12 กรกฎาคม 2549 10:14 น.
แดดเช้า
คืนจันทร์เพ็ญผ่องแผ้ว ............. งามนวล
จันทร์สาดแสงรัญจวน .............. จรดหล้า
หวานแสงส่องอุ่นอวล ................ เชื่อมจิต
กระจ่างจางเจ็บล้า .................... ผ่อนไข้ป่วยหาย
จันทร์ฉายแสงหม่นด้วย ............. เมฆบัง
หมอกระลอกชิงชัง .................... ปิดต้าน
ลมเปลี่ยนหวนทิศพัง ................. แสงแผ่ว
ดินมืดกระด้างกร้าน .................. หรี่แล้วโคมฉาย
รอหลายอุปสรรคกล้ำ- ................ กรายจาง
จันทร์แจ่มกระจ่างทาง .............. ไม่ยั้ง
ยังคงส่องแสงวาง ...................... คืนค่ำ
โคมผ่องส่องตามตั้ง .................. เคลื่อนคล้อยวิถี
จวบหมอกคลี่จบจ้วง .................. บังจันทร์
จวบเมฆละลายพลัน .................. สร่างเศร้า
จวบจิตจะจุ่มฝัน ........................ งามเลิศ
จวบทุกปัญหาเร้า ...................... คลี่แล้วคลายจันทร์
คืนฝันนั้นผ่องแผ้ว ..................... จันทร์เพ็ญ
เงียบสงัดลมพัดเย็น ................... ผ่อนร้อน
เมฆคลี่ไม่ตามเข็ญ ................... หมอกสงบ
ชีพสว่างตามบทย้อน ...................หยัดย้ำทบทวน
เถิดกระบวนโลกเวิ้ง .................. ว่ายวน
เหมือนแจ่มจันทร์ที่ทน .............. เจ็บร้าว
ในคืนเหน็บหนาวจน .................. จมมืด
จันทร์กระจ่างกล้าก้าว ................ แห่งห้วงวิถี.
11 กรกฎาคม 2549 22:03 น.
แดดเช้า
เพลงวังเวงหวีดเวิ้ง ................. ห้วงใจ
ฤดูล่วงเข้าแทรกใน ................ หนักร้อน
เงียบสงัดพัดหวิวไหว ............... ลมหวู่
ฟังนิ่งเสียงสะท้อน .....................สะท้านใจหาย
น้ำตาพรายพร่างพื้น ................ นองดิน
ฤดูหล่นฝนหยาดริน ................. แทรกพื้น
กระทบดั่งกลืนกิน..................... กัดกร่อน
รอร่ำรอยเปียกชื้น ................... จักแห้งจางหาย
หวิวพายหนาวเหน็บเนื้อ ........... นวลนาง
ฤดูผ่านผันอำพราง .................. เอ่ยเอื้อน
แล้งลมกระแทกทาง ................ ใจเจ็บ
คอยค่ำคืนเปรอะเปื้อน .............. คลุกน้ำตาตรม
เพลงพรมจังหวะซ้ำ ................. ทำนอง
ผ่านทุกฤดูรอรอง ..................... ร่ำร้าว
ท่วงเพลงโศกคลุมครอง ........... ครอบโสต
เต้นพร่ำเพลงดิ้นด้าว ................ ย่ำย้ำแก้วใจ
ไหวไหวหวิวหวีดแล้ว ................ แว่วหวาน
แทรกหนึ่งเนิบเนิ่นนาน ............ กร่อนกล้ำ
กัดกินเก็บเกินทาน .................. ต้านขื่น ขมนา
จึงปล่อยตรอมชอกช้ำ ............... ซุกซ้อนแทรกซอน
อ่อนไหวและอ่อนล้า ................... แรงรอ
ฤดูผ่านผันเพียงพอ ................... หยุดเศร้า
ฤๅจมจ่อมตาคลอ ...................... น้ำเอ่อ นองเอย
เลยล่วงยังคงเคล้า ..................... คลุกเพ้อเพียงฝัน
เพลงวังเวงหวีดเวิ้ง .................... หวิวโหวง
ใจเอ่ยถ้อยเชื่อมโยง .................. เยื่อรุ้ง
หมายคล้องจิตเคยโคลง ............. ให้มั่น
รอร่องรอยแควคุ้ง ...................... แม่น้ำใจประสาน.
11 กรกฎาคม 2549 09:24 น.
แดดเช้า
ขอพรจากฟากฟ้า ................. เปี่ยมขวัญ
ปลอบจิตคนผูกพัน ................ ซาบซึ้ง
ให้หายป่วยไข้พลัน ............... จางเจ็บ
หน่ายเหนื่อยขุกเข็ญขึ้ง ......... ช่วยให้หายสูญ
ขอจรูญแจ่มหล้า ................... จันทร์นวล
ห้อมห่อสาดแสงชวน .............. ส่องสร้าง
คลายไข้สร่างเจ็บจวน ............ ร้อนเร่า
ขอดอกไม้หอมล้าง ................ ขุ่นข้องหมองมัว
ดาวใสทั่วฟากฟ้า ................... ส่องประกาย
ช่วยส่องแสงพร่างพราย .......... ผ่องแผ้ว
กล่อมกระจ่างจุดฉาย .............. หวังเพิ่ม
พูนพิเศษเก็จแก้ว .................. ดุจร้องเพลงฝัน
กำนัลเหมือนเยี่ยมไข้ ............. สร่างหาย
แทนสื่อถ้อยเรียงราย .............. ต่างหน้า
โอบกอดทุกความหมาย .......... หยั่งลึก
ให้โศกมลายล้า ...................... อย่าให้หม่นหมอง
ขอประคองร่างรุ้ง .................... ห่มกาย
ซับรุ่มร้อนอบอาย .................... สร่างไข้
จางเจ็บปวดผ่อนคลาย ............. เถิดนะ
เพียงอยากเห็นยิ้มได้ .............. ชื่นล้ำความฝัน
แม้ฉันจะห่างหน้า ................... ไม่เห็น
ขอหนึ่งขันน้ำเย็น .................... ชุ่มล้ำ
มนต์น้ำช่วยล้างเข็ญ ............... เหน็ดเหนื่อย
ยิ้มฉุดประคองค้ำ .................... ดุจถ้อยแรงใจ
ขอพรใดฟากฟ้า ...................... เลิศสรวง
อุทิศสู่สิ่งหวง ............................ รักล้ำ
ถนอมสุดห้วงดวง ..................... ใจมั่น
ขอฟากฟ้าเสกย้ำ ...................... ห่มห้วงดวงขวัญ.
10 กรกฎาคม 2549 09:37 น.
แดดเช้า
อยากยิ่งใหญ่คับฟ้า ................. เบ่งพอง
อยากพัฒนาอยากปอง ............. อยากได้
โกงโกยกอบกินกอง ................ บ้าคลั่ง
ก่ายกอดตำแหน่งไว้ ................ เพื่อสร้างทางฝัน
ยืนยันยิ่งใหญ่สร้าง ................... ทุนนิยม
อยากใหญ่ให้คนชม .................. เบ่งบ้าง
เงินหว่านหมายทับถม ............... พื้นที่
ขยายเขตตนเองสร้าง ............... พวกพ้องบารมี
ยึดพื้นที่คับฟ้า ........................... ลำพอง
คุมครอบงำครรลอง ................... ทั่วหล้า
ปากเริ่มเน่ามัวหมอง ................. กินแหลก
ไม่ระวังกร่างกล้า ....................... เคลิบเคลิ้มมัวเมา
ช่างเขลางมโง่ง้ำ ........................ บอดตา
ไม่พบทางปัญญา ....................... เสกสร้าง
พูดคำคิดเคลื่อนคลา ................... พลั้งผิด
ปัดโทษผู้อื่นอ้าง ......................... ปกป้องตัวตน
ล้นโปรเจ็กต์รากหญ้า .................. มั่นคำ
สารพัดสัญญานำ ......................... หลอกให้
จะขจัดจนเร่งบำ - ....................... รุงราก
แต่กลับสร้างหนี้ใช้ ...................... ชอกช้ำชนหมอง
ตามครรลองชาตินั้น ..................... ใหญ่เกิน
อยากใหญ่คับโลกเดิน .................. แข่งบ้าง
"บูช" ยิ่งใหญ่จำเริญ ..................... อำนาจ
อยากใหญ่จึงก่อสร้าง .................... ไม่รู้รากเดิม
ส่งเสริมโลภเฟื่องฟุ้ง............ .......... ตามใคร
ลืมเพาะเมล็ดใน ........................... รากแท้
หวังประโยชน์เหยียบไทย .............. ปี้ป่น
หลงกอดอำนาจแม้ ........................ จักไร้คุณธรรม
ค้ำฟ้าจนกร่างกล้า ........................ เทียบบารมี
ท้าวท่านเตือนโดยดี ..................... ไม่รู้
เศรษฐกิจพอเพียงหนี ................... หนี้หยั่ง รากเอย
ความอยากบังตาสู้ ........................ เร่งสร้างดื้อดึง
อยากถึงอย่างบูชบ้าง ..................... เจริญรอย
ยิ่งใหญ่สูงเหนือดอย ...................... อยากได้
ยอมขายชาติรอคอย ...................... กินดอก เบี้ยนา
มีทรัพย์ย่อมซื้อใช้ ......................... กอบไว้สิ่งสรรพ์
ลืมหันมองรากแก้ว ....................... ไทยมี
เพราะเพลิดเพลินแสงสี ................. เกลือกกล้ำ
ลวงตาจากไพรี ............................. รุกชาติ
ฤๅเอกราชชอกช้ำ ......................... จักสิ้นแล้วไฉน
อยากยิ่งใหญ่คับฟ้า ....................... จึงทำ
มืดบอดก่อระยำ ............................ คลั่งบ้า
เหยียบรากหญ้าระกำ .................... ไหม้หม่น
เดินย่ำเป็นขี้ข้า ............................. ติดต้อยตาม "บูช".
9 กรกฎาคม 2549 15:15 น.
แดดเช้า
ปมด้ายย่อมยุ่งย้อน .............. พัวพัน
ร้อยกลุ่มกลุ้มรุมกัน .............. ปลดด้าย
ต่างมือต่างยื้อยัน .................. ยากสืบ ต้นเอย
ต่างเอ่ยอ้างตนคล้าย ............. อยากให้ปมคลาย
เรื่องร้ายร้อนซ่อนเร้น ........... การเมือง
คนวุ่นคนขุ่นเคือง ................. อยากได้
โอบอำนาจเนืองเนือง ........... กอดแน่น
ป้องปกอัตตาไว้ .................... เพื่อพ้องพวกตน
ด้ายสับสนถักร้อย .................. หลายวน
อีกกลุ่มนิยมชน ..................... ต่อต้าน
หวังผลักกดดันคน ................. เค้นบีบ
สร้างเรื่องผูกเงื่อนค้าน .......... เพียบพร้อมปมเกลียว
ปมยุ่งเกี่ยวหลากเส้น .............. พันเวียน
ทะเลาะกันจนเอียน ................ หน่ายถ้วน
ต่างฝ่ายต่างอ้างเพียร ............. ตนถูก
ปัดผิดปั่นป่วนล้วน .................. อีกข้างเลวทราม
ไต่ความตามเงื่อนอ้าง ............. แห่งศาล
อำนาจตุลาการ ....................... เกี่ยวด้าย
ถึงคราวหยุดยังพาล ...... .......... บทบาท
ยังเคลื่อนคนคลี่คล้าย ... .......... ขมวดด้ายการเมือง
ฤๅหยุดเรื่องว่างเว้น ................. ได้ไฉน
รอกฎแห่งกรรมใด ................... คลี่ด้าย
หยุดยื้อหยุดเคลื่อนไหว ... ......... หยุดวุ่น
หยุดขมวดปมป้าย .................... โทษสร้างแก่ใคร
ปมด้ายไยคลี่เส้น ..................... คลายปม
ต้องหยุดปล่อยเคียวคม ............. เกี่ยวเส้น
หลายมือย่อมสะสม .................... ด้ายยุ่ง
ท้ายสุดต้องตัดเค้น .................... หมดด้ายทั้งไจ.