15 กุมภาพันธ์ 2549 22:33 น.
โอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน
ก็เมื่อใหม่พี่ก็งามด้วยความรัก
ชื่นจิตภักดิ์เรียงภิรมย์เป็นสมสอง
เอ่ยอ่อนหวานซ่านอารมณ์นิยมปอง
ถึงว้าเหว่จะเห่ก้องให้ต้องใจ
ไม่เห็นหน้าเคยพิศจริตป่วน
สักยามยวนเจียนบ้าน้ำตาไหล
ครวญพิร่ำพร่ำเนาให้เบาใจ
ก็หงอยเหงาเศ้ราหทัยไม่เว้นวาย
เอ่ยว่ามาตรปราถนิยมจะชมน้อง
จะอุ่นสองเคียงสู่ไม่รู้หาย
กล้ำเกินเพลินใจชอบอยู่รอบกาย
นี่ก็ชายฉวยได้ ก็ฉวยเอา
เชษฐ์เอ่ยความทรามสงวนว่าอ่วนอก
ยิ่งนานหนักอกไหม้ดั่งไฟเผา
อุปมาจม ณ สุขที่รุกเอา
ฤา ระทมตรมเศ้ราในโศกา
บอกกับนุชว่าอกข้ายังอาเพศ
แสนประเทศผ่านไปไม่ใฝ่หา
มาจุดจบสงบสมกรมอุรา
พจนาหลั่งได้ชายจำนรรจ์
ดุจน้ำหอมย้อมยลสุคนธรส
แสนพิร่ำคำจรดให้สดหวาน
ไม่นานนักหักสวาทมิปราถปราน
ฤา จะซ่านเสพย์กรุ่นเช่นคุ้นเคย
เกรงจะเหงาเฝ้าเคหาที่อาศัย
ณ คืนจันทร์ อันอำไพไกลเขนย
ดุจธาราบ่าไกลลับไม่กลับเลย
โอ้ดาวเอยหยาดจากชู้ที่คู่เคียง
เช่นศรศักดิ์ปักปวดกร้าวร้าวดวงจิต
ดำเนินทางร้างมิตรใกล้ไร้สรรพเสียง
จะวาดหวังตั้งหทัยเช่นเคยเคียง
ก็รุ่มร้อนอุทรเพียงเช่นเพลิงไกร
ที่เคยหวานปานหยาดสรวงทั้งปวงหอม
ก็ชืดรสหมดพร้อมจะดอมได้
หลับตาเห็นผวาหวาดอนาถใน
เพราะเห็นเชษฐ์ร้างไกลไม่คืนมา
ช่างหนักหนาสาสักกระอักอ่วน
หทัยกวนรวนเรจะเห่หา
เมื่อเหม่อมองปองพี่ชายไม่เห็นมา
คงจะพาแปรใจไปเสียแล้ว
สะดุ้งตื่นฟื้นตามาอีกครั้ง
รอบกายยังไร้รอยเฝ้าคอยแคล้ว
เมื่อแรกรักหักใจไม่ตรงแนว
ก็เผลอแผ่วเผยใจให้ชายชม
เขาว่างามก็งามใจนุชนารถ
เขาว่าชาติยูงให้สูงสม
เขาว่าซาบซึ้งหทัยในคารม
เมื่อเขาชมป่านนี้ไกลไม่เห็นมา
10 กรกฎาคม 2548 22:08 น.
โอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน
หนาวกายกรมห่มหายกับสายฝน
พร่างพรายชล กมลครวญไห้หวลหา
ระบัดคลื่นระรื่นลอกกระฉอกมา
ประหนึ่งฟ้าจะย้ำเยือนให้เตือนใจ
ครางสะครืนสะอื้นก้องทำนองหวน
พยับยวนกวนระพีลับหนีหาย
สิ้นสว่างดั่งข้างเห็นจันทร์เร้นกาย
แสงเป็นสายคล้ายเมฆินทร์ปิดสิ้นไป
ฤ ครวญเสียงเพียงจะปองร้องครวญคร่ำ
แสนระกำสรวงฟ้าน้ำตาไหล
กระหน่ำแดนแสนอุทกตระหนกนัย
ระคางกายคล้ายดั่งคนกมลหมอง
แม้นจะคูณพูลผสมอารมณ์เทวษ
แสนประเทศครวญคร่ำพร่ำสนอง
แม้นเจ็บจำค้ำข่มจนกรมกรอง
ก็จงร้องเถิดแสงฟ้าข้าเข้าใจ
อ่ะครับ แปลจากโคลงมาเป็นกลอนบ้างครับ
ดูตะกุกตะกักพิลึก แต่ก็พยายามแล้วครับ
8 กรกฎาคม 2548 19:42 น.
โอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน
ปิเยหิ วิปะโยโค ทุกโข อัปปิเยหิวิปะโยโค ทุกโข ทุกขะ โทมะนัสสุปายาสาปิ
สังสารละหานแล้ง
ตละแห่งก็กันดาร
ชีพชนม์ ฤ ทนทาน
ดำรงได้ดังดวงใจ
พฤกษ์พร่างสล่างงาม
จะนิยาม กวีใด
สวยสมอุดมไพร
ละสมัยก็โรยรา
ตละใบตละดอก
ดุจจะบอกวิสัชนา
กงกรรมมัณฑนา
เกิดแก่แล้วก็โรยไป
เหลือเพียงธุลีคลี
บ่จะมีค่าอันใด
ความดีสิเกรียงไกร
สิจะเลื่องคนจะลือ
ความสูญเสีย ก็เป็นหนึ่งในทุกข์
วิถีแห่งพระอรหันต์ ไม่มีทุกข์ และไม่มีแม้กระทั่งสุข.....................
7 กรกฎาคม 2548 20:06 น.
โอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน
สาดสาดสะท้านแดน
พสุแสนกระหน่ำชล
โครมครืนครึกคำรณ
สิวับแวบแปลบแปลบเปลว
หวลหวลไห้โอดโอย
พยุโบยระริกเร็ว
ชีพชาติก็ขลาดเลว
แรงจะสิ้นใจจะสูญ
หยาดหยาดระบาดโบก
สำเนียงโศกวิโยคพูล
ทุ่งข้าวก็สมบูรณ์
ดารดาษด้วยแรงชล
เย็นเย็นเห็นพยับ
เมฆเข่นกลับจะขับฝน
แต่น้ำตาพร่ากมล
ทหัยหวนจะครวญคราง
สาดสาดแกล้งเกลื่อนสูรย์
นภางค์ขุ่นขับระคาง
ใสใสไสววาง
ดุจประการจะไพบูลย์
ช่อช่อก็ชูชื่น
พฤกษยืนด้วยแรงบุญ
อุทก ร่ำจะพร่ำจุน
หลังภัยร้าย มลายไป..............
22 มิถุนายน 2548 22:08 น.
โอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน
สิ้นสูญสูรย์เสียดฟ้า...................เรืองรอง
พุทธิพจน์ลบอง.........................เด่นชี้
เกิดแก่เจ็บตายครอง................สังขาร
กาลมธุกรรมประกาศนี้..............ก็ด้วยอาลัย
"สุพัตรา คลี่ขจาย"แก้ว.............นารี
ทัวแคว้นแดนคดี.....................ช่วยได้
ทุกข์ยากหากไมตรี....................หยิบยื่น
ร้อนเริงดับเพลิงไซร้.................ด้วยน้ำกมล
กรรมการณ์ใดใคร่กอปรแล้ว....สุจินต์
ประกาศเกียรติเกริกระบิน........นุข้า
เทเวศน์แดนใดยิน...................ขานขับ
จุ่งอนุโมทนากล้า........................แกร่งด้วยกุศล
ขอสถิตย์เสถียรภพ.....................พิมาน
เริงสฤฎษดิ์สำราญ......................แผ่นฟ้า
พันฉนำอนุมาณ..........................กาลกัปป์
อุทกอุทิศของข้า...........................สิทธ์ด้วย สาธุการ
๑๔ มิถุนายน ๒๕๔๘
ด้วยรักและอาลัย