พรสวรรค์ หรือ พรแสวง? ที่จะทำให้คนเราประสบความสำเร็จ เป็นคำถามที่ใครๆ ก็อยากได้คำตอบ ฉันเคยได้ยินคำว่า เกิดมาเพื่อที่จะเป็น หรือ BORN TO BE บางคนรักที่จะทำในบางสิ่งบางอย่าง และมีจุดมุ่งหมายที่จะเป็นสิ่งนั้นๆ ให้ได้ ขวนขวายดิ้นรนเพื่อที่จะทำ แต่ดูเหมือนอะไรๆ ก็เป็นอุปสรรคไปซะหมด อย่างเช่นฉัน วันดีคืนดี คิดฝันอยากเป็นนักร้องขึ้นมากับเขาบ้าง เพียรที่จะไปเรียนร้องเพลง แต่ไม่ว่าร้องกี่ครั้งๆ ก็ยังเสียงผิดคีย์ จนครูที่ฝึกหัดร้องเพลงรู้สึกเอือมระอา แล้วก็ยังขยันร้องเพลงอยู่นั่นแล้ว วันแล้ว วันเล่า ผ่านไป จากความฝันที่จะร้องเพลง ก็อยากจะเต้นรำ แต่แล้ว ฝึกหัดเต้นรำอย่างไร ก็ไม่เคยถูกจังหวะพร้อมเพรียงกับเสียงดนตรีเอาเสียเลย ฝึกยังไงๆ ก็ไม่ขึ้น แต่ด้วยความเพียรพยายาม ก็ทำอยู่นั่นแหละ พยายามที่จะเรียนรู้การร้องรำทำเพลง ในที่สุด ถึงแม้จะไม่เป็นเรื่องในด้านการร้องรำทำเพลงเอาเสียเลย แต่สิ่งที่ได้กลับมาโดยที่ไม่เคยคิดอยากได้ อยากเป็นเลย นั่นก็คือ การเขียนหนังสือ เริ่มจากการที่สนใจการเต้นการรำ ก็เลยทำให้สนใจนาฏศิลป์แบบไทยๆ และนาฏศิลป์แบบไทยๆ ก็มีวรรณคดีแทรกอยู่ ซึมซับเข้ามาโดยไม่รู้ตัว จนวันหนึ่ง รื้อค้นหนังสือเก่าๆ ของคุณอามาอ่าน ก็เลยอยากลองเขียนอะไรๆ ที่เป็นบรรทัดๆ บรรทัดละ 7-9 คำบ้าง ก็เลยเอาคำมาเรียงๆ กัน 4 บรรทัด เลียนแบบหนังสือวรรณคดีเก่าๆ เล่มนั้นของคุณอา อยากให้ออกเสียงแล้วไพเราะอย่างนั้นบ้าง แต่ก็ไม่เคยรู้เลยว่า ทำยังไงถึงจะทำให้ข้อเขียนที่มีบรรทัดละแปดคำ สี่บรรทัดนั้นอ่านแล้วได้จังหวะไพเราะ อยู่มาวันหนึ่งในวิชาภาษาไทย อาจารย์ก็สอนเรื่อง แผนผังร้อยกรอง จึงกลับมาทำการบ้าน แอบซุ่มอยู่คนเดียว นั่งเขียนอะไรตามผังที่มีคำคล้องจอง (เรียกในสมัยเด็กๆ ว่า คำคล้องจอง) หรือสัมผัสสระระหว่างวรรค เก็บตัวเขียนอยู่คนเดียวเงียบๆ อยู่นั่นแหละ แล้วก็ไม่สนใจอะไร เหมือนคนอยู่แต่ในโลกส่วนตัว จนกระทั่งกระดาษเต็มบ้านไปหมดเลย แล้ววันหนึ่ง ที่โรงเรียนก็จัดประกวดแต่งกลอน ฉันก็ไปประกวดกับเขาด้วย ทำแบบเล่นๆ ไม่คิดว่า ฉันจะทำได้ ก็จำผังกลอนได้แล้วนี่นา แล้วก็ได้รางวัลด้วย อาจารย์ไม่เชื่อว่า เด็กธรรมดาๆ อย่างฉันจะเขียนกลอนได้ ก็เลยเรียกไปพิสูจน์เสียหลายรอบ เด็กหญิงคนหนึ่งที่พอจะจำผังร้อยกรองได้ อาจารย์ให้หัวข้ออะไร ก็เขียนๆ ได้จบบทภายใน 5 นาที อาจารย์จึงยอมแพ้ ยอมมอบรางวัลให้กับฉันโดยดี ฉันก็ไม่รู้หรอกว่า ฉันอยากเป็นนักเขียนหรือเปล่า ฉันรู้แต่ว่า ฉันมีความฝัน ฉันอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ ฉันอยากทดลองอะไรๆ ที่แปลกๆ ชอบอะไรที่แตกต่างจากที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ อยากได้ความรู้จากการพิสูจน์ทดลอง ฉันจึงเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์ ท่ามกลางกระแสการคัดค้านของอาจารย์หลายๆ ท่านที่ส่ายหน้ากับความดื้อดึงของฉัน เตือนแล้วว่า อย่างฉันน่ะ น่าจะเรียนทางอักษรศาสตร์มากกว่า มาเรียนสายวิทย์ทำไม ยิ่งติง ก็ยิ่งลองดี ฉันจะเรียนให้ดู คอยดูนะ เรียนวิทยาศาสตร์ ก็ได้คะแนนดีๆ ในวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา เพื่อนๆ ก็นิยมว่า ฉันเรียนได้ดี แต่วิชาคณิตศาสตร์ ตกแล้วตกอีกอยู่นั่นแล้ว แต่กลับทำคะแนนวิชาสังคม กับ ภาษาไทยได้เกือบเต็ม คะแนนที่ออกมาก็เลยหกคะเมนตีลังกาวุ่นวายไปหมด ถึงชั่วโมงวิชาภาษาไทย อาจารย์ให้แต่งกลอนส่งเป็นการบ้าน เพื่อนๆ บางคนเขียนกันไม่ค่อยได้ นั่งกัดปากกาจนปากกาจะเปื่อยไปหมดทั้งด้ามแล้ว เช้าขึ้นมา เพื่อนๆ ก็เรียงแถวมาให้ฉันเขียนให้คนละบทสองบท มีงานส่งกันทั้งห้อง ก็ยังคิดว่า การเขียนกลอนเป็นงานอดิเรก เที่ยวเอาชื่อเพื่อนๆ มานั่งแต่งโคลงกระทู้เล่นอยู่นั่นแหละ และก็ทำสถิติการเขียนของตัวเองทุกวันๆ ไม่เคยตั้งใจเขียนให้ดีๆ เลย กระดาษก็เลยเต็มบ้านไปหมด แถมทำกราฟไว้ดูเล่นด้วยว่า วันไหนเขียนกลอนได้เยอะสุด แล้วก็ได้แต่กลอนห่วยๆ ไม่เคยมีกลอนดีๆ กับเขาไว้เลย เพราะไม่เคยสนใจจะเขียนเอาคุณภาพกลอนหรือศึกษาค้นคว้าเพิ่มอะไรนัก แต่สนใจว่า ฉันได้เขียนกลอนทุกวันหรือเปล่า กลัวจะลืม (คิดแบบเด็กๆ) ไม่มีเรื่องจะเขียน ก็ชมสายฝน ดอกไม้ สายลม ไปตามเรื่องตามราว ถูกกระตุ้นจากบางคนให้ส่งไปลงนิตยสารบ้าง ได้เงินค่าขนมมากินเล็กน้อย แต่ก็ขี้เกียจส่งซะแล้ว อาจารย์เอากลอนไปส่งประกวด พอได้รางวัลก้อนใหญ่กลับมา ก็แค่ดีใจ แต่ก็ยังเขียนแบบเล่นๆ ต่อไปอีก ไม่มีคนแนะแนวทางนี่นา (และไม่สนใจที่จะเสาะหาคนแนะแนวทางให้เขียนดีๆ ด้วยน่ะสิ) ฉันไม่คิดว่า ฉันจะต้องอยู่กับตัวหนังสือตลอดชาติหรอก เพราะฉันก็มีความใฝ่ฝันของฉัน ฉันอยากเป็น สถาปนิก (เปลี่ยนเป้าหมายอีกแล้ว เพราะหนุ่มคนที่ฉันแอบชอบน่ะ เขาจะเอนท์วิศวะ จุฬา ฉันก็เลยอยากเรียนสถาปัตย์ จะได้คู่กัน) แต่แล้ว ก็ไปเรียนวิชาความถนัดทางสถาปัตยกรรม รู้สึกตัวเองห่วยแตกชะมัด ได้แค่หลักการวาดภาพมานิดหน่อย แต่ไม่ได้อะไรนักเลยจริงๆ ในเรื่องของการปฏิบัติ ถ้าต้องสอบแข่งกับใคร มีสิทธิ์ร่วงแน่นอน (และมีสิทธิ์แห้วจากความรักด้วย) ในที่สุด ฉันก็ต้องยอมแพ้ หันกลับมาเรียนทางสายศิลป์จนได้ แต่เป็นศิลป์-สังคม นะ ไม่ใช่ศิลป์ ภาษา จะว่าไปก็กึ่งๆ อีกนั่นแหละ ก็เหมือนๆ ศิลป์ ภาษา เพราะฉันเรียนคณะโบราณคดี เอกวิชาภาษาไทย โทมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยแห่งศิลปะ (ม. ศิลปากร) แต่ภาษาไทยที่ฉันเรียนก็เรียนเน้นทางด้านภาษาศาสตร์เพื่อการศึกษาวิจัยทางสังคมและประวัติศาสตร์มากกว่าการใช้ภาษาในเชิงวรรณศิลป์ หรือการสื่อสาร เรียนภาษาถิ่นทุกถิ่น ภาษาโบราณ วรรณคดีโบราณ และก็มีวิชาวรรณคดีวิจารณ์ เป็นวิชาที่ฉันสุดรัก และฉันก็ได้เข้ามาอยู่ในแวดวงของศิลปะเป็นเวลาหลายปี ได้ซึมซับกับสุนทรียภาพทางศิลปะ จึงทำให้ฉันเข้าใจในเรื่องของการรับสัมผัสทางอารมณ์ ความรู้สึก และเรื่องของความคิด จินตนาการต่างๆ อันเป็นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน ซึ่งในส่วนนี้ เป็นข้อได้เปรียบสำหรับการเรียนรู้ของฉัน ที่จะหล่อหลอมสิ่งต่างๆ ในชีวิตของฉันให้เข้าใจถึง "เสรีภาพ" ของจินตนาการที่คนทุกคนมี "สิทธิโดยชอบธรรม" ที่จะแสดงออกมาได้โดยไม่ล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น แต่แล้วฉันก็ไม่เคยรู้เหมือนกันว่า ฉันเกิดมาเพื่อที่จะเป็นอะไร เพราะฉันแสวงหามาโดยตลอด และที่แสวงหาก็ไม่เคยได้ แต่ได้ในสิ่งที่ไม่ได้แสวงหา โอกาสก็วิ่งเข้ามาหาฉันเอง เพียงแต่ฉันมัวแต่ไขว่คว้าในสิ่งที่โอกาสไม่มีให้ เลยทำให้ฉันทิ้งโอกาสที่เข้ามา ชีวิตฉันก็เลยพลิกผันอย่างน่าหวั่นไหว ฉันเรียนจบแล้วก็หาลู่ทางที่จะทำงานสื่อสารมวลชน จนกระทั่งฉันได้เป็นผู้สื่อข่าวสมดังตั้งใจ และด้วยความที่ฉันไม่เคยรู้จักหลักนิเทศศาสตร์อะไรเลย ทำให้ฉันได้เรียนรู้งานสื่อสารมวลชนจากงานที่ฉันทำ แล้วฝึกปรือจากการที่ไม่เคยทำเป็น ทำได้ จนกระทั่งทำได้ ทำเป็น วนเวียนกับการเป็นผู้สื่อข่าว ทำงานสำนักพิมพ์ ทำงานวิจัย อยู่ระยะหนึ่ง ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ไม่เคยเรียนในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าในเรื่องการถ่ายภาพข่าวเหตุการณ์ การสัมภาษณ์ การรายงานข่าว การเขียนข่าว การหาประเด็น การหาแหล่งข่าว การขายโฆษณา การจัดรูปเล่มหนังสือ สารพัดที่ฉันไม่เคยได้รู้จัก แม้กระทั่งการทำสื่อประชาสัมพันธ์ การประสานงานการตลาด การประสานงานกับโรงพิมพ์ เป็นความรู้อย่างจับฉ่ายที่ไร้หลักวิชาการเสียนี่กระไร และไม่รู้เหมือนกันว่า เส้นทางชีวิตขีดให้ฉันมาตรงนี้หรือเปล่า เพราะดูเหมือนอะไรก็ไม่ค่อยราบรื่นนักสำหรับฉัน ฉันถูกโยกย้ายทำข่าวเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายสาย ต้องปรับตัวหลายต่อหลายครั้ง ถูกกดดันจากงานมากมายจากหัวหน้าที่คล้ายๆ จะกลั่นแกล้งฉันจนกระทั่งฉันเกือบถูกออกจากงานหลายหน แล้วในที่สุดก็ยังได้ทำงานต่อ เพราะเจ้านายใหญ่ยังเอ็นดูอยู่ และแล้ว ความกดดันมากมายจนกระทั่งฉันลาออกเสียเอง แล้วตัดสินใจย้ายกลับมาอยู่ที่บ้าน เปิดร้าน เปิดกิจการของตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนอำนวยให้ฉันได้มีเวลาได้ศึกษาค้นคว้า ได้ขบคิด และได้ฝึกปรือการเขียนหนังสือมากขึ้น ฉันมีโอกาสเขียนกลอน มีโอกาสเขียนเรื่องต่างๆ ตามแต่จะคิดได้ ในที่สุด ด้วยความที่มีเวลาติดตามข่าวสารพอสมควร ทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันได้รับรู้ข่าวสารการเมืองมากขึ้น และด้วยทักษะที่เคยเป็นนักข่าวมาก่อน จึงทำให้ฉันมีวิธีได้ข้อมูลอะไรหลายด้านมากขึ้น แรกทีเดียว ฉันยังรักที่จะศึกษาทางนิเทศศาสตร์ต่อไป เพื่อที่จะได้ทำงานสื่อตามที่ฉันรัก และฝันที่จะทำ อาจารย์ที่โรงเรียนมัธยม ที่ฉันเคยศึกษาสำเร็จมาเมื่อสิบปีกว่าปีก่อน ก็ทาบทามให้ฉันไปเป็นอาจารย์สอนภาษาไทย ทั้งที่ใจฉันอยากเป็นอาจารย์สอนสังคมมากกว่า เพราะมีโอกาสฝึกเยาวชนของชาติได้ในระหว่างหลักสูตรการสอน แต่ด้วยฉันยังขาดวุฒิครู จึงทำให้ฉันยังไม่สามารถบรรจุในอัตราว่างที่โรงเรียนนี้ต้องการได้ จึงมีโอกาสที่ทำให้ฉันได้คิดต่อไปอีกว่า ... ฉันควรจะเรียนอะไรดี หรืออาจจะไม่ต้องเรียนก็ได้ แล้วในที่สุด ปัญหาเกี่ยวกับการเมืองมากมายในปัจจุบัน ที่มีปัญหายุ่งเหยิงจนฉันติดตามแล้วเกิดอารมณ์ร่วมว่า ฉันน่าจะมีวิชาความรู้พอที่จะมีส่วนช่วยประเทศชาติบ้าง ประกอบกับปัญหาจากคนที่ฉันรู้จัก เขามาพูดคุยให้ฉันฟังถึงปัญหาคดีหลายคดี มีที่ต้องต่อสู้และมีปัญหากับทนายความที่เอารัดเอาเปรียบ ฉันจึงคิดแบบคล้ายๆ คนเชื่อมั่นในตัวเองว่า "ฉันเป็นคนดี ฉะนั้น ... คนดีๆ อย่างฉันควรเรียนกฎหมาย" ฉันจึงตัดสินใจว่า วิชานิติศาสตร์ เป็นวิชาที่น่าสนใจมาก จึงใช้เวลาว่างเรียนวิชานี้ เป็นปริญญาตรี อีกสักใบหนึ่ง) ไม่มีใครทัดทานฉันเลยสักคน ทุกคนรอบด้านสนับสนุนกันถ้วนหน้า คุณอาของฉัน จบนิติศาสตร์มา มีความยินดีที่หลานสาวจะเรียนนิติศาสตร์ และให้คำแนะนำต่างๆ ในการศึกษากฎหมายว่า ควรจะอ่านหนังสืออย่างไร ถ้าเรียนจบแล้ว ก็เป็นที่ปรึกษากฎหมายได้ เปิดสำนักรับปรึกษากฎหมาย แล้วอบรมทนายความได้อีก เรียนเนติต่ออีกได้ อาเขย ก็รู้สึกว่า การเรียนกฎหมายทำให้เป็นคนเหนือคน ถ้าเป็นคนดีก็จะทำประโยชน์ให้กับคนในสังคมได้เป็นอันมาก แต่ถ้าเป็นคนไม่ดี ก็รังแกคนอื่นได้มากเช่นเดียวกัน การเรียนกฎหมายทำให้รู้ทันคน มีช่องทางเปิดโอกาสให้ทำความดีได้มากมาย ป้าหมอ ที่ฉันรู้จัก ก็บอกว่า ควรจะรีบๆ เรียนให้จบซะ จะได้ช่วยชาวบ้านเดือดร้อนที่ไม่รู้กฎหมายแล้วถูกคนที่รู้กฎหมายกดขี่เอาเปรียบ และคนที่ทำให้ฉันอุ่นใจพอจะเห็นเป็นแบบอย่างได้ ก็คือ ลุงเวทย์ เพราะลุงเป็นทนายความที่อยู่ในสังเวียนมาอย่างเคี่ยวกรำ ลุงเล่าประสบการณ์ของลุงจนทำให้ฉันรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาอย่างมหาศาล เส้นทางเปิดให้ฉัน เหลือแต่ฉันจะต้องทำให้เป็นจริง อย่างไม่ระทดท้อ และมุ่งทางตรง โดยไม่บิดเส้นทางไปสายอื่นให้สับสนอีกต่อไป เหมือนกับที่เคยมีคนบอกว่า BORN TO BE ถ้าสิ่งไหนที่เราจะได้เป็น เส้นทางชีวิตจะเปิดให้เราอย่างราบรื่น ถ้าสิ่งไหนที่ ไม่ใช่ แล้ว อะไรๆ ก็ดูเหมือนเป็นอุปสรรคไปซะหมด บางสิ่งบางอย่าง ชีวิตขีดเส้นมาให้เราแล้ว แต่เราไม่เปิดใจกว้างพอที่จะมองดูตามความเป็นจริง เราไปไขว่คว้าแสวงหาสิ่งอื่นๆ ที่เราหลงว่า เรารัก เราไปติดยึดกับความฝันที่จะไขว่คว้าเอามาให้ได้ เราไม่พัฒนาสิ่งที่เป็นอยู่จริงให้ดีที่สุด บางที การที่เราก็ติดยึดอยู่กับความคิดฝันมากเกินไป ก็ทำให้ชีวิตเราหันเหสับสน เหมือนที่พี่นกเหล็ก นักข่าวคนหนึ่งบอกฉันว่า รุ่งน่ะ มีข้าวราดแกงกินอยู่แล้ว อร่อยด้วย ก็ยังไม่พอใจ ใฝ่ฝันอยากไปกินข้าวในภัตตาคารหรูๆ เกินกำลังของตัวเอง และเขาก็เคยบอกว่า พี่ก็ไม่รู้จะเตือนรุ่งอย่างไรดีแล้ว เพราะเตือนแล้วรุ่งก็ไม่เชื่อพี่ บางทีอาจจะเป็นเส้นทางของรุ่งก็ได้ ก็ลองดูแล้วกัน แต่ทุกครั้งที่พี่นกเหล็กพูดแบบนี้ ฉันก็ยังไม่เคยพบเส้นทางสักที เพราะความดันทุรังสูงของฉันนั่นเอง เขาเตือนฉันหลายครั้งหลายหนเกี่ยวกับอาชีพการงานของฉันที่ช่างเลือกเหลือเกิน เลือกกระทั่งไม่ได้อะไรเลย แสวงหามาตลอดเวลา การที่ฉันอยู่อย่างพอเพียง เรียนรู้ชีวิตเท่าที่กำลังเป็นอยู่ ไม่ไปอยากมี อยากได้ อยากเป็น อะไรมากมาย เป็นเท่าที่เราจะเป็นได้ เส้นทางชีวิตย่อมขีดเส้นให้ชีวิตสงบง่ายงามดีอยู่หรอก ดีกว่าการไปไขว่คว้าทะเยอทะยานเกินกำลัง เรื่องของ พรสวรรค์ กับ พรแสวง บางที BORN TO BE อาจจะเป็นคำตอบให้กับใครหลายๆ คนได้ ทำทุกสิ่งเท่าที่เราจะทำได้ และพัฒนาทุกสิ่งตามความเป็นจริง ไปตามเส้นทางที่ชีวิตขีดให้อยู่แล้ว จิตใจสงบสุขร่มเย็นพอ เป็นเท่าที่เราจะเป็นได้.
เหมือนฉันกลับกลายเป็นเด็กน้อยในทุกวันๆ เมื่อความรู้สึก หวง ของฉันเริ่มกำเริบ อาการ หวง เกิดขึ้นกับฉันหลังจากที่หายไปจากชีวิตฉันเนิ่นนาน ทำให้ฉันรู้จักเจ้าตัว หวง มากขึ้นว่า มีฤทธิ์ร้ายกาจเพียงไหน มันซุกซ่อนอยู่ในซอกหลืบของหัวใจ ความรัก ไม่มีการครอบครอง และไม่ครอบครอง เหมือนๆ คาลิล ยิบราน จะพูดเอาไว้ในทำนองนี้ ในขณะที่ มาสโลว์ บอกว่า ความรัก คือ ความรู้สึกเป็นเจ้าของ และ ถูกเป็นเจ้าของ แล้วฉันจะเชื่อใครดี? เอาเป็นว่า ฉันเชื่อความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับตัวฉันแล้วกัน ฉันรักและรู้สึก หวง และความรู้สึกหวงนี่แหละ เป็น ตัวตน ตัวใหญ่ๆ ตัวตนตัวใหญ่ๆ ที่ฉันหลงไปยึดเสียจนทำร้ายหัวใจตัวเอง ความรักก็ยิ่งใหญ่ ตัวฉันก็ยิ่งใหญ่ พี่ชายคนดี ของฉัน ก็ยิ่งใหญ่ สุดท้ายแล้ว ฉันก็ยังเห็นว่า ทุกสิ่งมีตัวตน ไม่เข้าใจความจริงเสียทีว่า ความรักก็แค่นั้น เกิดได้ก็ดับได้ ตัวฉัน แท้แล้ว ตัวตนอยู่ที่ตรงไหน มีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา พี่ชายคนดี ก็ไม่ต่างกัน นี่แหละ รากเหง้าของ ความหวง หวงเสียจนเป็นไฟเผาไหม้ในใจ หวงจนจิตใจคับแคบ ไม่ยินไม่รับรู้อะไร มัวแต่ตามคิดอยู่นั่นแล้วว่า ฉัน สำคัญ เพียงพอไหม คนที่พี่ชายคนดี จะไปรัก จะทุ่มเทหัวใจให้ ดีเพียงพอเท่ากับฉันไหม ทำไมฉันจึงไม่เป็นคนๆ นั้น แล้วพี่ชายคนดี ไปดีกับใครยิ่งกว่าฉันอีกหรือเปล่า?