12 ตุลาคม 2548 12:25 น.
แมงกุ๊ดจี่
*อ้อ อ้อ ไอ้อ้อ...* เสียงเพื่อนสาวเรียกมาจากด้านหลัง
*อารายยยย * ฉันตื่นจากพะวง ในสายฝน
*แกเป็นอะไรของแก* เสียงเพื่อนสาวถามมา
*เปล่า คิดอะไรเพลินไปหน่อย* ฉันตอบกลับด้วยอาการเอ๋อหน่อยๆ
อ้าว...ฉันเป็นอ้อไปแล้วเหรอ? ฉันสะบัดหัว แรงสุดเท่าที่จะแรงได้
เพื่อจะได้ไม่เป็นอ้อ ตัวละครเรื่องสั้นที่ฉันกำลังคิดพลอตเรื่องอยู่...
ฉันหันหน้ากลับมาที่หน้าจอคอมพ์แล้วฉันก็หยุดการเดินเรื่อง เรื่องสั้นไว้แค่นั้นก่อน
วันศุกร์แล้วสินะ
เอ...สัปดาห์นี้เสาร์-อาทิตย์ เราว่างนี่หว่า....ฉันคุยกับตัวเองไปเรื่อย
คงต้องพักซะบ้างแล้วล่ะ ฉันคิดไปเรื่อย วางแผนหากิจกรรมทำในวันหยุด
สายตาก็มองไปเห็น น้องน้ำตาลเด็กผู้หญิงวัย 5 ขวบ
กำลังคุยกับคุณพ่อเป็นภาพที่น่ารัก...
ทำให้ฉันคิดถึง ผู้ชายคนหนึ่ง ที่ฉันรู้จักเขาดี คนนั้น
วันหยุดสัปดาห์นี้ฉันว่างเว้น จากการทำงาน กับการต้องวุ่นวาย
และความรับชอบกับชีวิตของตัวเอง...
แบกไว้ก็หนักซะเหลือเกินฉันจึงตัดสินใจวางทุกอย่างไว้
แล้วพาตัวกับหัวใจ กลับบ้าน (บ้านนอก นอกจริง ๆ อยู่นอกเมืองประมาณ 20 กว่า ๆ กิโล)
นานหลายเดือนแล้วที่ไม่ได้กลับไปเลย
ตั้งแต่แม่จากไป พ่อก็อยู่คนเดียว แต่ฉันคิดว่าเขาคงไม่เหงา
เพราะแม่จากไปไม่นานพ่อก็มีคนใหม่ นี่ละมั่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันห่างพ่อไป
ฉันไม่ว่าอะไรท่านหรอก ขอเพียงปั้นปลายชีวิตท่านมีเพื่อนเคียงข้าง
เพราะท่านอยู่คนเดียวคงไม่ได้ คงจะเหงา
ก็ในเมื่อฉันเอง ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนท่านเลย
ฉันไม่สนิทกับพ่อเท่าไหร่หรอก ก็จะสนิทกับแม่มากกว่า
พอแม่จากไป ฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองเคว้งคว้าง อยู่พักหนึ่ง
เวลาผ่านไปก็ทำใจได้ และยอมรับว่าตัวเองต้องโตเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว
วันนี้ ฉันกลับมาบ้านเงียบจัง พ่อคงไปบ้านโน้น
ฉันเก็บของเอาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าเก็บเข้าตู้ ทำความสะอาดบ้านไปเรื่อยๆ
สักพักได้ยินเสียงรถเครื่องพ่อมา
ดูพ่อคงแปลกใจ ที่เห็นลูกสาวกลับบ้าน เพราะนานหลายเดือนแล้วที่ไม่เจอกัน
*มานานแร้วติ* พ่อเอ่ยถามฉัน
*ตั้งแต่สาย ๆ แร้วล่ะ* ฉันเอยแบบเรียบตามสำเนียงของเผ่าย้อ
*กินเข่ามาละติ* เอ่ยถามอีกครั้ง
*กินมาแร้ว*ฉันตอบกลับ
ฉันพูดจบพ่อก็เดินไปคอกวัน เอาหญัาให้วัน แล้วนั่งดูวัวในคอก
สายตาฉันพ่ออย่างไม่ว่างตา ดูท่านแก่ไปมากแล้ว
พอละสายตาจากจุดที่พ่อนั่งฉันก็เดินขึ้นบ้าน ง้วนอยู่กับผ้าห่ม
นานมากที่ไม่มาฝุ่นเต็มไปหมดเลย...
เช้าตรู่ของอาทิตย์ฉันตามพ่อออกไปทุ่งนา ผืนกว้างงง
ตลอดทางไปทุ่งนา มีน้ำค้างลงเต็มไปหมดเลย พระอาทิตย์ไม่ขึ้นเลย
อากาศก็ออกจะเย็น ๆ พอสาย ๆ พระอาทิตย์ขึ้นเป็นแสงที่ทอง ๆ
ได้สักพัก ก็มีหมอกมาจากไหนไม่รู้ มองไปรอบ ๆ มีแต่หมอกที่ขาว
ว้าว...เหมือนอยู่บนสวรรค์เลย ฉันพูดกับตัวเอง จริง ๆ ฉันไม่เคยไปหรอกสวรรค์
แต่ฉันรู้สึกว่ามัน เวิ้งว้าง สบาย ๆ อย่างไง อธิบายไม่ถูก
บรรยากาศแบบนี้ที่ฉันไม่ได้สัมผัสมานาน นานมากจริง ๆ
ครั้งสุดท้ายคงเป็นตอนจบชั้นป.6
ฝนโปร่ย ลมพัดฝนเรียงเป็นเส้นสวย...
ฉันนั่งมองสายฝนจากชานเถียงนาที่ยื่นออกมา
สายตาก็มองทุ่งกว้างสีเขียวขจี ยิ่งทำให้เห็นเส้นน้ำเรียงกันเป็นเส้นสาย
บางครั้งก็เป็นเหมือนไอน้ำฟุ้งกระจาย ทำให้รู้สึกเย็นฉ่ำหัวใจ
แล้วฉันก็ต้องไปสะดุดกับ กลุ่มเด็ก ๆ กำลังง้วนอยู่กับอะไรสักอย่าง
จ้อย ลูกชายป้านวล ป้านวลเขามีที่นาติดกับที่นาของพ่อ...
จ้อยส่งเสียงเจี้ยวจ้าว กับเพื่อนอีกสองสามคน ดูท่าเขามีความสุขมาก
ฉันแอบมองดวงตา ผ่านถึงตาดำของเด็กชายวัย 9 ขวบ
แว๊บเดียวก็รู้เลยว่าเขามีความสุข
จ้อยกับเพื่อนช่วยกันปักเบ็ดดับล่อกบให้มากินเหยื่อ
ทุกคนช่วยกันทะมัดทะแมง ฉันนั่งมองเด็ก ๆ ช่วยกันปักเบ็ดเพื่อล่อกบนา...
(ได้เยอะ ๆ แล้วนำไปขายในหมู่บ้าน ได้กิโลตั้ง 60 บาทแน่ะ)
ฉันนั่งมองเด็ก ๆ เหมือนมองเห็นภาพตัวเองเมื่อครั้งยังเด็กตัวเล็ก ๆ
*อ้ายโย อ้ายโย มาเบิ่งนิเร้ว ๆ * ฉันตะโกนบอกพี่ชายคนโตด้วยอาการตื่นเต้น
*หยางงงง มีหยัง* พี่โยรีบวิ่งมาจุดที่ฉันกำลังง้วนอยู่กับเบ็ด ในทันที
*โกบ โกบ โต๋ใหย๋แทะ* ฉันตื่นเต้นมาก ที่กบโชคร้ายตัวนั้นติดเบ็ด
*เออ ใหย๋อะหลีตั๊วนิ* พี่โยปากก็พูดไปมือก็ปลดเบ็ดออกจากปากกบ
จับกบโชคร้ายตัวนั้นหยัดใส่ข้อง แล้วเดินไปปักเบ็ดคันต่อไป....
ฉันเดินตามก้นพี่ชายคนโตต้อย ๆ
ตากฝนปร่อย ๆ ปากก็สั่นงับๆ ปากงี้เขียวเชียว แต่ก็ไม่ยอมกลับเถียงนา
พี่โยฉันไล่แล้วไล่อีก ให้กลับเพราะฝนตกลมก็พัด หนาวเหน็บสะท้านทรวงจริง ๆ
แต่ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกหนาวสักนิดเลย ก็คนมันตื่นเต้นที่จะได้เห็นกบติดเบ็ดนี่นา
มันสนุกมากจนลืมความหนาวกับสายฝนสายลมที่พัดมา...
ฉันเดินเลาะบนคันนา เดินไปเรื่อย ๆ
ละอองฝนเกือบจะกลายเป็นไอน้ำ
หรือจะคล้ายหมอง ฉันก็อธิบายไม่ถูก มีความสุขดีจัง...
*แหลม แหลม* เสียงพ่อเรียกทำฉันสะดุ้งจากห้วงความหลัง
*ปะเมือค่ำแล้ว ตะเว็นสิตกดินแล้วปะ* พ่อชวนฉันกลับแล้ว เพิ่ง 4 โมงเย็นเอง
ฉันตามก้นพ่อต้อย ๆ พ่อแกอยู่คนเดียวนาน ๆ ฉันจึงจะมาหาทั้งที่ก็ไม่ไกลกันมาก
เมื่อว่างเว้นจากงาน ว่างจากวัตถุต่าง ๆ ที่ฉันวิ่งไล่ไข้วคว้าหา
ภายในใจลึก ๆ ฉันก็อยากจะใช้วิถีชีวิตอย่างที่พ่อ และบรรพบุรุษของฉันเคยทำมา
แต่...ปัจจุบันการดำเนินชีวิตเปลี่ยนแปลงไปมาก
จนฉันไม่สามารถที่จะ ไปใช้ชีวิตอย่างวิถีของพ่อได้
แต่ก็ไม่ใช่ ไม่ได้เลย อาจผสมผสานกันยุคปัจจุบันและอดีต
เพราะจะทิ้งเสียเลยก็ไม่ได้.....