13 พฤษภาคม 2550 12:57 น.

.*-*-....คนสามคน...*-*-

ไรไก่

ในตัวคนเรามีคนสามคนอาศัยอยู่

....จริงไหมคะ..

ลองมาฟังนิทานเรื่องนี้นะคะ

ณ วัดบ้านไร่แห่งหนึ่ง หลวงตาเพิ่งกลับจากการบิณฑบาตเห็นลูกศิษย์วัดนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น 
จึงเข้าไปถามไถ่ว่าเป็นอะไร ลูกศิษย์ตอบกลับมาว่า 
ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในหอพระ แต่ผมเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูบ่อย ๆ 
ทุกคนก็หาว่าผมเป็นขโมย ไม่มีใครเชื่อผมเลย ฮือ ฮือ 

หลวงตานั่งลงข้าง ๆ พยักหน้าเข้าใจแล้วสอนลูกศิษย์ว่า 

เจ้ารู้ไหมในตัวเรามีคนอยู่สามคน คนแรกคือ คนที่เราอยากจะเป็น 
คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น คนที่สามคือ ตัวเราที่เป็นเราจริง ๆ  
ลูกศิษย์หยุดร้องไห้ นิ่งฟังหลวงตา 

คนเราล้วนมีความฝัน ความทะเยอทะยานอยาก ตามประสาปุถุชนทั่วไป 
ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน 
เช่น บางคนอยากเป็นนักร้อง เป็นนักมวย เป็นดารา ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่า
โลกนี้ช่างสว่างไสวสวยงาม ดังนั้นเราควรมีความฝันไว้ประดับตน เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ 

มาถึงไอ้ตัวที่สอง จะเป็นเราแบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น 
บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ จนเราอาย เพราะจิตสำนึกเรารู้ดีว่ามันไม่จริงหรอก แต่เราก็ยิ้มรับ 
แต่บางครั้งไอ้ตัวที่สองนี้ก็มหาอัปลักษณ์ จนไม่อยากจะนึกถึง ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา 
เพราะมันเป็นโลกในมือคนอื่น มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนอื่นยื่นให้ 

อย่างคนขับสิบล้อจอดรถอยู่ข้างทางเฉย ๆ เช้ามาพบศพใต้ท้องรถ 
ก็ต้องขับรถหนี ทั้งที่ศพนั้น ถูกรถชนตายอีกฝั่งแล้วดันถลามาใต้ท้องรถ 
แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นฆาตกร 

สมัยที่หลวงตายังไม่ได้บวชเคยไปส่งเพื่อนผู้หญิงที่มีผัวแล้ว เพราะเห็นว่าบ้านเป็นซอยเปลี่ยว 
ส่งได้สองครั้งก็เป็นเรื่อง ชาวบ้านซุบซิบนินทา หาว่าเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน 
คนที่เห็นนั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า ไร้วิจารณญาน ใจแคบ 
มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง 
คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม เจ้าต้องจำไว้นะ ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี 
ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา เห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ 
อย่าเลียนแบบ นั่นแหละวิถีของนักปราชญ์ ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทาเรียกว่าวิถีของคนพาล 

แล้วเราต้องทำตัวอย่างไรละครับในเมื่อเราต้องเจอคนเหล่านั้นเรื่อย ๆ  
ลูกศิษย์หยุดร้องไห้แล้ว เริ่มสนทนาโต้ตอบหลวงตา 

เจ้าต้องทำความเข้าใจจิตใจมนุษย์ เรียนรู้ว่าความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้ เราห้ามใจใครไม่ได้ 
สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ 
เพราะเราสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง ใจเราควรสงบนิ่ง ยังไม่ต้องชำระ 
ใจคนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอกให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่ เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสาร
มีเวลามองคนอื่น แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจใช่ไหม 

เข้าใจครับหลวงตา เด็กน้อยยิ้มมีความสุขอีกครั้ง				
10 พฤษภาคม 2550 22:04 น.

สัจธรรมในการทำงาน

ไรไก่

1.ที่คุณเห็นเจ้านายหรือเพือนร่วมงานเค้าแสดงออกว่า
รักคุณหรือชื่นชมการทำงานของคุณนะ...ในใจเค้าอาจจะไม่คิดแบบนั้นก้อได้

2.บางครั้งคนที่ยิ้มให้หรือสนิทชิดเชื้อกับคุณในที่ทำงาน..
คนๆนั้นอาจจะเป็นคนที่แทงข้างหลังคุณก้อได้

3.อย่าคิดว่าตนเองเจ๋งหรือเก่งมากๆประมาณว่าบริษัทนี้ขาดเราไม่ได้มีงานของคุณที่มีคนอื่นทำไม่ได้นอกจากคุณ
ลองคุณลาออกสิ..เดี๋ยวเค้าก้อหาคนมาทำงานแทนคุณได้
ทันที..จงจำไว้ว่าไม่มีบริษัทไหนที่จะเจ็งหรือปล่อยให้งานสะดุดถ้าคุณไปเพียงคนเดียว

4.การที่คุณทำงานยุ่งทั้งวันไม่มีใครมาเห็นคุณว่าทำงานขยันหรอกนะ....สู้คุณส่งเมล์เรื่องงานแค่วันละหนึ่งหัวข้อไปให้ทุกคนในบริษัท.คนอื่นเค้าจะเห็นว่าคุณขยันทำงานมากกว่าซ่ะอีก

5.ถ้าคุณมีโอกาสไปอยู่บริษัทอื่นที่ดีว่าหรือตำแหน่งที่ดีกว่า(เงินเดือนดีกว่า)คุณจงอย่ารีรอที่จะไปเพราะคนส่วนใหญ่เสียโอกาสกับเรื่องนี้

6.มาจากข้อ5..ในกรณีที่นายจ้างขอให้คุณอยู่ต่อ..อย่าใจอ่อน..จำไว้ว่า..ความรู้สึกที่มีให้กัน.หลังจากคุยเรื่องนี้แล้ว
มันจะมีทางเหมือนเดิม(รวมทั้งเพื่อนร่วมงาน.หรือลุกน้องที่ข่าวเรื่องนี้ด้วย)

7.เรื่องชู้สาวในบริษัทเดียวกันไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน..หัวหน้า.ลุกน้อง..ควรหลีกเลี่ยงให้ไกลที่สุดจำไว้ว่า
ถึงแม้คุณไม่ได้คิดอะไร.แต่ปากคนในที่ทำงานนะ..สุดยอด.จริงๆเชียว

8.การวางตัวเป็นเรื่องสำคัญมาก..อย่ามีมนุษย์สัมพันธ์ที่มากเกินไป(ไม่ควรสนิทสนมกับคนที่ไม่จำเป็นต้องสนิทด้วย....

9.บางครั้งคุณอาจจะเป็นคนนิสัยไม่ได้บ้างในสายตาของคน(เลว)อื่นบ้าง..ถ้ามันจำเป็นให้คุณอยู่รอด.

10อย่าคิดว่าเพื่อนร่วมงานที่คุณเคยช่วยเหลือเรื่องงานเอาไว้.เค้าจะมาตอบแทนช่วยเหลือคุณในเรื่องงาน.เค้าอาจจะไม่ใส่ใจเก็บเรื่องนี้มาคิดก้อได้

11.การวางโครงการในอนาคต.อย่าวางในระยะเวลาที่สั้น
เช่น.ถ้าสิ้นปีฉันได้เลื่อนตำแหน่ง.ฉันจะ...
ควรวางโครงการระยะยาวเช่นถ้าทำงานในบริษัทนี้อีก3ปี.แล้วยังไม่ได้ขึ้นเป็น...ถึงจะค่อยหาที่ทำงานใหม่

12.การเอา.resume.ไปโพสในเวบต่างๆมีประโยชน์มากนะ
เพราะคุณจะไม่ได้เป็นผู้ถูกเลือกจากบริษัทอื่นแต่คุณจะเป็นฝ่ายเลือกที่จะอยากไปอยุ่บริษัทไหน.

13.ความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญมาก...ถ้าคุณคิดว่าคุณสามารถทำงานในตำแหน่งที่ทำ..อยู่นี้ได้ดี..คุณก้อสามารถไปอยู่ที่ไหนก้อทำในตำแหน่งนี้ได้เช่นกัน

14.การเลียแข้งเลียขาเจ้านาย..ใช่ว่าจะเป็นผลดีตลอด
ถ้าคุณไม่ใช่คนชอบเลีย..จำไว้ว่าเจ้านายชอบคุณมากกว่า
คนที่ชอบเลียแข้งเลียขาอยุ่

15.อยาคิดว่าถ้าย้านงานไปอยุ่บริษัทอื่น..แล้วจะมีความสุขมากกว่าอยู่ที่เก่า.เพราะบางครั้งที่บริษัทใหม่ของคุณ
อาจจะไม่มีความสุขเท่าที่เดิมก้อ				
4 เมษายน 2550 13:25 น.

อิ่มเดียวหลับเดียว

ไรไก่

Subject: Fw: อิ่มเดียวหลับเดียว
 ขอพระองค์ทรงพระเจริญอิ่มเดียว   หลับเดียว ข้าพเจ้าจะนำท่านย้อนหลังกลับไปเมื่อ  ๔๐   ปีที่แล้วมาขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ใหม่ๆทรงโปรดการทรงภูษาเป็นสนับเพลาสั้น  ( กางเกงขาสั้น  ) ในยามดึกเวรยามรอบพระราชฐานที่ประทับต่างทำหน้าที่กันตามจุดต่างๆไม่มีบกพร่อง   ไม่มีการละทิ้งหน้าที่   ไม่มีการหยอกล้อเฮฮา   ส่งเสียงอึกทึกหรือเล่นหัวกัน    เพราะต่างรู้หน้าที่ของตนว่ากำลังถวายอารักขาและถวายความปลอดภัยแด่องค์พระประมุขของชาติ   จอมคนของปวงชนชาวไทย   แม้จะมิได้ทรงเสด็จออกมาทอดพระเนตร   แต่ทุกคนก็รู้หน้าที่กันเป็นอย่างดี  ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาว   ลมพัดกรูเกรียวเสียงน้ำค้างตกใครจะนึกบ้างเล่าว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเสด็จลงมาทรงพระราชดำเนินไปรเวท  ( เดินเล่น )  บางครั้งทรงเสด็จพระราชดำเนินมาเงียบๆ แล้วก็มีพระราชดำรัสทักทายแก่ทหารมหาดเล็กที่ถวายเวรยามและนายทหารราชองครักษ์เวรประดุจน้ำทิพย์หยาดลงชโลมดวงใจของผู้ที่ทำการอยู่เวรยามให้ได้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณว่า   ทรงเป็นห่วงผู้ที่มาอยู่เวรยามด้วยความจงรักภักดีแม้เวลาจะดึกดื่นแล้วก็ยังคงอยู่ในหน้าที่ด้วยอาการสงบที่เป็นการถวายชีวิตเป็นราชพลี ...ตอนนั้นทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านหน้าข้าพเจ้าซึ่งกำลังหมอบกราบด้วยความเคารพอย่างสุดชีวิตทรงหยุดพระราชดำเนินแล้วมีพระราชดำรัสเรียกชื่อของข้าพเจ้าจากนั้นทรงพระราชดำรัสต่อไปว่า     ชีวิตมนุษย์เรานี่อิ่มเดียวหลับเดียวเท่านั้น     ทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านไปจนลับพระองค์  ข้าพเจ้าทบทวนพระราชดำรัสจนขึ้นใจ    นึกไม่ออกว่าทรงหมายความว่าอย่างไร  จนรุ่งเช้าออกเวรแล้วจึงได้กลับบ้านอีกสองสามวันต่อมาได้มีโอกาสเข้าไปคุยธรรมะกับพระ  ที่วัดเทพธิดาจึงได้เอ่ยถามท่านมหาผู้มีเปรียญเป็นดีกรีว่า   ท่านมหาขอรับคำว่าอิ่มเดียวหลับเดียวนี่   หมายความว่าอย่างไรขอรับ ท่านมหาขมวดคิ้วแล้วย้อนถามผมด้วยความฉงนฉงาย   ทำให้ผมยิ่งงงเข้าไปอีกว่า  โยมเฉลิมศักดิ์ไปเอาคำนี้มาจากไหนกันล่ะ   ข้าพเจ้ามิได้บอกท่านตรงๆ  ในที่สุดท่านก็ได้ตอบปัญหาให้ผมได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า   โยมเฉลิมศักดิ์ คำนี้น่ะผู้ที่ได้กล่าวถึงนี้เป็นผู้มีความรู้ในพระพุทธพจน์อันมีความหมายยาวให้ย่นย่อ   เข้าใจได้ง่ายอีกด้วย   คำว่าอิ่มเดียวหลับเดียวนั้น   มาจากพระพุทธพจน์ ที่ทรงให้ตัดความโลภ   เพื่อให้ชีวิตเป็นสุขให้รู้จักคำว่า  พอเพราะมนุษย์เรานั้นจะกินได้มากเท่าใด    ก็ไม่เกินอิ่มของตนพออิ่มแล้วก็เท่านั้นแหละ   อะไรก็ไม่วิเศษอีกแล้ว การนอนก็เช่นกัน   จะนอนนานแค่ไหนก็แค่อิ่มนอนของตัวเองเท่านั้นมนุษย์เรานั้นวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้    ก็เพราะไม่รู้จักอิ่มได้มาอิ่มแล้วก็ยังอยากได้อีกนอนอิ่มแล้วก็อยากนอนอีกอยากได้ให้มันมากขึ้นไปอีกถ้าคนเรายึดในหลักว่าอิ่มเดียวหลับเดียว   โลกก็จะเป็นสุขไม่ต้องแก่งแย่งชิงดี   และแสวงหาจนทำให้เดือดร้อนกันไปทั่ว  คนเรานะโยม   จะบริโภคอาหารอันอิ่มเอมโอชะสักเท่าใดก็อิ่มเดียวกินข้าวคลุกน้ำปลาหรือกินอาหารจีนรสเลิศชามละเป็นพันบาทก็อิ่มเดียวแค่อิ่มเท่านั้น   กินเข้าไปไม่ได้แล้วจะนอนบนที่นอนยัดนุ่นรองด้วยสปริง   อยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ    นอนในสลัมหรือ นอนในคฤหาสน์   ก็แค่นอนหลับอิ่มเดียวเท่านั้นเต็มอิ่มแล้วก็ต้องลุกขึ้นมา ชีวิตของมนุษย์ทุกคน   ก็เท่าเทียมกันด้วยอิ่มเดียวและหลับเดียวนี่แหละ				
28 มีนาคม 2550 12:47 น.

ธรรมะจากสัตว์

ไรไก่

สมัยเด็กๆ..คุณ.คงชอบฟังนิทานกันบ้างนะคะ

ผู้เฒ่าผู้แก่มักจะเป็นผุ้มาเล่านิทานให้พวกเราได้ฟัง

ทราบไหมว่า..นิทานเหล่านั้น..เป็นนิทานอิสป..นิทานชาดก

เป็นนิทานพื้นบ้านเล่าขานกันต่อๆมา

ซึ่งนิทานเหล่านี้..จะสอดแทรกธรรมะให้ซึมซับกับผู้คน

อย่างต่อเนื่อง..และตัวเอกของเรื่องคือพวกสัตว์ต่างๆ

ที่เอามาเป็นสื่อสอนธรรมะ..โดยให้เอาเยี่ยงสัตว์มาปรับตัว

เข้ากับการฝึกปฎิบัติตนในศาสนา


เช่น...มีเต่าตัวหนึ่งถุกสุนัขคุกคามเอาเท้าเขี่ยเต่าพลิกไป-

มาหวังจะกินเต่า..แต่เต่ากับหดหัวเข้าไปในกระดองนิ่งเงียบ

เฉยอยู่...มิใยสุนัขตัวนี้จะพยายามอย่างไรเต่าก็ไม่หลงกล

โผล่หัวออกมาจนกระทั่งสุนัขอ่อนใจเดินหนีไป

พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่าเพราะเต่าระมัดระวังตัวหดหัวใน

กระดองมันจึงรอดพ้นอันตรายได้

คนเราหากรู้จักสำรวมอินทรีย์(การระมัดระวังประสาทสัมผัส

ตาหูจมูกลิ้นกายใจก็จะมีสติระมัดระวัง)ก็จะปลอดภัย

เหมือนเต่าหดหัวในกระดอง

แต่พังเพยไทยว่า "หดหัวในกระดอง"เป็นคำค่อนขอดคนขี้

ขลาดเป็นสิ่งไม่ดีแต่ทางพระพุทธศาสนาหกลับมีความ

หมายในแง่บวกคือการสำรวมการแสดงออกนั้นเอง

อีกเรื่องหนึ่งของสัตว์ธรรมะ

มีเด้กเลี้ยงโคกำลังต้อนโคข้ามน้ำซึ่งกระแสน้ำเชี่ยวกราก

โคทั้งฝุงต่างก็ว่ายข้ามมามีโคจ่าฝูงว่ายนำทางจนถึงฝั่งโน้น

โดยปลอดภัย

พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า

เมื่อฝูงโคข้ามฟากหากโคจ่าฝูงนำไปคดโคทั้งหลายก้

คดตามหากโคจ่าฝูงนำไปตรงโคทั้งหลายก็จะเดินตรงตาม

ฉันใดในมนุษย์ก็ฉันนั้น  ใครได้รับแต่งตั้งให้เป็นใหญ่เป็นผุ้

นำถ้าคนนั้นไม่ประพฤติธรรม คนทั้งปวงจะทำตามรัฐก็เดือด

ร้อนถ้าผู้นำประพฤติธรรมคนทั้งปวงก็จะทำตามรัฐก็มีแต่

ความสมบูรณ์พูนสุข

ปราชญ์ยุคหลังๆเช่นขงจื้อก็มีความคิดเช่นเดียวกับพระ

พุทธองค์ว่าผู้ปกครองประเทศควรมีคุณธรรมความซื่อสัตย์

สุจริตแล้วประเทศก็จะสงบสุขไปเอง

คำสอนที่พระพุทธองค์ทรงใช้สัตว์ต่างๆมาเป็นสื่อธรรมะ

เป็นคำสอนที่พวกเราทุกคนสามารถนำคำสอนไปประยุกต์

ใช้ได้ถ้ารู้จักทำเพียงข้อเดียวคือ.".รู้จักเขี่ยไข่ขาง"

"การรู้จักเขี่ยไข่ขาง"   คืออย่างไรคะ

ช่วยให้คำตอบหน่อยสิคะ				
11 มีนาคม 2550 13:55 น.

นาทีที่ยิ่งใหญ่

ไรไก่

นาทีที่ยิ่งใหญ่คือวัคซีนใจแห่งชีวิต

ไม่ว่าฉันหรือคุณต่างเคยสัมผัสเสี้ยวนาทีที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว
จำได้ไหม

ในวันที่  รู้ว่าสอบเข้าเรียนต่อในสถานศึกษาที่ต้องการได้

ในวันที่  ทีจดหมายหรือโทรเลขมาบอกให้ไปรายงานตัวเข้าทำงาน

ในวันที่  ได้รับชัยชนะจากการแข่งขัน

ในวันที่  ได้พบบุคคลอันเป็นที่รักและรอคอย

ในวันที่   ลูกน้อยเรียนว่าแม่เป็นคำแรก

คุณจำปฎิกิริยาตอนนั้นได้ไหม  คุณยิ้มหรือหัวเราะ..น้ำตาไหล..แววตาของคุณสิ่งต่างๆที่แสดงออกมา

คือความปลื้มปิติ ยินดี  ความภาคภูมิใจ  คิดไม่ออกให้นึกถึงการประกวดนางงามที่ยืนรอฟังการประกาศ

ผลว่าได้เป็นผุ้ชนะเลิศ

นาที่ที่ยิ่งใหญ่ของคนหนึ่งอาจไม่ใช่นาทีที่ยิ่งใหญ่ของอีกคนหนึ่ง

ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับความคาดหวังและระดับของความเหมาะสมที่มีต่อ

ปรากฏการณ์ในนาทีแต่ละคนต่างกัน

แต่สิ่งที่ไม่ต่างกันคือความรู้สึกภาคภูมิใจนั่นเอง.

ความภาคภูมิใจเป็นความรู้สึกปลาบปลื้ม  ปิติ  ยินดี อิ่มเอม  เบิกบานใจ 

 ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในจิตของบุคคล

เป็นสภาวะที่สารแห่งความสุขเอนดอร์ฟีนหลั่งออกมาอย่างเต็มที่

ความภูมิใจที่ดีและมีคุณภาพเป็นสิ่งที่เกิดจากตนเองภายใจ

ไม่ได้เกิดจากสิ่งแวดล้อม

การสร้างนาทีที่ยิ่งใหญ่และความภูมิใจในชีวิต

ต้องสร้างที่ตัวเราเองโดยบริหารความหวังให้เป็นต้องรู้จักสร้างความหวัง

และยืดหยุ่นในการตั้งความหวัง

ปรับเปลี่ยนความหวังให้เหมาะสมกับกาลเทศะและ

มุ่งมั่นพยายามไปให้ถึงฝั่งฝันแล้วนาทีที่ยิ่งใหญ่จะ

ปรากฏในใจคุณ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟไรไก่
Lovings  ไรไก่ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟไรไก่
Lovings  ไรไก่ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟไรไก่
Lovings  ไรไก่ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงไรไก่