30 มิถุนายน 2552 22:09 น.
แมงกุ๊ดจี่
...ฉันกวาดสายตาทีละบรรทัด ๆ
ไล้สายตาไปแต่ละประโยค และพยายามตีความหมายทุกถ้อย
ทีละคำ ๆ อย่างบรรจง และใจเย็น...
แต่ก็ไม่รู้ว่า...คนที่พิมพ์ส่งมาจะบรรจงพิมพ์
ทุกถ้อยประโยคนั้น ออกมาจากรู้สึกหรือเปล่าหนอ?
ยังคงเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ... และก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะมีคำตอบ...
แม้ว่าคำถามนั้น
ใจฉันอยากถาม และอยากถามเมื่อมีโอกาส
แต่มันช่างแตกต่างกับโจทย์ ที่เคยออกข้อสอบโดยแท้
ไม่อาจมีตัวเลือกหรือช้อยให้เลือกตอบ ไม่มีในบทเรียนที่เคยเรียนมา
น่าขำดีนะ อะไรกันเนี๊ย แล้วฉันถามทำไม? เพื่ออะไร?
ฉันเปิดจดหมาย...ในอินบล็อค
จดหมายอิเล็กทรอนิกส์หลายฉบับ ที่ฉันเปิดอ่านค่อนคืนนี้ก็ยังไม่หมด
เพราะแต่ละฉบับฉันพยายามค้นหา ว่าคำไหน? ถ้อยใด ที่สามารถ
โยงใยสายสัมพันธ์ ของฉันเพื่อส่งถึงเขา...
"สายสัมพันธ์" คงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของใจฉันที่มันพยายามจะโยงไป
เพื่อให้ถึงอีกหนึ่งหัวใจ แต่เปล่าเลยไม่ถึง ไม่เคยถึง ฤา เพราะว่า...
มันหล่นหายไปกลางอากาศ กว่าจะถึงเขา ก็เหลือเพียงประโยคที่ไร้ความหมาย
เป็นเพียงสิ่งเปล่าดาย ว่างเปล่าในความรู้สึกของเขา...
เสียงนาฬิกา...
ฉันหันไปมองบนผนัง...นาฬิกาบอกเวลาข้ามคืนแล้ว
แต่ไร้วี่แววความง่วงหาวในรู้สึก สายตาเพ่งไปที่หน้าจอคอมพ์
จดหมายสองฉบับ ที่เปิดอ่านแล้วแต่ไม่มีสัญลักษณ์ลูกศรแสดงว่าตอบแล้ว
ใช่แล้วจดหมายสองฉบับนี้
ฉันได้รับมาเป็นเดือนแล้ว ฉันหวั่นไหว งวยงง และประหลาดใจ
กับจดหมายสองฉบับนี้ ทำให้ฉันไม่กล้า ไม่มั่นใจ ไม่กระจ่างในความรู้สึก
เหตุผลทั้งหมดทั้งมวล
ที่ทำให้ฉันมานั่งเปิดอ่านจดหมายทั้งหมด
ตั้งแต่ฉบับแรกจนฉบับสุดท้าย เพียงเพราะประโยคหนึ่ง
ของจดหมายฉบับนี้ ที่ฉันได้รับวันนี้เมื่อเกือบเที่ยงคืน
เห็นจดหมายเข้าเหรอ? ฉันดีใจ และแปลกใจ ในเวลาเดียวกัน
Subject : ของจดหมายต้องทำให้ฉันกระอัก มันแปลบเข้าไปคล้าย
เข็มเล่มเล็กๆ ทิ่มแทงเข้าไปรู้สึกจิ๊ด แล้วเจ็บซ่านไปทั้งตัว..
เมื่อเปิดอ่านหัวใจแทบแหลกสลาย "ไม่ตอบเมลล์สองฉบับหลังคงตั้งใจแน่แล้วนะ"
ฉันก็ไม่รู้ว่าน้ำตาออกมาเมื่อไหร่
หรือน้ำตาแห่งความน้อยใจมันไหลเอ่อ...
หรือน้ำตา แห่งความเจ็บปวดที่เสมือนเข็มเล่มเล็กนั้น....
ฉันทบทวนเนิ่นนิ่ง แล้วสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด
ให้มันรู้สึกผ่อนคลายให้มากที่สุด ให้มันผ่านโล่งมากที่สุด...
ฉันรู้...
และเข้าใจ และยอมรับ...
ว่าการ "ลวง ลับ พราง" ครั้งนี้ เป็นความพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง
ทุกอย่างย้อนมาร้ายหัวใจตัวเอง ฉันเป็นอะไร ฉันบ้าไปแล้ว ฉันยอมแพ้...
และรู้แล้ว
คงถึงเวลาแล้วที่ฉันควรตื่นจากฝัน
มาพบความจริงตรงหน้าเสียที และยิ้มรับกับมัน
แสงสว่างของดวงอาทิตย์กำลังสาดแสงสีทองส่องนำทาง
ทำไม ? ฉันจะเดินต่อไปไม่ได้ ในเมื่อทุกวันฉันเดินคนเดียวมาตลอด....
12 มิถุนายน 2552 19:33 น.
แมงกุ๊ดจี่
"บินไปเดียวดายกลางสายลมแปรปรวน เพียงทะเลครวญฟังคล้ายเป็นเพลงเศร้า
ค่ำนี้ฉันเพลีย ฉันเหนื่อยฉันหนาว และเหงาเหลือเกิน ไม่เคยมีใครมีรักแท้จริงใจ
จะมองทางใดดูเคว้งคว้างว่างเปล่า ฝ่าลมฝนลำพัง มากี่ร้อนหนาว จนล้าสิ้นแรง
ไม่อยากเห็นภาพใดแม้แต่ท้องฟ้า อยากจะพักดวงตาลงชั่วกาล"
ฉันนั่งฟังเสียงโทรศัพท์ดังจนมันเงียบไป....แล้วมันก็ดังขึ้นอีกรอบ...
สายตากวาดไปดูหน้าจอโทรศัพท์... โอ้เวียกเข้า....
อ้อ...ป๋าโทร.มานี่เอง ต้องรีบรับด่วนเดี๋ยวจะของขึ้นซะ
"สวัสดีค่ะ ปาป๊า" ฉันรับด้วยถ้อยสุภาพผิดวิสัย.. คริ ๆ
"เอ่อ จะไปกรุงเทพฯ ตอนสี่ทุ่มนะเตรียมตัวไว้อย่าให้รอ" เสียงเฮียแกสั่งซะ
"ค่ะป๋า" แล้วฉันก็วางไป มันพร้อม ๆ กับอาการถอนหายใจยาว...
ต้องไปอีกแล้วเหรอ?
ฉันหอบเสื้อผ้าไปกะอยู่ได้ 4 วัน พร้อม แอคเซสซอรี่ เพียบ
ครบครันคร๊าบพี่น้อง...ขยันหอบ บ้าหอบฟ่างเสียจริง....เหอ ๆ
ขนของมาวางรอเก็บท้ายรถ วางเรียงไว้ หมอน ผ้
าห่ม เหอ ๆ กำ และก็...จนได้
"แกจะไปอยู่กรุงเทพฯ เหรอ? มะกรูด" เสียงป๋าแกแควะซะ
ได้แต่ยิ้มแหย ๆ กับหน้าเห่ย ๆ แร๊งงงงงงงงงง แรงเน้อป๋าเน้อ...
ขึ้นนั่งรถได้ก็เตรียมปลีกวังเวงวิเวกคร๊าบพี่น้อง...
ล้อหมุนตอนประมาณสี่ทุ่มก๋า ๆ ประมาณเกือบห้าทุ่ม รถกำลังจะขึ้นเขาภูพาน
โทรศัพท์จากคนไกลไทโคราชก็ดังขึ้น เป็นเง็งคร๊าบพี่น้อง มาได้ไงว่ะนี่
ตรูกำลังจะเข้าฌาน และมันจะเข้าเขตปลอดสัญญาณโทรสับ
สอใส่เกือก โทร.มาซะ
แอบบ่นเล็กน้อยถึงปานกลาง อิอิ...(เค้าหยอกเล่นน๊าตัวเอง อย่างอนเค้าน๊า)
.
.
.
.
.
ขอ "Sensor" ข้อความบางประการเน้อ...
.
.
.
เสียงป๋าก็แควะมา อยากคุยโทรศัพท์ทำไม? ไม่คุยอยู่บ้าน
อ้าวงานเข้าอีกแระตรู คร๊าบ ๆ โชคดีที่ขึ้นเขาภูพานแล้วสัญญาณตัด
พร้อมกับตัดความรำคาญไป โดยได้ช่วยชีวิตอิฉันไว้ได้ทัน....เหอ ๆ
มาถึงกรุงเทพฯ ก็ตีห้าพอดี๊พอดี...มาคราวนี้ดีหน่อย
ราชรถส่งถึงบ้าน...โชคดีไป...ส่วนป๋าก็ไปอบรมฯ ต่อ ส่วนอิฉันก็ตามยถากรรม
มาถึงก็นอนก่อนสักตื่น...
แล้วก็บอกพี่โยไว้ว่าจะออกไปพร้อมตอนที่เขาออกไปทำงาน..
"อา อา อา" เสียงเคาะประตูซะดังลั่น
ฉันงัวเงียไปเปิด เห็นไอ้หมูอ้วนยืนเรียกอยู่หน้าห้อง
อ้อเจ้าตัวดีนี่เอง
น้องภูมิ เด็กชายสุวรรณภูมิ
"อา ไม่ไปทำงานกับพ่อหรอ?" เสียงอ้อนแท้
"ไปคร๊าบ ให้พ่อรอหน่อยนะครับ" ฉันรีบบอกแล้วก็ต้องลืมหายใจ
ทำภาระกิจให้เสร็จ ก็เด๊วเฮียแกไม่รอ ยิ่งใจร้อนอยู่ขานั้นหน่ะ
ระหว่างเดินทางไปในรถ ฉันกะใช้ลูกอ้อน แต่ก็ไม่ได้ผล เหอ ๆ
"พี่โยไปซื้อตั๋วให้หน่อยสิ" ฉันบอกพี่ชายแต่หน้าก็ไม่ได้มองอ๊ะนะ
"ขึ้นรถไหน? รังสิตเบาะ" สัญญาณเฮียแกตอบรับ
"ไม่ เอาที่หมอชิตดีกว่า" กะไปลันลันล่าต่อคริๆ
"แกจะย้อนกลับมาอีกเหรอ? " เสียงพี่แกท้วงกลับ
"อืม...ขี้เกียจรอบรรยายกาศไม่ค่อยปลื้ม" ฉันบอกไปด้วยความสัตย์จริง
"ไม่โว่ย....ไปซื้อเองวันนี้แร่ะไปซื้อเอาเองเลย" เสียงพี่แกเหมือนรำคาญจัดซะ
"ก็ได้ ๆ "หน้าหงำ ลงจากรถได้ปิดประตูซะเจ้าของรถอยากจะฝากรอยเท้าตาม
หันซ้ายหันขวา...
ขึ้นรถไหน?ว่ะ เนี๊ย เป็นบ้านนอกเข้ากรุงซะเต็มภาคภูมิครับทั้น...
มองซ้ายที ขวาที รถเมล์ (ไม่ใช่คนึงนิจเน้อ) มาพอดีสายอะไรจำไม่ได้แร่ะ
รีบขึ้นเลย ไม่ได้มองอะไรเลย ด้วยความเซ่อของชี...(ไม่ใช่มะกรูดเน้อ) คริ ๆ
รถเมล์ไปสุดสายที่อู่มันเลย เขาบอกพี่หมดระยะแล้วค่ะ รถจะเข้าอู่แล้วค่ะ
อ้าว...หน้าซีดแล้วสิ...
ทีนี่จะทำไงดี...เลยขึ้นคันใหม่ นั่งๆ ไป
ตาก็เหลือกไปมองเห็นรถไฟฟ้าที่กำลังวิ่งอยู่
แหงนมองซะลายตาเชียว....แถมเมื่อยคออีกต่างหาก
ทำให้เกิดไอเดียบรรเจิดพี่น้อง...
เรายังไม่เคยขึ้นรถไฟฟ้านี่หว่า...คราวนี้ลองดูดีกว่า...
กลับไปจะได้ไปเล่าให้ใครเขาฟังได้...
ว่าแล้วก็เจอสถานีพอดี เข้าใจว่าตอนนั้นมันใกล้จุดหมายตัวเองแล้ว...
จำได้ว่าวันนั้นขึ้นที่สถานีสนามกีฬามั่งถ้าจำไม่ผิดนะ...
ก็เดินดุยดุ๋ย ขึ้นบันไดไปมองซ้ายมองขวา ทำไงดีว่ะ ทำก็ไม่เป็น
วันนั้นเห็นน้องคนหนึ่งหล่อนสวยมาก ทำให้เราคนอัธยาศัยดีอยากทักทาย
"เอ่อ...น้องค่ะ น้องค่ะ" สายตาหันมามองหัวจรด TEEN
"ว่าไง? " สายตานี้จำได้ไม่ลืมเลยที่มองอิฉันด้วยความเอ็ดดูมาก ๆ
(ขออนุญาตแดกดันเล็กน้อย)
"คือว่าพี่ไม่เคยขึ้นน่ะค่ะ พี่ต้องทำยังไงบ้างคะ" ฉันถามไปแบบซื่อไร้เดียงสาซะ
"พี่ก็หยอดเหรียญตรงนี้นะ ก่อนหยอดเหรียญพี่ก็เลือกปลายทาง กดหมายเลข
พี่จะไปไหน พี่ก็ดูจะมีหมายเลขบอก อย่างตรงนี้นะ"
หล่อนก็เอามือทาเล็บสีแดงแจ๊ดซะจิ้มว่าจุดนี้
ฉันมองตามด้วยความสนใจใคร่รู้...
"แล้วพี่ก็เลือก เดี๋ยวพี่ดูนะพอดีจะไปสาทรนะ ก็กดตรงนี้
แล้วก็หยอดเหรียญ แล้วก็นี่ จะมีบัตรออกมา
แล้วเราก็ไปสอดใส่ตรงช่องทางเข้า
แค่นี้ทำได้มั้ย? " หล่อนมองมาฉันพยักหน้า และก็ค่ะ ๆในลำคอ...หงอเลย
แล้วฉันก็กล่าวคำขอบคุณ แม่ยอดหญิงของฉัน...เหอ ๆ
จากนั้นฉันก็ทำตามทุกขั้นตอนที่น้องเขาบอก... สำเร็จ ได้ขึ้นไฟฟ้าแล้ว
ด้วยความทุลักทุเล สิ่งใหม่และแปลกสำหรับฉันเชียวล่ะ
แต่ว่าไม่ค่อยปลื้มเลยพี่น้อง
พอเข้าไปในตู้รถไฟฟ้าแค่นั้นแร่ะ
มันทำให้ฉันรู้สึกว่ารถไฟฟ้าไม่เหมาะสำหรับการเดินทาง
สำหรับฉัน ของฉันมันต้องรถเมล์ฟรีของประชาชนเท่านั้น....เฮ้อ...
พอเข้าไปในตู้รถไฟฟ้าแค่นั้นแร่ะ
ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสัตว์ประหลาดอะไรประมาณนั้น
มีสายตาหลายคู่จ้องมาที่ฉัน ก็พยายามหลอกตัวเองว่าเขาคง
มองความสวยของฉันแน่ ๆ เลย อย่าเขิลนะมะกรูด
วันนั้นฉันก็แต่งสวยแบบเต็มยศซะ รองเท้าแตะแบบคีบนะคร๊าบ
"ขุนเดช" ไม่รู้มีใครรู้จักป่าว
กางเกงขาสั้น เสื้อก็บ้านๆ เหอ ๆ ผมวันนั้นไม่ได้หวี จับม้วนไปข้างหลัง
มีเด็กญี่ปุ่นมากับแม่สองคนวัยรุ่นแล้วแระ มองหน้าฉันแล้วก็อธิบายให้กันฟัง
แล้วหัวเราะชอบใจ ไม่รู้คิดมากป่าว มันนินทาตรูต่อหน้า เหอ ๆ อโหสิ....
พอถึงสถานีจุดหมายที่ฉันต้องออกจากตู้แล้ว...
ทุกอย่างสำเร็จเรียบร้อย ราบรื่น ออกจากสถานีได้...
แต่ว่า เหอ ๆ ไม่รู้เข่าอ่อนหรือไปก้าวขาไงไม่รู้ ไปล้มตกบันไดซะได้....
กลิ้งลงมาเจ็บชะมัดเลย... ระบมไม่หาย...
"ลาว ยังไงก็ยังลาวได้อีก" เหอ ๆ ลาวแมงกุ๊ดจี่.....
หน้าลาวไง ก็ลองเทียบหน้าอา กะหน้าหลานนะ
เป๊ะ เด๊ะ เด๊ะ
.
4 มิถุนายน 2552 21:52 น.
แมงกุ๊ดจี่
โดยปกติเป็นคนที่เชื่อเรื่องบาปบุญมาแต่ไหน
ชอบนั่งสมาธิ มาห่าง-ห่างเมื่อมีปัจจัยภายนอกทำให้กิจวัตรเปลี่ยนไป...
เมื่ออดีต...ในวัยเด็ก
ด้วยความที่ไม่รู้ประสีประสา ทำให้ก่อกรรมไว้ และไม่เคยลืม
มาวันนี้ยิ่งชัดเจน
อาการปวดหลังตั้งแต่เอวลงมาหน่วงถึงขามาน่องแล้วชาถึงปลายเท้า
ทำให้ภาพหมาที่เคยเลี้ยงไว้ชัดเจนในจิตสำนึก...
ถึงเวลาชดใช้แล้วสินะ....
พฤติกรรมการทำงานก็ต้องเปลี่ยนเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่แม้แต่ตัวเอง
ก็สุดแสนจะเหลือเชื่อ...
เพราะมันเป็นกิจวัตร เดินทางไกล ไป-กลับ ระหว่าง กรุงเทพฯ-สกลนคร
นั่งรถไกลเป็นปกติแต่ไม่มีอาการ ครั้งหลังสุดเดินทางกลับจากกรุงเทพฯ
มันเกิดอาการผิดปกติ... อยู่ดี ๆ ขาก็ไม่มีแรง ชาไร้ความรู้สึก....
วันแรกไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นพยายามเดิน เดิน แต่ประสาทกลับสั่งไม่ได้
จะหันไปทางขวาก็ไม่ได้เหมือนสมองสั่ง แต่ประสาทไม่ทำตาม...
ต้องยอมรับเมื่อล้มลงไม่เป็นท่า ข้อเท้าแพลงบวมเขียวขึ้นมา แต่ทว่า...
กลับไม่รู้สึกเจ็บ ไม่ปวด ไม่รู้สึกอะไรเลย...
วันแรกนอนร้องไห้อย่างเดียว
ทั้งเคลียด ทั้งกลัวจะเดินไม่ได้ คิดไปต่าง ๆ นานา
ไปพบหมอ หมอก็วินิจฉัยอาการ...
ว่าเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
ญาติพี่น้องก็ให้ไป ทำ MRI จะได้รู้ว่ามันเป็นที่กระดูกข้อไหน?
เพราะกลัวจะเดินไม่ได้ กลัวว่าอาการมันยิ่งไปกันใหญ่
เดินไม่ได้อยู่สามวัน ต้องนอนอย่างเดียว...
แต่ว่านอนอยู่กลับทำให้คิดถึงหมาตัวหนึ่ง...ที่เคยเลี้ยงไว้
ทุกครั้งที่หลับตา ต้องสวดมนต์ และแผ่เมตตา ให้เจ้ากรรม...
เหมือนอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มกระดุกกระดิกเท้าได้ บวกกับ...
กินยาหมอ พอมาวันที่เจ็ด ขยับข้อเท้าได้ งุ้มงอ นิ้วเท้าได้
แต่ยังชาไร้ความรู้สึกอยู่ กำลังใจเริ่มมาแล้ว...
วันนี้ก็รวมเป็น วันที่เก้าแล้ว เดินไปทำงานได้
แต่ต้องเดินอย่างระวัง ลากขาไปเหมือนคนขาเป๋ ประมาณนั้น
ต้องเปลี่ยนนิสัย นั่งทำงานนานไม่ได้ เพราะจะทำให้ปวดหลัง ชาเท้าถึงน่อง
ต้องเปลี่ยนอริยบท ทุกชั่วโมง ท่านั่งก็ต้องระวัง
เมื่อก่อนจะเล่นเน็ตโดยใช้โต๊ะญี่ปุ่น ท่านั่งก็หลังงอ ก็ต้องเปลี่ยนมานั่งโต๊ะสูง
และนั่งไม่ยอมลุกก็ต้องเปลี่ยน ลุกเดินเปลี่ยนท่าบ่อย ๆ
หลังก็บล็อคไว้ เพื่อไม่ให้กระดูกเคลื่อน... (ทรมานโครตเลย)
เหตุที่คิดว่าเป็นกรรมเพราะ...
ตอนเด็กเคยไปตีหมาที่เลี้ยงไว้ กะว่าจะยกไม้ให้มันกลัว แล้วก็ตีขู่เท่านั้น
แต่เป็นไงไม่รู้ ลงกลางหลังหมาเลย มันชื่อ "ดุ๊ดดี้" หมาของน้องขอญาติมาเลี้ยง
ตอนนั้นไม่คิดอะไร ตีมันแล้ว มันก็นอนซมอยู่สามวัน เดินไม่ได้ พอมันเดินได้
มันก็เส้นกระตุก เดินไปเส้นตรงสันหลังก็กระตุกขาซ้ายก็กระตุกตาม...
ตอนนี้คงใช้กรรม..
จิตสำนึกคิดถึงหมาตัวนั้นเลย ตอนที่เดินไม่ได้...
ยิ่งมั่นใจเมื่อ อาจารย์ที่รู้จักเขามาทักว่าเจ้ากรรมเขากำลังเอาคืนนะ
ต้องรีบแก้กรรม ทำให้คิดถึงหมาดุ๊ดดี้จับใจ....
ฉันขออโหสิกรรมแก่..."เจ้ากรรมนายเวร" สาธุ
ฉันจะหมั่นทำบุญสุนทานอุทิศส่วนกุศลอยู่เสมอ ๆ