8 กันยายน 2554 20:49 น.
แม่มดใจร้าย
นักเขียนนิยาย จะเขียนนิยายสักเรื่องก็คงต้องมีพล็อตเรื่อง...
แต่ฉันเป็นคนเล่าเรื่อง..แล้วควรต้องมีพล็อตเรื่องหรือเปล่าหนอ
จะเริ่มต้นอย่างไรและจบเช่นไหน เขียนแล้วคนอ่านจะยิ้มตามหรือบ่นว่ายายบ้านี่มาเขียนอะไรนะ..
ก็จบบัญชี..ไม่ได้จบอักษรศาสตร์ นิเทศศาสตร์ หรืออะไรที่เป็นศาสตร์ทั้งหลาย..
นอกเรื่องมาก็มาก..เข้าเรื่องดีกว่าเนอะ เดี๋ยวอาจต้องมีแจกแม็ค 77 ที่ไม่ต้องเติม....ลงไป (อ่านว่า จุด จุด จุด)
เมื่อมีการเตรียมการ เราก็ต้องมีการเดินทาง เค้านัดสามทุ่มเราไปถึงกันสองทุ่มด้วยความไม่แน่ใจในสภาวะรถติด ฝนตก ซึ่งเอาแน่นอนไม่ได้สำหรับกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร..
ปั๊ม ปตทสนามเป้า เป็นที่นัดหมาย เซเว่นมี ร้านกาแฟมี (ปิดแล้วแต่ใช้เป็นที่นั่งรออยู่หน้าร้าน) หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา.....สโลแกนประจำร้าน นั่งรอไป กินไป คุยไป ถกปัญหากันไป ไปทำอะไร ไปดูอะไร มันมีอะไร
สำหรับฉัน..บนนั้นมีดอกหงอนนาค มีต้นไม้ มีหลักเขตไทยลาว มีอะไรอีกละ (ส่วนเพื่อนร่วมทางถูกฉันหลอกมา)
เวลาผ่านไปไกด์ยังไม่มา รถยังไม่มี แม่ครัวยังไม่เจอ..(ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก..ล้อเล่นจ้า) หลายคนกระวนกระวาย จนต้องโทรหาคุณเอกนักป่าไม้หนุ่มที่ผันตัวเองมาทำเรื่องท่องเที่ยวแบบแบ๊คแพ๊ค..คุณเอกบอกว่าทำไมมากันเร็วจังผมนัดสามทุ่มนะ (คุณเอกขา..นี่มันสามทุ่มกว่าแล้วค่ะ) จนถึงเวลาอันสมควร และควรเป็นฤกษ์ดีหรือเปล่านะ
เราออกเดินทางด้วยรถตู้ (ที่ท้ายเกือบปิดไม่ได้..ด้วยของและด้วยสภาพรถ) คุยกันไป จนหลับกันไปและแล้วเราก็มาถึง..ถึงไหนล่ะในเมื่อระยะทางเกือบยี่สิบกิโลกว่าจะถึงอุทยานภูสอยดาวเส้นทางขาดเป็นระยะสั้น ๆ แต่ก็เล่นเอาผู้ร่วมทางจำนวน 5-6 คันจอดสนิทแล้วก็คิดว่าจะไปอย่างไร ไปได้หรือไม่ สุดท้ายก็ไม่เกินความสามารถของผู้อยากเที่ยว ด้วยการเดินข้ามเส้นทางที่ขาดเพื่อให้รถเปล่าวิ่งไปรอเราข้างหน้า
สุดท้ายฉันก็มาถึงตีนภู..แต่ละคนจัดการกับตัวเอง แล้วก็ไปจัดการกับท้องตัวเองเพื่อเตรียมตัวเดินทางขึ้นภูที่ระยะทางไม่ไกลแค่ 7.5 กิโลเท่านั้นแหละ..
นับจากตีนภู..จนผ่านเนินลูกแล้วลูกเล่า แค่สี่ห้าเนิน..หุหุ..แค่ถึงเนินส่งญาติก็อยากส่งแต่ผู้ร่วมทางให้ขึ้นไป (ได้ไงเล่า..เมื่อเราอยากมา) ทางเดินดีค่ะชวนให้นึกถึงภูกระดึง..ภึงกระดูขึ้นมาทันใด จากส่งญาติแล้วไปไหนหนอ.อ้อ..ปราบเซียนไงคะ ปราบจนเซียนหงายหลังกันเลยทีเดียว ระหว่างทางก็ชมนก (ซึ่งไม่มีให้เห็น) ชมไม้ซึ่งมีตลอดทางแซมด้วยดอกไม้สวยงามบ้างประปราย รวมถึงฝนพร่ำๆ ที่มีมาเป็นระยะๆ พร้อมน้ำเหงื่อที่เต็มตัวตลอดหัวจรดเท้า..ส่วนใจคนเขียนหรือคะ..(ส่วนใจฉันก็มีแต่เธอ มีแต่เธอทุกห้องดวงใจ) ดอกหงอนนาคไงคะอยากเห็นขึ้นมาจับใจ จากเนินปราบเซียน เนินป่าก่อ เนินเสือโคร่ง ที่ผ่านมาแต่ละเนินคนไม่สู้เนินมรณะหรอกค่ะ ทั้งสูง ทั้งเสียว ทั้งปีนป่ายบันได เดินระหว่างหุบเหว..สวย..เสียว..ได้ใจเลยค่ะ
แล้วสุดปลายทางของเราก็พบลานภู..นักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งซึ่งใจตรงกันมาในวันนี้จับกล้องตัวเก่งถ่ายรูปดอกหงอนนาคอย่างเพลิดเพลิน...ส่วนฉันอึ้งค่ะ อึ้งกับสิ่งที่เห็น เดินมาที่เหนื่อยมันหายเหนื่อยไปโดยปริยาย สิ่งที่ฉันอยากเห็นอยู่ตรงหน้าไม่ผิดหวัง..แต่อุปสรรคมาอีกแล้ว ฝนที่คาดคิดหล่นลงมาพรำๆ ก็เลยต้องรีบเร่งเดินลุยทางอันเต็มไปด้วยเลนกับน้ำเป็นระยะๆ ไปให้ถึงจุดพัก ซึ่งคุณเอกกางรอไว้เรียบร้อยแล้ว..
ฝนตกตลอดเวลาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด..แล้วจะทำเช่นใดเล่า เต้นท์ที่กางไว้กันฝนได้แต่กันน้ำจากผ้าปูรองนั่งไม่ได้จนต้องเอาเสื้อกันฝนมาใส่กันหนาวกันพื้นเปียกได้เป็นอย่างดี..ส่วนฉันหยิบกล้องตัวเก่งขึ้นมาจับภาพใส่กล้องภาพแล้วภาพเล่าตามใจปรารถนา ชื่นชมกับสิ่งตรงหน้าซึบซับให้มันมากที่สุดสมกับความอยากมา อยากเห็น ธรรมชาติอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว (สิ่งซึ่งฉันมองไม่เห็นในป่าคอนกรีตที่ฉันอาศัยอยู่)
ระหว่างรอลูกหาบ..รอของใช้ส่วนตัวเพื่อจัดการกับตัวเองซึ่งเหลือเพียงของฉันคนเดียว..ฉันไล่น้องๆ และพี่หนึ่งคนไปอาบน้ำกันก่อนโดยที่ไม่ต้องรอ เพราะไม่รู้ว่าของของฉันจะมาเมื่อไหร่ รอคนเดียวดีกว่าให้คนอื่นมาลำบากไปด้วย (เพราะที่ร่วมเดินทางมาก็เท่ากับฉันพามาลำบากแล้ว)
ฝนตกตั้งแต่บ่ายสองและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด...หลังอาหารมื้อเย็นผ่านไปด้วยเวลาเพียงทุ่มกว่า ๆ ที่เราไม่สามารถหรืออาจทำอะไรได้ สิ่งที่ทำได้คือเข้าเต้นท์เพื่อนอน...
5 กันยายน 2554 18:08 น.
แม่มดใจร้าย
"ไม่ออกเดินทาง ประสพการณ์ก็ไม่มี"
จากภูเมี่ยง เราจึงได้ไปดูน้ำค้างกลางเที่ยง ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ ภูเมี่ยงเป็นสถานที่หนึ่งที่ดูวีดีโอแล้วถอดใจ แล้วน้ำค้างกลางเที่ยงมาจากไหนหนอ...
ภูสอยดาวเป็นสถานที่ที่ค้นเจอหลังจากดูภูเมี่ยงแล้วอยากไปมาก จนชวนน้องๆ ที่เคยร่วมเที่ยวด้วยกันว่าไปมั้ย..
เกือบทุกทริปที่ไปไม่มีครั้งไหนที่ไม่มีอุปสรรค์ แต่ก็ได้ไปทุกที...
"น้ำเหงื่อขึ้นกลางหลังระหว่างทาง แต่น้ำค้างกลางเที่ยงบานระหว่างใจ"
แต่ในความเป็นจริง..น้ำเหงื่อขึ้นตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า บวกรวมเข้ากับน้ำฝนเป็นระยะๆ ...
ประสพการณ์จากการเดินทาง..นับตั้งแต่เริ่มจนสุดท้ายแห่งปลายทางย่อมมีมากมาย..ไม่ว่าจะเป็นการรอคอยจนถึงการเดินทาง และแม้แต่จุดหมายปลายทางที่ไปถึงก็พบเจออุปสรรค์กับสายฝนที่กระหน่ำไม่ลืมหูลืมตาหนึ่งวันเต็ม ๆ ที่นอนกลางน้ำกินกลางดิน (โอ้..อยู่กรุงเทพฯ จะทำแบบนี้หรือไม่หนอ) เดินเที่ยวท่ามกลางสายฝนกับเสื้อกันฝนบนขุนเขา ปีนป่ายน้ำตกจนเกือบจะตกเขา...
แล้ว..ฉันจะเริ่มต้นเล่าเรื่องอย่างไรเนี่ย
ตะลึง..เมื่อขึ้นไปถึงลานภูสอยดาว ตะลึงกับดอกหงอนนาคที่อยากเห็น (แต่ผู้ร่วมทริปคิดแบบเดียวกันหรือเปล่าหนอ)
เริ่มต้น..เรียกน้ำย่อย (เพราะผู้ดูแลระบบขู่ว่าจะลบออกจากบัญชี)