27 สิงหาคม 2547 10:15 น.
แมงกุ๊ดจี่
ครั้งแรกที่คุณต้องรู้สึกหวาดหวั่นที่จะต้องอยู่กับเขา 2ต่อ2
ในห้องที่ปิดประตูมิดชิดและไม่มีใครช่วยเหลือคุณได้
แต่คุณต้องจำใจอยู่กับเขา ก็คุณเลือกเขาแล้วนี่!!!
ในขณะที่คุณนอนหงาย เขาจะสั่งให้อ้าออกกว้างๆ
เพื่อสะดวกในการทำของเขากับคุณ
โดยคุณก็ยอมเขาทุกอย่าง ... คุณรู้สึกว่ากล้ามเนื้อเกร็งไปหมด
คุณดันเขาออกไปชั่วครู่..เพื่อขอเวลาตั้งตัว
แต่เขาปฏิเสธพร้อมกับเข้ามาหาคุณ เขาขอให้คุณอย่ากลัว
คุณสั่นหัวรับอย่างกล้าหาญ เพราะเขามีประสบการณ์มากกว่า
แต่ในครั้งที่นิ้วของเขาควานหาที่ๆเหมาะสม ...... เขาแหย่ลึกลงไป
.......................
ร่างกายของคุณเริ่มสั่นเทา ตึงไปหมด
แต่เขาก็อ่อนโยนเหมือนกับที่สัญญาไว้ว่าจะเป็น
เขามองลึกลงไปในตวงตาของคุณ และบอกให้คุณเชื่อมั่นในตัวเขา
เขาเคยทำมานาน หลายครั้งแล้ว ยิ้มของเขาทำให้คุณผ่อนคลาย
และคุณก็เปิดกว้างเพื่อให้เขาเข้าง่ายขึ้น
คุณเริ่มอ้อนวอนให้เขาทำเร็วๆ แต่เขาค่อยๆ ช้าๆ
เพื่อให้คุณรู้สึกเจ็บน้อยที่สุด
ขณะที่เขากดเข้าไปมาขึ้น ลึกขึ้น...
คุณรู้สึกว่าเนื้อเยื่อของคุณเปิดออกมา
ความเจ็บปวดแผ่ทั่ว สรรพางค์กาย และ คุณรู้สึกว่า
เลือดของคุณออกเล็กน้อยเมื่อเขาทำต่อไป
เขามองมาที่คุณแล้วถามว่า เจ็บไปรึเปล่า? ดวงตาของคุณเต็มไปด้วยน้ำตา
แต่คุณก็ส่ายหัวและพยักหน้าให้...เขาทำต่อไป...
เขาเริ่มเคลื่อนไหวเข้าออกด้วยความชำนาญ
แต่คุณก็รู้สึกชาเกินไปที่จะรู้สึกถึงเขาภายในของคุณ
........อีกไม่นาน......คุณรู้สึกว่ามีบางอย่างหลุดออกมาจากภายในของคุณ
คุณนอนสั่นระริกดีใจที่มันสิ้นสุดลง เขามองที่คุณและยิ้มอย่างอบอุ่น
________________(พักสายตา)___________________
คุณยิ้มและขอบคุณหมอฟัน!!!
นั่นคือครั้งแรกที่โดน.(ถอน)..ฟัน ........
อิอิ
(คิดไปเองน๊า อิอิ)
27 สิงหาคม 2547 08:39 น.
แมงกุ๊ดจี่
ทางเดินเข้าสวน แคบและรกนัก
แต่ฉันก็ยังดันทุรังที่จะเดินไปไห้ถึง บ้านกลางสวน พลางเดินชมธรรมชาติ
พร้อมเก็บผลไม้ชิมมาเรื่อย ที่ยั่วยุให้น้ำลายสออยู่ริมทางเดิน
กว่าจะถึงบ้านป้าน้อม คงจะอิ่มจนมิต้องกินข้าวเย็น
เดินมาเกือบจะชั่วโมงแร่ะ มองไปก็เห็นหลังคาบ้านไม้กลางสวน
ซึ่งเป็นบ้านไม้ทรงไทยในแบบโบราณ ที่ป้าน้อมยังคงดูแลรักษาไว้ให้คงเดิม
ฉันยืนมองบ้านหลังนี้ซึ่งเคยมาเมื่อครั้งยังเด็กๆ
นานมากแล้วที่ไม่ได้มาจนจะลืมแล้วเชียว
......ป้าน้อม กับ ลุงชม อยู่กันสองตายาย
เมื่อฉันถามถึงพี่ๆ ที่เป็นญาติ กลับทำให้ป้าน้อมกับลุงชมหน้าเศร้า
จนทำให้ฉันต้องเปลี่ยนเรื่องคุย ก่อนที่สองตายาย จะเศร้าไปกว่านี้
ป้าน้อมมีลูกสองคน ผู้ชายทั้ง 2 คน ส่งให้ไปร่ำเรียนในเมืองกรุง
เมื่อเรียนจบแล้วก็ทำงานการที่มั่นคงอยู่ในเมืองกรุงโน้น
ก็นานๆ ครั้งจึงจะกลับมาบ้านกลางสวน
.....เห็นป้าน้อมกับลุงชมหน้าเศร้าๆ
ฉันส่งยิ้มสดใสบางๆ พลางบอกไปว่า "ป้าเดี๋ยวฉันจะมาพักอยู่ที่นี่ สักเดือนนะ"
พอพูดจบป้าน้อมและลุงชม ค่อยมีสีหน้าแห่งความสุขขึ้นมาบางๆ
ปนกับความยินดี ที่ฉันจะมาอยู่ที่นี่....
ก็ไม่รู้เหมือนกันทำไม?จึงตัดสินใจบอกไปอย่างนั้น
ทั้งที่จริงฉันตั้งใจมาเยี่ยมป้าน้อม แค่วันสองวันเท่านั้นเอง
หลังจากถามสารทุกข์สุกดิบกันพอควรแล้วฉันก็ขอตัวไปพักผ่อน
เพราะเหนื่อยกับการเดินทางทั้งวันแล้ว
....เช้ามืด ของชาวสวนที่มีแต่ความเรียบง่าย ป้าน้อมและลุงชม ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
ฉันเองก็ตื่นเช้า แต่เช้าๆ ของฉันกลับเป็นสายมากแล้วของคนที่นี้
เมื่อมองจากระเบียงบ้านไม้ทรงไทย ไปรอบๆ มีต้นผลไม้นานาพันธ์
สวนป้าน้อมกว้างนัก มองจากมุมระเบียงก็ไม่ทั่ว
ฉันก็พลางนึกในใจ 1 เดือน เดินเที่ยวจะทั่วทั้งสวนไหมนี่
เสียงเรียกดังมาจากข้างหลังทำให้ต้องตื่นจากพะวง ป้าน้อมนั่นเอง
"ไปทานข้าวกันเถอะ ป้าเตรียมไว้แล้ว สายๆ หน่อยเดี๋ยวป้ากับลุงจะเข้าไปในสวน หรือเราจะไปด้วยมั้ย?"
ฉันตอบแบบไม่ต้องคิดเลย "ไปคะ อยากเดินดูว่ามีผลไม้อะไรบ้าง"
เมื่อเสร็จภาระกิจการรับประทานอาหารเรียบก็ได้เวลา ทำเรื่องซนแล้ว
ป้าน้อมและลุงชม พาเดินชมสวน ป้าน้อมและลุงชมเป็นไกด์ที่ดีมากทีเดียว
อธิบายและชี้แจงไขข้อข้องใจของฉันจนหมดสิ้น เกี่ยวกับผักและผลไม้พื้นบ้าน
....เมื่อเดินได้สักพัก ก็มาถึงแปลงที่เป็นสวนมะพร้าว
"ตาชมเดี๋ยวเอามะพร้าวลงให้ด้วยน่ะสัก 2 ลูกนะ"
"จะเอาแบบไหนละยาย"
"ห้าวๆ นะลูกนึง และก็แบบไม่ต้องแก่มากลูกนึง"
ลุงชมหันมายิ้มให้ฉัน "แล้วห้าวๆ อย่างหลานสาวนะพอมั้ยล่ะยาย"
โห...ลุงเล่นแซวกันงี้เลย ฉันทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยิ้มๆ จากคำพูดของลุงชม
ทำให้เกิดการสนทนาเรื่องใกล้ตัวฉันทันที
"แล้วเราน่ะ อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ" ฉันพลางนึกถามตัวเองหน้าแก่มากเหรอ?
ฉันตอบแบบตะกุก ตะกัก "32 แล้วค่ะป้า"
ลุงชมพูดขึ้นทันที "ห้าวจริงๆ " พลางมองดูมะพร้าวห้าวที่ถือในมือแล้วพูดต่อ
"แก่ด้วยคุณภาพ" ยังไม่วายหันมาส่งยิ้มให้ฉันอีกนะ
ฉันทั้งโกรธทั้งขำ และปนรู้สึกดี ก็ยังดีที่ตัวเองยังมี "คุณภาพ"
13 สิงหาคม 2547 12:49 น.
แมงกุ๊ดจี่
ครั้งหนึ่งนานมาแล้วเด็กสาวคนหนึ่งนามว่าลี่ลี่เมื่อเธอแต่งงาน
จึงได้ย้ายนิวาสสถานมาอยู่กับสามีและแม่สามี
...ภายในเวลาอันสั้นลี่ลี่ก็พบว่าเธอไม่สามารถเข้า
กับแม่สามีได้เลย ใช่สิ บุคลิกของทั้งคู่ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
...ลี่ลี่ทนนิสัยหลายอย่างของแม่สามีไม่ได้
ฝ่ายแม่สามีก็ได้แต่วิพากษ์วิจารณ์ลี่ลี่เสมอมา
วันเวลาผ่านไปจากวันเป็นเดือน ลี่ลี่และแม่สามีทะเลาะกันไม่หยุดหย่อน
แต่สิ่งที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือตามธรรมเนียมจีนสะใภ้จะต้องก้มหัวและ
เชื่อฟังแม่สามี ในทุกเรื่องราวนำมาซึ่งความทุกข์โศกแก่ผู้เป็นสามีเป็นอย่างยิ่ง
ในที่สุดวันที่ลี่ลี่หมดสิ้นความอดทนได้มาถึงจึงตัดสินใจ
ที่จะทำอะไรบางอย่างเธอตรงไปหาคุณหวางเพื่อน
รักของพ่อที่ขายสมุนไพรหลังจากเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง
เธอจึงถามว่า พอจะหายาพิษอะไรสักอย่างเพื่อแก้ปัญหาทั้งหมดทั้งมวล
ในคราเดียวได้ไหมคุณหวางคิด
อยู่ชั่วขณะในที่สุดจึงกล่าวกับลี่ลี่ว่า
ลุงจะช่วยหนูเอง...แต่หนูต้องฟังคำของลุงและเชื่อฟังสิ่งที่ลุงบอกนะ
ลี่ลี่ตอบรับทันทีว่า ค่ะ หนูจะทำตามที่คุณลุงแนะนำทุกอย่าง
คุณหวางหายไปหลังร้านและกลับมาภายในเวลาชั่วครู่
พร้อมกับห่อสมุนไพรในมือเขากล่าวกับลี่ลี่ว่า
ลุงจะจ่ายยาสมุนไพรให้หนูจำนวนหนึ่ง
แต่หนูต้องไม่ใช้ยาพิษ นี้ทั้งหมดในคราวเดียวกันนะ
เพราะนั่นจะทำให้ทุกคนสงสัย หนูจงเติมสมุนไพรนี้ลงไปในหมูเห็ดเป็ดไก่ที่ปรุงวันเว้นวัน
สารพิษนี้จะได้ค่อยๆสะสมอยู่ในตัวเธอ
... ขณะเดียวกัน หนูก็ต้องพูดจากับเธอดีๆ และเชื่อฟังเธอด้วย
วันหนึ่งข้างหน้าเมื่อแม่สามีตายลงจะได้ไม่มีใครสงสัยในตัวหนูไงล่ะ
อย่าลืมนะ...ห้ามเถียงเธอ แต่จงเชื่อฟังทุกอย่างที่
เธอบอกและปฏิบัติต่อเธออย่างดีที่สุดได้
ยินดังนั้น ลี่ลี่รู้สึกสุขใจยิ่งนักจึงกล่าวขอบคุณและล่ำลาคุณหวาง
เพื่อกลับไปเตรียมอุบายสังหารแม่สามีวันและคืนผ่านไป
...ลี่ลี่จะต้องปรุงอาหารจานพิเศษให้แม่
สามีทุกวันเว้นวัน เธอจดจำคำของคุณหวางได้เป็นอย่างดี
...พยายามควบคุมอารมณ์ตนเอง
เชื่อฟังและดูแลเธอเหมือนดั่งเป็นแม่ของตนเอง
เวลาล่วงไปได้หกเดือนทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้หลังคาบ้านนั้นกลับแปรเปลี่ยน
ไปโดยสิ้นเชิงลี่ลี่ได้ฝึกตนให้ควบคุมอารมณ์ได้ดีมากไม่เคยมีปากเสียงกันเลย
ตลอดหกเดือนนี้ แม่สามีดูเหมือนจะมีเมตตาต่อเธอและเข้ากันได้เป็นอย่างดี
ในขณะที่ทัศนคติของแม่สามีที่มีต่อลี่ลี่ได้เปลี่ยนไปเช่นกัน
เธอเริ่มรักลี่ลี่เหมือนกับลูกสาวแท้ๆ
ของตัวเอง...เธอพร่ำบอกเพื่อนฝูงและคณาญาติว่าลี่ลี่เป็นลูกสะใภ้ที่ดีที่สุด
และยากจะหาใครมาเสมอเหมือน
บัดนี้ ลี่ลี่และแม่สามีรักกันดุจแม่-ลูกจริงๆ แล้ว..
ฝ่ายสามีลี่ลี่รู้สึกสุขใจเป็นที่สุดที่ได้เห็นภาพนั้น
วันหนึ่ง...ลี่ลี่กลับไปหาคุณหวางเพื่อขอความช่วยเหลืออีกครั้ง
เธอละล่ำละลัก"คุณลุงหวางคะ กรุณาช่วยหนูด้วยค่ะ
หนูไม่อยากให้แม่สามีตายแล้วค่ะ...คุณลุง
รู้มั้ยคะว่า ตอนนี้แม่เปลี่ยนไปมาก
ท่านดีกับหนูมากและหนูก็รักท่านเหมือนแม่จริง ๆ ของหนู
หนูไม่อยากให้ท่านตายด้วยยาพิษของหนูเลย... คุณหวา
งพรายยิ้ม ผงกศีรษะและกล่าวว่า
"ลี่ลี่เอ๋ย...ไม่มีอะไรต้องกังวลลุงไม่เคยให้ยาพิษอะไรแก่หนูเลย
สมุนไพรที่ให้ไปเมื่อคราวก่อนนั้นเป็นพวกวิตามินที่บำรุงร่างกาย...
ยาพิษอย่างเดียวนั้นอยู่ที่จิตใจและทัศนคติของหนูที่มีต่อแม่สามีต่างหาก
และนั่นก็ได้รับการชำระล้างหมดแล้ว
ด้วยความรักทั้งหมดทั้งมวลที่หนูมอบให้ท่าน
13 สิงหาคม 2547 09:40 น.
แมงกุ๊ดจี่
....เด็กผู้หญิงตัวดำๆ หัวหยิกๆ วิ่งเล่นกลางสายฝน
โดยไม่สนใจว่าลมจะพัด สายฝนจะร่วงหล่น
แววตาสดใส เริงรื่นกับสายฝน โดยไม่สนใจ
กับเสียงที่ตะโกนดุแว้วมาตามสายลมที่พัด
ยังคงสนุกกับสายฝนอยู่อย่างนั้น....แม้จะหนาวเย็นจนปากสั่นก็ตามที
ความซุกซน ดื้อรั้นทำให้เป็นที่โปรดปรานของพ่อ
แต่จะรบกับแม่ประจำ เพราะความซน
การที่เติบโตมาจากวิถีชีวิตที่พอมีพอกิน เป็นเกษตรกร ทำไร่ ทำนา
เพื่อเลี้ยงชีพ
ทำให้มีความสุข แบบเรียบง่าย ท้องทุ่งกว้างนี้
เปรียบเสมือนเพื่อน...เมื่อยังเล็กจนเติบใหญ่
ภาพที่เห็นจนชินตา แต่ไม่ชินในใจ คือภาพท้องทุ่งที่ได้สัมผัส
ทุกฤดูกาลมีเอกลักษณ์
ของแต่ละฤดู หน้าร้อน หน้าหนาว หน้าฝน
ภาพท้องทุ่งกว้างไม่เคยทำให้เบื่อได้สักที
ความเป็นอยู่แบบวิถีชนบททำให้เข้มแข็ง และแข็งแกร่ง อดทน
วิถีชีวิตที่ได้สัมผัส มันได้สั่งสอนไว้ ไม่ให้เป็นคนเกียจค้าน
เพื่อจะได้มีผลิตผลที่ดี และนำความอยู่ดีมาสู่ชีวิต
ถ้าหากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมานั้น
แทบจะไม่เหลือร่องรอยของความเป็นชนบทแล้ว
ทุกอย่างที่เคยเรียบง่าย กลับกลายเป็นความยุ่งยากเข้ามาแทน
เมื่อวิถีการใช้ชีวิตในขณะนี้ ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
นานมากแล้วที่ไม่มีโอกาสได้ออกมาท้องนากับพ่อ ด้วยความที่ใช้ชีวิตสุขสบาย
และอยู่ในสังคมผู้ดีนานมากเกินไปจนเกือบทำให้ลืมวิถีชีวิตแบบนี้เสียแล้ว
นานเท่าใดแล้วที่ไม่เคยอยู่อย่างเรียบง่าย สบายใจแบบนี้
เถียงนา หลังนี้คงเป็นหลังใหม่แล้ว เพระดูแล้วไม่คุ้นตาเลยสักอย่าง
เถียงนาหลังน้อย แต่ไม่เคยด้อยค่า มากมายด้วยประโยชน์นานา
เพราะเป็นบ้านหลังที่สอง ของพ่อ นั้นเอง
สายฝนโปรยๆ ไม่ยอมหยุดสักที เมื่อทอดสายตาออกไป
ท้องทุ่งนี้ก็ยังคงความเป็นท้องทุ่งอยู่ดี แต่ที่เปลี่ยนไปคือเราต่างหาก
กลิ่นโคลน สาปควายแทบจำไม่ได้แล้วว่าเป็นอย่างไร
...แต่ก็ยังมีคนที่จำได้ดี และไม่มีวันที่จะลืม
เพราะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปเสียแล้ว
แววตาที่มุ่งมั่น และมุ่งหวัง ของชายวันกลางคน ที่จวญจะชราแล้ว
ที่ขุดผืนดินที่เขารัก เพื่อปิดทางกั้นน้ำไม่ให้ไหล ไปอีกทาง
เมื่อปิดทางกั้นน้ำเสร็จแล้ว พ่อยืนเท้าสะเอว มืออีกข้างถือจอบไว้
เห็นแววตาของพ่อมองออกไปไกล และมองอย่างภาคภูมิใจในผลงานของตัวเอง
ที่พ่อได้ทำสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า พ่อดูแลถนุถนอมต้นข้าวของพ่อเป็นอย่างดี
แววตาของพ่อเต็มไปด้วยความสุข
และความหวังที่จะเห็นผลผลิตของตัวเองที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า...
...แมลงปอ บินเต็มท้องทุ่งนา ร่าเริงเพื่อบ่งบอกถึงสัญญา
ว่าฟ้าหลังฝนสดใส และสดชื่นแค่ไหน? แต่ก็แปลกนะ
ทุกครั้งที่ฝนหยุดตก มันทำให้หัวใจหนาวด้วยแรงลมฝนที่พัดมา
ละอองฝนตกปร่อยๆ กิ่งสนปลิวไหวตามแรงลม โอนไปเอียงมา อย่างบางเบา
ทำให้คิดถึงเรื่องสั้น ที่เล่าถึงความเป็นมาของความคิดถึง...
.....ไม่รู้เหมือนกันทุกครั้งที่ฝนตก ทำไม? ชอบเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
ความรู้สึกเหงาๆ ก็เข้ามาพร้อมกับความคิดถึงใครคนหนึ่งในใจ...
(ต้องอมยิ้มทุกทีสิน่าาา...ที่คิดถึง