15 สิงหาคม 2551 12:58 น.
แมงกุ๊ดจี่
(ขอยืมหน่อยหนา รูปใครมะรุ)
โหล...
โหล ๆ 1 2 3.......... อิอิ
โหลๆ โหลเทค...
อะแฮ่ม ๆ
เอ่อ.... คือว่า อยากป่วน เหอ ๆ (ใครถามเมิง) จุ๊ ๆ
คุณผู้อ่านแอบถามในใจแง๋ม ๆ เอิ๊ก ๆ
โหล ๆ โหลเทค
เทคหนึ่ง............
เทคสอง....
เทคแคร์นะค่ะ อิอิ...
วันนี้....
นังลาว (ลาวแมงกุ๊ดจี่) ฮี่ ๆ "บอกไว้ก่อนเด๊ว จะงงกัน
ขอไร้สาระ(แน) วันนึงนะค่ะ อิอิ "บอกไว้ก่อนอีกแร่ะ"
มีเสียงเพลงเป็นเพื่อน
ปล่อยอารมณ์ไปจนได้เรื่องอะดิ
คิดถึงคุณแม่ ของนังลาวขึ้นมาเฉย......
"อิแม่เอ้ย ไปแรดดดดดดด ก่อนเด้อ"
จะตามด้วยเสียงด่า(ม่ายซ่าย ๆ เสียงเตือน)
"บ่จักอยู่เฮือน อยู่ชาน" เจ้แกบ่น อิอิ
โอ้ยคิดถึงคุณแม่คร่าาาา....
ว่าจะเขียนถึงคุณแม่ขา.. ว่าน่ารักแค่ไหน?
แต่เขียนมะค่อยได้บ่อน้ำตาตื้นแตกกระจาย โฮ๊ะ ๆๆๆ คนอ่อนแอ
ก็เลยมารำลึก...
คิดถึง คุณแม่ขราาาาาา ของนังลาว...
หนูรักแม่ค่ะ....
About Me :
๏ ผ่านปัญหาชีวิตมา ตรูรู้สึกว่า ตรูจะบร้าหนักกว่าเดิมอิก
๏ ตรูก็ยังเป็นนังลาว หนักกว่าสาวลาดพร้าวอีก...
๏ ภมูใจในความเป็นไทย และภาคภูมิในความเป็น "นังลาว"
ไปแร่ะ น๊า
ขอบคุณที่แวะมาทักทาย "นังลาว"
อยากไร้สาระ(แน) ดูบ้างสักวันเติมสีสันให้ชีวิต...
1 สิงหาคม 2551 15:25 น.
แมงกุ๊ดจี่
..............................................
ศจี...กับฉันเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น...
เราสนิทกันมาก เราเรียนด้วยกันจนจบอนุปริญญา
แต่ต้องมาแยกกันไปต่อระดับปริญญาตรีในมหา'ลัยคนละที่
เราติดต่อกันเสมอ ๆ แม้จะเรียนอยู่ต่างสถาบัน...
เมื่อเรียนจบปริญญา เราต่างไปร่วมงานรับปริญญาของกันและกัน
คนเราต่างต้องใช้ชีวิตตามทางของตน เดินในครรลองของแต่ละคน...
ศจีสอบบรรจุเป็นข้าราชการได้ ส่วนฉันทำงานบริษัทที่มั่นคง
เมื่อแยกย้ายกันไป อยู่คนละที่ทำให้เราขาดการติดต่อกัน
นับเวลาได้จนถึงวันนี้รวมแล้ว 12 ปีไม่ขาดไม่เกิน ครบพอดี...
ศจี เป็นเพื่อนที่ดี
กิริยาเรียบร้อย ไม่กระโหลกกระลาอย่างบางคน
เรียนดี มีมุมมองชีวิตที่สดใส มองโลกในแง่ดีเสมอ ๆ
ทำให้ใคร ๆ ต่างชื่นชอบศจี...
ศจี เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปอบรมจึงทำให้ได้พบกับ อรรณพ
ผู้ชายที่อยู่ในสายอาชีพเดียวกับเธอ แต่อยู่กันคนละจังหวัด ระยะเวลา
การอบรมเพียงแค่ 3 วันทำให้ศจี รู้สึกถูกชะตากับ อรรณพ และ
อรรณพเองก็เหมือนมีความรู้สึกเช่นเดียวกัน...
เมื่อถึงวันสุดท้าย...
ของการเข้ารับการอบรมในรุ่น... ทั้งคู่ได้แลกเปลี่ยนแนวคิด
ได้พูดคุยทำความรู้จักกัน ยิ่งทำให้ศจี รู้สึกเหมือนรู้จักอรรณพมานาน
ยิ่งพูดคุยอรรณพเองก็ถูกใจศจี จึงได้ขอแลกเบอร์โทรศัพท์กันและกัน
ความสัมพันธ์ของศจีกับอรรณพดำเนินมาเรื่อย...นานนับปี
ศจีเองเริ่มมั่นใจว่าเป็นคนที่ใช่สำหรับศจี หมายมั่นว่าอรรณพจะเป็นคู่ชีวิต
อรรณพรับราชการอยู่คนละจังหวัดกับศจี จึงเทียวไปมาหาเสมอ ๆ
จนเมื่อปีใหม่ได้มีโอกาสได้พบกับครอบครัวของศจี ทุกคนต่างยอมรับ
และรู้ว่าอรรณพคือชายหนุ่มที่ศจีหมายปอง พ่อ-แม่และญาติๆ ต่างเห็นดีด้วย
เพราะอรรณพเองก็มีหน้าที่การงานที่มั่นคง ทำให้ทั้งคู่ดูเหมาะสมกัน
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เปลี่ยนแปรไปมีความลึกซึ้งมากขึ้น...
ในวันที่อรรณพมาอย่างเช่นเคย แต่วันนี้อรรณพ เมาเหล้า...
ทุกอย่างอยู่เหนือ การควบคุมของศจี ทำให้ศจีตกเป็นของอรรณพ
ทั้งร่างกายและหัวใจ แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เต็มใจ แต่ศจีก็ยอมรับ
ว่าทุกอย่างกลับหลังไม่ได้แล้ว....
ศจีพูดกับอรรณพ เรื่องมาสู่ขอและจัดพิธีการให้ถูกต้องตามประเพณี
อรรณพเองก็รับปากกับศจี เขาขอเวลาเป็นปีหน้าโดยอ้างว่าขอทำเรื่อง
ย้ายมาอยู่จังหวัดเดียวกันกับศจีเสียก่อน จึงจะจัดการพิธีแต่งงงาน
ศจีรอเวลาและเชื่อในสิ่งที่อรรณพบอก เขาเองก็ยังไปมาสม่ำเสมอ...
ไม่มีสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปรไป เพราะศจีเองก็ไม่เคยเซ้าซี้ถาม
ในเรื่องที่เขารับปาก เพราะถือเป็นสัญญา ของคนรักยอมรับและรอคอยมัน
จนเมื่อศจี เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเข้ารับอบรมของหน่วยงาน
ทำให้ศจีได้พบกัน "จามร" จามรเป็นเพื่อนร่วมชั้นของศจีตั้งแต่มัธยมต้น
แต่เขาต้องย้ายตามพ่อที่รับราชการ ไปในช่วงที่เรียนจบมัธยมตอนต้นพอดี
จามรเองก็รับราชการเช่นเดียวกับศจี ต่างคนต่างดีใจเมื่อได้พบเพื่อนเก่า
จึงได้พูดคุยถามถึงความเป็นมาเป็นไปของกันและกัน จามรมีครอบครัวแล้ว
ศจีเองก็บอกว่าเธอกำลังจะแต่งงานกับคนรักเช่นกันปีหน้า....
จามร เดินทางมางานศพญาติ เขาจึงแวะมาหาศจีที่บ้านพัก
และพูดแซวศจีว่าแจกการ์ดแล้วอย่าลืมเชิญเขาด้วย พร้อมกับ
ถามถึงว่าที่เจ้าบ่าว ศจีบอกจามรว่าอรรณพจะมาเย็นวันศุกร์นี้
จามรคงกลับพอดี ไว้วันแต่งจามรค่อยรู้จักก็แล้วกัน ศจีกล่าวกับจามร
และเล่าต่อว่าอรรณพก็อยู่จังหวัดเดียวกันกับจามร แต่คงทำงานคนละที่
อรรณพสวนทางกับจามรพอดี แต่จามรมองอรรณพไม่ถนัด
อรรณพเองก็ไม่ได้สนใจว่าใครมาและไม่ได้เอ่ยถามศจีถึงจามร
ศจีจึงเป็นฝ่ายถามอรรณพ ว่าทำไม? วันนี้มาถึงเร็วกว่าที่เคย
อรรณพตอบกลับมาว่า เขาไปงานศพของอาเพื่อน ที่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน
ศจีก็ไม่ได้เอะใจอะไรกับการเล่าเรื่องของอรรณพ...
บ่ายวันอาทิตย์ จามร มาหาศจีก่อนที่เขาจะกลับ
เมื่องานศพญาติเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำให้จามร ได้พบกับอรรณพ
อรรณพและจามร ต่างตกตะลึงเมื่อพบหน้ากัน ต่างคนไม่พูดอะไร
ศจีแนะนำอรรณพให้รู้จักกับจามร ศจีปล่อยให้ทั้งสองได้ทำความรุ้จักกัน
แล้วเดินไปหาน้ำมาต้อนรับผู้มาเยือน โดยลืมสังเกตปฏิกิริยาของคนทั้งคู่...
จามรบอกกับศจีว่าบ่ายนี้เขาจะกลับแล้วพร้อมครอบครัวเขา
ศจีเอ่ยกับอรรณพว่าทำไมไม่กลับพร้อมจามร จามรก็กลับจังหวัดเดียวกัน
กับอรรณพ อรรณพไม่ทันตอบ จามรก็เอ่ยชวนให้อรรณพกับพร้อมตน
อรรณพพยักหน้ารับ...
จามรและอรรณพ ออกจากบ้านพักของศจี
ทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันระหว่างทางที่กลับไปรับภรรยาของจามร
จามรรู้สึกจุกแน่นในอก "บัดซบ" เป็นคำเดียวที่เขาสบถออกมา
หลังจากที่ขับรถออกมา ส่วนอรรณพ ไม่พูดอะไรเขานั่งเงียบมาในรถ
โดยไม่ยอมสบตาจามร....
ยิ่งทำให้จามร รู้สึกสมเพชเวทนาเพื่อนเก่า
ที่แม้แต่ตนเองก็ยังเคยชื่นชอบ ศจี คือเพื่อนที่ดีน่ารัก เรียบร้อย
สาวรุ่นที่เขาเคยรู้จัก ไม่น่าจะต้องมาตกที่นั่งแบบนี้
ไม่น่ามารับกรรมแบบนี้ ที่ทารุณจิตใจอย่างนี้ "ศจี" เขาเอ่ยอย่างเบาแผ่ว
เขาหันมามองคนที่นั่งข้าง ๆ
ขณะขับรถแล้วเอ่ยขึ้น "พี่ไม่พูดอะไรบ้างเหรอ?"
จามรไม่ได้คำตอบ เขาได้รับรู้เพียงแว๊ปเดียวที่หันมองคนตรงข้าง
คืออาการส่ายหน้าของอรรณพ
อรรณพเป็นพี่เขยของจามร
อรรณพแต่งงานกับพี่สาวของจามร และมีลูกสาววัย 2 ขวบ
และจามรก็ทำงานในที่ทำงานเดียวกันกับอรรณพ
"ศจีรู้เรื่องพี่แค่ไหน?" จามรหันกลับไปถามอรรณพ
ไม่มีคำตอบจากอรรณพ "นี่พี่หลอกเขามาตลอดเลยเหรอ?"
จามรถามต่อ เขาพูดคนเดียวโวยวายคนเดียวในรถอย่างบ้าคลั่ง...
ผ่านไป 2 สัปดาห์ หลังจากที่จามรกลับไป
ศจีได้รับโทรศัพท์จากจามร ศจีรับโทรศัพท์ด้วยความแปลกใจ
ว่าจามรนึกอย่างไรจึงโทร.หาเธอ ศจีรับโทรศัพท์ทั้งที่ยังสงสัย...
จามรโทร.มาแจ้งข่าวดี ภรรยาของเขาคลอดลูกชายที่น่ารัก...
เขาจึงอยากชวนศจีมาเที่ยวบ้าน และมาร่วมฉลองเรื่องน่ายินดีนี้
บ้านของเขาเป็นสวนผลไม้ น่าเที่ยวมาก นั่นเป็นคำเชิญชวนของจามร
ศจีบอกจามรไปว่าเธอขอรออรรณพมาก่อนได้มั้ย?
ตอนนี้เขาไปอบรมที่กรุงเทพฯ อยากไปในช่วงที่เขาอยู่จะได้เจอเขาด้วย
แต่จามรกลับเซ้าซี้ศจี ไม่ต้องรอมาคนเดียวก็ได้
จะได้ตรงกับวันที่จัดงานให้กับลูกชายของเขา ศจีรับปากจามรว่าไป
จามรไปรับศจี ที่บขส.
ศจีตื่นเต้นที่จะได้เห็นลูกชายตัวน้อยของจามร
และรู้จักกับภรรยาของจามร เป็นครั้งแรกที่ศจีมีโอกาสได้มาเที่ยว
ทั้งที่อรรณพก็ทำงานรับราชการอยู่ที่นี่....
ศจีหน้าตาสดใสชวนจามรคุยตลอดทาง เมื่อรถเลี้ยวเข้าจอดหน้าบ้าน
ของพี่สาวจามร "ไม่เห็นเป็นสวนอย่างที่บอกเลย" ศจีเอ่ยถามจามร
พร้อมกับเหลียวมองไปรอบ ๆ
จามรมองหน้าศจีแล้วบอกมาแวะบ้านพี่สาวเขาก่อน และคุยต่อไป
ว่าศจีจำพี่รินได้มั้ย? ศจีรู้สึกเลือนลางเหมือนคล้าย ๆ เคยรู้จัก
จามรชวนศจีเขาไปในบ้าน ศจีว่าง่ายตามจามรเข้าไปแล้วปล่อยให้ศจี
นั่งรออยู่ในห้องรับแขกคนเดียว....
ระหว่างที่รอจามร ศจีมองไปรอบๆ ห้องจนไปรูป
อยู่ในกรอบบาใหญ่ เป็นรูปแต่งงานเจ้าสาวสวย เจ้าบ่าวหน้าตา
ที่คุ้นเคย และชัดเจน ศจีสงสัยว่าหน้าเหมือนกันจังจนเมื่อได้อ่านตัวหนังสือ
"รสริน & อรรณพ" เหมือนโลกทั้งใบแตกดับ และหยุดหมุน...
เสียงจามรดังมาจากข้างหลัง
พี่ณพ ไม่อยู่หรอก พี่รินก็ไม่อยู่ เขาพาลูกไปเที่ยวทะเล
จามรพูดต่อ เราขอโทษจีนะ ที่ทำแบบนี้ เราสงสารพี่รินและน้องกิ๊ฟ
ไม่มีเสียงตอบจากคนตรงหน้าของจามร มีแต่ความเงียบ...
"ไปส่งเราที" เป็นประโยคแรกที่ศจีพูดกันจามร
จามรขันอาสาขับรถมาส่งถึงบ้านพัก ระหว่างทางที่ขับรถมีแต่ความเงียบ
ศจีไม่พูด ไม่ช่างคุยเหมือนตอนที่มา มีแต่เหม่อลอยตอนการเดินทาง
จามรเองก็อึดอัด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ปล่อยให้เหตุการณ์เป็นไปอย่างนั้น
รถจอดหน้าบ้านพักของศจี จามรเดินลงไปเปิดประตูให้
ศจีมองหน้าจามร "ขอบคุณนะ" แล้วก็เดินเข้าบ้านไปโดยไม่หันหลังมา...
จามรหันหลังจากศจี เขาทำร้ายศจี จากการปกป้องพี่สาวและหลาน
แต่มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เขาทำถูกแล้ว นั่นคือสิ่งที่เขาบอกกับตัวเอง
ก่อนบิดกุญแจรถสตาร์ทรถ แล้วขับออกไป ทิ้งศจีไว้กับความเจ็บปวด...
ศจีจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร ?
ถ้าเรื่องราวของศจี เกิดกับคุณ คุณจะทำอย่างไร?
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +
เปิดประตูสู่ห้องแห่งความลับ....
ผู้ชายมีความเห็นแก่ตัวทุกคน ขึ้นอยู่ว่าจะมากจะน้อยแตกต่างกันไป
เขาจะสำนึกบ้างไหม? ว่าทำลายชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งไปแล้ว และ
ไม่มีทางนำกลับคืนมาได้อย่างเดิมอีกต่อไป....
สังคมปัจจุบัน
เรื่องเหล่านี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
จิตใจคนไร้ซึ่ง คุณธรรม จริยธรรม ไม่มีคำว่าผิดชอบชั่วดีอีกแล้ว...
ฉันไม่อยากคาดหวัง
หรือวาดหวังอะไรต่อไปแล้วในชีวิตนี้
คงจะต้องใช้ชีวิตอย่างนี้ต่อไป "โสดอย่างอิสระ" เพราะอะไรหรือ?
เป็นตัวการในการตัดสินใจ ก็ข้อมูลที่รับมาประมวลผล มันสลดใจจริง
ฉันกลัว กลัวการพลาดพลั้ง
เพราะหัวใจฉันไม่ได้หนักแน่นมากพอที่จะประคองได้
หากเกิดเรื่องราวเลวร้ายขึ้นกับตัวเอง ฉันจึงเลือกที่จะไม่พบกับมัน...