12 ธันวาคม 2551 22:01 น.
แมงกุ๊ดจี่
สุขสันต์วันคล้ายวันเกิดค่ะ แม่จ๋า....
12 ธันวาคม ทุกปีวันนี้ทำให้คิดถึง
ผู้หญิงแสนดี และอบอุ่น แววตาปราณี ดวงหน้าอ่อนหวาน
หากนับปีนี้...
ก็ 66 ปี จะว่าไปแล้วก็ยังเป็นตัวเลขที่น้อยนะ
น้อยมาก หายจะมองคนแก่หลังเกษียรณ
แต่บุญเราน้อย
ไม่มีโอกาสได้ตอบแทนพระคุณท่าน
ไม่ได้ดูแลท่านมากพอ....
ทุกครั้งที่มองฟ้า
หนูรู้ว่าแม่ อยู่เคียงข้างเสมอ...
ขอบคุณมากนะค่ะ
หน้าชาติหน้ามีจริง
หนูขอตั้งจิตอธิษฐาน "ขอให้แม่เกิดมาเป็นลูกของหนู"
หนูจะทำทุกอย่างเหมือนที่เคยทำให้หนูเสมอ...
รักแม่ค่ะ
หนูคิดถึงแม่ค่ะ
10 ตุลาคม 2551 18:15 น.
แมงกุ๊ดจี่
ฉันก็แค่...
ผู้หญิงธรรมดาแสนสามัญ
ที่มีหัวจิต หัวใจเช่นใครใคร บนโลกใบกลมกลมนี้
แต่จะมีสักกี่คนกัน ที่เข้าใจ
ว่าผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งนี้ มีความรู้สึก จะมีไหม?
เขาจะมองเห็นหัวใจ ข้างในของฉันบ้างหรือเปล่า...
คงไม่หรอกฉันรู้...
ใช่ฉันรู้ และเข้าใจดี ไม่มีใคร ไม่มี...
ที่จะเข้าใจเราเท่ากับตัวของเราเอง ข้อนี้ฉันรู้ดี
และยอมรับมัน...
แต่ก็ไม่รู้ทำไม? ยังต้องโหยหาสักคนมาเข้าใจ...
แค่สักคนเท่านั้นเอง...
แต่สักคนนั้น ไม่ใช่ใครใครที่ผ่านเข้ามาในความเงียบเหงา
มาสร้างเรื่องราวในชีวิต ให้รู้จักผิดชอบชั่วดี ปรุงแต่งชีวิตที่ผ่าน
สักคนหนึ่งนี้...
ถูกจดจารไว้ลึก ก็คือเขา
เขาคนนั้น ยากจะให้ใครแทนที่
ยามใดอยู่กับความเงียบเหงาลำพังก็หวนกลับไปคิดถึง
ทุกคราวที่อ่อนล้า ไม่มีใครก็ยังมี..."เขา"
วันเวลาผันผ่าน...
ผ่านเลยไปเนิ่นนาน เท่าไหร่
ทุกครั้งที่เหงาจับใจ ภาพเขาจะมาปรากฎให้คลายเหงา
เมื่อใครใครที่ผ่านเข้ามา....
แล้วผ่านไป ก็ทำให้ใจรู้สึกผิดอยู่เสมอ ๆ
เพราะใจรักเพียงเขาสินะ มั่นใจแน่แล้ว
ว่า "รัก"
แต่ทว่าเป็นความมั่นใจเมื่อเวลาผ่านมาแล้ว 12 ปี
ปีนี้ย่างปี 14 แล้ว และคงย่างปีต่อต่อไป
รู้สึก ใจมันรู้สึก....
อยากโทร.ไปเพื่อบอกเล่าสิ่งเป็นไป และ
รับฟังสื่งที่เป็นมา....
หัวใจแปลกประหลาดไป
ก่อนนั้น เข้มแข็ง ไม่เคยคิดอยากโทร.ไป
ไม่คิดอยากพบเจออีก...
แต่วันนี้...
วันนี้...
รู้สึกเหงาจับใจ เปรียบแล้ว
เหมือนเจียนจะขาด หรือแตกกระจายประมาณนั้น
"เก็บเธอไว้ .....
ข้างใน จน ลึ ก สุ ด ใ จ
ได้คิดถึงเธอ อีกคราว
เมื่อวันที่เหงา จับใจ
ไม่มีใคร ฉันยัง มีเธอ"
ฉันคงทำได้เพียงเท่านี้
จะเก็บรักนี้เอาไว้เพียงภักดิ์ "ใครสักคนนี้"
23 กันยายน 2551 16:44 น.
แมงกุ๊ดจี่
มิรันตรียืนก้มหน้า...
ยืนนิ่งอยู่ประตูทางเข้าร้าน "บ้ า น ฟ้ า โ ป ร่ ง"
เธอลังเลที่จะเข้าไปข้างในร้านกาแฟที่จัดแต่งร้านได้น่านั่งเป็นอย่างมาก
บรรยากาศที่ร่มรื่นของเหล่าไม้ดอก ไม้ประดับนานาพันธุ์
ชวนให้ร้านกาแฟที่นี่ ดูสดชื่นชวนหลงไหล มองไปทางไหนดูแล้วช่างลงตัว
และเรื่องรสชาดกาแฟ ไม่ต้องพูดถึง อร่อยขั้นเทพ* (*มาจากลูกชายวัย 13 ปี)
และเค๊กนมสดที่อร่อยเลิศรส อืม...
มิรันตรีตัดสินใจเดินเข้าไป
ทนข่มอาการลังเลที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก้าวออกจากบ้าน
เธอหันมองไปรอบ ๆ จนทั่วร้านและระเบียงภายนอก
ในใจก็อดนึกชื่นชมการจัดสวน และการจัดร้านที่ลงตัว...
เจ้าของร้าน...
คงคัดสรรวัสดุ-อุปกรณ์ที่ใช้ตกแต่งภายในร้าน
อย่างพิถีพิถันเป็นแน่ เพราะสังเกตจากรายละเอียดเล็กน้อย
จนไปถึงภาพรวมของร้าน ที่บ่งบอกถึงความละเอียดอ่อนในการเลือก
ของเจ้าของร้านได้อย่างง่าย
เป็นการตกแต่งที่เน้นรสนิยมของเจ้าของร้านได้เป็นอย่างดี...
การมาที่นี่ วันนี้ เป็นการมาพบใครหนึ่งซึ่งไม่พบนานมากแล้ว
ระยะเวลาผ่านมานานมากที่ขาดหายการติดต่อกัน
ซึ่งความสัมพันธ์นั้นห่างออกไปเรื่อย ๆ
เริ่มจากพบหน้าพูดคุยบ้างหากจำเป็น หลบเลี่ยงการได้พูดคุย
จนไม่ได้พบหน้า
แต่ได้ยินเสียงพูดคุยบ้าง ในยามเมื่อใครคนใด คนหนึ่ง
เกิดภาวะวิกฤตชีวิตรุมเร้าจนอ่อนล้า....
แต่ก็ห่างไปหลายปี
แบบไม่มีการติดต่อกลับ ซึ่งต่างคนต่างมีภาระหน้าที่
และสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ เหมือนเส้นทางของคนสองคน
กลายเป็นเส้นขนาน ที่ไม่อาจบรรจบหากันได้
ที่ทำเพียงแต่รับฟังข่าวคราวจากคนรอบข้าง ว่าอยู่ดีหรืออย่างไร?
มิรันตรี...ตื่นจากภวังค์
เมื่อกวาดสายตาไปปะทะกับร่างบุรุษที่นั่งจิบกาแฟ
อยู่ที่โต๊ะ เป็นลักษณะโต๊ะกลม
มีเก้าอี้อย่างหรูสำหรับสองที่นั่ง ตรงมุมระเบียง
ที่ทำมุม 45 องศาพอดี จากจุดที่เป็นทางเข้าสู่ระเบียง
หากไม่สังเกต หรือจงใจมองคงไม่เห็นว่ามีใครนั่งอยู่
เพราะเป็นมุมที่สามารถหลบมุมได้ดี และไม่ผุกผล่านให้ใครเดินผ่าน
ซึ่งเป็นที่ ที่หล่อนจะมานั่งเขียนหนังสืออยู่มุมนี่ เสมอ ๆ เมื่อมีโอกาส
เธอยืนแอบมองบุรุษที่อยู่ตรงเบื้องหน้า
เป็นชายหนุ่มที่หน้าตาค่อนไปทางดี ผิวสองสี
แต่ดูแล้วค่อนไปทางขาวมากกว่า การแต่งตัวบ่งบอกถึงรสนิยมได้เป็นอย่างดี
ทรงผมที่ตัดลองทรงสูงที่ดูสง่าและรับกับใบหน้า ท่าทางที่สุภาพ
ความเป็นผู้ใหญ่ แลดูเขาเป็นคนที่อบอุ่น
และอาการนิ่งขรึม ทำให้สาว ๆ มองเขาไม่วางตา...
มิรันตรีแอบลอบถอนหายใจ
เหมือนต้องการสลัดอาการประหม่าต่าง ๆ ให้ลดน้อยลง
แล้วสืบเท้าเข้าไปยังชายหนุ่มที่เธอแอบมองอยู่เมื่อครู่
ด้วยท่วงท่าที่นิ่ง และสำรวมเพื่อกลบอาการลังเล
ไม่ให้ผู้พบได้รับรู้หรืออ่านอาการออกได้ชัดเจนเท่าใดนัก...
แล้วเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มที่แหงนมองหน้า
รับกับจังหวะที่เท้าหยุดอยู่ตรงหน้าเขา เขาส่งยิ้มต้อนรับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า...
มิรันตรี...
จำยอมสบตาเขาเสียไม่ได้...
แล้วยกมือขึ้นไหว้ด้วยกิริยาที่อ่อนหวาน
เขารับไหว้ แล้วผายมือเชื้อเชิญให้นั่ง
"เป็นไงบ้างเรา" เสียงเขาทักเพื่อขับไล่ความเงียบงัน
มิรันตรี สบสายตาที่อ่อนโยนนั้นอย่างเสียมิได้ ใช่สิก็เพราะสายตานี้
ที่ทำให้เธอต้องเจ็บปวดยาวนานมาจนป่านนี้
"ไม่พบกันนาน อย่าทำเป็นเหมือนไม่คุ้นกันนักเลย" เขายังคงพูดและ
เพ่งสายตามายังคนที่เป็นเหมือนเป็นโจทย์
แต่ดูเหมือนจะตกเป็นจำเลยให้เขาพิพาษเสียแล้ว
"ก็ยังเป็นเช่นผ่านมา" มิรันตรีตอบเขาไป แต่ก็ไม่ได้มองเขาเลย
ได้แต่ก้มหน้าต่ำมองขอบโต๊ะกลมที่อยู่ตรงหน้าหว่างหน้าอกกับปลายเท้า
"อ้าว โกหกเก่งกว่าเดิมหรือไงถึงได้ตอบออกมาแบบนี้" เขาเตือนสติหล่อน
เขามองหน้าหญิงสาวนิ่งจดจ้องในดวงตาคู่สวย ทำให้หญิงสาวอึดอัดไม่น้อย
แววตาที่คมและเด็ดเดี่ยวแต่แฝงความอ่อนโยนไว้นั่น
ยังคอยคาดคั้นเพื่อจะเอาคำตอบให้ได้
ไม่ทันที่หล่อนจะได้ตอบ บริกรก็เขามาเสิร์ฟพอดี
ซึ่งหล่อนได้สั่งก่อนที่จะเดินมาที่โต๊ะ
เพราะร้านนี่มีกฎให้ลูกค้าสั่ง Order ก่อนเมื่อสั่งเสร็จ
ก็จะได้บัตร เพื่อนำมาวางเมื่อนั่งประจำโต๊ะ...
หล่อนสั่งสิ่งที่โปรดปรานที่สุด
คาปูร้อน และเค๊กนมสด
ทันทีบริกรวางลงเท่านั้น ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็รีบพูดขึ้นทันที
"มิยังไงก็ยังเป็นมิ" เขาอมยิ้มพร้อมจ้องมองหน้าหญิงสาว
ก่อนจะเบือนหน้าออกไปหาสวนสวยที่มีน้ำตก ที่ตกแต่งไว้
แต่สามารถสร้างบรรยากาศเลียนแบบธรรมชาติได้อย่างเสมือนทีเดียว
มิรันตรี ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ
สิ่งที่หล่อนทำเพียงเพื่อเรียกความกล้ามาเท่านั้น
"พี่ปรัช นึกอย่างไร? จึงอยากพบมิวันนี้" หล่อนถามพร้อมกับจ้องหน้า
ทำให้ชายหนุ่มปรับตัวตามแทบไม่ทัน...
แต่เขาสามารถปรับได้เร็ว นี่เป็นความมีเสน่ห์ของเขาทีเดียว
ไม่ว่าจะกับใคร เด็กกว่า อาวุโสกว่า หรือเพื่อนฟ้องยังให้ความเกรงใจ
"พี่เจอนก เลยถามข่าวเราจากเขา" ชายหนุ่มตอบ
"หรือคะ มิไม่เคยรู้เลยว่าพี่ปรัชก็ชอบนินทาด้วย" หญิงสาวแกล้งเย้าเขาเล่น
"ใครว่า ยิ่งกว่านี้พี่ก็เคยแล้วน๊า จะบอกให้" เขาประชดคืนบ้าง
ทำเอาหญิงสาวหน้าหงำเชียว ทำให้ชายหนุ่มอย่างปรัช
ยิ้มออกมาอย่างพอใจ ที่ทำให้หญิงสาวหงุดหงิดได้
"พี่ขอโทษ หลายปีที่ไม่เจออย่าทำเสียบรรยาศเลยคนสวย"
เขาเอ็ดมา แต่หน้าก็ยังยิ้ม ๆ บ่งบอกว่าใจดี
ที่ไม่บ่อยนักที่เขาจะแสดงออกมา ให้ใครได้เห็น
"มิก็ไม่อยากทำสักหน่อย" หญิงสาวจ้องทั้งที่หน้ายังหงำอยู่
"พี่เลิกกับบุษย์ แล้วนะ" ชายหนุ่มกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบ
"หือ..?? " มิรันตรีทำสีหน้าบ่งบอกว่าแปลกใจ
"จริง ๆ เราไปกันไม่ได้" เขาเอ่ยออกมาน้ำเสียงยังคงเรียบ
"ไม่น่าเชื่อเลย พี่ปรัชเหรอ? จะเลิกพี่บุษย์" หญิงสาวกล่าวย้ำ
"พี่ไม่ขี้โกหกอย่างมิหรอกนะ" เขายิ้มออกมา
"ก็พี่บุษย์ออกจะดี สวยน่ารักซะขนาดนั้น" หญิงสาวพูดแต่ก็ไม่ได้จ้องหน้า
มือกลับหยิบซ้อนมาปาดหนมเค๊กเข้าปากเฉย แล้วมองตาปริบ ๆ
"พี่ก็คิดแบบนั้น แต่มันไม่ใช่" เขาพูดจบก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบ
"พี่ปรัชเห็นแก่ตัวที่สุด" หญิงสาวพ้อ
"อะไรนี่มาตัดสินพี่เลยเหรอ? "ชายหนุ่มทำเสียงเข้ม
"แล้วเหตุผลอะไรล่ะค่ะ ที่ทำให้พี่ปรัชตกอยู่ในสภาพนี้" แววตาจ้องเขม็ง
เขาจะบอกเล่ากับหล่อนได้อย่างไร
ว่าบุษยา ทำร้ายเขาอย่างที่ให้อภัยไม่ได้ หญิงสาวที่สาวเพียบพร้อม
กลับซ่อนเงาความร้ายกาจเอาไว้ ซึ่งเขาไม่เคยคิดว่าบุษยาจะเป็นได้
หากเล่าให้มิรันตรีฟัง หล่อนก็คงว่าเขาเห็นแก่ตัวโยนความผิดให้ผู้หญิง
ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่สุภาพบุรุษควรกระทำ...
"พี่ผิดเอง ผิดทุกอย่าง" เขารีบจำนนต่อหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า
"อ้าว...." ลากเสียงย๊าว...ยาว "ช่างเถอะค่ะ เปลี่ยนเรื่องดีกว่า" หล่อนรีบตัดบท
"คุยเรื่องของเรามั่งสิ มีอะไรจะเล่าให้ฟังมั่ง" เขาถามกลับบ้าง
"อ้าวงั้ยเป็นงี้ล่ะ " มิรันตรีทำหน้ายุ่ง
"ก็เปลี่ยนเรื่องแล้วไง จะเอาไงแน่" เขามองหน้า
"ค่ะก็ได้ ๆ " ยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข ต้องรับผิดชอบสิ่งที่พูดเสียไม่ได้
"มิไม่รู้จะเล่าอะไรดี " ทำเสียงอ่อย ๆ
ปรัชมองหน้าหญิงสาวนิ่ง ไม่ได้พูดอะไร เหมือนเขาบังคับหญิงสาวโดยทางอ้อม
เขาเปิดโอกาสให้หญิงสาว เล่าทุกอย่างไปเรื่อย ๆ
"เมื่อพี่ปรัชแต่งงานไปแล้ว มิก็... (หญิงสาวถอนหายใจ) ใช้ชีวิตมาเรื่อย ๆ
ด้วยปกติสุข และเรียนจนสำเร็จตามที่สัญญากับพี่ปรัช และทำงานจนถึงปัจจุบัน
เมื่อปีที่แล้วมิก็ได้พบกับเขา และเขาก็ทำลายความฝันทุกอย่างของมิ
จนชีวิตเซซัง แต่ตอนนี้มิยืนได้แล้วค่ะพี่ปรัช"
เขาจ้องมองหน้าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า
หญิงสาวตรงหน้าไม่ได้มองหน้าเขา หากเพียงแต่หญิงสาวผินสายตา
ขึ้นมามองหน้าเขาสักเพียงนิด ก็จะเห็นแววตาที่แสดงความเสียใจ
และซ่อนความรู้สึกที่แสนจะเจ็บปวดไว้ในแววตาคู่คมนั้น
"พี่เจอนกโดยบังเอิญ ที่กรุงเทพฯ" เขามองสบตาหญิงสาว
แล้วเขาก็เล่าไปเรื่อย ๆ มิรันตรีนั่งปาดเค๊กเล่นรับฟังเขาเล่าไปเรื่อย...
"นกก็เล่าให้พี่ฟังบ้าง พี่ขอให้เล่าเรื่องของมิเองอย่าตำหนิ นกเลยนะ
ทีแรกเขาก็ไม่อยากเล่าอะไรให้พี่ฟัง แถมยังบอกปัดไปว่าเราห่างกันนานแล้ว
ควรจะจบกันไป ไม่ควรยื้อกันอยู่แบบนี้ แต่พี่ก็ขอถามข่าวคราวเราเท่านั้น
แต่ไม่รู้ไง? นกถึงได้ใจอ่อนเล่าให้พี่ฟัง ทุกชอต" ชายหนุ่มหยุดเว้นระยะ
"หือ??? ทุกชอต" หญิงสาวตาโต และนึกโมโหเพื่อนสาวอยู่ในใจ
จนทำให้ชายหนุ่มต้องหัวเราะออกมา อย่างขบขันในทางท่าของหญิงสาว
"มิ ถึงเวลาหรือยังที่คนข้างบนจะลงไปหาคนข้างล่าง" เขามองสบตาแน่นิ่ง
หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าปาดหนมเค๊กเล่น ไม่ใช่เขิลหรอก แต่หญิงสาวครุ่นคิด
ว่าสิ่งที่เขาถามนั้น มันถึงเวลาจริงหรือ
"คำถามนี้ต้องเป็นของมินะ ที่จะถามพี่ปรัช" หญิงสาวเงยหน้าขึ้น
เพื่อสบตากับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้า
และเจ้าของคำถามที่ถามหล่อนครู่ที่ผ่านมา
สิ่งที่ได้แทนคำตอบคือรอยยิ้มกับแววตาที่คุ้นเคย
ที่แสนอบอุ่นเหมือนเมื่อครั้งอดีต...
ความผูกพัน
สามารถทำให้คนสองคนเข้าใจกันและสามารถทำให้อีกฝ่าย
ผ่อนคลายกับเรื่องราวต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
มิรันตรีและปรัช รู้จักกันมานานแล้ว
นับปีนี้ก็ 14 ปี ย่างปีที่ 15 แล้ว
ความผูกพันที่ยาวนาน
ที่อยู่บนฐานของความเหมาะสม ระหว่างกัน
ทำให้ต้องห่างกันไป ปรัช อายุมากกว่ามิรันตี 8 ปี
ย้อนไปเมื่อ 12 ปีที่แล้ว
ศีลธรรม จรรยาบรรณ จริยธรรม ยังครองใจมนุษย์
ลูกศิษย์กับอาจารย์ หากจะคบหาใคร ๆ ก็มองว่าไม่เหมาะสม
ทำให้สองหัวใจห่างกัน
เดินกันคนละเส้นทาง ทางของสองหัวใจกับเดินเคียงเป็นคู่ขนาน
ไม่สามารถจะมาบรรจบกันได้ ปรัชแต่งงานไป
มิรันตรีเลิกการรอคอยนั้นไป แล้วเปิดใจต้อนรับความรู้สึกใหม่
แต่วันนี้
เมื่อสองหัวใจมาพบกัน
ต่างฝ่ายต่างหอบความบอบช้ำมาพบกัน
หัวใจหนึ่งอาจรู้สึกดี....
แต่อีกหัวหนึ่ง กลับรู้สึกผิด.....
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +
เปิดประตูเข้าสู่ห้องแห่งความลับ...
นั่งฟังเพลง "คนข้างล่าง" ของพี่บอย โกสิยพงษ์ ทุกครั้งที่ฟัง
เหมือนตัวเบาล่องไปกับท่วงทำนองของบทเพลง และเสียงร้องนั้นยิ่งทำให้
หัวใจล่องลอยไปแสนไกล....
ทำให้อยากเขียนเรื่องสั้น
สรุปแล้วก็ออกมาได้แบบเรื่องนี้
แต่ไม่มีบทสรุปที่จะจบได้ 555+
:: คนข้างล่าง ::
นั่งปลดปล่อยความคิด ไปกับลมกับฟ้า
ให้ใจมันอ่อนไหวจากความรัก ได้พักผ่อนคลายซะบ้าง
จะได้ไตร่ตรองดูให้ดี สิ่งที่อยู่ในใจคั่งค้าง
ฉันควรทำอย่างไร กับรัก ที่ไม่มีทาง ฮืม..
* อยากรู้ว่าจะมีใครไหม ที่มีความรักแล้วต้องเก็บเอาไว้
และเมื่อได้พบทีไร ถึงแม้ดีใจ ก็ต้องฝืนทำตัวเหินห่าง
ทั้งที่หัวใจอยากบอก แต่ก็ดูเหมือนมีอะไรมาขวาง
จะต้องทำอย่างไร กับรักที่ไม่มีหนทาง
** แม้จะรักเธอ..เท่าไหร่ ฉันต้องคอยบังคับใจฉันให้เหินห่าง
ทั้งที่ใจตัวเองอยากระบายให้เธอรู้..บ้าง
และเธอสูงเกิน..จะใฝ่ เธอคงไม่สนใจในคนข้างล่าง
ที่เขาเฝ้ามองอยู่ ถึงแม้จะไม่มีหวัง
(ซ้ำ *)
ทั้งที่หัวใจอยากบอก แต่ก็ดูเหมือนมีอะไรมาขวาง
จะต้องทำอย่างไร กับรักที่ทรมาน
แม้จะรักเธอ..เท่าไหร่ ฉันยิ่งต้องทำหัวใจฉันให้เหินห่าง
ทั้งที่ใจตัวเองอยากระบายให้เธอรู้...............บ้าง
เพราะเธอสูงเกิน..จะใฝ่ และเธอคงไม่สนใจในคนข้างล่าง
ที่เขาเฝ้ามองอยู่ ถึงแม้ไม่เคยมีหวัง
ฉันต้องทำอย่างไรกับความรักที่ไม่มีหนทาง
(ซ้ำ **,***,***)
ก็ได้แค่มองดู เพราะเขาทำได้เท่านั้น
15 กันยายน 2551 19:25 น.
แมงกุ๊ดจี่
ต้นปีที่แล้ว...
ฉันบอก (หลอก) ตัวเอง
ว่าจะเริ่มต้นความฝันใหม่ เพื่อให้ตัวเองได้มีหวัง
เพื่อพร้อมจะก้าว...
แต่ทว่า...
เมื่อกลางปีนี้...
ฉันพับความฝันนั้น แล้วฝังลึกในรู้สึก...
และวันนี้
ระเห็ดเอา "ค ว า ม เ จ็ บ ป ว ด"
กลับมารื้นค้นความฝันอันเก่าคร่านั้น...
มาปัดฝุ่นใหม่ ให้มันเริ่มก่อตัวมันใหม่อีกครั้ง...
สิ่งที่ทำ...
เพียงหวังจะปลุก "แ ร ง บั น ด า ล ใ จ"
ที่เคยหล่นหายไป คืนกลับมา....
ใช่...
"แ ร ง บั น ด า ล ใ จ"
ได้มายืนที่ตรงนี้
เพราะใครหนึ่ง... ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง...
ของการเดินทางที่ผ่านเมื่อ 14 ปีที่แล้ว...
วันแล้ว วันเล่า...
ความหวังก่อตัว และแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
อุปสรรคนานาผ่านเข้ามาแล้วจากไป
อดทน...
กับ เ ห นื่ อ ย ห น่ า ย แ พ้ พ่ า ย
ก็หลายครา แต่....ปรารถนา "ไ ม่ เ ค ย เ ป ลี่ ย น"
มุ่งมั่นที่จะทำมันให้เป็นจริงขึ้นมา
จะมีประโยชน์อันใดเล่า...
เพราะนั่น....
เพียง "อดีตของเวลาเมื่อ 13 ปี"
เมื่อต้นปีที่แล้ว
ฉันเปลี่ยนปรารถนาไปแล้ว...
แต่ทว่า... ฉันยังเก็บร่องรอยของปรารถนานั้นไว้
ให้รู้สึก อุ่ น อุ่ น อ ยู่ ภ า ย ใ น ใจลึก ๆ
และ "วั น นี้ " ฉันหอบความเจ็บปวด
หวังให้ปรารถนานั้นเยี่ยวยา ความเจ็บปวดหายไป
"รอคอย"
กลับมารอยคอย...
ปรารถนาเพื่อจะได้พบกับ "ใคร"
ซึ่งคาดหวัง ว่ากาลเวลาจะพาเขาคืนมา...
"แ ร ง บั น ด า ล ใ จ"
ที่เคยหล่นหาย ได้คืนกลับมา...
แต่แฝงไว้ด้วย "รู้ สึ ก ผิ ด" ต่อหัวใจใครอีกดวง
ทำได้เพียง...
ก้มหน้าร้องไห้ในห้องมืดอย่างเดียวดาย...
ยามเมื่อใด...
ที่ฟ้าสิ้นแสงแห่งตะวันเจ็บปวดนั้น
กลับมาทำร้ายใจเสมอ ๆ "โปรดยกโทษให้ฉัน"
รอคอย...
การรอคอยที่มีความหมายมากขึ้น...
แต่หัวใจนี้ เจ็บปวด ทรมาน จวนจะแหลกแล้ว.
15 สิงหาคม 2551 12:58 น.
แมงกุ๊ดจี่
(ขอยืมหน่อยหนา รูปใครมะรุ)
โหล...
โหล ๆ 1 2 3.......... อิอิ
โหลๆ โหลเทค...
อะแฮ่ม ๆ
เอ่อ.... คือว่า อยากป่วน เหอ ๆ (ใครถามเมิง) จุ๊ ๆ
คุณผู้อ่านแอบถามในใจแง๋ม ๆ เอิ๊ก ๆ
โหล ๆ โหลเทค
เทคหนึ่ง............
เทคสอง....
เทคแคร์นะค่ะ อิอิ...
วันนี้....
นังลาว (ลาวแมงกุ๊ดจี่) ฮี่ ๆ "บอกไว้ก่อนเด๊ว จะงงกัน
ขอไร้สาระ(แน) วันนึงนะค่ะ อิอิ "บอกไว้ก่อนอีกแร่ะ"
มีเสียงเพลงเป็นเพื่อน
ปล่อยอารมณ์ไปจนได้เรื่องอะดิ
คิดถึงคุณแม่ ของนังลาวขึ้นมาเฉย......
"อิแม่เอ้ย ไปแรดดดดดดด ก่อนเด้อ"
จะตามด้วยเสียงด่า(ม่ายซ่าย ๆ เสียงเตือน)
"บ่จักอยู่เฮือน อยู่ชาน" เจ้แกบ่น อิอิ
โอ้ยคิดถึงคุณแม่คร่าาาา....
ว่าจะเขียนถึงคุณแม่ขา.. ว่าน่ารักแค่ไหน?
แต่เขียนมะค่อยได้บ่อน้ำตาตื้นแตกกระจาย โฮ๊ะ ๆๆๆ คนอ่อนแอ
ก็เลยมารำลึก...
คิดถึง คุณแม่ขราาาาาา ของนังลาว...
หนูรักแม่ค่ะ....
About Me :
๏ ผ่านปัญหาชีวิตมา ตรูรู้สึกว่า ตรูจะบร้าหนักกว่าเดิมอิก
๏ ตรูก็ยังเป็นนังลาว หนักกว่าสาวลาดพร้าวอีก...
๏ ภมูใจในความเป็นไทย และภาคภูมิในความเป็น "นังลาว"
ไปแร่ะ น๊า
ขอบคุณที่แวะมาทักทาย "นังลาว"
อยากไร้สาระ(แน) ดูบ้างสักวันเติมสีสันให้ชีวิต...