7 กุมภาพันธ์ 2553 22:49 น.
แมงกุ๊ดจี่
เสียงกริ่ง...ดังบอกสัญญาณว่าได้เวลา 16.00 น. เป็นเวลาเลิกเรียนแล้ว ดารินกำลังเก็บของบนโต๊ะ ก็มีเด็กชายวิ่งหอบมาหยุดที่หน้าประตูทางเข้าห้องพักครู
"ครูครับ มีคนมารอครูครับ" เสียงเด็กชายบอกแบบหายใจติดขัดเพราะเหนื่อยจากการวิ่ง ดารินสงสัยเพราะปกติไม่เคยมีใครมาหาตน และเวลาอย่างนี้ก็ไม่มีใครมาหากันหรอก
"ใครหรือครับ ? "ดารินถามกลับไป เด็กชายได้แต่ยืนส่ายหน้า บ่งบอกว่าไม่รู้จัก ยิ่งทำให้ดารินสงสัยมากยิ่งขึ้น...นึกทบทวนว่าน่าจะเป็นใครแต่ก็ไม่ได้คำตอบ..
"งั้นไม่ไรเป็นจ๊ะ เทิดศักดิ์ กลับบ้านได้แล้วจ๊ะ" เสียงครูสาวบอก เด็กชายเทิดก็วิ่งไปข้างล่าง
ดารินเก็บโต๊ะ จัดสมุดการบ้านเรียนบร้อยแล้วเก็บของเสร็จรีบเดินลงมาจากชั้นสอง อาคารเรียนมีสองชั้นซึ่งห้องเธออยู่บนชั้นสอง เป็นห้องพักครูเหมือนโรงเรียนทั่วไป แล้วเดินมาถึงหน้าอาคารก็ต้องอ้อ... คนที่มาพบหล่อนก็คนนี้หน่ะเอง คิดว่าเป็นผู้ปกครองมาพบเสียอีก...
แต่ก็อดแปลกใจ ที่ชายหนุ่มผู้นี้มาปรากฏที่นี้ได้ยังไง การมาของเขาทำให้หล่อนฉงนไม่น้อยเลยทั้งที่ไม่เคยบอกว่าอยู่ที่นี่ และทำอะไร แต่ความฉงนก็ทำให้คิดถึงสุภาพสตรีสูงวัย อย่างคุณป้าศรีพรรณ แต่ก็จะมีข้อมูลขนาดนั้นเชียวหรือ...
ชายหนุ่มผู้มาเยือนเดินมายิ้มแฉ่ง เดินตรงมาทางหล่อนแล้ว แต่มัวแต่เก็บของไว้หลังรถทำให้ไม่ได้สังเกต ว่าเขาเดินมาถึงเมื่อไหร่ เมื่อหันหลังกลับมาเพื่อที่จะเดินไปหาเขากลับต้องตกใจ
"อุ๊ย! คุณ" ทำได้เพียงอุทานก็ต้องหยุดหายใจ ตั้งตัว ตั้งสติเสียก่อน
"เห็นผีหรือครับคุณผู้หญิง" ความทะเล้นไม่มีใครเกินจริง ๆ
"สวัสดีค่ะ คุณรณช" หญิงสาวยกมือไหว้ ทักทายผู้สูงวัยกว่า
"สวัสดีครับ " รณช ยกมือรับไหว้ แล้วก็ยิ้มบอกเลิศนัย
"วันนี้ลมอะไรหอบมาค่ะ" ไม่ทันจะถามต่อชายหนุ่มก็ตอบแบบกวนซะ
"ก็ลมคิดถึงคุณไง" ยิ้มกริ่ม
"ค่ะ ขอบคุณมาถ้านั่นเป็น ความรู้สึกจากใจ " หญิงสาวแควะให้ซะ ทำเอาเขากลั่นหัวเราะไว้ไม่อยู่
"ครับ ครับ ผมไปที่บ้านคุณมา แล้วคุณพ่อคุณบอกว่าคุณอยู่ที่นี่ ท่านบอกให้รอคุณกลับ แต่ผมอยากมาดูว่าโรงเรียนที่คุณสอนเป็นยังไงบ้าง" เขาอธิบายยืดยาว เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เขาคิดจริง ด้วยความเจ้าเล่ห์ ก็ต้องการมาดูว่าที่นี่มีคู่แข่งสำหรับหรือไม่ และอีกประการเขาต้องการให้คนที่นี่ ได้รับรู้ว่าเขาคือคนที่จะจองผู้หญิงคนนี้เป็นนัย ๆ
"อ้อ คุณพ่อบอกคุณ มิน่าละ" หล่อนเริ่มจะเข้าใจอะไรมากขึ้นแล้วว่าทุกอย่างเป็นยังไงมายังไงแน่
"แล้วนี่ คุณจะไปไหน? หรือว่ากลับบ้านครับ" ที่เขาถามเพื่อจะได้หาแนวทางเพื่อชวนหล่อนไปทานข้าวหน่ะเอง
"วันนี้ไม่ธุระที่ไหนค่ะ กลับบ้านเลยค่ะ" ดารินตอบไปตามตรง ก็หล่อนเป็นคนตรงนี้ น้องไม้บรรทัดเชียวแร่ะ
"งั่นผมขอทานข้าวบ้านคุณนะ" เขาไม่ได้ถามหล่อนสักนิดว่าเต็มใจหรือเปล่า? หรือชวนหรือเปล่าและเขาก็ไม่เปิดโอกาสให้หล่อนชวนหรอก เพราะเขารู้ว่าหล่อนไม่ชวนเขาแน่
"ผลึกคนจังคุณ ฉันยังไม่ได้ชวนคุณเลยนะ" ดารินรีบเตือนคนเจ้าเล่ห์
"ผมรู้ว่าคุณไม่ชวนผมหรอก" เขาตอบพร้อมกับจ้องหน้าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า
"รู้ตัวอีกนะค่ะ งั่นก็เอางี้เราไปตลาดกัน คุณไปช่วยฉันถือของด้วย" หญิงสาวรู้ว่าไล่เขาก็ไม่ยอมแน่จึงชวนเขาไปด้วยเลย
รณช ทำหน้าที่ผู้ช่วยได้อย่างดี สงบเสงี่ยม ถือของให้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ทั้งที่วันนี้ดารินเหมือนแกล้งเขา เขาเองก็รู้ ซื้อได้ไงข้าวสาร มัน เผือก ฝักทอง มีแต่ของหนัก ๆ ทั้งนั้นเลย จงใจชัด ๆ เขาคิดแต่ก็ยอมทำตามในเมื่อเขาเองเป็นคนขอไปทานข้าวบ้านหล่อนก็ต้องยอมเขาล่ะ
เมื่อทานข้าวเย็นรีบร้อยแล้ว... ทั้งสองก็นั่งคุยกันอยู่ที่ระเบียงด้านนอก ด้านในเป็นห้องนั่งเล่นที่คุณปาร์นนท์ กับคุณดาวรุ่ง นั่งมองสองหนุ่มสาวอยู่ท่านสองก็ชื่นชม รณช ไม่น้อยด้วยรู้จักก่อนนี้แล้ว ดารินเองไม่มีโอกาสได้รุ้จักกับเขาเพราะไปเรียนและทำงานที่อื่น จนไม่ค่อยได้กลับมาบ้าน บิดาและมารดาจะเดินทางไปหาหล่อนมากกว่า ทำให้ไม่มีโอกาสได้รู้จักกับเพื่อนๆ ของทั้งคู่ ดารินมีน้องชายร่วมบิดา-มารดาคนหนึ่งตอนนี้ทำงานอยู่ต่างจังหวัด เหตุผลนี้เองที่ทำให้หล่อนต้องกลับมาอยู่กลับบิดา-มารดา เพื่อดูแลบุพการีนั้นเอง ทำให้มีโอกาสได้พบกับรณช
"นี่คุณ ฉันถามคุณจริงๆ นะ คุณจีบฉันเหรอ?" ดารินจ้องตาเขา แบบเอาคำตอบทำเอาเจ้าตัวม้วนเชียว
"คุณ คุณเป็นผู้หญิงนะ" เขาจ้องตอบ ปนกยิ้มมุมปากแบบยี้ยวนซะ
"ฉันเคยบอกคุณแล้วไง ฉันชอบพูดตรง ๆ และอีกอย่างเราสองคนอายุก็สามสิบ Up แล้วนะ" หล่อนอธิบายแก่เขา
"ก็จริง เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำแบบเด็กวัยรุ่นก็ไม่เหมาะ ก็อย่างที่คุณเข้าใจผมจีบคุณ" เขายอมรับแต่โดยดี
แต่อีกฝ่ายไม่ได้ยินดี ยินร้ายกับคำที่เขาเอ่ยบอก เพราะหล่อนเองก็รู้อยู่แก่ใจและพ่อจะเดาสถานการณ์ต่าง ๆ ออกแล้วว่าผู้ใหญ่เป็นคนจัดการเรื่องนี้แน่นอน หล่อนชักจะแน่ใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม...
"คุณชอบฉัน ทั้งที่ไม่รู้ว่าฉันชอบคุณหรือเปล่างั่นเหรอ?" หล่อนปล่อยคำถามทำเอาเจ้าของคำตอบมีสีหน้ากังวลไม่น้อย
"ใช่ผมชอบคุณ ทั้งที่ไม่รู้ว่าคุณคิดยังไง แต่ผมก็อยากจะทำให้ดีที่สุด" เขาตอบตามตรงสิ่งที่เขาคิด ทำไมเขาจะไม่คิดว่าเขาจะมีสิทธิ์ได้หัวใจดารินหรือไม่ เพราะผู้ใหญ่ให้ข้อมูลก็ตามที่ผุ้ใหญ่รู้และเข้าใจ เขาต้องเสี่ยงบุกรุกเข้ามา เพื่อค้นให้เจอคำตอบด้วยตัวเอง
"แต่เท่าที่ผมรู้ ตอนนี้คุณก็ไม่ได้มีใคร" เขาพูดจบก็สบตาเพื่อขอคำตอบ
"ฉัน....ใช่ไม่มีใคร แต่ไม่ใช่ไม่เคยมีใคร" คำตอบทำเอาเจ้าของคำถามใจแป๋วไม่น้อย แสดงออกชัดเจนทางสีหน้า
"นั่นมันเป็นเรื่องที่เราไม่ควรรื้อฟื้นให้มันกลับมาทำร้ายใจอีกนะ ในความคิดของผม" เขายังคงบอกแนวคิดที่เป็นของเขาเสมอ
"ประสบการณ์ความรัก ที่ไม่ประสบความสำเร็จนั่นจะกลายเป็นเรื่องราวที่น่ากลัวสำหรับเรา" ดารินจ้องมอง รณช ว่านี่คือคำตอบ
"คุณไม่ตอบตามตรง เหมือนปากบอกว่า ชอบตรงๆ " เขาทวงคำพูดที่ตกลงกันไว้
"คุณไม่ได้ถามฉันตามตรงนี้" หล่อนแย้งสิ่งที่เขาพยายามต้อนให้หล่อนจนมุม กับเรื่องราวที่เขาพยายามค้นหา
"ผมเชื่อความรู้สึก และซื่อสัตย์กับความรู้สึกของผมเอง ว่าผมชอบคุณ" เขาชี้แจงความเป็นเขาล่ะ รณช..
"ฉันอาจชอบคุณสักวัน แต่ทุกคนต้องทำตามหัวใจตัวเอง" ดารินหยุดพูด แล้วจ้องมอบสบตาเขา
"ใช่เรื่องหัวใจของใคร ก็หัวใจของคนนั้นจะบังคับกันไม่ได้" เขาหยุดพูดแล้วเบือนใบหน้ามองออกไปที่สวน
รณช ขับรถเพื่อเดินทางกลับ ระหว่างทางเขาคิดถึงประโยชน์ที่ดารินบอกกับเขาก่อนที่จะขึ้นรถ
"ความรักเป็นเรื่องของหัวใจเป็นสิ่งที่ต้องทำตามหัวใจ แต่ฉันมีปัจจัยสำคัญมากกว่าการทำตามหัวใจเรียกร้องเพราะการทุ่มเทให้กับความรัก แบบไม่มีเหตุผล มักจะทำให้ความรักล้มเหลว"
นั่นเป็นประโยคที่หล่อนบอกเขาก่อนจะขึ้นรถแล้วขับออกมา สำหรับเขาแล้วสิ่งที่ทำอยู่ในขณะนี้คือทำตามหัวใจ ในเมื่อเขาชอบผู้หญิงคนนี้ และผู้หญิงคนนี้มีอะไรหลายอย่างที่ไม่เหมือนผู้หญิงที่ผ่านมาของเขา ดารินเป็นคนที่น่าค้นหา แต่บางเสี้ยวนาที แววตาที่เขาจ้องมองนั้นกับมีความเศร้าซ่อนไว้ภายใน...
รณช...รู้ว่าไม่ง่ายนัก ที่จะชนะใจผู้หญิงอย่างดาริน...
2 กุมภาพันธ์ 2553 20:46 น.
แมงกุ๊ดจี่
"คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม? " เสียงชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในมุมระเบียงทักถามจนดารินตกใจระคนแปลกใจว่าเสียงที่ถามนั้นถามเธอหรือเปล่า เธอทำหน้าแบบงง และมองใบหน้าคมสันที่รับกับแสงสลัวๆ ของไฟที่สาดมาจากห้องจัดเลี้ยง และสบตาเป็นสัญญาณว่าถามเธอหรือเปล่า? "ก็คุณนั่นแหละ ผมไม่ได้บ้าพูดคนเดียวหรอก" เสียงเขาส่งมาพร้อมแววตาค้นหา "ฉันเหรอ? " แต่ในใจก็คิดว่าไม่บ้าเหรอ? นายนั่นแหละบ้าชัด ๆ ฉันไม่รู้จักนายซะหน่อย "อืม...ใช่ ผมถามคุณนั่นแร่ะ ผมเห็นคุณตั้งแต่เดินออกมาแล้ว แต่คุณไม่ยักกะเห็นผม" เขาสาธยาย
อะไรกันผู้ชายคนนี้ ทำให้ภายในใจดารินคิดกลัวขึ้นมา ตานี่โรคจิตหรือเปล่านะ ทำให้ต้องโมโหตัวเอง บ่นในใจว่านี้ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยนะที่หนีออกมาจากงาน เพียงเพราะเซ็งกับเหตุการณ์ภายในงาน มันไม่คุ้มกันเลย กับเหตุการณ์ที่ต้องเจอในตอนนี้ ไม่รู้จะต้องมาถูกตาบ้านี่ลวนลาม หรือจับเป็นตัวประกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ (โหคิดไปได้ไงเนาะ) สิ่งที่ทำใด้เพียงเงียบและจ้องหน้าบุรุษที่อยู่เบื้องหน้า ที่ห่างกันราวสามเมตร พยายามสังเกต ว่ากิริยาอาการท่วงท่าประมาณไหน เมา หรือ กำลังหื่น บ้ากาม หรืออะไรก็แล้วแต่
"คุณไม่ต้องกลัวผมหรอก ผมรู้คุณกำลังกลัว และอยากบอกว่าผมไม่ได้เมาแค่มึน" เขาสาธยาย(พล่ามมากกว่า) เขาหันมามองหน้าที่ตื่นกับเหตุการณ์ ทั้งรู้ว่าผู้หญิงตรงหน้านี้สวย เมื่อได้สบแวววาที่มาดมั่นนั้น ทำให้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ ไม่เพียงแต่สวยยังน่าค้นหาในความสวยเรียบแต่เก๋ ยิ่งพิศดวงหน้ายิ่งละมุนตา ระหว่างที่จ้องดวงหน้าที่คล้ายต้องมนต์สะกด ทำให้เขาสำนึกได้ว่าเขาเสียมารยาทกับผู้หญิงคนนี้ซะแล้ว ทำให้เขาตื่นจากภวังค์ที่ครุ่นคิดก่อนหน้าหญิงสาวผู้นี้จะเดินออกมาทำลายความคิดเขา จนกลายเป็นเรื่องให้เขา คิดหาเรื่องสนุก ๆ ทำและเธอกลายเป็นเหยื่อให้เขาเล่นตลก...
แต่อีกฝ่ายไม่ได้สนุกด้วยเลยสักนิด ความหวาดหวั่นหวาดกลัวผุดขึ้นมาพร้อมตั้งรับอยู่ตลอดเวลาแววตาที่จ้องมองผู้อยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาระแวงระวัง และมาดมั่นพร้อมรับกับสถานการณ์
"ผมขอโทษคุณครับ ผมมองไม่ถนัดเมื่อสักครู่" เป็นคำแก้ตัวน่ารังเกลียดยิ่งในความรู้สึกของดาริน
"คุณเมาหรือเปล่า" หล่อนถามพร้อมจ้องหน้า
"ป่าวครับ ผมแค่มึนกับไวน์นิดหน่อยเท่านั้นเอง" เสียงเขาพูดเหมือนล้อ ๆ
"ดิฉันขอตัวก่อนค่ะ" ยังจะรักษามารยาทอีกนะ คุณผู้หญิง อะไรจะในเย็นปานนั้น
ในความใจเย็นและให้อภัยนี้เองที่ทำให้ชายหนุ่ม ที่เสียมารยาทกับเธอแอบชื่นชมอยู่ลึกลึกเขายอมรับว่าผู้หญิงคนนี้นิ่ง และเหยียบบางแว๊ปที่แววตาท่อประกายทำให้น่ากลัวดุจเสือร้ายใจรู้สึกชอบผู้หญิงคนนี้ที่สวย แต่ไม่โดดเด่น แต่ยามมองก็สง่าละมุนในความเรียบหวานซ่อนอยู่เขาจะปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้กลับไปเจอชายหนุ่มอีกสิบภายในงานเลี้ยงได้อย่างไร...
"อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนไม่ได้หรือครับคุณผู้หญิง" เสียงทุ่มแต่ฟังนุ่มกว่าที่ผ่านมา
"ฉันต้องขอตัวค่ะ ผู้ใหญ่ท่านรอนานมากแล้ว" นางเอกได้อีก ดาริน
ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยปากเพื่อเซ้าซี้หญิงสาวเพื่อให้อยู่คุยเป็นเพื่อน ก็ผละเสียก่อนเมื่อสตรีวัยกลางคนกำลังเดินออกมาพ้นประตูแล้วกำลังเดินตรงมาหาเขา ที่ยืนเผชิญหน้ากับหญิงสาวในชุดราตรีพลิ้วด้วย ผ้าซีฟรองซ์สีฟ้าคุมเข่าดูเรียบแต่หรู กับท่วงท่าที่นิ่ง บางเสี้ยวนาทีก็ดูน่าสพึงแทบใจหาย
"อ้าว หนูรินมาอยู่นี่เอง รู้จักกันแล้วเหรอ? จ๊ะ " สตรีผู้นี้ก็คือป้าศรีพรรณที่เป็นเพื่อนป้าสร้อยทอง เป็นญาติทางเจ้าบ่าวนั้นเอง ซึ่งหล่อนก็เพิ่งรู้จักก่อนเข้ามาในงานด้วยการแนะนำของป้าสร้อยทอง
"คุณป้า มีอะไรกับรินหรือเปล่าค่ะ" หญิงสาวยิ้มต้อนรับผู้มาเยือนด้วยใบหน้าอ่อนหวานและไม่พ้นสายตาชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกลไปได้ ทุกกิริยาเขาเก็บไว้เป็นข้อมูลเสียแล้ว
"จ๊ะ ก็คุณสร้อยเขาถามหาหนูริน ป้าก็อาสาเดินมาตามจะมาตามหาลูกชายตัวแสบของป้าด้วยจ๊ะ"ป้าศรีพรรณ ที่อ่อนโยน และใจดี สาธยายการมาขัดจังหวะของสองหนุ่มสาว ซึ่งดารินคิดว่านั้น ถือว่าเป็นโชคดีที่ป้าศรีพรรณมาทันเวลาก่อนที่อะไรร้าย ๆ จะเกิดขึ้น
ดารินรู้ทันที่ว่าบุคคลที่สามในการสนทนาเป็นบุคคลเดียวกันที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากหล่อนทำให้ต้องหันไปมองหน้า ที่กำลังจ้องมองมาอย่างไม่วางตาแบบไม่กระพริบ...
"รู้จักกันหรือยังจ๊ะ ถ้ายังเดียวป้าจะแนะนำให้รู้จักจ๊ะ " ป้าศรีพรรณจัดแจงแนะนำสองหนุ่มสาวให้รู้จักันไว้
"นี่จ๊ะ รณช ลูกชายป้าจ๊ะ " ป้าแนะนำบุรุษอัตพาลที่เสียมารยาทกับดารินด้วยไม่รู้ว่าก่อนนี้พ่อตัวดีทำอะไรไว้ดารินไหว้บุรุษที่อยู่ตรงหน้า แต่แววตาหมายคาดโทษเสียแล้ว
"รณช ดาริน โรจน์กาญกิจ ลูกสาวเพื่อนแม่ เป็นหลายสาวของป้าสร้อยทองจ๊ะ" ป้าศรีพรรณ พรรณนาซะยาว
รณช มองหญิงสาวที่มีแววตาคาดโทษ ด้วยแววตาขี้เล่น และยี้ยวน ทำให้หญิงสาวไม่สบอารมณ์แต่ก็ต้องข่มไว้ ต่อหน้าผู้ใหญ่ต้องเรียบร้อยไว้
"สองคนรู้จักกันเป็นทางการแล้ว เข้าไปข้างในกันไหม? จ๊ะ หรือจะคุยกันต่อข้างนอก" ป้าศรีพรรณมาเพื่อสิ่งนี้หรือช่างได้จังหวะเสียจริงนะ ซึ่งแท้จริงแล้วป้าศรีพรรณ และป้าสร้อยทอง หมายหมั่นจะให้สองคนนี้รู้จักกันในการนี้ เป็นเรื่องที่คิดไว้ก่อนแล้ว ซึ่ง รณช ก็รู้ดีว่ามาออกงานกับมารดาครานี้ต้องมีการดูตัวเป็นแน่ แต่ไม่รู้ว่าหญิงสาวที่กระหายผู้ชายคนนั้นจะเป็นใคร การมาที่นี่ของ รณช ถือเป็นเรื่องร้ายร้ายสำหรับเขาทีเดียว แต่เขาก็ต้องยอมมาเป็นเพื่อนมารดาแต่โดยดี เพราะไม่มีเหตุผลใดจะขัดขืนเขาเองก็เพิ่งเลิกกับ ริต้า หรือ "ริศฤา" ที่เธอพบรักใหม่ ทำให้เขาเซ็งกลับชีวิตจนต้องออกมานั่งที่ระเบียง จนเกิดเรื่องเข้าใจผิดกับหญิงสาวที่สวย...
แต่อีกฝ่ายไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย บิดาหล่อนบอกว่าไม่สามารถออกงานได้และไปกับหล่อนไม่ได้เพราะรู้สึกไม่ค่อยสบายบิดาของหล่อนก็สมรู้กับเพื่อนสาวอย่างป้าสร้อยทองแล้วนั่นเอง เหตุผลคือหล่อนเบื่อกับการใช้ชีวิตแบบนี้ที่ไม่เคยมาก่อนและในงานหล่อนก็ไม่รู้จักใครเลยนอกจากป้าสร้อยทอง และน้องก้อย ที่เป็นเจ้าสาวในคืนนี้...
"ครับ เราจะคุยกันสักพักค่อยเข้าไปครับ" เสียง รณช ชิงบอกมารดาก่อนที่สาวเจ้าจะชิ่งหนีเข้าไปในงานเพราะเขารู้สึกชอบผู้หญิงคนนี้ซะแล้ว เพราะในแววตานั้นช่างท้าทาย น่าค้นหาสิ่งที่ซ่อนอยู่เหลือเกิน สัญชาติญาณความเจ้าชู้บอกเขาอย่างนั้น..
ดารินได้แต่ยิ้ม แต่แอบส่งตาเขียวไปหาคนต้นเหตุที่ทำให้ต้องมาทนกับผู้ชายห่วย ๆ ที่เสียมารยาทคนนี้ หลังจากที่ผู้มาเยือนได้กลับเขาไปร่วมงานภายในห้องเลี้ยงรับรอง ก็ทิ้งให้สองหนุ่มสาวอยู่ในความเงียบ แต่ก็เงียบได้ไม่นาน เพราะความนึกหมั่นไส้ของดารินที่มีต่อชายอัฒพาลที่ยืนเคียงข้างพิงขอบระเบียงอยู่ห่างราวเมตรได้ หล่อนฆ่าความเงียบให้ตายลง...
"คุณมีอะไรจะคุยก็ว่ามา " หญิงสาวไม่พูดพล่ามให้เสียเวลา
"ป่าวผมแค่อยากทำความรู้จักกับคุณ และทำความเข้าใจกับคุณให้มากขึ้นก็เท่านั้น" เขาบอกพร้อมมองหน้า
"แค่นี้ งั่นฉันไป" ใบหน้างอน มุ่ยเสียแล้วแต่ก็น่ารักในสายตาของคนที่พยายามเย้าให้เหง้างอด..สมใจเขาล่ะ
"เดี๋ยวสิ ผมรู้คุณอยู่ข้างใน ก็ไม่สนุกเท่าไหร่หรอก สู้อยู่คุยเป็นเพื่อนกันไม่ดีกว่าเหรอ?" ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอ
แต่เป็นข้อเสนอที่เขามีแต่ได้ และเขาคาดไว้แล้วว่าหล่อนต้องตกลง...เห็นฟ้องตามเขา ทั้งที่เขาเองก็รู้ว่าหญิงสาวโกรธเป็นไฟแล้ว...แต่ก็ยังตอแยได้อีก คริๆ
ดารินนิ่งสักครู่ก่อนผ่อนลมหายใจ แล้วเดินไปนั่งเก้าอี้ชุดที่มีอยู่ในมุมของระเบียงก่อนที่หล่อนจะเดินออกมา รณช ก็นั่งอยู่ตรงนั้น ดารินจ้องมองชายหนุ่มที่เมื่อนั่งได้เหมาะแล้ว ซึ่งเขายืน ตรงข้างได้องศาพอที่จะสบตาคนที่นั่งได้ถนัดชัดเจน..
"ก็ได้วันนี้เราจะคุยเป็นเพื่อนกัน ฉันให้โอกาสคุณหาเรื่องมาคุยก่อน แต่ไม่เน้นเป็นคำถามเพราะฉันอาจไม่ตอบ" หญิงสาวแจ้งคู่สนทนาก่อนเปิดเวทีสนทนาที่เขาอาจถามจู่โจมโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม นั้นเป็นการกันไว้ก่อน
"ขอบคุณครับคุณผู้หญิง ที่มอบโอกาสแก่ผม" เขาเสียงทะเล้น ก่อนจะเดินไปยืนหลังพิงขอบระเบียง
"ฉันชอบอะไรตรงๆ คุณไม่ต้องอ้อมค้อม เราคุยกับได้สบาย ๆ ฉันจะลืมเรื่องที่ผ่านไม่กีนาทีนั้นซะ" หญิงบอกแกมประชด
"ผมก็ไม้บรรทัดละครับ คุณผู้หญิง" แล้ว เขาก็ยิ้มกริ่มบอกนัย ว่าจะเริ่มแล้วนะเตรียมมือให้ดี
สองหนุ่มสาวเหมือนจะคุยกันได้ถูกคอ รณช ประทับใจในท่วงท่าการว่างตัวของหญิงสาวที่คุมสถานการณ์ได้ไม่ตื่นกลัวเพียงแต่การพบกันกลับไม่ประทับใจอีกฝ่ายสักเท่าไหร่นัก แต่การสนทนา ในค่ำคืนนี้ก็ทำให้ดารินมองเขาดีขึ้นบ้าง...
การสนทนากิริยา ท่วงท่า ของสองหนุ่มสาวอยู่ในสายตาของสตรีสูงวัยทั้งสอง พลอยทำให้ทั้งสองยิ้มกริ่มกับภาพที่เห็นงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา งานแต่งงานเป็นความสุขชื่นของเจ้าสาวและเจ้าบ่าว ที่กำลังจะสร้างครอบครัวใหม่ อีกครอบครัวหนึ่ง
"ดึกแล้วฉันต้องกลับแล้วค่ะ คุณรณช" หญิงสาวเอ่ยเมื่อแขกในงานเริ่มถยอยกันกลับ
"ผมไปส่งคุณไหม? "เขาถามเพื่อนคุยเพลินเขาไป
"อย่าดีกว่าค่ะ ฉันเอารถมา" เธอชี้แจง
"จดไว้นี้ก็ได้พรุ่งนี้ค่อยมาเอาก็ได้นี่ครับ" รณชแนะนำ
"ไม่ดีกว่าค่ะ เพราะพรุ่งนี้ฉันต้องไปทำงาน" เธออธิบายเหตุผลแก่เขา
"คุณมีเพื่อนกลับไหม? นี่ก็ดึกแล้ว" เขาถามเพราะห่วงความปลอดภัยของหญิงสาวจริง ๆ
"กลับคุณป้าไงค่ะ ขอบคุณสำหรับแนวคิดใหม่ ๆ นะค่ะ" หญิงสาวกล่าวขอบคุณสำหรับการสนทนาในวันนี้
ดารินเดินเข้าไปในห้องเลี้ยงรับรองยังไม่ทันพ้นประตูทางเข้า ก็ต้องหันกลับ
"ผมเริ่มจะเชื่อเรื่องพรหมลิขิตแล้วล่ะ" เขาตะโกนให้ดังพอทันที่ดารินจะก้าวพ้นประตูไปหญิงสาวหันมามองด้วยแววตาไม่เห็นค้นหา และไม่ได้ขัดแย้ง..กับสิ่งที่เขาบอก...
"พรหมลิขิต กำลังจะโยงสองหัวใจมาผูกไว้เป็นใจเดียวหรือว่า พรหมลิขิตเพียงพิสูจน์ดารินเท่านั้น"
27 มกราคม 2553 22:04 น.
แมงกุ๊ดจี่
........ในโลกใบกลมๆ ยังมีอะไรพิเศษที่สามารถเกิดขึ้นได้อีกมากมาย
เพื่อ "เรียนรู้" ดำเนินไปในช่วงระหว่างการเดินทางของชีวิตของหัวใจ
การค้นพบ...
เรื่องราวที่พิเศษจะมีสักคนกี่คนที่จะพบ และในการค้นพบนอกจาก
หัวใจเราเอง ที่จะค้นเจอความพิเศษ บางทีความพิเศษความรู้สึกนั้นอาจ
เกิดขึ้นมานานแล้ว และนานมาก จนลืมไปและเมื่อถามหาเหตุผลเรากลับ
ค้นไม่เจอว่ามาจากอะไร ตั้งแต่เมื่อไหร่...
กับ "เรื่องจริง" ต่อจากนี้ไป
กับเสียงเพลงที่พูดแทนหัวใจ....
การสร้างแรงบันดาลเพื่อให้ผ่านพ้นพายุที่โหมซัดระหว่างการเดินทางของชีวิต
บางที "ข้อความ" บางอย่างจากใครที่ไหนก็ไม่รู้ก็ทำให้มีแรงพลังมหาศาล
และคำบางคำอาจมีอานุภาพทำลายล้างได้อย่างเหลือเชื่อ...
ความรู้สึกที่แสนพิเศษทำให้หัวใจค้นพบจังหวะการเต้นที่เปลี่ยนไป
แต่ก็ไม่อาจรู้ได้คำว่า "พิเศษ" จะเปลี่ยนไปเป็น "ธรรมดา" เมื่อใด
เพราะบางทีมันอาจจะเลือนหายไปโดยที่เราไม่รู้ตัว หรืออาจจะคงอยู่
หรือจะเพิ่มจาก "พิเศษ" ไปเป็น "พิเศษสุด" ยากจะคาดเดาได้
หลาย ๆ คนบอกว่าให้หยิบให้คว้า โอกาสที่มีก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป...
ไม่หรอก...ไม่
ฉันพึงคิดอยู่เสมอว่าทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้ว...
เหตุผลหรือว่าทำถึงคิดเช่นนั้น เหตุการณ์หลายอย่างที่ประสพมา
บางเหตุการณ์ไม่ต้องการ ฝืนสุดฝืนแต่ทุกอย่างก็ยังดำเนินไปตามทางของมัน
เพราะนั่นเป็น "รอยกรรม"
อยากปล่อยให้ทุกอย่าง...
เป็นไปเพราะโชคชะตาลิขิต หรือเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาแล้ว
เคยมีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเอ่ยลอยๆ ว่า "ให้เชื่อความรู้สึกแรก"
ฉันไม่เคยเชื่อความรู้สึกแรกเลย หากมีตัวเลือกที่สองฉันมักคิดว่าสิ่งใหม่
อาจจะดีกว่า...ฉันไม่เคยเชื่อความรู้สึกแรกนั้น เพราะบางที
ความเชื่อมั่นเกินไปนั้นจะปิดโอกาสให้ได้รับรู้เรียนสิ่งใหม่ที่จะมีเข้ามา...
แต่ถ้าปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามแต่ลิขิตฟ้า...
ชีวิตก็ต้องดำเนินไปอย่างนั้น และสุดท้ายความรู้สึกแรกที่ว่าใช่ก็จะเลือนหายไป.
ประโยคหนึ่งนี้ที่คล้ายระเบิดเวลาที่นับวันใกล้เข้ามาทุกที ทุกที
พยายามที่จะยื้อเวลาไว้แต่เข็มนาฬิกายังเดินไปไม่เคยหยุด
ยังรักษาระดับไว้ให้คงที่ อยากเข้าใกล้ แต่ไม่กล้าเข้าใกล้จนเกินไป
พึงคิดเสมอว่า...สักวันหนึ่งความรู้สึกนี้ อาจจะค่อย ๆ เลือนหายไปเรื่อยๆ
และเขาอาจจะถอยห่างไปเรื่อยๆ แล้วเลือนหายไปในที่สุด...
เรื่องจริง...
คือฉันเชื่อแรงบันดาลที่มีในใจนี้ว่ามาจากความรู้สึก...
ที่ตอนนี้ไม่ว่างเปล่าเหมือนเคยเป็น...แต่ก็ไม่ได้เชื่อมั่นนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุด.
1 ตุลาคม 2552 14:15 น.
แมงกุ๊ดจี่
วันนี้...เป็นอีกวันที่ฉันพอใจ...
บรรยากาศครึ้ม อากาศหนาว ลมเย็น ฝนพรำ...
นั่งทำงาน ทำงานแต่ก็เผลอลอบมองออกไปนอกบานกระจก
หน้าต่างบานใส ที่มองเห็นสายฝนเรียงเส้นสวย...
อารมณ์เตลิดออกไปถึงไหนไหนเสียแล้ว
"เหงา" เป็นความรู้สึกที่ละมุนนะ ละเอียดอ่อนด้วยล่ะ
ยังไง คุณคงงง กันแล้ว ความเหงาเป็นช่วงเวลาที่เราอยู่คนเดียว
เรามักปล่อยความคิดล่องลอยออกไปนอกกรอบ ในชีวิตที่กำลังดำเนินไป
สิ่งหนึ่งที่ฉัน "เชื่อ" เชื่อมั่นมากด้วย
มีหลายคน หลายหัวใจ ที่ตอนนี้ก็คงไม่ต่างจากฉัน
แต่เหตุและผลคงต่างออกไป แล้วแต่ปัจจัย สิ่งแวดล้อมรอบกาย
รวมไปถึงสิ่งรอบข้างต่าง ๆ ครอบครัว เพื่อนพ้อง สภาพสังคมที่ดำรงอยู่
วันนี้...ฉันเหงา
เพราะสายฝน หรือเสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆ ในยามนี้หรือไม่
มันทำให้ฉันนึกย้อนถึงอดีต ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับฉัน แต่ทุกครั้ง
เมื่อใดที่นึกย้อนกลับไป อารมณ์กแตกต่างกันไป...
แต่ในยามนี้ ฉันรู้สึก...เหงา โดดเดี่ยว เดียวดาย ในหนทางที่เป็นอยู่
อาจเป็นเพราะเพลงที่เปิดคลอเบา ๆ อยู่รอบกายในเวลานี้
"ดินแดนแห่งความรัก" คือเพลง
ประกอบภาพยนต์ "สะบายดี หลวงพระบาง"
ต้องสารภาพว่า ฉันไม่ได้ดูภาพยนต์ เหตุผลหรือ "ฉันไม่ชอบดูภาพยนต์"
และ "ฉันไม่ชอบดูทีวี" ประสาทสัมผัสทางสายตาฉันไม่เอื้ออำนวยในเรื่องนี้
ทุกครั้งที่เพื่อนพ้อง คนพิเศษชวนฉันไป ดูภาพยนต์สักเรื่อง
ต้องมีเสียงกระแนะกระแหนจนเบื่อจะฟังเป็นประจำว่า "เลิกคบกันเลยนะว้อย"
ฉันได้แต่นั่งยิ้ม และขำสิ่งที่เพื่อน ๆ กล่าวขู่มา..
กลับมาที่ ภาพยนต์ร่วมทุนระหว่างไทยกับลาว "สะบายดีหลางพระบาง"
ฉันติดตามอ่านบ้างแต่ก็รู้ไม่มากนักก็พอรู้บ้างฉันชอบอ่าน ชอบเขียน ชอบฟัง
ชอบคิด มากกว่าการมานั่งดูและพูด มันทำให้เสียเวลา เพราะต้องจดจ่อกับ
ภาพที่ฉายอยู่เบื้องหน้า และอีกอย่างฉันมีปัญหาด้านสายตา
จึงทำให้ลำบากในการเพ่งมอง ทั้งที่ความจริงในชีวิตประจำวันฉันต้อง
นั่งทำงานหน้าคอมพ์ เกือบจะตลอดเวลาฉันจึงคิดเอาเองว่าหมดเวลางานแล้ว
ฉันต้องพักสายตา ถนอมสายตา แต่หนักไปทางใช้ประสาทในการได้ยินเสียง
และในเวลานี้...
เสียงเพลงฉันยังคงเปิดวนไปมาซ้ำ หลายรอบแล้ว
แข่งกับเสียงฝนที่ตกพรำ ๆ อยู่ตลอดทั้งวัน ตั้งแต่เช้า นี้ก็บ่ายแล้ว
เพลงนี้ฉันไม่เคยฟังมาก่อน เพิ่งจะฟังวันนี้เอง พอได้ยินก็ชอบทันที
อืม.ทำให้อยากรู้ว่าคนแต่งเค้ารู้สึกยังไงน๊า ตอนที่เขาแต่งเพลงนี้ทำให้อยากรู้
เหตุที่ได้ฟัง เพราะแอบไปอ่าน Diary ของน้องสาวที่รักมากคนหนึ่งที่อกหักมั่ง
และอ่านเรื่องราว พร้อมกับฟังเพลงนี้...
คงจะมีรักจริงรออยู่ที่ดินแดนใดสักแห่ง
คงมีใครสักคนรออยู่ตรงนั้น
คงมีความหมายใดซ่อนอยู่ในการรอคอยที่แสนนาน
คงจะมีสักวันฉันคงได้เจอ
เจ็บมาแล้วตั้งกี่ครั้ง เมื่อความรักพังทลาย
จะมีใครที่เป็นคนสุดท้าย
เธอคนนั้นอยู่แห่งไหน จะไกลแสนไกลเท่าไหร่
ก็จะไปที่ดินแดนแห่งนั้น
จะขอเอาคำว่ารักทุกคำที่ฉันได้เคยเอ่ย
จะขอมันคืนจากใครที่เคยผ่านเข้ามา
จะขอรวมคำว่ารักเหล่านี้ ทวีความหมายและคุณค่า
จะขอเอามามอบไว้ให้เธอผู้เดียว
ข้ามขอบฟ้า แผ่นน้ำ หรือขุนเขาทะเลทราย
ไกลเท่าไหร่จะไปให้ถึง
คงจะมีรักจริงรออยู่ที่ดินแดนใดสักแห่ง
คงมีใครสักคนรออยู่ตรงนั้น
คงมีความหมายใดซ่อนอยู่ในการรอคอยที่แสนนาน
คงจะมีสักวันฉันคงได้เจอ
ข้ามขอบฟ้าหรือขุนเขา ข้ามแผ่นน้ำทะเลกว้างใหญ่
แต่ฉันจะไปหาเธอ
จะขอรวมคำว่ารักเหล่านี้ ทวีความหมายและคุณค่า
จะขอเอามามอบไว้ให้เธอผู้เดียว
คงจะมีรักจริงรออยู่ ที่ดินแดนใดสักแห่ง...
ฟังเพลงนี้ ฟังไปซ้ำ ๆ
ทำให้คิดย้อนกลับไปหลายเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว
ฉันเป็นคนชอบยึดติดกับอดีต ข้อนี้ฉันยอมรับ ว่าใช่
ฉันชอบคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ทุกห้วง ทุกช่วง ของอารมณ์
ความสุขมีมั้ย...มีแต่น้อย เหลือเกิน...
ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเอ่ยกับฉัน
"เธอรู้ตัวหรือเปล่า ว่าเธอเปลี่ยนไป แปลกไปมาก"
ฉันไม่มีคำตอบ ฉันพยายามแล้ว ที่จะสดชื่นสดใสเหมือนที่ผ่านมา
"เธอไม่เหมือนเดิม เธอรู้บ้างไหม กับทุกคนเธอไม่เหมือนเดิม"
ฉันต้องกลับมาถามตัวเอง ฉันผิดหรือ...ที่เปลี่ยนไป
แต่ฉันก็อยากจะแย้งคำพูดนั้นซะเหลือเกินว่า...
"ฉันไม่เคยเปลี่ยน แต่ทุกคนต่างพยายามเปลี่ยนฉัน"
"วันเวลาเปลี่ยนผันไป ทุกคนเป็นในแบบที่ฉันไม่เคยรู้"
"ทุกคนทำให้ฉันระแวง ทำให้ฉันมองเห็นใบหน้าภายใต้หน้ากาก"
"ทุกคนรอบกายเปลี่ยนหรือเป็นฉัน"
อาจใช่...
ฉันเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเพราะใคร...
"เพราะตัวเอง" หรือ "เพราะคนรอบข้าง" เป็นคำถาม
ที่วันนี้ฉันกลับมาค้น ในความคิดที่เหม่อลอยออกไปกับสายฝน...
มีเพียงไม่กี่คน ที่เป็นกำลังใจให้ฉันจริง ๆ
บาดแผล บางอย่างก็ยากจะรักษาให้หายได้
ใช่ฉันรู้ว่าเป็นเพราะใจเราเอง ที่ยังคงยึดติดกับมัน
และยังอาวรณ์กับมันอยู่อย่างนั้น...
หลายปีมานี้ฉันไม่เคยมีความสดใส
บางครั้งยิ้มแต่ในหัวใจเจ็บปวดเหลือเกิน
บางค่ำคืนฉันยังคงแอบร้องไห้กับบางเรื่องราวที่เป็นอดีต...
การดำรงอยู่เปลี่ยนไป...
คนที่เคยสดใสร่าเริง เปลี่ยนเป็นเงียบขรึม...
นิ่งเฉย รับฟัง พูดน้อย ไม่ตลกติ๊งต๊องเหมือนเคย...
ฉันรับรู้ และรู้เสมอว่าเปลี่ยนไป แต่ปรับไม่ได้ให้สดใสเหมือนเคย
จนบางครั้งแอบคิดถ้าหากฉันมีความรักอีกสักครั้ง ฉันจะสดใสขึ้นบ้างไหม?
ฉันชอบเพลงนี้... "ดินแดนแห่งความรัก"
ถ้าได้อยู่ในดินแดนแห่งนี้ ฉันจะมีความสุข จะสดใส สดชื่น
เหมือนที่เคยไหม?
มองสายฝน แล้วแอบคิดว่า หากออกไปยืนกลางสายฝนในยามนี้
จะเป็นอย่างไรกันนะ
18 สิงหาคม 2552 23:41 น.
แมงกุ๊ดจี่
หลังกลับจากการรบ...
ที่แสนจะหนักหน่วง กับงาน กับคน
ดูเหมือนวันนี้จะแพ้ราบคราบ เหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลีย
ทั้งใจและกาย ล้าเหลือเกินแล้ว
เสบียงที่เคยมีน้อยลงทุกที ความอดทน
ความเข้มแข็ง ความวางเฉย กับกลยุทธ์ของคู่ต่อสู้
บ่อยครั้งที่เกินจะรับมือไหว...
มาถึงบ้านพัก
บ้านที่เป็นสวัสดิการ
เดินแค่ 5 นาทีก็ถึงที่ทำงานแล้ว
แต่ทว่าวันนี้...
การเดินกลับมาบ้านพักเหมือนยาวนาน
กว่าวันไหน-ไหน
ความอ่อนล้า ทำให้ไม่สนสิ่งรอบข้าง
แว่นตาสายตาสั้น เอียง แพ้แสง ไม่ถูกถอด
กระเป๋าสะพายใบเน่า ๆ ถูกโยนพาดโต๊ะอย่างไม่แยแส
ปล่อยทุกส่วนของร่างกายไปตามแต่จะเป็น
ปล่อยมันไปอย่างอิสระ
แบบไม่ต้องเก็บกัก เก็บกดมันไว้
ปล่อยมันเบาโหว่ง คร๊อกฟี่....ครอกฟี๋...ฟ...ฟ...
เฝ้าสังเกตอาการ...
อกหัก กลัดกลุ้ม ก็ไม่นี่
แต่ว่า...เหมือนมีบางสิ่งเปลี่ยนไป
คืออะไร?
โลกความเป็นจริงช่างวุ่นวาย
เป็นเหตุให้เที่ยวท่องไปในโลกฝัน
ที่เราๆ ท่าน ๆ เรียกว่า "โลกไซค์เบอร์"
ความเป็นจริงที่สับสน
และแสนวุ่นวาย ที่รบเกินจะรับมือไหว
ทำให้อยากหนีไปหลบซ่อน แต่จะไปไหน?
ไม่มีที่ไป...
จึงหาทางเลือก เลือกอยู่โลกส่วนตัว
หลับ พัก พักสายตา พักสมอง พักรบ เหนื่อยเกินไปแล้ว
เสียงรถบ้านข้าง ๆ ขับเคลื่อนเข้ามาจอดในโรงรถ
อย่างช้า ๆ สักพักได้ยินเสียงปิดประตู
สามีข้างบ้านคงเพิ่งกลับ...
นาฬิกาแขวนติดผนังบอกว่า ตีสอง สี่ห้า นาที
อาการงัวเงีย
บอกตัวเองลุก ลุกมาอาบน้ำ
แล้วนอนต่อจะได้สบายตัวหน่อย...
เมื่อเสร็จสรรพ
ก็ไม่เป็นดั่งคาด
อาการงัวเงียหายเป็นปลิดทิ้ง
คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค...
ไม่ได้ใช้งานหลายวัน มันแน่นิ่ง
เหมือนไร้ชีวิต...
ปุ่มพาวเวอร์
ถูกสั่งให้ปลุก ระบบเพื่อใช้งาน
หลายวันก่อนต้องเปิดทุกวัน
ถูกใช้งานหนักทุกวัน และพร้อมกันๆ
ท่องเที่ยวไปในโลกไร้พรมแดน...
โลก"จริง"
สับสน วุ่นวาย สารพันปัญหาให้แก้
มือวางนิ่งที่คีย์บอร์ด เพื่อคีย์ ล็อคอินเข้าสู่ระบบเครือข่าย
หวังออกไปสู่โลกกว้างไร้ขีดจำกัด ไร้พรมแดน
มือยังคงวางเนิ่นนิ่งอยู่อย่างนั้น
อยากซ่อนกาย แต่ว่าโลกความฝันก็ไม่อยากไปแล้ว
โลกความเป็นจริงก็ไม่อยากอยู่
ใช่นี่คือ นักหนีปัญหาตัวยง
สร้างปัญหา แก้ไม่ได้ ก็หนีซะดื้อๆ
โลก "เสมือน"
ที่เคยจรรโลง กลายเป็นอดีต
เหมือนเกิดการเปลี่ยนแปร ไม่เป็นเช่นเคย
วันนี้
ไม่มีที่...
ที่ ที่จะให้ "ใจ" ดวงนี้ได้อยู่
อยู่ได้อย่างมีความสุข
ทั้งหมด ทั้งมวล ทั้งที่รู้
ว่า "สุข ทุกข์ อยู่ที่ใจ"
แต่ก็ทำไม่ได้
สัมผัสทั้งห้า ยังรับรู้ครบถ้วน
"รัก โลภ โกรธ หลง" ยังเป็นใหญ่ใน "ใจ"
มีเพียง
โลกส่วนตัว
แค่นอน นอนหลับตา เท่านั้น เท่านั้นจริง ๆ
เมื่อครู่...ปุ่มพาวเวอร์
มีแสงสีฟ้าเรืองแสงออกมา
นาทีนี้มืดสนิท มันถูกปิดอีกครั้ง..
แสงจากจอที่สว่างจ้าแทนแสงหลอดนีออน
ก็มืดสนิทในห้องสี่เหลี่ยม เช่นเดิม...
ในเมื่อ
โลก"จริง"
โลก"เสมือน"
ไม่มีความสุขได้สักที่
ขอเวลาสักนิดเถอะ ขอเฝ้าดูความเป็นไปของใจสักพักเถอะ