2 พฤษภาคม 2550 20:27 น.
แดนไกล ไลบีเรีย
๑) จากบ้านนอกเข้ากรุงมามุ่งมั่น
มาตามฝันฟุ้งเฟื่องในเมืองใหญ่
ตั้งปณิธาณแน่วแน่ไว้แก่ใจ
จะเข้าเรียนในมหาลัยปัญญาชน
ก้าวแรกที่เหยียบย่างสู่ทางเท้า
ที่ทอดเข้าสู่ทางผ่านการฝึกฝน
เตือนให้เราอย่ามัวเผลอตัวตน
กับเล่ห์กลหลอกล่อความพอดี
กราบเท้าพ่อแม่ที่เคารพ
อีกไม่นานลูกจะจบจากที่นี่
รอหน่อยนะครับ – ไม่กีปี่
ลูกจะคว้าปริญญาตรีมาชื่นบาน
๒) “คุณจะลงเรียนอะไรคะ...
บัญชี วิศวะฯ หรือบริหาร
นิติฯ นิเทศน์ การจัดการ
หรือวารสาร เศรษฐศาสตร์ การปกครอง”
“แต่นะคะ...วิชาที่ลงเรียน
ค่าลงทะเบียนอย่างต่ำ สามหมื่นสอง”
ได้ยินแล้วน้ำตาแทบหลั่งนอง
เงินทองตั้งมากมาย – อะไรกัน
“มีวิชาราคาถูกกว่านี้ไหม
คือว่า...ผมตั้งใจมาใฝ่ฝัน
พกติดตัวมาแค่เจ็ดแปดพัน
เงินมากมายขนาดนั้น...ไม่มีหรอกครับ”
“อะไรคุณ – แค่เจ็ดแปดพัน
เถิดคุณ, ถ้าอย่างนั้นเชิญหันกลับ
ขอโทษนะที่นี่ไม่ต้อนรับ
พวกคนไร้ทรัพย์อย่างนี้”
๓) กราบเท้าพ่อแม่ที่เคารพ
ลูกคงจะไม่ได้จบจากที่นี่
ดูจากกิริยาท่าที
เขาคงไม่ไยดีคนอย่างเรา
“เถิดลูก...ไม่เป็นไร
มาเรียนในบ้านเราก็ได้ – ในป่าเขา
มาเรียนรู้, สู้-พัก หนัก-เบา
สุข-เศร้า เปล่า-มี ชีวัน...
ถึงปริญญาจะไม่มี...ไม่เป็นไร
อย่างน้อยมหาวิทยาลัยในป่านั่น
ไม่ต้องเสียเงินเลยสักหมื่นพัน
ลูกก็ได้ทำตามฝันของลูกแล้ว...”
1 พฤษภาคม 2550 16:57 น.
แดนไกล ไลบีเรีย
๑) ณ ริมน้ำ...
ฉันลึกซึ้งดื่มด่ำกับความฝัน
ขณะน้ำไหลผ่านมานานวัน
สงบงันนิ่งสนิทในทรงจำ
ฉันเหม่อมอง...
มองสายน้ำที่ลอยล่องและไหลฉ่ำ
เห็นภาพและรับรู้อยู่ซ้ำซ้ำ
ลึกล้ำในความฝันเกินพรรณนา
ฉันปล่อยใจ...
ให้ลอยไหลไปกับน้ำ ณ เบื้องหน้า
ลอยไป ลอยไป ไกลลับตา
จิตใจปรารถนาเป็นอย่างนั้น
๒) มันย่อมดีกว่า...ใช่ไหม
หากว่าปล่อยจิตใจไปกับฝัน
ไปค้นหาประสบการณ์สารพัน
แทนที่ปล่อยวันวัน – ไร้หนทาง
มันย่อมคุ้มกว่า – ใช่ไหม
หากว่าปล่อยใจไปพบแสงสว่าง
ถึงแม้มันจะริบหรี่ – เลือนราง
แต่ดีกว่ามืดคว้างอยู่ตรงนี้
มันย่อมเฮฮากว่าใช่ไหม
หากพบเจอเพื่อนใหม่ในแปลกที่
มิตรภาพ – สายใย – ไมตรี
ดีกว่าอยู่ที่นี่ ลำพัง
๓) แต่มันจะดีไหม...
หากว่าเราไปไม่ถึงฝั่ง
คิดไปคิดมา พะว้าพะวัง
ข้างหน้าอาจไม่เมลืองมลังอย่างหวังไว้
แล้วมันจะคุ้มค่าหรือ...
หากว่าทางยืดยื้อเกินมือไขว่
ไม่เห็นเลยซึ่งแสงสว่างใด
ไม่มีเลยเส้นชัยเป็นหลักคว้า
แล้วมันจะสนุกไหม...
หากคนไกลไม่เห็นเพื่อนเหมือนคุ้นหน้า
ไม่รับรู้ไมตรีต่างที่มา
ยิ่งกว่าอยู่โดดเดี่ยว...เดียวดาย
๔) แต่ฉันย่อมปล่อยใจ
ให้ล่องลอยออกไปหาจุดหมาย
เถิดเชื่อ...ฟ้าสีฟ้ารุ้งระบาย
ย่อมเฉิดฉายให้เห็น – สักวัน
ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
หัวใจจะลอยถึงฝั่งความฝัน
โปรดเถอะธารน้ำที่เงียบงัน
พาหัวใจของฉัน ลอยไป ลอยไปเสียที !!!
1 พฤษภาคม 2550 16:05 น.
แดนไกล ไลบีเรีย
เชิญมาฟังกาพย์กลอนแห่งป่าเขา...
ถ้อยท่วงเถื่อน รุกเร้า เคล้ายิ่งใหญ่
เป็นลำนำแห่งพื้นพยับไพร
ที่โชนไฟ เสรีจากชีวิต
กาพย์กลอนแห่งป่าเขา...
อ่อนหวาน โศกเศร้า... เราลิขิต
อักษร ห้วงอารมณ์ คมความคิด
ยอมอุทิศให้ผืนแผ่นดิน
กาพย์กลอนแห่งป่าเขา...
ลมโชยมาแผ่วเบา – แต่ไม่สิ้น
ป่าเขา, ธารน้ำ ร่ำริน
ชีวิน อิสระ ประสบการณ์
ฉันคือกาพย์กลอนแห่งป่าเขา...
ฉันจะเป็นเรื่องเล่ากล่าวขาน
ให้โลกได้รับรู้ถึงวิญญาณ
ภาระงาน – หน้าที่ – ลมหายใจ
ฉันจะเป็นกาพย์กลอนของป่าเขา...
จะรอเฝ้าอนุชนคนรุ่นใหม่
สืบวิถีกาพย์กลอนของพงไพร
สานต่อเชื้อไฟจุดชีวิต !
26 เมษายน 2550 00:36 น.
แดนไกล ไลบีเรีย
บทเพลงแห่งดอกไม้เถื่อน
ยามเมฆครึ้มฝนจากฟ้าก็ปรากฏ
ดอกไม้สดชูช่อริ้วและพลิ้วไหว
เบ่งกลีบบานรับน้ำฝนอันชื่นใจ
มาลูบไล้หล่อเลี้ยงและโลมดิน
แล้วบทเพลงแห่งดอกไม้ก็เวิ้งแว่ว
ดังเจี้อยแจ้วกังวานอยู่มิรู้สิ้น
ไพเราะสุดเสียงเอื้อนเอ่ยกว่าเคยยิน
เสนาะจินต์สนิทใจในลึกซึ้ง
แหละดอกไม้ค่อยระบำตามจังหวะ
อิสระ อิสระ จะฝันถึง
อุดมการณ์หาญกล้ายังตราตรึง
พร้อมปลุกให้ห้วงคำนึงตื่นนิทรา
บทเพลงแห่งดอกไม้ยิ่งเข้มข้น
จนหลั่งล้นเลือดบรรเลงเพลงความกล้า
ที่คอยปลุกทุกดอกไม้ในวิญญาณ์
ให้เปิดตา เปิดใจ ให้รับรู้
รับรู้ถึงความยากลำบากเข็ญ
รับรู้เพื่อจะเห็นความเป็นอยู่
ดอกไม้เถื่อนทั้งนั้นที่หยัดชู
พร้อมสาดเลือดต่อสู้ทุรนทุราย
....................................................
....................................................
....................................................
....................................................
หากว่าหวังแห่งดอกไม้ยังไม่สิ้น
หากทุกชีพชีวินยังจุดหมาย
ร่วมภาระฟันฝ่าอย่างท้าทาย
เพลงดอกไม้ก็จะดังทั้งท้องฟ้า
22 มีนาคม 2550 15:14 น.
แดนไกล ไลบีเรีย
เหม่อมองดูท้องฟ้าสีฟ้าใส
ก็เห็นความเป็นไปในโลกฝัน
เห็นมวลเมฆลอยล่องเป็นฟองควัน
ขณะแสงแห่งตาวันส่องพื้นพราย
สีสันของป่าดงคงสีสัน
หลากหลายพันธุ์พืชสัตว์ต่างหลากหลาย
เริงรายตามวิถีที่เริงราย
โลกอุดมมากมายในโลกอุดม
ขณะฟ้ายามราตรีก็พราวพร่าง
สุกสว่างดาวใสให้สุขสม
เมฆสีเทาเคลื่อนคล้อยลอยแรงลม
พระจันทร์ยังน่าชวนชมอยู่ทุกครา
สรรพสิ่งปลีกตัวจากเคลื่อนไหว
หลับใหลในภวังค์ห้อมเวหา
คงยังมีเพียงแสงแห่งดารา
ที่ยังคอยชโลมฟ้าชโลมดิน
น้ำในธารธารน้ำยังมีน้ำ
ยังชื่นฉ่ำฉ่ำจิตใจไม่รู้สิ้น
ยังคงหมั่นปันน้ำมาร่ำริน
ให้ทุกสรรพชีวินไม่สิ้นใจ
โอ้ท้องฟ้ายังกว้างกว่าที่ฝัน
โอ้ตาวันยังคงพร่างสว่างไสว
สิ่งที่ข้าได้รู้เห็นความเป็นไป
โปรดบอกข้าได้ไหม...โลกใดจะมี