10 ตุลาคม 2548 08:14 น.
แดดเช้า
เธอบอกว่า .. ผ่านมาค่าชีวิต
พบถูกผิดหลากหลายกรายให้เห็น
ถ้าจะถามเธอเป็นใคร ... เธอไม่เป็น
มิใช่เร้นซ่อนไว้เพียงใจตน
เธอบอกว่า ... ไม่เคยพบเธอคือใคร
สมมติแห่งห้วงนัยไม่สับสน
"อัลมิตรา" เกิดดับ กับเปลือกปน
ทุกสิ่งหม่นผ่านไป ไม่หวนคืน
เธอบอกว่า ... ผ่านมาถ้าถามหา
"อัลมิตรา" เพียงชื่อหรือสิ่งอื่น
ลมหายใจไหลเข้าออกบอกจุดยืน
ถึงกาลกลืนชีพร่วงไม่ห่วงใย
เธอบอกว่า ... ตัวตนที่ค้นพบ
เพียงเงากลบเพียงผ่านอ่านคำใบ้
ณ กาลนี้ที่ทวนทบบรรจบใจ
จริงเพียงใดสิ่งจริงย่อมอิงความ
"มิตรภาพตราบสิ้น ดิน และ ฟ้า"
เป็นคำกล้ายืนยันมั่นคำถาม
หลอมตัวตนคนจริงเทิดสิ่งงาม
เผยทุกท่ามกาลช่วงท่วงทำนอง
ฉันสบตาคราเธอยิ้มอิ่มเอิบสุข
ปลดเปลื้องทุกข์ปัญหาครามัวหมอง
กระทบร้าวเรื่องราวคราวใครมอง
หรือเธอต้องรับผิดชอบระบอบใด
เผยแววกล้ามุ่งหมายท้าทายทัก
ฉันรู้จักแล้วซึ้งตรึงใจใฝ่
"อัลมิตรา" ตราตรึงซึ้งห้วงใน
เกินที่ใจบรรยายขยายคำ
ฉันจึงบอกรักเธอ... "อัลมิตรา"
ที่เปรยมาใช่เผลอแล้วเพ้อพร่ำ
แต่ตัวตนคนจริงสิ่งสื่อนำ
ค่าย่อมล้ำกว่าสิ่งอื่น ... ยื่นให้เธอ.
8 ตุลาคม 2548 18:55 น.
แดดเช้า
ฉันเขียนกลอน อ่อน-กร้าน ... ผ่านรู้สึก
ล้วงเบื้องลึกควักใจใฝ่ฝันเขียน
แล้วหยุดนิ่งอิงซ่อนวอนคำเพียร
ดิ่งลงเจียรถ้อยคำลึกล้ำดี
ฉันเขียนกลอนวอนใจให้รู้สึก
ล้วงสำนึกตรึกค่าท้าศักดิ์ศรี
จากศรัทธามาทวนทบทุกนาที
มิใช่เพื่อระบายหนีความช้ำตรม
กลั่นหัวใจไหวไหว ... ไกวรู้สึก
ตกผลึกแต่ละด้าน ทั้งหวานขม
หมาย "สื่อสาร" งานความคิด ให้ติชม
มิหวังข่มเก่งกาจเป็นปราชญ์ไกร
กรองถ้อยคำแต่ละคำ ... ร่ำรู้สึก
สะท้อนทบระลึกตรึกตรองไตร่
จาก ตัวตน ค้นหาขั้ว จากหัวใจ
แสวงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ... ให้วงวรรณ
ฉันมิอาจเอื้อมค่าว่าเก่งนัก
มิอาจรักคำเกินจิตคิดใฝ่ฝัน
เพียงรู้จักตระหนักสัมผัส จัดคำครัน
และเลือกสรรคุณค่า ... มาสื่อกลอน
ฉันมิอาจเปรียบค่าชัดจัดระดับ
สดับรับ ณ ปัจจุบัน วรรณอักษร
เคลื่อนทุกคิดสถิตมั่นฝันทุกตอน
ละเอียดอ่อนเพียงพอละออคำ
ฉันมิอาจสรุปค่าบทกวี
เพียงหน้าที่เข้าใจในคำพร่ำ
คุณค่าบทประพันธ์คือฝันนำ
มิใช่กรอบกรงค้ำ ... หรือคำคล้อง
ฉันเขียนกลอน อ่อน-กร้าน สื่อสัมผัส
สิ่งรับรู้ สิ่งแจ่มชัด สิ่งขัดข้อง
นำเสนอจังหวะสัมผัส จัดทำนอง
สอดคล้องจองดนตรีดีดสีนัย
ฉันคงค่าบทกวีที่ตัวบท
มิใช่กฎเกณฑ์อื่นเพื่อลื่นไหล
กฎแห่งฝัน กฎแห่งคิด กฎแห่งใจ
เหนือกฎใด เหนือกรอบครอบขอบความคิด
ฉันเขียนกลอน อ่อน-กร้าน วันวารร่ำ
อยากให้คำใคร่ครวญล้วนศักดิ์สิทธิ์
ร่ำทุกบทชดเชยเผยทุกทิศ
สื่อชีวิตลึกล้ำ ... ทุกคำกลอน
ลับมุมมองคล้องโลกยามโศก-สุข
พิศชื่น-ทุกข์รุก-รับกับอักษร
หลอมชีวิตติดพันกลั่นคำวอน
เสกคำพรกรองวจีอย่างที่เป็น
นับวันกลอนกล่อมเกลาเหลาดวงจิต
เจียรประดิษฐ์มุมมองกรองคิดเห็น
แง่ชีวิตงามจิตใจใสร่มเย็น
ส่วนหนึ่งเร้นลึกซ่อนย่อมอ่อนเบา
ฉันเขียนกลอน อ่อน-กร้าน เติบการคิด
วิญญาณจิตพัฒนาล้างบ้าเขลา
หลอมสติตริตรองมองแสง-เงา
ชัดเพียงเข้าใจชีวิต ... ตามคิดกลอน.
8 ตุลาคม 2548 16:40 น.
แดดเช้า
เสาะแสวงแสงชโลมโถมชีวิต
หมายรู้ทิศทาบทองส่องไสว
กระจ่างพบทบทวนกระบวนใจ
แจ่มแจ้งนัยไขขานกาลเวลา
แสงสาดแล้วแก้วระยิบพริบกระจ่าง
ยังหลงทางคว้าแสงแรงหนุนค่า
ลืมก้มน้อมยอมนับรับเงาตรา
หลังแสงจ้ามืดสงัดชัดคมเงา
เงายังตรึงตอกตามทุกท่ามทิศ
ยังแสงปิดให้มองส่องใจเขลา
จึงยากรู้รอบด้านผ่านมัวเมา
จิตหลบเคล้าซ่อนไว้ ... ไม่เคยรู้
เราไขว่คว้าควานแสงเพื่อแจ้งจิต
แต่ไม่คิดค้นเงาขลาดเขลาอยู่
ซ่อนเบื้องลึกตรึกซ้ำไม่จำดู
หลงแสงครู่สาดทอดล้างบอดมัว
ฉัน ... อีกคนค้นหากระจ่างชีวิต
เบิกดวงจิตรับแสงแจ้งทิศทั่ว
มิก้มมองเงาหลังยังพันพัว
เมาเกลือกกลั้วหลงใหล ... ไม่รู้เลย
ฉันหลงแสงแห่งฝันตะวันพุ่ง
ฉันจึงมุ่งเดินหน้าอย่างผ่าเผย
ฉันหลงใหลดอกไม้ไหวรำเพย
ฉันจึงเอ่ยบอกรักทักโลกนี้
ฉันลืมตนค้นเงาไม่เคยพบ
จึงซ่อนหลบมุมนิ่งอิงแสงสี
แล้วปลาบปลื้มดื่มด่ำล้ำความดี
ไม่รู้จักเลวมีที่ทั่วไป
แง่มุมโลกโศกสุขในทุกด้าน
ฉันยังหวานซ่านซึ้งตรึงใจไหว
หลงโลกลวงทะลวงซ้ำกระหน่ำใจ
หลงหลับใหลไฟแสงแห่งชีวิต
เงาทาบมัวสลัวลางยามห่างแสง
ย่อมแจ่มแจ้งคมลึกมิติปิด
คมแห่งแสงแทงทะลุปรุแจ่มคิด
ทะลุจิตลึกเร้นเห็นสิ่งจริง
โลกใช่เพียงมีแสงแจ้งสว่าง
ณ เบื้องล่างห่างไกลในทุกสิ่ง
มีเงามืดยืดยาวราวซ่อนอิง
อาจแนบนิ่งไหวเคลื่อนเหมือนเล่นกล
หากหลงแสงแรงจ้ามากระทบ
แสงย่อมกลบทุกสิ่งยิ่งสับสน
โลกจึงยุ่งมุ่งหมายทำลายวน
เปลือกปลอมปนหม่นหมางสิ้นทางไป
จึงรู้จักแสงเงาทั้งเว้าลึก
จึงรู้สึกรอบด้านอันพล่านไหว
จึงสำนึกผลึกประสาน หวาน-ขมใน
จึงล่วงชัดในใจได้เที่ยงแท้
เสาะแสวงแสงแจ้งแห่งชีวิต
เงายังติดตามตนบนบาดแผล
ลืมคมเงาแง่คมคิดถูกปิดแปร
หลงแสงแผ่หลงตัวตนหลงวนใจ.
7 ตุลาคม 2548 00:08 น.
แดดเช้า
น้ำหยาดหนึ่งซึ้งใจในขวดแก้ว
ใสงามแวว ... อยากถูกกัก - รักสักหน
ช่วยหน่อยเถิดเปิดขวดใส ให้รินปน
อยากคว้าค้นภายในขวดลวดลายงาม
ร่ำไรร้องปองจะอยู่ ... เรียนรู้โลก
แสวงโชคภายในขวดใสหวาม
หยาดหนึ่งจึงหยดหยาดสะอาดคราม
ลงกลางท่ามขวดใส ... ดั่งใจปอง
จากลำน้ำฉ่ำกว้างทางลื่นไหล
ถูกกักในขวดแก้วแล้วหม่นหมอง
นิ่งภายในไม่ไหวเคลื่อนเหมือนจับจอง
เกิดคับข้องร้องร่ำ ... หาเสรี
"ช่วยปล่อยฉันพลันส่งลงลำน้ำ
เคยเย็นฉ่ำไหลหลากจากทุกที่
ค้นหาโลกโศกสุขทุกที่มี
ไม่อยากหนีอยู่ในแก้ว ... อีกแล้วคุณ"
ตราบเท่าที่เสรีมีที่ใจคิด
สายน้ำฉ่ำหลงผิด ติดข้องขุ่น
แม้นิ่งแนบในแก้ว ... แต่ใจพรุน
เหมือนโลกวุ่นตลอดมา น่าเห็นใจ
โอ้ ... ความอยากยากปรับตนบนหนทาง
หากอ้างว้างหว่างคว้างระหว่างไหว
แม้ลงห้วยระรวยรินดิ้นรนไป
หากยังไม่หยุดโหยย่อมโรยรา
เพียงหยาดน้ำแท้จริง ... นิ่งได้ล้ำ
ไม่ได้ร่ำอย่างนิทานที่ขานว่า
จึงปรับตนบนโลกกว้างอย่างเรื่อยมา
ปรับเวลาบนโลกแคบ ... แบบชื่นใจ
น้ำในขวด น้ำในบ่อ น้ำในห้วย
ไหลระรวยระเรื่อยรินทุกถิ่นใส
น้ำในหนองคลองบึงซึ้งภายใน
ยังปรับได้ทุกเหตุการณ์ ... ขานทุกทัก
นิทานว่าวอนคำร่ำน้ำอ้อน
เป็นเพียงกลอนยกกล่าวเล่าผูกถัก
เพื่อตัวอย่างต่างเหตุสังเกตนัก
โลกชัง-รัก หากปรับใจ ใช่ยากเย็น
เพียงรู้รับ รู้ปรับ สดับฟัง
ใจยังสั่งให้รู้นิ่งสิ่งจริงเห็น
เพียงรู้โลกโบกไหวไกวกระเซ็น
สิ่งลึกเร้นย่อมรู้สู่ห้วงใน
เราเรียกร้องปองค่าอะไรนัก
ในเมื่อทักแห่งฝันนั้นงามใส
ไม่ว่าร่างระหว่างคิดอยู่ทิศใด
เพียงปรับใจ เท่านั้น ... ย่อมมั่นคง.
6 ตุลาคม 2548 23:00 น.
แดดเช้า
เคยตะกายว่ายฟ้า ....................................เก็บดาว
หวังก่อเพริศแพรวพราว...........................ซาบซึ้ง
เป็นหนึ่งซึ่งห้วงหาว...................................เลอเลิศ
เกี่ยวกิ่งดาวแห่งบึ้ง...................................บ่อห้วงราตรี
หลง ... ตีค่าเลิศล้ำ.....................................ดาววาว
หลง ... เทิดฟ้าสูงพราว..............................เพริศไว้
หลง ... กอบเกียรติก่อกราว........................ก้องเกริก
หลง ... เก็บมายาไว้..................................เชิดแก้วกลอยใจ
เกี่ยวกิ่งไกวแห่งฟ้า...................................พึงหวัง
ขอมุ่งฟ้าอย่าชัง..........................................แห่งข้า
ว่ายเวิ้งเก็บพลัง........................................หนุนกอบ ดาวนา
เพียงเด่นเป็นดาวจ้า.................................แจ่มแจ้งเกินใคร
พลั้ง ... เพียงใจมุ่งคว้า..............................ร่วงกราว
พลั้ง ... สิ่งหมายร่วงราว.............................เปล่าว้าง
พลั้ง ... เก็บสะเก็ดดาว..............................เพียงวาด ฝันเอย
พลั้ง ... ไขว่มายาสร้าง...............................หลอกห้วงใจตน
หล่นบนดินรับพื้น......................................โอบกาย
ดินอบอุ่นยังราย........................................ร่างล้อม
ซับแผลเจ็บเจียนตาย...............................หมายซบ ดินนา
เพียง ณ แห่งห้อมอ้อม...............................อุ้มชีพเพียงดิน
ผินหน้าหาพร่างฟ้า....................................ดาวตะกาย
ยลแห่งคนหลากหลาย...............................ว่ายว้าง
ดินยังซับใจคลาย......................................แผลเจ็บ
ดั่งประโลมจิตคว้าง....................................อย่าได้คว้าลม
"หยุดตะกายข่มข้า.....................................แดนดิน
ตีนเหยียบหมู่ต้นติณ.................................รากหญ้า
เหตุใดจึ่งหมายบิน....................................ตะกายย่าง สรวงเอย
ระลึกคุณดินหล้า........................................ซับซึ้งแรงหวัง"
ดินยังเตือนจิตคล้อง..................................ความคิด
รองรับซับชีวิต...........................................โอบอุ้ม
เกิดก่อกับดินติด.......................................เดินวิ่ง
ตายมิดมอดคับคุ้ม.....................................หล้าล้อมกายฝัง
เลิกหวังว่ายคว้าว่าง..................................พราวดาว
แรงเก็บเพียงเรื่องราว..............................แห่งนี้
ณ สิ่งตรงหน้าคราว....................................ปัจจุ บันกาล
เพียงมุ่งหมายแจ่มชี้..................................จิตแจ้งจารจริง
นิ่ง ... เพียงหยุดไขว่คว้า...........................ทะยาน
นิ่ง ... ดั่งรู้เหตุการณ์.................................ซ่อนเร้น
นิ่ง ... เพียงซับตำนาน...............................ลึกล่วง
นิ่ง ... แนบสัมผัสเฟ้น...............................เลือกล้ำคำธรรม
ฉ่ำลิ้มรสหล้าล้ำ..........................................ปานสรวง
ย่อมยิ่งกว่าลมกลวง...................................ห้วงฟ้า
จรดรสแห่งดินรวง.....................................หวานนัก
จึ่งละเลิกเกริกคว้า.....................................เกียรติก้องมาครอง
หวนมองหาภาคพื้น...................................ดินดอน
ดินย่อมรับตะกอน.....................................ชีพได้
เพียงชีพมอดม้วยมรณ์..............................ดินโอบ คืนนา
แหล่งก่อเกิดปลอบไข้................................ดับสิ้นสลายหมอง
ครองคารวะแด่พื้น....................................ดินดาน
แม่แห่งกัปป์กัลป์กาล................................มากถ้วน
เกิดดับโลกเนิ่นนาน.................................ขานสดับ
ดินดุจผืนรองม้วน.....................................แมกไม้สรรพสรรค์.