25 กันยายน 2550 05:17 น.
แววมยุรา
๏ ตมิสาฉายโคมโหมคืนเหงา
ฟ้าอมเศร้าเคล้ากลิ่นความขื่นขม
พลันยินเสียงบรรเลงเพลงระทม
แว่วระงมหวีดหวิวในเงียบงัน...
๏ แผ่วแผ่วแว่วเสียงโศกศัลย์
ร้องร่ำรำพัน
เสียงเพรียกวิเวกเวทนา
๏ ร้องขับทำนองโศกา
กลืนกล้ำจินตนา
กำสรวลกังวานวังเวง
๏ เงี่ยหูสู่รู้บทเพลง
ผู้ใดบรรเลง
พร่างพร้อยอ้อยสร้อยลำนำ
๏ ลัดเลาะเสาะหาคนธรรพ์
ใครหนอครวญคำ
ดึกดื่นรัตติกาลป่านฉะนี้
๏ ลอบมองผ่านม่านไพรี
เหลียวแลลำนที
กระทั่งพลิกพื้นพสุธา
๏ ไม่เผยแม้เงากายา
หากเสียงคีตา
ยังคงรำเพยรำพัน
๏ กลางดงพนาลาวัลย์
เกิดจิตนึกหวั่น
เพระเหตุโดดเดี่ยวเอกา
๏ มิ่งมิตรสนิทเพียงดารา
พลันแหงนมองฟ้า
นับเดือนนับดาวปลอบขวัญ
๏ หนึ่ง...สอง...สาม...สี่...จวบพัน
คล้ายดั่งอนันต์
ดื่มด่ำดาวพราวศุกไศล
๏ เพี้ยงผ่านนานนับอสงไขย
เพลาล่วงไป
สังคีตครวญคร่ำห่อนหาย
๏ แท้จริงมิใช่อสุรกาย
รำพันเพลงพราย
ทุรนทุรายทุกข์ทน
๏ สงบนิ่งจึ่งรู้บัดดล
เป็นเสียงใจตน
สดับรู้เผิดแผ้วเฉิดฉันท์
๏ อัตตาสูญสิ้นเพียงพลัน
ธรรมชาติไกรวัลย์
สอนมนุษย์รู้พิจารณา
๏ มุ่งย้อนกลับเข้าเคหา
สู่ภวังค์นิทรา
สงบสิ้นโสตเสียงราวี
๏ ใจเอย...หยุดร่ำร้องปองสิ่งหมาย
หยุดทำลาย, หยุดมุ่งร้าย, หยุดใหลหลง
ดูนภากว้างใหญ่แล้วจึงปลง
ชีวาคงไม่สู้อยู่ค้ำแผ่นฟ้า.
22 กันยายน 2550 05:26 น.
แววมยุรา
๏ ยามหลับกระสับส่าย
มิผ่อนคลายวางวายสิ้น
นิทราเป็นอนิจจิณ
ใยสุบินแต่ระทม
๏ เหวยเหวยว่าคืนมืด
พระจันทร์ชืดจืดบรม
ไล่แช่งใยไม่จม
ลงปลักตมในเจ้าพระยา
๏ ดาราก็อีกหนึ่ง
ทำเป็นผึ่งอวดแสงจ้า
สว่างไป โธ่!ไอ้บ้า
เกลื่อนเต็มฟ้าหลับไม่ลง
๏ ม่านมืดแสนโดดเดี่ยว
กลางฟ้าเปลี่ยวดูเหรงโหรง
ตาตั้งกลัวไอ้โม่ง
มาหยิบโหย่งศฤงคาร
๏ ตั่งเตียงดูหรูหรา
แผ่สาขาพัศฐาน
ตั่งใจกลับหย่อนยาน
เหมือนหมดลานวานไขที
๏ แพรห่มสวยแต่ชื่อ
ผ้าใบ้บื้อ บรื๋อ!หนาวนี้
เห็นทีรุ่งฤดี
ไม่พ้นมีไข้จางจาง
๏ หมอนฟูกเนื้อนิ่มนิ่ม
นอนไม่อิ่มถึงฟ้าสาง
ไม่นิ่มเท่าตักนาง
ที่รักร้างกลางเดือนแรม
๏ ชีวิตเหมือนเดือนมืด
น้ำตาชืดไหลรดแก้ม
ดูข้าคนจนแต้ม
นรกแย้มโลงเปิดฝา
๏ บ่นจนสุรีย์แสง
ขึ้นทแยงเยื้องท้องฟ้า
ม่านมืดหายวับตา
แสงทองทาท้าตามอง
๏ เห็นไหม...ยังมีหวัง
โลกคงยังแบ่งเป็นสอง
สุขทุกข์อยู่คล้องจอง
เช่นครรลองของคันธรรม