25 พฤษภาคม 2550 10:20 น.
โกเต็ก
พระเอกขี่ม้าขาว วิทยุชุมชน
หลังจากถูกยึดอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จโดยคณะรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะแสดงออกถึงคำว่า พ่ายแพ้ให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ถึงรสสัมผัสของคำว่าชัยชนะที่แท้จริง มิหนำซ้ำแทบจะทุกการเคลื่อนไหวผ่านสื่อจากต่างแดน ยังเป็นตัวช่วยย้ำ ให้เห็นถึงการเตรียมความพร้อมปูทางให้กับตนเอง กลับขึ้นไปสู่อำนาจอีกครั้ง เสมือนว่าชายคนนี้คิดการใหญ่อะไรสักอย่างอยู่ในใจ เพียงแค่รอเวลาที่เหมาะเจาะเท่านั้น ครม. คมช.ถึงจะมีโอกาสได้รับรู้ แต่ถ้าเกมส์ที่ฝ่ายเสี่ยแม้วกำลังเล่นอยู่ยังคงราบรื่นปราศจากอำนาจหรือระบบเข้ามาขัดขวางแล้วหละก็ รับประกันได้เลยว่าพอถึงเวลาที่ ครม.และคมช.จะได้รู้ คงต้องพูดคำว่า สายไปเสียแล้วหละนายเอ้ย
ข่าวการเข้าซื้อกิจการของสโมสรแมนฯซิตี้ หรือการจ้อผ่านคลื่นวิทยุ เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นแล้วว่า คุณทักษิณ ไม่เคยเลือกที่จะทำตามคำขอร้องของนายกรัฐมนตรี สุรยุทธ์ หรือเกรงกลัวฝ่ายความมันคง ของพลเอก สนธิ แต่อย่างใด มิหนำซ้ำ หากมองว่าเป็นการ ตอกกลับ เล่นเอาหน้าหงายไปหลายต่อหลายครั้งก็คงไม่ผิดนัก ไม่เชื่อก็ลองไปถามน้าแอ้ด กับบิ๊กบัง ดูได้
ด้วยความเป็นนักการตลาดมาก่อนไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณทักษิณ จะเดินเกมส์นี้ด้วยอาวุธที่เรียกว่า สื่อ(ถึงแม้จะเคยตกจากอำนาจเพราะสื่อเข้ามาเกี่ยวข้องก็เหอะ) ซึ่งใครๆก็รู้ดีว่า สื่อ นี่แหละ ดาบสองคมตัวจริง ดูอย่าง พีทีวี เป็นไง ดีหรือร้ายขอให้ตัดสินกันเอาเอง
การทำตัวเป็นข่าวอย่างสม่ำเสมอ พอเผลอลืมทีไรเป็นต้องคอยออกมาย้ำอยู่นั่นแหละว่า ข้ายังอยู่โว้ย!!!ถามว่าเพื่ออะไร? ไม่เอามันส์ ก็คงเป็นเพราะ ไม่อยากให้สังคมไทยลืมแก พอเผลอลืมอีกครั้ง ก็มักจะทำเสียงสั่นน้ำตาคลอเรียกความสงสารจากพี่น้องรากหญ้าฐานเสียงและอาวุธสำคัญของเสี่ยแม้ว ที่2รัฐกลัวนักกลัวหนาในขณะนี้(รัฐธรรมนูญฉบับ... และรัฐบาล) นี่แหละมั้งที่นักวิชาการเขาเรียกว่าเป็นการประชาสัมพันธ์ แต่มันดันมาสัมพันธ์กันตรงที่ ประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลเข่าอ่อน(ขิงแก่)ดันมาอ่อนสมชื่ออีก เรียกว่าถูกเล่นงานตรงจุดอ่อนเต็มๆแบบนี้ หมัดนี้สมิงขาวบอกน็อกไปแล้ว แต่ระฆังช่วยเอาไว้ได้!!
อย่างนี้ต้อง กำจัดจุดอ่อน วอร์รูม โดยการขับเคลื่อนของคุณ ประสาร คือการแก้เกมส์ของ ครม.ขาอ่อน สงสัยเป็นมือใหม่หัดขับจึงทำให้เกมส์ประชาสัมพันธ์นี้ พลาด! ถือเป็นการลองผิดลองถูก เอาน่ะแพ้เป็นพระชนะเป็นมารละกัน
ก่อนหน้านี้พลเอก สุรยุทธ์ ก็เคยยอมรับแล้วว่า ครม.ของท่านอ่อนเรื่องประชาสัมพันธ์จริง ทำนองว่าผลงานหนะมีแต่ประชาชนคนนอกไม่รู้ก็เท่านั้นเอง จึงเป็นที่มาของ วอร์รูม ดังกล่าว เมื่อ วอร์รูม ไม่ได้ผลเพราะทำเองไม่เป็นก็จ้างมันซะเลย พีอาร์จากต่างชาติคือก๊อกสองของรัฐบาลภายใต้สัญญา 3 เดือน ถึงวันนี้ก็เข้าใกล้ช่วงเวลา 3 เดือนที่ต้องประเมิณผลงานเข้าไปทุกที รูปร่างก็ยังไม่ปรากฎชัดเจนแบบนี้ ฟันธง!ได้เลยว่าภายใน 2 อาทิตย์นี้เตรียมตอบคำถามสื่อมวลชนเรื่องความคืบหน้าของบริษัทพีอาร์ดังกล่าวได้เลย
ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2550 เครือข่ายปฎิรูปสื่อภาคประชาชน อันประกอบด้วยวิทยุชุมชนที่ไม่มีการโฆษณา 6 ภาค และเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนที่ใช้สื่อในการรณรงค์สิทธิของตนเอง ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ ดร.เจิมศักดิ์ ประธานกรรมาธิการวิสามัญประสานการมีส่วนร่วมการลงประชามติ กรณีข้อเสนอการยกร่างรัฐธรรมนูญต่อการยกร่างรัฐธรรมนูญ และการผลักดันวาระสื่อของรัฐบาลชั่วคราว โดยรวมคือการขอสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชนโดยเฉพาะ สื่อมวลชนรากหญ้า โดย นาง ปัณณพร ไพบูลย์วัฒนกิจ ผู้ประสานงานเครือข่ายสื่อภาคประชาชนภาคเหนือ เปิดเผยกับผมว่า ตอนนี้ทางสถานีวิทยุชุมชนทำงานกันลำบากมากเนื่องจากอยู่ภายใต้เงื่อนไขของ คมช.และอำนาจเก่าที่ยังแฝงตัวอยู่ตามพื้นที่ชุมชนทางภาคเหนือ คมช.ก็เฝ้าระวังว่าวิทยุชุมชนจะเป็นเครื่องมือของกลุ่มอำนาจเก่า หรือบางเรื่องที่เป็นความจริงและต้องเป็นที่รับรู้ของประชาชนในพื้นที่ก็ถูกแทรกแซงจากบางกลุ่มอยู่เสมอ ปราศจากการเหลียวแลหรือรับประกันจากทางรัฐบาลและคมช. ต้องการความเท่าเทียมในจุดตรงนี้ ซึ่งทางตนของยืนยันว่าเครือข่ายเรา หรือวิทยุชุมชนของเราไม่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มไหนทั้งสิ้น โดยทางกลุ่มอาศัยเงินจากประชาชนในพื้นที่ ที่ร่วมกันบริจาค ยืนยันได้เลยว่าทางเครือข่ายมีอุดมการณ์เป็นของตัวเอง มีความมุ่งหวังดีที่จะเป็นสื่อเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น แต่ก็ต้องมาเจอกับสภาวะที่กดดันเช่นนี้ จึงอยากให้ทางรัฐบาล คมช.ช่วยเข้ามาดุและตรงจุดนี้ด้วย
นางปัณณพร กล่าวต่อว่า ประชาชนทางภาคเหนือหลายๆส่วนยังคงชื่นชอบและรอคอยการกลับมาของ คุณทักษิณอยู่ เพราะนโยบายบางอย่างถือว่าโดนใจ โดยทางเครือข่ายบอกได้เลยว่าสิ่งไหนถูกก็ว่าไปตามถูกสิ่งไหนผิดก็ต้องว่าไปตามผิด
วิทยุชุมชนเข้าถึงชาวบ้านได้ง่ายกว่าทุกฝ่ายอยู่แล้ว จึงเท่ากับว่าโอกาสที่ชาวบ้านจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องนั้น ขึ้นอยู่กับการเอาใจใส่ของรัฐบาลและคมช. ดีกว่าไปทำวอร์รูม หรือจ้างพีอาร์จากต่างประเทศให้สิ้นเปลืองงบประมาณ มีของดีอยู่แท้ๆแต่ก็ไม่เคยสนใจ มัวแต่คิดว่าคนเหนือเป็นคนของคุณทักษิณแบบนี้ งั้นผมก็เป็นรากหญ้าของนายทักษิณอีกคนหนะสิ
19 มีนาคม 2550 18:08 น.
โกเต็ก
ทันทีที่ได้เห็นข่าว "รถตู้ถูกดักยิงอย่างโหดร้ายที่จังหวัดยะลา" คำพูดแรกที่
หลุดออกมาจากปากของผมและพี่ๆที่คมชัดลึกก็คือคำว่า "อีกแล้วหรอ" ที่โต๊ะข่าว
การเมืองเล็กๆแห่งนี้ไม่รอช้าแม้เสี้ยววินาที เพื่อที่จะทราบความเป็นไปของเหยื่อผู้
เคราะห์ร้าย มากกว่าคำว่าข่าวที่สามารถขายได้
7 วันแล้วครับที่ผมได้รับโอกาสอันน่าดีใจยิ่ง สำหรับการได้ก้าวเข้ามาฝึก
งาน ณ สถานที่ที่สร้างและผลักดันสิ่งดีๆกลับสู่สังคมไทย(นั่นคือความคิดก่อนที่จะได้เข้ามาฝึกงาน) และจะไม่ละอายใจเลยแม้แต่น้อยหากตอนนี้ผมจะพูดว่า ผมชื่นชมที่แห่งนี้ ผมรักที่แห่งนี้ และจะมีความรู้สึกดีๆให้ที่แห่งนี้ตลอดไป แม้วันข้างหน้า
ผมจะได้รับความเจ็บปวดจากโรงงานหล่อหลอมทางด้านความคิดแห่งนี้ มากมาย
แค่ไหนก็ตาม
ย้อนกลับไปที่เหตุการณ์อันเจ็บปวดของพี่น้องชาวยะลา หลังจากที่ทราบ
ข่าวจากผู้สื่อข่าวไม่ถึงนาที ก็มีรายงานคนตาย คนที่ได้รับบาดเจ็บ เข้ามา 8 ศพถูก
จ่อยิงตายคารถ ไม่เหลือร่องรอยของคำว่าปราณี อีก2บาดเจ็บ หนึ่งในนั้นเรียกได้ว่า
บาดเจ็บสาหัสทีเดียว ส่วนอีก 1 คือคนขับรถตู้ ที่พอจะเอาตัวรอดด้วย "ภาษายาวี "
ด้วยคำว่า "ศาสนาอิสลาม" 2 ประเด็นนี้นี่แหละที่พวกเขาสร้างขึ้น พยายามดึงจุด
สนใจไปที่เรื่องของศาสนา เรื่องของคนละพวก และที่สำคัญพวกเขามักจะได้
ประโยชน์จาก 2 เหตุผลนี้อยู่ร่ำไป
เพราะฉะนั้นการใช้ความรุนแรงโต้กลับไป จึงไม่ใช่หนทางที่จะนำไปสู่
ความสงบสุขของ 3 จังหวัดชายแดนใต้แต่อย่างใด เพราะเพียงแค่คิดที่จะเปิดศึก
ก็เท่ากับหลงเข้าไปติดกับดักที่พวกเขาวางไว้แล้ว
ดังนั้นพอมีคนมาถามผมว่า "ทำไมต้องสมานฉันท์" ผมจึงมักตอบกลับไปว่า"ก็นั่นนะสิ"
8 เมษายน 2548 10:11 น.
โกเต็ก
ไม่รู้ว่าใครหลายๆคน เคยมีความรู้สึกแบบนี้หรือป่าว ก็ทันทีที่รู้สึกว่าอยากมีความรักก็รู้สึกว่าอยากมีกับเขาบ้าง ก็อยากจับมืออย่างเขาบ้าง อยากยิ้ม อยากหัวเราะ อยากไปทานข้าว แบบนั้นบ้างสักครั้ง
ไม่รู้สินะมันรู้สึกแบบนี้จริงๆ ...... แต่ไม่รู้จะทำยังไงให้ได้ในสิ่งสิ่งนั้นสิ่งที่เรียกว่าแฟน
คนหลายๆคนได้ให้นิยามของคำว่าแฟนแตกต่างกันออกไป บ้างก็เป็นแบบนี้ แบบนั้น แบบโน้นๆ..... จะให้เล่าเรื่องแฟนหนะหรอ เล่าทั้งวันก็ไม่จบอะ นึกถึงเวลาที่เขาทำอะไรให้เราประทับใจนี่สิ พูดได้แบบไม่อายเลยหละ
ว่ารัก .......
ไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องที่เสียใจ เรื่องที่เคยทำให้ร้องไห้ นะจำไว้...เชื่อผมสิผมรักคุณ..ผมพร้อม พร้อมที่จะยืนข้างๆคุณไม่ว่าคุณจะหัวเราะ คุณจะยิ้ม หรือ
คุณกำลังร้องไห้ เชื่อผมนะครับ
ฟังแล้วดูดีเนาะว่ามั้ย.... ก็แค่นี้แหละที่อยากจะเล่าให้ฟัง
.....อ่านแล้วเห็นอะไรในข้อความต่างๆข้างบนนี้บ้างหละ........ ....ความรู้สึกนะ มันคือความรู้สึก มันไม่ใช่ความคิด ไม่ใช่สมอง ที่คอยสร้างกรอบให้กับตัวเอง ลองถามตัวเองสักครั้งสิ ว่า เคยเห็นคำว่ารักที่สวยงาม แบบในหนังในละคร
สักครั้งไหม ... ลองตอบแบบใช้ความรู้สึกดูสิ ลืมไปซะละครเรื่องนั้น เพลงๆนั้น
หนังสือเรื่องนั้น..... แล้วเราก็จะรู้ว่า คนพิเศษของใจ ที่หลายๆคนเรียกว่าแฟน หรือคนรัก ก็มีได้แค่จับมือ ยิ้ม หัวเราะ ทานข้าว ก็แค่นั้น ทุกๆวันนี้สมองมันทำให้เราต้องการอะไรเวอร์เกินไป คิดถึงผลดีผลเสียมากเกินไป คิดถึงคำว่าน่าจะเป็นไปได้ แต่ไม่ได้คิดในสิ่งที่เป็นไปได้ ในโลกของมนุษย์ที่จนแล้วจนรอดก็ยังมีความใคร่ในอารมณ์ไม่ต่างจากไอ้สัตว์ทั้งหลายเลย.
ป.ล.คิดเล่นๆดูนะ ถ้าคุณเกิดในถำอยู่แต่ในถำมาตลอดชีวิต
คุณจะมีความรู้สึกตายแทนกันได้ไหม แม้แต่กระทั่งห่มผ้าให้กันนี่จะมีบ้างหรือปล่าวก็ไม่รู้ น่าคิดมั้ยหละ
ป.ล.อีกที
ตัวอย่างง่ายๆที่แสดงว่าเราเป็นทาสของการกระทำรอบๆตัวลอกเรียนแบบมาโดยไม่รู้ตัวว่าผิดหรือปล่าว ทุกๆครั้งที่เรียนวิทยาศาสตร์ ทำไมเชื่อว่ามันเป็นไปตามนั้นหละ ทั้งๆที่บางเหตุการณืคนอย่างเราๆยังไม่เคยแม้แต่กระทั่งจะเห็น จะสัมผัส เลยด้วยซำไป คล้ายๆกับจดหมายลูกโซ่เรื่องผีๆถ้าใช้สมองตอบก็จะบอกว่าไร้สาระ
แต่ถ้าใช้ความรู้สึกตอบเราก็จะทำตามเงื่อนไขของมันแบบที่สมองบอกว่าน่าโง่สิ้นดี มันน่าคิดจริงๆนะ ว่ามั้ย>
เรื่องรักเป็นแค่เรื่องย่อยๆที่ยกมาให้ดู แต่แท้ที่จริงแล้ว เรื่องแบบนี้มันอธิบายได้ทุกเรื่องอยู่แล้วเร่องง่ายๆที่ทำให้มันยากทั้งๆที่สุดท้ายมันก็คือคำว่า
"ความสุข"
ลืมบอกไปนะอย่าใช้สมองอ่านนะคนดี บ้ายบาย
6 เมษายน 2548 12:50 น.
โกเต็ก
สวัสดีครับ ยอดนักเขียน และ นักอ่านทุกๆท่าน เคยคิดบ้างไหมครับว่าทุกๆงานเขียนที่พวกคุนและพวกผมกำลังติดตามอยู่นี้ มันคืออะไร ทำไมถึงต้องมีขึ้น และที่สำคัญ มันมีขึ้นมาเพราะอะไร
รักที่จะทำ รักที่จะสร้าง ฟังดู มองดู คิดว่า มันน้อยเกินไปไหมครับ กับเหตุผลแค่นี้ เพราะมีบางคนยอมสละเวลาทั้งวันหรือเป็นชั่วโมง เพื่อสร้าง และเพื่อติดตาม งาน ไม่ว่าจะเป็นของผมหรือของคุณ
อาจจะไม่เคยรู้ตัวเพราะเพียงแค่อาจจะไม่มีใครตั้งคำถามขึ้นมา ในเมื่อมีบางคนบอกว่าโลกนี้เราและเราทุกคนต่างไม่มีทางแน่ที่จะได้อะไรมาฟรีๆ หรือง่ายๆ ยื่นหมูยื่นแมวฟังแล้วไม่ค่อยเข้าหูแต่ดูแล้ว เปะนะผมว่า เพราะเชื่อไงหละครับว่าทุกๆวินาทีนี้ ผมกำลังใช้บางสิ่งบางอย่างในตัวแลกกับบางสิ่งในงานเขียนเหล่านี้นั่นเอง
28 มกราคม 2548 11:45 น.
โกเต็ก
สังคมๆหนึ่งไม่บอกใครๆเขาก็รู้ว่าจะต้องเป็นแบบนี้.......................................
การเขียนเรื่องสั้น กลอน หรือ งานเขียน อะไรสักชิ้นหนึ่งไม่บอกใครๆเขาก้รู้ว่าจะต้องเป็นแบบนี้...........................................................................
หรือแม้แต่ช่วงชีวิตของใครสักคนหนึ่งไม่บอกใครๆเขาก็รู้ว่าจะต้องเป็นแบบนี้................................................................................
แล้วในเมื่อเราต่างก็รู้ว่าเป็นแบบนี้ เราไม่มีทางที่จะหนีสิ่งเหล่านี้ได้เลย เพราะเพียงแค่คิดที่จะหนี เราก็น่าจะรู้สึกตัวได้อย่างทันทีว่า เราเป็นคนที่ไม่มีนำใจใสๆเลย หากวิ่งหนีไปซะเสียวันนี้รู้ใช่ปะว่าเราเอาตัวรอดได้สบาย มีชีวิตที่สบายๆรออยู่ข้างหน้า แต่คนข้างหลังหละ แม้ไม่ใช่ลูกใช่เมียใช่ญาติของเรา
แต่อย่างน้อยๆเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา แคบลงมาหน่อย ก็คนไทยเพื่อนเรานี่เอง
แล้วในเมื่อเรารู้ตัวเราว่าเราเป็นคนดีไม่ใช่คนเลว แล้วในเมื่อเรารู้ตัวว่ากลอนเราดีกลอนเราไม่เลว แล้วในเมื่อเราต่างก็รู้ว่าช่วงชีวิตเรามีทั้งดีทั้งไม่ดี
แล้วทำไมพวกเราถึงต่างหันหลังให้กับสิ่งไม่ดีที่เลวแบบนั้น สิ่งที่หยาบที่คายแบบนั้น หากแต่เพียงสิ่งที่ดีที่เลวนั่นก็คือชีวิตๆหนึ่งที่ต้องการ ความรัก ความเอาใจใส่ไม่ต่างกัน ในเมื่อ กู คือคนเลว ฉันเป็นคนดี เฮี้ยมันก้าวร้าว ขอบใจ คือสุภาพ ลำบากคือยำแย่ สบายคือ สดใส
แล้วหากคำว่ากูเปรียบเสมือนชีวิตเด็กวัยรุ่นที่ติดยา
คำว่า ฉัน เปรียบเสมือนเด้กน้อยที่เชื่อฟังพ่อแม่
เฮี้ยเปรียบเสมือน โจรโดเที่ยวทำลาย
ขอบใจเปรียบเสมือนนักบุญที่แสนดี
ลำบากก็ไม่ต่างกับคนจนผู้หาเช้ากินคำ
แล้วก้สบายก็คือเสี่ยๆนั่นเอง
ขอให้ทุกคนจงเอาใจใส่สิ่งที่ไม่ดีและสิ่งที่เลวๆให้มากๆ อย่าด่วนตัดสินเขาเพียงแค่ความเลวของเขา ให้เริ่มตัดสินเขาเมื่อ เขาเป็นคนดีแล้วเท่านั้น
ขอบคุณครับ