หลายคนคงเคยได้อ่านเรื่อง นิทานดวงดาวหรือ นิทานจากท้องฟ้ากันมาแล้ว เป็นนิทานที่อ่านแล้วรู้สึกประทับใจมากๆมีหลากหลายเรื่องราวให้ได้ซึมซับและสัมผัสตัวอักษร แต่ลองมาอ่านนิทานท้องฟ้าจากคนธรรมดาคนหนึ่ง อีกแง่มุมหนึ่งดูนะคะว่าจะเป็นไง แนะนำตัวละคร ตะวัน จันทรา เมฆ ดวงดาว ...................................... คนส่วนใหญ่มักจะจับคู่ ตะวัน กับ จันทรา เข้าด้วยกัน เหมือนเป็นตัวแทนของ ชาย หญิง หรือ พระเอก กับ นางเอก แต่กลับมองข้ามความจริงข้อหนึ่งไปว่า คู่แท้ คือคนที่อยู่เคียงข้างเราตลอดเวลาต่างหาก ความจริงแล้ว ตะวัน มีคู่ที่อยู่เคียงข้างตลอดมา นั่นคือ เมฆขาวบนท้องฟ้านั่นเอง แต่คนเรามักจะจับคู่ให้ตะวันกับจันทราเสมอเพราะเป็นคู่ที่ใครๆดูแล้วต่างลงความเห็นว่าเหมาะสม ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีเคมีที่เข้ากันได้เลยแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็น เวลา ที่แยกชัดเจนระหว่าง กลางวัน กับ กลางคืน ร้อน กับ เย็น มืด กับ สว่าง ทั้ง ตะวัน และ จันทรา ต่างไม่มีช่วงเวลาที่ดีทำร่วมกัน หรือไม่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันเลย เพราะจริงๆแล้วในใจของทั้งคู่นั้นรู้ดีว่าทั้งคู่เป็นแค่เพียงเพื่อนที่ดีต่อกันเท่านั้นเอง แต่เนื่องจากคนส่วนใหญ่ต้องการให้ตะวัน และ จันทรา เป็นสัญลักษณ์ของความรักที่มั่นคงแม้จะมีอุปสรรค จึงทำให้ทั้งคู่ต้องตกกระไดพลอยโจนไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และทำให้คู่แท้ต้องหลุดลอยไป เมฆขาวที่ล่องลอยไปตามสายลมอย่างไร้ทิศทาง ยิ่งนานวันความรู้สึกบางอย่างยิ่งแจ่มชัด ตะวันฤาจะควรคู่กับเมฆที่ต่ำต้อยอย่างเรา...เมฆขาวจึงน้อยใจร้องไห้ออกมาเป็นสายฝนหล่นลงสู่แม่น้ำ...แต่ด้วยความอาลัยรักต่อตะวันทำให้กลั่นตัวเป็นไอกลายเป็นกลุ่มเมฆอีกครั้ง เพราะต้องการที่จะอยู่เคียงข้างตะวันถึงแม้จะรู้ดีว่าตะวันไม่เคยหันมอง แต่สิ่งหนึ่งที่เมฆขาวไม่รู้คือ ตะวันได้จับตาดูทุกความเคลื่อนไหวของเมฆขาวเสมอ และรอคอยว่าวันหนึ่งเมฆขาวคงจะกลับคืนสู่อ้อมกอดของตะวันอีกครั้ง เช่นเดียวกับดวงดาว ที่มักจะพยายามส่องแสงกระพริบเพื่อต้องการให้จันทรามองเห็นว่ามีตัวเองอยู่ใกล้ๆเสมอนะ เป็นความพยายามของดวงดาวที่ถึงแม้จะรู้ตัวว่าไม่อาจเทียบได้กับแสงตะวัน ก็ยังอยากให้จันทรารู้ว่าเขามีตัวตน แต่สิ่งหนึ่งที่ดวงดาวไม่รู้คือจันทราแอบอมยิ้มให้กับความรู้สึกเล็กๆที่เรียกว่า"รัก"ของดวงดาวอยู่ทุกค่ำคืน จะมีสักกี่คู่นะที่เป็นคู่แท้....ที่ไร้ซึ่งข้อแม้ผูกมัด...หากแต่จัดวางความรักให้แน่นหนักในใจ ========================================================
เวลาที่เราเห็นใครเดินคนเดียว...กินข้าวคนเดียว...ใช้ชีวิตคนเดียว... ลองถามความรู้สึกแรกของคุณสิคะว่าคุณคิดยังไง หนึ่ง...คงไม่มีใครคบ สอง...คงไม่คบใคร และสาม....สองข้อข้างบนรวมกัน (ฮา) ออกทะเลอีกแล้วสิเนี่ยเรา...ยังไปไม่ถึงทุ่นเตือนภัย... วกกลับเข้าฝั่งทันพอดี....ฮี่ๆ ธรรมชาติสอนอะไรคนเรามากมาย ลองค้นหาความหมายเพื่อเรียนรู้ แล้วคุณจะพบ ชีวิตที่เหลืออยู่ มีคำว่าชีวามาเติมเต็ม คนเหงา...เวลาฝนตกคุณเศร้าอยู่ใช่ไหม เมื่อมองฟ้าคุณเห็นอะไร "นอกจากหัวใจที่เจ็บชิน" มาสิมา...ฉันจะบอกคุณว่า"ลืมให้สิ้น" มาสัมผัสกลิ่นไอดิน ที่โลมไล้กระทั่งหิน ให้อ่อนโยน ลองหาต้นกล้ามาสักต้น เฝ้าดูแลจนเติบใหญ่ รดน้ำพรวนดินไป วันหนึ่งใครๆจะชื่นชม คุณเห็นไหมสองมือ ที่คุณถือที่คุณสร้าง มิได้แตกมิได้ต่าง ยามฝนหล่นพร่างพรมใจ วันหนึ่งหากฝนตก....วันที่คุณเริ่มเหงาใหม่... ก็ให้คิดว่ามีใคร กำลังดูแลจิตใจคุณ คนเหงา...เวลาหนาวคุณเศร้าอยู่ใช่ไหม... เมื่อมองฟ้าคุณเห็นอะไร "นอกจากหัวใจที่เจ็บชา" ก่อนตะวันจะขึ้น คุณอาจคิดว่าเชื่องช้า แดดยามเช้ากำลังมา คุณเห็นไหมขอบฟ้าโอบกอดเรา เมื่อฟ้าไร้ตะวัน คุณอาจสั่นแลเหน็บหนาว เวลาช่างยืดยาว แม้มีดาวปลอบประโลม คุณเห็นไหมสองมือ ที่คุณถือที่คุณสร้าง มิได้แตกมิได้ต่าง ยามฟ้ากว้างโอบกอดคุณ วันหนึ่งหากเหน็บหนาว...ใจเจ็บร้าวโลกยังหมุน... ก่อนฟ้าโอบกอดคุณ คุณต้องอุ่นด้วยตัวเอง คนเหงา...เวลาร้อนคุณเฉาอยู่ใช่ไหม.... เมื่อมองฟ้าคุณเห็นอะไร "นอกจากหัวใจที่ร้อนรน" ป่ะ...ออกไปเถอะ ออกไปเจอะความสุขล้น ท้องฟ้า สายน้ำ ภูเขา ผู้คน รอให้คุณยลแวะมาเยี่ยมเยือน ฉันกำลังเดินทาง บนความว่างของหัวใจ เส้นทางสายใหม่ ที่ไร้ใครคู่เคียง คุณเห็นไหมสองมือ ที่เราถือที่เราสร้าง มิได้แตกมิได้ต่าง ยามโลกกว้างกวักมือ คุณจะไปทางไหน แล้วแต่ใจอย่ายึดยื้อ สิ่งที่ธรรมชาติสอนเราคือ........."ต้องสร้างโลกด้วยมือของเราเอง" ================================================== เพลงประกอบ Only Time - Enya ไลน์สวยๆจากเว็บ http://writer.dek-d.com/minmin_zaa/writer/view.php?id=489848
เมื่อวาน...ปั่นจักรยานไปทั่ว....เห็นใครคนหนึ่งยิ้มกลั้ว เอ๊ะ...คิดมั่วๆ"คุณแอบยิ้มหัวให้กับใคร" แค่ฉันปั่นจักรยานฉวัดเฉวียน ข้ามลูกระนาดเนียนๆอย่างเชื่องช้า บนถนนที่แสนคุ้นตา ใต้พระจันทร์ ใต้ฟ้าที่คุ้นชิน แปลกเหรอคะคุณ...แค่หัวใจละมุนสัมผัสกลิ่น ตะวันใกล้ตกดิน พระจันทร์เปิดลิ้นชักหัวใจ ฉันเห็นคุณมาก่อน....ทำหน้าบึ้งทุกตอนทอนสดใส ยังมีนะ...ยังเหลือค่ะ..."น้ำใจ"...อยากดื่มกินบ้างไหมฉันจะปัน คุณคงไม่เคยเห็นอักษร....ยามพลิ้วไหวเป็นกลอนแทนความฝัน โลกที่ถอดถ้อยสื่อถึงกัน งดงามจนจันทร์ยังต้องยอม ฉันจอดจักรยานบันทึกภาพ ซึมซาบท้องฟ้าสีอุ่นอ่อน ก่อนตะวันจะเข้านอน เห็นจันทร์ตื่นมาอ้อนทันเวลา เหลือบไปเห็นคุณยืนกอดอก...เอ อยากจะชกใครหรือเปล่าหวา ฤาตาจะฝาดคุณส่งยิ้มมา อ่ะแน่ะคุณขา....ยิ้มก็เป็นฤา
จะมีใครเข้าใจบ้างมั๊ยน๊อว่าคนไซส์มินิอย่างฉันต้องพบเจออุปสรรคใดบ้างในแต่ละวัน ...สมัยเด็ก... แม่จะซื้อเสื้อผ้าเผื่อโตเสมอ...น้อยครั้งที่จะได้ใส่เสื้อผ้าพอดีตัวเท่าที่จำความได้ เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าวัดความสูงแต่ละเดือนเขยิบขึ้นทีละมิลลิเมตร แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะได้เขยิบไปอยู่โซนหลังห้องได้ล่ะเนี่ย ^^" ...สมัยเรียนมัธยมต้น... คุณครูจะให้เข้าแถวเรียงจากคนตัวเล็กไปหาคนตัวสูง ฉันต้องได้อยู่โซนหน้าทุกทีสิน่าเวลาเคารพธงชาติต้องร้องเพลงดังๆ เพราะมีสายตาอันคมกริบของบรรดาคุณครูทั้งหลายเพ่งเล็งอยู่ หลังจากเคารพธงชาติจบสวดมนต์เสร็จก็จะมีการยืนทำสมาธิหนึ่งนาที ท่ามกลางแดดอันร้อนระอุ กลางสนามหญ้าที่แห้งกรอบ เหงื่อไหลหยดซิกๆก็ห้ามกระดุ๊กกระดิ๊กเพราะถือว่าไม่สำรวม ในขณะที่ความเงียบปกคลุมรอบตัว หูของฉันก็แว่วได้ยินเสียงคุยจุ๊กจิ๊กๆของเพื่อนตัวโย่งที่ยืนอยู่ท้ายแถว แอบคิดในใจทำไมไม่สลับโซนข้างหลังมาอยู่โซนข้างหน้ามั่งน๊อเนี่ย แบ่งแยกชัดๆ....ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน...ฮือออออ.... พอขึ้นมัธยมปลายเป็นรุ่นพี่แล้วคุณครูก็ไม่ค่อยเคร่งครัดเท่าไหร่ สภาพของการยืนเข้าแถวก็จะไม่ตายตัว ใครใคร่ยืนตรงไหนยืน ไม่ต้องห่วงเลยโอกาสที่จะได้สัมผัสบรรยากาศท้ายแถวเป็นเช่นไรฉันไม่รอช้าจัดแจงเอาตัวเองไปอยู่โซนต้องห้ามเสร็จสรรพ... โอ้โฮ....มันดีอย่างนี้นี่เอง สมัยก่อนที่อยู่โซนหน้า ในขณะที่พวกไซส์มินิอย่างฉันต้องตะเบ็งเสียงกันตัวโก่ง แต่พวกตัวโย่งที่อยู่โซนหลังปากไม่ขยับกันเลยสักนิด ถึงว่าพวกแนวหน้าอย่างเราถึงต้องเสียพลังงานทุกเช้า...ชิๆ... กว่าจะได้รับอิสระก็ใกล้จบเสียแระ....เฮ่อ....ประชาธิปไตยอยู่ที่ไหน... น่าจะมีการทำประชามติโหวตว่าควรจัดแถวหน้าเสาธงตอนเช้าอย่างไรรับรองพวกเราชนะขาดลอย ตอนม.๕ เลือกเรียนชมรมดนตรีไทยทางโรงเรียนจะมีเครื่องดนตรีให้ยืมไปฝึกซ้อมที่บ้านได้ ฉันเล่นซออู้ ซอด้วง สะล้อ มาตลอด แต่จะมีใครสักคนรู้ไหมว่าความจริงแล้วฉันอยากเล่นขิมมากๆ แต่หมดปัญญาหอบกลับบ้านไหนจะหอบมาโรงเรียนอีก เพราะสมัยเรียนต้องเดินไปโรงเรียนหลายกิโลอยู่ เพื่อนที่เขาอยู่ไกลกว่าเราเขาก็จะนั่งรถสองแถว ไม่ก็ขับมอเตอร์ไซค์มา ขิม เป็นเครื่องดนตรีที่ถูกเพ่งเล็งมีแต่คนอยากเล่นจนคุณครูต้องมาช่วยตัดสินใจให้ เวลาที่อำเภอมีงานคุณครูก็จะเลือกคนไปฟ้อนเล็บ พวกผู้หญิงถามเรียงตัวได้เลยไม่มีใครอยากทำ เพราะอากาศร้อน ซ้อมก็นาน แต่งหน้าทาปากกินอาหารก็ลำบาก พวกเราตัวเล็กๆไซส์มินิอยู่โซนหน้าไม่กล้าสบตาคุณครู ก้มหน้างุดๆ จนคุณครูแอบแซวบ่อยๆว่า"ไม่ต้องก้มครูก็แทบจะมองไม่เห็นอยู่แล้ว" ...บนรถเมล์... พอก้าวขาขึ้นปั๊บ พี่กระเป๋ารถเมล์ก็พูดประโยคเดิมราวกับแผ่นเสียงตกร่องปุ๊บว่า "ชิดในหน่อยเพ่ชิดใน" ตอนแรกกะจะเกาะเสาตรงประตูเป็นหลัก ก็จำต้องขยับเข้าไปข้างในที่เหล่าบรรดาพนักเก้าอี้ล้วนแต่มีเจ้าของจับจองไว้แล้วแทบทั้งสิ้น เส้นทางที่ฉันเดินทางประจำ ณ ช่วงเวลาเร่งรีบของผู้คนที่ต่างมุ่งหน้าเข้าเมืองกรุงก็ดูจะอีรุงตุงนังเสียเหลือเกิน จะเอื้อมมือโหนราวรถเมล์ก็ท่าทางจะต้องห้อยต้องแต่งเป็นแน่ อย่ากระนั้นเลยคุณผู้ชายใจดีทั้งหลายไหนๆก็ใส่เข็มขัดมาแล้วขอยืมใช้เป็นตัวช่วยหน่อยเหอะนะคะ คิดได้ดังนั้นก็ใจกล้าหน้าด้านเข้าไปสะกิดพี่ผู้ชายที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เลือกใบหน้าที่ดูแล้วใจดีมีเมตตาซะหน่อยว่า "พี่ขาขอจับหูกางเกงหน่อยนะคะ" ขอขอบคุณพี่ผู้ชายที่เคยช่วยเหลือให้การอนุเคราะห์เสียสละความไม่สบายส่วนตัวให้ผู้หญิงตัวเล็กๆไซส์มินิอย่างฉันได้มีที่จับชั่วคราว เรื่องที่นั่งอย่าได้ฝันถึง เพราะเราไม่ได้อยู่ต้นสายมิเคยเข้าใกล้คำว่าคล้ายจะได้นั่งเลยสักกะติ๊ด เหลือบเห็นคนที่เขาได้นั่งแถมยังสัปหงกน้ำลายไหลยืดหยดติ๋งๆแล้ว ก็มองด้วยความอิจฉานิดๆ แต่ก็คิดในแง่ดีว่ายืนอย่างสิงห์ดีกว่า...(ขาสิงห์ ...อิอิ...อย่าได้แคร์) จำได้ว่าตอนเข้ามาเรียนกรุงเทพฯใหม่ๆก็ย้ายมาอยู่ชานเมือง เส้นทางก็ไม่คุ้นแถมสิ่งที่กลัวที่สุดในการเข้ามาเมืองกรุงก็คือ"การนั่งรถเมล์" วันแรกที่นั่งรถเมล์ก็เป็นอย่างที่เล่าข้างต้น(อย่าให้เล่าซ้ำ เหอๆ) ขาไปไม่เท่าไหร่เพราะปลายทางสุดสายพอดี แต่ขากลับนี่สิพอขึ้นรถก็มีสภาพเหมือนปลากระป๋องโดนอัด จะมีใครสังเกตุบ้างมั๊ยว่ามีปลาซิวปลาสร้อยตัวเล็กๆโดนอัดก๊อปปี้อยู่ตรงกลางรถเมล์ ไม่มีโอกาสได้รับลมที่พัดมาทางหน้าต่าง หรือแม้กระทั่งจะมองวิวสองข้างทางก็ไม่เห็น จากสายตาคนไซส์มินิอย่างฉันถ้าไม่เจอบั้นเอวของชายหนุ่ม ก็เจอแผ่นหลังของหญิงสาว ปัญหาอยู่ตรงที่นอกจากจะร้อนตับแล่บจนแทบจะเป็นลมแล้วล่ะก็ ยังต้องคอยชะเง้อคอว่าถึงป้ายไหนแล้วหว่า อีกนานไหมกว่าจะถึงป้ายหน้าหมู่บ้านเรา มีอยู่ครั้งหนึ่งยืนเพลิน เลยไปถึงท่าน้ำปากเกร็ดสุดสายพอดี หลังๆฉลาดขึ้นมาหน่อยก็เอ่ยปากบอกพี่ที่นั่งข้างหน้าต่างหรือคนที่ยืนริมว่า" พี่คะถ้าใกล้ถึงป้าย...ตุ๊ดๆ...(เซ็นเซอร์) ช่วยบอกหน่อยนะคะ" ต้องขอบคุณคนแปลกหน้าทุกท่านที่แสนใจดีเหล่านั้นมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ.. ...ณ ห้างใจกลางกรุง... ...ในซุปเปอร์มาร์เก็ต... ตอนไปซื้อของ แต่ของที่เราต้องการไม่รู้ใครดั๊นไปจัดวางไว้อยู่ชั้นบนสุด แถมของโซนหน้าก็ถูกหยิบไปหมดแล้ว เห็นอยู่ลางๆว่ายังมีของเหลืออยู่ข้างในแต่ไม่สามารถใช้วิธีธรรมดาได้ อย่างเราต้องอาศัยวิชาตัวเบา เขย่งปลายเท้ายืดคอยืดแขนทำท่าปูไต่จนตระคริวเกือบจะกินก็ยังเอื้อมไม่ถึงเป้าหมาย เหลียวซ้ายแลขวาหาตัวช่วย ชั่วโมงนั้นแค่มีใครสักคนที่ตัวสูงกว่าเราเดินผ่านมา แม้จะสูงกว่าแค่ไม่กี่เซ็นต์ก็ดีใจราวกับว่าได้เจอเนื้อคู่ที่รอคอยมาแสนนาน ขอขอบคุณพี่ขายาวทุกท่านที่ช่วยเอื้อเฟื้อแก่คนขาสั้นตาดำๆ ...แผนกเสื้อผ้า... อยากได้ยีนส์สักตัวต้องตรงเข้าไปแผนกเสื้อผ้าเด็กโต พนักงานขายถามด้วยความหวังดีว่า "น้องอายุเท่าไหร่คะ" เดี๊ยะๆ แต่ฉันก็ตอบไปด้วยความใจเย็นว่าซื้อให้หลานอ่ะค่ะ"น้องเค้าหุ่นประมาณนี้อ่ะค่ะใส่ไซส์อะไร" ห้องลองมีไว้ทำไม.....(ไม่ลอง)....ฮ่า....กลับไปลองที่บ้านก็ได้เพราะสอบถามแล้ว ถ้าใส่ไม่ได้รับเปลี่ยนคืน ร้านไหนขึ้นป้ายซื้อแล้วไม่รับเปลี่ยนคืนอย่าได้หวังว่าจะย่างกรายเท้าอันเล็กๆคู่นี้เข้าไปสำรวจ เคยซื้อยีนส์ผู้ใหญ่มาก็ต้องลำบากไปหาร้านตัดขาวุ่นวายแถมเสียดายผ้าส่วนเเกินอีกต่างหาก เลยเอามาเย็บเป็นกระโปรงยีนส์ให้ตุ๊กตาหมีใส่ เห็นแล้วชีช้ำจริงๆอะไรจะพอดีขนาดนั้นยะ ยิ่งช่วงที่เขาฮิตกางเกงขาม้ากันไซส์มินิอย่างฉันได้แต่มองตาปริบๆ เพราะเคยซื้อมาลองแต่ก็ต้องไปตัดขาแถมพอตัดแล้วไม่มีสภาพขาม้าเหลือให้เห็นดูไปดูมา"ขาลา"ชัดๆ... พระเจ้าส่งฉันมาเกิดไฉนให้ความสูงแต่ปางก่อนระเหิดออกไปกับอากาศด้วยเนี่ย ท้ายที่สุดนี้ขอบคุณทุกท่านที่กรุณาเสียสละเวลาเข้ามาอ่านความในใจไซส์มินิค่ะ และขอบคุณที่อย่างน้อยในโลกนี้ก็ยังมีคนตัวใหญ่ๆให้พึ่งพา ขอบคุณอีโมชั่น Little Bear น่ารักๆจากเว็บhttp://www.tlcthai.com/webboard/list_topic.php?page=5&table_id=1&cate_id=7
ขออนุญาตเก็บมารวมไว้ที่เดียวกัน....นะคะ แม่น้ำโขง๑ แม่น้ำโขง๒ แม่น้ำโขง๓ แม่น้ำโขง๔ แม่น้ำโขง๕ แม่น้ำโขง๖ ริมโขง๑ ริมโขง๒ ริมโขง๓ ทะเลยามเย็น รูปต้นไม้หน้าวัดมีโคมลอยเล็กๆแขวน ความอ่อนโยนของดวงอาทิตย์ ท้องฟ้ายามพลบค่ำ ท้องฟ้าตามจินตนาการ ตะวันเหงา พร้าว นกบินผ่านเมฆโดยบังเอิญ ท้องฟ้าลำปาง ไร่ข้าวโพดระหว่างไปสามเหลี่ยมทองคำ ท้องฟ้ารูปหัวใจ๑ ท้องฟ้ารูปหัวใจ๒ พระจันทร์คืนลอยกระทง๑ พระจันทร์คืนลอยกระทง๒ พระจันทร์รูปหัวใจ แอ่งน้ำรูปหัวใจ ดอกยี่โถ๑ ดอกยี่โถ๒ ดอกยี่โถ๓ ดอกยี่โถ๔ ดอกยี่โถ๕ รวมดอกยี่โถสีชมพู รวมดอกไม้คละสี ภาพการกำเนิดชีวิตของนกในสวนไผ่ค่ะ ตั้งแต่วันที่ ๑๗ - ๐๕ - ๕๓ ถึง ๒๗ - ๐๕ -๕๓ เดิมทีไข่มีสองฟองแต่ฟักเป็นตัวแค่ฟองเดียว พอมาถึงวันสุดท้ายหายไปทั้งนกทั้งไข่ T_T เหลือแต่รังไว้ให้ดูต่างหน้า กาแฟยามเช้า ขอบคุณ ไลน์สวยๆจากเว็บ ญามี่ ค่ะ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=jiujik&month=11-2010&date=09&group=24&gblog=41