27 กุมภาพันธ์ 2550 11:36 น.

คำสัญญา

ไรไก่

คำมั่นสัญญา : เรื่องราวชีวิตของลุง "ลอบ" และ ยาย "ทอง" 

นับถอยหลังไปอีกเพียงไม่กี่วัน ก็จะถึงวันวาเลนไทน์ 
วันซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงออกถึงความรัก 
ที่ใครหลายคนให้ความสำคัญกับวันนี้ ไม่ว่าใครจะนิยามความรักว่าเป็นของคู่กัน 
ความเหมือน ความพอดี ความลงตัว หากแต่นิยามความรักของตาลอบที่มีต่อยายทองนั้น กลับมองว่าวันวาเลนไทน์ที่จะมาถึงนั้น 
ไม่เคยมีความหมายต่อตาและยายเลย 
เพราะชีวิตรักที่ตาและยายได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากว่า 50 ปี 
นั้นไม่เคยมีวันไหนที่ความรักของตาที่มีต่อยาย 
และยายมีต่อตานั้นลดน้อยลงไปตามกาลเวลาเลย 
หากแต่ความรักของทั้งคู่กลับเพิ่มพูนขึ้น สวนทางกับสังขารที่เริ่มจะโรยรา 
> > 
สำหรับตาวันนี้มันก็เป็นแค่วันธรรมดาๆ วันหนึ่ง ไม่มีความหมายอะไรเลย 
ดอกกุหลาบมันจะสู้สิ่งที่เราทำดีให้กันทุกวันได้ยังไง มันเทียบกันไม่ได้หรอก 
ตาไม่เห็นว่ามันจะสำคัญกับชีวิตตรงไหน เพราะถึงไม่มีวันนี้ 
ยังไงตาก็ยังรักยายเท่ากันทุกวัน 

อมร สีสุภเนตร หรือที่ชาวบ้านในอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย รู้จักกันในนามของ 
ตาลอบ ส่วนภรรยาคู่ทุกคู่ยากชาวบ้านเรียกขานกันว่า ยายทอง 
พื้นเพเดิมยายทองเป็นคนอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ส่วนตาลอบเป็นคนเชียงคานจังหวัดเลย ปัจจุบันสองตายายอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆ สภาพเก่าๆ 
หลังหนึ่งตามลำพังสองคนโดยมีลูกๆ คอยดูแลอยู่ห่างๆ เมื่อมองเข้าไปในบ้าน 
จะสังเกตุเห็นว่าบ้านของตา เสมือนเป็นโรงพยาบาลขนาดย่อมๆ เพราะอุปกรณ์ 
ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ในการดูแลยายนั้น 
ตาได้ดัดแปลงให้เหมือนกับทางโรงพยาบาล 
ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้ดูแลยายได้อย่างเต็มที่ 


ย้อนไปเมื่อ 50 ปีที่แล้วตาลอบ ซึ่งเป็นช่างตัดผมหนุ่มฐานะยากจน 
ได้พบรักกับยายทอง แม่ค้าขายอาหารที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวงามประจำหมู่บ้าน 
ในงานรำวงสร้างโบสถ์ที่วัดป่ากลาง อำเภอเชียงคาน 
หลังจากที่ทั้งคู่คบหาดูใจกันมา 5-6 ปีจนมั่นใจในความรักที่มีให้ต่อกัน 
ชายหนุ่มจึงเอ่ยปากขอหญิงสาวที่เขารักแต่งงาน เป็นงานแต่งงานที่เรียบง่าย 
ไม่มีพิธีกรรมใหญ่โตอะไร ไม่มีเงินสินสอดทองหมั้นมากมาย 
หากแต่มีเพียงคำมั่นสัญญา ที่ชายหนุ่มมอบไว้ให้กับหญิงสาวที่เขารักว่าจะครองรักและดูแลกันตลอดไป 
ทั้งในยามทุกข์และยามสุขจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตจะเดินทางมาถึง 

> >เวลาผ่านมา 50 ปี ทั้งคู่ครองรักกันจนกระทั่งแก่เฒ่า และตลอดเวลาที่ผ่านมา 
> >ความรักของคนทั้งคู่ที่มีให้กันก็มากพอ 
> >และสม่ำเสมอพอที่จะทำให้ชีวิตรักของคนคู่นี้กลายเป็นตำนานรักแท้ที่น่าจดจำ 
> >แต่จะเป็นเพราะสวรรค์บัญชา หรือฟ้ากำหนด จู่ๆ ปี 2538 
> >ยายทองก็ล้มป่วยลงด้วยการเป็นอัมพฤกษ์ทางด้านซ้าย 
> >ซึ่งก็พอจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง แต่เมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา 
> >อาการของยายทองก็กำเริบทรุดหนักลงไปอีก จากอัมพฤกษ์กลายเป็นอัมพาต 
> >ไม่สามารถพูดคุยกับตาลอบได้อีก นอกจากส่งเสียงร้องไห้ 
> >ซึ่งบางครั้งก็มีแต่เสียงร้อง บางครั้งก็มีแต่น้ำตา 
> >ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการสื่อสารเพียงอย่างเดียว 
> >ที่ตาลอบรับรู้และเข้าใจเสมอว่ายายต้องการอะไร 
> > 
> >ยายเขาร้องไห้ เพราะว่าเขาอยากจะพูดกับเรา แต่เขาพูดไม่ได้ 
> >เขาจึงบอกเราด้วยการร้องไห้ออกมา พอตาได้ยินเสียงไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ 
> >ตาก็จะเดินไปพูดกับเขา หรือไม่ก็ต้องส่งสียงตอบกลับไป ส่วนใหญ่ตาจะบอกเขาว่า 
 
> >อย่าร้องเลย เราอยู่ตรงนี้แล้ว  บางทีก็บอกยายว่า  เราจะอยู่กับเธอ 
> >จะดูแลเธอไปจนกว่าจะตายจากกัน 
> >ที่บอกอย่างนี้เพื่อให้ยายรู้ว่าตาอยู่ใกล้เขาไม่ได้หนีไปไหน 
ปฏิเสธไม่ได้ว่า 
> >น้อยครั้งนักที่เราจะได้เห็นภาพฝ่ายชายดูแล ปรนนิบัติฝ่ายหญิง 
> >หากแต่สิ่งที่ตาทำนั้น 
> 
>ได้พิสูจน์ให้โลกรู้ว่าความรักของตาที่มีต่อยายนั้นเป็นตำนานความรักอันยิ่งใหญ 
่ที่ใครๆ 
> >ต่างก็แสวงหา 
> > 
> >ตาอยากใช้ชีวิตอยู่กับยายจนวินาทีสุดท้าย เราจะต้องไม่ทอดทิ้งกัน 
> >เราต้องมั่นคงต่อกัน ตาสัญญากับยายว่า จะดูแลยายให้ดีที่สุดจนวินาทีสุดท้าย 
> >ตาตั้งใจรักษายายให้ดีที่สุด ตาทุ่มเทชีวิตให้ยายทั้งหมดเลย 
> >เพราะว่ายายมีความหมายกับตาสุดชีวิตเลย ทุกวันนี้ตายังมีความหวังอยู่ว่า 
> >ยายจะอาการดีขึ้นและกลับมาพูดกับตาได้เหมือนเคย เราต้องอยู่แบบมีความหวัง 
> >เพราะความหวังนี่แหละ ที่จะทำให้เรามีกำลังใจดูแลยายต่อไป 
> >จนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง หากก่อนที่จะจากกันไปในชาตินี้ใจลึกๆ 
> >ตาลอบก็อยากให้ปาฏิหาริย์นั้นมีจริง เพราะอยากให้ยายฟื้นขึ้นมาอีกซักครั้ง 
> >เพื่อที่จะถามข้อข้องใจ ที่ชายคนหนึ่งเก็บไว้มาหลายปี 
> >ว่าที่ผ่านมาเขาทำดีพอที่สามีคนหนึ่ง 
จะทำให้ภรรยาที่เขารักที่สุดได้หรือไม่ 
> > 
> >ถึงแม้ว่าบั้นปลายชีวิตอันแสนสุข จะถูกพรากไป และแทนที่ด้วยความทุกข์ทรมาน 
> >จากอาการเจ็บป่วยของอีกฝ่ายหนึ่ง คำมั่นสัญญาทุกคำ 
> >ที่ตาลอบเคยมอบไว้ให้กับยายทองก็ยังไม่มีคำใด 
> >หรือตัวอักษรตัวใดเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ตลอดระยะเวลา 12 
ปีที่ยายทองล้มป่วย 
> >แทบจะทุกนาทีของชีวิต ตาลอบได้มอบให้กับการเฝ้าดูแล 
> >ประคบประหงมยายทองอย่างใกล้ชิด ไม่เว้นแต่ยามหลับหรือยามตื่น 
> > 
> >ตาดูแลยายไม่เคยห่าง ตาต้องดูแลทุกอย่างไม่ว่าจะเรื่อง อาบน้ำ เช็ดตัว 
> >ไปจนถึงเรื่องการเช็ดอึ เช็ดฉี่ อาหารการกิน อาการเจ็บป่วยต่างๆ 
> >เราต้องคอยสังเกตุตลอดเวลา เวลาทำอะไรตาก็จะนึกถึงยายก่อนเสมอ 
> >ถ้ายายยังไม่นอนตาก็ยังไม่นอน หรือถ้ายายยังไม่ได้กินข้าวตาก็จะยังไม่กิน 
> >เพราะต้องป้อนยายก่อน การดูแลปรนนิบัติยาย ตาลอบจะทำเพียงคนดียวทุกครั้ง 
> >และตาจะใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยป็นอย่างดี 
> >แม้แต่แพมเพอร์สตาก็จะไม่ใส่ให้ยายเพราะเกรงว่าจะอับชื้น 
> >และทำให้เป็นแผลกดทับได้ ตาจึงไม่เคยเบื่อกับการที่ต้องคอยเช็ดอึ 
> >เช็ดฉี่อยู่ตลอดทั้งวัน เสื้อผ้าของยาย ตาก็จะไม่ซักผงซักฟอก 
> >เพราะกลัวยายจะแพ้และเป็นผื่น ฯลฯ ทุกวันนี้ตากลัวว่ายายจะทิ้งตาไป 
> >ไม่อยากให้ยายตายเลย อยากให้อยู่เป็นเพื่อนกัน อยู่เป็นคู่รักกันตลอดไป 
> >ตาไม่เคยคิดอย่างคนอื่นเลยว่า ตายไปภาระจะได้หมดลงไม่คิดเลย  
> > 
> >ภาพที่ชาวเชียงคานเห็นจนชินตา คือภาพชายชราวัย 73 ปี 
> >ปั่นรถจักรยานที่มีเตียงพยาบาลพ่วงติดอยู่ด้านหน้า 
> >โดยมียายนอนลืมตาแน่นิ่งอยู่บนเตียงเ คลื่อนที่ไปตามถนนหนทางต่างๆ 
> >รถคันนี้เป็นรถที่ตาลอบประดิษฐ์ขึ้นมาเองกับมือ 
> >เพราะถ้าจะซื้อเตียงแบบโรงพยาบาลนั้น ก็เกินกำลังที่ตาจะมีได้ 
> >ด้วยความที่ตาเคยมีความรู้ทางช่าง 
> >จึงต่อเตียงพยาบาลขึ้นมาและดัดแปลงต่อเติมให้เตียงนั้นเคลื่อนที่ได้ 
> >และมีหลังคาคอยคุ้มแดดคุ้มฝน และมีมุ้งคอยกันยุงและแมลงต่างๆ 
> >ที่ตาทำเช่นนี้หวังเพื่อให้ยายอยู่ใกล้กับตาตลอดเวลา 
> >เพราะเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นมา ตาจะได้ช่วยเหลือยายได้ทัน 
> >ดังนั้นเวลาตาจะไปไหนก็จะพายายไปด้วยเสมอ 
> >ใครที่เห็นรถของตาต่างก็อดไม่ได้ที่จะไม่เหลียวหลัง 
> >และต่างก็ตั้งข้อสงสัยไปต่างๆนานา บ้างก็นึกว่าเป็นรถซาเล้ง รถขายของ 
> >รถเก็บของเก่า บ้างก็ว่ารถขนศพ แต่ถึงอย่างไรตาลอบก็ไม่สนใจคำครหาเหล่านั้น 
> >เพราะสิ่งสำคัญที่ตาพายายออกมาอย่างนี้ ก็เพื่อให้ยายออกมารับอากาศข้างนอก 
> >ให้ยายได้รับการทักทาย พูดคุยจากผู้คนต่างๆ 
> >เพื่อกระตุ้นให้ยายรู้สึกตัวมากขึ้น นอกจากนี้ 
> >ตายังรู้ใจยายดีว่ายายชอบให้ตาพาเที่ยวไปตามที่ต่างๆ 
> >ตาจึงมักปั่นเตียงเคลื่อนที่คู่ใจคันนี้ พายายไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ 
> >ที่มีความสำคัญๆ ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นสถานที่พบรักกัน สถานที่ๆ 
> >ทำมาหากินด้วยกัน ทั้งนี้ตาทำเพื่อพายายไประลึกถึงความหลังอันงดงาม 
> >เพื่อกระตุ้นความจำ ความรู้สึกของยาย และอย่างน้อยความหลังเหล่านี้ 
> >เสมือนเป็นน้ำหล่อเลี้ยงความเศร้าหมองของชะตากรรม 
> >ที่ทั้งคู่ต้องเผชิญอยู่ได้ไม่มากก็น้อย 
> > 
> >บ่อยครั้งเวลายายมีอาการป่วยมาก ตาต้องพายายไปรักษาที่โรงพยาบาลเชียงคาน 
> >โดยมากตาจะปั่นเตียงพยาบาลเคลื่อนที่ พายายไปที่โรงพาบาล 
> >ทันทีที่ไปถึงจะเป็นอันรู้กันกับเจ้าหน้าที่ว่าเตียงประดิษฐ์ของตาคันนี้ 
> >สามารถใช้แทนเตียงของโรงพยาบาลได้เป็นอย่างดี 
> >และเมื่อพยาบาลเห็นคนไข้รายนี้ทีไรก็อุ่นใจได้ว่า 
> >ไม่ต้องมาดูแลยายทองอะไรมากนัก เพราะตาลอบจะเป็นคนดูแลยายเองทุกอย่าง 
> >โดยที่ไม่ต้องให้พยาบาลเข้ามายุ่งเลย 
> >เพราะตาลอบคิดว่าเจ้าหน้าที่คงจะดูแลไม่ดีเท่ากับตัวเอง 
> >ซึ่งนั่นเป็นเพราะตาลอบทำด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก 
> > 
> >ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 
> >ตาลอบได้พิสูจน์ให้เราเห็นว่าสัญญาที่ชายหนุ่มมอบไว้กับหญิงสาวอันเป็นที่รัก 
> >เมื่อ 50 กว่าปีที่แล้วนั้น ไม่ใช่แค่ลมปาก หรือถ้อยคำหวานหู ตามแรงปราถนา 
> >หากแต่เป็นถ้อยคำที่ออกมาจากความรู้สึกข้างในหัวใจ 
> >ที่มีที่ว่างให้เพียงแค่หญิงสาวที่เขารักเพียงคนเดียว 
> >คำมั่นสัญญาที่ตาลอบมอบให้ จึงเป็นพันธะสัญญาที่ถูกจารึกลงบนหินผา 
> >ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ก็ไม่มีวันลบเลือน 
> >และยังทำอย่างซื่อตรงสม่ำเสมอ ไม่ต่างอะไรกับการขึ้นลงของดวงตะวันที่จะเป็นอยู่ 


http://webcopy.multiply.com/journal/item/4>				
22 กุมภาพันธ์ 2550 10:49 น.

...การไปงานศพ..

ไรไก่

ตอนยังเด็กๆ พ่อแม่พาไปงานศพ
มีพระมาสวด มีหมู่ญาติผู้ตายมาต้อนรับ มีคนเยอะแยะเต็มไปหมด พบปะพูดคุยกัน
พ่อแม่พาไปไหว้เขาจนทั่ว แล้วก็ไปวิ่งเล่นนอกศาลา...

ตอนเป็นวัยรุ่น ไปงานศพกับพ่อแม่
มีพระมาสวด มีหมู่ญาติผู้ตายมาต้อนรับ มีคนเยอะแยะเต็มไปหมด พบปะพูดคุยกัน
ตามพ่อแม่ไปไหว้ทักทายทุกคน แล้วก็แอบไปนั่งอยู่ท้ายศาลา...

ตอนเริ่มทำงานใหม่ๆ พาพ่อแม่ไปงานศพ
มีพระมาสวด มีหมู่ญาติผู้ตายมาต้อนรับ มีคนเยอะแยะเต็มไปหมด พบปะพูดคุยกัน
ไปไหว้ทักทายคนรู้จักทุกคน กลับมานั่งฟังพระสวดในศาลา...


ตอนมีครอบครัวมีลูกมีหลาน พาครอบครัวลูกหลานไปงานศพ
มีพระมาสวด มีหมู่ญาติผู้ตายมาต้อนรับ มีคนเยอะแยะเต็มไปหมด พบปะพูดคุยกัน
มีคนมาไหว้หลายคน นั่งฟังสวดอยู่ด้านหน้าศพ...

ท่ามกลางเสียงพระสวด... ภาพต่างๆตั้งแต่เด็กจนโตผุดขึ้นมาในห้วงแห่งความคิด... 
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ของผู้ที่ตายไปผุดขึ้นมาในห้วงแห่งความคิด...
ไปงานศพมานาน แต่เพิ่งจะได้คิด...
จากวิ่งเล่นนอกศาลา...
มานั่งอยู่ท้ายศาลา...
ขยับมานั่งกลางศาลา...
วันนี้นั่งอยู่แถวหน้าสุด...ใกล้ศพผู้ตาย
อีกไม่นานคงเป็นเราที่ไปนอนอยู่ตรงนั้น...

..ในท่ามกลางเสียงพระสวดวันนั้น
เราอยากจะให้มีภาพของเราผุดในห้วงความคิดผู้มาร่วมงานเช่นไร
ให้เขานึกถึงเราด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข หรือตรงข้ามกัน
หากวันนี้เราดำเนินชีวิตเป็น ผู้ให้
จะมีแต่รอยยิ้มและความสุขปรากฏบนดวงหน้าผู้มาร่วมงานในวันนั้น
ผู้ให้ ที่ให้ทาน ทั้งทรัพย์สินเงินทอง สิ่งของ ฯลฯ

เลิศที่สุดของการให้ทาน คือ การให้ธรรมทาน 
ผู้ให้ ที่ให้วาจาคำพูดที่ดีงามไพเราะอ่อนหวาน

เลิศที่สุดของคำพูดที่ดีงาม คือ การแสดงธรรม
ผู้ให้ ที่ทำตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น

เลิศที่สุดของการทำตนให้เป็นประโยชน์ คือ การชวนผู้อื่นให้ได้ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
ผู้ให้ ที่ให้ด้วยความเสมอกัน 
เลิศที่สุดของการให้ที่เสมอกัน คือ ฝึกฝนตนเองและการประคับประคอง ให้ผู้อื่นมีธรรมเสมอกับเรา

เวลาเหลืออีกไม่มากแล้วนะครับ...
วันนี้คุณเริ่มเป็น ผู้ให้ แล้วรึยังครับ?				
12 กุมภาพันธ์ 2550 14:25 น.

สุดที่รัก กับรักที่สุด

ไรไก่

เรื่อง: สุดที่รัก กับรักที่สุด


ฉันกับแฟนเราคบกันมานาน นานจนอะไรๆ บางอย่างเริ่มเปลี่ยนไป 
เธอดูเหมือนกับว่าจะเริ่มข้องใจ และไม่ไว้ใจในตัวฉันมากขึ้นทุกวันๆ
....วันหนึ่งดูเหมือนเธอจะเริ่มหมดความอดทน 

สุดที่รัก "ตกลงเธอรักฉันที่สุดรึเปล่า" 
ฉันตอบ "รักที่สุด" 
สุดที่รักถาม "แล้วพ่อแม่ พี่น้องกับคนอื่นๆ ล่ะ ไม่ได้รักที่สุดเหรอ" 
ฉันตอบ "รักที่สุดเหมือนกัน" 
สุดที่รักโมโห "ฉันเป็นสุดที่รักของเธอ เธอต้องรักฉันที่สุดคนเดียว" 
ฉันคิดนิดหนึ่ง "แต่ฉัน...รักที่สุดทุกคน" 
สุดที่รักงอน "คนหลายใจ...ไปตายซะ" 

ฉันผิดตรงไหน ที่ฉันรักคนสำคัญในชีวิตฉันทุกคน 
ฉันสับสน ฉันจึงไปโดดน้ำตายตามคำสุดท้ายของสุดที่รัก 
ฉันขึ้นไปบนสะพานที่สูงที่สุด กระโดดลงไปในแม่น้ำตรงจุดที่ลึกที่สุด 

ฉันไม่ตาย เพราะฉันว่ายน้ำเป็น และฉันก็รักตัวเองที่สุด 
ฉันว่ายน้ำไปข้างหน้าเรื่อยๆ 
จากแม่น้ำออกทะเล จากทะเลออกมหาสมุทร 
ว่ายจนกว่าจะสุดทาง ผ่านเกาะ ผ่านประเทศต่างๆ มากมาย 
แล้วฉันก็วนกลับมาที่เดิม สะพานเดิมที่ฉันกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย 

ฉันค้นพบแล้วว่า... โลกกลม 
มีเกาะ มีประเทศ ตั้งอยู่บนตำแหน่งต่างๆ บนโลก ไม่ทับซ้อนกัน 
ทุกเกาะ ทุกประเทศมีความสำคัญ มีหนึ่งเดียว และอยู่ทุกมุมสุดของโลก 

มันก็เหมือนกับความรักของฉันนั่นแหละ ทั้งแฟนฉัน ครอบครัวฉัน แล้วก็เพื่อนฉัน
ต่างก็เปรียบเสมือนทวีปต่างๆ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ไม่มีส่วนใดที่ขึ้นต่อกัน 
เพราะฉะนั้นหากฉันจะรักทุกอย่างและรักที่สุดมันก็ไม่ผิด
เพราะแต่ละอย่างมันมีความหมายต่อชีวิตฉันในส่วนที่แตกต่างกันไป 
แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ประกอบขึ้นเป็นความรักของฉันทั้งชีวิต 
ที่ประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ ซึ่งถ้าขาดส่วนใดไป 
ความรักของฉันก็คงจะไม่สมบูรณ์แบบเป็นแน่นอน

ทุกคนคือ 'สุดที่รัก' 
และฉันก็ 'รักที่สุด'				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟไรไก่
Lovings  ไรไก่ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟไรไก่
Lovings  ไรไก่ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟไรไก่
Lovings  ไรไก่ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงไรไก่