5 พฤศจิกายน 2546 08:35 น.
13 นางมาร
ณ เกาะ เล็กๆแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ที่ดินแดนแสนไกลโพ้นทะเล เป็นเกาะที่ผสมผสานระหว่างความงามของธรรมชาติและความทันสมัยสะดวกสบายได้อย่างลงตัว
ที่นี่ ตำบล ราไวย์ ยังมีหน้าผางามแห่งหนึ่ง ตั้งตระหง่าน หนักแน่น เป็นผางามอยู่ในจุดที่เหมาะสม เป็นตำแหน่งที่ชม
พระอาทิตย์ดวงกลมโตสีส้มจัด ที่โรยตัวลงสู่ท้องทะเลสีเข้ม
ที่เลื่องชื่อมากที่สุด ณ ดินแดน แห่งนี้
ในละแวกใกล้เคียงกันมีภูผาน้อยใหญ่มากมาย แต่ทุกคนให้ความสนใจมาที่เขา ทำให้ภูผาแห่งนี้ทะนงตัวนักหนา ว่าเขาช่างมีความสำคัญ
หลายสิบปีที่ผ่านมาผู้คนในเกาะและนักท่องเที่ยวผ่านมาเยี่ยมเยือนทักทาย มาเดินย่ำ ชมทะเล ชมตะวัน ยิ่งทำให้ เขาทะนงตัวมากขึ้นเป็นเท่าตัว
เวลาผ่านไปลานกว้างเหนือหน้าผานี้เอง มีสิ่งหนึ่งถูก
สร้างขึ้น สร้างความขุ่นเคืองใจให้เขาเป็นอันมาก ฤมนุษย์จะ
สร้างสิ่งใดขึ้นทำลายความโดดเด่นของเขา ฤ รัศมีความโดดเด่น
ของเขาจะต้องถูกทำลายด้วยสิ่งก่อสร้างสิ่งนี้ หน้าผางาม
ยิ่งคิดก็ยิ่ง.... คับแค้นในอก...นัก
ผู้คนมากมายเหยียบย่ำบนตัวเขา ระดมกำลัง ช่วยกัน ก่ออิฐ
ถือปูน ลงแรง ก่อสร้างอะไรสักอย่าง เขาจดจำได้ทุกรายละเอียด วันแรกที่พวกเขาลงมือคือวันที่ 1 มกราคม 2538 เป็นวันปีใหม่ที่ทำให้เขารู้สึกแย่มากที่สุดในความทรงจำ
เสียงรถบรรทุก เสียงผู้คนที่กำลังก่อสร้าง เสียงตะโกนสั่งงาน
หน้าผาเงียบหูฟัง ชายผู้หนึ่ง ซึ่งเขาเดาว่าเป็นนายช่างผู้คุมงาน ผู้ใส่หมวก สีเหลืองสดถือกระดาษอยู่ในมือตลอดเวลา ผู้ที่มีใบหน้าจริงจังมุ่งมั่นกับ สิ่งก่อสร้างแห่งนี้
" เอารังวัด มาวัดระดับให้ตรง เอ้า ตรวจสอบความสูงให้ได้ 50 ฟุตอย่างให้ผิดไปแม้แต่เซ็นเดียวนะ" นายช่างพูดด้วยเสียงอันดัง
เจ้าหน้าผาขี้อิจฉา ได้ยินดังนั้นก็พอจะนึกออกแล้วว่าเจ้าสิ่ง
ก่อสร้างนี้หากเสร็จสมบูรณ์จะมีความสูงถึง 50 ฟุต นับเป็นความสูงที่
หน้าผาอย่างเขามิอาจเทียบได้
เสาหลักถูกตอกลงบนหน้าผา ต้นแล้วต้นเล่า หน้าผาคาดคะเนได้ว่า สิ่งก่อสร้างนี้จะมีความกว้าง ถึง 9 เมตร สิ่งนี้คืออะไร ทำไม พวกมนุษย์ ถึงจะต้องมาก่อสร้างสิ่งใหญ่โตอย่างนี้บนหน้าผางาม
อย่างเขาได้ พวกเขาทำได้อย่างไร
คำถามนี้ วนเวียน อยู่ในหัวของเขา จากวันเป็นเดือน จวบจนเวลาล่วงเลยมา เป็นเวลา 1 ปีกว่าๆ ช่างเป็นเวลาที่ทรมานยิ่ง
จนเมื่องานวันวางศิลาฤกษ์ของเจ้าสิ่งก่อสร้างมาถึงคำถามที่ ค้างคาในใจของเขา เริ่มกระจ่างขึ้น เมื่อเขาได้เงียบหูฟัง ......
เมื่องานพิธีการเสร็จสิ้นลง ผู้คนเริ่มทยอย เข้ามาชมเจ้าสิ่งก่อสร้างแห่งนี้ เท้าน้อยๆ ของเด็กชายผู้มาเยือน ที่ย้ำลงบนตัวเขา วิ่งวนไปมาโดยรอบ จนเริ่มเหนื่อย เด็กชายก็นั่งลงบนหินก้อนใหญ่ แล้วส่งเสียงถามผู้เป็นพ่อว่า
"พ่อครับ สิ่งก่อสร้างนี้เค้าเรียกว่าอะไรครับ ต้นจำไม่ได้ " เด็กชายช่างสงสัย ชี้ไปยังเจ้าสิ่งก่อสร้าง สูงตระหง่าน บนหน้าผา
" เค้าเรียกว่า ประภาคารลูก " ผู้เป็นพ่อ ตอบคำถามเจ้าตัวน้อย
" ปา- พา- คาน คืออะไรหรอคับ " เด็กชายต้นถามด้วยเสียงกระตือรือร้น
เวลานี้เองที่หน้าผา เงี่ยหูฟัง คำตอบอย่างตั้งอกตั้งใจ เขาจะได้รู้เสียที ว่าพวกมนุษย์ กำลังทำอะไร
"คืออย่างนี้ล่ะลูก ประภาคาร ก็เหมือน ดวงไฟแห่งท้องทะเล
ช่วยส่องแสงนำทางให้ คนเดินเรือ เดินทางในท้องทะเลกว้างได้อย่างปลอดภัย" พ่อพูดไปพลางหยิบหมวกใบน้อยมาใส่ให้ลูกชาย
" อ้อ ประภาคารเหมือน เสาไฟฟ้าในเมืองไหมครับ ที่เวลาพอมืด ไฟก็จะสว่าง ไฟที่อยู่บนถนน คล้ายๆกันไหมครับพ่อ " เด็กชายพูดไป กระโดดไป
" จะว่าคล้ายก็คล้ายตรงส่องแสงได้ แต่จริงๆแล้วแตกต่างกันมากน่ะลูก
ประภาคารมีความสำคัญมากสำหรับคนที่เดินทางในทะเล ยามค่ำคืน และก็ จำนวนไม่มากด้วย อย่างชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของอ่าวไทย
มีประภาคารที่สำคัญอยู่ 6 แห่งในจังหวัด ชลบุรี ระยอง จันทบุรี
และตราด ด้านฝั่งตะวันตกของอ่าวไทย ก็มีอยู่ 3 แห่ง
ในจังหวัด ชุมพร สุราษฎร์ธานี ปัตตานี ด้านฝั่งตะวันตกของประเทศไทยหรือ ทางทะเลอันดามันมีประภาคาร 2 แห่งในจังหวัดตรังและภูเก็ต โดยเป็นประภาคารที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองทัพเรือ กรมอุทกศาสตร์
ผู้เป็นพ่อเล่าต่อว่า
การก่อสร้างประภาคาร แต่ละแห่งจะต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก
อย่างประภาคารที่ น้องต้นเห็น อยู่นี้ ทางกองทับเรือใช้งบประมาณสูงถึง ราว 14 ล้านบาทนะลูก เห็นไหมว่าไม่ง่ายเลย กว่าเราจะลงทุนสร้างประภาคารขึ้นมาสักหลัง"
โอ้โห แพงจังเลยครับ น้องต้นได้เงินไปกินขนมที่โรงเรียนแค่วันละ 10 บาทเองครับ
พ่อครับ ต้นชอบประภาคาร จังครับประภาคารมีประโยชน์
และ ประภาคารก็ซู้ง สูง สูงกว่าน้องต้นตั้งเยอะ น้องต้นทำตาเป็นประกาย
"ลูกก็ต้องเป็นเด็กดีขยันเรียนจะได้มีทำตัวเป็นประโยชน์ แล้วก็ต้องดื่มนมเยอะๆจะได้สูงเท่าประภาคารผู้เป็นพ่อลูบหัวลูกชาย
แล้วสองพ่อลูกก็จูงมือกันเดินจากไปตามทางเดินสีเทา
ภูผาใหญ่ได้ฟังคำนั้นก็ได้นิ่งอึ้ง ใคร่ครวญถึงสิ่งเกิดขึ้น
แล้วภูผาก็ได้เปิดตา เปิดใจ มองประภาคารเป็นครั้งแรก มองไปเธอก็ดูสวยงามดี และเธอก็มีประโยชน์กับคนมากมาย ฉันเองที่ได้แต่หมั่นไส้เธอเสียมากมาย คิดแค่เธอได้แย่งความโดดเด่นไปเมื่อคิดได้อย่างนั้น ภูผาก็ได้ยินเสียงน้อยๆดังขึ้น
"สวัสดีครับคุณปู่ภูผา" เสียงใครกัน เขาหันไปมอง ด้วยเป็นเสียงที่ไม่คุ้นหู
" ผมเองครับ ผมอยู่ตรงนี้อยู่ข้างบนคุณปู่ คุณปู่ตื่นแล้วหรอครับ
เจ้านกนางนวล บอกผมว่าคุณปู่นอนหลับ " ประภาคารน้อยพูดขึ้นด้วยเสียงอันตื่นเต้น
ภูผากระแอมไอเบาๆ
"เจ้าเองหรอกหรือ ประภาคารน้อย ข้าตื่นแล้ว " ภูผาพูดเสียงเรียบๆ
" คุณปู่ครับผมดีใจที่ปู่พูดกับผม ผมอยากรู้คับว่าที่สุดปลายฟ้า นั่นมีอะไร แล้วทำไมตอนพระอาทิตย์ตกถึงได้เป็นสีส้มครับ "
" ถ้าเจ้าอยากรู้เรื่องราวต่างๆ เดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟัง "
ประภาคารน้อย ตั้งใจฟังภูผาด้วยสายตาเป็นประกายกระหายรู้ เขารู้สึกว่าสักวันเขาจะต้องเป็นประภาคารที่เก่ง และรอบรู้เรื่องราวได้อย่างน้อยก็สักครึ่งของภูผาก็ยังดี
เวลาผ่านพ้นไปบัดนี้ ภูผามีความสุขเหลือเกินที่ไม่ต้องอยู่กับความอิจฉาและความขุ่นข้องหมองใจ เขาได้คิดแล้วว่า
การดำรงชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องมีความเกื้อหนุนกัน
คงไม่มีประภาคารงามได้ หากไม่มีหินใหญ่ค้ำจุนไว้
และก็คงไม่มีภูผาไหนจะงามเท่าเขา
เพราะมีประภาคารสูงสง่าอยู่เบื้องบน
-----------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีเพื่อนๆทุกคนที่แวะมาอ่านค่ะ
หายไปนาน วันนี้เลยแวะมา ลงตอนที่ 3
จากหนังสือทำมือเรื่อง ร้อยเรียงเรื่องราวเหล่าเจ้าประภาคารค่ะ
1 มิถุนายน 2546 21:34 น.
13 นางมาร
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ เมื่อน้องชายขอตัวกลับบ้านสมศรี จัดการจานชาม
เก็บบ้านให้เรียบร้อย กล่อมลูกคนเล็กให้หลับปุ๋ยในเปลสีฟ้า เรียก ป้าแจ่ม
ผู้เป็นแม่นมของลูกเธอให้ ขึ้นมาดูแลต่อไป
แล้วเธอจึงเดินไปหาน้องแป้งที่ห้องนอนแล้ว เล่านิทานให้น้องแป้งฟัง
น้องแป้งนอนอยู่บนเตียงซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม
" จุนแม่ขา เล่านิทานเรื่องเจ้าหญิงกระต่ายให้น้องแป้งฟังน่ะค่ะ"
สมศรีตอบว่า
" ได้สิ ลูก เดี๋ยวแม่จะเล่าให้ฟังน่ะ " ว่าแล้วก็ลูบผมอันอ่อนนุ่มของแป้งเบาๆพร้อมกับเล่านิทาน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วยังมีดินแดนแสนไกล
ที่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลน
ภายใต้โพรงต้นสนใหญ่ ยังมีครอบครัวเล็กๆ
อาศัยอยู่ ประกอบไปด้วยพ่อแม่กระต่ายสีขาวปุกปุย
และลูกกระต่ายอีกหลายตัวที่ซุกตัวอยู่ข้างๆแม่กระต่าย
" คุณแม่ขา แล้วเมื่อไรคุณพ่อจะกลับมาล่ะค่ะน้องแป้งคิดถึงคุณพ่อ" น้องแป้งถามแม่ขัดจังหวะการเล่านิทาน
" คุณพ่อทำงานยุ่งจ๊ะลูก คุณพ่อหาเงินมาให้น้องแป้งไปโรงเรียนไงค่ะ "
" น้องแป้งอยากให้คุณพ่ออุ้ม แล้วโยนแป้งไปสูงๆนี่ค่ะ คุณแม่" น้องแป้งทำเสียงเศร้า
หัวอกคนเป็นแม่ เมื่อได้ยินลูกพูดอย่างนี้ ในใจก็หวั่นไหว ริ้วความเจ็บแผ่กระจาย
ดังละลอกคลื่น สาดเซาะฝั่ง สงสารลูกจับใจ
" น้องแป้ง ฟังแม่เล่านิทานต่อน่ะลูก เดี๋ยวคุณพ่อก็กลับแล้ว น่ะอีกประเดี๋ยวจ้า"
ไม่นานลูกสาวตัวน้อยก็หลับปุ๋ยใต้ผ้าห่มหนานุ่ม สมศรีก้มลงหอมที่เรือนผมลูกเบาๆ
ลูกกระต่ายตัวน้อยของแม่ แม่สัญญาจ๊ะว่าจะเอาพ่อกระต่ายกลับมาสู่รังของเราให้ได้น่ะจ๊ะแม่สัญญา
ติ๊ก ๆๆ เสียงนาฬิกาเดิน เวลาล่วงไปจาก เที่ยงคืนเป็นตี 1
สมศรี นั่งรอผู้เป็นสามีกลับบ้าน อยู่ที่ห้องดูทีวี โซฟา หนานุ่มสีครีม
ม่านประดับลายดอกไม้สีหวาน พื้นหินอ่อนเป็นมัน
ปลามังกร เกล็ดสีเงินแวววาว ว่ายเวียน วนอย่างแช่มช้าในตู้ปลาหรูหรา ขนาดใหญ่
ทุกสิ่งในบ้านที่ได้ประดับประดา ตบแต่ง เป็นบ้านที่สวยงาม พรั่งพร้อมไปด้วย
สิ่งอำนวยความสะดวก
ของนอกกายเหล่านี้ในครั้งนึงมันเคยทำให้สมศรีมีความสุข ความพอใจที่ได้ครอบครอง
แต่ใน เวลานี้ ณ ทุกนาที ที่หัวใจเต้นไปพร้อมกับการรอคอย
ของภายนอกเหล่านี้ไม่ได้ช่วยทำให้สมศรีมีความสุขเลย
เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอ เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตคู่ของเรา
สมศรีเฝ้าคิดหาคำตอบ มันเกิดจากอะไร ทำไมทำไม
เธอบกพร่องตรงไหน ทำไมสามีจึงได้แปรไปได้เพียงนี้
เธอไม่อยากจะต้องเป็นบ้าหาคำตอบ ที่เป็นเหมือนหลุมดำมืดมน
ไม่มีจะสิ้นสุด นี้อีกต่อไปแล้ว คืนนี้เป็นอย่างไรเป็นกัน
เธอจะต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง
ครืนๆๆ เสียงประตู เหล็กหน้าบ้านเปิด จากรีโมทควบคุมที่ติดตั้งในรถยนตร์ของสามี
แสงไฟจากไฟหน้ารถยนตร์ สาดเป็นลำ แล้วก็มืดไป เสียงปิดประตูรถดังปังใหญ่
สมศรีนั่งอยู่ที่เดิม มีเพียงเสียงในหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเร็วขึ้น กลับมาแล้วสิน่ะ
คนที่เธอรอคอย
เสียงสามีเดินเข้าประตูบ้านมา ด้วยความมึนเมา หน้าตาแดงก่ำ เขาหันมามองเธอแว๊บนึง
แล้วก็ทำท่าจะเดินขึ้นไปชั้นบน สภาพของเขาเสื้อผ้ายับย่น
กลิ่นเหล้า คละคลุ้ง โชยมาแต่ไกล
" เนกค่ะ เรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อยน่ะค่ะ" สมศรีลุกขึ้นแล้วเดินไปใกล้ๆสามี
" วันนี้ มาน ดึกแล้วน่ะ คุ้นน ผมจาไปนอนแล้ว" เสียงเมาอ้อแอ้ สติไม่อยู่กับตัว
สมศรีเห็นว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะ คุยหรือ สนทนากับคนเมา
ในยามนี้ เขาไม่มีสติอะไรอีกต่อไปแล้ว
สมศรีข่มใจ ระงับความโกรธ เดินไปที่ตัวสามีที่ยืนตาเยิ้ม กลิ่นเหล้าแรงจัดขึ้นเมื่อได้ยืนในระยะใกล้กันเพียง
ลมหายใจรด
" มาค่ะเดี๋ยว ศรีถอด เนคไทน์ ให้ " ว่าแล้วเธอก็เอามือไปแกะ ปมที่มัดแน่น
เขายืนนิ่ง มองศรีด้วยสายตา ชนิดหนึ่งซึ่งเธออ่านไม่ออก
รู้แต่ว่าสายตา นั้น ช่างว่างเปล่า ไร้ซึ่งความแววของความรักที่ฉายออกมา
จากนั้นเธอ อดใจไม่ไหว เธอคิดถึงเขาเหลือเกิน อยากอยู่ในอ้อมกอด อันอบอุ่นของเขาดังวันวาร
เธอ โผเข้าหา อ้อมอกและกอด เขาไว้ซุกจมูกลงชิดกับเสื้อกลิ่นของคนที่เธอ
รัก สูดกลิ่นซึ่งสำหรับเธอมีเพียง 2 กลิ่นที่เธอเฝ้าสูดดม กลิ่นจากเขาคือกลิ่นเหล้า ส่วนอีกกลิ่นคือกลิ่นจากลูกน้อยของเธอกลิ่นนม
น้ำตาอุ่นๆๆ ไหลรินชุ่มบนเสื้อ กลิ่นที่ว่าเหม็นเหล้า ค่อยๆหายไปเพราะจมูกเริ่มชินและปรับกลิ่นได้
" เนกค่ะ เนกเป็นอะไรไปค่ะ ศรีจะทนไม่ได้อยู่แล้วน่ะค่ะ" เสียงเธอเริ่มสูงขึ้น
"ปล่อยผม ผมจะไปนอน อย่าทำตัวให้น่ารำคาญไปกว่านี้เลย" เสียงเมาๆ เอ่ยขึ้น
ไม่เพียงแค่พูดเปล่าๆ แต่เขายังสะบัดและผลักเธอ ออกไปให้ห่างออกไป
เขาทำราวกับเธอเป็นตัวยุงไร ที่มาไต่ตอม
แล้วเขาก็เดินหันหลังเดินไปที่บันได ศรีเดินตามไปแล้วจับเขาไว้
" เดี๋ยวสิค่ะ เนก คุยกับศรีก่อน" เธอจับเขาไว้
"อย่ามายุ่ง ปายไกลๆได้ไหม" คราวนี้เขา สะบัดเธออย่างแรง
แรงจนเธอเสียหลักล้มลง กองอยู่ที่พื้น ดูไกลๆราวกองฟ้าผืนเก่าที่ไร้ค่า
" โอ้ย ! " เมื่อเสียหลักล้มลง เธอก็ไม่มีแรงที่จะลุก
มองไปที่เขาเห็นแต่แผ่นหลังที่เดินขึ้นไปห้องนอนชั้นบน
เธอยังนั่งอยู่ท่าเดิมไม่ได้ลุกขึ้น น้ำตาเหือดแห้งไปหมดแล้ว ไม่มีน้ำตาสักหยด สมองมึนงง
เจ็บยิ่งกว่าเจ็บ ที่ใจรู้สึกเหมือนมีคมมีดมากรีดเป็นรอย เธอรู้สึกว่าเลือดอุ่นๆได้รินออกมาจากหัวใจ
นั่งนิ่งอยู่ชั่วครู่ เธอจึงค่อยๆหยัดกายลุกขึ้น
เหนื่อยเหลือเกิน วันนี้เธอไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว เธออยากจะหลุดเข้าไปในโลก
แห่งความฝันโลกแห่งการหลับไหลเต็มที จึงปิดไฟทุกดวง
ล๊อกบ้านให้เรียบร้อยแล้ว เธอจึงเดิน
ขึ้นไปบนห้องนอน
ห้องนอนของเขาและเธอ ห้องที่เคยเป็นที่ส่งตัวในวันวิวาห์
เตียงกว้างใหญ่ มองไปไร้ร่างของสามี
เพราะอะไรเธอรู้ดี หลังจากมีลูกชายให้เขา เขาก็ให้ช่างมาตบแต่งห้องอีกห้องที่เคย
ใช้เป็นห้องรับรองแขก
เขาบอกเธอเพียงว่าอยากมีห้องเป็นส่วนตัว เราแยกห้องกันตั้งแต่นั้น
มีประตูเชื่อมระหว่างห้องใหญ่และห้องของเขา
" คุณไม่ต้องกังวลน่ะ มีประตู คุณเดินมาหาผม ได้ผมก็เดินไปหาคุณได้
คุณคงเข้าใจน่ะว่าผมไม่อยากทำให้คุณตื่นเวลาผมต้องทำงานดึกๆ
แยกห้องกันอย่างนี้น่ะ ลองดู "
ดูเหมือนเป็นสัญญาณแห่งร้ายแห่งชีวิตคู่ที่เธอเริ่มรู้สึกได้
แต่ด้วยความที่อยากตามใจสามีเธอจึงพูดได้เพียงว่า
" ตามใจคุณเถิดค่ะ หากคุณทำอะไรแล้วสบายใจก็ทำไปเถิด"
เธอเปิดไฟที่หัวเตียง เอื้อมมือไปหยิบ
เพื่อนที่ดีที่สุดในยามนี้เพื่อนที่ ทำให้เธอได้ไปสู่ห้วงเวลาแห่งความสุข
ยาเม็ดสีขาว เล็กๆถูกเทออกมา จากขวด
เธอกินเข้าไป 2 เม็ด ดื้มน้ำตาม จากนั้นเธอจึงค่อยเอนกายลงนอน
หนังตาค่อยๆหนักขึ้น สมองหยุดสั่งการณ์ ชั่วคราว หัวใจ
ที่เป็นแผล ค่อยๆไร้ความรู้สึก
เช้าวันใหม่ วันที่สมศรีอยากให้ชีวิตเธอเป็นดังวันใหม่ เหลือเกิน
อยากให้ภาพความเลวร้าย ที่เกิดกับชีวิตเป็นเพียงฝัน
เช้านี้เธอมี ธุระสำคัญ วันนี้จะเป็นวันตัดสินชีวิตของเธอ
ดวงหน้าขาว นิ่งมองไปข้างหน้า เธอแต่งกายด้วยชุดสีดำล้วน
สีดำสีที่เธอโปรดปราน สีที่มีความลับซ่อนอยู่
จัดแจงเรื่องงานบ้าน และบอกกล่าวป้าแจ่มให้ทำกับข้าวแทนเธอ
แล้วเธอจึงขับรถ ออกไปจากบ้าน ไปฟังไปดูอะไรบางสิ่งด้วยตาของตัวเอง
เลี้ยวรถเข้าไปยังสำนักงาน
สำนักงานที่เธอได้ว่าจ้างใครคนหนึ่งทำหน้าที่ให้เป็นหูเป็นตา
เธอทำถูกไหมน่ะ สมศรีเป็นคนหนึ่งซึ่งให้เกรียรติ และเคารพสิทธิ์ของผู้อื่นเสมอมา
เสียงในหัวบอกว่า " ไม่หรอกในเมื่อเธอ เป็นเหมือนดังคนโง่ เธอก็แค่หาคนให้ความกระจ่างแค่นั้น
ในเมื่อ เขาทำกับเธอได้ เธอก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเคารพกันอีกต่อไป"
ตรงตามเวลานัด
สมศรีเข้าไปยังห้องทำงานของผู้ชายคนหนึ่ง ยืนซองเงินปึกใหญ่ให้เขา
ชายคนนั้นยิ้มแล้วบอกกับเธอว่า
" คุณผู้หญิง ต้องจำไว้น่ะครับว่า สิ่งของที่อยู่ในซองนี้เป็นเหมือนดาบสองคม
คุณจะต้องนำไปใช้ในทางที่ถูก ใช้ในทางที่ควร " เสียงแก่ๆของเขาพูดขึ้น
" เปิดซองดูสิครับ "
สมศรีถอดแว่นดำออกแล้วเก็บเข้ากระเป๋า เธอนั่งตรงข้ามกับชายผู้นั้น
พยายามทำตัวให้เป็นปรกติทั้งที่จริงๆแล้วเธอ รู้สึกราวกับเธอเป็นเด็ก
ที่มาฟังครูใหญ่ ตัดสินชะตาชีวิต เธอเอื้อมไปหยิบสิ่งที่อยู่ในซองด้วย
มือที่สั่นระริก
เธอเทมันออกมา สิ่งที่อยู่ข้างในคือเอกสารและรูปถ่าย
รูปแรกที่เปิดเป็นรูปถ่ายรถยนตร์ของสามีเธอที่จอดอยู่ ณ ลานจอดรถของทาวเฮ้าน์
หรูแห่งหนึ่ง
" สามีคุณ ทุกเย็นจะแวะไปที่บ้านหลังนั้น " เสียงผู้ชายซึ่งทำหน้าที่นักสืบกล่าวขึ้น
เอกสารการติดตามพร้อมรูปถ่ายผมเขียนรายงานไว้หมดแล้วน่ะ ครับ
สมศรีไม่มีคำพูดใด ออกจากปากไม่มีน้ำตาสักหยด
เธอไม่อยากรับรู้ เธอไม่แน่ใจว่าเธอทำใจได้ไหม
" ขอบคุณค่ะ หากดิฉันมีอะไรจะโทรมาค่ะ " เธอกล่าวด้วยเสียงอันราบเรียบ
นักสืบมองตามร่างสีดำไป อย่างฉงน น้อยครั้งที่เขาจะเจอคนที่เงียบ
ไม่แสดงออกไม่ร้องไห้ เมื่อได้รับรู้ว่าสามี มีบ้านที่ 2
เธอผู้นี้ ผู้หญิงอีกคนที่เงียบกริบไม่มีปฎิกริยาใดๆ
แล้วเธอก็นำเอกสารซองนั้นเดินมาในรถ
เสียงที่พี่แม่เธอเคยกล่าวไว้ยังดังก้องอยู่ในหัว
"จำไว้น่ะลูก อย่าแสดงออกให้ใครรู้ถึงความรู้สึกของเรา
ทุกอย่างต้องเก็บไว้ แสดงออกได้เพียงสิ่งที่เราต้องการ "
เมื่ออยู่ในรถเธอตั้งสติ พยายามเรียกสติกลับคืนมา
เราเป็นใคร เราคือใคร เราจะไปไหน
นี่เราจะไปไหนต่อ เธอฟุบหน้าลงกับพวกมาลัยรถ
เราจะไปไหนดีเราจะไปไหนดี
หากใครที่ไม่เคยอยู่ในภาวะอย่างเธอคงจะไม่เข้าใจว่า
การได้รับรู้อย่างแน่ชัดว่าสามีเธอ มีบ้านที่ 2
และเธอได้รับมอบตำแหน่ง ภรรยาหลวง อย่างเต็มรูปแบบนั้น
รู้สึกอย่างไร
พยายามรวบรวมความคิดและกำลังกาย ไตร่ตรอง
ทำอย่างไรเราจะทำอย่างไรดี
เรียวแรงในตัวเหลือน้อยเต็มที
เธอทำอะไรไม่ถูก อีกต่อไป ขนาดได้เตรียมใจไว้แล้ว
เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดชื่อของน้องชาย
แนบโทรศัพท์ไว้กับหูเอนหลังลงติดกับเบาะ
"น้องหรอจ๊ะ พี่เองน่ะ น้องพอมีเวลาว่างไหม
พี่ไม่สบาย ขับรถเองไม่ไหว " เสียงเธอพูดช้าๆ
" พี่ศรี พี่อยู่ไหน เดี๋ยวผมไปหา พี่อยู่ไหน " เสียงน้องเธอเต็มไปด้วยความเห็นห่วง
" เธอค่อยๆบอกสถานที่ ให้น้องชาย"
นั่งอยู่ในรถเนิ่นนาน น้ำตาไหลย้อนกลับรดลงที่ใจ
เป็นเหมือนยาพิษที่กัดกร่อนจิตใจ แสบร้อน เกินคำพรรณา
ไม่รู้เวลาผ่านไปเท่าใด ที่กระจกก็มีเสียงเคาะ
เธอค่อยๆหันไปมอง
น้องชายเธอนั้นเอง
พี่ศรีมาทำอะไรที่นี่ครับ แล้วพี่เป็นอย่างไรบ้าง
เธอยิ้ม ที่มุมปากแล้วบอกน้องว่า
" พี่ปวดหัว น้องอย่างพึ่งถามอะไรตอนนี้น่ะ ช่วยพาพี่กลับบ้านก่อนน่ะ"
เธอขยับกายเปลี่ยนไปนั่งด้านคนนั่ง หลับตาลง
น้องชายคนเดียวของเธอ นั่งที่คนขับ
เขาเอือมมือมาจับมือเธอเบาๆแล้วบอกเธอว่า
" พี่ครับ ทำใจดีๆไว้ ผมอยู่ข้างพี่ครับ ผมอยู่นี่แล้วพี่ไม่ต้องกลัว"
" จ๊ะ ขอบใจน้องมาก"
เมื่อกลับถึงบ้านเธอขึ้นไปยังห้องนอน ปล่อยให้น้องชายเล่นกับหลาน
อยู่ชั้นล่าง
เมื่อถึงห้องนอน ห้องส่วนตัว วางกระเป๋าที่มีเอกสารหนาหนัก ลงบนเตียง
แล้วเธอก็ฟุบหน้าลงบนเตียง
น้ำตาที่เคยกลั่นไว้ ไหลรินออกมา ราวทำนบเขื่อนพัง ความเก็บกด ความเครียด
ทั้งมวลได้ถูกขับมาพร้อมกับหยาดน้ำตาหยดน้อย ที่ หลั่งริน ออกมา
เธอสะอื้นตัวโยก หายไปแทบไม่ทัน หัวใจเธอได้ แตกสลายไปแล้ว
ไม่มีแล้ว ไม่มีอีกแล้ว ความฝันอันงดงาม ครอบครัวที่อบอุ่น ดวงใจ
ของเธอ สลายไปเสียแล้ว
เธอจะทำอย่างไรกับชีวิตที่เหลือต่อไปดี
เธอจะกินยาเพื่อให้หลับ เพื่อจากโลกนี้ไปเลยดีหรือไม่
หรือเธอจะให้เขา ผู้ซึ่งทำร้ายจิตใจเธอ จากโลกไปแทน
หรือเธอจะ ทำให้ นังคนที่แย่งสามีเธอ ตายไปจากโลก
เธอจะทำอย่างไรเธอจะเลือกทางเดินไหนดี
อยากจะบุกไปหาคุณอเนก อยากจะเดินไป อาละวาด
ที่รังรักของมัน หรือจะทำอะไรดี ยิ่งคิดยิ่งสับสน
เหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยไปหมดทั้งใจ
เธอค่อยๆ เทสิ่งที่อยู่ในซองสีน้ำตาลเอาออกมาดูหน้าเธอคนนั้น
คนที่เป็นมือที่สาม คนที่ทำให้เธอต้องกลางเป็น ภรรยาหลวง
ดูรูปอย่างช้าๆ
ความลับทั้งมวล ที่เป็นเหมือนหลุมดำ บัดนี้ได้กระจ่างออกมาแล้ว
ในรายงานเขียนว่า บ้านหนังดังกล่าว
มีผู้ที่อยู่เพียงคนเดียว ทำงานราชการ
ทุกเช้าจะออกไปทำงานและตอนเย็นจะกลับมาก่อน 6 โมงเย็น
หน้าถัดไปเขียนว่ารูปถ่าย ผู้ที่อยู่บ้านหลังนั้น
ตัดสินใจเปิดกระดาษหน้าถัดไป
สายตาเบิกกว้าง
" อุ๊ย" มีเพียงเสียงนี้ที่เล็กลอดออกมา เธอเอามือปิดปาก
ภาพผู้ชายหนุ่ม หน้าตาดี หุ่นกำยำ ปรากฎขึ้น ไม่ใช่รูป สาว หรือ ผู้หญิงอย่างที่เธอเข้าใจ
สมองประมวลผลอย่างรวดเร็ว เรื่องจริงหรอนี่
สามีเธอเป็นเกย์
ภรรยาน้อยของเธอ เป็นผู้ชาย
นี่มันเรื่องจริงหรือนี่
นี่มันเกิดกับชีวิตของเธอจริงๆหรือนี่
โลกเหมือนหมุนเวลาย้อนกลับไป
ในวันที่เธอได้ กระโดดชนเขาในวันแต่งงานของเพื่อน
เธอ เข้าใจแล้วว่า ที่เคยเข้าใจว่าเธอเลือกเขานั้น
เป็นความคิดที่ผิด เขาต่างหากเป็นผู้เลือกผู้หญิงที่จะมาเป็นแม่
คนที่จะเป็นหนังหน้าไฟ ปิดบังความเป็นชายรักชายของเขา
บัดนี้เธอรู้ แล้วว่า เมื่อเธอได้ผลิตลูกชายสืบทอดสกุลให้เขา
ให้พ่อ แม่เขาได้มีหลานชายสมความปรารถนา เขาจึงไม่เคยสนใจใยดี
ในตัวสมศรีอีก
ฟ้าที่เคยมึดครึ้มมาตลอดกลับสว่างขึ้นเธอได้รู้แน่แล้วว่าสามี
มีใจรักผู้ชาย สมศรีนึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา
ก็ทำให้เข้าใจเขาผู้เป็นสามีมากขึ้น ว่าการที่จะต้องทน
ฝืนใจอยู่กับผู้หญิง เขาคงทรมานไม่น้อย
ปิ๊ง สมศรีหาทางออกให้ชีวิตได้แล้ว
เธอตัดสินใจแล้ว ทางนี้เป็นทางที่ดีที่สุด
สำหรับทุกคน เธอตัดสินใจที่จะขับรถไปยัง
บ้านไปยัง รังรักของสามีและผู้ชายคนนั้น
คิด ไตร่ตรอง แล้วก็ลงมือทำทันที นี่ล่ะ นิสัยของเธอ
เอาให้มันรู้ดำ รู้แดงไปข้างนึง
ก่อนออกจากบ้านเธอวานให้น้องชายช่วยดูแลบ้านให้สักพัก
และให้ป้าแจ่มดูแลเรื่องกับข้าวแทนเธอ
เธอบอกกับคนอื่นว่า จะไปธุระสักพักก็จะกลับ
เธอแวะไปที่เปลของลูกชายคนเล็กที่หลับตาพริ้มแล้วพูดว่า" เดี๋ยวแม่มาลูก เดี๋ยวแม่จะกลับมา
ลูกรอแม่สักพักน่ะจ๊ะ เดี๋ยวแม่จะไปพาพ่อกลับมา"
แล้วเธอก็ขับรถออกไป ไม่ใยที่น้องชายเธอจะขอติดตามไปด้วย
กว่าจะฝ่าการจราจรไปถึงบ้านหลังนั้นได้ ตะวันก็ยอแสง
เมฆก้อนเล็กๆสะท้อนแสงเป็นสีส้มจัด เธอยังนั่งอยู่ในรถ
รอเวลาและ เรียบเรียงสิ่งที่เธอกำลังจะทำ
ตราบเมื่อสิ้นแสงสุดท้าย แล้วความมืดโรยตัวเธอจึงค่อยๆ
เปิดประตูรถ เดินไปยังบ้านที่มีรถของสามีเธอจอดอยู่
แสงไฟสว่างไหว สาดออกมาจากบ้าน
เธอเอื้อมมือเปิดประตู โชคดีประตูไม่ได้ล๊อก
เธอค่อยๆเดินไปอย่างช้าๆๆ เดินเข้าไปในบ้านของเขา
ปรากฎว่าประตูไม้ด้านในถูกใส่กลอน
เธอ เคาะที่ประตูเบาๆ
ก๊อกๆๆๆๆๆ
แล้วยืนรออยู่สักพัก
ก็มีเสียงคนเดินมาที่ประตู มีเสียงพูดว่า
" ไอ้พล มันคงมาแล้ว เดี๋ยวผมไปเปิดประตูก่อนน่ะพี่ "
เมื่อเปิดประตูออกมา ชายผู้นั้นเห็นเธอยืนอยู่
เขามีสีหน้า ตกใจออกมาแว๊บนึง
เธอมองเด็กหนุ่มคนนั้น หน้าตาเข้ม ผิวขาว
รูปร่างดี กว่ารูปที่เธอได้เห็น
เธอผลักประตู เดินเข้าไปในบ้าน
สามีเธอนั่งหันหลังอยู่
เขาพูดว่า
" ทำไม พลมาเงียบ จัง เอ้าไอ้พล เข้ามา เข้ามา " สามีเธอคิดว่าเธอเป็นเพื่อนที่เขากำลังรอ
เธอค่อยๆ เดินมาข้างหลังเขา เอื้อมมือหยิบสิ่งของในกระเป๋าออกมา
อย่างช้าๆๆ
"เนกค่ะ" เธอเรียกพร้อมหยิบ ผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋า
เธอกำมันไว้
สามีเธอหันหลังกลับมาด้วยความตกใจสุดขีด
ศรี เธอมาได้อย่างไร
เขาหน้าถอดสี มองเธอผู้เป็นภรรยาและเยื่องๆกันคือ ภรรยาหนุ่มรูปหล่อของเขา
ทั้งสามจ้องกันอยู่ในความเงียบ
เธอและเขา สาม สามีถรรยา หญิง 1 ชาย 2
หลังการสนทนาผ่านไป
เธอบอกประโยคสุดท้ายว่า
" ศรีจะไปรอที่บ้านน่ะค่ะ เนก คิดดีๆล่ะกัน กับเงื่อนไขที่ศรีได้เสนอไป"
--------------------------------------------------
เมื่อขับรถมาถึงที่บ้าน น้องชายเธอวิ่งออกมารับ ด้วยสีหน้าแสดงความเป็นห่วงยิ่ง
" พี่ศรี ไปไหนมา ครับ กินข้าวหรือยัง "
เธอยิ้มให้น้องชาย แล้วบอกว่าพี่ไปจัดการธุระมาน้อง
เธอยิ้มออกมาจากหัวใจ
ปัญหาทุกอย่างคลี่คลาย ทุกสิ่งได้ถูก สะสางไปแล้ว
บัดนี้ สมศรีรู้สึกเบาสบายอย่างบอกไม่ถูก
เธอได้เลือกแล้ว กับเส้นทางสายนี้
" คุณแม่ค่ะ คุณแม่มาแล้ว น้องแป้งคิดถึงคุณแม่ "น้องแป้งวิ่งมาหาแม่
เธออุ้มลูกสาวขึ้น พร้อมกับหอมที่แก้ม
" แม่มาแล้ว จ๊ะ น้องแป้งเป็นเด็กดีไหมลูก ดื้อกับคุณน้าหรือเปล่า"
น้องแป้งไม่ดื้อค่ะ น้องแป้งเป็นเด็กดี
เมื่อเสร็จภาระกิจทุกอย่างแล้วทุกอย่างแล้วเธอจึงพาลูกเข้านอน คืนนี้
เธอไม่ต้องอยู่รอเขาอีกต่อไป
เธอไม่ต้องใช้ยาเพื่อให้นอนหลับ
อีกหากแต่เธอสามารถหลับลงด้วยความอิ่มใจ
กับสิ่งที่เธอได้ทำ เธอคิดดีแล้ว
ตอนนี้ก็อยู่ที่เขา จะเป็นผู้พิจารณาข้อเสนอที่เธอได้บอกไป
เนกค่ะ คุณคิดเอาเองน่ะค่ะ แล้วเธอก็หลับไปพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ
สายๆวันต่อมาวันนี้แล้วน่ะที่ เนกผู้เป็นสามีจะต้องเลือก
เสียงรถของเขากลับมาแล้ว
เธอเดินออกไปห้องบ้านกอดอก
มองสามีและคนข้างๆๆ
สามีของเธอลงจากรถพร้อมกับเด็กหนุ่มคนนั้น
เขาเดินมาหาเธอแล้วบอกว่า
" ตกลง ผมเลือก ทางนี้ หวังว่าคุณคงทำได้อย่างที่สัญญา " อเนกพูดขึ้น
สมศรีมีสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกใด
น้องแป้ง น้องแป้งมานี่ลูก
" หวัดดีคุณพ่อกับอาซ่ะ ลูกคุณอาจะมาอยู่บ้านหลังนี้กับเราด้วย"
น้องแป้ง วิ่งไปหาคุณพ่อ
เขาอุ้มลูกสาวตัวน้อยขึ้น น้องแป้งมองไปที่ผู้ชายที่มากับพ่อแล้วถามว่า
" คุณพ่อคุณอาคนนี้เค้าเป็นครายค่ะ"
" เค้าเป็นญาติของเราจะมาอาศัยกับเราด้วยน่ะลูก "
ไปค่ะ เราเข้าบ้านกัน
แล้วทั้งหมดก็เดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่งดงาม
บ้านที่ต่อไปจะมีแต่อบอุ่น กันเส้นทางที่เธอและเขาได้เลือกแล้ว
....ทางออกชีวิตบางเวลาดูช่างยากเย็นเหลือเกินในการ หาทางไป .....
ดังนั้น ชีวิตเรา อย่าทำให้ยาก เกินไป ทำให้ทุกอย่างง่ายๆ เลือกทางที่ทำให้ทุกคนมีความสุข
และพึงพอใจในสิ่งที่มีและสิ่งที่เป็น
เพียงแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอกับการก้าวเดินไปบนโลกสีฟ้าใบนี้ แล้วไม่ใช่หรือ
1 มิถุนายน 2546 21:31 น.
13 นางมาร
...........แว้ แง้ แง้ อุแง้ อุแง้ เสียงเด็กอ่อนในเปลแผดเสียงร้องดังขึ้นดังขึ้น หน้าตาแดงก่ำ นิ้วเท้าเล็กเรียงขนาดใหญ่ไม่เกินเม็ดถั่วแดง จิกงองุ้มลง หญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วม ต้องละมือจากการล้างทำความสะอาดขวดนม เช็ดมือและมาอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้น มาจากเปล จับดูผ้าอ้อมมีรอยชื้นเป็นดวง
" ดูสิพึ่งกินนมเสร็จ ก็ฉี่อีกแล้ว เฮ่อ "
ปากก็บ่นมือก็ควานหากระกร้า ผ้าอ้อม หยิบผืนใหม่มาเตรียมเปลี่ยนให้เจ้าตัวน้อย ใช้เวลาไม่นาน สมศรีก็สามารถกล่อมลูกชายคนเล็กให้นอนต่อได้
ด้วยความที่มีประสปการณ์การเลี้ยงเด็กมาแล้วจากลูกคนแรก
อากาศเริ่มเย็น แสงแห่งดวงตะวันเริ่ม ลาลับที่ขอบฟ้า เย็นวันนี้ก็เหมือนทุกวันที่สมศรีจะต้องเตรียมทำกับข้าว
ไว้ให้คุณอเนกสามีและ ลูกสาวคนโตวัย 3 ขวบ วันนี้สมศรีเจอยอดฝักแม้วที่ตลาด จำได้ว่าสามีชอบ จึงได้ซื้อมาผัด และเตรียมทำแกงจืดเต้าหู้ไข่ใส่หมูสับและผักกาดขาวให้น้องแป้ง ส่วนตัวเองสมศรีจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองชอบกินอะไร รู้แต่คนข้างๆ ชอบกินอะไรตัวเองก็จะไปเสาะแสวงหามาให้ ด้วยรู้สึกว่าการได้เห็นคนที่เรารักได้กินของโปรด ได้มีความสุขกับอาหารที่เราทำ
ความสุขความอิ่มใจ มันก็มากมายจนเหลือคณา มากเกินกว่าทำของโปรดของตัวเอง
กรี๊งๆ เสียงโทรศัพท์ดังทำลายความเงียบลง " สวัสดีค่ะ ต้องการพูดกับใครค่ะ " กรอกเสียงลงไปตามสาย
"ศรีหรอ พี่น่ะ วันนี้ติดงานเลี้ยงลูกค้า กินข้าวกับลูกไปก่อนน่ะไม่ต้องรอ "
" แล้วเค้าไม่ได้นัดล่วงหน้าหรอค่ะ วันนี้ศรีอุตส่าห์ทำของโปรดของพี่" ก้อนแข็งๆ ขึ้นมาจุกที่ลำคอ น้ำตาปริ่มๆอยู่ที่ขอบตา
" ขอโทษจริงๆ น่ะ เค้านัดมาด่วน พี่ไม่กลับค่ำ ไม่เกิน เที่ยงคืนน่ะจ๊ะ แค่นี้น่ะ ขาดคำปลายเสียงเสียงก็ดัง
"ตุ๊ด ตูด ตู๊ด ๆ.ตุ๊ด ตุ๊ด ."
สมศรีวางโทรศัพท์ลง หันไปมองเจ้าตัวน้อยที่หลับปุ๋ยอยู่ในเปล นึกถึงลูกสาวคนโต น้องแป้ง ที่ป่านนี้คงกำลังเล่นอยู่บ้านคุณยาย นึกดีใจ ที่วันนี้ คุณยายและญาติๆ ขอตัวน้องแป้งไปเล่น กับหลานๆ ที่มาเยี่ยม อีกสักพักเมื่อได้เวลาอาหารเย็น คงจะให้น้าศรมาส่ง เพราะว่าวันนี้ศรีบอกไว้แล้วว่าทำแกงจืดใส่เต้าหู้ไข่ไว้ให้
.............บรรยากาศยามนี้ช่างเงียบเหงา จนจับจิต ศรีเดินออามานั่งที่ระเบียงข้างบ้าน ที่ระเบียงมีเก้าอี้สีขาว ตั้งอยู่สอง ตัวพร้อมโต๊ะกลม หันหน้าออกไปที่สวนข้างบ้าน สวนที่จัดไว้สวยงาม กระถางดินเผา ที่เราสองคนช่วยกันเดินหา ล้อมรอบด้วยต้นไม้ประดับอยู่รอบๆ ต้นข้าหลวงหลังลาย ยังคงความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ แผ่ใบหยักเขียวสร้างความสดชื่น
เก้าอี้ตัวเดิมดูเก่ามอซอ ต่างจากวันที่เธอเคยปรึกษาฉันว่า จะซื้อเป็นคู่หรือว่าซื้อตัวเดียว ด้วยว่าราคาค่อนข้างสูง และในที่สุดเธอเองที่บอกว่า ซื้อเป็นคู่ ไว้ให้ ผมกับศรี ได้นั่งเคียงข้างกัน ในบ้านของเรา
แล้ววันนี้ ไหนล่ะ คนที่เคยบอกว่าจะอยู่ข้างกัน ในบ้านของเรา ไหนล่ะคนที่บอกว่าเราจะมีบ้านที่อบอุ่น
หากจะนับ ฉันขอนับว่านี่เป็นบ้านของฉันและลูกเท่านั้น จะถูกต้องกว่า เพราะบ้านของคุณก็คือที่ทำงาน
คุณใช้เวลาอยู่ที่ทำงานมากกว่าวันละ 10 ช.ม.
คิดพลางเอาเข่าทั้งสองขึ้นมาชันบนเก้าอี้ เท้ายันไว้โดยไม่ใยดีว่าเก้าอี้จะเปื้อน ฉันเอาแขนที่อวบอ้วน มากอดเข่าไว้หลวมๆ ด้วยติดไขมันที่หน้าท้องที่ถูกดันขึ้นมาชิดกันเป็นลอน
หายใจเข้าออกอย่างแผ่วเบา มองไปยังท้องฟ้าเห็นนกน้อย 2 ตัวบินเคียงกันกลับรวงรัง ความเจ็บ ความเหงา ยิ่งเผาผลาญจิตใจ สะท้อนในอก
พักหลังฉันเรียนรู้ที่จะกอดเข่าในยามที่ไม่มีเขาอยู่เคียงข้าง เข่ายังไงก็เป็นเพื่อนที่ดีที่ทำให้ หัวใจฉันได้อบอุ่นได้บ้าง ที่สำคัญเข่าไม่เคยทิ้งให้ฉันต้องกินข้าวคนเดียว
..........ความคิดล่องลอย ถอยหลังไปถึงวันวารที่ยังหวาน 7 ปีแล้วน่ะที่ฉันและสามีได้ตกลงใจใช้ชีวิตร่วมกัน
นึกถึงวันแรกที่เราเจอกันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว สมศรียังจำได้ดี บางครั้งการเก็บอะไรดีๆไว้ในความทรงจำมันก็ทำให้ชีวิตมีความสุข ได้ยิ้มละมัยทุกครา
........ ที่โบสถ์แห่งหนึ่งซึ่งศรีเดินทางไปเป็นสักขี พยานให้เพื่อนรักเข้าพิธีวิวาห์ งานแต่งงานเรียบง่าย มีเพื่อนและญาติ ของคู่บ่าว สาวมา ร่วมงานไม่มากนัก ศรีเห็นเขาก่อนใคร ด้วยว่าเสื้อที่เค้าใส่สีช่างเหมือนท้องฟ้า สีเข้มปั๊ด
ดวงหน้าเข้ม ตาคม จมูกโด่งเป็นสัน ไรเคราขึ้นเขียว ศรีมีเวลาไม่นานก่อนที่เจ้าสาวจะโยนช่อดอกไม้ ในการแอบไปถามเพื่อน ว่าเขาคือใคร มาจากไหน สืบมาได้ความว่า ชื่ออเนก เพิ่งกลับมาจากการไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ นิสัยดีพอใช้ ที่สำคัญโสด เอาล่ะเป็นไงเป็นกัน ศรีจะลองเสี่ยงดู
"อุ๊ย ขอโทษค่ะ "
หลังจากที่พยายามยืนอยู่ใกล้ๆ เค้าตอนที่เจ้าสาวโยนช่อดอกไม้
" ไม่เป็นไรครับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า "
ตามแผนที่คิดไว้ ไม่ยากที่คนอย่างเธอจะแสดง ท่ากระโดดรับดอกไม้ให้ดูเหมือนจริง ทั้งที่แท้จริงแล้วศรีตั้งใจจะกระโดดชนเค้าคนนั้น ให้องศาพอดี ต่างหาก
หลังจากวันนั้น 3 ปี หลังจากดูใจกันมา ระฆังวิวาห์ ของสมศรี และอเนก ก็ดังขึ้น การ์ดเชิญของเราสองคน เรียบง่าย การ์ดแผ่นเดียวที่ด้านบนทีคำสลักไว้ว่า Now and Forever
ด้านล่างเป็นรูปเงาของคนสองคนที่หันหลังซบกันอยู่ที่ริมทะเลยามตะวันยามตกดิน สามปีที่ใช้เวลาศึกษากันและกัน สามปีที่เป็นช่วงเวลาดีๆ ในชีวิตของสมศรี หลังแต่งงานจำได้ว่าเพื่อนที่ทำงานมาทักทายถามไถ่
" อิจฉาเธอจังน่ะ ศรี เธอโชคดีจัง ที่ได้เจอคนดีๆ อย่างคุณเนก " ป้อมเพื่อนที่ทำงานแผนกเดียวกันพูด
" ใช่ เราก็เห็นด้วยเธอไปเจอเค้าที่ไหน ยังมีเหลืออีกสักคนไหม นี้ ชั้นน่ะยังหาไม่เจอเลยเธอ " เพื่อนอีกคนพูดขึ้น
สมศรีคิดในใจ ว่าใครจะไปบอกพวกเธอว่าคน นี้เองที่ฉันตั้งใจกระโดดไปชน
"แหม พวกเธอก็ ไม่ขนาดนั้นหรอก ไปไป ทำงานกันได้แล้ว" สมศรีพูดตัดบท
ยามนั้นสมศรีทำงานอยู่ที่บริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง งานที่ทำเป็นงานที่เธอรัก ด้วยการใช้ความคิดออกแบบ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์นั้นเป็นที่ติดตลาด สมศรีเป็นสาวยุคใหม่ บุคลิก คล่องแคล่ว รูปร่างสมส่วน ผิวขาว ตาโต แก้มเนียนใส หน้าตาถูกแต่งเติมไว้เป็นสีชมพู เรื่อยๆ ให้ดูเป็นสาวสุขภาพดี ผมสีน้ำตาลยาวเป็นลอน ประบ่า
กับเธอ คนที่ฉันกระโดดชน เมื่อเรียนจบกลับมาจากเมืองนอก ก็ได้ทำงานในบริษัท ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ชื่อดัง ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วโลก
"ศรี วันนี้เดี๋ยวผมไปรับน่ะ ศรีเลิกงานหรือยัง" เสียงของอเนกส่งมาตามสาย
"ผมคิดถึงศรี จะขาดใจอยู่แล้ว"
"อะไรจะขนาดนั้นค่ะ เดี๋ยวเย็นนี้ก็เจอกันแล้ววันนี้อยากกินอะไรค่ะ " สมศรีหัวเราะ ยามหวานเค้าก็ช่างออดอ้อน
"อยากกินศรีอย่างเดียวล่ะครับ ตอนนี้"
"ไม่เอา พูดเล่นอยู่ได้ เอาจริงๆ สิค่ะ ศรีจะได้เตรียมซื้อได้ถูก" เสียงของศรีเริ่มเข้มขึ้น
"กินอะไรก็ได้ เอาง่ายๆ ผัดผักก็ได้คับผม คุณแม่"
ในบ้านหลังไม่ใหญ่ บ้านที่สร้างมาด้วยหยาดเหงื่อของเราสองคน กระเบื้องทุกอัน ไม้ทุกแผ่น ต้นไม้ทุกต้น ที่ประกอบกันเราสองคนช่วยกันสร้าง ช่วยกันหา ช่วยกันเลือก หลังอาหารค่ำ เราสองคนจะออกมานั่งสูดอากาศ ที่ ระเบียงบ้าน อเนกชอบฟังเพลง เค้าจะเปิดเพลงคลอเบาๆ ส่วนสมศรีก็จะชงกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล
ยกมาให้เค้า ส่วนตัวเองก็ดื่มน้ำขิง ร้อนๆ เคียงข้างเค้า นั่ง ชมแสงดาว แสงเดือนด้วยกัน จากนั้นก็เป็นเวลาที่เราสองคนจะได้ซุกกายบนเตียงนุ่ม ใต้ผ้าห่ม ซุกไซ้ ด้วยกายอันเปลือยเปล่า
แนบชิดหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เสียงหายใจที่หอบถี่ขึ้น เสียงเนื้อแนบเนื้อ บรรเลงเป็นจังหวะลีลา โรมรัน โหมกระหน่ำ กอดเกี่ยว พลันกายลอยละล่อง ไปในละอองเศษสวรรค์
" เนกอยากมีลูกไหมค่ะ " สมศรีนอนเกยท่อนแขนของสามี
" เราสองคนก็อายุ เริ่มมากแล้ว เดี๋ยวแก่ไปจะเลี้ยงไม่ไหวน่ะ "
" ค่ะ เราจะได้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์สักที" ฝันถึงครอบครัวที่มีพ่อ มีแม่ และลูกๆ ในบ้านหลังน้อย
................................
กริ๊งๆเสียงกดกริ่งหน้าบ้าน ทำให้สมศรี ตี่นจากภวัง และเดินไปเปิดประตูหน้าบ้านคงจะเป็นคนบ้านนู้นที่ขับรถมาส่งเด็กหญิงตัวน้อย
" แป้ง ถืออะไรมาด้วยลูก ไหนมาให้แม่ดูสิ " ในมือเด็กหญิงถือกล่องขนมปัง
" พี่ศรี ผมเอาแป้งมาส่งแล้ว น่ะ เห็นบอกว่า วันนี้พี่ทำของโปรดไว้ให้แก "
" อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนไหม ศร น้องมีธุระอะไรไหม " ศรีเอ่ยปากชวนน้องชาย
"แล้ว พี่อเนกยังไม่กลับหรอ ไหนวันนี้ ได้ยินเจ้าแป้งบอกว่า พ่อจะกลับมากินข้าว" ศรีหน้าเจื่อนไปนิดนึง
"มา เข้ามาเถิด วันนี้พอดีอเนกเค้าติดงาน มากินข้าวเป็นเพื่อนที่หน่อย" ออนเดินน้ำหน้า พร้อมอุ้มน้องแป้ง
เข้าบ้านไม่ให้น้องชายเห็น หยดน้ำน้อยๆที่ล้นปริ่มๆ อยู่ที่ขอบตา
อุ้มน้องแป้งมาที่โต๊ะกินข้าว แล้ววางลงบนเก้าอี้พิเศษ สำหรับเด็ก 3 ขวบ
"แม่ แม่วันนี้ แป้งจะกินเองน่ะ น้องแป้งโตแล้ว น้องแป้งจะไปโรงเรียนแล้ว" เด็กหญิงวัย 3 ขวบช่าง
ฉอเลาะ เด็กผู้หญิงก็พูดเก่งอย่างนี้
"ใครสอนมาลูกว่าน้องแป้งโตแล้ว" ศรียิ้ม ขันกับความแก่แดดของเด็กหญิง
สมศรีวางชามแกงจืดที่ใส่เต้าหู้ ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ หมูสับบด พร้อมด้วยผักกาดขาวหวานนิ่ม
" ก็คุณยายบอกว่า แป้งโตแล้ว แป้งกินข้าว อาบน้ำเองได้แล้ว "
หันไปมองน้องชายที่เดินไปที่ มุ้งเล็กๆสีฟ้าที่ครอบเจ้าตัวเล็กไว้
"เจ้าตัวเล็กนี่มาทีไร หลับทุกทีเลยน่ะพี่ศรี "
" เพิ่งหลับไปตอนหัวค่ำนี้เอง ปาล์มเลี้ยงง่ายไม่งอแง" ศรีบอกพลางตักข้าวสวย หอมกรุ่นใส่จาน
"มา มานั่งนี่ กินข้าว พี่หิวแล้ว กินให้หมดไม่ต้องเหลือเลยน่ะ"
" พี่ศรี นี่ก็เก่งน่ะ ใครจะนึกว่า ผู้หญิงเก่งอย่างพี่จะออกจากงานมาอยู่บ้านเลี้ยงลูก"
" พี่เองก็ไม่นึกเหมือนกันน้องเอ๋ย ว่าชีวิตพี่จะต้องเป็นอย่างนี้ "
******โปรดติดตาม ขวดนมและขวดเหล้า ตอนจบได้เร็วๆนี้****************
15 กันยายน 2545 20:03 น.
13 นางมาร
" ก็บ้านเราอยู่ติดกันอยู่ติดกันพอดี เปิดหน้าต่างทุกที ทุกทีหน้าเราก็ชนกัน ถ้าเมื่อไหร่หน้างอเราก็งอใส่กัน
แต่ก็มีบางวันที่ยิ้มให้กันตลอดไป เรายิ้มให้กันตลอดไป.."
เสียงเพลงจากตู้สี่เหลี่ยม ใสๆ ข้างในมีทีวีและไมโครโฟน พร้อมด้วยคนที่ยอมเสียเงินสิบบาทต่อ 1 เพลง
มันช่างเป็นตู้ที่รวยไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ เป็นประดิษฐ์กรรมเพื่อสนอง
ความต้องการของมนุษย์ที่มีใจรักการร้องเพลงอย่างแท้จริง ออนเดินผ่านเจ้าตู้นี้ขณะเดินซื้อของที่ห้างแห่งหนึ่ง หูได้ยินเสียงที่เล็ดลอดออกมา
ใครน่ะช่างเลือกร้องเพลงเก่าได้มาเสียเงินเพื่อร้องเพลงเก่า ๆ เพลงนี้ คิดว่าเค้าคงมีความหลังฝังใจกับเพื่อนบ้านแน่ ถึงได้
ติดใจยอมเสียเงินเพื่อจะได้ระลึกความหลัง
นึกถึงเพื่อนบ้าน แล้วออนก็พาล ระลึกถึง ...เธอ นานแล้วน่ะตั้งแต่เธอได้ย้ายจากไป ไปตามทางของชีวิต ภาพในวันนั้นยังตรึงอยู่ในความทรงจำ
วันนั้นวันที่เราพบกันครั้งแรก
" พี่แหม่ม หายไปไหนมา วันนี้ออนรอ จะเล่นด้วย ลูกนกที่บ้านโตแล้วไปดูกันไหม " วัยนั้นเด็กหญิงผมเปีย หัวยุ่ง
หน้ามอมเป็นแมว พูดขึ้นหลังจากเจอเพื่อนเล่น ที่รอคอยมาทั้งวัน
" ออน พี่ คนมาแนะนำ ให้รู้จัก อีก 2 คน คนนี้ พี่ปอ กับ ป่าน เค้าเป็นพี่น้องกับพี่ จะมาอยู่บ้านที่ด้วย" พี่แหม่มซึ่งยามนั้นเป็น
เพื่อนบ้าน รั้วเดียวกัน ที่วัยใกล้ๆกับออนมากที่สุด แนะนำ 2 พี่น้องให้ออนรู้จัก
" ออนกับป่านน่าจะอายุเท่ากันน่ะ "
" เธอจะมาอยู่ บ้านเดียวกับพี่แหม่ม ก็คือบ้านติดกับเราใช่ไหม " ออนจีบปากจีบคอทักทายเพื่อนใหม่ ที่หน้ากลมขาว หมวย ดูก็รู้ว่าเป็น
ลูกของลุงซื้งเป็นพ่อของพี่แหม่ม
" ใช่ แม่เราเสียไปแล้ว แม่เราเป็นมะเร็ง " ป่านพูดขึ้นมา
ยามนั้นออนยังไม่เข้าใจว่ามะเร็งคืออะไร รู้แค่ป่านบอกว่า แม่ของเธอชอบกินขนมปังที่ปิ้งไหม้ๆ และของย่าง
ที่ไหม้ๆ เกรียมๆ ยามนั้นรู้อย่างเดียวว่ามีเพื่อนเล่นคนใหม่ ที่รุ่นราวคราวเดียวกัน เค้า 3 คนอยู่บ้านเดียวกัน
พี่แหม่ม พี่ปอ แล้วก็ ป่าน 3 สาวซึ่งพ่อเดียวกันแต่คนละแม่
ยามเด็กบ้านของออนเงียบเหงามาก บ้านเราไม่มีใครนอกจากออน แม่และพี่ ดังนั้นคนชอบความครื่นเครงอย่างออน
มีหรือที่จะไม่ร่อนไปตามบ้านต่างๆ บ้านที่อยู่บ้านตรงข้าม ซึ่งเป็นบ้านคุณยายก็เป็นที่หนึ่งที่ออนใช้หลบภัย
หากแต่บ้านยายมีแต่พี่ๆ ไม่มีเพื่อนวัยเดียวกันดังนั้น การจะหาเพื่อนหรือทำชีวิตไม่ให้เหงานั้น ออนเรียนรู้
ตั้งแต่เด็กว่าจะต้องทำอย่างไร
เท่าที่สมองในวัยเด็กจะคิดได้ ไม่ห็นยากถ้าเหงา ก็เดินไปหา 3 สาวบ้านติดกัน ก็สนุกแล้ว ของเล่นมากมาย
เพื่อนเล่นก็มี 3 สาวบ้านนั้นแต่ละคนก็ชอบเล่นคนละอย่าง พี่ปอชอบเล่น วี ดี โอ เกมส์ เข้าไปบ้านนั้น
ทีไร ก็เห็นพี่ปอจ้องอยู่หน้าทีวี ที่ประกอบเข้ากับเกมส์ ส่วนพี่แหม่มนั้นเล่นได้หมด แต่เรื่องโลดโผนเช่น
ขี่จักรยาน ไปท้ายหมู่บ้านไปตะลุยกองทราย จะถนัดเป็นพิเศษ ส่วนป่านเพื่อนรักของออนนั้น
นิสัยเรียบร้อย อ่อนโยน ไม่ชอบกิจกรรมแผลงๆ ป่านเป็นคนเดียวในรุ่นๆ ที่ที่โตขึ้นมาด้วนกันแล้วขี่จักรยานไม่เป็น
ด้วยว่าป่านเคยหัดแล้วล้ม หลังจากนั้นเธอจึงมาซ้อนท้าย ออนแทนเวลาแก๊งพวกเราออกตระเวนขี้จักรยานเล่นกัน
แม้ทักษะทางด้านการโลดโผ่นของป่านจะมีไม่มาก แต่ทักษะทางด้านกระประะดิษฐ์ประดอยนั้นป่านมีมากกว่าทุกคนในวัย
เดียวกัน ของเล่นจุกจิกมากมายที่พวกเราเล่นก็เป็นผลงานของป่าน วิชาพับนกกระเรียน
และพับอื่นๆ อีกมากมาย ก็ได้เธอคนนี้ที่สอน ที่สำคัญคือ ป่านเป็นคนรักการอ่าน เราสองคนมักแลกหนังสือ
กันอ่านเสมอ ยังจำได้ว่าเรื่อง โต๊ะโต๊ะจังเด็กหญิงข้างหน้าต่าง และเรื่อง ราโมนาเด็กดี เธอเป็นคนแนะนำให้ออนอ่าน
และอีกหลายต่อหลายเรื่องที่เราแลกกันอ่าน
มีบ้างบางครั้งที่พ่อแม่ บ้านนั้นพาลูกสาว 3 คนไปเที่ยว กันเป็นครอบครัวซึ่งโดยมากเป็นวัน
อาทิตย์ ออนก็ต้องกลับมาอยู่บ้านตัวเอง และถ้าตรงกับที่บ้านคุณยายไม่มีใครอยู่ ออนไม่มีที่ไป
จึงต้องกลับมาอยู่บ้านตัวเอง ยามเย็นวันอาทิตย์ เสียงนก กา บินกลับรวงรัง บ้านอันเงียบเชียบ
กับเด็กหญิงที่นั่งโยกเปลไกวเล่นอยู่คนเดียว ที่ในใจมีแต่ความเหงา รู้สึกรับรู้รสชาติของความเจ็บปวด ความ เหงา เศร้า
ปวดร้าวที่ไม่มีใครสนใจดูแล เหมือนไม่มีใครรัก เหมือนอยู่คนเดียวในโลก ไม่มีครอบครัวที่อบอุ่น
ไม่มีวันที่ จะได้ออกไปเที่ยวไปกินข้าวครบหน้า อย่างที่คนอื่นมี ความเหงากับออนจึงเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่วัยเด็ก
แต่ความเหงาก็ไม่ได้มาเยี่ยมบ่อยนักพราะปรกติแล้ว ออนจะหาทางออกให้กับตัวเองได้เสมอ ...
เวลาผ่านไป...............
จวบจนโต นึกแล้วก็ขำตอนนี้ต่างคนก็ต่างไป ออนเองก็ไม่ได้ข้ามไปหา 3 สาวอีกเลย หลังจาก
ที่ทุกคนก็โตแล้ว แยกวงออกไป หากแต่ตอนนี้กำลังมีสิ่งมีชีวิต อย่างนึงที่ข้ามมาจากบ้าน 3 สาวนั้นเข้ามาบ้านออน
" มิกกี้ กลับบ้านไป "
ออนส่งเสียงไล่เจ้าหมาพุดเดิ้ล ขนหยิกหนอง สีทอง พลางเดินไปข้างรั้วและตะโกนว่า
" มีใครอยู่บ้าง มารับมิกกี้หน่อย"
เงียบ
ไม่มีเสียงตอบกลับระหว่างที่ออนกำลังชะเง้อ ชะแง้ เรียก เจ้าของมิกกี้ ข้างหลังออนคือ
เจ้าส้มโชกุลและเพื่อนบ้าน ที่เล่นกันอย่างสนุกสนาน มิกกี้ตัวเล็กกว่าโชกุล
สามารถมุดใต้ท้องโชกุลได้ สองตัวเล่น ฟัดกันนัวเนีย บางครั้งโชกุลก็ดึงหูอันยาวฟู ของมิกกี้แล้วสะบัด
บางครั้งโชกุลก็เอาตีนตบมิกกี้ จนเจ้ามิกกี้ต้องทำท่ายอมแพ้โดยการนอน หงายท้อง ขนเจ้ามิกกี้จะเต็มไปด้วย
ดินและโคลน ช่วงเวลาที่มิกกี้แอบมาหาโชกุล จึงดูเหมือนเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ของทั้งคู่โดยแท้
ชั่วเวลาไม่นานคนที่บ้าน 3 สาวก็จะมาอุ้มมิกกี้ กลับบ้านไปโชกุล มองตาละห้อย
คาดว่ามันคงจะส่งภาษาหมากันแล้วว่า
" ไปก่อนน่ะเพื่อนรัก แล้วข้าจะมุดมาใหม่ เมื่อมีโอกาส " มิกกี้บอก
" แล้วข้าจะรอ น่ะ มาหาเร็วๆ น่ะ ข้าเหงา " โชกุลตอบกลับพลางเดินไปส่งมิกกี้ที่ประตู
" บ็อก บ็อก "
ในความรู้สึกของออน พอจะเข้าใจความรู้สีกของ 2 หมาเพื่อนรักนี้ เพราะทั้งโชกุล และมิกกี้ต่างก็มี
ความเหมือนกันอยู่หนึ่งอย่างนั้นคือ ความเหงา ด้วยว่าปรกติทั้งคู่ก็ต้องอยู่ตัวเดียว โดยโชกุลอยู่นอกบ้าน
และมิกกี้อยู่ในบ้านของสามสาว ต่างก็ต้องรอ เจ้านาย กลับมาเล่นด้วย ส่วนในรูปลักษณภายนอก ทั้งคู่ไม่มีอะไร
เหมือนกันเลย ว่าด้วยโชกุลหน้าสั้น มิกกี้หน้ายาวแหลม โชกุลสีดำสลับขาว มิกกี้สีน้ำตาลเข้มเป็นประกายทอง
โชกุลขนสั้นตรง มิกกี้ขนหยิกหยอง โชกุลตัวหนา ล่ำ มิกกี้ตัวเล็กผอม แต่ทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนกันได้
จำไม่ได้ว่ามิกกี้และโชกุลมาเป็นเพื่อนชี้ กันได้ตั้งแต่เมื่อไหร่รู้อีกที มิกกี้ก็เป็นแขกประจำบ้านที่ชอบหนี
ออนจากบ้านตัวเองมาบ้านออนอยู่เป็นเนืองๆ ตามข้อสัณนิษฐาน คาดว่า บ่ายวันหนึ่ง
มิกกี้คงจะเหงามากจึงหาทางออน มุดรั้วออกมานอกบ้าน หลังจากออกมาได้ สมองอันน้อยนิดของ มิกกี้คงตัดสินใจถูกที่
เลี้ยวซ้าย มาเจอบ้านรั้วสีน้ำเงิน ประตูบ้านเป็นรูๆสีเหลี่ยมขนาดพอดีตัว สามารถมุดเข้ามาได้
เมื่อมุดเข้ามา มิกกี้ คงได้พบหน้าส้มโชกุลครั้งแรก มิกกี้คงตกใจกับตัวประหลาดหน้ายู่ๆ ตาโปน หน้าตาเหมือนตื่นตระหนก ของโชกุล
มิกกี้คงเริ่มต้นมิตรภาพแบบหมาๆ เรียบ ง่าย ด้วยวิธีนี้
เห็นหมาแล้วคิดถึงเจ้าของหมา ไม่รู้ป่านนี้ ป่านจะเป็นอย่างไรบ้าง นานแล้วที่ไม่ได้เจอกัน ด้วยว่าต่างคนก็ต่าง
วิ่ง วุ่น อยู่ในวังวนความวุ่นวายของมนุษย์ มิตรภาพบางครั้งก็สามารถประทับอยู่ในความทรงจำได้นาน มันโดนแช่แข็ง
ด้วยความรู้สึกในวัยเด็ก ความไร้เดียงสาในวันอันเยาว์วัย แค่ได้คิดถึงก็มีความสุข แม้ว่าภาพในความทรงจำ
มันจะนานจนตอนนี้ กลายเป็นภาพขาวดำแล้วก็ตาม แต่เชื่อเถิดน่ะ ป่าน...เธอจะเป็นคนในความทรงจำของเราตลอดไป
เราสัญญา ... ปล ตอนนี้แม้เราจะห่างกันแต่เราก็มีตัวแทนคือน้องหมาของเราที่มาเป็นเพื่อนกันน่ะ
นึกถึงคำสัญญาแล้ว จำได้ว่าออน สัญญากับน้องหมาไว้ ว่าจะพาโชกุลเข้ามาเล่นในบ้าน วันละ 10 นาที
พี่ออนขอรับผิด บางวันพี่ออนก็ไม่ได้พาโชกุลเข้าบ้าน เพราะว่ากลับมาโชกุลก็เข้ากรงนอนแล้ว
พี่ออนคงไม่ ไปปลุกโชกุลออกมาหรอกน่ะ ให้โชกุลนอนหลับฝันดี คงจะดีกว่า ส่วนเรื่องพาโชกุลวิ่งนั้น
พักนี้ ฝนตกชุ พอยามเย็นวันเสาร์ หรืออาทิตย์ ฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจ กระหน่ำลง มาพี่ออนคงไม่อุตริ พาโชกุล
วิ่งเล่นกลางสายฝน เพราะฉะนั้นบางครั้งคำสัญญาก็ต้องมีข้อแม้ ในบางที หวังว่าลูกโชกุลคงจะเข้าใจน่ะลูก
พี่ออนไม่ได้แก้ตัวน่ะ เค้าเรียกว่าข้อจำกัดของสัญญาน่ะลูก
วันก่อนขณะที่เราสามคนแม่ลูกนั่งกินข้าวด้วยกัน นานทีจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ในวงสนทนา
ก็มีการพูดถึงโชกุล กันในทำนองว่า
" สงสารโชกุล หาเพื่อนมาอยู่นอกบ้านให้โชกุล ไหม "
" แล้วจะเลี้ยงหรอ แต่ 2 ตัวยัง ขนาดนี้เลย "
" แต่โชกุลก็จะ 2 ขวบแล้วเป็นหนุ่มแล้ว น่าจะหาแฟนให้โชกุล" พี่แอนพูด
"จริงๆ โชกุล เลี้ยงง่าย น่ะ อยู่นอกบ้าน กินก็ง่าย อยู่ก็ง่าย"
" ได้ เดี๋ยวจะลองถามๆ ดูว่า ใครมี หมา บอสตั้น เทอเรีย ตัวเมียบ้าง " ออนบอกแม่และพี่ พลางคิดว่าอาจลอง
เข้า internet ตาม web board ประกาศขายต่างๆ
ว่าแล้วเมื่อมีเวลาว่างจากงาน ออนก็ลองเข้า www.หมาน้อยน่ารัก.com ออนลองเข้าไปที่มุมwebboardประกาศ
สัตว์เลี้ยง ลองอ่านหัวข้อที่คนเข้ามา Post ไว้ ส่วนมากจะเป็นขายหมาพันธุ์ที่ คนนิยมเลี้ยง ไม่ว่าจะเป็น พั๊ก
เทอเรีย , ดัลเมเชี่ยน ,บางแก้ว ,บ็อกเซอร์ , พุดเดิ้ล ,ร็อดไวเลอร์ , ปักกิ่ง , โกลเด้น รีทีฟเวอร์ , ดัลเมเชี้ยน
หาจนออนใจ ท่าทางจะไม่มีใครเลี้ยง บอสคั้น เทอเรียเลย เศร้าใจจัง จะหาคนเลี้ยงนักคนไม่มีเลยหรอ
แล้วโชกุลจะหาแฟนได้อย่างไร วันก่อนไปเดินสวนจตุจักร ถามๆก็ไม่มีใครขายเจ้า บอสตั้น เทอเรียเลย
คลิกไปคลิก มากลับไป ดูกระทู้เก่าๆ พลันก็เห็น มีคนมาตั้งทู้ไว้ว่า
**** ขายลูกสุนัข บอสตั้น เทอเรีย แท้ *****
เย้ เย้ ยัป ปี้ !!! เจอ แล้ว ดีใจ มาก รีบกดเข้าไป อ่าน
เค้าให้เบอร์โทรไว้ บอกว่าสนใจติดต่อ เบอร์ 01-XXX-XXXX เป็นเบอร์มือถือ
จากนั้นออนก็รับโทรไป หาทันที
ตู๊ด ตู๊ด ๆๆ เมื่อมีคนรับ
" สวัสดีคับ "
" สวัสดีค่ะ เออโทรมาเรื่องน้องหมาบอสตั้น ที่ลงไว้ใน Web ค่ะ" เสียงออนตื่นเต้นที่จะได้คุยกับคนเลี้ยงหมาพันธุ์เดียวกัน
"คับผม ไม่ทราบคุณอะไรคับ" เสียงอีกด้านตอบกลับมาเป็นเสียงผู้ชาย
" ชื่อ ออนค่ะ แล้วคุณชื่ออะไรค่ะ"
" ผมเล็กคับ ที่บ้านคุณออนเลี้ยง ตัวผู้หรือตัวเมียคับ "
"ออนเลี้ยงตัวผู้ค่ะ มันไม่มีเพื่อนเลย หาคนเลี้ยงพันธ์นี้ยากจังค่ะ"
" ผมเองก็เลี้ยงมานาน พยายามรวบรวมคนเลี้ยง บอสตั้น เทอเรีย อยู่เหมือนกันได้ประมาณ 10 กว่าคน"
" แล้วคุณเล็ก ลงประกาศขายไว้หรอค่ะ"
"อ้อ มันนานแล้วคับ มีคนมาซื้อไปแล้ว"
" หรอค่ะ ว้า นึกว่าจะซื้อมาเลี้ยงเป็นเพื่อนน้องหมาน่ะค่ะ น้องหมาของออน หล่อน่ะค่ะ พ่อแม่ของมันเป็น
บอสตั้น แท้แบบ ped degree มาจากเมื่อนอก" ออนคุยอย่างเมามันส์ บางครั้งเพื่อนใหม่ก็หาได้ง่ายดาย
เพียงแค่มีส่วนเหมือนกันแค่ 1 อย่างคือเป็นเจ้าของหมา พันธ์ที่ประชาชนเค้าไม่ค่อยเลี้ยงกัน
" ที่บ้านผมเลี้ยง อยู่ 2 ตัวคับ "
" อยากเห็นจังเลยค่ะ โชกุลก็คงอยากเจอด้วย "
" ได้คับ ไว้ถ้า ว่างๆ ผมจะนัด คนเลี้ยงบอสตั้น เทอเรียอีกคน ทีผมรู้จัก มาเจอกัน"
"ได้ค่ะ ว่าแต่คุณเล็กอยู่ละแวกไหนค่ะ "
เมื่อได้รู้ว่าบ้านของเค้าและคนที่เลี้ยงบอสตั้น อีกคนอยู่ละแวก ชาญเมืองเหมือนกัน ออนก็รู้สึกยินดีมาก
เพราะว่า เห็นหนทางที่โชกุลจะได้มีเพื่อนเล่น เป็นหมาหน้าตาเหมือนกัน
เย็นวันหนึ่ง วันที่ออนได้ตกลงนัดวันกับคุณเล็กแล้วว่าจะพาหมาไปเจอกัน ออนพาโชกุลเข้ามาเล่นในบ้าน
ออนคุยกับโชกุล ถึงเพื่อนใหม่ที่ออนจะพาโฃกุลไปเจอ
" ลูกโชกุล มานี่ลูก พี่ออนมีข่าวดี " ออนพูดกับหมา โดยมีโชกุลนั่งจ้องหน้า ตาโปน
" พี่ออน หาเพื่อนให้ได้แล้ว เดี๋ยว เสาร์หน้าตอนเย็นเราไปหาเพื่อนโชกุลกันน่ะ บ้านนั้นเค้าเลี้ยง 2 ตัว"
" แม่ เสาร์หน้า ไปด้วยกันน่ะ พาโชกุลไปหาเพื่อน ไปดูกันว่าหมาเค้าสวยกว่าหมา เราไหม " ออนหันไปบอกแม่
ลูกโชกุล คงจะรับรู้ได้แต่ว่า มีเรื่องดีๆ แต่มันคงไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร
" โชกุล ดีใจ ไหมลูก จะได้พบเพื่อนที่หน้าตาแบบเดียวกัน "
แล้ววันเสาร์ที่โชกุลและเจ้าของรอคอยก็มาถึง ออนเรียกแม่ซึ่งกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่นอกบ้าน
" แม่ แม่ ไป พาลูกกุลไปหาเพื่อนกัน "
ว่าแล้วออนก็เอาสายจูงมาถือไว้ เอาปลอกคอใส่ให้โชกุล ดูหน้ามันดีใจมากเหมือนรู้ว่าจะได้ไปเที่ยว
"มามา ส้มโชกุลขึ้นรถ"
ส้มโชกุลกระโดดขึ้นและนั่งลงอย่าง งง งง เพราะปรกติ ถ้าโชกุลกระโดดขึ้นรถ มันจะต้องโดนไล่ลงมา
เมื่อออนและแม่ ขึ้นนั่งข้างหน้า ออนบอกกับโชกุลว่า
" โชกุล นั่งเรียบร้อยน่ะ อย่าซน "
เมื่อรถเริ่มเคลื่นโชกุลซึ่งนานๆ ได้นั่งรถสักที มันมองเลิกลั๊ก ออกไปข้างนอก ทำหาลีบไปด้านหลัง
ออนเห็นทีท่า มันคงไม่คุ้นกับการนั่งรถ ออนจึงเอามือไปลูบหัวมันเบาๆ ไม่ให้มันตกใจ
สองคนแม่ลูกและหมาอีก 1 ตัว ขับรถไปยังหมู่บ้านที่เป็นที่นัดหมายในการพบปะกันระหว่างหมาและหมา
เจอแล้วบ้านคุณเล็ก บ้านข้างหน้าล่ะแม่ ดูตามบ้านเลขที่ ที่เค้าให้ไว้ ว่าแล้วก็จอดรถแล้วก็พาส้มโชกุลลง
จากรถ มันมีทีท่าตื่นเต้น มันคงไม่เข้าใจว่าพามันมาทำไม ออนกดกริ่ง หลังจากนั้นเจ้าของบ้านออกมาเปิดประตู
ออนทักทาย และแนะนำคุณแม่ให้คุณเล็กรู้จัก
........
หลังจากกล่าวอำลาเจ้าของบ้าน ออนและแม่พาโชกุลขึ้นรถกลับบ้าน เมื่ออยู่ในรถ
" นึกว่าหมาเรา หล่อแล้ว ปรากฎสู้ หมาเค้าไม่ได้เลย " ออนพูดขึ้นและต่อด้วยประโยคที่ว่า
" หมาเค้า ตัวล่ำหนา ขนมัน หูตั้ง ตัวป้อมๆ ลูกกุล ขี้เหร่ ไปเลยลูก "
ออนหันไปมองโชกุล อย่างพิจารณา โชกุลขายาวอย่างที่เค้าบอกจริงๆ
เมื่อไปเทียบกับหมาพันธุ์เดียวกัน โชกุลตัวผอมไปถนัดตา และขาก็ยาวเรียว กว่าตัวอื่น
แต่เรื่องหน้าตา ก็พอสู้จะเค้าได้ มีแต่รูปร่างที่ หมาเค้าสวยกว่า ขาดลอย
โชกุล เมื่อได้พบหน้า หมาบ้านนั้น มันเล่นกันอย่าง สนุกสนาน โชกุลดูมีความสุขมาก
ที่ได้เจอเพื่อนที่หน้าตาเหมือนกัน ระหว่างที่ปล่อยให้หมาเล่นกัน คนเลี้ยงหมา
ก็มานั่งคุยกัน คุณเล็กผู้ซึ่งเคย พาหมาของเค้าไปประกวด บอสตั้น เทอเรีย ตามสนามต่างๆ
วิจารณ์โชกุลตรงๆ ว่า " ลำตัวเล็กไป ตัวผอม ไป และขาวยาวเกิน ทำให้ตัวดูโย่งเย่ง ดูกล้ามเนื้อไม่
เป็นมัด เค้าบอกว่าให้หมั่น พาโชกุลวิ่งเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อขา"
ออนยิ้ม ให้เค้าแล้วบอกเค้าว่า
" ปรกติ ก็พยายามจะพาเค้าวิ่งน่ะค่ะ ถ้ามีเวลา หมาของคุณเล็กสวยมากเลย ทำอย่างไร หูตั้ง ได้ขนาดนั้นค่ะ แล้วตัว
ก็ล่ำหนา ขาโต กล้ามเนื่อเป็นมัด "
เจ้าของยิ้มใหญ่ที่ออนชม ว่าหมาของเค้าสวย และเจ้าของเลยเล่าวิธีเลี้ยงให้ออนฟังมากมาย
ออนถามถึงราคา ของลูกหมาที่เค้าขายไปครอกที่ แล้วฟังตัวเลขแล้วออน ก็อึ้ง ตัวละ หนึ่งหมื่นบาท
อึ้ม.....คิดในใจ โชกุล รอพี่ออนเก็บเงินก่อนล่ะกัน ตอนนี้ ก็เล่นกับมิกกี้ เพื่อนเกลอไปก่อนน่ะลูก
กลับมาถึงบ้าน โชกุลลงจากรถวิ่งไปหาส้มฉุน ซึ่งรถการกลับมาของเราอยู่ที่บ้าน
ส้มฉุนวิ่งมาทักทาย และดมตัวโชกุล มันคงได้กลิ่นหมาจากบ้านโน้น
ออนให้ข้าวหมาทั้งสองตัว พลางพูดกับโชกุลและส้มฉุนตอนให้ข้าวว่า
" ลูกกุล ลูก ฉุน ใครว่าลูกไม่หล่อ ไม่เป็นไร พี่ออนว่าหล่อ ก็พอแล้วน่ะลูกน่ะ "
สำหรับหมาก็คงก้มหน้าก้มตากินไป ไม่ได้รู้เรื่องรูปร่างหน้าตาภายนอก รู้แต่ว่า วันนี้ มันได้เจอเพื่อนใหม่
ได้เล่นกันสนุกสนาน
หมาคงรู้แค่นี้ แต่สำหรับคน วันนี้เป็นวันที่ออนได้เข้าใจอะไรบางอย่าง เข้าใจแล้วว่าความคิดที่แล้วมาของออนนั้น ผิดหมด
ออนเคยทะนงนัก หนา ว่าหมา ข้านี้ช่าง หล่อ เหลา ที่สุด เนื่องด้วยไม่เคยมีหมาพันธุ์เดียวกันมาเปรียบเทียบ ทำให้เข้าใจไปเองว่า หมาเรานั้นเจ๋งที่สุด
หล่อที่สุด ช่างน่าหัวเราะในความคิดของตัวเอง วันนี้ออนได้รู้แล้วว่าโชกุลนั้นหน้าตาธรรมดาเมื่อเทียบกับหมาพันธุ์เดียวกัน
และออนก็ยอมรับได้แล้วว่า โชกุลก็เป็นอย่างที่มันเป็น เอาเป็นว่าโชกุลน่ารักและเป็นหมาที่ดี ในสายตาของออนก็พอ
มองดูหมาแล้วย้อนมองคนเรา ว่า อย่างพึ่งทะนงตัวไปว่าเราสามารถทำในบางสิ่งได้ แม้คนรอบกาย
จะชม จะชื่นชอบ ว่าเราดี ก็ไม่ได้หมายความว่าเราเก่งที่สุด เมื่อไรที่เราได้เจอคู่เปรียบ
เมื่อนั้น เราจะรู้ว่าเราอยู่ที่ระดับไหน และเหนือสิ่งอื่นใด สำหรับคนเมื่อรู้ตัวเองแล้วก็ต้องปรับปรุงพัฒนา ตัวเองขึ้น ไปทำให้เต็มความสามารถ
เมื่อนั้น ไม่ว่าใครจะว่าเราว่าอย่างไร หรือเทียบกับคนอื่นแล้วเราจะอยู่ระดับไหน อย่างน้อยเรา ก็ยิ้มรับได้อย่างภาคภูมิ ว่า
" วันนั้นฉันได้ทำอย่างเต็มความสามารถแล้ว"
ตอนต่อไป หมาในอยากออก หมานอกอยากเข้า ตอนที่ 6 หมาเร่ร่อน
3 กันยายน 2545 18:11 น.
13 นางมาร
ณ. ร้านหนังสือร้านโปรดของออน ระหว่างที่รอให้ฝนข้างนอกหยุดตกเพื่อจะได้ออกเดินทางต่อ
ตั้งใจมาร้านหนังสือ เพื่อมาหาข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับการเลี้ยงสุนัข และหาข้อมูลเกี่ยวกับจิตวิทยาการเลี้ยงเด็ก เพื่อจะได้นำไปต่อกร กับลูกโชกุล ที่ตอนนี้ แผลงฤทธิ์ ทำตัวมีปัญหาอย่างหนัก ส้มโชกุลไม่ต่างกับเด็ก 4-5 ขวบที่มีปัญหาเลย พักนี้โชกุล พังข้าวชอง กัดต้นไม้ ขวิดกระถางต้นไม้ อาละวาดไม่ยอมกินข้าว และอีกมากมายที่โชกุลได้สร้างวีรกกรมไว้
ต้องการให้ช่วยหาหนังสือเรื่องอะไรไหมครับ เสียงจากพนักงานขายถามออน คงเห็นออนก้มๆเงยๆ หาอะไรบางอย่างตามชั้นหนังสือ
ออนยิ้มพร้อมกับนึงถึงครั้งแรกที่ออนมาเป็นลูกค้า และได้ยินประโยคนี้ ..
บ่ายวันนั้น วันที่นัดเพื่อนไว้ที่ห้างสรรพสินเค้าแห่งหนึ่งละแวกลาดพร้าว เพื่อนโทรมาบอกว่ากำลังฝ่าการจราจรมาอยู่ให้ออนเดินเล่นไปก่อน เดินดูร้านโน้นร้านนี้เรื่อยเปื่อย ไม่ได้มีจุดหมายว่าจะซื้ออะไร
เดินผ่านร้านหนังสือ ร้านหนึ่ง อยู่ชั้น 3 เยื้องๆ ร้านขายผ้า kikoya ไม่ห้างจากร้านอาหารญี่ปุ่นฟูจินัก
เดินเข้าไปในร้าน ดูจากข้างหน้า ร้านนี้ไม่ได้ใหญ่ มากมาย หน้าร้านมีการวางหนังสือจัดอันดับไว้
ฉันเดินตรงไปยังมุมนิยาย มองหา หนังสือนิยาย ของ ปิยะพร ศักดิ์เกษม เรื่อง กิ่งไผ่-ใบรัก ด้วย ว่าเคยเช่ามาอ่านแล้ว ติดใจ จึงอยากได้มาเป็นสมบัติในใจคิดว่าไม่เจอก็ไม่เป็นไร ว่างๆค่อยไปหาซื้อ แล้วฉันก็ได้ยินเสียง พนักงานในร้านบอกว่า
" ต้องการให้ช่วยหาหนังสือเรื่องอะไรไหมครับ " น้ำเสียงนั้น เต็มไปด้วย พลังของผู้มีใจในการบริการ
ฉันเงยหน้าจากการ ไล่ตัวอักษรบน สันบก มองหน้าคนพูด ฉันเห็นเค้ายิ้ม สีหน้าแสดงความต้องการที่จะช่วยลูกค้าสุดฤทธิ์ ด้วยความปากไว ฉันแกล้งพูดเล่นไปว่า
"บอกแล้วจะหาเจอหรอค่ะ " ฉันแกล้งย้อนกลับ นึกในใจว่าเรื่อง กิ่งไผ่ใบรัก นิยายเล่มเดียวจบ นายคนนี้จะรู้จักหรอ หรือไม่งั้นบอกไปก็คงไม่มีเพราะว่าฉันหาซื้อตามร้านหนังสือใหญ่ๆ หลายร้านแล้วยังไม่มีเลย
" บอกมาเถิดครับ จะช่วยหาให้ " พนักงานสวนกลับทันควัน
" เรื่อง กิ่งไผ่ ใบรัก ของ ปิยะพร ค่ะ มีไหม " ฉันบอกชื่อหนังสือที่ต้องการ
" รอสักครู่น่ะครับ " พนักงานหายไปสักพัก จนฉันนึกว่า เค้าคงจะลืมไปแล้ว
ฉันรอสักพักก็เห็นพนักงานคนนั้น ไปตามพนักงานหญิงมา เปิดตู้ ที่อยู่ใต้ชั้นโชว์หนังสือ
2 คนช่วยกันรือค้น หนังสือตั้งแล้วตั้งเล่า ถูกลำเลียงออกมาจากตู้ที่ ฉันคาดว่าคงเป็น Stock เก็บหนังสือ จนรอบกายของทั้งสอง มีหนังสือนิยายมากมายกองเต็มไปหมด ฉันเริ่มรู้สึกเกรงใจ
" ถ้าหาไม่เจอก็ไม่เป็นไรน่ะค่ะ" ฉันพูดพร้อมส่งยิ้มให้
พนักงาน 2 คนบอกว่าเคยเห็นเหลืออยู่ 1 เล่ม เพียงแต่มันอยู่ด้านในสุด ทั้งสองยังคงลำเลียงหนังสือออกมากเพื่อจะได้หยิบหนังสือด้านในได้ จนกระทั้งหนังสือเกือบหมดตู้ ก็เจอหนังสือที่ฉันต้องการ จากนั้น
พนักงานหนุ่มคนเดิม บอกฉันว่า ชอบผลงานของ ปิยะพร ให้เดินมาดู ตรงนี้
มีผลงานของเธออยู่ 6 เรื่อง แล้วก็แนะนำให้ว่าเรื่องนี้ น่าอ่าน
วันนั้น ฉันเลยต้องควัก สตางค์ ซื้อ หนังสือเล่มนั้น มา พร้อมความประทับใจใน
ความกระตือรือร้นของพนักงานในการช่วยเหลือลูกค้า
หลังจากนั้นอีกหลายครั้งที่ออน ทดสอบคุณภาพของการบริการ ก็ปรากฎว่าทุกครั้ง ออนไม่เคยผิดหวัง
แต่วันนี้ต่างไปจากเดิม เมื่อออนได้ยินเสียงเดิม ออนหันไปบอกพนักงานว่า
ไม่เป็นไรค่ะ ยังไม่รู้จะหาเรื่องอะไรดี พร้อมส่งยิ้มให้ ในใจคิดว่า คงจะเปิดดูไปเรื่อยๆ เพราะว่าคงไม่มีหนังสือเรื่อง หมามีปัญหาออกมาขาย
ออนเดินไปมุมจิตวิทยา เปิดหนังสือพร้อมหาบางบทที่สามารถนำมาใช้กับน้องหมาได้
ออนไปเจอประโยคหนึ่ง ที่น่าสนใจ เค้าบอกว่า การที่เด็กทำตัวมีปัญหาก็เพราะว่าเค้าต้องการเรียกร้องความรัก ความสนใจจากพ่อแม่ คิดในใจว่าก็ถูกต้องเลย เหมือนที่หลายๆคนบอกว่า ให้ออนใส่ใจส้มโชกุลให้มากขึ้น
เรื่องบางเรื่อง ราวบางราว ดูเหมือนเราเองก็รู้อยู่แก่ใจดี อยู่ว่าควรทำอย่างไร คิดคิดดูก็เหมือนเรื่องการออกกำลัง ใครๆก็รู้ว่าเป็นสิ่งดีที่ทำให้ร่างกายเข็งแรง เราควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 6 ช.ม. เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงไม่มีโรคภัย และให้ฮอร์โมนแห่งความสุขออกมาหล่อเลี้ยง ให้สมองคลายเครียด ให้ไขมันสลายไปจากร่างกาย เราเกือบทุกคนรู้ดี แต่จะมีสักกี่คนที่ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอได้ตามทฤษฎี ประโยคที่ได้ยินเสมอจากคนรอบกายคือ ไม่มีเวลา สำหรับตัวเองแล้วฉันจะรู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่ได้เห็นใครใช้คำว่า ไม่มีเวลามาอ้าง เวลาที่เค้าไม่ได้ทำอะไร หรือว่าไม่ได้ใส่ใจในเรื่องใด เพราะความจริงแล้วเวลาของคนเรามี เท่ากัน 24 ช.ม. มันอยู่ที่ความใส่ใจต่างหาก หากคุณใส่ใจอยากทำ เวลามันจะมีเอง ไม่ต้องไปหาให้เหนื่อย
ออนกลับมาถึงบ้านแล้ว เจ้าโชกุลยังคงมาตะกุย ให้การต้อนรับเหมือนเคย ถ้าพูดได้มันคงจะบอกว่า ดีใจที่เจ้านายกลับมาแล้ว มาเล่นกับผมหน่อยครับ ผมเหงา หลังจากเข้าบ้านเก็บกระเป๋า เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวแล้ว ออนก็ออกมานั่งเล่นที่ม้าหินตรงสนามหญ้า ข้างกายมีโชกุลนั่งทำตาโปน หูลีบไปทางด้านหลัง
โชกุลลูก พี่ออนมานั่งเล่นกับโชกุลน่ะลูก พูดพลางดึงตัวโชกุลมาชิดข้างลำตัว แล้วเอาแขนโอบรอบตัวมัน โชกุลมองหน้าออนอย่าง งง งง
เหงาไหมลูก โอ๋ โอ๋ พี่ออน ขอโทษน่ะที่ไม่ได้ดูแลลูกโชกุล ไม่ได้พาไปวิ่งเล่น ไม่ได้อยู่ให้ข้าวให้น้ำ บางครั้งการขอโทษหมาก็ทำให้เรารู้สึกดีได้อย่างประหลาด ออนมองหน้าโชกุลพร้อมทำหน้าสำนึกผิด นึกถึงวัน เวลาที่ผ่านที่ล่วงเลยไป วันจันทร์ ถึงวันศุกร์ เป็นวันทำงานออกจากบ้านตั้งแต่ 6 โมงเช้า ตะลุยงานจนถึงเวลาเลิกงาน 5 โมงครึ่ง และก็เหมือนบริษัทเอกชนทั่วไปที่นายจ้างจะพึงใจหากเห็นลูกน้อง กลับค่ำๆ มาไวๆ ทำงานให้คุ้มเงินมากที่สุด
ลูกโชกุลรู้ไหมลูกวันจันทร์ ถึงศุกร์ หากพี่ออนก็อยากจะกลับเร็ว เลิกงานปั๊บ พี่ออนก็อยากจะเผ่นออกจากที่ทำงาน พี่ออนทำงานมาหลายปีเท่าที่จำได้มีเพียง 2 วันที่พี่ออนได้พยายามออกจากที่ทำงานตอน 5 โมงครึ่ง พี่ออนทำได้ แต่วันนั้น พี่ออนกลายเป็นตัวประหลาดในที่ทำงาน ใครๆ พากันทักว่า กลับแล้วหรอ แหม วันนี้ กลับเร็ว พี่ออนเหมือนเป็นนักโทษ ที่ทำความผิดหลบลี้ออกจากที่คุมขัง และ 2 วันนั้นเมื่อพี่ออนออกจากที่ทำงานได้ ก็ตรงไปยังรถขับออกไป เกิดอะไรขึ้นรู้ไหมลูก โดยปรกติพี่ออนจะออกจากทื่ทำงานก็มึดค่ำ ทุ่ม สองทุ่ม พี่ออนคงจะลืมไปว่า การกลับบ้านเวลา 5 โมงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาที่ประชาชนพร้อมใจกันเดินทางมุ่งหน้ากลับบ้านนั้นมันเป็นอย่างไร รถติดเป็นแพเริ่มตั้งแต่ประตูลานจอดรถ กว่าจะฝ่าแยกสะพานควาย ซึ่งคนขับต้องใช้ความอึดยิ่งกว่าควายนั้น ก็ราวๆ ครึ่งช.ม. ต่อจากนั้น ต้องมาฝ่าอีกหลายด่าน กว่าจะถึงบ้าน
โชกุลเชื่อไหมลูก พี่ออนใช้เวลาบนถนน 2 ช.ม. เชียวในการคลานกลับบ้าน
และในทางกลับกันถ้าพี่ออนอยู่ต่อที่ทำงานจนถึง ทุ่มกว่า ผู้คนบนท้องถนนจะโล่งจนไม่น่าเชื่อ พี่ออนจะใช้เวลาในการซิ่งเพียง 45 นาที โชกุลแปลกใจใช่ไหมลูก ว่าทำไมเวลามันถึงได้แตกต่างกันขนาดนี้
จะพูดให้ง่ายๆ ก็คือ ช่วงเวลา 6 โมงเช้าจนถึง 8 โมงเช้า และช่วง 4 โมงเย็นจนถึง 6 โมงเย็น เค้าเรียกกันเวลาเวลาเร่งด่วน เป็นเวลาที่ทุกคนจะเอายานพนะ ออกมาขับขี่เพื่อพาตัวเองไปในที่ที่ต้องการ
เด็กนักเรียนเริ่มตั้งแต่ อนุบาล ก็ต้องมีพ่อแม่ขับไปส่งจนถึงหน้าประตูโรงเรียน ไม่ใยที่รถแถวนั้นจะติดกันเป็นแพ เพียงเพราะว่า พ่อเม่จะต้องเดินไปส่งลูกจนถึงมือครู โตมาจนกระทั่งวัยรุ่น ก็ต้องเดินทางไปโรงเรียน ไปหมาวิทยาลัย จนวัยทำงานที่ต้องเดินทางไปยังบริษัทที่ตัวเองได้เอาหยาดความคิดแลกกับเงินตรา ทำงานหรือทำธุรกิจการต่างๆ จนเย็น ได้เวลากลับบ้าน เหมือนน้ำในเชื่อนที่ทะลักออกมา พร้อมกัน ใครๆ ก็อยากเดินทางกลับบ้าน พักผ่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวที่สุดในความคิดของออน รถจะติดมากถึงมากที่สุด ออนพูดกับโชกุลซึ่ง
ตั้งใจฟังออนพูดเป็นอย่างดี
ตี๊ด ตะ ระ ริด ติ๊ด ติ๊ด ตา ต้ำ ตะ ริด เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ออนผละจากโชกุล ไปรับโทรศัพท์
สวัสดีค่ะ ออนพูดค่ะ ยิ้มก่อนกดรับออนเห็นชื่อและเบอร์ที่ปรากฎอยู่แล้วว่าเค้าคือใคร
น้องออน ทำอะไรอยู่ เสียงส่งมาตามสาย ที่ต้นทางคนพูดนั้นเป็นชายหนุ่ม หน้าคมเข้ม รูปร่างกำยำ ออกจะล่ำที่กล้ามเนื้อพุง ผิวสองสี
พี่พล น้องออนกำลังคุยกับโชกุลอยู่ค่ะ เรื่องที่โชกุลเป็นหมามีปัญหา
แล้วพรุ้งนี้ออนจะว่างไหม ที่พี่ชวนไปงานแสดงสินค้าแถวเมืองทอง อีกสายไม่มีทีท่าว่าจะสนใจในเรื่องที่ออนกำลังพูด
โชกุล ดีใจใหญ่เลยที่วันนี้ออนอยู่เล่นกับมันล่ะพี่ ออนไม่เห็นว่าจะต้องตอบคำถามคนที่ไม่ให้ความสนใจกับเรื่องที่ออนพูด
มันเป็นแค่หมา น่ะ ออนจะไปคุยกับมันรู้เรื่องได้อย่างไร พี่พลนี่ที่ออนควรจะพูดให้รู้เรื่อง
พี่พล คะถึงมันจะเป็นหมา แต่มันก็ตั้งใจฟังที่ออนพูดมากกว่าคนบางคนน่ะค่ะ
ตู๊ด ตู๊ด ๆๆๆๆ..
ออนกดวางสายและกดปุ่มปิดมือถือ รุ้จักคนอย่างออนน้อยไป สำหรับคนไม่มีมารยาท ออนไม่อินังขังขอบที่จะต้องรักษามารยาท รู้ดีกว่าอีกฝ่ายจะต้องโกรธมากที่ออนทำลงไป หันมาคุยกับโชกุลต่อยังจะสนุกกว่า
โชกุลเห็นไหม ลูกพี่ออนพูดกับลูกมาตั้งนาน ก็ไม่เห็นโชกุลจะขัดคอ หรือไม่ตั้งใจฟัง
โชกุลเหมือนจะรู้ จึงเอาลิ้นมาเลียมือออน ใครว่าหมาคุยไม่รู้เรื่อง หมาพร้อมจะตั้งใจฟังและรับรู้อารมณ์ ของเจ้าของ หมาเป็นผู้ฟังที่ดี หมาไม่เคยเอาเราไปนินทา ไม่เคยเอาความลับของเราไปบอกต่อ ในขณะที่คนตรงข้ามกับหมาทุกอย่าง บางทีในหมู่หมาด้วยกันเวลามันด่าเพื่อนหมาที่ทำตัวไม่ดี มันคงด่าว่า ไอ้ปากคน คงจะเป็นคำด่าที่เจ็บแสบที่สุดใครจะรู้
อึ้ม นึกออกแล้ว พี่ออนจะสัญญากับโชกุลว่า ต่อไปนี้ ใน 1 อาทิตย์พี่ออนจะต้องหาเวลาพาโชกุล ออกไปวิ่งเล่นหน้าบ้าน อย่างน้อย 1 ช.ม. และทุกวันเวลาพี่ออนกลับจากที่ทำงานจะพาโชกุลเข้ามาเล่นในบ้านประมาณ 10 นาที ดีไหมลูก ออนบอกโชกุล ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนจากท่านั่งเป็นท่านอนหมอบ แต่ทำหูตั้งคอยฟังเสียงออน
ตกลงตามนี้น่ะ พี่ออนจะรักษาสัญญา มาจับมือกัน โชกุลเปลี่ยนเป็นท่านั่งออนจับมือมันข้างหนึ่ง แล้วเขย่า ตีนของมันขึ้นๆ ลงๆ ถือเป็นการเสร็จ สิ้นพิธีการให้คำมั่นกับหมา
ไม่รู้อนาคตจะเป็นอย่างไร ออนจะทำได้ไหม แล้วคนที่โดนออนชิงวางสายไปจะเป็นอย่างไร
ออนก็ไม่หวั่น ออนรู้แต่ว่าวันนี้ ออนได้ทำสิ่งดีๆ ได้มีความคิดที่จะหันมามองคนใกล้ตัวที่โดนทิ้งขว้าง
และพยายามปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น สัญญาที่ให้ไว้กับหมาจะเคร่งครัดปฎิบัติตาม ไม่อย่างนั้น ออนคงไม่มีหน้าไปสัญญากับหมนุษย์คนไหนอีก
ตอนต่อไป ตอนโชกุลพบเพื่อน มาดูกันว่าเมื่อโชกุลได้พบเพี่อนหมาพันธุ้เดียวกันครั้งแรก มันจะทำท่าอย่างไร