3 กันยายน 2545 18:08 น.
13 นางมาร
เมื่ออาทิตย์ลับชอบฟ้า นกน้อยบินกลับรวงรัง ความมืดเริ่มโรยตัว
ปกคุลมท้องฟ้าไว้ด้วย ผ้าสีดำแห่งรัตติกาล ช่วงหัวค่ำเช่นนี้ ในหมู่บ้านจัดสรร
ที่มีบ้านหลังเล็กๆปลูกชิดกัน ไม่น่าแปลกที่จะได้ยินเสียง แม่ครัวแต่ละบ้าน
ผัดอาหาร ปรุงอาหาร เสียงกระทะ กระทบตะหลิว โช้ง เช้ง เสียงตำน้ำพริก โป๊ก โป๊ก
ดังออกมาจากครัว
สักพักเสียงทุกอย่างก็สงบลง เมื่อได้เวลาที่สมาชิกในบ้านล้อมวงกินข้าว
สอบถามสารทุกข์สุขดิบ และ กินของหวานผลไม้ กันที่ห้องนั่งเล่นพร้อมดูกล่องสีเหลี่ยม
ที่ถ่ายทอดความเป็นไปบนโลกใบนี้
บ้านของออนก็เช่นกัน วันนี้เป็นวันที่ค่อนข้างจะพิเศษ เพราะว่าออนพี่สาว
และแม่ได้ อยู่พร้อมหน้า ดูเจ้ากล่องเหลี่ยมที่มีภาพเคลื่อนไหว ด้วยกัน เราทั้งสามหารู้ไม่ว่า
นอกประตูข้างบ้านซึ่งเป็นกระจกใส ติดเหล็กดัดมีเงาดำ ซุ่มดูเรา 3 คนอยู่จากนอกประตู
มันจ้องมองเข้ามาด้วยแววตาของความกระหายรู้
ฉับพลัน สายตาออนก็มองไปทางประตูข้างบานนั้น
"แม่ แม่ ดูที่ประตูสิเงาอะไร ดำๆ" ออนบอกแม่เสียงตกใจ แต่มีรอยยิ้มที่มุมปาก
"ไหน ไหน ตรงไหน เงาอะไร " แม่มองไปทางประตูข้างบานนั้น
" ก็ลูกโชกุลไง นั่งอยู่นอกบ้าน" ออนบอกแม่พลางหัวเราะ เพราะภาพที่ออนเห็นคือ
น้องหมา พันธ์ BOSTON เทอเรีย ตัวสีดำ ตาโปนกลม หน้ายู่ ปากย่น หูตั้ง ตรงตา 2 ข้างเป็นสีดำ
ที่เหลือเป็นสีขาว มองไกลๆ จะนึกว่าใส่หน้ากาก ตัวสูงประมาณ เตี้ยกว่าเข่านิดเดียว นั่งตาโปนจ้องเข้ามาในบ้าน
ออน อ่านสายตาออก ลูกส้มโชกุลคงเหงา เพราะต้องอยู่นอกบ้านตัวเดียว สมาชิกที่เหลืออยู่ในบ้านหมด
" ลูกกุล อยากเข้าบ้านหรอลูก อยู่นอกบ้านก่อนน่ะเฝ้าบ้านไง ลูก" ออนหันไปพูดกับโชกุล
โชกุลคงคิดในใจว่าทำไม ส้มฉุนน้องหมาอีกตัวสามารถอยู่ในบ้านได้ แล้วทำไมมันต้องอยู่นอกบ้าน
ออนจะบอกให้น้องหมาเข้าใจได้ยังไงน่ะ ว่ามันเป็นหน้าที่ของลูกโชกุลที่จะต้องอยู่นอกบ้านเพื่อเฝ้าบ้าน
นึกถึงวันนั้น วันที่ทำให้ มีส้มโชกุลในบ้านหลังนี้ เหตุการณ์ทุกอย่างยังอยู่ในความทรงจำเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
กลางดึกคืนวันศุกร์ คืนนั้น ออนอยู่กับพี่สาวตามลำพัง เราไม่ได้รู้สึกว่าจะมีภัยอันตรายใดๆเนื่องจาก
คุณพ่อของเรารับราชการเป็นตำรวจมือปราบ มีชื่อในกองบัญชาการตำรวจ ประกอบกับละแวกบ้านนั้น
เป็นญาติพีน้อง และเพื่อนบ้าน กันทั้งนั้น ทำให้เราอยู่กันอย่างประมาทมาก ไม่เคยกลัวต่อสิ่งใด
ว่าจะมาทำอันตรายเราถึงในบ้าน หน้าบ้านเรามีป้ายชื่อและยศ ของพ่อติดอยู่ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเพียง
หัวโขน ติดไว้เท่านั้น พ่อประจำอยู่ที่ต่างจังหวัด บ้านหลังนี้พ่อซื้อให้เราแม่ลูกอยู่อาศัย
ออนยังจำค่ำพ่อตอนเอาป้ายมาติดหน้าบ้านได้
" เอาชื่อพ่อมาติดไว้ แค่นี้ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งหรอก " พ่อพูดกับลูกๆ
คืนนั้น ออนและพี่แอนนอนหลับสนิมในห้อง แต่ละห้องประตูก็ไม่ได้ล็อก
ประตูห้องพี่แอนกลอนเสีย ส่วนห้องออนก็ไม่ได้ลงกลอนด้วยลืมและหลับไปก่อน
ปลายเตียง ออนมีลูกส้มฉุน พันธ์ พูดเดิ้ล ขนาดกลาง สีน้ำตาลอ่อนเหมือนไมโล
ใส่ นมข้นหวาน ตาโต จมูกดำ ขนฟู ปุกปุย นอนขดตัวอยู่ ในห้องที่ติดเครื่องปรับอากาศ
เช้ามาออนตื่นลงมาก่อน พบว่าชั้นล่างของบ้าน ข้าวของถูกรื้อค้นออกมากระจัดกระจาย
เจ้าจอสี่เหลี่ยมที่อยู่ข้างเปียโน หายไป เครื่องเสียงล่องหนได้ ในกระเป่า กล่องเก็บตุ้มหู แหวน สร้อย
ถูกค้นเพื่อหา ทรัพย์สินของมีค่า หัวใจตกอยู่ที่ตาตุ่ม มันชาตั้งแต่หัวจรดเท้า
งง อยู่สักพัก เมื่อตั้งสติได้ ออนพึ่งรู้ตัวว่าโดนขโมยขึ้นบ้าน
" พี่แอน ตื่น ตื่นได้แล้ว ขโมยขึ้นบ้าน" แอนอยากจะตะโกนให้ดังกว่านี้ แต่เสียงดูเหมือนจะตีบตัน
ทั้งที่ปรกติ ออนเป็นคนเสียงดัง แต่วันนั้นออนแทบไม่มีเสียง
"โทรไปบอกแม่ สิ เบอร์บ้านนั้น ออนรู้ใช่ไหม" พี่แอนบอกออนพลางมองหน้ากันสองคนพี่น้อง
วันนั้นเราหน้าจ๋อยกันทั้งคู่ แหวนพลอยแดงระดับเพชร เครื่องเสียงชุดใหญ่ นาฬิการาคาแพง ที่เราได้ถอดทิ้งไว้ข้างล่าง
มันไม่อยู่ให้เราใส่อีกแล้ว จาก ที่เคยลำพองว่าจะไม่มีใครกล้าบุกบ้านเรา วันนี้รู้แล้วว่าเราคิดผิด
" ส้มฉุน เป็นหมายังไง ทำไมไม่เฝ้าบ้าน " ออนพูดกับส้มฉุน ทั้งที่ความจริงก็รู้ว่าไม่ใช่ความผิดของมัน
" เลี้ยงเสีย ข้าวสุกจริงๆเลย ส้มฉุนไม่เหาเลยหรอออน" พี่แอนถามออน เพื่อทำให้บรรยากาศดีขึ้น
"ไม่เห่าหรอก นอนห้องแอร์ หลับอุตุ"
เจ้าส้มฉุน ตื่นขึ้นมาลงมาข้างล่าง มันคงไม้กลิ่นผิดปรกติ มันไม่แต่เดินดมทั่วบ้านแล้วก็ทำหน้าสำนึกผิด
เหมือนรู้ตัวว่า เมื่อคืนมันไม่ได้ทำหน้าที่ของหมาเลย แม้แต่เสียงเห่าก็ไม่มี
สักพักใหญ่ แม่ก็กลับ0มาถึงบ้าน ออนบอกแม่ติดตลกว่า
"แม่ แม่ ขโมยมันเหลือลูกไว้ให้ 2 คนน่ะ"
ทั้งที่ในใจฉันคิดว่า พ่อ แม่เราช่างโชคดีนักที่ขโมยไม่ได้เอาสมบัติที่มีค่าพี่สุดของบ้านไป นั้นคือลูกสาวทั้ง 2 ชีวิต
( อ่าน หมาในอยากออกหมานอกอยากเข้า(2) ได้ในตอนต่อไป
วันนี้ ตี 1 แล้วขอไปนอนก่อนน่ะค่ะ)
3 กันยายน 2545 16:30 น.
13 นางมาร
เมื่อพ่อทราบเรื่อง พ่อสั่งให้ช่างมาเปลี่ยนประตูหลังบ้านซึ่งผุมากจนทำให้ขโมยใช้แรงดึงเบาๆกลอน
ก็หลุดออกมา รวมถึงกลอนประตูทุกบานในบ้าน พ่อสั่งเปลี่ยนใหม่หมด กลอนและประตูใหม่ทั้งหมดทำให้ออนรู้สึก
ปลอดภัยขึ้นมาได้นิดนึง แต่ในความรู้สึกส่วนลึก แล้วออน ก็ยังคงหวาดผวาเวลา ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซด์ ขับวน
ไปวนมาผ่านหน้าบ้านตอนดึก ๆ พ่อจะรู้ไหมว่า เวลานี้ออนโหยหา พ่อมากที่สุด ถ้ามีพ่ออยู่กับเรา
ออนคงจะหลับตานอนได้อย่างเป็นสุข และอุ่นใจ แต่ในชีวิตคงไม่มีวันนั้น
ทางด้านลูกส้มฉุน น้องชายคนเล็กของบ้าน ก็ทำท่าเซื่องซึมอยู่หลายวัน หมาคงมีสัญชาติญานในการรับสู้ความรู้สึก
"ลูกฉุน มากินข้าวมา วันนี้มีเนื้อของโปรดด้วยน่ะ " เสียงพี่แอนเรียก พร้อมทั้งวางจานข้าวไว้บน หนังสือพิมพ์ที่ปูอยู่มุมบ้าน
บนหนังสือพิมพ์ มีอาหารเม็ด 1 โคม และน้ำสะอาดใส่อ่างเล็กวางไว้
ที่ห้องนั่งเล่น หมาหัวฟู หางสั้นกลมละม้ายหางกระต่าย ยังคงนอนไม่กระดิกตัว มันกางขาสั้นๆ แผ่ออก4 มุม ดูราว
หมูหันที่เค้าขายกันตามเหลา มันเอาหน้าที่มีจุด 3 จุด (ตา 2 จมูก1 ) ซุกลงระหว่าง ขาหน้า 2 ขา และใช้ตาเหลือบมองเจ้าของ
ออนนอนเล่นอยู่ที่พื้นบ้าน ออนเอื้อมมือไปดึงตึว ส้มฉุนมานอนในอ้อมแขน ส้มฉุนเปลี่ยนท่านอนเป็นท่าทะแคงธรรมดา
" ส้มฉุน พี่ออนไม่ว่าอะไรลูกหรอก เรารู้ว่าเราไม่ได้เลี้ยงฉุนมาให้เป็นหมา พี่ๆเข้าใจส้มฉุนน่ะลูก" ออนพูดพลางเอามือลูบ
ขนฟูๆ ที่หัวอย่างเบามือ ออนรู้ดีว่าส้มฉุนจะสามารถฟังทำนองเสียงและเข้าใจได้
ตั้งแต่วันนั้น วันที่เราตัดสินใจว่าจะเลี้ยงหมา พูดเดิ้ล เรา 3 คนแม่ลูกได้ประชุมและลงมติแล้ว ว่าเราจะช่วยกันดูแล
การรับเลี้ยง หมาสักตัว บางคนอาจคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่แท้จริงแล้ว มันหมายถึงภาระความรับผิดชอบ ต้องมีการวางแผน
ให้ดี ฟังเหมือนวางแผนครอบครัว แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ การมีหมา สักตัวในบ้าน มันมีภาระมากมายนัก สำหรับ สุนัขพันธ์
พูดเดิ้ล ซึ่งเป็นหมาที่มีอุปนิสันพื้นฐาน ขี้งอน ขี้เหงา และต้องการให้คนเอาใจนั้น ภาระยิ่งมากขึ้น อาทิเช่น ทุกวันตอนเย็น ต้องหาอาหารให้มันกิน และพามันไปห้องน้ำ
แวลาจะนอน ก็ต้องให้มันมานอนที่ปลายเตียง ( หากคุณจะไปท่องราตรี จงรู้ไว้เถิด จะมี เจ้า 4 ขา นั่งรอคุณกลับบ้าน)
ทุกวันอาทิตย์ จะต้องอาบน้ำ เป่าขน หวีขน ให้ไม่ติดกัน ทุก 3 เด้อนจะต้องพามันไปตัดขนให้เป็นทรง เป็นต้น
เมื่อเราตกลงกันได้ว่าจะเลี้ยงหมา และเราก็จะขอหมาจากบ้านคุณยาย เรื่องต่อไปก็เรื่องการตั้งชื่อ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่มีการหารือกันพักใหญ่ โดยส่วนตัวแล้ว ออนชอบชื่อไทย เพราะว่า มันเป็นหมาฝรั่ง ต้องให้ชื่อไทย
ชื่อมากมาย ถูกน้ำมาเลือกไม่ว่าจะเป็น ขนุน ตับหวาน เฉาก๋วย มะนาว มะยม เถิดเทิง และอีกมากมาย และสุดท้ายก็ได้ มาลงที่ชื่อ ส้มฉุน ของหวาน แบบไทยๆ ที่มีมานาน หากแต่หาทาน ยากเต็มที
เมื่อแรกส้มฉุนยังเป็นหมาเด็ก ก็เหมือนเด็กอ่อนคนหนึ่ง เรา 3 คนช่วยกันเลี้ยงป้อนข้าว ป้อนนม เราเลี้ยง ส้มฉุนในบ้าน มันไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้เดือนแรกๆ เราจึงต้องคอยตามเก็บกวาด ฉี่ และ อึ
ของลูกฉุน เวลาที่ ต้องทิ้ให้อยู่ตัวเดียว ส้มฉุนก็จะร้อง หงิง หงิง เมื่อมีใครสักคนกลับมาบ้าน ส้มฉุนก็จะดีใจ
มาตะกุย ตะกาย เอาลิ้นมาเลีย หน้า เลีย ตา หากว่ามันพูดได้มันคงจะบอกว่า
" เย้ เย้ พี่ๆ กลับ มาแล้ว ผมดีใจจัง ผมอยู่บ้านตัวเดียว ผมเหงา " หงึง หงึง บ๊อก บ๊อก
วันที่ส้มฉุนเริ่มโต ออนจำได้ วันนั้น ส้มฉุนไม่สามารถขึ้นบันได ลงบันได ได้ ต้องให้คนอุ้ม
ออนตัดสินใจ อุ้มส้มฉุนมาที่บันได ชั้นล่าง แล้ว เริ่มสอน ให้ มันขึ้นบันไดเอง
เริ่มตั้งแต่ เอาขาหน้า ของมันวางบนบันได ขั้นที่ 1 และเอาขาหลังด้านช้ายยกขึ้นตาม ตามมาด้วยขาหลังด้านขวา
ส้มฉุนมี ที่ท่าหายกลัว จากนั้นออนก็สอนซ้ำอยู่สัก 3 ครั้ง จากนั้น ส้มฉุนก็เริ่มที่จะ ตะกายขึ้นบันไดได้ ออนดีใจมากที่หมา
มีพัฒนาการ อย่างน้อยหมา เราก็ไม่ปัญญาอ่อน
บางวันส้มฉุน ไม่ยอมกินข้าว พี่ๆ ก็ต้องเอาลูกชิ้นเนื้อ มาป้อน พร้อมทำท่า กินให้ดูด้วยว่าอร่อย แล้วส้มฉุนถึงจะกินตาม
จะเห็นว่า เราเลี้ยง หมาเหมือนไม่ใช่ หมา ส้มฉุน อาจไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำ ว่ามันเป็นหมา ดังนั้น จึงไม่ผิดอะไร ถ้าส้มฉุน จะมัวแต่นอน
หลับอุตุ โดยไม่ได้ยินเสียง ขโมยที่เข้ามาขนของไปในคืนนั้น
จริงๆส้มฉุน มีประโยชน์อย่าอื่นมากกว่าเฝ้า บ้านนั้น ก็คือ มันจะอยู่เป็นเพื่อนได้ยามที่เรา ต้องการใครสักคน ที่นั่ง
ฟังเรา คุยได้ โดยไม่ขัดจังหวะ มันจะเป็นเพื่อนที่ไม่มีมารยา ตรงไปตรงมา หากมันดีใจมันก็จะกระโดด โลดเต้น หากมันเศร้ามันก็จะซุกตัวอยู่ใต้
เก้าอี้ ยามที่เรา กินข้าวคนเดียว เพียงแต่เรายกจานข้าวมานั่งที่พิ้น มันก็จะมานั่งข้างๆ เราก็ให้เนื่อมันกินสักชิ้น เท่านี้ เราก็มีเพื่อนกินข้าวแล้ว
ในยาม ที่เราต้องการร้องไห้ กับใครสักคน แต่ไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นเราอ่อนแอ เราก็สามารถร้องไห้กับหมาได้( ขอเลียนแบบคำพูดของ
คนแถวนั้หน่อย) หมาไม่สามารถเอาเรื่องเราไปพูดต่อได้ ว่า วันนั้นเห็นเราอ่อนแอ ร้องไห้ หมาไม่เคยนินทาว่าร้ายใคร ไม่เหมือนมนุษย์
ปากหวาน ก้นเปรี้ยว หมาปากเหม็นก้นก็เหม็น
ในเมื่อออนไม่สามารถพึ่งพา ส้มฉุน ในด้าน เฝ้าบ้านไม่ได้ ออนจึงบอกแม่ว่า
" แม่ ออนอยากได้หมา มาเฝ้าบ้าน เอาดุ ดุ น่ะ เอาแบบเลี้ยงง่ายๆด้วย " ออนบอกแม่พร้อมยกเหตุ ผลประกอบมากมาย
ว่ามันจะได้เฝ้าบ้านขโมยจะได้ เห็นว่ามีหมาอยู่ กลางคืนมันจะได้เห่าด้วย
" ไม่เอา หรอก เป็นภาระจะ ตาย ก็อาศัย ปิดบ้านให้ดีๆ สิลูก " แม่บอกอย่างจริงจัง
" จริงๆ มันก็ เป็นภาระ ล่ะค่ะ ส้มฉุน ตัวเดียวก็จะแย่อยู่แล้ว " ออนล้มเลิกความตั้งใจไป ด้วยความที่ตัวเองก็ต้องทำงาน
กลับบ้านก็ค่ำ หากเลี้ยงหมาอีกตัว จะเป็นการเพิ่มภาระอีกมาก
เวลาผ่านไป ออนลืมเรื่อง ที่ต้องการจะมีหมาดุ ดุ ไปแล้ว แม่ก็มาบอกออนว่า เพื่อนแม่จะยกหมาให้ เป็นหมาที่เค้าใช้ พ่อแม่มันเฝ้าสวน
ที่ต่างจังหวัด แม่มาถาม ว่าออนจะเอาไหม
เป็นคำถามที่ออนต้องขอเวลาคิด ไตร่ตรอง อย่างหนัก เอ จะเอาดีไหมน่ะ หมาอีกตัว มาเฝ้าบ้าน
โปรดติดตามตอน 3 ต่อไปได้เร็วๆๆนี้
3 กันยายน 2545 16:18 น.
13 นางมาร
เย็นวันผักผ่อน ของวันสบายๆ วันที่มีเวลาเป็นส่วนตัว เย็นนี้ได้เวลาออกกำลังกาย ออนใส่รองเท้า เตรียมตัวออกเดิน บริเวณหมู่บ้าน นึกถึง คำพูดของหมอ
"ถ้าคุณไม่ออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ คุณก็จะไม่หายจากโรคนี้ "
" สัปดาห์ ล่ะครั้ง พอไหมค่ะ หมอ ครั้งละ 10 นาที " ออนพูดพร้อมไอ แค้ก แคก
" ไม่พอครับ การออกกำลังที่มีประสิทธิภาพต้องติดต่อกันอย่างน้อย ครึ่งชั่วโมง" หมอพูดพร้อมเขียนใบสั่งยา
"ขอบคุณ ค่ะแล้วจะพยายามหาเวลาค่ะ"
ลมพัดเย็น ชื่นใจ มองไปเห็นต้นไม้ใหญ่ สองข้างทาง ออนค่อยๆ เดินช้า ๆเป็นการ อบอุ่นร่างกายก่อนที่จะวิ่ง ยกแขนสองข้างขึ้น สูดหายใจเข้าเต็มปอด หายใจออกเอาความเครียด ความเหนื่อย ออกไปจากชีวิต
เคยมีคนบอกว่า ชีวิตก็เหมือนวงกลม ที่จะต้องกลิ้งไปข้างหน้า ในวงกลมแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ซึ่ง 4 ส่วนนี้จะต้องจัดสรร แบ่งให้เท่ากัน วงกลม จึงจะกลม ไม่กลายเป็นวงรี ส่วนแรก เป็นส่วนของการทำงาน ที่จะต้องทุ่มเทให้ เต็มความสามารถ ส่วนที่สองเป็นส่วนของครอบครัว ที่ต้องมีเวลาร่วมกัน ต้องเอาใจใส่กัน ส่วนที่สามเป็นส่วนของสังคม รวมถึงเพื่อนฝูงและคนรัก คนที่อยู่รอบกาย ส่วนสุดท้าย คือส่วนที่หลายคนลืมไปคือ ส่วนตัว เป็นของตัวเอง ดูแลเอาใจใส่สุขภาพ กายสุขภาพใจ
พักหลัง ออนรู้สึกว่า ชีวิตออนเป็นวงรี เพราะว่าเวลาส่วนใหญ่ในชีวิต ทุ่มไปที่การงานเกือบหมด เวลาที่เหลือ ออนก็ไปทุ่มให้ส่วน ที่ 3
เที่ยวกับ เพื่อน เที่ยวกับ คนรัก มีเวลาเหลือน้อยนิดให้ครอบครัวและ ตัวเอง ออนรู้ดีว่าระยะนี้ออนอ้วนขึ้น จากคนที่เคยรูปร่างดี กลายมาเป็น คนท้วมจนเกือบอ้วน ได้ภายในเวลา 2 ปีน้ำ หนักเพิ่มมา 12 กิโล นั่นเป็นเพราะ ออนไม่ได้ให้เวลา ไม่ดูแลสุขภาพ ไม่ออกกำลังกาย
ขณะที่กำลังเริ่มวิ่ง เหยาะ เหยาะ เหลือบไปเห็น ชายแก่ๆ จูงหมา วิ่งสวนกับออนไป เจ้าหมามีท่าท่างร่าเริง มากที่ได้ออกมาวิ่งกับเข้าของ
นึกถึงตัวเอง เลี้ยงหมา แต่เหมือนไม่ใช่หมา เพราะว่าลูกส้มฉุน หมาอ้วน ขนฟู ไม่ชอบวิ่ง ออนเคยพาออกไปวิ่ง ที่หน้าบ้าน ส้มฉุน ก็ไม่ยอม
ท่าทาง มันจะขี้เกียจ มันจึงนั่งไม่ยอม ขยับ ไม่อยากบังคับใจหมา ไม่วิ่งก็อย่าวิ่ง ออนวิ่งคนเดียวก็ได้ หลังจากนั้นก็ไม่เคยเอาส้มฉุนออกมาวิ่งอีก
นึก นึก ดู ถ้ามีหมา ที่เลี้ยงไว้นอกบ้าน เป็นหมาที่แข็งแรง ชอบวิ่งเล่น คงจะดี คงจะมีคน(หมา) ช่วยเฝ้าบ้าน และ มีเพื่อนวิ่ง
คิดแล้ว เย็นวันนั้น เมื่อเจอแม่ออนก็ถามว่า
"หมาที่เพื่อน แม่บอกจะให้ เป็นพันธุ์ อะไร ขนสั้นไหม ดุไหม" ก่อนที่เราจะเอาอะไรมารับผิดชอบ ก็ต้องมีการสืบประวัติ ต้องหาข้อมูล
ก่อนที่จะตัดสินใจ เพราะหมาแต่ละสายพันธุ์ก็มี นิสัยไม่เหมือนกัน
แม่บอกว่าแม่จะไปถามเพื่อน มาให้
วันต่อมา แม่เอารูปมาให้ดู แม่บอกว่าเพื่อนแม่ มีสวนอยู่ที่ต่างจังหวัด เพื่อนแม่เลี้ยง หมาพันธุ์นี้ไว้เฝ้าสวน
เพื่อนแม่ได้หมา พันธุ์นี้มาจากอเมริกา ตอนที่ยังเปิดร้านอาหารอยู่ที่นั้น พอกลับเมืองไทยก็ได้นำมาด้วย
" แล้วดุไหม ล่ะแม่ มันจะเฝ้าบ้านได้ไหม "
" น้าแป๋ว บอกว่ามันดุ น่ะลูก เพราะว่าเค้าก็เลี้ยงไว้ ดูแลสวนด้วย " แม่บอก
" มีรูปพ่อ แม่ มันมาให้ดูด้วย " แม่ยื่นรูปถ่ายมาให้ดู
" สี ขาว ดำ อึ้ม หน้าตา ประหลาด ตกลงมันพันธุ์อะไรค่ะ "
" เค้าบอกว่า บอสตั้น เทอเรีย "
"พันธุ์อะไร ไม่เคยได้ยินชื่อ"
" แม่ก็ไม่รู้เหมือน กัน น้าเค้าบอกว่า พันธุ์ นี้ที่อเมริกา นิยม และก็เลี้ยงง่าย"
รูปถ่ายนั้น เป็นหมาหน้ายู่ ตากลมโต ตัวป้อมๆ ไม่สูง มาก ขนสีดำ หน้าเป็นสีขาวตรง กลาง และตรงปาก ส่วนตา เป็นสีดำ ดูๆ หน้าย่น
คล้าย บอกเซอร์ ท่าทางมันจะฉลาดดี หลังจากรู้ว่าเป็นพันธุ์อะไร ออนก็ไปหาตำราสุนัข มาดู เปิดอยู่หลายเล่มก็ไม่เจอ พันธุ์ นี้เลย Boston
Terrier จนออนไปเปิด เล่มสุดท้ายก็เจอ เค้าบอกว่าหมาพันธุ์นี้
เป็นลูกผสมระหว่าง พันธุ์ เทอเรีย ของเมือง Boston และ บ็อกเซอร์ มีสีดำขาว หรือน้ำตาล ขาว ตากลม โปน หน้ายู่ จมูกสั้น
อุปนิสัย ร่าเริง อดทน ออนเปิดอ่านแล้วก็ยังคิดในใจ ไม่เห็นเค้าจะบอกว่า ดุ เลย ไม่เป็นไร ดูหน่วย ก้าน มันแล้ว ออนชอบ หน้าตามันแปลกดีออนชอบ ของแปลกอยู่แล้ว ไม่ชอบอะไรที่เหมือนใคร
" วันเสาร์นี้ ไปบ้าน น้าแป๋ว ด้วย กันน่ะ ออน เค้าเอาลูกหมา มาจาก ต่างจังหวัดแล้ว " แม่บอกออน กับพี่แอน ตอนเย็น
" อ้าว น้องจะมาแล้ว แล้วส้มฉุนก็ตกกระป๋อง น่ะสิ " พี่แอน หันไปพูดกับ ส้มฉุน ซึ่งทำหู กระดิกไปมา
" ยังไม่ได้ ตั้งชื่อเลย อึ้ม ช่วยกันคิดเร็ว เอาชื่ออะไรดีหนอ " ออนพูดกับพี่แอน และแม่
" หมาฝรั่งก็ต้องชื่อไทย เป็ยธรรมเนียม " พี่แอนบอก
" มีส้มฉุนแล้วก็ต้อง มีส้มอะไรดีน่ะ ส้มเขียวหวาน ส้มเช้ง ส้มฟรีม้อง ส้มจี๊ด ส้มซ่า ส้มโอ "
" ส้มจีน ไม่เอา ส้ม อะไรดีน่ะ อ้อ ส้มที่ออนชอบไง "
" ส้มสายน้ำผึ้ง " แม่บอก
" ไม่เอา หมาตัวผู้น่ะแม่"
"ส้มโชกุล " ออนและแอนพูดพร้อมกัน
" ดี ดี เวลาเรียก สั้นๆ จะได้เป็น ลูกฉุน กับ ลูก กุล "
" เย้ เย้ ได้ชื่อแล้ว หมาใหม่ ชื่อส้มโชกุล " ออนพูด
" บอกไว้ก่อนน่ะ แม่ไม่ให้เข้าบ้าน น่ะ ต้องให้อยู่นอกบ้าน " แม่บอกกติกาการเลี้ยงโชกุล
"ค่ะ ก็ตกลงกันแล้ว ว่าจะเลี้ยงโชกุล ไว้เฝ้าบ้าน ก็ต้องเลี้ยงนอกบ้าน "
วันเสาร์ที่รอคอยก็มาถึง เราสามคน แม่ลูก ไปบ้านเพื่อนแม่ไปรับลูกชาย คนที่ 2 มาอยู่ด้วย แรกพบลูกโชกุล ตัวเล็กมาก หน้าตาตลก หัวโต ตัวเล็ก ขนเกรียน หูตั้ง ดูละม้ายหมา อวกาศมาก หลังจากรับโชกุลมาแล้วก็มาซื้อกรงและมุ้งครอบ ให้โชกุล แม่ซื้อ ป้าย มาติดหน้าบ้าน ว่า
********** ระวังสุนัขดุ*************
เราทุกคน หมายมั่น มากว่า โตขึ้น มันจะต้องดุ ต้องเฝ้าบ้านได้ เมื่อ เอาโชกุลเข้าบ้าน ส้มฉุนก็ไม่พอใจมาก
ส้มฉุนเห่าน้องอยู่นานมาก ไปยืนเห่าที่หน้ากรง ส้มฉุนคงจะสงสัยว่ามันคือตัวอะไร ตอนนอน ก็จะเอาโชกุลใส่กรงและครอบมุ้ง ไว้นอกบ้าน ตรงโรงจอดรถ
ผ่านวันผ่านคืน ส้มโชกุล เริ่มโต มันซนมาก รองเท้า วางไว้นอกบ้านไม่ได้ต้องเอาไปกัด สวนดอกไม้ สนามหญ้า
โชกุล คือขุด เล่น อ่างบัวของแม่ โชกุล ก็ลงไปคลุก ดินทั้งตัว ขวิด น้ำกระจาย ตัวมันเปียกโคลน ไปหมด
แล้วก็ไปนอน ผึ่งแดด เห็นแล้ว ขำมาก นึกในใจ ว่านี่เราเลี้ยง หมาหรือว่าควาย กันแน่ น่ะนี้
เมื่อเริ่มโต เวลามีคนแปลกหน้าเข้ามาบ้าน ก็ไม่เห็นจะมีวี่แวว ว่าโชกุล จะเห่าหรือกัด โชกุลไม่ดุเลย
โชกุล ขี้เล่น ชอบวิ่ง ชอบเล่นน้ำ ชอบตะกุย
" แม่ แม่ แน่ใจหรอ ว่าพ่อ แม่ มันดุ โชกุล ไม่เห็นดุเลย '
" นั่น สิ มีแต่หน้า ตาน่ากลัว ชอบทำตาโปน น้าแป๋ว เค้าบอกว่าของเค้าดุนิ"
" ได้ดังใจ อยู่อย่างเดียว คือจูง มันวิ่ง หน้าบ้าน มัน ลากออน ใหญ่เลย แรงเยอะ มันชอบวิ่ง "
เดี๋ยว นี้เวลาสำหรับครอบครัว ส่วนหนึ่งออนจะต้องหาเวลา เล่นกับโชกุล และพามัน วิ่ง โชกุลจะดีใจ มาก ตะกุย ตะกาย เนื่องจากวันจันทร์ ถึง ศุกร์ ออนจะต้องไปทำงาน ไม่ได้มีเวลาเล่นกับโชกุลเลย
ไปทำงานโชกุล ก็ยังไม่ตื่น กลับมา โชกุลก็หลับแล้ว
ออนรู้ว่าโชกุล เหงาเพราะว่าต้องอยู่นอกบ้านตัวเดียว ยามเย็นเวลาสมาชิก มานั่งดูทีวี กินข้าว โชกุล ก็มานั่งแอบมอง
ที่ประตู มันคงคิดในใจว่า ทำไม มันไม่ได้อยู่ในบ้าน เหมือนคนอื่น ทำไม มันต้องอยู่นอกบ้าน
บางครั้งออนก็จะเอาโชกุลเข้ามาเล่นในบ้าน แอบๆแม่เข้ามา แต่โชกุลชอบทำบ้าน เลอะโดยการมาแอบฉี่บ้าง หรือ
ไม่อย่างนั้นทราย ที่เท้ามันกจะทำให้บ้านเปื้อน
ปั้ง !!!!! เสียงโชกุลพังประตูมุ้งลวดเข้ามาในบ้าน
ออนตื่นจากภวัง มาสู่ปัจจุบัน
"มา มา โชกุล เข้ามาอยู่กับพี่ออนลูก" ออนปิดประตูและนำโชกุล มานั่งข้างๆ พร้อมลูบหัวมัน
" โชกุล เหงาไหมลูก "
" ..." โชกุล มองหน้าออน หากมันพูดได้ มันคงอยากบอกว่า เหงาครับ อยากมีเพื่อนครับ
อึ้ม จะทำอย่างไรดีน่ะ กับหมามีปัญหาตัวนี้
( อ่าน หมาในอยากออกหมานอกอยากเข้า(4) ได้ในตอนต่อไป
------------------------------------------------------
26 กรกฎาคม 2545 14:31 น.
13 นางมาร
หลังจากวันที่ขโมย ขึ้นบ้านและออนรอดชีวิตมาได้ ทำให้ออนสำนึกได้ว่า ชีวิตนี้มีค่ายิ่งนัก
เราควรใช้ชีวิตอย่างถนอมรัก และรู้รักษาลมหายใจไว้ให้ดีที่สุด และออนก็คิดได้อีกอย่างว่า
เราควรใช้ชีวิต อยู่บนความไม่ประมาท
เมื่อพ่อทราบเรื่อง พ่อสั่งให้ช่างมาเปลี่ยนประตูหลังบ้านซึ่งผุมากจนทำให้ขโมยใช้แรงดึงเบาๆกลอน
ก็หลุดออกมา รวมถึงกลอนประตูทุกบานในบ้าน พ่อสั่งเปลี่ยนใหม่หมด กลอนและประตูใหม่ทั้งหมดทำให้ออนรู้สึก
ปลอดภัยขึ้นมาได้นิดนึง แต่ในความรู้สึกส่วนลึก แล้วออน ก็ยังคงหวาดผวาเวลา ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซด์ ขับวน
ไปวนมาผ่านหน้าบ้านตอนดึก ๆ พ่อจะรู้ไหมว่า เวลานี้ออนโหยหา พ่อมากที่สุด ถ้ามีพ่ออยู่กับเรา
ออนคงจะหลับตานอนได้อย่างเป็นสุข และอุ่นใจ แต่ในชีวิตคงไม่มีวันนั้น
ทางด้านลูกส้มฉุน น้องชายคนเล็กของบ้าน ก็ทำท่าเซื่องซึมอยู่หลายวัน หมาคงมีสัญชาติญานในการรับสู้ความรู้สึก
"ลูกฉุน มากินข้าวมา วันนี้มีเนื้อของโปรดด้วยน่ะ " เสียงพี่แอนเรียก พร้อมทั้งวางจานข้าวไว้บน หนังสือพิมพ์ที่ปูอยู่มุมบ้าน
บนหนังสือพิมพ์ มีอาหารเม็ด 1 โคม และน้ำสะอาดใส่อ่างเล็กวางไว้
ที่ห้องนั่งเล่น หมาหัวฟู หางสั้นกลมละม้ายหางกระต่าย ยังคงนอนไม่กระดิกตัว มันกางขาสั้นๆ แผ่ออก4 มุม ดูราว
หมูหันที่เค้าขายกันตามเหลา มันเอาหน้าที่มีจุด 3 จุด (ตา 2 จมูก1 ) ซุกลงระหว่าง ขาหน้า 2 ขา และใช้ตาเหลือบมองเจ้าของ
ออนนอนเล่นอยู่ที่พื้นบ้าน ออนเอื้อมมือไปดึงตึว ส้มฉุนมานอนในอ้อมแขน ส้มฉุนเปลี่ยนท่านอนเป็นท่าทะแคงธรรมดา
" ส้มฉุน พี่ออนไม่ว่าอะไรลูกหรอก เรารู้ว่าเราไม่ได้เลี้ยงฉุนมาให้เป็นหมา พี่ๆเข้าใจส้มฉุนน่ะลูก" ออนพูดพลางเอามือลูบ
ขนฟูๆ ที่หัวอย่างเบามือ ออนรู้ดีว่าส้มฉุนจะสามารถฟังทำนองเสียงและเข้าใจได้
ตั้งแต่วันนั้น วันที่เราตัดสินใจว่าจะเลี้ยงหมา พูดเดิ้ล เรา 3 คนแม่ลูกได้ประชุมและลงมติแล้ว ว่าเราจะช่วยกันดูแล
การรับเลี้ยง หมาสักตัว บางคนอาจคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่แท้จริงแล้ว มันหมายถึงภาระความรับผิดชอบ ต้องมีการวางแผน
ให้ดี ฟังเหมือนวางแผนครอบครัว แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ การมีหมา สักตัวในบ้าน มันมีภาระมากมายนัก สำหรับ สุนัขพันธ์
พูดเดิ้ล ซึ่งเป็นหมาที่มีอุปนิสันพื้นฐาน ขี้งอน ขี้เหงา และต้องการให้คนเอาใจนั้น ภาระยิ่งมากขึ้น อาทิเช่น ทุกวันตอนเย็น ต้องหาอาหารให้มันกิน และพามันไปห้องน้ำ
แวลาจะนอน ก็ต้องให้มันมานอนที่ปลายเตียง ( หากคุณจะไปท่องราตรี จงรู้ไว้เถิด จะมี เจ้า 4 ขา นั่งรอคุณกลับบ้าน)
ทุกวันอาทิตย์ จะต้องอาบน้ำ เป่าขน หวีขน ให้ไม่ติดกัน ทุก 3 เด้อนจะต้องพามันไปตัดขนให้เป็นทรง เป็นต้น
เมื่อเราตกลงกันได้ว่าจะเลี้ยงหมา และเราก็จะขอหมาจากบ้านคุณยาย เรื่องต่อไปก็เรื่องการตั้งชื่อ
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่มีการหารือกันพักใหญ่ โดยส่วนตัวแล้ว ออนชอบชื่อไทย เพราะว่า มันเป็นหมาฝรั่ง ต้องให้ชื่อไทย
ชื่อมากมาย ถูกน้ำมาเลือกไม่ว่าจะเป็น ขนุน ตับหวาน เฉาก๋วย มะนาว มะยม เถิดเทิง และอีกมากมาย
และสุดท้ายก็ได้ มาลงที่ชื่อ ส้มฉุน ของหวาน แบบไทยๆ ที่มีมานาน หากแต่หาทาน ยากเต็มที
เมื่อแรกส้มฉุนยังเป็นหมาเด็ก ก็เหมือนเด็กอ่อนคนหนึ่ง เรา 3 คนช่วยกันเลี้ยงป้อนข้าว ป้อนนม
เราเลี้ยง ส้มฉุนในบ้าน มันไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้เดือนแรกๆ เราจึงต้องคอยตามเก็บกวาด ฉี่ และ อึ
ของลูกฉุน เวลาที่ ต้องทิ้ให้อยู่ตัวเดียว ส้มฉุนก็จะร้อง หงิง หงิง เมื่อมีใครสักคนกลับมาบ้าน ส้มฉุนก็จะดีใจ
มาตะกุย ตะกาย เอาลิ้นมาเลีย หน้า เลีย ตา หากว่ามันพูดได้มันคงจะบอกว่า
" เย้ เย้ พี่ๆ กลับ มาแล้ว ผมดีใจจัง ผมอยู่บ้านตัวเดียว ผมเหงา " หงึง หงึง บ๊อก บ๊อก
วันที่ส้มฉุนเริ่มโต ออนจำได้ วันนั้น ส้มฉุนไม่สามารถขึ้นบันได ลงบันได ได้ ต้องให้คนอุ้ม
ออนตัดสินใจ อุ้มส้มฉุนมาที่บันได ชั้นล่าง แล้ว เริ่มสอน ให้ มันขึ้นบันไดเอง
เริ่มตั้งแต่ เอาขาหน้า ของมันวางบนบันได ขั้นที่ 1 และเอาขาหลังด้านช้ายยกขึ้นตาม ตามมาด้วยขาหลังด้านขวา
ส้มฉุนมี ที่ท่าหายกลัว จากนั้นออนก็สอนซ้ำอยู่สัก 3 ครั้ง จากนั้น ส้มฉุนก็เริ่มที่จะ ตะกายขึ้นบันไดได้ ออนดีใจมากที่หมา
มีพัฒนาการ อย่างน้อยหมา เราก็ไม่ปัญญาอ่อน
บางวันส้มฉุน ไม่ยอมกินข้าว พี่ๆ ก็ต้องเอาลูกชิ้นเนื้อ มาป้อน พร้อมทำท่า กินให้ดูด้วยว่าอร่อย แล้วส้มฉุนถึงจะกินตาม
จะเห็นว่า เราเลี้ยง หมาเหมือนไม่ใช่ หมา ส้มฉุน อาจไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำ ว่ามันเป็นหมา ดังนั้น จึงไม่ผิดอะไร ถ้าส้มฉุน จะมัวแต่นอน
หลับอุตุ โดยไม่ได้ยินเสียง ขโมยที่เข้ามาขนของไปในคืนนั้น
จริงๆส้มฉุน มีประโยชน์อย่าอื่นมากกว่าเฝ้า บ้านนั้น ก็คือ มันจะอยู่เป็นเพื่อนได้ยามที่เรา ต้องการใครสักคน ที่นั่ง
ฟังเรา คุยได้ โดยไม่ขัดจังหวะ มันจะเป็นเพื่อนที่ไม่มีมารยา ตรงไปตรงมา หากมันดีใจมันก็จะกระโดด โลดเต้น หากมันเศร้ามันก็จะซุกตัวอยู่ใต้
เก้าอี้ ยามที่เรา กินข้าวคนเดียว เพียงแต่เรายกจานข้าวมานั่งที่พิ้น มันก็จะมานั่งข้างๆ เราก็ให้เนื่อมันกินสักชิ้น เท่านี้ เราก็มีเพื่อนกินข้าวแล้ว
ในยาม ที่เราต้องการร้องไห้ กับใครสักคน แต่ไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นเราอ่อนแอ เราก็สามารถร้องไห้กับหมาได้( ขอเลียนแบบคำพูดของ
คนแถวนั้หน่อย) หมาไม่สามารถเอาเรื่องเราไปพูดต่อได้ ว่า วันนั้นเห็นเราอ่อนแอ ร้องไห้ หมาไม่เคยนินทาว่าร้ายใคร ไม่เหมือนมนุษย์
ปากหวาน ก้นเปรี้ยว หมาปากเหม็นก้นก็เหม็น
ในเมื่อออนไม่สามารถพึ่งพา ส้มฉุน ในด้าน เฝ้าบ้านไม่ได้ ออนจึงบอกแม่ว่า
" แม่ ออนอยากได้หมา มาเฝ้าบ้าน เอาดุ ดุ น่ะ เอาแบบเลี้ยงง่ายๆด้วย " ออนบอกแม่พร้อมยกเหตุ ผลประกอบมากมาย
ว่ามันจะได้เฝ้าบ้านขโมยจะได้ เห็นว่ามีหมาอยู่ กลางคืนมันจะได้เห่าด้วย
" ไม่เอา หรอก เป็นภาระจะ ตาย ก็อาศัย ปิดบ้านให้ดีๆ สิลูก " แม่บอกอย่างจริงจัง
" จริงๆ มันก็ เป็นภาระ ล่ะค่ะ ส้มฉุน ตัวเดียวก็จะแย่อยู่แล้ว " ออนล้มเลิกความตั้งใจไป ด้วยความที่ตัวเองก็ต้องทำงาน
กลับบ้านก็ค่ำ หากเลี้ยงหมาอีกตัว จะเป็นการเพิ่มภาระอีกมาก
เวลาผ่านไป ออนลืมเรื่อง ที่ต้องการจะมีหมาดุ ดุ ไปแล้ว แม่ก็มาบอกออนว่า เพื่อนแม่จะยกหมาให้ เป็นหมาที่เค้าใช้ พ่อแม่มันเฝ้าสวน
ที่ต่างจังหวัด แม่มาถาม ว่าออนจะเอาไหม
เป็นคำถามที่ออนต้องขอเวลาคิด ไตร่ตรอง อย่างหนัก เอ จะเอาดีไหมน่ะ หมาอีกตัว มาเฝ้าบ้าน
โปรดติดตามตอน 3 ต่อไปได้เร็วๆๆนี้
26 กรกฎาคม 2545 14:29 น.
13 นางมาร
..........แด่คนรักน้องหมาทุกคน
เมื่ออาทิตย์ลับชอบฟ้า นกน้อยบินกลับรวงรัง ความมืดเริ่มโรยตัว
ปกคุลมท้องฟ้าไว้ด้วย ผ้าสีดำแห่งรัตติกาล ช่วงหัวค่ำเช่นนี้ ในหมู่บ้านจัดสรร
ที่มีบ้านหลังเล็กๆปลูกชิดกัน ไม่น่าแปลกที่จะได้ยินเสียง แม่ครัวแต่ละบ้าน
ผัดอาหาร ปรุงอาหาร เสียงกระทะ กระทบตะหลิว โช้ง เช้ง เสียงตำน้ำพริก โป๊ก โป๊ก
ดังออกมาจากครัว
สักพักเสียงทุกอย่างก็สงบลง เมื่อได้เวลาที่สมาชิกในบ้านล้อมวงกินข้าว
สอบถามสารทุกข์สุขดิบ และ กินของหวานผลไม้ กันที่ห้องนั่งเล่นพร้อมดูกล่องสีเหลี่ยม
ที่ถ่ายทอดความเป็นไปบนโลกใบนี้
บ้านของออนก็เช่นกัน วันนี้เป็นวันที่ค่อนข้างจะพิเศษ เพราะว่าออนพี่สาว
และแม่ได้ อยู่พร้อมหน้า ดูเจ้ากล่องเหลี่ยมที่มีภาพเคลื่อนไหว ด้วยกัน เราทั้งสามหารู้ไม่ว่า
นอกประตูข้างบ้านซึ่งเป็นกระจกใส ติดเหล็กดัดมีเงาดำ ซุ่มดูเรา 3 คนอยู่จากนอกประตู
มันจ้องมองเข้ามาด้วยแววตาของความกระหายรู้
ฉับพลัน สายตาออนก็มองไปทางประตูข้างบานนั้น
"แม่ แม่ ดูที่ประตูสิเงาอะไร ดำๆ" ออนบอกแม่เสียงตกใจ แต่มีรอยยิ้มที่มุมปาก
"ไหน ไหน ตรงไหน เงาอะไร " แม่มองไปทางประตูข้างบานนั้น
" ก็ลูกโชกุลไง นั่งอยู่นอกบ้าน" ออนบอกแม่พลางหัวเราะ เพราะภาพที่ออนเห็นคือ
น้องหมา พันธ์ BOSTON เทอเรีย ตัวสีดำ ตาโปนกลม หน้ายู่ ปากย่น หูตั้ง ตรงตา 2 ข้างเป็นสีดำ
ที่เหลือเป็นสีขาว มองไกลๆ จะนึกว่าใส่หน้ากาก ตัวสูงประมาณ เตี้ยกว่าเข่านิดเดียว นั่งตาโปนจ้องเข้ามาในบ้าน
ออน อ่านสายตาออก ลูกส้มโชกุลคงเหงา เพราะต้องอยู่นอกบ้านตัวเดียว สมาชิกที่เหลืออยู่ในบ้านหมด
" ลูกกุล อยากเข้าบ้านหรอลูก อยู่นอกบ้านก่อนน่ะเฝ้าบ้านไง ลูก" ออนหันไปพูดกับโชกุล
โชกุลคงคิดในใจว่าทำไม ส้มฉุนน้องหมาอีกตัวสามารถอยู่ในบ้านได้ แล้วทำไมมันต้องอยู่นอกบ้าน
ออนจะบอกให้น้องหมาเข้าใจได้ยังไงน่ะ ว่ามันเป็นหน้าที่ของลูกโชกุลที่จะต้องอยู่นอกบ้านเพื่อเฝ้าบ้าน
นึกถึงวันนั้น วันที่ทำให้ มีส้มโชกุลในบ้านหลังนี้ เหตุการณ์ทุกอย่างยังอยู่ในความทรงจำเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
กลางดึกคืนวันศุกร์ คืนนั้น ออนอยู่กับพี่สาวตามลำพัง เราไม่ได้รู้สึกว่าจะมีภัยอันตรายใดๆเนื่องจาก
คุณพ่อของเรารับราชการเป็นตำรวจมือปราบ มีชื่อในกองบัญชาการตำรวจ ประกอบกับละแวกบ้านนั้น
เป็นญาติพีน้อง และเพื่อนบ้าน กันทั้งนั้น ทำให้เราอยู่กันอย่างประมาทมาก ไม่เคยกลัวต่อสิ่งใด
ว่าจะมาทำอันตรายเราถึงในบ้าน หน้าบ้านเรามีป้ายชื่อและยศ ของพ่อติดอยู่ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเพียง
หัวโขน ติดไว้เท่านั้น พ่อประจำอยู่ที่ต่างจังหวัด บ้านหลังนี้พ่อซื้อให้เราแม่ลูกอยู่อาศัย
ออนยังจำค่ำพ่อตอนเอาป้ายมาติดหน้าบ้านได้
" เอาชื่อพ่อมาติดไว้ แค่นี้ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งหรอก " พ่อพูดกับลูกๆ
คืนนั้น ออนและพี่แอนนอนหลับสนิมในห้อง แต่ละห้องประตูก็ไม่ได้ล็อก
ประตูห้องพี่แอนกลอนเสีย ส่วนห้องออนก็ไม่ได้ลงกลอนด้วยลืมและหลับไปก่อน
ปลายเตียง ออนมีลูกส้มฉุน พันธ์ พูดเดิ้ล ขนาดกลาง สีน้ำตาลอ่อนเหมือนไมโล
ใส่ นมข้นหวาน ตาโต จมูกดำ ขนฟู ปุกปุย นอนขดตัวอยู่ ในห้องที่ติดเครื่องปรับอากาศ
เช้ามาออนตื่นลงมาก่อน พบว่าชั้นล่างของบ้าน ข้าวของถูกรื้อค้นออกมากระจัดกระจาย
เจ้าจอสี่เหลี่ยมที่อยู่ข้างเปียโน หายไป เครื่องเสียงล่องหนได้ ในกระเป่า กล่องเก็บตุ้มหู แหวน สร้อย
ถูกค้นเพื่อหา ทรัพย์สินของมีค่า หัวใจตกอยู่ที่ตาตุ่ม มันชาตั้งแต่หัวจรดเท้า
งง อยู่สักพัก เมื่อตั้งสติได้ ออนพึ่งรู้ตัวว่าโดนขโมยขึ้นบ้าน
" พี่แอน ตื่น ตื่นได้แล้ว ขโมยขึ้นบ้าน" แอนอยากจะตะโกนให้ดังกว่านี้ แต่เสียงดูเหมือนจะตีบตัน
ทั้งที่ปรกติ ออนเป็นคนเสียงดัง แต่วันนั้นออนแทบไม่มีเสียง
"โทรไปบอกแม่ สิ เบอร์บ้านนั้น ออนรู้ใช่ไหม" พี่แอนบอกออนพลางมองหน้ากันสองคนพี่น้อง
วันนั้นเราหน้าจ๋อยกันทั้งคู่ แหวนพลอยแดงระดับเพชร เครื่องเสียงชุดใหญ่ นาฬิการาคาแพง ที่เราได้ถอดทิ้งไว้ข้างล่าง
มันไม่อยู่ให้เราใส่อีกแล้ว จาก ที่เคยลำพองว่าจะไม่มีใครกล้าบุกบ้านเรา วันนี้รู้แล้วว่าเราคิดผิด
" ส้มฉุน เป็นหมายังไง ทำไมไม่เฝ้าบ้าน " ออนพูดกับส้มฉุน ทั้งที่ความจริงก็รู้ว่าไม่ใช่ความผิดของมัน
" เลี้ยงเสีย ข้าวสุกจริงๆเลย ส้มฉุนไม่เหาเลยหรอออน" พี่แอนถามออน เพื่อทำให้บรรยากาศดีขึ้น
"ไม่เห่าหรอก นอนห้องแอร์ หลับอุตุ"
เจ้าส้มฉุน ตื่นขึ้นมาลงมาข้างล่าง มันคงไม้กลิ่นผิดปรกติ มันไม่แต่เดินดมทั่วบ้านแล้วก็ทำหน้าสำนึกผิด
เหมือนรู้ตัวว่า เมื่อคืนมันไม่ได้ทำหน้าที่ของหมาเลย แม้แต่เสียงเห่าก็ไม่มี
สักพักใหญ่ แม่ก็กลับ0มาถึงบ้าน ออนบอกแม่ติดตลกว่า
"แม่ แม่ ขโมยมันเหลือลูกไว้ให้ 2 คนน่ะ"
ทั้งที่ในใจฉันคิดว่า พ่อ แม่เราช่างโชคดีนักที่ขโมยไม่ได้เอาสมบัติที่มีค่าพี่สุดของบ้านไป นั้นคือลูกสาวทั้ง 2 ชีวิต
( อ่าน หมาในอยากออกหมานอกอยากเข้า(2) ได้ในตอนต่อไป