16 เมษายน 2551 23:28 น.
โอปปาติกะ
กอดสลับจับจูบลูบคล่ำผม
เบียดดอมดมชมกลิ่นเสน่หา
สดับเสียงร้องก้องกู่คู่ดวงตา
แสงจันทรามาประดับขยับกาย
จากกันไกลเหมือนใกล้เมื่อรับกลิ่น
รสที่ลิ้นมีอยู่มิรู้หาย
ร้อนกระทบผิวแก้มยังมิคลาย
สุดที่ปลายเส้นผมยังจดจำ
แรงสุราขับร้อนแผดเผาทรวง
มิอาจสู้แรงดวงเพลิงโหมกระหน่ำ
ค่ำคืนสุขพี่นี้จะจดจำ
ไฟเผาดำเหลือไว้เพียงธุลี
มีคนว่าชนะสิ่งทั่วประเทศ
ทั่วทุกเขตเปรียบเปรยดั่งราชสีห์
แต่ชัยเหนืออนิจจังนั้นไป่มี
ตัวข้านี้มิอาจสู้ดวงชะตา
หากแลกได้ชัยชนะที่ได้มา
โปรดเถิดฟ้าคืนนางมาสู่ข้า
แม้จะรู้อยู่กับอกตกน้ำตา
สุดท้ายข้ามาร้องไห้ข้างเมรุ
14 เมษายน 2551 21:20 น.
โอปปาติกะ
อันรักโลภโกรธหลงปลงดวงจิต
นำมาคิดอ่านเพียรเขียนอักษร
คงไว้ซึ่งดวงใจอำไพพร
สถาพรคู่สยามงามวิลัย
เริ่มที่รักจักตรองดูให้สนิท
รักโดยใช้ความคิดให้สดใส
รักบิดรมารดาครูบาไซร้
รักจะให้อำนวยชัยภัยมิพาล
รองคือโลภอาจทำให้ทุกข์ร้อน
แต่ดูก่อนโลภสิ่งใดใคร่สงสาร
โลภความรู้โลภผลบุญสร้างการงาน
โลภอย่างนี้จะเสริมสร้างทางเจริญ
รับด้วยโกรธโทษร้ายภายในจิต
เผาหมดสิ้นชีวิตสิ้นสรรเสริญ
หากโกรธแล้วสอนตนอย่างใจเพลิน
โกรธจะช่วยแต่งเติมให้สมบูรณ์
รวบสุดท้ายความหลงจงลองพิจ
หากหลงตามบัณฑิตไม่เสียศูนย์
หลงโดยสติปัญญาทวีคูณ
จักไพย์บูลมีจิตคิดกุศล
หากปลงสิ้นแล้วรักโลภโกรธหลง
จะธรรมรงค์ชีวีแห่งมรรคผล
พ้นเวียนว่ายเกิดแก่เจ็บตายจน
เจ้าจะพ้นซึ้งทุกข์สุขตลอดกาล