27 พฤษภาคม 2550 17:12 น.
โคลอน
เรามียายอยู่คนเดียว(ถ้ามีสองคนคงบ้านแตกไปนานแระ...อิอิ) เราจะพูดแทนชื่อตัวเองกับยายว่า"ลูก"เสมอ เหมือนที่พูดกับพ่อและแม่ ไม่รู้ว่าเราเริ่มแทนตัวเองว่า"ลูก"เวลาพูดกับยายตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ยายก็ให้ความรู้สึกว่า เหมือนแม่ ได้จริงๆ สรุปก็คือเรามีแม่ที่อบอุ่นจนเผาเราเกรียมได้ตั้ง 2คนแน่ะ....:p
เมื่อก่อนตอนยายแข็งแรง ยายจะทำอาหารให้เรากับน้าทานเสมอไม่ว่าจะอยากกินอะไร ขอให้บอก ยายเนรมิตรได้อย่างใจ ยายดูมีความสุขเวลาทำอาหาร ยายไม่เคยขอร้องให้ใครไปช่วย หรือเป็นลูกมือเลย
เราอยู่กับน้าที่ปากเกร็ดและยายจะลงมาจากเชียงรายเป็นพักๆ มาทีไม่ต่ำกว่าเดือนขึ้นไป ช่วงที่ยายมาอยู่ด้วย สวนจะสวยไม่มีใบไม้แห้งหล่นให้รกตาเลย บริเวณรอบๆต้นไผ่ที่รายล้อมไปด้วยหินเล็กๆยายยังสามารถพลิกก้อนหินทีละก้อนเพื่อคุ้ยหาใบไม้แห้งมาทิ้งขยะได้เลย ยายสามารถอยู่ข้างบ้านดูแลสวนอยู่กับต้นไม้ได้เป็นวันๆ ความสุขของยายมีไม่กี่อย่างจากที่เราสังเกตุ
เราเคยถามยายว่า เวลาปวดท้องคลอดลูกเจ็บมั๊ย เพราะยายต้องคลอดตั้ง8คน แต่ยายกลับตอบหน้าตาเฉยว่า"ไม่เจ็บ...เหมือนปวดท้องอึนั่นแหละ..." เรายิ่งเป็นคนจินตนาการกว้างไกลอยู่ด้วย มีรึจะไม่คิดตาม555 ถูกแล้วเรานึกภาพ แม่เรากับน้าๆ(แม่เราเป็นลูกคนโต)เป็นอุนจิ...แล้วก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว...หารู้ไม่ว่ามีสายตาอำมหิตคู่หนึ่งจับจ้องอยู่เหมือนจะรู้ทันความคิดเรา...55555(ขากรรไกรจะค้าง...ไม่รู้สึกรู้สา)...ยายช่างเป็นผู้หญิงที่โชคดีจริงๆเพราะสมัยเรียนมัธยมเราเคยดูวิธีคลอดลูกโดยวิธีรรมชาติแล้วมัน สยึมกึ๋ย มากเลยอ่ะ ^~^" ติดตาแต่ไม่ติดใจ
ยายมักมีมุขเด็ดมาเป็นระยะๆ อย่างตอนที่ ยายไม่สบาย ไม่ยอมเช็ดตัวเลย3-4วัน คิดดูเดินไปไหนแมลงวันตอม(ตอนนี้ยายอยู่เจียงฮายปู๊นนนน...เต็มที่ๆ...อิอิ)^A^ แล้วอยู่ดีๆยายก็ร้องเพลงหนึ่งที่พ่อเราเคยร้องสมัยเป็นทหารแล้วต้องติดอยู่ในป่าว่า
"เจ็ดวันอาบน้ำหนเดียว...เจ็ดวันอาบน้ำหนเดียว....ใครๆก็ไม่แลเหลียว....อาบน้ำหนเดียวอยู่ได้เจ็ดวัน"
จากที่เรากำลังจะแกล้งเอามือปิดจมูกแซวยายเล่นเรื่องไม่ยอมอาบน้ำทั้งๆที่หายไข้แล้วกลับต้องเอามือมากุมท้องเพราะหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งแทนซะนี่
ตอนนี้ยายไม่ค่อยแข็งแรงเพราะอายุ 78 แล้วเดินทางก็ไม่ค่อยไหวยายก็เลยไม่มาหาเราแล้วแต่พวกเราต้องเป็นฝ่ายไปหายายแทน
แต่เดือนมีนาที่ผ่านมา น้าๆมาเที่ยวก็เลยคะยั้นคะยอให้ยายมาด้วยแล้วบอกยายว่า สงกรานต์ค่อยกลับเชียงรายพร้อมกัน...ยายถึงยอมอยู่ด้วย
เรากับน้าคุยกันว่าต่อไปนี้จะทำอาหารให้ยายทาน เพราะตอนที่ยายแข็งแรงยายยังทำให้พวกเราทานได้เลยแล้วทำไมพวกเราจะทำอาหารให้ยายทานไม่ได้ล่ะ...
ปีนี้รู้สึกยายไม่ค่อยสดใส ดูซึมๆไม่ค่อยพูด ไม่มีอารมณ์ขันเหมือนก่อน หรืออาจจะเป็นเพราะว่าหูยายไม่ค่อยได้ยินแล้วก็เป็นได้
ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า...คนเราถึงจะสดใส แข็งแรงขนาดไหนก็ต้องเปลี่ยนไป เมื่อถึง วัย วันและ เวลา ซึ่งพวกเราก็คงหนีไม่พ้น
จากที่ยาย ชอบทำอาหาร ก็เหลือแต่ ทานอาหารตามเวลา
จากที่ยายชอบ ปลูกต้นไม้ ชอบขลุกอยู่ในสวน ก็เหลือแต่ นั่งมองเฉยๆข้างหน้าต่าง
จากที่ยายชอบมีมุขเด็ดๆมาให้ขำ ก็เหลือแต่ ความเงียบ สงบ และสายตาที่เหม่อมองออกไปไกลๆ
เราไม่รู้ว่ายายกำลังคิดอะไรอยู่...และไม่กล้าถามด้วย...ได้แต่ชวนคุยไปเรื่อยเปื่อยและสื่อสารกันไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วเพราะ ยายแก่ลงมากเลยปีนี้เวลาพูดก็ต้องเข้าไปใกล้ๆเสียงดังๆถึงจะได้ยิน
สิ่งที่เราจะทำเพื่อยายได้ตอนนี้ก็คือ ใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างคุ้มค่าและดูแลยายอย่างที่ยายเคยดูแลเราขณะที่ท่านยังแข็งแรงอยู่
เรายังจำ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ สายตาที่อบอุ่นแม้บางครั้งจะแอบมีรังสีอำมหิตแผ่มาให้เสียวสันหลังวูบเวลาทำอะไรไม่ถูกใจยายบ้างก็ตาม
ถึงแม้วันนี้ยายจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่เราก็เชื่อว่า ยายคงรับรู้ได้ว่า ลูกๆหลานๆทุกคนรักและเป็นห่วงยายแค่ไหน เพราะพวกเรา รักนะ...แต่แสดงออก...(^v^)...ให้ยายรู้ ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะดูแลยาย แม้ยายจะไม่ได้ดูแลเราอีกแล้วก็ตาม
บางครั้งเวลา...จะเป็นตัวกำหนดด้วยตัวของมันเองว่า เราควรทำอะไร ตอนไหน อย่างไร เพื่อใคร
เมื่อก่อนเรากับน้าไม่ต้องทำอาหาร อย่างเก่งก็เป็นลูกมือเล็กๆน้อยๆ แต่ช่วงที่ยายมาอยู่ด้วยเมื่อเดือนมีนาพวกเราจะเช่วยกันทำอาหารให้ยายทาน...เราไม่รู้หรอกว่าอาหารถูกปากยายหรือเปล่า แต่แค่ยายทานหมดจาน...แค่นี้เราก็ดีใจแล้ว ถึงแม้อาหารที่ทำจะเทียบไม่ได้เลยกับที่ยายเคยทำให้เราแต่เราก็ทำด้วยหัวใจและยายคงจะรับรู้ได้(^8^)เมื่ออ่านจากสายตา
เราไม่เคยรู้ว่าเวลายายทำอาหารร้อนขนาดไหน ทุกครั้งเวลายายทำอาหารเสร็จจะมายืนอยู่หน้าพัดลมด้วยชุดที่ชุ่มเหงื่อไปทั้งตัว...แต่ยายก็ยังมีรอยยิ้มเสมอ...(o^______^o)
ตอนนี้เรารู้แล้วว่า การทำอาหารหากไม่ใช้หัวใจทำ เราจะไม่สามารถยิ้มออกได้เลย ภายในห้องครัวที่ร้อนอบอ้าวเพราะไอร้อนจาก อาหารและเตาเหล่านั้น คงเป็นเพราะรอยยิ้มของยายที่ออกมาจากห้องครัวทุกครั้งทำให้เราซึมซับอย่างไม่รู้ตัวว่า...การทำอาหารอย่างคนที่ใช้หัวใจทำเป็นอย่างไร...ตอนนี้ฝีมือของเราพัฒนาจนยายเอ่ยปากชมว่า"อร่อย"แล้ว...โย่ว์ (*^o^*)/
ถ้าหากคำกล่าวที่ว่า"คนเรายิ่งแก่ตัวลงจะยิ่งเหมือนเด็กเป็นเช่นนั้นจริง...ก็ขออย่าได้พรากความสดใสเหมือนเด็กไปจาก ยาย ของเราเลย"
29 มกราคม 2550 17:17 น.
โคลอน
อืม...เป็นหนังสือที่หน้าปกสีขาวสะอาดตา...หาเจอโดยบังเอิญจากร้านหนังสือ...เพราะตั้งใจจะหาซื้อหนังสือดีๆสักเล่มเป็นของขวัญวันเกิดให้เพื่อน...ตอนแรกเห็นชื่อหนังสือก็ขำซะ...นึกในใจใครจะกล้าซื้อแล้วถือติดตัวไปไหนด้วยล่ะเนี่ย แต่พอได้เปิดอ่านแล้วก็เหมือนถูกตบหัวอย่างแรง มันเป็นความรู้สึกของคนที่ถูกกระชากกลับอย่างเร็วน่ะ...บางเรื่องที่เราเคยคิดว่าสิ่งที่เราทำหรือคิดน่ะดีแล้วถูกแล้ว แต่พอมาอ่านหนังสือเล่มนี้ อีโก้ในตัวคุณมันจะลดลงโดยไม่รู้ตัว...บางเรื่องที่เขียนไว้ในหนังสือก็ทำให้เรารู้ทันคนและรู้จักคนอื่นมากขึ้นและเรียนรู้เร็วขึ้นว่าเราควรจะทำตัวอย่างไรหรือตัดสินใจอย่างไรเวลาเจอเรื่องเดียวกัน หรือแม้กระทั่งเนื้อหาในหนังสือเหมือนกระจกสะท้อนตัวเราและ สะท้อนคนในสังคมที่เราพบเจอให้ใสกระจ่างขึ้นเหมือนเป็นคัมภีร์สอนตัวเราที่ไม่มีถ้อยคำอ่อนหวาน หรือ ให้กำลังใจ แต่เป็นการเตือนสติอย่างตรงไปตรงมา ไม่เสียเวลาอ้อมค้อม ซึ่งสังคมปัจจุบันหาคนที่จะพูดหรือเตือนอะไรกันตรงๆ หรือชี้จุดบกพร่องที่เราเป็น ได้น้อยมาก หรือถ้ามีก็คงจะมองหน้ากันไม่ติดเลยมั๊งแต่พออ่านหนังสือที่เขียนจากผู้รู้แจ้งแล้ว(เราขอยกให้ท่านเป็นผู้รู้แจ้งในการมองคนเลย ท่านชื่อ ไชย ณ พล)ทำให้เราต้องยอมรับโดยดุษฎีและเริ่มมองย้อนดูตัวเองว่าเราเป็น คนโง่ คนฉลาด หรือ คนเจ้าปัญญา จริงๆแล้วพออ่านจบคุณจะพบว่าคุณเป็นทั้ง คนโง่ คนฉลาด และ คนเจ้าปัญญา ในคนๆเดียวกัน แค่เพียงรู้เท่าทันตัวเองคุณก็จะรู้จักหยิบมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เราจะขอโพส บทความดีๆแบ่งปันให้เพื่อนๆนักอ่านที่สามารถเปิดใจกว้างและยอมรับตัวเองได้ อาจมีบางข้อที่ดูแรงไปแต่เชื่อแน่ว่ามันเป็นการเตือนสติเราได้เร็วกว่า คำพูดหวานๆแน่นอน...
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
***ว่าด้วยความคิด***
...คนโง่... ทำก่อนแล้วจึงคิด จึงผิดพลาดเนืองๆ เปลืองเวลาและความรู้สึก และต้องตามแก้ปัญหาไม่สิ้นสุด
...คนฉลาด...คิดมากก่อนแล้วถึงทำ จึงเพ้อเจ้ออยู่เป็นประจำ แม้ประสงค์จะทำดีมากแต่ทำได้น้อย เพราะเขม่าความคิดมักปิดกั้นความหาญกล้า
...คนเจ้าปัญญา...คิดไปทำไป จึงทำได้อย่างที่คิด และคิดพอดีที่ทำ ประหยัดพลังงานและบริหารเวลาได้เหมาะสม ลดความหลอนป้องกันความพลาดขื่นขม และประสบผลสำเร็จโดยไม่เหน็ดเหนื่อย
***THOUGHTS***
The foolish act and then think afterward,This leads to mistakes and endless trouble.
The clever think first and act afterward,And often ride in a labyrinth of imagination.Many times their thoughts obstruct their own courage.
The wise act out of thought and think as they act,Making activity practical and possible.They are safe from illusions,save energy and time,And travel the smooth path to success.
แค่เรื่องความคิดก็เล่นเอาอ่วมแล้วนะ ตอนแรกทุกคนก็คงคิดว่าคิดก่อนทำย่อมดีแต่ความเป็นจริงแล้วมันใช้ได้แค่บางกรณีเท่านั้นแหละ บางกรณีเมื่อคิดแล้วก็ต้องลงมือทำไปด้วยถึงจะรู้จริง ตอนนี้เราซื้อหนังสือเล่มใหม่ให้เพื่อนไปแล้วล่ะ ส่วนเล่มนี้เราพกติดตัวไปตลอดเลยในกระเป๋า เผื่อเวลาหลงทางจะได้ไม่เสียเวลาไง...อิอิ(เข็มทิศชีวิต)
ต่อไปเราขอนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับการวิพากษ์วิจารณ์ดีกว่า ถ้าใครที่กำลังท้อแท้อยู่เพราะคำคนล่ะก็อ่านบทนี้แล้วจะยิ้มออกเลยล่ะ
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
***ว่าด้วยการวิพากย์วิจารณ์***
...คนโง่...มัววิพากย์วิจารณ์นินทาคนอื่น คนอื่นจึงเจริญแต่ตนเสื่อม และเพราะไม่จริงใจกับใคร จึงไม่มีใครจริงใจด้วย เขาคือมิตรเทียมและย่อมมีแต่มิตรเทียม
...คนฉลาด...มัววิพากย์วิจารณ์ตนอย่างที่เป็น โดยไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ตนต้องเป็นไป จึงไม่พอใจตัวเองจนต้องถล่มทลายตนเนืองๆ คนอื่นจึงมักไม่เข้าใจเขาและเคียงข้างเขาด้วยความกังขา
...คนเจ้าปัญญา...ย่อมไม่วิพากย์วิจารณ์ใคร ด้วยแจ่มแจ้งว่าทุกคนย่อมเปลี่ยนไป เขาย่อมเลี่ยงคนที่ชอบวิจารณ์ตนและคนอื่น ทุกคนจึงสบายใจที่จะอยู่ใกล้เขา เขาย่อมเป็นมิตรแห่งตน และมีมิตรแท้ที่มั่นคง
***CRITICISM***
The foolish enjoy criticizing others,And therefore lack sincere friends,
The clever only criticize themselves,Others find them difficult to understand And leave them alone.
The wise do not criticize anyone.They realize people are constantly changing And striving to be their best. They forego all criticism and gain true friends.
วันนี้มีเวลาแค่นี้ไว้จะมาโพสเพิ่มนะหวังว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
14 มกราคม 2550 20:16 น.
โคลอน
"Be prepared you never get a second chance to make a good first impression."
"จงเตรียมพร้อม คุณไม่มีโอกาสที่2 ที่จะสร้างความประทับใจที่ดีในยามแรกพบอีก!"
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่จะช่วยสนับสนุนประโยคข้างต้น ที่เคยอ่านในหนังสือ"ข้อเขียน ควรคิด"เมื่อนานมาแล้วได้เป็นอย่างดีเลย แต่ถ้าคาดหวังว่าจะเป็นเรื่องรักแรกพบอะไรเทือกนั้นล่ะก็ ได้โปรดมองข้ามเรื่องสั้นนี้ไปเสียเถอะ เพราะคงไม่มีเรื่องหวานแหววให้ได้อินเลิฟตามแน่ๆ... (*^3^*)
เมื่อมาย้อนคิดถึงจุดเริ่มต้นที่เราได้พบกับเจ้าเหมียว ที่ตอนนี้ถูกเราตั้งชื่อให้ว่า มีมี่(ชื่อจริง มารายห์ แครี่ (- ^^)" แล้วล่ะก็ เราขอยกนิ้ว (^A^) ให้กับคนที่คิดคำคมนี้ขึ้นมาเลยว่า ทำให้เราทึ่งได้จริงๆ... ขอหมุนเวลาย้อนกลับไปเมื่อประมาณ1ปีที่แล้วแป๊บ...แกร๊กๆๆๆ(เสียงเกาหัวเพราะเราแค่คิดเฉยๆน่ะ :p)
เรื่องก็มีอยู่ว่า เช้าวันหนึ่งขณะที่เรากำลังเปิดหน้าต่างเพื่อรับลมก็บังเอิญไปจ๊ะเอ๋เข้ากับ เจ้าเหมียวตัวหนึ่งเข้า เป็นตัวเมีย สีเทา-ดำ ลายเสือ ท่าทาง ปราดเปรียว เฉลียวฉลาด หางสั้นกุด(ไม่รู้เป็นกรรมพันธุ์หรือว่าถูกตัดหางเหมือน ร๊อตไวเลอร์ ...มีใครรู้มั่งว่าทำไม ร๊อตไวเลอร์ต้องตัดหางตั้งแต่ยังเด็กด้วยอ่ะ เราว่ามันคงไม่ชอบเท่าไหร่หรอก...)เราสังเกตุเห็นว่าเจ้าเหมียวมีตาสีทอง...กำลังจ้องมองมาทางเราอย่างไม่คลาดสายตา ภายในปากมีจิ้งจกลักษณะขาวๆอวบๆดิ้นดุ๊กดิ๊กๆอยู่ ...ด้วยความตกใจเราก็เลยเผลออุทานออกมาเสียงดังว่า บรู๊วววววว...(เจ๊ย!...ล้อเล่น)(^^)"แต่เสียงอันนุ่มนวลของเราก็ทำให้เจ้าเหมียว วิ่งหายไปเลย หลังจากนั้นอีก2-3วันเราก็เจอเจ้าเหมียวบ่อยๆแต่ก็แค่มองกันไกลๆไม่มีอะไรมากกว่านั้น แถมเรายังอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่า"แมวกินจิ้งจกด้วยเหรอ?(หรือว่าเป็น ออเดิร์ฟ ของเจ้าเหมียวมานานแล้ว)
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่เจอกันจังๆก็ตอนที่เราออกไปข้างบ้านแล้วก็จ๊ะเอ๋เข้ากับ เจ้าเหมียวที่กำลังนั่งเฝ้าเหยื่อที่นอนหายใจรวยรินอยู่ตรงหน้า เหยื่อที่ว่าก็คือ นก ลักษณะ อ้วนดำ ปากสีเหลือง(อืม...กินไม่เลือกแฮะ)เราก็เลยเผลอไล่เจ้าเหมียวไปอีก จากนั้นเราก็อุ้มนก เคราะห์ร้ายตัวนั้นมาสำรวจบาดแผลซึ่งก็ไม่มีแต่อย่างใด เราก็เลยเอาไปใส่กล่องแล้วแอบไว้ห้องเก็บของ
หลังบ้าน กลัวเจ้าเหมียวจะย้อนกลับมาอีก คิดว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะมาปล่อยแระกันเพราะมันบินได้ไม่สูง คงจะบอบช้ำจากข้างในมากกว่า พอตอนเช้าเรามาดู นกตัวนั้นก็ไม่รอดแล้ว อืม...เราก็เลยจัดแจงเอาไปฝังไว้ใต้ต้นปีบหน้าบ้าน(ไม่รู้ทอดกรอบจะอร่อยป่าวนะ...มาคิดตอนนี้ก็ช้าไปแระ...)^^" ก็เลยคิดในแง่ดีว่าอย่างน้อย เจ้านกน้อยตัวนั้นก็คงได้นอนตายตาหลับล่ะนะเมื่อคืน
ลองคิดภาพว่าเราเข้าไปอยู่ในหนังจักรๆวงศ์สมัยก่อนที่มียักษ์กินคนดูดิ ให้แมวเป็นยักษ์แล้วตัวเราเป็นนกตัวนั้น...กึ๋ย... (*~*)
ช่วงนั้นดวงเราเป็นไรไม่รู้ต้องได้มาพบเจอ ศพแล้วศพเล่าของทั้ง นก และ หนู อยู่คนเดียวในบ้าน ไหนใครว่า นกมีหู หนูมีปีก ไงล่ะ สรุปไม่รอดเงื้อมมือเจ้าเหมียวซักตัว หลังๆมาเราเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว ก็เลยตัดสินใจนั่ง ลับมีด เอิ๊ก...ไม่ใช่(^^)" เราก็เลยเริ่มคลุกข้าวให้เจ้าเหมียวกินโดยคลุกทิ้งไว้งั้นแหละ กินมั่งไม่กินมั่ง...แต่ก็ดีที่ไม่มีซากของเหยื่อเคราะห์ร้ายของเจ้าเหมียวมาให้เราเห็นอีก...บอกตรงๆนะเหตุผลที่ทำแบบนี้ไม่ใช่เราใจบุญอะไรหรอก แล้วก็ไม่ใช่ใจบาปด้วย(สรุปเราไม่ใช่ทั้งนางฟ้าและซาตานอ่ะแหละ จะอธิบายทำไมเนี่ย(^^)") เหตุผลสำคัญก็คือเรากินข้าวไม่ลงอ่ะ(^A^)(ฟังดูเข้าท่าเนาะ) พักหลังเจ้าเหมียวเริ่มมานอนค้างอ้างแรมที่บ้านเกือบทุกคืน(สงสัยยังโสดอยู่)...พอเช้าก็หายไปเหมือนเดิม แต่ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีในการที่จะผูกมิตรกับอาคันตุกะตัวนี้ใช่มั๊ยล่ะ...
เหตุการณ์ก็ดำเนินไปแบบนี้เรื่อยๆจนเราเริ่มชินและเจ้าเหมียวก็คงชินเพราะรู้สึกว่าจะเริ่มปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนบ่อยขึ้น บางวันก็แอบมานอนกลางวันที่โรงรถมั่ง ข้างบ้านมั่ง อยู่ประจำแต่เราไม่เคยได้ยินเสียงร้องของเจ้าเหมียวเลยสักแอะ...ชักสงสัยว่ามันจะเป็นใบ้หรือเปล่าหนอ:p
จนเช้าวันหนึ่งเราก็ได้ยินเสียงร้องอย่างออดอ้อนสุดฤทธิ์(เอ...จะเป็นไปได้เหรอเจ้าเหมียวที่วันๆเอาแต่ สวย...เริ่ด...เชิด...หยิ่ง จะยอมศิโรราบให้กับเรา)คิดได้อย่างงั้นก็รีบเปิดประตูออกไปดู แต่ผิดคาด ภาพที่เราเห็น กลับเป็น เจ้าเหมียวตัวผู้ ดูไม่คุ้นตานั่งทำหน้าเหรอหรา พอเห็นเราก็ร้องเมี๊ยวๆมาคลอเคลียเล่น รูปพรรณสัณฐานก็ ลำตัวสีขาวแต้มดำเป็นจุดๆ เท้าทั้งสี่เป็นสีขาว หางเป็นดอกสีดำ ปากสีชมพู(น่าอิจฉาชะมัด... ธรรมชาติช่างลงโทษมนุษย์ผู้หญิงอย่างเราได้ขนาดนี้เมื่อเทียบกับแมวตัวผู้ตรงหน้าที่แม้หน้าตาจะมอมแมมแต่ก็ปากสีชมพู๊ชมพูทั้งที่ไม่ได้ผ่านการแต่งหน้าหรือทาลิปกลอสมาเลย..เหอๆ..เริ่มฟุ้งแระกลับมาๆ ต่อ)เมื่อมานั่งพิศรูปร่างของเจ้าเหมียวดูอีกครั้งก็ดูจะผอมโซอยู่ คงจะหิวน่าดู เพราะร้องไม่หยุดเลยเราก็เลยคลุกข้าวให้กิน
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเราก็เลยต้องคลุกข้าวสองถ้วย ไว้คนละที่เพราะ มีมี่ดูเหมือนจะไม่ชอบ ทามะ(ตัวผู้...ซึ่งถูกเราตั้งชื่อไปอีกตัว) เจอกันทีไรก็เห็นมีแต่ ทามะอ่ะแหละที่คอยตื้อเค้าแล้วสุดท้ายก็ถูก มีมี่ ทั้งขู่ ทั้ง ข่วน จนเราเผลอคิดไม่ได้ว่าถ้าเป็นโลกของแมว นี่ ทามะคงจะไม่หล่อแน่ๆ เพราะ มีมี่แสดงท่าทางรังเกียจอย่างชัดเจน น่าสงสารสุดๆ ตื้อเค้าอยู่ได้ ลูกเอ๊ย... (แต่ถ้าในโลกของคนก็ถือว่า ทามะ เป็นผู้ชายหน้าหวานเลยล่ะประมาณ กอล์ฟ-ไมค์ยังไงยังงั้น) ช่วงหลังมานี่เราเริ่มสังเกตุเห็นว่า มีมี่จะมาตอนกลางคืนเพราะ ทามะไม่อยู่ พอเช้า มีมี่จะหายตัวไป แล้ว ทามะก็จะปรากฏตัวขึ้น เหมือนเป็นเส้นขนาน เหมือน พระอาทิตย์ กับ พระจันทร์ ที่มีเราเป็นศูนย์กลางมองดูอยู่(แล้วเราจะเป็นไรดีหว่า...ที่คั่นระหว่าง กลางวันกับ-กลางคืน...ความมืดและแสงสว่าง..)
21 ธันวาคม 2549 17:09 น.
โคลอน
เมนูนี้ได้อภินันทนาการมาจากการเซิร์ชหาเมนูข้าวผัดในเวบเอา พอเห็นปุ๊บ เหมือนวิญญาณจะหลุดจากร่างรีบตรงเข้าซุปเปอร์ไปหาซื้อวัตถุดิบในทันที(ประมาณว่า วิธีทำไม่ยุ่งยาก หลงคารมคนแนะนำ หิวจนไม่คิดหน้าคิดหลัง อิอิ) เริ่มเลยแระกันนะ
:ส่วนผสม:
-ข้าวสวย 2 ถ้วย (หรือมากกว่านั้นก็ได้แล้วแต่ขนาดกระเพาะของแต่ละบุคคล)
-หมู 100 กรัม (สัดส่วนไม่ต้องกังวล กะเอา --->ไปตายดาบหน้า^^")
-ไข่ไก่ 2 ฟอง (มากกว่านั้นไม่ได้เลยนะ...เพราะว่า....มันเปลือง...อิอิ)
-หมูหยอง 3 กำมือ (ถ้ารู้ตัวว่า มือใหญ่กว่าคนอื่นเค้าก็อาจจะเลือกวิธี หยิบแทนก็ได้...เอิ๊กส์ แนะนำทุกขั้นตอน)
-ผักคะน้า หรือ ผักกาดขาวก็ได้ตามใจชอบ
-น้ำเปล่า (เอาไว้กลั้วคอหลังจากชิมรสชาติแล้ว...เจ๊ย...ล้อเล่น เราก็ไม่รู้ว่าเค้าเขียนไว้ทำไมเหมือนกันนะเพราะไม่เห็นใส่น้ำเปล่าเลยสักขั้นตอนนึง เราเลยสรุปเอาเองว่าคนเขียนคงตั้งใจบอกใบ้น่ะ)
:วิธีทำ:
1.ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชลงไป รอจนร้อนได้ที่(ถ้าไม่รู้ลองเอานิ้วจุ่มดู...เหอๆ ล้อเล่น...)
2.ใส่หมูลงไปผัดกับน้ำมันจนเริ่มสุก(ดูแต่ตามืออย่าต้อง ของจะหมด)
3.นำข้าวเปล่าลงไปผัดใส่ ซีอิ๊วขาว หรือ ดำ ก็ได้แล้วแต่สภาพผิวของคนทำ(น่านนน...แบ่งแยก)
4.พอข้าวเริ่มเปลี่ยนสี แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ตอกไข่ใส่ลงไป ใช้ตะหลิวผัดให้เข้ากัน
5.ใส่ผัก (เราชอบ คะน้าอ่ะ เหมาะสมกันเหมือนกิ่งทองใบหยกเลยล่ะ)
6.โปรยหมูหยองลงไปผัดให้เข้ากันอีกนิด หรี่ไฟให้อ่อนเดี๋ยวหมูหยองจะไหม้ เอาไม่ไหม้นะขอบอก... อิอิ
7.ตักใส่ปาก เอ๊ย...ตักใส่จาน เป็นอันเสร็จ
ปล.เมนูนี้พิสูจน์แล้วโดย อ.ย (ย่อมาจากอาหย่อย)(*^_^*) ถ้าไม่เชื่อให้อมขี้หมามาพ่นใส่หน้าเราได้เลย...อิอิ...การทำอาหารสำหรับมือใหม่นะ มีเคล็ดลับแค่อย่างเดียวจริงๆคือ***ปล่อยให้ท้องแตก ดีกว่าของเหลือ***(ฮา...กริบๆ)
วันหยุดถ้าว่างเราจะชอบ เซิร์ชหาเมนูทำเองที่บ้านจากเวบต่างๆ อย่าง พันทิพ(ก้นครัว) หรือ เวบอาหารที่หาได้จาก Google แต่บางเมนูเวลาทำออกมาไม่ค่อยจะเกิดเท่าไหร่(ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเลยล่ะ) ชีวิตคนเราก็เป็นแบบนี้แหละเนอะ...มีเรื่องต้องให้เรียนรู้ตลอดขอแค่ใจไม่ปอดก็มีหวัง
23 พฤศจิกายน 2549 15:43 น.
โคลอน
กาลเสาร์หนึ่งนานมาแล้ว...ประมาณ 2-3 เดือนเห็นจะได้ (อารัมภบทให้เท่ห์ไปงั้นแหละ :p)...เราก็ตื่นเช้าขึ้นมาตามปกติ (เขียนให้ดูดีเข้าไว้) ขณะที่กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ ตาของเราก็เหลือบไปเห็น รังต่อเข้า มันเกาะติดหนึบอยู่ข้างหน้าต่างชั้น 2 ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้...อารามตกใจ วิ่งเข้าบ้าน (ฉลาดโนะ) ดั๊นลืมปิดน้ำ สุดท้ายหลังจากชั่งใจอยู่นาน ก็ต้องจำใจออกมาปิดน้ำเองอยู่ดี คิดซะว่าวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าแระกัน(ปกติ นิ่งเป็นหลับขยับเป็นกิน...ดิ้นแล้วได้...เอ๊ยไม่ใช่...จะเขียนทำไมเนี่ยภาพพจน์หมดกัน)(^^)"
พอเราออกมาเจ้าต่อ(ตอนนั้นยังไม่รู้จักชื่อ)ก็มาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ตอนแรกก็ปอดๆ เคยได้ยินคนโบราณบอกว่าให้อยู่นิ่งไว้มันจะได้ไม่ต่อย เราก็เลยยืนนิ่งเป็นเทพีเสรีภาพ อยู่อย่างงั้น กะว่ารอยยิ้มของเราคงจะพอผูกมิตรได้บ้างแหละ แต่มันชักนานเกินไปแระ แถมเรายังรู้สึกว่ามันจะไปชักชวนพลพรรคของมันมาดอมดมเราซะอีก (นี่ขนาดยังไม่ได้อาบน้ำนะเนี่ยแสดงว่าเนื้อหอมใช้ได้...อิอิ)กลับมาสู่โหมดเดิม...ขาเริ่มสั่นแระ...ก็เรายังไม่อยากจะเป็นราชินีต่อหรอกนะ ที่อยู่เฉยๆแบบนี้น่ะเพราะ ปอด(สรุปสั้นๆ) แต่ขืนชักช้าอยู่อาจโดนสกรัมได้ เราก็เลยอาศัยจังหวะที่เจ้าต่อมันเผลอ เปิดแน่บเข้าบ้านในทันใด }}}}}}}}} (เครื่องหมายปีกกา แทนว่าพักครึ่งเวลาแป๊บ เดี๋ยวเล่าต่อ...ก็เหมือนการ์ตูนสมัยก่อนไงก่อนจะพักโฆษณาเค้ายังให้ กามาพรีเซ้นซะ...อิอิ)
แฮ่ม...กลับสู่โหมดปกติ...
พอเข้ามานั่งจิบกาแฟแล้วก็เลยนึกขึ้นได้ว่า วันนี้ น้าเรานัดคนตัดต้นไม้ มาตัดต้นปีบหน้าบ้านนินา จริงๆต้องเรียกว่า... ตอน... ถึงจะถูก ก็ช่วงหน้าฝน ต้นปีบโตเร็วกว่าเจ้าของซะอีก(ขอแบ่งมาสัก 10 เซ็นก็ไม่ได้)กิ่งมันไปพาดสายไฟเข้า ก็เลยต้องจำใจจับตอนซะ (อยากมือยาวดีนัก)ความจริงมันกำลังโตเป็นพุ่มสวยมากๆเลยมีนกมาเกาะพักเวลาแดดร้อน ให้ร่มเงากับบ้าน ไม่ร้อนด้วย (เข้าโหมดเสียดาย...)
เราคิดว่าจะให้คุณลุงที่มาตัดต้นไม้ช่วยจัดการให้ พอได้เวลาลุงตัดต้นไม้ก็มากัน 3 คน พอลุงตัดต้นไม้เห็นเข้าก็ อุทานว่า"หูย...นี่มันต่อหางเสือนี่นา" เราก็เลยถามกลับไปว่า" ลุงเอาออกได้มั๊ย" ลุงเค้าก็บอกว่า " เอาออกตอนนี้ไม่ได้หรอก ต้องรอตอนกลางคืนถึงจะได้ ไม่งั้นมันรู้ มันจำได้ด้วยนะว่าใครมาพังบ้านมัน(จริงเร้อ...ลุงปอดอ่ะจิ...แอบคิดในใจ แล้วก็ตั้งใจฟังต่อ) อย่าให้บอก มันตามจนเจอตัวเลยล่ะ...ลุงเคยโดนมากับตัวเลย"(เหอๆ...อุตส่าห์ทำใจดีสู้เสือแล้วนะเนี่ย เจอแบบนี้ เล่นเอา หลอนเลย)เราก็ถามลุงต่ออีกว่า "ถ้าไม่รีบเอาออก รังมันก็โตคับบ้านเลยสิลุง มีหวังได้ขึ้น น.ส.พ หน้า 1 สักวัน" ลุงตัดต้นไม้ก็หัวเราะ หึหึ แล้วบอกว่า " ไม่หรอก รังมันจะขยายอีกนิดหน่อยแต่ไม่มากกว่านี้แล้วล่ะ แต่มันไม่ทำอะไรคนนะ ถ้าเราไม่ไปทำอะไรมันก่อน(ก็แหงล่ะ...ไม่ใช่ปิ่นมุกหนิจะได้อะไรก็ยอม)....หนูเห็นสีขาวๆในรังนั่นมั๊ย" เราก็เหลือบขึ้นไปมองตามที่ลุงชี้ชวน " ฮื่อ..." ลุงตัดต้นไม้บอกว่า"สีขาวๆในรังที่เราเห็นก็คือลูกของพวกมัน มันกำลังเลี้ยงลูกอยู่ เดี๋ยวพอลูกมันโต พวกมันก็จะไปเอง แล้วเมื่อนั้น รังมันก็จะร้าง ไว้เราค่อยเอาออกตอนนั้นดีกว่า"(เข้าโหมดซึ้งปนสงสาร)เราเลยคิดในแง่ดีว่า ถือซะว่ามีบอดี้การ์ดข้างบ้านก็ไม่เลวเหมือนกัน
พอลุงตัดต้นไม้กลับไปแล้ว เพิ่งนึกขึ้นได้ลืมถามคำถามสำคัญว่า แล้วอีกนานไหมกว่ามันจะโตอ่ะลุง...แต่ก็ช่างเถอะ...ถือซะว่าเป็นบ้านเอื้ออาทร
หลังจากนั้น ทุกเช้าเราต้องไปแอบมองเจ้าต่อหางเสือซึ่งเป็นสมาชิกใหม่ร่วมบ้าน ไปโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ความรู้สึกกลัวในตอนแรกมันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่...
ผ่านไปเป็นเดือน...อืม...รังของมันไม่โตขึ้นเท่าไหร่จากวันแรกที่เห็น ค่อยเบาใจหน่อย....วันนี้เป็นวันว่าง(จำไม่ได้แระว่าวันไหน...สงสัยจะเป็นอัลไซเมอร์ระยะฟักตัว)เราก็เลยไปด้อมๆมองๆสมาชิกร่วมบ้านอยู่นาน เลยสังเกตุเห็นว่า สีขาวๆที่อยู่ตามรูๆหรือช่องๆ(เรียกว่าอะไรก็แล้วแต่)มันค่อยๆหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง อืม...สงสัยคำอธิษฐานของเราจะได้ผล เราอธิษฐานให้พวกมันโตเร็วๆจะได้ไปเร็วๆไง (ดูเหมือนจะใจดี^^)"
จากวันแรกที่เห็นจวบจนวันนี้ก็ร่วมๆ3เดือนแล้ว ลูกๆของเจ้าต่อก็โตกันเกือบหมด คิดถึงตอนนี้เราก็แอบดีใจนิดๆที่ไม่ได้ทำลายบ้านหลังเล็กๆนั้น ก่อนที่บรรดาเจ้าต่อจูเนียร์จะได้ลืมตามาดูโลก แล้วก็เติบโตขึ้นมาเป็น ต่อหางเสือที่แข็งแกร่งในเวลาต่อมา...
คงมี"ต่อ"อีกหลายล้านตัวที่ไม่มีโอกาสได้เติบโต หรือ มีสิทธิ์ได้ใช้อ๊อกซิเจนร่วมกับพวกเรา ไม่มีโอกาสจะได้ใช้พื้นที่ว่างในโลกใบนี้เพื่อเรียนรู้และเข้าใจการมีชีวิตอยู่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การเอาตัวรอด ต้องทำกันยังไง...หลังจากผ่านประสปการณ์เป็นพี่เลี้ยงต่อ ด้วยความจำใจมา เราก็ได้ข้อคิดเตือนตัวเองว่า"ก่อนจะทำอะไร หยุดคิดสักนิด เวลาในชีวิตคงไม่เสียเปล่าหรอก"จริงมั๊ย...อย่างน้อยตอนนี้เราก็ไม่กลัว...ต่อ...แล้วล่ะ...
ปล.ดูๆไปรังต่อที่ติดอยู่ข้างบ้านก็สวยดีเหมือนกันนะ...มองไปมองมาเหมือนเราได้ย่อแผนที่โลกมาประดับไว้ใกล้ตัว...เจ๋งซะ (หาเรื่องชมตัวเองอีกแระ):p
ปล.รอบ2 หลังจากได้อ่านเรื่องแมลงวันหัวเขียว2 ของคุณ พีรเดช นวลสายแล้วทำให้เราอยากลองเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาบ้าง มองหาวัตถุดิบใกล้ตัวก่อนเลย...