"เพียงแค่แวะมาชม เราก็นึกนิยมคุณอยู่ในใจ" เป็นประโยคที่จับใจและไม่รู้ใครเป็นคนบัญญัติขึ้นมาเป็นคนแรก แต่เวลาเยื้องกรายเข้าไปร้านที่เจ้าของร้านยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นกันเองกับลูกค้าก็จะนึกถึงประโยคนี้ขึ้นมาในบัดดล วันนี้มีโอกาสได้แวะเวียนไปอุดหนุนร้านของเพื่อนนักกลอนท่านหนึ่ง (คำเฉลยอยู่ตอนท้ายค่ะ....ติ๊กต่อกๆๆ) บรรยากาศของร้านคลับคล้ายร้าน "ไดโซ" ของญี่ปุ่นที่ขายทุกอย่าง ๖๐บาท ต่างกันตรงที่ร้านนี้ขายทุกอย่าง ๒๐ บาท ตอนแรกกะเข้าไปเดินเล่นแว๊บเดียวที่ไหนได้รู้ตัวอีกทีก็เดินเลือกสิ้นค้าหอบกลับบ้าน ๑๕ รายการในราคา ๓๐๐ บาท คุ้มแสนคุ้ม มีรูปภาพบรรยากาศในร้านมาฝากเพื่อนๆด้วยค่ะ ขออนุญาตเจ้าของเว็บ และผู้ดูแลระบบ เก็บค่าโฆษณาได้ที่เจ้าของร้านค่ะ...ฮา สินค้าต่างๆในร้านมีเยอะแยะปะเลอะปะเต๋อ ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ เจ๊ย...ยันไรดีหว่า....อิอิ มาค่ะตามมา ตามมา สินค้าแนะนำ สิ่งที่อุ้มติดไม้ติดมือกลับบ้าน ๑๕ รายการ .................................................................. สิ่งที่สังเกตุเห็นคือ ร้านนี้จะมีลูกค้าเข้าร้านเรื่อยๆ หน้าตาแต่ละคนก็ดูยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเจอของเล่น เอ๊ย เจอของถูกใจประมาณนั้น
กี่ครั้งในชีวิต ที่เรากลายเป็น"เพียงความทรงจำ"ของใคร และกี่คนในชีวิตที่กลายเป็น"เพียงความทรงจำ"ของเรา บนเส้นทางของหัวใจคงไม่มีใครอยากเป็นแค่"ความทรงจำ"ของใครเพียงเท่านั้น แต่เมื่อเราไม่อาจห้ามบางอย่างที่อยู่เหนือการควบคุมของตัวเองได้ สิ่งที่พอจะเยียวยาหัวใจอันเปราะบางของเราในยามนี้ก็คือ "ความทรงจำ" ความทรงจำของคุณ อาจไม่มีฉันอยู่ และความทรงจำของฉันอาจไม่มีคุณอยู่เฉกเช่นเดียวกัน แต่มันจะเป็นไปได้หรือ... ในเมื่อฟ้าลิขิตให้เรา พบเพื่อรู้จัก รักเพื่อเรียนรู้ อยู่เพื่อดูแล แต่ก็มิอาจกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนได้ วันนี้เราอาจเป็นปัจจุบันของกันและกัน แต่ใครจะตอบได้ อนาคตข้างหน้าเราอาจกลายเป็นเพียงความทรงจำสั้นๆในช่วงชีวิตของกันและกันก็เป็นได้ คนเราคงเกิดมาเพื่อ เรียนรู้ และจดจำ แต่สิ่งหนึ่งที่เรามีสิทธิ์กำหนดได้ด้วยตัวเราเองก็คือ เลือกจำสิ่งที่ควรจำ และเลือกทำในสิ่งที่ดีงาม เพื่อบรรจุเป็นนิยามของหัวใจ ความทรงจำของฉันมีมากมายเรียงรายเป็นชั้นๆ แบ่งหมวดหมู่ชัดเจน เหมือนตู้หนังสือ บางเรื่องก็หยิบจับออกมาอ่าน ปัดฝุ่น นึกถึง ยิ้มได้ บางเรื่องก็ปล่อยไว้ที่เดิม เพื่อกันไม่ให้ฝุ่นที่เกาะอยู่คละคลุ้งจนไปจับเรื่องอื่นเข้าโดยไม่ตั้งใจ บางเรื่องก็หุ้มพลาสติกใสเก็บไว้ให้พอมองเห็นแต่ไม่หยิบออกมาเพราะกลัวว่าจะไม่เหมือนเดิม "ความทรงจำ" อาจเป็นเพียงกลุ่มคำเดิมๆ แต่เราสามารถเพิ่มเติมได้ทุกช่วงเวลาของชีวิต มาถึง ณ จุดนี้อยากถามว่าคุณจัดเก็บความทรงจำของคุณไว้แบบไหนกันคะ
ไปฟังเพลง ๘๔ พรรษา ดวงใจราษฎร์ ปราชญ์แห่งน้ำ ได้ที่ลิ้งค์ข้างล่างนะคะ http://www.84kingofwater.org/ ........................ ถ้ามีใครถามฉันว่า ความรักคือการให้ คุณคิดว่าจริงหรือเปล่า? ถ้าไม่ใช่คนไทยคงนึกภาพ การให้ด้วยความรัก การให้ที่เต็มเปี่ยมไปความเมตตา การให้โดยไม่หวังผลตอบแทน การให้โดยเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อส่วนรวมไม่ออก หรือถึงจะมองเห็นก็คงมิสามารถซึมซับซาบซึ้งไปกับสิ่งที่พระองค์...องค์เหนือหัว... พระเจ้าแผ่นดิน... พระเจ้าอยู่หัว... ในหลวง... "พ่อของพวกเรา"ทำให้พวกเราได้.... "คนไทยน่าอิจฉาที่สุดตรงนี้แหละ".....มีคนต่างชาติท่านหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยมายี่สิบกว่าปีบอกข้าพเจ้าไว้ ทั้งๆที่ท่านก็มีองค์จักรพรรดิ์ที่เคารพและศรัทธาเช่นกัน แต่ท่านยังอดทึ่งและชื่นชม ในสิ่งที่คนไทยได้รับจาก พระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ว่า "ยิ่งใหญ่" และ "ควรค่าแก่การยกย่อง เชิดชู" ใช่...คนไทยน่าอิจฉาที่สุด ข้าพเจ้าฟังแล้วก็หัวใจพองโต ยิ้มกว้างเต็มแก้มไปทั้งวัน แต่ในวันนี้ข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้ว่า... พวกเราประชาชนไทย พสกนิกรของพระองค์ พวกเราเป็นผู้รับแต่เพียงอย่างเดียวหรือเปล่า.... พ่อมอบโอกาส มอบความรัก มอบความเข้าใจ มอบหลักการพัฒนาตนพัฒนาจิตใจ โดยการมอบทฤษฎีที่โลกยกย่อง"วิถีชีวิตแบบพอเพียง" แต่พวกเรา ลูกๆของพ่อ ณ ขณะนี้ แต่ละท่านคงตอบตัวเองได้ว่า"เราทำตัวเป็นผู้รับที่ดีแล้วหรือยัง" ผู้รับที่ดี ต้องไม่ทำให้ "ผู้ให้" เดือดร้อน และ มีจิตสำนึก กตัญญูกตเวที สำนึกอยู่เสมอว่า เราเป็นเพียงผู้รับ อย่าได้ริอาจทำให้พระองค์ระคายเคืองพระยุคลบาท หากคุณ เป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยมีส่วนทำให้พระองค์ระคายเคืองพระยุคลบาท ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร อยู่ที่ไหน เป็นส่วนเล็กๆในสังคมที่ไม่มีบทบาทอะไรยิ่งใหญ่ หรือไม่ได้ตอบแทนอะไรเลย แต่การที่คุณ ทำหน้าที่ที่มีของตัวเองให้ดีที่สุด ทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะ พสกนิกรชาวไทย ถึงแม้จะเป็นฟันเฟืองเล็กๆ คุณก็คือผู้หนึ่งที่ จงรักภักดี และ ทำให้พ่อของเราชื่นพระทัยได้แล้ว หากคนไทยทุกคนอยู่ในที่ของตัวเอง รู้จักหน้าที่ คุณก็เป็น พสกนิกรที่ไม่ทำให้พระองค์ต้องทุกข์ใจแล้ว "จงภูมิใจเถิด" เราปล่อยให้พ่อของพวกเรา เหนื่อยและตรากตรำพระวรกายอย่างนี้มานานเท่าใดแล้ว?
คุณเคยได้รับ"ข้อความ" จากใครสักคนแล้วรู้สึกว่ายิ้มออก แม้จะกำลังตกอยู่ในภาวะคับขันที่สุดในชีวิตเปล่าคะ ถ้าคุณรู้สึกว่า"ข้อความ" เหล่านั้นสามารถเปลี่ยนชีวิต ความคิด และจิตใจเรา จากหดหู่เศร้าใจเป็นพลังได้ แสดงว่าคุณพบ"มิตรแท้"ที่ถาวรแล้วค่ะ....ยินดีด้วยนะคะ เคยสงสัยมั๊ยคะว่า"ข้อความ" บางครั้งไม่ได้ลึกซึ้งอ่อนหวาน ออกแนว ห้วนๆ สั้นๆ ขวานผ่าซากด้วยซ้ำ แต่ทำไมสามารถทลายความยุ่งยากที่เกาะกุมใจเราลงได้อย่างง่ายดาย หากข้อความนั้นเป็นสิ่งที่สื่อจากใจหนึ่งไปสู่อีกใจหนึ่งอย่างจริงใจก็ไม่จำเป็นต้องมีองค์ประกอบอะไรมาช่วยขยายให้สวยงาม หากความสวยงามซ่อนอยู่ในแก่นแท้ของจิตใจผู้ส่ง แม้เปลือกนอกของข้อความจะขรุขระหรือไม่เรียบนุ่มละมุนละไม เมื่อใช้ใจสัมผัสก็รับรู้ได้ว่า ข้อความที่ส่งมานั้น อ่อนโยน และ งดงามเหลือเกิน ขอบคุณทุกข้อความที่ส่งมาให้ผู้รับได้มีรอยยิ้ม แม้กระทั่งในวันอ่อนล้า ก็ทำให้รู้ว่า "พลังของข้อความ" ยิ่งใหญ่เพียงใด แค่เพียง"ข้อความสั้นๆ" แต่สามารถทอนความหวั่นไหวให้หนักแน่นได้อย่างน่าอัศจรรย์ ความห่างไกล มิได้มีพลังใดๆที่จะยึดเหนี่ยวหรือผลักดันความรู้สึกดีๆที่คนๆหนึ่งมีต่อคนๆหนึ่งได้ แต่ ข้อความ ต่างหากล่ะที่สามารถเป็นได้ทั้งแรงยึดเหนี่ยว หรือ พลังผลักดันความรู้สึกต่างๆได้ "ข้อความ"ไม่ว่าจะสื่อผ่าน ตัวอักษร เสียง ภาพ ความรู้สึก หากผู้รับและผู้ส่ง สื่อถึงกันได้ตรงช่องสัญญาณก็มีพลังเทียมจิตวิญญาณที่เติบโต
สองมือที่ดูนิ่มนวลอ่อนโยน สองมือที่ดูช่างบอบบางอย่างนั้น สองมือที่ดูไม่มีความสำคัญ คือสองมือที่ทำให้โลกหมุนไป แม้เพียงร่างกายนั้นเกิดเป็นหญิง แท้จริงหัวใจนั้นแกร่งยิ่งกว่าชาย ขอเพียงให้เป็นได้ดังที่ตั้งใจ จะทุกข์ทนเดียวดายไม่มีความสำคัญ บันดาลโลกหมุนเวียนวนไปตามจิตใจ นำพาให้เป็นไปตามต้องการ ทุกสิ่งเปลี่ยนแปรไปด้วยมือเธอเสกสรร ดังถ้อยคำประพันธ์เปรียบเปรยพรรณนา ถึงชายได้กวัดแกว่งแผลงจากอาสน์ ซึ่งอำนาจกำแหงแรงยิ่งกว่า อันมือไกวเปลไซร้แต่ไรมา คือหัตถาครองพิภพจบสากล ............................ ภาพประทับใจที่ติดตรึงอยู่ไม่มีวันลบเลือนคือภาพที่ในหลวงทรงประคองสมเด็จย่า และท่านก็แย้มพระสรวล ทำให้รู้สึกอบอุ่นบอกไม่ถูกค่ะ ขออนุญาตเก็บรวบรวมพระบรมฉายาลักษณ์ไว้ในเรื่องสั้นนะคะ ............................ ในหลวง กับ สมเด็จย่า จากความทรงจำของชายวัย85ปี ย้อนไปเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2538 เป็นวันที่ทวยราษฎร์ต้องเศร้าโศกเสียใจอย่างที่สุด เพราะเป็นวันสวรรคตของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี "สมเด็จย่า" อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย และในวันที่ 18 กรกฎาคม ของทุกปี ถือเป็น "วันศรีนครินทร์" ซึ่งพสกนิกรชาวไทยต่างน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ เพื่อรำลึกถึงพระองค์ มติชน ขอนำเสนอ เรื่องราวดีๆ บันทึกไว้ในหนังสือ "หยุดความเลวที่...ไล่ล่าคุณ" ของ พ.อ.(พิเศษ)ทองคำ ศรีโยธิน ที่ได้บรรยายถึงความประทับใจที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติต่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ..... จากหนังสือ "หยุดความเลวที่...ไล่ล่าคุณ" ของพ.อ.(พิเศษ)ทองคำ ศรีโยธิน ..... "...หลังงานพระบรมศพสมเด็จย่าเสร็จสิ้นลงแล้ว ราชเลขาฯของสมเด็จย่ามาแถลงในที่ประชุมต่อหน้าสื่อมวลชนว่า ก่อนสมเด็จย่าจะสิ้นพระชนม์ปีเศษ ตอนนั้นอายุ 93 ในหลวงเสด็จจากวังสวนจิตรไปวังสระปทุมตอนเย็นทุกวัน ..... ไปทำไมครับ? ..... ไปกินข้าวกับแม่ ไปคุยกับแม่ ไปทำให้แม่ชุ่มชื่นหัวใจ พอเขาแถลงถึงตรงนี้ อาจารย์ตกตะลึง โอ้โห! ขนาดนี้เชียวหรือในหลวงของเรา เสด็จไปกินข้าวมื้อเย็นกับแม่ สัปดาห์ละกี่วัน...ทราบไหมครับ? 5 วัน ..... มีใครบ้างครับ? ที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ 5 วัน หายาก..." ..... "ทุกครั้งที่ในหลวงไปหาสมเด็จย่า ในหลวงต้องเข้าไปกราบที่ตัก แล้วสมเด็จย่าก็จะดึงตัวในหลวงเข้ามากอด กอดเสร็จก็หอมแก้ม ..... ตอนสมเด็จย่าหอมแก้มในหลวง อาจารย์คิดว่าแก้มในหลวงคงไม่หอมเท่าไหร่ เพราะไม่ได้ใส่น้ำหอม ..... แต่ทำไมสมเด็จย่าหอมแล้วชื่นใจ ..... เพราะท่านได้กลิ่นหอมจากหัวใจในหลวง หอมกลิ่นกตัญญู ไม่นึกเลยว่าลูกคนนี้จะกตัญญูขนาดนี้ จะรักแม่มากขนาดนี้ ตัวแม่เองคือสมเด็จย่า ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นคนธรรมดาสามัญชน เป็นเด็กหญิงสังวาลย์ เกิดหลังวัดอนงค์เหมือนเด็กหญิงทั่วไป เหมือนพวกเราทุกคนในที่นี้ ..... ในหลวงหน่ะ...เกิดมาเป็นพระองค์เจ้า เป็นลูกเจ้าฟ้า ปัจจุบันเป็นกษัตริย์ เป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่เหนือหัว ..... แต่ในหลวงที่เป็นพระเจ้าแผ่นดินก้มลงกราบคนธรรมดา...ที่เป็นแม่ หัวใจลูกที่เคารพแม่ กตัญญูกับแม่อย่างนี้ หาไม่ได้อีกแล้ว ..... คนบางคนพอเป็นใหญ่เป็นโต ไม่กล้าไหว้แม่เพราะแม่มาจากเบื้องต่ำ เป็นชาวนา เป็นลูกจ้าง ไม่เคารพแม่ ดูถูกแม่ แต่นี่ในหลวงเทิดแม่ไว้เหนือหัว นี่แหละครับความหอม ..... นี่คือเหตุที่สมเด็จย่าหอมแก้มในหลวงทุกครั้ง ท่านหอมความดี หอมคุณธรรม หอมความกตัญญูของในหลวง..." ..... "ในหลวง" เฝ้าสมเด็จย่าอยู่จนถึงตี 4 ตี 5 เฝ้าแม่อยู่ทั้งคืน จับมือแม่ กอดแม่ ปรนนิบัติแม่ จนกระทั่ง "แม่หลับ..." จึงเสด็จกลับ ..... พอไปถึงวัง เขาโทรศัพท์มาแจ้งว่าสมเด็จย่าสิ้นพระชนม์ ในหลวงรีบเสด็จกลับไปศิริราช เห็นสมเด็จย่านอนหลับตาอยู่บนเตียง ในหลวงตรงเข้าไปคุกเข่า กราบลงที่หน้าอกแม่ พระพักตร์ในหลวงตรงกับหัวใจแม่ ..... "ขอหอมหัวใจแม่เป็นครั้งสุดท้าย" ..... ซบหน้านิ่งอยู่นาน แล้วค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้น น้ำพระเนตรไหลนอง ต่อไปนี้...จะไม่มีแม่ให้หอมอีกแล้ว ..... เอามือกุมมือแม่ไว้ มือนิ่มๆที่ไกวเปลนี้แหละที่ปั้นลูกจนได้เป็นกษัตริย์ เป็นที่รักของคนทั้งบ้านทั้งเมือง ..... ชีวิตลูก แม่ปั้น ..... มองเห็นหวีปักอยู่ที่ผมแม่ ในหลวงจับหวี ค่อยๆหวีผมให้แม่ หวี...หวี...หวี...หวี ให้แม่สวยที่สุด แต่งตัวให้แม่ ให้แม่สวยที่สุดในวันสุดท้ายของแม่... ..... เป็นภาพที่ประทับใจอาจารย์ที่สุด...เป็นสุดยอดของลูกกตัญญู...หาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้ว" =============================== สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรองว่า 3 ที มากเกินไป 2 ทีพอแล้ว =============================== ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก 'การให้' โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า 'กระป๋องคนจน' เอาไว้ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก 'เก็บภาษี' หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน =============================== ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า 'ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน' ..พอถึงวันปีใหม่ สมเด็จย่าก็บอกว่า "ปีใหม่แล้ว เราไปซื้อจักรยานกัน เอ้าะกระปุก...ดูซิว่ามีเงินเท่าไร?" เสร็จแล้วสมเด็จย่าก็ แถมให้ ส่วนที่แถมนะ มากกว่าเงินที่มีในกระปุกอีก มีเมตตาให้เงินลูก ให้ไม่ได้ให้เปล่า สอนลูกด้วย สอนให้ประหยัด สอนว่าอยากได้อะไร ต้องเริ่มจากตัวเรา คำสอนนั้นติดตัวในหลวงมาจนทุกวันนี้ เขาบอกว่าในสวนจิตรเนี่ย...คนที่ประหยัดที่สุดคือในหลวง =============================== สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์ =============================== รู้ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5 =============================== วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้า แม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ เมื่อถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง =============================== พระราชดำรัสสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี 1. "...คนดีของฉันรึ จะต้องเป็นคนไม่พูดปด ไม่สอพลอ ไม่อิจฉาริษยา ไม่คดโกง และไม่มีความทะเยอทะยานอย่างบ้าๆ แต่พยายามทำหน้าที่ของตนให้ดี ในขอบเขตของศีลธรรม..." 2. "...ในครอบครัวของเรา (ความรับผิดชอบ) เป็นของที่ไม่ต้องคิด เป็นธรรมชาติสิ่งที่สอนอันแรก คือเราจะทำอะไรให้เมืองไทย ถ้าไม่มีความรับผิดชอบจะไปช่วยเมืองไทยได้อย่างไร ทุกอย่างออกมา จากนั้นจะเอาหลักการต้องเป็นคนดี นี่คือหลักการ เพื่อจะช่วยอะไรได้ สิ่งเหล่านี้ ฉันเป็นคนพูดออกมา..." 3. "...คนเราต้องรู้จักบังคับตนเอง ถ้าปล่อยตามบุญกรรมก็จะไม่เจริญ ดังเช่นการเลี้ยงเด็ก ต้องกำหนดเวลานอน เวลาเรียน เวลารับประทานอาหาร เวลาพักผ่อน ทุกอย่างต้องให้เป็นไปตามเวลา ถ้าไม่เช่นนี้ ก็จะไม่เจริญ เติบโต ไม่มีสติปัญญา..." 4. "...ทุกอย่างที่ทำต้องตามเวลา ต้องตรงเวลาและเวลาที่จะทำอะไรก็ต้องทำ ไม่ใช่ไปไถลเล่น ไปทำโน่นทำนี่ และเรื่องการรับประทานก็ต้องเป็นเวลาเหมือนกัน ต้องมีระเบียบในด้านนี้..." 5. "...ถ้าจะเป็นคนดี จะมีอะไรอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีอย่างละนิด อย่างละหน่อย แล้วแต่สังคม อย่างไรก็ตามมี Principle ง่าย ๆ หลักการหนึ่ง หลักการใด เช่น ฉันจะไม่ให้ลูกฉันเป็นคนโกหกขโมย หลักการใหญ่ ๆ ทางจริยธรรมต้องมีแน่นอน..." 6. "...เราจะทำอะไรก็พยายามที่จะทำให้ในทางซื่อสัตย์สุจริต เพราะว่าถ้าคนเราคนหนึ่งทำโดยความซื่อสัตย์สุจริตและคนอื่น ๆ ทำด้วย ก็เลยเป็นประโยชน์ส่วนรวม นั่นก็จะเป็นความเจริญของประเทศชาติ..." 7. "...สอนให้เด็ก Honest คือ พูดความจริงเท่านั้น...ถ้าจะพูดไป ทุกอย่างมาจากทูลกระหม่อม (สมเด็จพระบรมราชชนก) ทูลกระหม่อมตั้งพระทัยที่จะทำอะไรให้ประเทศดีขึ้น มีความตั้งใจอย่างเดียวเพื่อจะทำสิ่งที่ดีให้ประเทศ เพราะฉะนั้น คือต้องให้เป็นคนดี แม่ไม่ใช้คำมาก คือต้องเป็นคนดี..." 8. "...คนเราไม่ควรลืมตัว ไม่อวดดี ไม่ถือดีว่าตนเก่ง..." 9. "...อนัตตา คือ ความไม่มีตน บังคับไม่ได้...ส่วนอัตตา คือตัวตนของเราซึ่งเป็นส่วนที่บังคับได้ คนเราต้องรู้จักบังคับตนเอง ถ้าปล่อยตามบุญตามกรรมก็ไม่เจริญ..." 10. "...อยู่ในสังคม จึงต้องไม่รังแกคน ต้องอดทน..." 11. "...เรียนหนังสือให้ดี จะได้ให้ความรู้มาช่วยประเทศ ช่วยไทย สงสารคนไทยที่ยังยากจนที่เคราะห์ร้ายกว่าเรามาก..." 12. "...การรู้จักแยกแยะความดี ความเลว ความถูกต้องเหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญมาก การมีชีวิตอยู่ในโลกได้ประสบความสำเร็จนั้น ต้องอยู่ในกรอบขอความถูกต้องด้วย..." 13. "...จงมีความนึกคิดและปฏิบัติ ในทางที่ดีที่ถูกที่เหมาะสมเสมอ..." 14. "...ความพอใจหรือไม่พอใจเกิดขึ้นด้วยต้วเราเอง ถ้าเปรียบเทียบตนเองกับคนที่มีมากกว่า เราจะรู้สึกด้อยถ้าเปรียบเทียบที่ด้อยกว่าเราดูดีมาก ดังนั้นถ้าไม่รู้จักพอ มีเท่าไหร่ก็ไม่อาจพอดี..." 15. "...ต้องรู้จักทำตามสมควร ให้เหมาะสมกับกาลเทศะ ความสมควร ความเหมาะสม ความพอดี เหล่านี้ เป็นสิ่งที่ต้องเอาใจใส่ศึกษาใหรู้ว่าเป็นอย่างไร ศึกษาได้โดยจิตที่มีสมาธิ ค่อย ๆ พิจารณาไตร่ตรอง..." 16. "...คนเราทุกคนต้องปรับตัว ถ้าปรับก็ไม่มีเรื่อง ฉันเองก็ต้องปรับตัว..." 17. "...คนเราเมื่ออยู่ในโลก จะต้องเรียนรู้ความจริงต่าง ๆ ของโลกไว้ เพื่อให้มีชีวิตอยู่ในโลกได้..." 18. "...อย่าลืมว่าแต่ละคนมีความดี บริสุทธิ์ไม่ทั้งหมด เพราะฉะนั้นถึงแม้จะมีข้อบกพร่องอะไรบ้างก็ต้องยอมรับ นี่คือสภาพของคนปกติ...บริสุทธิ์ ดีพร้อม มีแต่ธรรมะ คนจริง ๆ แล้วต้องมีข้อไม่ดีอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นขอให้มองกันในแง่ดี แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี..." 19. "...ต้องร่างกายแข็งแรงก่อน แล้วจิตใจจึงเข้มแข็ง ทำอะไรได้..." 20. "...ความพยายาม courage และ volonte 3 สิ่งนี้ ควรให้มีติดตัวอยู่เสมอ นั่นแหละจะทำอะไรได้สำเร็จทุกอย่าง..." (courage แปลว่า ความกล้าที่จะทำด้วยความเด็ดขาด volonte แปลว่า ความอยากทำด้วยความเต็มใจ ผู้แปล แก้วขวัญ วัชโรทัย)