายพูดกับตาด้วยสายตาวิงวอน
" ไปจ้างเค้า ก็คิดแพงเป็นหมื่นๆ ชั้นทำเองก็ได้ " พร้อมคำบ่นอีกมากมาย ซึ่งทำให้ทุกคนเบื่อที่จะพูดเรื่องหลังคาอีก
วันนี้ที่เดิม ที่ที่เคยที่น้ำรั่ว มีไม้ผุๆ แทนหลังคา กลับถูกแทนที่ด้วยหลังคา อันสวยงาม ต่อยื่นมาจากตัวบ้าน
ช่างดูแข็งแรง โอโถง ให้ความปลอดภัยแก่คนที่อยู่ด้านล่างได้เป็นอย่างดี
แต่หลังคาใหม่จะรู้ไหมหนอ ว่าตอนนี้พิมเศร้าเหลือประมาณ เนื่องจากวันนี้ ไม่มีเสียงกระทะ เสียงทำกับข้าวอีกต่อไปแล้ว คุณยายจากโลกนี้ไปเมื่อ 6 เดือนก่อนด้วยโรคมะเร็ง
เวลานี้พิมมองหลังคาพลางคิดยายอย่างจับใจ หลังคานี้ คุณยายอยากได้มาตลอดแต่วันนี้ วันที่มีหลังคาที่กันฝนให้ยายได้
แต่ยายก็ไม่ได้อยู่ให้หลังคาได้กันแดดกันฝนพิมได้แต่ชมคุณตาว่าสร้างได้สวยดี แต่ฉันก็ยังมีคำถามในใจ
ทำไมคุณตาไม่ทำตั้งแต่ยายยังอยู่จะได้ใช้ประโยชน์ได้ เพราะยายไม่อยู่ก็ไม่มีคนทำกับข้าวอีกต่อไป คุณตาให้ซื้อกินเอาเพราะทำแล้วมันเปลือง พิมเดินกลับบ้านด้วยความตั้งใจที่ว่า
" หากวันนี้ ฉันอยากจะทำสิ่งใดให้คนที่ฉันรัก ฉันจะลงมือทำเดี๋ยวนี้ แทนที่จะทำตอนทุกอย่างสายเกินไป "
23 กรกฎาคม 2545 12:23 น.
13 นางมาร
ปี๊บๆๆๆมี ขวด กระดาษ เศษเหล็กหนังสือพิมพ์มาขายไหมค๊าบ ปี๊บๆๆ
เสียงรถซาเล็ง ดังมากระทบโสตประสาท ทำให้ฉันตื่นขึ้นมารับอรุณ
วันนี้วันเสาร์ วันที่สมควรนอนตื่นสายให้สมกับที่ได้ ลุยงานมา 5 วัน
แต่ในเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่สามารถที่จะนอนหลับได้อีก พลิกตัวไปมา สายตาเหลือบไปเห็น ชั้นวางหนังสือที่มีหนังสือเล่มน้อยใหญ่เรียงกันมากมาย หนังสือพวกนี้คงเหงาเพราะว่านานแล้วที่ไม่ได้หยิบมาอ่าน
ว่าแล้ว ฉันก็ลุกไปหยิบ มาหนึ่งเล่ม ปกสีคล้ำ สภาพกระดาษกรอบเหลือง ฉันพลิกดู
เห็นลายเซ็น ของแม่ ที่เซ็นพร้อมวันเดือนปีที่ตั้งต้นเป็นเจ้าของ ไพรวรรณ 10 มกราคม 2510
เปิดหน้าแรก ด้วยความเก่าและกลิ่นอายของอดีต ที่มากระทบปลายจมูกทำให้ ภาพในอดีต หลั่งไหลเข้ามาในความทรงจำ
หวนคิดถึง บ้านเล็กๆ ที่มีเพียง เราสามคน แม่ลูก บ้านที่
มีพื้นที่แวดล้อมไปด้วย ต้นไม้นานาพันธุ์ จนอาจดูรกไปบ้าง
รอบๆบ้านก็คือ บ้านแบบเดียวกับฉัน ปลูกติดๆกันเป็นหมู่บ้าน
จะว่าไปหมู่บ้านฉันเป็นหมู่บ้านที่สร้างยุคแรกๆ ที่เริ่มมีบ้านจัดสรรทีเดียว
ข้างๆตัวบ้านมี ห้องเก็บของที่ดู อย่างไรก็ไม่เหมือนห้อง น่าจะเรียกว่าเพิงเก็บของมากกว่า
มีเพียงหลังคาและไม้ผุๆ ในนั้นเป็นที่เก็บของ หนังสือมากมายหลากหลายประเภท
ยามนั้นฉันยังตัวเล็ก ได้แต่แหงนหน้ามอง กองหนังสือที่ท้วมหัว
ด้วยความรู้สึกว่ามันเป็นขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ ที่ยามเหงา ไม่มีอะไรทำก็จะ
เข้าไปตะกุย ขุดคุ้ย หนังสือสักเล่มออกมา เปิดดู ซึ่งแตกต่างจากพี่สาวของฉัน
ที่ไม่เคยสนใจ กองหนังสือในห้องนั้น ไม่เคยแม้แต่จะหยิบมันขึ้นมาดู
หนังสือในนั้นส่วนใหญ่เป็นหนังสือของคุณแม่ ซึ่งแม่ฉันนั้นเป็นลูกแม่โดม
ในยุคนั้น แม่เป็น สาวรุ่นใหม่ ที่ เรียนเอกภาษาอังกฤษ อีกทั้งยังอยู่
ชมรม การละคอนอ เพราะฉะนั้น หนังสือในนั้น ฉันคิดว่ามันคงจะ เล่มที่แม่ชอบจริงๆ
แม่ถึงได้หอบ หิ้วมัน มา นับตั้งแต่ ที่แม่เรียนจบแล้วแม่ก็แต่งงานกับ
พ่อซึ่งเป็นตำรวจตระเวนชายแดน ยามนั้นต้องร่อนเร่ไปประจำตามจังหวัดต่างๆๆ
ฉันได้ทราบเพียงว่าพ่อแต่งงานกับแม่ที่กรุงเทพเช้ามา แม่และพ่อเดินทางไปกับสัมภาระเล็กน้อย
โดยรถเต่าคันเล็ก ไม่รู้ว่าหนังสือพวกนี้ตอนนั้นไม่ไปฝากใครไว้ แต่ฉันว่าพวกมันคงเหงาเพราะว่าคง
ไม่มีใครจะหยิบมันขึ้นมาอ่าน
10 ปีผ่านไป หลังจากที่แม่และลูกได้ย้ายกลับมากรุงเทพ และให้พ่ออยู่ประจำที่ต่างจังหวัดคนเดียว
หนังสือคงไม่เหงา แล้วเพราะ ตอนนี้ หนังสือที่แม่ได้ทิ้งไปได้กลับมาหา เจ้าของอีกครั้ง หนังสือคงดีใจ
แต่หารู้ไม่เวลา ต่อมาพวกมันจะต้องจากเราไปหาเจ้าของคนใหม่
เวลานั้นฉันและพี่ ยังเล็กนัก ประมาณ 8 ขวบ ฉันได้แต่หยิบหนังสือ เล่มโตๆๆมาเปิดไปมา แต่มันก็เป็นจุดเริ่ม
ต้น ที่ค่อยๆซึมซับทำให้ ฉันหลงรักตัวอักษรมาจนบัดนี้
วันหนึ่ง ฉันกับแม่ไปซื้อของนอกบ้าน เมื่อกลับมา พี่สาววิ่งมาบอกแม่อย่างดีใจว่า
"แม่ แม่วันนี้ ได้เงินตั้ง 38 บาทนี่ไง" พี่สาวฉันวิ่งมาบอกแม่ด้วยเสียงภูมิใจ
" เอามาจากไหนล่ะลูก" แม่ถามด้วยความสงสัย
" ก็ วันนี้มีคนมารับซื้อหนังสือเก่า หนูเลยขายหนังสือของแม่ไป เค้ากิโลตั้ง 1 บาท"
เวลานั้นฉันมองเห็นแม่ มองลูกสาวตัวน้อยที่ทำหน้าภาคภูมิใจที่ได้หาเงินมาได้ แต่สำหรับตัวฉันเอง
แม้ฉันจะเด็กแต่ ฉันก็ได้รับรู้กระแสของความเสียใจ ที่หลั่งรินออกมาจาก ความรู้สึกของคนรักหนังสือ
" แม่ แม่ แต่หนูคัดบางเล่มและเก็บไว้ อยู่ในห้องเก็บของแม่ไปดูสิค่ะ"
ฉันจำได้ว่าเวลานั้น แม่ไม่มีคำพูดอะไรสักคำ ออกจากปาก
แม่ได้แต่ไปดู เพิงหนังสือของเรา และลูบคลำหนังสือที่เหลือด้วยแววตาที่เสียดายอย่างสุดซึ้ง
คงจะไม่มีประโยชน์ที่แม่จะดุว่าพี่สาวเพราะ อย่างไรหนังสือก็ได้เปลี่ยนเจ้าของไปแล้ว
ฉันได้แต่ภาวนาว่า ขอให้หนังสือพวกนั้นได้ไปอยู่กับเจ้านายคนใหม่ที่ดี และได้ใช้ประโยชน์
จาก ข้อความข้างในอย่างเต็มที่
" ขอให้โชคดีน่ะเจ้าหนังสือ " ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย
วันนี้ ฉันมีหนังสือเป็นของตัวเองส่วนหนึ่งของทั้งหมดก็คือหนังสือที่ยังเหลือรอด จากการขายให้ ซาเล็ง
ได้ถูกนำมาจัดเรียงบนชั้นวาง ข้างเตียงนอน ของฉัน น่าขอบใจที่วันนั้น เจ๊ก ขายขวดไม่ได้เหมาซื้อหนังสือทั้งหมดและน่าขอบใจ ที่พี่สาวฉันอุตสาห์เหลือไว้ให้ ทำให้อย่างน้อย วันนี้ก็มีหนังสือของแม่
เหลือให้ฉันอ่าน ......... ฉันสัญญาจะดูแลเธออย่างดี จะไม่ให้เธอต้องไปอยู่ บนรถซาเล็งอีก
ฉันสัญญา