31 มีนาคม 2547 17:08 น.
แชมป์
1
ทำไมวันนี้อากาศค่อนข้างอบอ้าวกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ผมพึมพัมอยู่กับตัวเองขณะที่กำลังพาเจ้ามอเตอร์ไซด์คันน้อย ขับขี่ออกไปเรื่อยๆตามเส้นทางที่คุ้นเคย แม้จะรู้ถึงจุดหมายที่ใจนึก แต่ดูท่าคงอีกนานกว่าจะถึง เพราะพาหนะสองล้อคันนี้ดูเชื่องช้าลงนักตามเวลากาลเวลาที่โรยร่วง ผมเพียงได้แค่หวังว่ามันคงจะทำได้ดีกว่านี้ ถ้ามันสามารถย้อนกลับไป เมื่อครั้งมันยังหนุ่ม
แม้ในใจกำลังรอความหวัง กลีบเมฆสักก้อน สายลมอ่อนโยน พัดผ่านมาทางที่ผมจะไป เผื่อก้อนเมฆนั้นจะช่วยบดบังแสงอาทิตย์ที่กำลังเล่นสนุกกับคนข้างล่าง แต่ในความคิดกลับกำลังจมอยู่กับเรื่องราวบางส่วนของ นวนิยายเล่มหนึ่งที่ยังประทับอยู่ในใจ
2
ธันวาขี่เจ้าดอกไม้ผ่านสายฝนปรอยไปบนถนนห้วยแก้ว ถนนที่มีชื่อเหมือนสายน้ำ ลมฝนดูเงื่องหงอยกว่าวันวาน จากคำทักทายกลายเป็นคำอำลา สี่ปีกว่าแล้วเหนอที่ธันวาใช้ชีวิตเวียนวนอยู่ในเชียงใหม่กับเพื่อนๆ กับกองหนังสือเรียน ชีวิตประจำวันกับเรื่องราวมากมายที่ต้องรีบทำให้เสร็จไปในวันหนึ่งๆ ธันวาได้ละเลยเพื่อนเก่าไป ความสัมพันธ์จึงจืดจางลง วันนี้เอง ธันวารู้สึกว่าฤดูฝนที่ผ่านมา เธอโปรยเม็ดลงมาทักทายน้อยกว่าเมื่อแรกรู้จัก และฤดูหนาวนี้เพื่อนเก่ามาล่าช้ากว่าที่เคยนัดกันไว้ในปลายหนาวโน้น เหมือนเธอไม่ไม่ยี่หระต่อการมา บางทีเธออาจนึกน้อยใจ
3
อยากให้ลมหนาวพัดหวนมาอีกครั้ง เป็นสิ่งบังเอิญเมื่อแรกพบในร้านหนังสือ ภาพวันนั้นยังจำได้ หนังสือนวนิยายหลายเล่มถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ในชั้นหนังสืออลูมิเนียมสีขาวสะอาดตา ใกล้กับทางออกซึ่งคนส่วนมากมักใช้เป็นทางเข้า
ฟ้าบ่กั้น จากบทประพันธ์ของ ลาว คำหอม ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ คือแรงดึงดูดให้ผมเข้าไปในร้านหนังสือในวันนั้น หนังสือดีสักเล่มคงไม่ต่างจากมิตรแท้ในวันที่ไม่มีใคร เป็นความคิดแรกเมื่อยามที่รู้ว่า ชีวิตนี้ไม่ได้มีแค่เพียงหนังสือเรียน และฟ้าบ่กั้นคงจะเป็นมิตรอีกคนที่ทำให้ผมเรียนรู้สิ่งที่ดีจากอดีตที่ผ่านมาของเขาทว่า
ก่อนที่ปลายนิ้วจะทำความรู้จักฟ้าบ่กั้น แต่ปลายสายตากลับชำเลืองเห็น หนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่ชั้นถัดไป อยากให้ลมหนาวพัดหวนมาอีกครั้ง คือหนังสือที่ดูแปลกจากพวก เพราะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ทำไมถึงมีเล่มเดียว?เป็นความคิดแรกที่ผ่านแว่วเข้ามา ทำไมถึงมีชื่อคล้ายกับ ยามเมื่อลมพัดหวน หรือจะนำมาทำใหม่ แต่คงไม่ใช่เพราะชื่อผู้ประพันธ์ไม่ได้พิมพ์ว่า ว.วินิจฉัยกุล แล้วทำไมหนังสือเล่มนี้ถูกจัดอยู่ในแถวเดียวกับหนังสือรางวัลวรรณกรรมต่างๆ ไม่น่าเชื่อว่าหนังสือเล่มเดียวจะทำให้มีคำถามมากมายกับผมเช่นนี้? ทำไมและทำไม?? เร็วเท่าความคิด ผมขอพักจากฟ้าบ่กั้น เพื่อค้นหาคำตอบในหนังสือที่ชื่อว่า อยากให้ลมหนาวพัดหวนมาอีกครั้ง
4
ช่วงเวลาที่นิ้วชี้ของมือขวาพลิ้กมุมบนของกระดาษด้านเดียวกันในหนังสือเล่มนี้ ผมยังไม่สามารถคลี่คลายคำตอบในบางคำถามได้ และไม่นานนักหนังสือจึงถูกวางลงในที่ควรจะวาง เพราะดูเค้าว่าฝนคงจะโปรยเม็ดในอีกไม่ช้า
ระหว่างที่เดินผ่านประตูทางเข้าซึ่งคนส่วนมากมักใช้เป็นทางออก ผมหันกลับไปมองที่ชั้นหนังสือแล้วพลางชำเรืองไปบนเมฆหมอกทมึน แล้วบอกกับตัวเองว่า อีกไม่นานฟ้าคงบ่กั้น จากนั้นจึงรีบสตาร์ทเพื่อนคู่ใจฝ่าสายฝนออกมา โดยที่เกรงเหมือนกันว่า อยากให้ลมหนาวพัดหวนมาอีกครั้ง ของอภิชาติ เพชรลีลา ในกระเป๋าสะพาย จะเปียกปอนเหมือนตัวผมหรือไม่
5
สำหรับใครบางคนอาจจะมีอดีตอันสวยงามและหอมหวาน วันและเวลาในห้วงนั้นจึงยากที่จะลบเลือนออกจากความทรงจำ แต่สำหรับใครอีกหลายคนอดีตอาจเป็นฝันร้ายที่แสนทรมาน วันและเวลานั้นอาจไม่อยู่ในความทรงจำแม้เพียงเสียดเสี้ยว ซึ่งบางคนนั้นอาจจะพยายามลบเลือนหรือบางทีอาจแสร้งทำ
สำหรับชีวิตหนึ่งจะมีสักกี่คนที่อยากย้อนกลับไปสู่ห้วงในอดีต อดีตที่อีกฝากนั้นงดงามในความทรงจำ แต่อีกด้านในหนึ่งก็แฝงด้วยความโศกเศร้าของการสูญเสียบางสิ่ง อย่างไม่มีวันคืนกลับ
คงจะดีกว่าถ้าเราไปพบตัวเราเองในอดีต ที่ผลิบานเหมือนดอกไม้ในวันแรกแย้ม เหมือนดังท้องฟ้าสีฟ้าใสดูสบายตา แต่ในความฝันอาจไม่ตรงกับความจริง และในหนังสือนวนิยายแห่งกาลเวลาของหนุ่มสาวเล่มนี้ มันพอทำให้ผมยอมรับความเป็นจริงที่เกิดกับชีวิตคนเรา ชีวิตที่มีทั้งสีขาวในยามที่อยู่บนความสุขและหมองหม่นคล้ายสีดำในยามที่จมอยู่ในความทุกข์ ไม่มีใครที่หลีกพ้นได้
6
ตัวละครในเรื่องไม่ว่าจะเป็น ธันวาผู้มาพร้อมกับบทเพลงในใจ โกอิ้งโอม ของมาร์ค นอพ์เลอร์ หรือไม่ก็บทประพันธ์ของจอห์น สไตน์เบ็ค ในเรื่อง ตอร์ติย่าแฟรท กลางหนุ่มน้อยคณะเกษตรผู้ที่ศรัทธาในความเชื่อที่ว่า วรรณกรรมนั้นสามารถเปลี่ยนโลกของเราได้ โส่ยสาววิจิตรศิลป์ผู้มีดวงตาที่สดชื่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ และชอบอ่านเรื่องของ พิบูลศักดิ์ ละครพล และเพื่อนๆอีกหลายคน ที่พวกเขามีรังรักร่วมหลังเดียวกัน ณ บ้านเชิงดอย จังหวัดเชียงใหม่
พวกเขาเหล่านี้มี อดีต ปัจจุบันและอนาคต ที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขายึดมั่นเหมือนกันคือ ความศรัทธาในสิ่งที่ตนเองเชื่อและในสิ่งที่ตนเองรัก โดยมีมิตรภาพเป็นโซ่คล้องสายสัมพันธ์ ให้ความเหมือนที่แตกต่างนั้น สามารถหล่อหลอมรวมกันได้อย่างลงตัว
7
ทันใดที่เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ปิดฉากลง ทว่าดูเหมือนเป็นเพียงการเริ่มต้น มันคงไม่เพียงแค่เหล่าตัวละครในนวนิยายเล่มนี้ มันอาจรวมไปถึงตัวละครที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งไม่อาจคาดเดาบทบาทของตัวเองในวันพรุ่งนี้ได้ ที่ทำได้คงเพียงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เหมือนกับชีวิตเรานั้นเริ่มต้นขึ้นได้ทุกวันฟ้าใหม่
ความรัก ความหวัง ความศรัทธาและมิตรภาพ ผมยังไม่อยากนึกคิดเลยว่า ถ้าชีวิตหนึ่งเกิดมาแล้วขาดสิ่งเหล่านี้ไป ชีวิตจะมีความอะไรนอกจากอยู่ไปวันต่อวัน คำว่า ชีวิต คงไม่ต่างอะไรไปกว่าร่างที่ไร้วิญญาณ
ความหลังที่ผ่านมา คงจะมีทั้งรื่นรมย์และตรอมตรม ไม่ว่าอย่างไรผมคงจะเก็บมันไว้ อดีตที่สวยงามคงช่วยให้ผมมีพลังในวันที่ไม่อยากก้าวไปข้างหน้า ปัจจุบันที่เผชิญกับความทุกข์คงช่วยทำให้ผมรู้ว่าวันนี้ยังดีกว่าเมื่อวันวาน วันวานที่เราเคยฝ่าฝันมาได้
8
ผมคงจะถึงจุดหมายในอีกไม่ช้า ถ้าเจ้ากรรมฟ้าฝนกลับลงเม็ดมาเสียก่อน จากแรกหยดที่พอทำให้รู้สึกหาที่กำบังฝน แต่ไม่นานน้ำจากฟ้าก็เทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย อย่างไม่หยี่ระต่อคนข้างล่าง เช่นเดียวกับพระอาทิตย์ทอแสงลงมาเต้นระเริงอย่างสนุกกับผิวคนบนพื้นดินในช่วงเช้า ระยะนี้อากาศเปลี่ยนแปลงง่าย อาจคงเป็นเพราะเข้าใกล้ต้นฤดูหนาวในปลายฤดูฝน
ผมและเพื่อนซี้สองล้อต่างหลบฝนอยู่ใต้ชายคาของศาลารอรถประจำทางในมหาวิทยาลัย ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงออกอาการหงุดหงิด ที่ฝนเจ้ากรรมทำให้ผมล่าช้าในการเดินทาง พอมาวันนี้ผมกลับคิดได้ว่า การที่เราคิดแต่เพียงจะเดินทางไปยังจุดมุ่งหมายที่ตั้งใจในทีแรก ถึงแม้มันเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจ แต่ในช่วงระยะทางระหว่างจุดเริ่มต้นและจุดสุดท้าย เราอาจมองข้ามบางสิ่งและบางอย่างข้างทางไป ซึ่งสิ่งเหล่านั้นอาจช่วยให้เราเข้าใจความหมายอะไรมากกว่าจุดมุ่งหมาย ความภูมิใจ แต่ผมคิดว่าเราจะได้เรียนรู้และรู้จัก ความงดงามพร้อมกับความสำเร็จของชีวิต
ระหว่างที่นั่งรอน้ำฝนจะขาดสาย ไม่รู้เหมือนกันว่าผมนั่งฮัมเพลงไปกี่เพลงแล้ว พลางคิดว่า ใครกันหนอที่คิดเวลาฝนตกแล้วจึงรู้สึกเศร้า ผมว่าฝนวันนี้ทำให้ผมร่าเริงอย่างบอกไม่ถูก เหมือนมีเพื่อนๆอยู่รอบกาย แต่ความจริงกลับกลายเป็น ต้นไม้ ดอกไม้แถวนั้น แต่ก็ยังหวังเล็กๆว่าคงจะมีสาวน้อยใบพริ้มเพราสักคนมาหลบฝนใต้ชายคาเดียวกัน
แต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนฝนจะเริ่มเพลาแล้ว เอ๊ะ! นั่น รุ้งนี่นา จำไม่ได้เหมือนกันว่าไม่เห็นสะพานเจ็ดสีที่ลัดผ่านผืนฟ้าและผืนน้ำมานานเท่าไหร่ ดูกี่ทีก็ยังเหมือนเดิมนะ
30 มีนาคม 2547 15:42 น.
แชมป์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...
เมื่อเอ่ยชื่อ จา บุง เฟ ใครต่อใครแถบนั้นย่อมรู้จัก
เขาไม่ใช่ดาราเกาหลีที่เล่นละครหลังข่าวทางช่องทีวีเสรี ซึ่งถือได้ว่าเป็นช่วงเรียกน้ำตาจากคนรุ่นใหม่ได้มากพอสมควร ในยุค I-Generation
เขาไม่ใช่นักฟุตบอลทีมชาติ ซึ่งเมื่อไม่นานนี้ทีมชาติของเขาคว้าอันดับที่ 4 ในฟุตบอลโลกครั้งล่าสุด
เขาคือ คนขายหมู!!!
ไม่แปลกใจว่าทำไมว่าบรรทัดก่อนหน้านี้ ถึงมีเครื่องหมายตกใจถึง 3 ดอก
เพราะบรรทัดต่อๆไป คุณก็จะทราบเอง
จา บุง เฟ ขายหมูด้วยความสุจริต ไม่คดโกง ไม่โก่งราคา ไม่มีใส่สารเร่งเนื้อแดง หรือแม้กระทั่งมีความคิดแอบขายยาเสพติดที่หลังร้าน
เขาเป็นคนขายหมูที่มีอุดมการณ์ มีวิสัยทัศน์ ซึ่งเห็นได้จากป้ายหน้าร้านของเขา(แปลเป็นไทยว่า)
ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน ทรมานใจถ้าโกงประชาชี
บางคนเริ่มสับสนว่า จา บุง เฟ จะเล่นการเมือง หรือ ขายหมู!!
บางคนเลยเทิดไปถึงขั้นให้เขาตั้งพรรคการเมืองท้องถิ่น!!
ถึงกระนั้นนาย จา บุง เฟ ก็ยังยึดอาชีพขายหมู กระทั่งร่างนี้ม้วยมลาย
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ได้ทำอะไรให้คนรุ่นหลานได้จดจำ ในยามที่เขายังมีลมหายใจ
ในช่วงยุดทองสมัยนั้น การทำมาค้าขายอะไรก็ดี เพราะไทยเราเกิดการค้าขายเสรีกับชาวต่างชาติ
เช่นกัน จา บุง เฟ เริ่มมีหมูเป็นของตัวเอง จากหลายตัว กลายเป็นคอก ไม่นานก็มีฟาร์มขนาดเล็กที่พอเลี้ยงดูครอบครัวเล็กๆของตัวเองได้
เมื่องานมากขึ้นทำให้เขาต้องจ้างคนงานเพิ่ม ซึ่งคนงานคนแรกและคนเดียวของเขาคือ
แท็ปเด็กเลี้ยงแกะบ้านป้าแมรี่ที่ถูกเนรเทศมานั่นเอง!!
ที่สำคัญตอนนี้แท็ปเลิกโกหกและเป็นเด็กขยันขันแข็ง จึงเป็นที่ชื่นชอบของ จา บุง เฟ
แต่ด้วยความขยันมากเกินคนปรกติ ก็เลยเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝัน!
แท็ปทำไฟไหม้ฟาร์มหมู!!! ซึ่งในเวลานั้น จา บุง เฟ และครอบครัวไม่อยู่บ้าน
เด็กเลี้ยงแกะที่ไม่มีใครเชื่อและขี้ขลาดตาขาวในอดีต กลับรวบรวมความกล้า วิ่งไปช่วยลูกหมูที่ถูกไฟคลอกก่อน เพราะเป็นขนาดที่คนตัวเล็กอย่างแท็ปพอจะช่วยได้ เขาตัดสินใจใช้มือเปล่าอุ้มลูกหมูออกมาจากไฟมรณะ แต่ทว่า
ทันใดที่มือของเขาจะถูกตัวลูกหมู อารามตกใจ เขากลับตกอยู่ภวังค์ เมื่อกลิ่นหอมจากลูกหมูผู้เคราะห์ร้ายเข้าไปในจมูกแบบไม่ตั้งใจ จนทำให้น้ำลายสอออกมาอย่างไม่รู้ตัว
แท็ปตั้งสติอีกครั้ง เพราะไม่อยากให้ภาพในอดีตอันเสเพลของเขามาทำลายปัจจุบันและอนาคต เขาขากน้ำลายไปยังมือทั้งสองข้างเพื่อให้ทนความร้อน แล้วรีบฉุดหมูตัวเดิมขึ้นมา แต่ก็ต้องผละออกมาเนื่องจากความร้อน ขนาดทำให้หนังหมูลอกออกมาติดที่นิ้วของเขา
สติเริ่มเลือนลาง อารมตกใจอีกครั้ง กลิ่มหอมของหนังหมูเย้ายวนยิ่งนัก เด็กน้อยค่อยๆยกนิ้วที่มีหนังหมูติดมันอยู่มาลิ้มรสอย่างเอร็ดอร่อย
ในที่สุดแท็ปไม่ยี่หระต่ออะไรทั้งสิ้น เขานั่งกินหมูตัวนั้นไร้สติ โดยที่ไม่สนสภาพสิ่งรอบข้าง
ไฟที่ไหม้บางส่วนของฟาร์มค่อยๆมอดลง พร้อมกับการกลับมาของ จา บุง เฟ
ไม่มีการพูดพร่ำทำเพลง ชาวเกาหลีไล่แท็ปออกทันที แต่แท็ปกลับไม่ฟังเสียงรอบข้าง แต่ยังนั่งยอบตัวลงที่เดิม ใกล้กับร่างไร้วิญาณของหมูน้อย
จา บุง เฟ เดินเข้าไปต่อว่า แท็ปไม่สนใจคำด่าทอเหล่านั้น แต่กลับยื่นหมูให้ชิ้นหนึ่งโดยที่ตัวเองไม่หันไปมองเจ้านาย
คนขายหมูนำเนื้อชิ้นนั้นไปชิม แล้วออกอาการเหมือนแท็ปในตอนแรก คือไม่สนใจต่อสิ่งรอบข้างว่าจะเกิดอะไรขึ้น และทั้งสองก็ร่วมวงกินหมูตัวนั้นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวและอย่างบ้าคลั่ง
แม่จ๋า..ลูกของคนขายหมูพูดขึ้น แม่แน่เหรอใจว่าคนนั้นพ่อหนู สองแม่ลูกยืนหน้านิ่งต่อภาพเบื้องหน้า
จา ปุง เฟ เพิ่งรู้ตัว ที่แท้อาหารเลิศรสอยู่ใกล้ๆมือเอื้อมนี่เอง นั่นคือหมูที่ถูกไฟคลอกพร้อมๆกับการเผาฟาร์มตัวเอง
หลังจากวันนั้นที่บ้านของคนขายหมู่ จึงเกิดไฟไหม้บ่อยครั้ง บางวันสามครั้ง บางวันก็มากกว่านั้น
ชาวบ้านเริ่มแปลกใจ คนขายหมูที่มีวิชั่นคนนั้นเปลี่ยนไป งานการไม่ค่อยทำ แถมยังไฟไหม้บ้านบ่อยอีกต่างหาก ทุกคนเริ่มเอ๊ะใจ
แม้กระทั่งคนในบ้านก็เริ่มสับสน ลูกจ๋า แม่ก็ชักไม่แน่ใจ...
และแล้วความลับก็ไม่มีในโลก ในเมื่อชาวบ้านบางนั้น จับได้ว่า จา ปุง เฟ และแท็ป นั้นเผาฟาร์มหมูตัวเอง โดยบุกไปในคืนที่มืดมิด แต่บ้านคนขายหมูกลับสว่างจากไฟไหม้
และกำลังนั่งดูหมูของตัวเองถูกไฟเผาอย่างสบายอกสบายใจ!!!
เริ่มมีเสียงประณามการกระทำของคนทั้งสอง บางคนถึงขนาดทำตัวป้ายผ้า อย่ารังแกสัตว์ที่ไม่มีทางสู้ ในนาทีนั้น ทุกคนต่อต้านการกระทำที่ทารุณสัตว์
แต่ไม่นานทุกเสียงก่อนหน้านี้ก็เงียบสงัด เมื่อนายแท็ป แจกจ่ายเนื้อหมูถูกไฟคลอกแก่ชาวบ้านทุกคน
ทันใดที่ลิ้นได้รับรสอร่อย ชาวบ้านเหมือนต้องมนต์ ทุกคนคล้ายต้องมนต์สะกด แล้วไปร่วมวงกับ จา ปุง เฟ และแท็ปในทันใด
แม่จ๋า เด็กน้อยพูดเสียงอ่อยๆ หนูว่าเขาไม่ใช่พ่อหนูแน่ พลางเอามือปาดน้ำลาย
หลังจากวันนั้นไม่นาน หมู่บ้านนี้มักเกิดไฟไหม้เป็นประจำ จนไม่มีใครกล้าผ่านมาแวะพัก
แต่เนื่องจาก นาย จา ปุง เฟ เริ่มเล็งเห็นถึงความไม่คุ้มทุน จึงหาวิธีการทำหมูไฟคลอกให้ลดต้นทุนขึ้นเรื่อยๆ จากยุคแรกคือการกินไปเผาไปที่บ้านคนใดคนนึง จนไปถึงการนำหมูหั่นเป็นชิ้นๆแล้วไปย่างบนตระแกรงเหล็ก
การกินหมูไฟคลอกเป็นวัฒนธรรมสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน โดยที่ยังยึดถือการกินเป็นกลุ่มและคณะในบางเวลา
บางคนหัวหมอถึงขนาดนำไปลงทุนทำร้านหมูไฟคลอก แล้วคิดเงินเป็นรายหัวสำหรับคนที่แวะเข้ามาชิม ไม่นานนักธุรกิจนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วประเทศไทย
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนกล่าวขานถึง นาย จา ปุง เฟ ซึ่งเป็นต้นตำหรับ ดังนั้นตามป้ายร้านขายหมูไฟคลอกจึงเขียนไว้ว่า หมูไฟคลอกเกาหลีปุงเฟ แต่เพื่อความเป็นสากลสมัยจึงเรียกว่า หมูย่างเกาหลีปุฟเฟ่ห์
ตั้งแต่นั้นมา...
ปล.ส่วนนายแท็ปหันเหอาชีพมาเป็นคนทำหมูไฟคลอก โดยคิดราคาหมูที่ถูกไฟคลอกตามขนาด โดยชาวบ้านจะรู้ว่าเป็นค่าแท็ป ซึ่งในปัจจุบันมีคนพูดเพี้ยนมาเป็น ค่าทิป ในปัจจุบัน
จบแล้วครับผม
30 มีนาคม 2547 15:22 น.
แชมป์
กล่องของขวัญ
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปคลีนิกรักษาผิวหน้าแห่งหนึ่งมาครับ
นานแล้วที่ผมไม่ได้แวะมาที่นี่ อาจเป็นหลักเดือนหรือหลักปี ผมไม่แน่ใจ ทว่ากลิ่นไอบรรยากาศภายในร้านยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ผมยังจำภาพในวันแรกที่ย่างก้าวเข้ามาที่นี่ได้ ฝาผนังห้องถูกรายล้อมด้วยวอลเปเปอร์สลักรูปดอกไม้ ดูคล้ายดอกกุหลาบ โซฟา(ตัวโปรด)ตัวใหญ่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าหนังสีชาเขียวอ่อน ตู้ไม้สีน้ำตาลที่อยู่ติดกับห้องทำทรีตเมนท์มีนิตยสารหลากหลายทั้งรายปักษ์และรายเดือน จริงนะครับผมกล้าพูดได้ว่า ภาพในวันนี้ไม่แตกต่างจากภาพวันแรกมากนัก
บางครั้งความเหมือนเดิมบางอย่าง มันก็พอทำให้หัวใจของเรารู้สึกสดชื่นได้เหมือนกัน
แต่แล้วความเหมือนเดิมบางสิ่ง ที่ทำให้ผมแปลกใจไปกว่าบรรยากาศภายในคลีนิกนี้ เมื่อผมบังเอิญไปเห็นรายละเอียดในใบประวัติรักษาผิวหน้าของผม
วันนี้เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว คือครั้งสุดท้ายที่ผมเข้ามารักษาที่คลีนิคแห่งนี้
ใช่ครับ 1 ปีพอดีกับความอัศจรรย์ในครั้งนี้
..
ไม่ทราบเหมือนกันว่า ช่วงเวลา 1 ปีของคุณมันนานขนาดไหนครับ ผมเคยนั่งคิด นอนคิดอยู่หลายครั้ง ว่าเวลา 1 ปีหรือ 365 วัน มันนานจริงหรือ
หากเรามองเจ้าเวลานี้ทางด้านคณิตศาสตร์ แน่นอนครับใครคงตอบได้ว่า 1 ปีย่อมยาวนานกว่า 1 เดือน แล้วเวลา 1 เดือนย่อมต้องใช้เวลารอคอยมากกว่า 1 สัปดาห์
หากทว่าเคยรู้สึกไหมว่า บางครั้งเวลาในอดีตที่ผ่านมาเนิ่นนาน ทำไมกลับดูเหมือนเพิ่งผ่านไปไม่นานมานี้ และบางทีภาพเหตุการณ์ต่างๆเหล่านั้นเหมือนเพิ่งผ่านเมื่อวานไป
คล้ายกับว่าเวลาคงอยากเล่นตลกกับเราเหมือนกัน จึงทำให้ผมคิดอะไรแปลกๆเช่นนี้
เมื่อพูดความนานหรือไม่นาน เลยอดนึกขำตัวเองในตอนเยาว์วัยไม่ได้ เพราะเวลาที่ผมต้องนั่งเรียนวิชาที่ไม่ค่อยถูกโฉลก เวลาเพียง 1 ชั่วโมงกับอีก 20 นาที กว่าเข็มสั้นและเข็มยาวจะเดินผ่านเลขทีละตัว ทำไมถึงนานแสนนานเพียงนี้ เฮ้อ คำอุทานที่ใช้บ่อย หลังหมดคาบเรียน (ตอนโตยังเหมือนเดิม)
ไม่ว่าเวลาที่ผ่านพ้นไปนั้น อาจจะเป็นเพียงชั่วพริบตาหรือต้องใช้เวลารอคอย มันจะเป็นอดีตที่น่าจดจำ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมให้ความสนใจมากกว่านั้นคือ กับ 1 ปีที่ผ่านไป ผมได้ทำอะไรให้กับตัวเองบ้าง และอะไรนั้นที่ทำให้ผมรู้สึกภูมิใจกับตัวเอง
..
คำว่า ภูมิใจ มันบรรยายความรู้สึกลำบากเหมือนกันนะครับ เพราะความรู้สึกส่วนตัวของแต่ละคน เลียนแบบได้ยาก แต่มีโอกาสไม่บ่อยครั้งที่จะได้แสดงออกมา
อาการภูมิใจของผมแสดงออกได้ง่าย ระยะเริ่มต้นจะมีอาการตัวร้อนอุ่นๆ สองถึงสามนาทีต่อมา ระยะสองก็เริ่มแสดงอาการคือ ยิ้มไม่ค่อยหุบ ทำให้ปากที่กว้างอยู่แล้วยิ่งกว้างไปใหญ่ และระยะสุดท้ายคือจะพูดมากทั้งวัน จึงไม่รู้เหมือนกันว่า อาการภูมิใจของผม จะมีอันตรายต่อคนรอบข้างหรือเปล่า
แต่ช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่าน มีอะไรหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผม อะไรหลายอย่างนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการเรียนในปีการศึกษาสุดท้าย หรือทำตัวสำมะเรเทเมาเทือกนั้น สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้น ผมเริ่มหัดเขียนหนังสือครับ
แรงบันดาลใจไม่มีอะไรมาก แค่ยากเขียนอยากอ่านผลงานตัวเองบ้าง เพราะได้อ่านผลงานคนอื่นมาพอสมควร ทีแรกคิดว่าคงไม่ยากแต่ความจริงไม่ การจะขยับปลายดินสอแล้วเขียนพยัญชนะไทยลงบนกระดาษนั้น ลำบากไม่น้อยกว่าการทำข้อสอบวิชาคำนวณเลย
ไม่รู้เหมือนกันว่า ในเวลาที่เราพยามตั้งใจทำในสิ่งที่เราคาดฝันไว้ แต่มันกลับหยุดอยู่กับที่ ไม่เคลื่อนไหว ทุกอย่างอยู่ในสภาวะสงบนิ่ง คุณรู้สึกเช่นไร
2 สัปดาห์ผ่านไป ผมคิดสุภาษิตใหม่ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ไหน
คงต้องเปลี่ยนแผน ผมคิดสักครู่ ก่อนที่จะผละออกจากโต๊ะประหาร ไปเดินเล่น ฟังเพลง ไม่พยายามคิดเรื่องการเขียน ให้หัวโล่งๆแล้วค่อยกลับไปสานฝันใหม่ อย่าจริงจังเกินไป ให้อารมณ์มันพาไป แล้วทุกอย่างคงดีเอง
เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส วลีอมตะสำหรับยุคเศรษฐกิจ คงประยุกต์ใช้กับเหตุการณ์ของผมได้ จากที่มือไม่ได้ขีดเขียนเลย ผมได้เริ่มเขียนอะไรเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ ไม่เป็นเรื่องเป็นราว เหมือนเด็กอนุบาลนั่งวาดรูปเล่น รูปที่คนอื่นมาเห็นอาจไม่รู้เรื่อง แต่แฝงความหมายบางอย่าง ที่ใครก็ไม่อาจรับรู้ได้
ความหวังเริ่มเห็นรางๆ เมื่อผมเริ่มวางโครงเรื่อง กำหนดบุคลิกตัวละคร เหตุการณ์ขัดแย้ง ความไม่เป็นเรื่องเป็นราวในครั้งก่อน ทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย คล้ายดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน
ที่ว่าง คือเรื่องสั้นเรื่องแรกที่ผมพยามทำจนสำเร็จ เป็นเรื่องราวของความขัดแย้งในความคิดของผู้เรียนรู้ชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงกับผู้ผดุงความยุติธรรมผู้เรียนรู้ชีวิตในห้องเรียน ความขัดแย้งที่จะทำให้คุณรู้จักคำว่าชีวิตในอีกมุมมองหนึ่ง
แต่ที่น่าภูมิใจกว่านั้น เมื่ออาจารย์ประจำวิชาไทยวิจารณ์ ได้นำเรื่องนี้เป็นสื่อการสอนของนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยที่ผมศึกษาอยู่ แม้จะไม่ได้ตีพิมพ์ในวารสารชื่อดัง แต่เป็นความภูมิใจที่เรื่องของผมได้ไปสู่สายตาของคนกลุ่มหนึ่ง แค่นี้คงพอใจแล้วครับ
ผมขอแก้ตัวความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น สุภาษิตโบราณที่ใช้ได้ทุกสมัยจริงๆ
การพยามยามทำในสิ่งที่เราอาจไม่เคยคาดคิดมาก่อนอย่างจริงจังและซื่อสัตย์ บางครั้งง่ายคล้ายเปิดประตู แต่บางครั้งก็ยากคล้ายงอกปีกแห่งฝัน
..
1 ปีแล้วหรือนี่ เหมือนเพิ่งผ่านไปไม่นานนะ ผมพึมพัมกับตัวเองสักพัก ก่อนที่จะเดินตรงไปรับยาพร้อมจ่ายเงินตามกติกาและมารยาท
แต่ถึงกระนั้นผมยังคงแปลกใจกับเหตุการณ์ในวันนี้ ที่ไม่อาจเกิดได้บ่อยครั้งนักในชีวิตผม ทว่ามันพอทำให้ผมระลึกถึงเวลา ที่อาจเป็นเพียงชั่วพริบตาหรือผ่านมาเนิ่นนาน กับช่วงเวลาดีๆใน 1 ปีที่ผ่านมา
แต่ที่น่าแปลกใจกว่า เมื่อวันนี้เป็นเกิดของผมเองครับ น่าอัศจรรย์ใจอีกครั้ง
ถือว่าเป็นกล่องของขวัญเล็กๆจากกาลเวลา ที่สะสมอดีตอันสวยงามของชายคนหนึ่ง แม้จะมีฝุ่นเกาะสักหน่อย แต่ยังคงสวยงามเสมอ หากเราให้เวลาที่จะเปิดฝากล่องนั้นออกมาดู
30 มีนาคม 2547 15:11 น.
แชมป์
22.30 น. : เริ่มต้น
ค่ำคืน / แสงจันทร์ / ซอยสุขารมณ์ / ข้างโรงเรียน / ไฟสลัว / ลมพัด / ความเปลี่ยว / เริ่มหนาว / หมาหอน / นักเรียนหญิง / สวยเซ็ก / เดินผ่าน / ซอยนี้ / ทางเข้าหอ / ปากทาง / อยู่ใกล้ / ซุปเปอร์มาเก็ต / เด็กชอบเข้า / นั่นแหล่ะ / เป้าหมาย
ผม / แทงบอล / ทุ่ม / สุดตัว / คู่แมนยู / เจ๊ง / เสียบอล / หมดตูด / เจ้าขู่ / 3วัน / ไม่ได้ / มึง / ตาย / กลัว / ความตาย / หาวิธี / ไม่มี / นอกจาก / ต้องปล้น
ค่ำคืน / แสงจันทร์ / ซอยสุขารมณ์ / ข้างโรงเรียน / ไฟสลัว / ลมพัด / ความเปลี่ยว / ตัวผม / เริ่มหนาว / เหงื่อตก / ความกลัว / ไม่ทำ / ไม่ได้ / 2วัน / กู / ตาย
22.35 น. : กัดฟัน
50เมตร / หน้าร้าน / ยังกลัว / อยากเลิก / ไม่ได้ / ต้องทำ / วางแผน / รอก่อน / นักเรียนสาว / เดินผ่าน / แต่งตัว / โป๊ / หมวยเซ็ก / กลืนน้ำลาย / สั่นหัว / ทำไม่ได้ / ตั้งสติ / วันนี้ / กู / มาปล้น
จินตนาการ / ถึงแผน / เข้าร้าน / ดูของ / รอ / คนเปลี่ยว / เดินรี่ / ไปหา / แคชเชียร์ / ยิ้ม / ยกปืน / 11มม. / แล้วบอก / ปล้น / รับเงิน / ยิงขู่ / วิ่งหนี / จำให้ดี / ไม่มี / ใครตาย / ได้เงิน / กูรอด
ค่ำคืน / แสงจันทร์ / ซอยสุขารมณ์ / ข้างโรงเรียน / ไฟสลัว / ลมพัด / ความเปลี่ยว / เริ่มหนาว / ตื่นเต้น / ครั้งแรก / ความกลัว / ไม่กล้า / ไม่ทำ / ไม่ได้ / อีก2วัน / กู / ไม่อยากนึก
22.40 น. : เริ่มงาน
โอกาสดี / คนเริ่มน้อย / เดินรี่ / ไปหา / เป้าหมาย / ผม / หน้านิ่ง / พนักงาน / ต้อนรับ / ยิ้มหวาน / ไหว้สวย / ผม / ยิ้มตอบ / ในใจ / พวกแสดง / ไม่จริงใจ / ไม่สน / ดูของ / เรื่อยๆ เรื่อยๆ
ในร้าน / ยังมี / เด็กเข้า / ไม่ขาดสาย / ในใจ / ขันติ / ยุบหนอ / พองหนอ / ไม่รีบ / เด็ก / เข้าใกล้ / ผม / ความกลัว / เด็กรู้ / ทำหน้าดุ / ได้ผล / เด็กกลัว / รีบจ่ายเงิน / พนักงานพูด / รับขนมจีบ-ซาลาเปาเพิ่มไหมคะ / ผม / ในใจ / พวกนี้ / ชอบ / ท่องคาถา
ผม / ความกลัว / ไม่กล้า / กลัวถูกจับ / เข้าคุก / กินข้าวแดง / การข่มเหง / ตุ๋ย / น่ากลัว / อนาคต / แต่ / ไม่ปล้น / กู / ตาย /เหมือนกัน
ผู้คน / เริ่มน้อย / ตัวผม / ฮึดสู้ / เดินไป / ข้างหน้า / เตรียม / ควักปืน / แต่ / ทันใด / ตำรวจ2นาย / เข้าร้าน / ตกใจ / หน้าซีด / เหงื่อตก / กลัวมาก / ในใจ / ท่อง / ขันติ / ขันติ
ตำรวจ / เดินไป / เดินมา / เดินไป /เดินมา / ผม / อาการกลัว / ถูกจับ / ในใจ / เริ่มคิด / ทำ / ไม่ทำ / ทำ / ไม่ทำ / ทำ / ตกลง / ต้องทำ / ไม่งั้น
22.50 น. : รอ
ตำรวจ / ยังอยู่ / ตัวผม / ร้อนผ่าว / สติแตก / เริ่มคิด / แผน2 / ต้องฆ่า / ปล้น / หนี / แต่ / ไม่ได้.. ไม่ได้ / งานนี้ / ไม่มี / ใครตาย
ผม / ความหิว / ตาลาย / มึนหัว / เสียงท้องร้อง / ระลึก / ความหลัง / ทำไม / ตัวกู / เล่นพนัน / ไม่เล่น / ตัวกู / สบาย / ไม่ตาย / ไม่หิว
ผ่านไปแล้ว / ช่างมัน / ตอนนี้ / การตั้งสติ / ความไม่วอกแวก / หน้านิ่ง / การรอ / ตำรวจ / ใกล้ออก / ไม่นาน / ต้องรอ / รอ / รอ / รอ
22.53 น. : โอกาส
ตำรวจ / อีซีโก / ข้าวกระเพาหมู / 2กล่อง / จ่ายตังส์ / แคชเชียร์ / ท่องคาถา / ตำรวจ / ออกไป / เสียงประตูเปิด / ติ๊งหน่อง / เสียงสวรรค์ / ผม / ระริก / ดีใจ / ตำรวจไป / คราวนี้ / ทีกู
ตัวผม / ฮึดสู้ / เดินไป / ข้างหน้า / เตรียม / ควักปืน / แต่ / ทันใด / ตำรวจ2นาย / หน้าเดิม /กลับมา / มันลืม / ฟุตลอง / ผม / ด่า / ในใจ / ไอ้ห่า / กลับมา / ทำไม
ตัวผม / ความกลัว / มือสั่น / ใจสั่น / ความคิด / วันนี้ / ไม่มีโชค / สงสัย / วันนี้ / ไม่ได้ปล้น / ทันใด / ตำรวจไป / ชั่ววูบ / ความคิดเปลี่ยน / วันนี้ / ต้องปล้น
22.58 น. : หักเห
ในร้าน / ตอนนี้ / ผม / แคชเชียร์ / เด็กประถม / ความคิด / ต้องรีบ / การไขว่คว้า / โอกาสทอง / แต่ / คิดอีกที / ยังมี / เด็กอยู่
ผม / การตัดสินใจ / แค่เด็ก / คนเดียว / ตอนนี้ / เปลี่ยว / ไฟสลัว / มอง / นาฬิกา / 22.59 น./ ต้องรีบ / เด็กน้อย / ช่างมัน / วันนี้ / ต้องปล้น / พรุ่งนี้ / กู / ปลดหนี้
ตัวผม / ตั้งสติ / เดินไป / ข้างหน้า / เตรียม / ควักปืน / แต่ / ทันใด / ประตูเปิด / ไอ้โม่ง / 1 คน / รี่เข้ามา / ปืนจ่อ / แคชเชียร์ / การตะคอก / ทุกคน / เอาเงินมาให้กู / ไม่งั้น / ตาย
ตัวผม / ความสับสน / คำถาม / ทำไม / ทำไม / กู / ถูกปล้น / ? / ถ้าไม่ให้ / กู / ก็ตาย / ?
23.00 น. : ซวย
ความอึ้ง / ความกลัว / ความตื่นตระหนก / ความคิด / 20 นาทีก่อน / กู / จะปล้น / ตอนนี้ / ถูกปล้น / เหงื่อแตก / หน้าซีด / ไม่เข้าใจ / ทำไม / กู / ซวย !
แคชเชียร์ / กลัว / ให้เงิน / มัน / เก็บเงิน / ถุงดำ / มันมอง / เด็กน้อย / มัน / เดินไปหา / เด็กน้อย / ไม่ใช่ / มัน / เดินมา / ที่ผม
มัน / ตะโกน / เอาเงินมา / ผม / ไม่มี / มัน /ไม่เชื่อ / ทันใด / เด็กร้อง / มันอุ้ม / ถ้าไม่ให้ / เด็กตาย / ผม / ความคิด / ช่วย / ไม่ช่วย / ตัวกู / ตอนนี้ / กลัว / กลัว
23.02 น. : ฮีโร
เด็กร้อง / เสียงดัง / ตำรวจ / หน้าเดิม / กลับมา / ผม / อุ่นใจ / ฮีโร / มาช่วย / แต่ / ไม่เป็นเช่นนั้น / มันไม่กลัว / สงสัย / มันเมา / ยาบ้า / ตำรวจ / หน้าจืด / การต่อรอง / ปล่อยเด็ก / มันตอบ / การปฏิเสธ
เด็กร้อง / เสียงดัง / ความรำคาญ / ความคลุ้มคลั่ง / มัน / ปืนจ่อ / เด็กน้อย / การต่อรอง / ไม่เป็นผล / การต่อสู้ / เสียงปืน / ความตาย / ตำรวจ / 1 นาย / ระหว่าง / มันจะยิง / ตำรวจ / ตัวผม / การตัดสินใจ / ความถูกต้อง / ตะราง / ตุ๋ย / ค่าบอล / ช่างมัน / ผม / ควักปืน / เล็ง / เปรี้ยง / มันล้ม / เด็กรอด / ผมอุ้ม / ตัวผม / ช่วยชีวิต / ฮีโร / ความภูมิใจ / แต่ทันใด / เสียงปืน / เปรี้ยง เปรี้ยง / ผะ-ผม / ถูกยิง / เปรี้ยง
1.45 น. : ตื่น
ผวา / เหงื่อแตกพลั่ก / การตกใจ / กริ๊ง-ง-ง-ง / เสียงนาฬิกา / ผม / ความฝัน / การถอนหายใจ / ความโล่งใจ / ดูนาฬิกา / 1.45 น. / แมนยู / ผมแทง / หมดตัว / นั่งลุ้น / ความระทึก
3.45 น . / ผลการแข่งขัน / แมนยูแพ้ / ผมเสียตังส์ / ทำไง / เอ๊ะใจ / ทำไม / เหมือนฝัน / ทดลอง / โทรหาเจ้า / การต่อรอง / มันย้ำ / 3 วัน / ไม่งั้น / มึงตาย!
จบ / แล้ว..
30 มีนาคม 2547 15:07 น.
แชมป์
จากกาแลกซี่อันไกลโพ้นจนมาถึงดาวเคราะห์ดวงเล็กๆที่มีชื่อว่า โลก
ที่นั่น ณ ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นขวานทองของทวีปเอเชีย
ที่นั่น ณ ดินแดนที่เป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำที่หล่อเลี้ยงคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ
ที่นั่น ณ จังหวัดแห่งหนึ่งที่เขาเลื่องลือว่ามีนามคล้ายแดนสวรรค์
และที่นั่น หากหมุนเวลาย้อนกลับ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พุทธศักราช 2523 ทารกน้อยคนแรกของครอบครัวซิ้มเจริญก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมา จากหยดแรกเป็นหยาดฝนและเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ทารกน้อยเริ่มรู้สึกตัว เปลือกตากลีบบางคู่นั้นค่อยๆแง้มมองดูโลกอย่างช้าๆ ท่ามกลางเหล่าผู้คนแปลกหน้าที่มารายล้อม
วาบแห่งความรู้สึกแรกในความนึกคิด ทารกน้อยคิดอย่างไม่เหมือนใครว่า ถ้าสามารถเกิดมาแล้วพูดได้เลย เฮ้! หวัดดีมนุษย์โลก ซบายดีบ่ เขาคิดเช่นนั้นจริงๆนะจะบอกให้
แต่มันก้อแปลกนะสำหรับเด็กอยากพูด(มาก)อย่างผม ทำไม๊..ทำไมยังพูดไม่ได้สักที ขนาดเจ้าแจ็คเด็กข้างบ้านมันก้อรุ่นเดียวกับผม มันยังเริ่มอ้อแอ้แล้ว เชอะ!หมั่นไส้ รอทีของผมบ้างแล้วกันจะอ้อแอ้ไม่หยุดเลย แต่ตอนนี้แม่จ๋าช่วยหนูด้วย หนูปวดอึ! ฮื่อๆๆ
ท่าทางสวรรค์คงเข้าใจหรือสมเพช เลยทำให้ผมพอพูดกับเขาได้ ไม่ใช่สิผมหัวเราะได้แล้วนะ เรื่องมันมีอยู่ว่า พ่อและแม่เช่าหนังมาดูที่บ้าน ตามประสาเด็กเนอะเห็นเขาดูก็ดูตามแต่ไม่รู้เรื่องหรอก ความจริงอยากอยู่ใกล้พ่อกับแม่เสียมากกว่า
ทว่าจุดโดนใจมันเริ่มที่พ่อหนุ่มหน้าตาดีในหนัง เขย่าแชมเปญนี่สิ โบ๊ะ!ๆๆ เสียงนี่ใช่เลยเสียงตอนเปิดขวดมันโดนใจหลาย ผมเลยเผลอหัวเราะเป็นการใหญ่ จนเป็นที่ผิดสังเกตของพ่อและแม่ว่า ลูกตูโดนผีตลกเข้าสิงหรือไงฟ่ะ
จากนั้นทั้งสองเลยจับผมเป็นหนูทดลอง โดยลองกรอเทปตอนเปิดแชมเปญซ้ำไปซ้ำมา แต่เห็นผมไม่มีทีท่าจะหยุดหัวเราะ และนี่จึงเป็นที่มาของชื่อเล่นอันกิ๊บเก๋นามว่าแชมป์
2 ปีให้หลัง จากเป็นที่หนึ่งในดวงใจของพ่อและแม่มาตลอด ผมก้อได้เจอศัตรูของหัวใจคนแรกในชีวิตผม หล่อนเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ตาโต แก้มก้อป่อง นี่คงเป็นครั้งแรกละมั้งที่ผมรู้จักอาการหมั่นไส้แกมริษยา
รู้สึกว่าทั้งพ่อและแม่จะโอ๋ยัยเด็กคนนี้ข้ามหน้าข้ามตาไปนะ แถมยังซื้อเครื่องปรับอากาศเป็นของขวัญให้ด้วย(จึงเป็นที่มาของชื่อน้องสาวผมแอร์) ทีเด็กหน้าตาใสซื่อแบบผมได้แค่พัดลมตัวเดียวเอง และดูท่าเจ้าพัดลมตัวนี้มันคงไม่ชอบผมสักเท่าไร ก้อมันชอบส่ายหน้าให้ผมทุกทีนี่นา เฮ้อ! เกิดเป็นเด็กก้อลำบากเหมือนกันเนอะคุณว่าไหม
โรงเรียนอนุบาลนครสวรรค์ คงเป็นสถานศึกษาที่นับว่าใจกว้างดุจแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะอะไรนะเหรอ เพราะเขายอมให้ผมได้ร่ำเรียนหาความรู้เหมือนอย่างลูกชาวบ้านนะสิครับ
วันแรกที่ย่างก้าวเข้าสู่สถาบันการศึกษานี้ ด้วยความไร้เดียงสา สระอายังไม่รู้จัก ทำไมไอ้ชุดขาวๆกางเกงขาสั้นสีน้ำตาล ไม่ทันสมัยเอาเสียเลย แต่มันก้อเท่ห์นะครับ
ผมรู้สึกจะมัวแต่เห่อกับเจ้าชุดนักเรียนมากไปหน่อย ทำให้เรื่องเรียนไม่เท่ห์เหมือนชุดนักเรียน ก้อดันสอบได้ที่ 33 จาก 41 คน เกือบรู้จักการสอบตก เมื่อยังแบเบาะ
หากย้อนเวลาไปประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว การสะสมแสตมป์ถือว่าฮิตมากในบรรดากิจกรรมอดิเรก แล้วมีหรือที่เด็กชายแชมป์จะตกกระแส ไม่ใช่เท่ห์อะไรหรอก แต่ดันเข้าใจผิด เพราะคิดว่าไอ้เจ้าแสตมป์มันแลกเป็นเงินได้ ก็เห็นมันมีค่าเงินตรงมุมล่างซ้ายนะสิครับ เลยคิดเลยเถิดไปว่า ถ้าขายได้เราคงรวยมิใช่น้อย(ตาสว่างตอนม.1)
ขอให้ค่ำคืนนี้มีแต่เรา อยู่เคียงใต้แสงดาว และมีความรักให้กันและกัน เธอเป็นดังเจ้าหญิงในใจฉันและจะมีเพียงเธอเท่านั้น นี่คือเนื้อร้องที่สุดแสนซาบซึ้งหนึ่งในเพลง เจ้าหญิง ที่มีไอ้สามล้อคนหนึ่งไม่สิต้องสิบล้อคนหนึ่ง ขึ้นมาร้องบทเพลงในคอนเสิร์ทใหญ่ของพี่บอย โกสิยพงศ์ แต่ทันใดเมื่อไอ้หมอนี่ร้องจบเพลง สิ่งแรกที่ผมรู้สึกได้Superstarในใจผมอีกคนป็อด Moderdog
ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือความพยายามมาหลายปีเหมือนกัน ไม่อยากโม้นะแต่ขอเม้าท์เสียหน่อย เห็นผมบ้าๆบอๆอย่างงี้ แต่ผมก็สอบเอนทรานซ์ได้เหมือนกัน ผมสอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสนเชียวนะ แต่กำแพงแสนมันคืออะไรกันหวา?!!!
และแล้วนายแชมป์ก็ต้องระเห็ดระเหไปอยู่ไกลบ้าน ถึงกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ด้วยความอดกลั้นฝืนกิน เกรงเวลาเราไม่อยู่ใครจะกวนพ่อแม่และแกล้งน้อง เฮ้อ
โห! ทำไมมันถึงกว้างสุดลูกลูกตาอย่างงี้ว่ะเนี่ย คงไม่แปลกสำหรับแขกผู้มาใหม่อย่างผม ที่เพิ่งเข้ามายังสถานที่นี้เป็นครั้งแรก มันเลยตื่นเต้นจนเผลอแสดงความบ้านนอกออกมาเล็กน้อย แต่ก็ยังแอบพึมพัมกับคนเดียวว่า ที่นี่สินะ ที่ผมจะมาริ่มต้นชีวิตใหม่ ที่นี่สินะที่ผมจะได้เข้ามาเรียนรู้สิ่งต่างๆที่อยากรู้และไม่เคยรู้แต่ปัญหาที่ผมจะต้องรีบแก้ไขอย่างโดยด่วนคือ ผมจะไปหอพักอย่างไงดีอ่ะ?
ลมเพลมพัด หรือจับพลัดจับผลู ที่ทำให้ผมเข้ามาเรียนในสาขาวิศวกรรมชลประทาน มันอาจจะเป็นบงการของเง็กเซียนฮ่องเต้(เผอิญช่วงนั้นดูหนังจีนมากไปหน่อย) ที่อยากให้ผมเป็นชาวเขื่อน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้เลยว่า ประเทศไทยเรามีวิศวกรสาขานี้ด้วยเหรอนี่?
เผลอแป๊ปเดียวผมก็ดันเรียนที่เมเจอร์มา 5 ปีแล้ว ไวเหมือนโกฮัก เฮ้ยโกหก แต่ไม่ว่าฟ้าจะลิขิต หรือดวงมันพามาให้ผมเรียนที่นี่ สาขานี้ ผมจะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุดและจะรักเมเจอร์ไปจน(ไม่รู้เหมือนกันฮ่ะ)
ปล.ขณะนี้กำลังศึกษาต่อระดับปริญญาโท ณ รัฐกำแพงแสน ไทยแลนด์ สาขาเดิมๆ