11 กรกฎาคม 2548 09:55 น.
แทนคุณแทนไท
ขณะนี้ พระอาทิตย์ที่ ๑๐ กรกฏาค์ ๔๘ ไม่เลย ไม่เคยลืม
๑...
ไม่เคยลืมเบญจมราชูทิศ
ไม่เคยลืมค่อนชีวิตที่ล่วงผ่าน
ไม่เคยลืมความรักที่มัดมานย์
ไม่เคยลืมไทสารจารหัวใจ
๒...
ไม่เคยลืมเสื้อคอซองที่ครองเจ้า
ไม่เคยลืมถิ่นเก่าที่เราใกล้
ไม่เคยลืมหอห้องพักพำนักใจ
ไม่เคยลืมยิ้มละไมแม้ไกลกัน
๓...
ไม่เคยลืมสายฝนที่พรมร่าง
ไม่เคยลืมแก้มนางคิดพลางสั่น
ไม่เคยลืมอุ่นเนื้อยามเกื้อกัน
ไม่เคยลืมแววตานั้นวันอำลา
๔...
ไม่เคยลืมคำความตามจดหมาย
ไม่เคยลืมดวงดอกไม้เมืองสงขลา
ไม่เคยลืมดาวเกลื่อนเป็นเพื่อนฟ้า
ไม่เคยลืมความเหว่ว้าคอยท่าเธอ
๕...
ไม่เคยลืมโพสการ์ดกระดาษขาว
ไม่เคยลืมถ้อยคราวพี่บ่าวเพ้อ
ไม่เคยลืมกล่องดนตรีมีให้เธอ
ไม่เคยลืมวันละเมอเพ้อฝากความ
๖...
ไม่เคยลืมคืนหนาวทุกคราวดึก
ไม่เคยลืมความรู้สึกพี่นึกหวาม
ไม่เคยลืมตู้โทร์ศัพท์ส่งรับความ
ไม่เคยลืมหลังสองยามตามคอนโด
๗...
ไม่เคยลืมเสียงท้องเมื่อร้องหิว
ไม่เคยลืมไส้ที่กิ่วยามหิว...โถ่!
ไม่เคยลืมหมูกระปุกยามอดโซ
ไม่เคยลืมคำโก้โก้ โม้ปลุกใจ
มีเงินจักมีประโยชน์ใด
หากขาดซึ่งคนรู้ใจ
ชีวิตก็ไร้ซึ่งความหมาย
๘...
ไม่เคยลืมกระเป๋าใบละหลายพัน
ไม่เคยลืมมือที่สั่นวันที่จ่าย
ไม่เคยลืมตั๋วรถทัวร์ตั๋วรถไฟ
ไม่เคยลืมหาดใหญ่ เมือง มอ.(มอ ออ)
๙...
ไม่เคยลืมคืนวันอันงามงด
ไม่เคยลืมท่ารถ บขส.
ไม่เคยลืมน้ำตาพรากที่หลากออ
ไม่เคยลืมทุก พศ. ที่รอกัน
๑๐...
ไม่เคยลืมเส้นถนนสาย ๑๐๘ (ร้อยแปด)
ไม่เคยลืมอุ่นอายแดดของที่นั่น
ไม่เคยลืมหอ ๓ ของจอมจันทร์
ไม่เคยลืมหลายค่ำนั้นร้านน้ำชา
๑๑...
ไม่เคยลืมกลิ่นไม้ ร้านป่ายาง
ไม่เคยลืมกลิ่นนาง สิเนหา
ไม่เคยลืมหมี่ไก่ไปอิ่มมา
ไม่เคยลืม ฯนาฬิกา ที่หน้าเมือง
๑๒...
ไม่เคยลืมมนต์ความรักสลักไว้
ไม่เคยลืมสาวทุ่งใหญ่ในเมืองเขื่อง
ไม่เคยลืมสมิหลาอันลือเลื่อง
ไม่เคยลืมนามกระเดื่องคนเมืองคอน
๑๓...
ไม่เคยลืมคำความทุกวลี
ไม่เคยลืมบทกวี ในวันก่อน
ไม่เคยลืม สร้อยคำ ที่ย้ำกลอน
ไม่เคยลืม ร้อยอักษร อ้อน รวี
๑๔...
ไม่เคยลืมคำปลุกปลอบมอบดวงขวัญ
ไม่เคยลืมราตรีนั้นจันทร์แจ่มศรี
ไม่เคยลืมคำตราตรึงถึงฤดี
ไม่เคยลืมคืนชวนชี้ชมฟ้างาม
๑๕...
ไม่เคยลืมเสียงคลื่นที่คืนฝั่ง
ไม่เคยลืมภาพความหลังยังใจหวาม
ไม่เคยลืมสัญญาทุกคำความ
สุดจะห้ามหักรักผลักพ้นใจ
๑๖...
นิจจาเอ๋ยคนเคยรักด้วยหนักแน่น
กลับมาแคลนคลอนกัน ผันไปได้
๙ พศ. พี่รอรัก เจ้าหักใจ
ตัดอาลัยในสัมพันธ์ร่วมกันมา
๑๗...
ใจ ขนอม ตรอมใจ ทุ่งใหญ่เอ๋ย
ไม่คิดเคย จะคุ้นชิน ความสิ้นท่า
ความทรงจำที่ย้ำชิดติดตรึงตรา
โอ้ สงขลา พยานรักหลักชีวิต
๑๘...
ผลสัตย์ซื่อถือมั่น มันสาสม
สุดระทม จะข่มหัก ก็หนักจิต
เพราะเธอมอบใจให้ใครไม่ตรองคิด
ให้อีกหนึ่ง ชีวิต สุดจะลืม
เนื้อใจหนึ่งเคยเชื่อมั่นสิ่งหนึ่ง
สิ่งซึ่งหลายดวงใจมักเรียกว่า ความรัก มาอย่างยาวนาน
แต่เพียงชั่วขณะกระพริบตานั้น ศรัทธาค่อนชีวิตนั้น พังทลาย หายวับ
กลายกลับเป็นสิ่งต้องห้าม แหละดั่งถูกรอนสิทธิด้วยเธอผู้เป็นที่รัก
เคว้งนักศรัทธาในยามนั้น
มีแต่คำถาม ที่สุดท้ายกว่าจะพบคำตอบนั้น
ใจก็ได้แต่สะท้อนและน้อมรับเสียงข้างในนั้น
สาสมแล้ว สำหรับความมั่นคงที่เย่อหยิ่งของแก
ปล...พจณานุกรมแทนคุณแทนไท
๑... ไทสาร วารสารฝากความสมัยมัธยมศึกษาตอนปลาย เบญจมราชูทิศนครศรีธรรมราช (บม.)
๒...รวี มักใช้แรกแทนชื่อหญิงนั้นที่รักเป็นหนักหนา
๓...ขนอม บ้านเกิดของลูกผู้ชายดั่งทะเลสีน้ำเงินของน้องรักนางหนึ่งผู้มีแต่ความปรารถนาดี
๔... ทุ่งใหญ่ อำเภอเล็กๆ ใน จว.นคร ที่ซึ่งเธอกำเนิดเกิดกายที่นั่น
๕... มอ. มหาลัยสงขลานครินทร์ ถิ่นซึ่งไปเยือนสม่ำเสมอ เป็นค่อนศรัทธาของชีวิต
๖... แหละขอบคุณความทรงจำหลากสถานที่เหล่านี้ ซึ่งอยู่ฝั่งฟ้านั้น ณ หาดใหญ่ เมืองสงขลา ซึ่งจักเป็นตำนานสำหรับผมนิจนิรันดร์ ร้านอาหารป่ายาง กลิ่นไม้กลิ่นดอกยางหอมมาก ร้านหมี่ไก่ หมี่ก้อนใหญ่เหลือกำลัง หอนาฬิกาที่ซึ่งได้อาศัยรถตู้กลับเมืองคอนทุกครา ถนนร้อยแปด ชุมชนเล็กๆแต่อบอุ่นข้างมหาลัยนาง ร้านน้ำชาในมอ. ชื่อโวกฟ์ซินะ หอหญิงตึกสาม ท่ารถ บขส. สถานีรถไฟหาดใหญ่ หาดสมิหลาฯลฯ และทุกสถานพำนักยามไปเยือนแม้จ่ายแลกด้วยเงินตราแต่ถึงว่ายังคงระลึกถึง
ปล...
ท้ายสุด ขาดไม่ได้ขอบคุณเธอผู้เป็นอีกครึ่งหนึ่งของตำนานรักที่ผมมีในทุกขณะหายใจจนถึงปัจจุบันใจนี้น้องมอมแมม ด้วยตั้งจิตและคิดดี ขอให้ทุกความเป็นไปของคุณมีแต่ความงดงามนะครับ
เขียนด้วยระลึกถึง สุดหัวใจ....
8 กรกฎาคม 2548 15:22 น.
แทนคุณแทนไท
๑...
เนิ่นนาน-ทีเดียวคนดี
ที่ไม่มีบทกวี มามอบให้
ท่ามนาทีไม่มีสักวันใด
ที่หัวใจพี่ไม่ห่วงใยเธอ
๒...
เนิ่นนาน-ทีเดียวบทกวี
แต่จะอยู่ตรงที่มี นี้เสมอ
ท่ามกลางฝันทุกวันที่น้องเจอ
ไม่เคยเผลอทิ้งน้องให้เดียวดาย
๓...
เนิ่นนาน-ทีเดียวคนดี
แต่ทุกปราถนาพี่ ไม่เคยหาย
บางวันแม้เราไกลกันในเนื้อกาย
แต่เราอยู่เคียงใกล้ทุกหายใจ
๔...
เนิ่นนาน-ทีเดียวคนดี
แต่ทุกบทกวียังเหมือนใหม่
ยิ่งเนิ่นวันยิ่งมั่นในหัวใจ
จะรักน้องตลอดไป ตลอดกาล
๕...
เนิ่นนาน-ทีเดียวบทกวี
สำหรับทุกวินาทีที่ล่วงผ่าน
เงาอาจทาบเปลี่ยนทิศวิจิตกาล
บนตำนานความรักจักยืนยาว
๖...
พระศุกร์ที่ ๘ กรกฏาค์ ๔๘...
7 มิถุนายน 2548 18:09 น.
แทนคุณแทนไท
อย่ายึดถือสัญญาคนรักกัน
เราแค่เคยข้ามคั่นความเป็นเพื่อน
เมื่อความรักสลักมั่นนั้นมาเลือน
มิกล้าเอื้อนเอ่ยย้ำคำสัญญา
อย่ามาแสร้งแกล้งโศกว่าโลกเศร้า
โลกของเราแหลกแล้วดวงแก้วข้า
ไม่คิดง้อแม้สุดท้อทรมาน์
เธออย่าคิดตีหน้าไม่อาลัย
ไม่อยากฟังชังเหลือ เบื่อชิบเป้ง
จะข่มเหงด้วยท่าทีไปถึงไหน
เมื่อไม่รักกันแล้วก็แล้วไป
จะมาแสร้งแกล้งมีใจทำไมกัน
ไม่ต้องหาคำตอบไม่ขอบใจ
ประโยชน์ใดเมื่อใจมันเปลี่ยนผัน
ไร้อารมณ์จะเข้าใจอะไรนั่น
ใจนั้น มีแต่อารมณ์จะราวี
อยากจะไปเชิญไปใครจะว่า
ดีกว่าทนปวดปร่าข้าบัดสี
จะตอบถามความใครอย่างไรดี
ว่าใจน้องทุกห้องสี่มีใครครอง
คำสัญญาของคนเคยรักกัน
มิใช่วันเช่นนี้ที่หม่นหมอง
ขณะนั้นฝันยังร่ายเป็นข่ายทอง
อย่ามานั่งตรึกตรองให้ข้องใจ
อย่ายึดถือสัญญาคนเคยรัก
แค่คนเคยผูกสมัครความรักใคร่
เมื่อสิ้นแล้วอย่ามาเหลือแม้เยื่อไย
จะหันหลังจากไกล ก็ไปเลย
ไม่ต้องหาคำพูดที่เพริดแพร้ว
สิเน่หาสิ้นแล้วแก้วตาเอ๋ย
เหลือแค่ความเคยคุ้นคนคุ้นเคย
ที่เคยยอมเกินเลยในหัวใจ
ไม่คิดเกรี้ยวโกรธากานดาดอก
แต่เจ็บในช้ำนอกยากหลอกได้
ความยินดีน้องได้ดีไม่มีให้
มีแต่ความแค้นใจไม่เคยลืม
ไร้ซึ่งความปรารถนาวันลาจาก
ไม่มีถ้อยคำฝากให้ด่ำดื่ม
ความทรงจำดีดีพี่จะลืม
ถือว่ารักให้ยืมแล้วลืมคืน
ขณะนี้พี่ทุกข์น้องสุขล้ำ
คงชื่นฉ่ำกับคำของชายอื่น
น้องจึงอาจหัวเราะได้ทุกคืน
ขณะพี่ขมขื่นได้ทุกครา
เธอจะไปก็ไปซีน้องมีสิทธิ์
เมื่อนิมิตคิดถึงวันอันทรงค่า
ปรารถนาดีดีเคยมีมา
คงหยุดเพ้อแล้วหนานับแต่นี้
ต่อนี้ไปคงไร้คำเคยพร่ำบอก
ที่หลั่งออกจากใจทุกห้องสี่
วลีที่เคยอ้างคงร้างมี
มันจบแล้วคนดี...พี่ขอลา
อย่ายึดถือสัญญาคนรักกัน
เมื่อล่วงวันนี้ไปคงไร้ค่า
หากมีเผลอเจอกันบ้างบางเวลา
ขอเพียงอย่าทักกันเท่านั้นพอ
พระอังคารที่ ๗ มิถนาย์ ๔๘
2 มิถุนายน 2548 14:44 น.
แทนคุณแทนไท
คือน้ำผึ้งคือน้ำตาคือยาพิษ
คือหยาดน้ำอมฤตอันชื่นชุ่ม
คือเกสรดอกไม้คือไฟรุม
คือความกลุ้มคือความฝัน...นั่นแหละรัก
"ไฟรัก ไฟลา ไฟชัง" - รยงค์ เวนุรักษ์
ไหมเส้นน้อยร้อยรัดเป็นมัดหมี่
เครื่องปันสีสดแซมแต่งแต้มศิลป์
ทอ เย็บ ปัก จัก สาน งานแผ่นดิน
สร้างสรรค์จินตนาการกังวานไกล
"ศิลป์แห่งจินตนาการ" - สันติ ชนะเลิศ
หลงชอบชมลมปากลำบากแล้ว
พอรู้กรวดรู้แก้ว ก็ขื่นขม
คนปากหวานก้นเปรี้ยวซ่อนเคียวคม
ใครนิยมก็ตกต่ำจงจำไว้
"อย่าหลง" - สมศักดิ์ ศรีเอี่ยมกูล
อันแผลกายง่ายนักเมื่อรักษา
หมั่นทายาเช้าเย็นก็เห็นผล
แต่แผลใจเจ็บหนักยากทานทน
ขาดสติก็เสียคนไปจนตาย
"แผลกาย แผลใจ" - กวี นิรนาม
เปลวควันเทียนริบหรี่กลับมีแสง
เกิดจากแรงตั้งจิตอธิษฐาน
ดวงตาจึงเห็นธรรมสืบตำนาน
ดวงใจจึงเบิกบานแต่นั้นมา
"แสงเทียนแสงธรรม" - เสมอ กลิ่นหอม
เราผ่านหนาวผ่านร้อนค่อนชีวิต
ไฟความคิดอ่อนล้าจวนล้าแสง
ไฟความรักความใคร่เคยไฟแรง
วัยเริ่มแหนงหน่ายในไฟอารมณ์
"เถ้าชีวิต" - ธัญญา ธัญญามาศ
สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจไม่ใช่หรือ
ถ้าใจถือก็เป็นทุกข์ไม่สุขใส
ถ้าไม่ถือก็ไม่ทุกข์พบสุขใจ
ใครอยากได้สุขหรือทุกข์ฉุกคิดกัน...
"สุขหรือทุกข์" - กวี นิรนาม
หลังคาโบสถ์โอดครวญเมื่อจวนผุ
ระแนงลุล่วงหล่นบนพื้นหญ้า
เสาอิฐปูนทรุดเซตามเวลา
พระประธานสั่นหน้าระอาใจ
"แสงธรรม" - สุธน พันธุเมฆ
ลมหนาวเริ่มล่องมาจากฟ้าแล้ว
พรมจูบแผ่วเจ้าพระยาโรยฝ้าฝัน
คลื่นคลี่เกลียวแก้วม้วนกับนวลจันทร์
กระซิบสั่นซ่านกระเซ็นเป็นสำนวน
"ลมหนาวและเจ้าพระยา" - เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่
ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่
เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ
ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
"ฟ้าสีทอง" -วิสา คัญทัพ
เอกลักษณ์ศักดิ์ศรีนกพิราบ
นำมาซึ่งสันติภาพตราบโลกสิ้น
ใครสืบทอดเจตนารมณ์สุขสมจินต์
จารึกไว้แก่แผ่นดินเพื่อยินยล ..
"สงครามกับสันติภาพ" - จำเนียร อุลิต
รุ้งเจ็ดสี สวยสดงดงามมาก
เป็นเวลาตกฟากรักใหญ่หลวง
เสียง อุแว้! กำซาบนักซึ้งปักทรวง
หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งรวงร่วงจากดอย
"ตกฟาก" - บันลือ จินดาศรี
แสงเพชรก่องส่องกล้าปัญญาฉาย
เป็นประกายแจ่มหล้าปัญญาฉาน
นับเป็นหนึ่งนำหน้าปัญญาชาญ
ผู้นำการกิจจาปัญญาชน
"รำลึกถึงคึกฤทธิ์" - เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
ยามลูกขื่นแม่ขมตรมหลายเท่า
ยามลูกเศร้าแม่โศกวิโยคกว่า
ยามลูกหายแม่ห่วงแก้วดวงตา
ยามลูกมาแม่ชื่นตื้นตันใจ
"ความรักของแม่" - กวี นิรนาม
แล้วสอยดาวสาวเดือนที่เกลื่อนฟ้า
มาทำอาหารให้คนไร้สิ้น
ฟันนภาที่เห็นออกเป็นชิ้น
เอามาสินเย็บเป็นเสื้อเผื่อคนจน
"ความเพ้อฝันที่ชนบท" - วิทยากร เชียงกูล
หยาดน้ำค้างหยดแต้มบนแก้มหญ้า
หยาดน้ำตาหยดแต้มบนแก้มสาว
หยาดน้ำทิพย์หยดแต้มบนแก้มดาว
เป็นเรื่องราวรักหรือใคร่ก็ไม่รู้
"บทเรียนราคาแพง" - สมบัติ ตั้งก่อเกียรติ
เธอตายเพื่อจะปลุกให้คนตื่น
เธอตายเพื่อผู้อื่นอีกหมื่นแสน
เธอคือดินก้อนเดียวในดินแดน
แต่จะหนักและจะแน่นเต็มแผ่นดิน
"กระทุ่มแบน" - เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
คืนที่ดาวระยับประดับฟ้า
สุดสายตาทิวเขาทอดเงานิ่ง
เจ้าพระยาไกวคลื่นคืนจันทร์พริ้ง
แว่วเสียงหริ่งเรไรกล่อมให้นอน
"คืนนั้น" - อัญญาพร จตุรวิธวงศ์
พูดถึงรักหลายคนว่าเร็วกว่าเสียง
หลายคนเถียงก็มักว่าเร็วกว่าแสง
หลายคนบอกรักนี้เป็นสีแดง
หลายคนแย้งรักนี้เป็นสีดำ
"รัก" - ชมพร จือเหลียง
ฉันไม่รู้หรอกว่าเธอมาแล้ว
ก้าวล้ำแนวแนวนั้นที่กั้นขวาง
แต่ที่เห็นเห็นเหมือนความเลือนราง
ไหวจางจางระหว่างใจในความจำ
ฉันไม่รู้หรอกว่าเธอมาถึง
ในวันซึ่งพึ่งวัยจะใกล้ค่ำ
ใบสีขาวขาวหม่นเพราะปนดำ
จึงเหลื่อมล้ำเวลาที่มาเยือน
"นางฟ้าใจร้าย" - สุรินทร์ ประสพพฤกษ์
หนามจะเกี่ยวสักกี่แผลมิแพ้พ่าย
กล้ายืนหยัดท้าทายมิไหวหวั่น
อุปสรรคหนักหนาพร้อมฝ่าฟัน
เธอกับฉันเจ็บหนักหนาพร้อมฝ่าไป
"ความรัก" - วาด วงศ์ยูง
หัวใจหนุ่มชุ่มฉ่ำน้ำค้างหยาด
ไฟสวาทรุนแรงแสวงหา
หัวใจสาวสนองรับกับลีลา
สมปรารถนาสู่สวรรค์ชั้นฉิมพลี
"ความรัก" - ชูเกียรติ วรรณศูทร
โอ้แผ่นดินแตกระแหงเพราะแล้งฝน
เหมือนใจหม่นแตกระแหงเพราะแรงหนาว
ฟ้ามืดหมองมองเลือนแรมเดือนดาว
เหมือนใจร้าวหวั่นผวาครารักแรม
"แล้งใจ" - สนธิกาญจน์ กาญจนาสน์
ถ้าไม่เหลืออะไรค้างในจิต
คนไร้สิทธิ์ไร้เงื่อนไขก็ไม่เกี่ยว
แต่ถ้าเหลือใยรักอยู่สักเกลียว
ทุกทางเปลี่ยวความเป็นเพื่อนยังเหมือนเดิม
"เพียงรู้ว่าอะไรเป็นอะไร" - สมศักดิ์ ศรีเอี่ยมกูล
" ฝันอยากเป็นหมอกเหมยละอองใหม่
ให้ชุ่มฉ่ำลูบไล้ไปทุกหน
เพื่อทดแทนเร่าร้อนอันทุรน
ที่เกลื่อนกล่นมากมายในแผ่นดิน "
"กระหายฝัน" - เสรี ทัศนศิลป์
ระรื่นรื่นชื่นชมด้วยลมพลิ้ว
ละลิ่วลิ่วริ้วคลื่นครืนผวา
ละลอกเรื่อยกระทบกระทั่งฝั่งสุธา
ละลานตารวิวาบอาบนที
"ภาพพิมพ์ใจสองฝั่งเจ้าพระยา" - นิภา บางยี่ขัน
ดอกไม้บานวันนี้วันปีใหม่
ฟ้าสดใสวันนี้วันศรีสุข
ยิ้มให้กันวันนี้วันนิรทุกข์
อารยยุควันนี้วันดีงาม..
"พรขวัญวันนี้" - สุปราณี เจนหนองแวง
ร้อยสายรุ้งเรืองรอบจรดขอบฟ้า
พันสายตาอาวรณ์พิมพ์อ่อนหวาน
หมื่นสายใจโยงจิตสนิทนาน
แสนสายธารที่เย็นชื่นรื่นอุรา
ฤๅจะสู้สายรักจากใจแม่
พิสูจน์แท้สูงส่งดำรงค่า
พระคุณแม่มากล้นคณนา
ชั่วดินฟ้าหามีใครเทียบได้เลย
"หามีใครเทียบ" - ปารวี ทองสถิตย์
เหมือนชีวินสิ้นหวังพลังแล้ว
เหมือนเพลงแผ่วสิ้นเสียงจำเรียงเสนอ
พลันชีพชื่นรื่นกมลด้วยปรนเปรอ
ที่มีเธอคอยถวิลรินศรัทธา
"มนต์รัก" - ถาวร ชนะภัย
ผมดำขลับกลับขาวราวดอกอ้อ
หน้าเคยหล่อสวยใสมากไฝฝ้า
ขาเคยแกร่งแรงหมดถดถอยล้า
พระท่านว่าอนิจจังไปทั้งนั้น
"ราว" - ประสิทธิ์ ครองเพชร
ใบหน้านวลยวนแย้มใช่แต้มแต่ง
เพียงคอยแปลงป้ายสวาทมาปาดเปื้อน
ดวงตาใสสุกสกาวดั่งดาวเดือน
ใช่คอยเตือนเชือดชายให้วายชนม์
"คำสารภาพของหญิงสาว" -เพ็ญ ภัคตะ
สายเปลดั่งสายใยเฝ้าไกวกล่อม
ห่วงถนอมออมรักใครจักเหมือน
คำว่าแม่ "แม่" มัดจิตให้คิดเตือน
ไม่รางเลือนจากลูกผูกสัมพันธ์
"สายเปล-สายใย" - สมใจ เกตุวาจา
โพธิ์เคยแผ่กิ่งก้านทั่วลานกว้าง
บัดนี้ร้างโรยเฉาดูเศร้าหม่น
เปรียบก็คล้ายวาสนาชะตาคน
ขอให้ทนทำดีเถิดเกิดแล้วตาย
"ปรัชญาจากต้นโพธิ์" - วาด วงศ์ยูง
เปรียบแม่เช่น "โคมทอง" ของชีวิต
ช่วยชี้ทิศช่วยนำทางช่วยสร้างสรรค์
ให้ความรักให้ความรู้ชูชีวัน
ลูกจึงมั่นกตัญญูบูชาคุณ
"โคมทอง" - สุนันท์ จันทร์สิงห์
เสียงเพลงหวานแว่วมาคราแม่กล่อม
ตักละม่อมรองรับลูกหลับใหล
น้ำนมปนเลือดในทรวงเฉกดวงใจ
หล่อหลอมให้ก้าวย่างเดินทางดี
"เลือดในทรวง" - รื่นฤทัย ละอองศรี
วัด เวียง วัง วาวไสวไฟระยับ
หวานเพลงขับคราวเมื่อเห่เรือหงส์
ซุ้มประทีปแพรพลิ้วแถวทิวธง
ล้วนบรรจงแต่งประดับรับขวัญเมือง
"ความประทับใจ" - มิ่งขวัญ แดงนิเวศน์
กว้างหนึ่งศอกยาวหนึ่งวาหนาหนึ่งคืบ
เผ่าพันธุ์สืบต่อมาจากป่าเถื่อน
จากสัตว์ต่ำถ้ำคูมาอยู่เรือน
ประกาศเตือนเต็มค่าเรียกว่า "คน"
"คน" - สินทิพย์ มัธยัสถ์สิน
โอ้วังเวียงส่อเสียงวับกับอากาศ
แลปรางค์มาสเอนพิงเหลี่ยมสิงขร
ละห้อยหอช่อฟ้าเฟี้ยมอาภรณ์
ห่วงสังกรณ์หางหงส์ฤๅคงทน
"รบทัพจับศึก" - สุจิตต์ วงษ์เทศ
ครืดเสียงจักสักลายพรายตะเข็บ
จรดปลายเล็บดันผ้าน้ำตาไหล
โอ้ขวัญเจ้าสาวโรงงานอานพิษภัย
กระอักไข้ปวดร้าวหนาวชีวิต
"ปลอบขวัญฉันทนา" - สัจภูมิ ลออ
ภาพไร้ผมปรกเรี่ยเคลียคลอแก้ม
กับรอยแย้มสดใสไร้เดียงสา
ยังคงเห็นติดค้างอยู่กลางตา
รู้สึกว่าวันนี้มีอารมณ์...
"ภาพฝันที่เป็นจริง" - ประดิษฐ์ พีระมาน
สร้างศรัทธาค่าของคนบนความชั่ว
หลงเมามัวเกินสิทธิ์ผิดวิสัย
สวมหน้ากากซ่อนเร้นความเป็นภัย
ซุกซ่อนในความหรูของผู้ดี
"สังคมจอมปลอม" - ประสิทธิ์ บุญวงษ์
มาอยู่กลางวงล้อมของอ้อมเขา
หมอกสีเทาคลุมฟ้าแนวป่ากั้น
สัมผัสลมเย็นเยียบเหงาเงียบงัน
บรรยากาศชวนฝันคืนวันนี้
"แควใหญ่" - สันติชัย แพทย์พงษ์
ศิลป์ทั้งผองต้องเพื่อเกื้อชีวิต
ของมวลมิตรผู้ใช้แรงทุกแห่งหน
ใช่เพื่อศิลป์อย่างที่นับสัปดน
ใช่เพื่อตนศิลปินชีวินเดียว
"ศิลป์ของใคร" - จิตร ภูมิศักดิ์
โลกภายนอกกว้างไกลใครก็รู้
โลกภายในลึกซึ้งอยู่รู้บ้างไหม
จะมองโลกภายนอกมองออกไป
จะมองโลกภายในให้มองตน
"มนต์รัก" - ถาวร ชนะภัย
กฎของกรรมจำไว้นะไอ้หนู
ท่านให้ดูชั่วดีมีเหตุผล
ผู้ก่อกรรมกรรมต้องสนองตน
บันดาลดลแม่นมั่นมิผันแปร
"กฎแห่งกรรม" - นเรศ นโรปกรณ์
เป็นเณรสงฆ์หลงอามิสผิดศาสนา
เป็นราชาหลงผู้หญิงยิ่งเสียหาย
เป็นผู้นำหลงอำนาจชาติวอดวาย
เป็นคนโง่หลงงมงายไร้ค่าคน
"หลง" - สมบัติ บุญฑนิมิต
เขามีส่วนดีชั่วบ้างก็ช่างเขา
จงเลือกเอาส่วนที่ดีที่มีอยู่
เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู
ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย
"เลือกส่วน" พุทธทาสภิกขุ
ตรองให้ลึกนึกให้รอบตอบให้ถ้วน
จะร่ายทวนถือตนอยู่บนหอ
หรือจะลงจากยอดมากอดคอ
ร่วมกันก่อถนนใหม่ใกล้ใกล้กัน
"คำติง" - คมทวน คันธนู
กิจที่ทำกรรมที่ก่อข้อที่คิด
นึกเป็นนิจเพื่อชาติศาสนา
องค์กษัตริย์รัฐธรรมนูญทูนบูชา
เพราะคือหลักคู่หล้าแผ่นฟ้าไทย
"นึกไว้เสมอ" - กวี นิรนาม
อยู่คนเดียวให้ระวังยั้งความคิด
อยู่ร่วมมิตรให้ระวังยั้งคำขาน
อยู่ร่วมราษฎร์ให้ระวังยั้งหย่อนงาน
อยู่ร่วมพาลให้ระวังยั้งอธรรม
"ให้ระวัง" - กวี นิรนาม
โบราณว่าอย่า "คบเด็กสร้างบ้าน
คบหัวล้านสร้างเมือง" มากเรื่องยุ่ง
สมัยนี้เด็กกำลังจะสร้างกรุง
หัวล้านมุ่งดูห่างห่างหาทางโกง
"ฟ้าเมืองไทย" - อักษราภรณ์ พันธุ์กระวี
ติเพื่อก่อล้อเพราะรัก ทักเพราะรู้
ถ้าโฉมตรูตรองเห็นเป็นเสียดสี
เชิญเธอหยิ่งชิงชังผู้หวังดี
เป็นเกียรติที่รับชังแลกสังวร
"เพื่อเธอ" - สันทนา ทองบุญส่ง
ไม่ลวงนอกหลอกในหวังได้มาก
"มือถือสากปากถือศีล" สิ้นราศี
หรือ "ปากว่าตาขยิบ" ฉิบหายมี
ไม่ควรที่จะกระทำ อย่านำพา
"พุทธปรัชญา" - เพิ่มศักดิ์ เพิ่มพูน
ค่าของคนมิได้นับเพราะทรัพย์สิน
หรือถวิลรูปลักษณ์สูงศักดิ์ศรี
หากเกิดแต่คุณงามและความดี
หลักการนี้จรรโลงให้โลกไพบูลย์
"บ้านกับวัด" - กวี นิรนาม
ต่างคนก็ต่าง "หน้าเนื้อใจเสือ"
น้ำใจเจือรสเค็มจนเต็มกร่อย
ความดีเคลือบความร้ายหลายรูปรอย
เขาวางอ่อยเหยื่อไว้ให้คนเคลิ้ม
"ใจคน" - นิคม เขาลาด
โทษคนอื่นแลเห็นเป็นภูเขา
โทษของเราแลเห็นเพียงเส้นขน
ตดคนอื่นเหม็นเบื่อเหลืออดทน
ตดของตนถึงเหม็นไม่เป็นไร
"คิดคับแคบ" - กวี นิรนาม
คนงาม งามที่ใจใช่ใบหน้า
คนสวย สวยจรรยาใช่ตาหวาน
คนแก่ แก่ความรู้ใช่อยู่นาน
คนรวย รวยศีลทานใช่บ้านโต
"คน" - กวี นิรนาม
อันสตรีไร้ศีลก็สิ้นสวย
บุรุษด้วยไร้ศีลก็สิ้นศรี
ยิ่งภิกษุไร้ศีลก็สิ้นดี
ปราชญ์เมธีไร้ศีลก็สิ้นงาม
"ไร้ศีล" หลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ
ไฟนั้นร้อนเท่าใดใครก็รู้
เมื่อสุมอยู่กลางกมลฤๅทนได้
ฉันพร้อมแล้ว .. สำหรับจะดับไฟ
เพื่ออิ่มกระไอ ความรักของนักบุญ
"ไฟนักบุญ" - พเยาว์ ปั้นแดง
ขอพบเธอในนามของความรัก
และเอ่ยทักในนามความคิดถึง
อ้างพยานมิตรภาพอันซาบซึ้ง
เพื่อตามหึงห่วงหวงทวงไมตรี
"ในนามของความรัก" - ประทีป พฤกษากิจ
ไฟความหวังครั้งใหม่ได้โชติช่วง
มันเผาบ่วงพันธะละศักดิ์ศรี
หัวใจเราเสเพลอย่างเสรี
เพื่อสิ่งที่โหยหามาแสนนาน
"สิ่งที่เราต้องการ" - พเยาว์ มุสิกบุตร
โอ้หนาวเย็นเป็นไข้ทั้งในนอก
คมรักยอกใจรอหมอสมาน
แม้หมอไม่เมตตาพยาบาล
โปรดให้ทานยาพิษอีกนิดเอย
"เพลงยาวสำนวนชาย" - สันทนา ทองบุญส่ง
แม้ไม่เอื้ออาถรรพ์สมานแผล
โปรดลงแส้ซ้ำใจเสียให้สม
หวดตรงขั้วหัวใจให้สิ้นลม
อย่าใช้คมตาเฉือนแล้วเบือนเลย
"คมตา" - สวัสดิ์ ธงศรีเจริญ
เขาสามารถปราดเปรื่องในเรื่องรัก
เราโง่นักในเล่ห์เสน่หา
เมื่อเขาเก่งในการสร้างมารยา
เราก็หน้าด้านเป็น ... เล่นละคร
"เขาเป็น..เราก็เป็น" - รัศมี ปฐมพรวิวัฒน์
เมื่อถูกคนเลือดเย็นตามเข่นฆ่า
คนที่ถูกตามล่าเริ่มหลบหาย
เมื่อโอกาสยังมีจะหนีตาย
ขอโอกาสสุดท้ายเลือกหนทาง
"คนกับคน" - วาณิช จรุงกิจอนันต์
รอยจารึกจดจำเป็นคำขาน
สร้างตำนานร้อนแรงทุกแห่งหน
ปลุกศรัทธาต่อสู้ให้ผู้คน
กลางเงื่อนไขสับสนบนแผ่นดิน
"ไฟตำนาน" - ชูเกียรติ ฉาไธสง
ปณิธานศรัทธาเขากล้าแกร่ง
ด้วยเลือดแห่งคนรักในศักดิ์ศรี
ชีวิตทั้งชีวิตอุทิศพลี
เพื่อเสรี "ประชาธิปไตย"
"สดุดีวีรชน ๑๔ ต.ค. ๒๕๑๖" - นงนุช รอดพึ่งผา
หรือฉันมีอะไรไม่น่ารัก
แค่ดั้งหักปากหนาฟันหน้าห่าง
มีพุงออกหลังคู้ผมดูบาง
เดินแขนกางขาขวิดก้นบิดซ้าย
"คนมี" - สมศักดิ์ ศรีเอี่ยมกูล
เรียวหวายเฆี่ยนเนียนเนื้อแลเนื้อผลิ
กระหน่ำซ้ำรอยตำหนิเลือดปริไหล
ราดน้ำเกลือเนื้อเต้นแสนเข็ญใจ
ทาสที่ทนไม่ไหวตายคามือ
"ทาส" - กวาง แซ่ตั้ง
เพียงอยากบอกถึงหัวใจใครคนหนึ่ง
ว่ารู้ซึ้งคุณค่าภาษาศิลป์
อันผลงานฝากไว้ในแผ่นดิน
มอบทั้งสิ้นเพื่อบูชาภาษาไทย
"อยากบอก" - พ.อ.หญิง อุษณีย์ เกษมสันต์
ต่างมองตาตาช้ำต่างร่ำไห้
บ้างเลือดไหลรันทดสยดสยอง
มองแผ่นดินนามประเทืองว่าเมืองทอง
ได้แต่มองแล้วหลบต้องหลับตา
"พระเวทนาการ" - สุจิตต์ วงษ์เทศ
นิ้วเรียวยาวขาวนวลชวนจุมพิต
มิเพี้ยนผิดเนียนขี้ผึ้งกลึงกลมสวย
แลริกริกพลิกเพลินเชิญงงงวย
เจียนใจป่วยไหวหวามตาตามกัน
"ลาวแพน" - สุรินทร์ ประสพพฤกษ์
เสน่ห์เอย เสน่หาบ้านป่าแดง
งามเกินแต่งสวยเรียบมิเปรียบได้
ยิ้มสาวพวนชวนยิ้มอย่างพิมพ์ใจ
เกินคำใดเอ่ยคำจะพร่ำวอน
"เสน่หาบ้านป่าแดง" - สงวน สมกาย
ฉันใส่แหวนวงน้อยฝังรอยรัก
ถึงนานนักเพียงไรไม่เคยหมอง
ลงยางามวามวับรับเรือนทอง
ยิ่งชวนมองหมายแม้นแทนหัวใจ
"แหวนสวาท" - อร อักษรา
จากเมล็ดเม็ดพันธุ์จากวันเพาะ
จากกะเทาะเปลือกหุ้มคุ้มต้นกล้า
เจริญวัยงอกงามตามเวลา
จวบสง่าเงาร่มงามสมดุล
"เงาร่ม" - รุ่งรวี พารัตน์
ฝากสายขวัญสายใจสายลมหนาว
ไปบอกข่าวความรักจักมาสู่
พร้อมกุหลาบดอกนี้สีชมพู
ให้รับรู้ว่าเรา รักเจ้าแล้ว
"วันแห่งความรัก" - สมบัติ ตั้งก่อเกียรติ
สองมือผลัดไกวเปลปากเห่กล่อม
สองขาค้อมขัดตักให้พักหนุน
สองตาแม่อาทรอ่อนละมุน
สองถันอุ่นพันผูกเลี้ยงลูกรัก
"ลูกรัก" - นิตยา วงศ์เลิศวาทิก
สวยปากคอแก้มคางเหมือนอย่างวาด
ผิวผุดผาดผ่องเพ็ญเป็นราศี
โฉมแฉล้มแจ่มจันทร์มาวันนี้
เชิญคนดีย่างย้ายกรายออกมา
"รอนางรำ" - วรา จันทกูล
อ้างศิลปินดื่นดาษขาดศิลปะ
เหม็นยิ่งกว่ากองขยะขจายกลิ่น
แมลงวันแมลงหวี่ที่ตอมบิน
ยังสูงกว่าศิลปินที่สิ้นคิด
"ศิลปะ" พรานบูรพ์
จ้องจับผิดริษยาน่าอนาถ
พอพลั้งพลาดขั้นย่อยยับคอยทับถม
เรืองอำนาจวาสนาพากันชม
เข้ากราบก้มสอพลอ..คนหนอคน
"เชิญ" - ประมวล พรหมอินทร์
ดอกรักบานในหัวใจใครทั้งโลก
แต่ดอกโศกบานในหัวใจฉัน
และอาจเป็นเช่นนี้ชั่วชีวัน
เมื่อรักอันแจ่มกระจ่างเลือนร้างไกล
"บทสุดท้ายของนิยายรัก" - เฉลิม รงคผลิน
เหม่อมองท้องฟ้ากว้างกว่ากว้าง
แสนอ้างว้างหวั่นไหวให้ถวิล
คนใกล้ใจไกลห่างต่างแผ่นดิน
มิสุดสิ้นอาลัยใฝ่คะนึง
"นิยามของความรัก" - มัสยามาศ ขวัญชื้น
ขณะที่ปากมีไว้เพื่อให้พูด
เธอก็ใช้ลิ้นการทูตพูดเสียหนัก
ส่วนหัวใจมีไว้เพื่อให้รัก
เธอไม่ยักใช้มัน...ฉันเสียดาย
รังษี บางยี่ขัน
เพื่อพักผ่อนนอนหลับในทับทิพย์
ชมดาววิบแวมวอมในอ้อมสรวง
ระรื่นรินกลิ่นผกาบุปผาพวง
ลิ้มผึ้งรวงหวานลิ้นด้วยยินดี
ประยอม ซองทอง
น้องเคลียแก้มเกลือกไว้ก่อนให้พี่
ซ้ำกราบที่กลางหมอนเคยนอนหนุน
ยามพี่แนบหน้านอนหมอนละมุน
จงหอมกรุ่นแก้มและกราบกำซาบทรวง
สวัสดิ์ ธงศรีเจริญ
หนึ่งจะมีรักใหม่อย่าให้รู้
สองจะอยู่กับใครอย่าให้เห็น
ให้ฉันเถิดขอร้องสองประเด็น
แล้วจะเป็นผู้แพ้อย่างแท้จริง
สนธิกาญจน์ กาญจนาสน์
หนาวน้ำค้างกลางคืนสะอื้นอ้อน
จะกางกรกอดน้องประคองขวัญ
เอาดวงดาราระยับกับพระจันทร์
ต่างช่อชั้นชวาลาระย้าย้อย
"นิราศอิเหนา" - สุนทร ภู่
เหมือนสายแก้วแวววับระยับเยื้อง
ช้อยชำเลืองชมอุษาคราฉายแสง
พุน้ำหนึ่งผุดพุ่งรุ่งแจรง
ดั่งรุ้งแปลงแปลกฟ้าลงมาดิน
"สูงขึ้นไป" อุชเชนี
ฉันเอาฟ้าห่มให้ หายหนาว
ดึกดื่นกินแสงดาว ต่างข้าว
น้ำค้างพร่างกลางหาว หาดื่ม
ไหลหลั่งกวีไว้เช้า ชั่วฟ้าดินสมัย
"กวีนิพนธ์" - อังคาร กัลยาณพงศ์
โลกนี้มีกาพย์กลอนซ่อนนิ่ง
ในสรรพสิ่งสุนทรีย์ลึกล้ำ
ทุกดินน้ำลมไฟเก็บงำ
คติธรรมอมตะสะอาดงาม
"กาพย์กลอน" - อังคาร กัลยาณพงศ์
เพื่อโค้งเคียวเรียวเดือนและเพื่อนโพ้น
เพื่อไผ่โอนพลิ้วพ้อล้อภูผา
เพื่อเรืองข้าวพราวแพร้วทั่วแนวนา
เพื่อขอบฟ้าขลิบทองรองอรุณ
"ขอบฟ้าขลิบทอง" อุชเชนี
แล้วชีวิตอ่อนใสเขียวใบไม้
ค่อยพลิกไหวพบละอองของแดดอ่อน
บทเริ่มต้นตามลีลาความอาทร
ผลิใบซ้อนก่อนใบซบลงทบดิน
"ชีวิตและเงื่อนไข" - จิระนันท์ พิตรปรีชา
จะหักอื่นขืนหักก็จักได้
หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก
สารพัดตัดขาดประหลาดนัก
แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ
"นิราศอิเหนา" - สุนทร ภู่
วิทยาเปรียบด้วยกำลังเหมาะ
สุจริตคือเกราะกำบังได้
ปัญญาคืออาวุธยุทธวิชัย
สติไซร้คุ้มพลยุทธนา
"เกียรติรถ" พระมงกุฎเกล้า
อย่าเอื้อมเด็ดดอกฟ้า.มาถนอม
สูงสุดมือมักตรอม...อกไข้
เด็ดแต่ดอกพยอม...ยามยาก ชมนา
สูงก็สอยด้วยไม้...อาจเอื้อมเอาถึง
"โคลงโลกนิติ" กรมพระยาเดชาดิศร
ลมทะเลพัดผ่าวต้อง.สกนธ์กาย
ผ้าห่มฤๅห่อนหายสั่นสะท้าน
เนื้อนิ้วกิ่งก้อยสายสุดสวาท
แม้นพะยุร้อยด้าน.ดีดนิ้วเดียวหาย
ท้าวสุภัติการภักดี (นาค)
อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก
แต่ลมปากหวานหูมิรู้หาย
แม้นเจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลาย
เจ็บจนตายเพราะเขาเหน็บให้เจ็บใจ
สุนทร ภู่
เรียมรักนุชนาฏด้วย.เห็นใจ จริงเอย
ใช่รักรูปวิไล..เลิศล้ำ
ชื่นจิตแต่หล่อนไข.คำซื่อ
อีกสิ่งปฏิบัติซ้ำ.ส่งให้รักแรง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ผานิตผิชิดมด ฤ จะอดบอาจจะมี
แม่เหล็ก ฤ เหล็กดี อยะยั่วก็พัวก็พัน
พื้นภพอำเภอภพ ก็ประสพเสมอสวรรค์
อยู่ชั่วนิรันดร์กัลป์ อวสานประมานประเมิน
"อิลราชคำฉันท์" - พระศรีสุนทรโวหาร (ผัน สาลักษณ์)
การะเวกหรือวิเวกร้อง.ระงมสวรรค์
เสนาะมิเหมือนเสนาะฉันท์..เสนาะซึ้ง
ประกายฟ้าสุริยาจันทร์แจร่มโลก ไฉนฤๅ
เมฆพะยับอับแสงสะอึ้งอร่ามแพ้ประพันธ์เฉลย
กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์
ดูหนังดูละคร..แล้วย้อนดูตัว
ยิ้มเยาะเล่นหวัวต้นยั่วเหมือนฝัน
"รุไบยาต" กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์
เขาย่อมเปรียบเทียบความว่ายามรัก
แต่น้ำผักต้มขมชมว่าหวาน
ครั้นจืดจางห่างเหินไปเนิ่นนาน
แต่น้ำตาลก็ว่าเปรี้ยวไม่เหลียวแล
"พระอภัยมณี" - สุนทร ภู่
แฮะแฮะใครอย่าเย้ยหยันเด็ก
พริกก็พริกเม็ดเล็กเผ็ดล้ำ
ใครใครจะกินเหล็ก..ห่อนเล่า ลือนา
โคแก่มีเขาง้ำเด็กขึ้นขี่คอ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้พูดชั่วตัวตายทำลายมิตร
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา
"นิราศภูเขาทอง" - สุนทร ภู่
หนังสือคือเพื่อนรัก
แน่ตระหนักเสมอไป
ยามทุกข์ปลุกปลอบใจ
ที่เหงาหงอยค่อยเคลื่อนคลาย
กล่อมจิตให้คิดฝัน
ล้วนสิ่งบรรเจิดเพริดพราย
เป็นมิตรสนิทกาย
ให้ความรู้เชิดชูตน
ฐะปะนีย์ นาครทรรพ
เพ็ญพระจันทร์นั้นสว่างแต่ข้างขึ้น
กระต่ายมึนเมาเพ็ญจนเป็นบ้า
แต่ทรามวัยใสสุกทุกเวลา
ในอกข้าเมามึนทั้งขึ้นแรม
"นิทานเวตาล" - น.ม.ส.
สุมามาลย์หวานฉ่ำกับน้ำค้าง
ก็อ้างว้างเพราะพิษความคิดถึง
ใจนั้นหวั่นปั่นป่วนและอวลอึง
เพ้อรำพึงเหมือนมิเคยใจเอ๋ยใจ
"เสน่หา" - เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
ยามนางรักสมัครหมาย
รสคล้ายน้ำทิพย์สวรรค์
ยามนางหน่ายก็ปานกัน
กะน้ำพิษระอิดระอา
จารึก
ถึงกลางวันสุริยันแจ่มประจักษ์
ไม่เห็นหน้านงลักษณ์ยิ่งมืดใหญ่
ถึงราตรีมีจันทร์อันอำไพ
ไม่เห็นโฉมประโลมใจก็มืดมน
"วิวาห์พระสมุทร" พระมงกุฎเกล้า
อันความรักเหมือนน้ำอมฤต
ได้ดื่มแล้วชื่นจิตพิศวง
ระงับโรคสูญพูนพะวง
เพราะรักรื่นยืนยงยั่วยวนใจ
"สาวิตรี" พระมงกุฎเกล้า
เต่าเตี้ยดอกอย่าต่อให้ตีนสูง
มิใช่ยูงจะมาย้อมไม่เห็นขัน
หิ่งห้อยฤๅจะแข่งแสงพระจันทร์
อย่าปั้นน้ำให้หลงตะลึงเงา
ขุนช้างขุนแผน
อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ
ประเสริฐสุดซ่อนใส่เสียในฝัก
สงวนคมสมนึกใครฮึกฮัก
จึงค่อยชักเชือดฟันให้บรรลัย
"เพลงยาวถวายโอวาท" - สุนทร ภู่
ยามเยาว์เห็นโลกล้วน..แสนสนุก
ยามหนุ่มเพลิดเพลินสุขค่ำเช้า
กลางคนจับเห็นทุกข์.มีคู่ สุขแฮ
ตกแก่จึงรู้เค้า.ว่าล้วนอนิจจัง
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
มัวเผลอเพลินเพลิดด้วย..ความสุข
มัวฝันว่ามั่นทุก.อย่างแล้ว
มัวคิดว่าหมดยุค.เข็ญหมด
มัวพูดอวดดีแจ้ว.จักต้องเสียใจ
"ดุสิตสมิต" พระมงกุฎเกล้า
เป็นการง่ายยิ้มได้ไม่ต้องฝืน
เมื่อชีพชื่นเหมือนบรรเลงเพลงสวรรค์
แต่คนที่ควรชมนิยมกัน
ต้องใจมั่นยิ้มได้เมื่อภัยมา
"มหาบุรุษ" หลวงวิจิตรวาทการ
ความรักเหมือนโรคา
บันดาลตาให้มืดมน
ไม่ยินและไม่ยล
อุปะสัคคะใดใด
ความรักเหมือนโคถึก
กำลังคึกผิขังไว้
ก็โลดจากคอกไป
บยอมอยู่ ณ ที่ขัง
ถึงหากจะผูกไว้
ก็ดึงไปด้วยกำลัง
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง
บหวนคิดถึงเจ็บกาย
"มัทนะพาธา" พระมงกุฎเกล้า
โอ้ว่าอนิจจาความรัก
พึงประจักษ์ดังสายน้ำไหล
มีแต่จะเชี่ยวเป็นเกลียวไป
ไหนเลยจะไหลกลับมา
"อิเหนา" พระมงกุฎเกล้า
นาเอ๋ยนารี
ภคินี, กัลยา, สุดา, สมร
นุชนาถ, วนิดา, พงางอน
สายสวาท, บังอร, พธู, นวล
ยุพดี, กานดา, ยอดยาจิต
โฉม-มิ่งมิตร, น้องนุช, สุดสงวน
สิบเก้าแล้วยังไม่หมดบทกระบวน
เออสำนวนนามผู้หญิงมากจริงเอย
ชิต บุรทัต
แล้วฉันเลือกเป็นหิ่งห้อย
แทนดาวลอยสูงศักดิ์อัครฐาน
จึงมีปีก มีความหวัง อหังการ
มีสิทธิผ่านมุมอับอันลับดาว
"หิ่งห้อย" - จิระนันท์ พิตรปรีชา
ฉันเป็นกรวดเม็ดร้าว
แหลกแล้วด้วยความเศร้าหมองหม่น
ปรารถนาเป็นธุลีทุรน
ดีกว่าทนกลั้นใจอยู่ใต้น้ำ
"เศษธุลี" - จิระนันท์ พิตรปรีชา
จะไถแปรไถคราดกวาดเศษหญ้า
หว่านกล้า ฝันไว้ในรอยหว่าน
ดั่งเขียนบทกวีฤดูกาล
ด้วยหมึกเหงื่อหมึกงานผ่านชีวิต
"จุมพิตฤดูกาล" - ไพรวรินทร์ ขาวงาม
เหมือนไข่มุกเมื่อหล่นบนจานหยก
วณิพกพ่ายสิ้นเพียงยินเสียง
มธุรสโอษฐ์ฉะอ้อนประอรเอียง
ดาลเผดียงดาเรศเนตรอนงค์
"ใบศรี" - เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
โลกมิได้อยู่ด้วย..มณี เดียวนา
ทรายและสิ่งอื่นมีส่วนสร้าง
ปวงธาตุต่ำกลางดี..ดุลยภาพ
ภาคจักรพาลมิร้าง..เพราะน้ำแรงไหน
"โลก" - อังคาร กัลยาณพงศ์
ในฟ้าบ่มีน้ำ ในดินซ้ำมีแต่ทราย
น้ำตาที่ตกราย คือเลือดหลั่ง ลงโลมดิน
สองมือเฮามีแฮง เสียงเฮาแย้งมีคนยิน
สงสารอีศานสิ้น อย่าทรุด สู้ด้วยสองแขน!
พายุยิ่งพัดอื้อ ราวป่ารื้อราบทั้งแดน
อีศานนับแสนแสน สิจะพ่ายผู้ใดหนอ?
"อีศาน" นายผี
พุดจีบกลีบแสล้ม
พิกุลแกมแซมสุกรม
หอมชวยรวยตามลม
เหมือนกลิ่นน้องต้องติดใจ
เจ้าฟ้าธรรมมาธิเบศร์
ความรักจักเกิดด้วย.สองพรรค์
หนึ่งเพราะบุพเพสัน-นิวาสสร้าง
สองเพราะอยู่ร่วมกัน.ในชาติ นี้นา
ประดุจปทุมชาติสร้างสลับซ้อน กลางสินธุ์
พระราชนิพนธ์ใน รัชกาลที่ ๔
2 มิถุนายน 2548 09:25 น.
แทนคุณแทนไท
๑...อดีตเย้ายวล...
คืนหนึ่งฝันถึงน้องนาง..........เมื่อยามไกลห่าง
คิดถึง บ่จางจากใจ
งดงามยังงำรำไพ..................ฉ่ำชุ่มดวงใน
ทุกคราวคราได้คิดครวญ
ในฝันยังเฝ้าเย้ายวน...........ขบคิดทบทวน
ยังอวลชวนอุ่นกรุ่นนัย
อดีตยังหวีดหวิวใจ...............ทรงจำย้ำไย
ละไมดั่งดอกไม้ขาว
งามงดสวยสดพรายพราว.....ดั่งหมู่มวลดาว
แวววาวแต่คว้าไม่ถึง
ฝันงามในคืนค่ำหนึ่ง...........ดั่งเพียงรำพึง
คะนึงถึงหวังครั้งเคย
กาลก่อนจรลาจรเลย...........ดุจลมรำเพย
ผ่านพ้นแล้วก็ผ่านไป
เมษามาเยือนคราใด.........ใจหวั่นสั่นไหว
ทั้งที่มิใช่ดั่งเดิม
๒...คะนึงครวญ...
คิดถึงซึ่งแววระวี................เป็นไรป่านนี้
เธอนั้นอยู่ดีหรือไร ?
โลกจักละมุนละไม..............งดงามสดใส
ดั่งตั้งใจไว้ไหมหนอ
ในหวังที่ถักที่ทอ................จักงามละออ
หรือท้อหรือทุกข์หรือทน
รังรองหรือหมองมัวหม่น.....ฦ ฝันป่วนป่น
หรือยลเย้าแต่ฝันงาม
เป็นคำลำนำงำความ.........จินต-นาถาม
วันนี้อยู่ดีหรือไร ?
มิอาจจะมีสิ่งใด..................จักบันดาลใจ
เพราะไกลทั้งใจทั้งกาย
ดอกหวังยังบานพราวพราย.....ขาวใสไหวราย
ภายในภวังค์หวังนี้
คิดถึงพึงถามระวี...............อยู่สบายดี
มีความสุขีดีหรือ ?
ด้วยระลึกถึง...
พระฤหัสฯที่ ๒ มิถุนาย์ ๔๘...เมืองทองธานี