23 กรกฎาคม 2547 15:37 น.
แมงกุ๊ดจี่
เมื่อฉันยังเด็ก แม่จะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน
"แม่" ซึ่งฉันจะเรียกว่า "Miss Angle' "แม่" เป็นผู้หญิงที่สวยมากที่สุด
แม่ เค้าเลี้ยงดูฉันกับพี่มาด้วยความยากลำบาก และอดทน
ภาพที่ฉันเห็นจนชินตา แม่จะตื่นแต่เช้าและสิ่งที่จะทำเป็นสิ่งแรก
คือ....จะหยิบไม้กวาดที่ทำจากหญ้า ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของแม่ที่คิดค้นประดิษฐ์ขึ้นเอง
จากหญ้าที่แม่เรียกว่า "หญ้าธนู"
แสงแดดสาดส่องผ่านช่องหน้าต่างบ้าน สายแล้วนี่เน๊อะ
ฉันกับพี่สาวจะนอนฟังเสียงกวาดลานบ้านของแม่ และทุกๆ เช้า
"ตื่นได้แล้วลิงน้อยสองตัวนั่น" แม่จะส่งเสียงมาจากใต้ถุนบ้านเกือบจะทุกเช้า
ฉันกับพี่สาวก็จำเป็นต้องตื่นมาเพื่อที่จะได้ไม่โดนไม้เรียว ถ้าหากเสียงกวาดลานนั่นเงียบลง
พี่สาวและฉันถูกเลี้ยงมาอย่างวิถีชาวบ้านและ วัฒนธรรมของชาวบ้านโดยแท้
แม่เป็นนักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่มากสำหรับฉัน แม่จะชอบคิดโน่น ทำนี่อยู่เสมอๆ
ซึ่งแม่จะเป็นผู้ปลูกฝังทั้งความดี และวัฒนธรรมที่แม่ได้ซึมซับมาครั้งยังเยาว์
สืบทอดมาถึงรุ่นฉันซึ่งมันยุค ค.ศ.2000 แล้ว
แต่...ความคิดของแม่ก็ยังอยู่สมัยของแม่เหมือนเดิม
ซึ่งแม่จะบอกอย่างเหตุผลของแม่ว่า "เปลี่ยนไม่ได้เพราะมันดีอยู่แล้ว"
ฉันก็ได้ซึมซับจากการถ่ายทอดจากแม่มา แต่ไม่ได้ทั้งหมด
เพราะเมื่อโตขึ้น ต้องไปเรียนต่อเพราะแม่หวังไว้ว่าให้ฉันได้ดิบได้ดี
จากความห่างไกล ทำให้ฉันห่างจากแม่ออกไปเรื่อยๆ
และสิ่งที่ท่านปลูกฝังไว้ก็เลือนลางเต็มที
......ผู้หญิงสูงอายุเกือบจะเข้าสู่วัยชรา มือถือไม้กวาดที่ทำจากหญ้าธนู ก้มๆ เงยๆ กวาดลานบ้าน
ทุกครั้งที่ฉันกลับมาฉันจะวิ่งเข้าไปกอดและหอมแม่ทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เป็นแบบนั้น
ฉันแอบมองดูแม่อยู่เงียบๆ น้ำตาไหลออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว ...ฉันทำไมใจร้ายกับคนแก่ได้มากขนาดนี้
ปีนี้แม่ดูแก่ไปมาก และอ่อนแรง แม่คงจะเหนื่อยมาก และล้าเต็มที
ฉันสัญญากับแม่ครั้งแล้วครั้งเล่าที่กลับมาบ้าน ว่าฉันจะอยู่ดูแล...
ค่อยอยู่เป็นเพื่อนท่าน นั้นคือสิ่งที่แม่ร้องขอ แต่ฉันก็ผิดสัญญาครั้งแล้วครั้งเล่า
บ่อยครั้งที่ความคิดเห็นของฉันกับแม่ไม่ลงรอยกัน ซึ่งอีกคนจะโบราณเกินไป
แต่อีกคนตามสมัยปัจจุบัน แต่ฉันก็ต้องยอมแม่ ทุกครั้ง
แม่มีโรคประจำตัว แม่เป็นเบาหวาน แม่ก็รักษาตัวเรื่อยมา
เมื่อปีที่แล้ว หมอได้บอกว่าแม่เป็นไรคไต อาจอยู่ได้ไม่ถึง 1 ปี หรืออาจจะได้ถึง 2 ปี
มันคงถึงเวลาแล้ว ที่ฉันจะอยู่ อยู่ที่นี่...ที่ที่ มีแม่คอยให้ความอบอุ่น และกำลังใจ
และฉันจะอยู่ที่นี่เป็นกำลังใจให้แม่ และให้ความอุ่นใจ ที่มีฉันอยู่ใกล้ๆ
ซึ่งแม่ร้องขอกับฉันไว้ ฉันได้มองข้ามผ่านสิ่งที่สำคัญที่สุดไป
ฉันเกือบทำความผิดร้ายแรง ที่ใครๆ คงจะไม่ให้อภัยได้
พอกลับมาอยู่กับแม่ได้ไม่ถึง 6 เดือนแม่ก็มีอาการทรุดของโรคไต
แล้วต่อมาไม่นานแม่ก็เป็นไตวายเรื้อรัง
มันเป็นช่วงที่ทรมานที่สุดในชีวิตที่ฉันเคยพบมา แม่ต้องทนกับพิษของโรค
ปวดร้าวหัวใจมากแค่ไหน? ที่ต้องทนเห็นแม่ทรมาน
อาการของแม่ทรุดลงเรื่อยๆ หมอพยายามช่วยแม่เท่าที่ทำได้ (แต่ฉันกลับคิดว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลย)
ร่างกายแม่มีน้ำมากเกินไป ทำให้น้ำท่วมปอด
แม่ปวดร้าวไปทั่วร่างกายจนทุรนทุราย หมอต้องคนฉีดยาเพื่อทำให้อาการทุเลาลง
เพื่อที่แม่จะได้ไม่ทรมาน
เหมือนรู้ตัวว่าคงอยู่ได้ไม่นานแล้ว แม่ดูเศร้า ใบหน้าไม่มีชีวิตชีวา เหมือนร่างไร้วิญญาณ
...สายตาของแม่เหม่อลอย มองทุกสิ่งรอบข้างแบบไร้ชีวิตชีวา
"แม่ไม่อยากตายๆ..." แม่เพ้ออยู่ตลอดเวลา มันทำให้ฉันต้องร้องไห้ออกมาด้วยความปวดร้าว
ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะตายแทนเค้า หายใจแทนเค้า เจ็บปวดแทนเค้า แต่ฉันทำไม่ได้
ใจของฉันแทบจะขาด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
แม่เข้าห้องไอซียู ทำการล้างพิษจากช่องท้อง ด้วยน้ำเกลือ 70 กระปุก
เพื่อล้างพิษ หมอบอกฉันอย่างนั้น
ฉันไม่ต้องการให้แม่เข้าไปในห้องนั้น แต่เพื่อให้แม่ดีขึ้น ก็ต้องยอม
แต่หลังจากนั้นแม่ก็จำใครไม่ได้เลย.......
มันปวดร้าวมากแค่ไหน? กับการที่ต้องจ้องมองตาแม่ ยิ่งเมื่อมองลึกลงไปมันทำไห้ปวดร้าวใจ
เมื่อรู้ว่าแม่ต้องปวดร้าวแค่ไหน? สายตาดูวิงวอน ร่ำไห้อยู่ภายใน
หลังจากนั้น 1 เดือนแม่ก็จากเราไป
ทุกอย่างเหลือเพียงความทรงจำ ที่แสนปวดร้าว ที่ฝังลึกในจิตใจ
เวลาผ่านมานานแล้ว แต่ความปวดร้าวใจ ไม่ได้จางหายไปไหน?เลย
"แม่...หนูรักแม่" ฉันไม่ได้ดูแลท่าน
มันเป็นแผลที่ถูกฝังไว้จนไม่มีใครที่ทำให้หายได้แล้ว.....
...ฉันอกตัญญู ...ฉันไม่รักแม่ ...ฉันปล่อยให้แม่เหงา ..ฉันทรพี
ใน "วันแม่" นี้อยากให้ทุกคนรักคุณแม่ "แม่" เป็นทุกสิ่งที่มีค่าเทียมมิได้ และยิ่งใหญ่กว่าใดๆ
รักท่านให้มากๆ อย่าปล่อยท่านให้เหงา เดียวดาย ให้ท่านให้มากที่สุด ที่คุณควรจะให้
และคุณจะไม่รู้สึกเสียใจ เมื่อไม่มีท่านแล้ว
อย่าให้เป็นอย่าง...........ฉันที่เลวคนนี้เลย
23 กรกฎาคม 2547 09:19 น.
แมงกุ๊ดจี่
พ่อไปไหน? พ่อไม่อยู่บ้าน....เอ้อ
รอพ่อนานๆเข้าก็ชักไม่ไหวแล้ว กดโทรศัพท์ไปหาพี่ที่ทำงานด้วยกัน ได้พักร้อนพร้อมกัน
"พี่อุ้ยอ้าย ไปเที่ยวกันป่ะ"
"อะไรกัน เพิ่งจะหยุดวันนี้เองพักก่อนแล้วค่อยคิด"
"ไปเชียงใหม่กัน"
"หา!......เชียงใหม่"
"อือ...จะไปม่ะ ไม่ไป จะได้ไปคนเดียว"
"เอ้อ...ไปๆ"
"เย็นนี้เลยนะ"
"อะไรจะเร็วปานนั้น"
"เดี๋ยวเจอกัน นะ"
วางสายโทรศัพท์เสร็จก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า พร้อมกับสมุดบันทึกเก่าๆ เล่มโปรด
พลางนึกในใจจะไปเที่ยวให้หายเบื่อ หายเซ็งเลย แต่หน้าร้อนเหรอ?
ทำไม?เรา ไม่ไปทะเลล่ะ เออ...นั่นสิ ช่างเถอะ
ไปรับพี่อุ้ยอ้ายที่บ้านเสร็จ ก็มุ่งหน้าสู่ เมืองนครเชียงใหม่
เป็นความเคยชินซะแล้วกับการเดินทางไกลๆ โดยใช้บริการของ บ.ขนส่ง
ชีวิตที่อยู่หลังพวงมาลัยของพนักงานขับรถ เหมือนเป็นการยอมรับ และไว้ใจที่จะเดินทางไปอย่างอุ่นใจ
เป็นครั้งแรกที่จะได้ไปเที่ยวเชียงไหม่ และเป็นจังหวัดที่เคยฝัน และวาดไว้ว่าต้องเป็นเมืองที่สวยงามมากๆ
มันทำไม? จึงรู้สึกตื่นเต้นมากขนาดนี้นะ
ใจงี้เต้นเหมือนเด็กเลย แววตาเหมือนเด็กที่สมหวังที่ได้สิ่งที่ต้องการ
เที่ยงคืนแล้ว.....นอนไปมองฟ้าไปก็สุขใจอีกแบบ เอ๊ะเสียงเพลง...........
....เป็นเพราะเรา เป็นเพราะเรามากกว่า
เป็นเพราะใจ เป็นเพราะใจเราอ่อน
อ่อนแออยู่เสมอ เพียงพบคนถูกใจ
เก็บมาใส่ดวงใจฉันไว้ฝันลมๆ มากมาย
............ดาวสวยดีนะคืนนี้ แล้วเสียงเพลงนั้นหายไปไหนแล้ว
...........ฉันอกหักหรือเปล่า? จึงหนีมาพักร้อน ไม่นิ แค่หนีความสับสนวุ่นวายเท่านั้นเอง
เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ตื่นขึ้นมาได้ยินแต่เพื่อนร่วมทางบ่นพึมพำ
"จะถึงเชียงใหม่ หรือเปล่าไม่รู้"
"หม้อน้ำแห้ง คงจะไปได้แต่คงจะช้า"
"นี่ก็จอดได้ 4 ชั่วโมงแล้ว ยังไปต่อไม่ได้เลย"
..................................
อาการงัวเงียทำให้ไม่ได้วิตกนักกับคำพูดที่เขาพูด
แต่ก็มีอาการหน้ามุ่ยๆ ป่นเซ็งๆ เบื่อ แกมยอมรับสภาพ
มิน่าล่ะนอนหลับสบายดี รถไปไม่ได้จอดนอนที่ภูเรือ 4 ชั่วโมง
เอ้อ...
"ว่าไงน้อง...ตื่นแร่ะ"
"อืม...มีอะไรเหรอ? พี่อุ้ยอ้าย"
"รถหม้อน้ำไม่ดี ขับไกลไม่ได้ คงต้องรอจนกว่าจะเย็นถึงไปต่อได้"
"ขอโทษนะที่ชวนมาลำบาก"
"ไม่หรอก อย่าคิดมาก"
รอยยิ้มของพี่อุ้ยอ้ายใจดี น่ารักเสมอ ทั้งที่ฉันเอาแต่ใจ แต่เขาก็ไม่เคยโกรธฉันเลย
แล้วรถก็วิ่งไปได้ แต่คงจะช้าหน่อยเพราะว่าอาการไม่ค่อยดี
ทุกคนก็ภาวนาให้เดินทางถึงเชียงใหม่โดยสวัสดิภาพ ช้าหน่อยไม่เป็นไร
ถึงเชียงใหม่ 12.33 น. ของอีกวัน อืม......อึดมาก 18 ชั่วโมงที่อยู่บนรถทัวร์
ฉันทำหน้าเซ็งๆ ไม่มีอาการตื่นเต้นที่ถึงเชียงใหม่แล้ว
คงมีเหตุมาจากรถคันนั้นแน่ ที่ทำให้หายอยากมาเที่ยว.........
อากาศที่นี่ก็ไม่ต่างจากบ้านเราเลย ร้อนเหมือนกัน แต่ไม่มากเท่าที่บ้าน
.......................เมืองเชียงใหม่ ฉันได้มาแล้ว อืม.....ไม่ต่าง ไม่ต่างเลย
เพื่อนพี่อุ้ยอ้ายมารับแล้ว
"ขอนอนพักก่อนนะพี่อุ้ยอ้าย"
"จ้าาาาา......เอาเลย"
หลับยาวเลย ตื่นมาอีกทีก็ 19.30 น. เราหลับได้ยาวขนาดนี้เหรอ?
"ไปเที่ยวมั้ยน้อง ?"
"ไปไหน?อ่ะพี่อุ้ยอ้าย"
"เดี๋ยวเราจะไปแถวถนนช้างคลาน ไปป่ะ"
"อืมๆ ไปๆ "
ท่องราตรี เมืองเชียงใหม่ ในสไตล์เด็กเรียบร้อย (อิๆๆ เรียบเหมือนผ้ายับที่พับไว้)
โห เดินจนขาลาก ซื้อๆ อย่างเดียว เลย เห็นอะไรก็อยากได้ไปหมดเรา
.......วันที่สอง.....ของการเที่ยวละไม.........
อากาศตอนเช้าที่เมืองเชียงใหม่ อืม...สดใสดีนะ
"พี่อุ้ยอ้าย วันนี้จะไปไหน?ดี"
"ตื่นมาก็นึกแต่โปรแกรมเที่ยวอย่างเดียวเลยนะ"
"ก็ต้องอยู่แล้ว จะให้นอนในห้องนี้นะไม่ได้หรอกนะคะ"
"จ้าๆ "
"แหม ก็เรามาเที่ยวนะคะ ไม่ได้มานอนที่เชียงใหม่แล้วก็กลับ"
"เออ...เน๊อะ แล้วเราอยากไปไหน?"
"ม่ะรุ.....มีที่ไหน?น่าเที่ยวก็ไป"
"อืม...เดียวไปกัน"
หน้าร้อน มีแดดจ้า แต่แปลกตรงที่ว่า แดดแรงมากแต่ทำไม ไม่ร้อนเหมือนที่บ้านเรา
ขึ้นไปบนดอยอินทนนท์ เหมือนอยู่ในห้องแอร์เลย อากาศเย็นสบายดีจัง
ต้นไม้ ดอกไม้ ดูสดใสมากๆ วัฒนธรรม การใช้ชีวิต ยิ่งได้ขึ้นไปเที่ยวดอย
หลายๆ ที่ ก็ยิ่งเชื้อเชิญให้อยากจะมาใช้ชีวิตอยู่ซะเลย
และอากาศที่นี่ทำให้อยากมาอยู่ที่นี่จัง
ชั่ววูบของความคิด อยากมาอยู่ซะที่นี่แต่...ก็เกิดคำถามขึ้นในใจ
จะมาอยู่เหรอ?........แล้วเรื่องที่ต้องทำและรับผิดชอบล่ะ
เอ้อ มีเรื่องที่ต้องทำมากมาย ชีวิตยังต้องวุ่นวายสักพัก
รอ...รอ และก็รอให้ชีวิตไม่ยุ่งวุ่นวายแล้วค่อยมาแล้วกันนะ
เที่ยวละไมไปเรื่อยๆ กับหัวใจที่เบาสบาย ความสุขอยู่แค่นี้เอง
เผลอแพ๊บเดียว เที่ยวมาเจ็ดวันแร่ะ คงได้เวลากลับบ้านแล้ว
มาเจ็ดวันยังไปไม่ทั่วเลย ขึ้นดอยได้ไม่กี่ลูกเอง อยากไปไห้ครบทุกที่
คงต้องกลับแล้วล่ะ บ๊าย บาย นครเชียงใหม่
ไว้แล้วจะมาใหม่นะ เจ้าาาาาาา.........