24 กุมภาพันธ์ 2552 22:02 น.
แจ้นเอง
เช้าวันอาทิตย์ที่แสนจะอบอุ่น เจ้าหนอนอ้วนกัดกินใบไม้ใบต้นดอกชบาอยู่ในสวนของน้องนิ้ง
หย่อยจริ๊ง จริง
กร๊วบ ๆๆๆ
เสียงกัดกินใบไม้แม้จะแสนเบา แต่เจ้านกกางเขนตัวเล็กๆที่เพิ่งบินมาเกาะบนกิ่งชบาก็ตะแคงหัว ซ้าย-ขวา มองหาอาหารด้วยสายตาหิวกระหาย
เอ๊ะ! เสียงหนอนกินใบไม้นี่ เจ้านกกางเขนคิดในใจ
อยู่ไหนนะ หิวก็หิว ตั้งแต่เช้าเรายังไม่เจอหนอนซักตัวเลย หิวจนตาลายแล้วนะนี่ ไปไหนหมดนะนกน้อยคิดในใจและเริ่มหงุดหงิดมันยืนกระสับกระส่ายอยู่บนกิ่งไม้ที่เจ้าหนอนอ้วนหลบอยู่
ส่วนเจ้าหนอนอ้วนพอรู้ตัวว่าถูกค้นหามันหลบอยู่ใต้ใบชบาใบใหญ่และคิดในใจว่า
เมื่อไหร่เจ้านกใจร้ายจะไปซะทีนะ เดี๋ยวเกิดได้ยินเสียงร้องจ๊อกๆของท้องเรามิแย่หรือนี่ เจ้าหนอนอ้วนเริ่มกระวนกระวายใจ เพราะตั้งแต่เมื่อวานที่มันกระดุ๊บ กระดิ๊บมาถึงต้นชบาก็เล่นเอาล้าแล้ว และตอนนี้เป็นช่วงที่มันต้องกินอาหารเพื่อที่จะตุนเอาไว้ให้มากที่สุด
และแล้วเมื่อนกกางเขนตัวน้อยมองหาหนอนอ้วนไม่เจอมันจึงตัดสินใจบินจากไปด้วยความหิวโหยและผิดหวัง พร้อมทั้งส่งเสียง จิ๊บๆๆๆไปตลอดทาง
หนอนอ้วนพอรู้ว่าเจ้านกกางเขนบินจากไปแล้วมันรีบออกมาจากหลังใบไม้และเริ่มต้นกัดกินใบไม้ ใบแล้ว ใบเล่า มันช่างกินไม่รู้จักอิ่มเสียที
กร๊วบๆๆๆๆหย่อย อ่ะ
และในที่สุดเจ้าหนอนอ้วนก็ต้องใช้เวลานอนหลับอย่างยาวนาน มันต้องถักใยเพื่อเข้าไปแปลงร่าง มันถักใยล้อมรอบตัวมันอย่างแน่นหนา ซึ่งเราเรียกมันว่าดักแด้และห้อยต่องแต่งอยู่กับกิ่งเล็กๆของชบาสีเหลือง
เช้าวันหนึ่งซึ่งเป็นวันหยุดน้องนิ้งตื่นแต่เช้า
วันนี้อากาศสดชื่นจริงๆน้องนิ้งซึ่งอยู่ในชุดกระโปรงติดกันสีชมพูกระโดดหยอยๆอยู่ในสวนดอกไม้หน้าบ้านและเหลือบไปเห็นต้นดอกชบา ต้นโปรดของแม่ออกดอกสีเหลืองเต็มต้นจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
สวยจังเลย พูดพลางก็เอื้อมมือไปแตะกลีบชบาเบาๆ แต่ เอ๊ะ! น้องนิ้งชงักเมื่อเห็นมีอะไรห้อยอยู่กับกิ่งเล็กๆของต้นชบา
ตัวอะไร? เนี่ยด้วยความสงสัย น้องนิ้งจึงเอามือไปจับดู ดักแด้ซึ่งไม่ไหวติงเมื่อถูกมือสัมผัสจึงเกิดการขยับตัว
ว๊าย!...อุทานด้วยความตกใจ และกระโดดถอยหลังออกมาอย่างรวดเร็ว พอตั้งตัวได้ก็ออกวิ่งหน้าตื่นไปรายงานแม่เรื่องตัวประหลาดทันที
แม่จ๋า...
อะไรกันลูก วิ่งหน้าตื่นมาเชียวแม่เล็กรีบละมือจากการล้างจานชามอยู่ในครัว หันมาถามลูกสาว
หนูไม่รู้มันเป็นตัวอะไรค่ะ หนูเห็นมันห้อยอยู่ที่กิ่งชบา หนูลองจับดูรู้สึกมันนิ่มๆและดิ้นด้วยขณะที่เล่าน้องนิ้งก็ทำท่าทางประกอบไปด้วยซึ่งแม่เล็กก็อดขำท่าทางตื่นเต้นของลูกสาวไม่ได้ จึงยิ้มและพูดขึ้นว่า
คงป็นดักแด้ละมัง
อะไรคือดักแด้คะน้องนิ้งแหงนมองหน้าแม่แล้วคว้าจับมือแม่พาจูงออกไปให้เห็นกับตา
นี่ไงคะน้องนิ้งชี้ให้ดูดักแด้
ใช่ดักแด้จริงๆด้วยแม่บอกพร้อมอธิบาย
"ดักแด้เนี่ยเมื่อก่อนมันเป็นตัวหนอนจ้า พอมันมีอายุได้ประมาณ 15-20 วันมันก็จะเป็นดักแด้ ช่วงเป็นตัวหนอนมันจะลอกคราบ 4-5 ครั้งและแต่ละครั้งตัวมันก็จะใหญ่ขึ้น และมันก็จะแปลงร่างเป็นผีเสื้อต่อไป"
ผีเสื้อหรือคะแม่น้องนิ้งรู้สึกทึ่งมากๆ
แล้วอีกนานไหมคะแม่มันจีงจะกลายเป็นผีเสื้อ
โดยปกติดักแด้จะไม่เคลื่อนไหวตัวและไม่กินอาหาร ประมาณ 7-10 วันจ๊ะ ดักแด้จะเปลี่ยนรูปร่างจนเป็นตัวเต็มวัยมีรูปร่างเหมือน พ่อ แม่แล้วก็จะเจาะรังออกมาเป็นผีเสื้อ
งั้นหนูก็จะรอดูจนกว่ามันจะออกมาเป็นผีเสื้อนะคะน้องนิ้งหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องเห็นเจ้าผีเสื้อตัวนี้แน่นอน
ถ้าลูกอยากเห็นก็ต้องหมั่นมาดูค่ะน้องนิ้งรีบพยักหน้ารับทันที
งั้นวันนี้ เราก็ไปทานข้าวกันได้แล้ว ไปค่ะ ว่าแล้วก็จูงมือน้องนิ้งชวนเข้าบ้าน เพราะข้างนอกอากาศเริ่มร้อนแล้ว
เช้าวันนี้น้องนิ้งอยู่ในชุดกางเกงสีเขียวอ่อน เสื้อยืดเพ้นท์ผีเสื้อน่ารักตรงหน้าอกด้วย และวันนี้น้องนิ้งรู้สึกตื่นเต้นเพราะคงถึงเวลาที่ผีเสื้อจะออกจากรังเสียที เธอจึงตื่นแต่เช้าแล้วรีบเดินลงสวนทันที
น้องนิ้งมายืนอยู่ใกล้ๆที่ดักแด้ห้อยตัวอยู่ และจ้องเขม็ง ทันใดนั้น
อึ่ย แสบตาจังเจ้าผีเสื้อกำลังโผล่หัวออกจากรังและรู้สึกถึงความจ้าของแสงสว่างที่มากระทบตา มันค่อยๆโผล่ออกมา ออกมาและมาเกาะอยู่บนรังของมันในที่สุด ปีกของมันมีสีเหลืองอมเขียวและดวงตาสีหม่นๆ
แม่จ๋า แม่เร็วๆผีเสื้อออกมาแล้วน้องนิ้งตะโกนเรียกแม่ไปและกระโดดหยอยๆไปด้วย
ผีเสื้อสีอะไรจ๊ะแม่เล็กรีบเดินมาหาลูกสาวตัวน้อย และเข้ามาชื่นชมผีเสื้ออยู่ข้างๆ
สีสวยมากเลยค่ะแม่น้องนิ้งยังชี้ให้ดูและยังมีอาการตื่นเต้นไม่หาย
สีสวยเหมือนชุดลูกเลยนะจ๊ะ
จริงๆด้วยพูดแล้วก็ก้มดูกางเกงตัวเอง
เอาล่ะ เดี๋ยวผีเสื้อมันก็จะเริ่มอาหารแล้ว
อาหารของผีเสื้อเป็นยังไงเหรอคะแม่
ก็พวกน้ำหวานจากเกสรดอกไม้และพวกที่เป็นของเหลวๆน่ะค่ะ ผีเสื้อจะมีอายุประมาณ 14-15 วัน สีก็จะซีดและเริ่มวางไข่ 4-5 วันจากนั้นมันก็จะตายพอพูดมาถึงตอนนี้แม่เล็กจึงชวนน้องนิ้งเข้าบ้าน
ไปเถอะค่ะ อากาศเริ่มร้อนแล้ว ไปทานข้าวกัน มัวแต่ตื่นเต้นวันนี้ทานข้าวสายล่ะพูดแล้วจูงมือลูกสาวเข้าบ้าน
ล้างมือก่อนนะจ๊ะเมื่อเห็นน้องนิ้งเตรียมเข้านั่งประจำที่
ค่ะ น้องนิ้งรีบปฏิบัติทันที พอผ่านเรื่องน่าตื่นเต้นแล้วจึงรู้สึกหิว
วันนี้มีแกงจืดตำลึง ของโปรดลูกด้วยนะ และนี่ผัดเปรี้ยวหวานแม่เล็กขยับจานเข้าไปใกล้ๆน้องนิ้ง
สองแม่ลูกทานข้าวและคุยกันอย่างมีความสุข อาหารมื้อนี้ดูจะเอร็ดอร่อยสำหรับน้องนิ้งเหลือเกิน
21 กุมภาพันธ์ 2552 12:23 น.
แจ้นเอง
แม่ แม่ แม่ เสียงหวีดร้องเรียกแม่ ทำเอาฉันสะดุ้งสุดตัว เหลียวหาเสียงเรียก
แม่ ฮือ ฮือ ฮือน้องน้ำนั่งอยู่บนเตียงและร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้ม เมื่อฉันตั้งสติได้และเข้าไปหาลูก
น้องน้ำผวามากอดฉันแน่นเกลือกหน้าไปมากับอกฉันคงอยากลบภาพอะไรซักอย่าง
เป็นอะไรหรือลูกฉันเพิ่งพูดขึ้นได้เป็นคำแรก
หนูฝันค่ะแม่ มันน่ากลัวมากเลย ฮือ ฮือน้องน้ำเล่าไปและยังสะอื้นไปพลาง
ฝันอะไรกัน ตะโกนเรียกแม่ ซะตกอกตกใจหมด ฮึฉันพูดพร้อมกับกอดกระชับลูกมากขึ้น เพื่อให้เค้ามั่นใจมากขึ้นว่าแม่อยู่ใกล้ๆแล้ว
หนูฝันว่ามีผู้หญิงคนนึงเดินเข้ามาในห้อง เข้ามาหาหนู น้องน้ำตั้งท่าจะเล่าและหยุดไป
ลูกคงจะกลัวมาก เพราะน้องน้ำยังทำท่าทาง หน้าตาหวาดระแวงไปด้วย
ไม่ต้องกลัวหรอกลูก แม่อยู่นี่แล้วไง ไม่มีใครมาทำอะไรลูกได้หรอกค่ะฉันเอามือลูบหัวลูก ดึงมาแนบอกแล้วเอาคางกดไปบนหัวเค้า พร้อมทั้งโยกตัวเบาๆ โดยไม่พูดอะไรพักใหญ่ อยากให้ลูกมีสติกว่านี้
แม่คะน้องน้ำขยับตัวให้รู้ว่าพร้อมจะบอกเล่าทุกอย่างแล้ว ฉันเอามือเชยคางลูกขึ้นและมองหน้าให้กำลังใจ
หนูฝันว่ามีผู้หญิง คนหนึ่งเขาเข้ามาหาหนู หนูเห็นหน้าเขาไม่ชัดหรอกค่ะ แต่หนูไม่รู้จัก หนูกลัว หนูบอกให้ออกไป เขาก็ไม่ยอม เขาเดินเข้ามาเรื่อยๆ น้องน้ำ เริ่มทำเสียงเครือๆ ฉันจึงต้องปลอบขึ้นอีกว่า
แค่ฝันน่ะลูกน้องน้ำพยักหน้าและเล่าต่อว่า
จนกระทั่งมาหยุดตรงปลายเตียง แล้วก้มหน้าลงมาหาหนูพอเล่ามาถึงตรงนี้ น้องน้ำถึงกับหลับตาปี๋ ทำหน้าตาขนลุก
แล้วหนูก็ตะโกนเรียกแม่ และก็โบกมือไล่ ไป ออกไป้ แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับมานั่งลงตรงปลายเตียงและร้องไห้ เขาร้องไห้เสียงดังมากเลย พอหนูตกใจตื่น หนูก็ตะโกนเรียกแม่
โถ โถ โถ คนดีของแม่ฉันยิ้ม ตอนนี้น้องน้ำคงคลายความหวาดกลัวไปหมดแล้วเพราะฉันเห็นน้องน้ำเริ่มยิ้มน้อยๆ
แต่ เอ๊ะ ! เสียงร้องไห้ แม่คะ ทำไมหนูได้ยินเสียงร้องไห้ แม่ฟังดูซีคะ ฉันจึงเงี่ยหูฟัง
อ๋อ ฉันลากเสียงยาว
แม่ก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ ว่าจะเล่าเรื่องป้านางให้ลูกฟังตั้งหลายวันแล้ว แต่ก็ลืมทุกทีเลยฉันขยับท่านั่งให้สบายขึ้น
เสียงร้องไห้ที่ลูกได้ยินนี่ เป็นเสียงร้องของป้านางน่ะ ป้านางแกมาอาศัย อยู่ที่ใกล้ๆกับศูนย์ อปพร.ตรงข้างบ้านเรานี่แหละ เมื่อก่อนป้านางแกเร่ร่อนไม่อยู่เป็นที่เป็นทาง แต่พอช่วงฝนตก แกไม่มีที่หลบฝนก็เลยมาอาศัยอยู่ที่นี่ เพราะแกคงเห็นที่ศูนย์ไม่ได้ทำอะไร หลายวันก่อนแม่ออกไปซักถามพวกชาวบ้านในตลาดจึงรู้ว่าป้านางแกสติไม่ค่อยดี ญาติๆเคยพากลับไปอยู่บ้าน ปลูกบ้านให้อยู่แกก็ไม่ยอมอยู่ แกชอบเข็นรถเข็นเก็บของเก่าบ้างขยะบ้างเอามาขายให้กับร้านรับซื้อของเก่า ได้เงินมาก็ซื้อข้าวปลา อาหารไปตามเรื่อง ตอนแรกแม่ก็ว่าจะหาทางส่งแกไปอยู่ศูนย์สงเคราะห์ แต่เขาก็บอกว่าอย่าไปยุ่งกับแกเลย เพราะพวกญาติๆของป้านางไม่ใช่คนยากจน ตัวป้านางเองก็มีเงินฝากในธนาคารหลายแสนอยู่ แกชอบใช้ชีวิตแบบนี้ หรือเป็นเพราะตอนป้านางเล็กเคยถูกพี่ชายทุบตี คงได้รับบาดเจ็บสาหัส และกระทบกระเทือนไปถึงสมองด้วย แกเลยเหมือนคนสติไม่ดี ตอนนี้พี่ชายก็ตายไปนานแล้ว แต่ป้านางคงไม่ลืมภาพในอดดีต ตอนแกมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆแม่เองก็ตกใจเหมือนกัน แต่แม่ก็ตั้งสติจนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร พอรุ่งเช้าก็ออกไปสอบถามชาวบ้านจึงรู้ความจริง แต่ก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ลูกฟังเสียแต่แรก
น้องน้ำฟังอย่างตั้งใจโดยไม่พูดอะไรจนฉันเล่าจบ
หนูฝันร้ายแล้วพอตกใจตื่นก็ได้ยินเสียงร้อง ฮือๆๆก็ยิ่งกลัวไปใหญ่ หึ หึ พูดแล้วก็หัวเราะ คงคิดว่าตัวเองฝันร้ายแล้วคิดเป็นตุเป็นตะ จนกลัวลานไปนี่เอง
นี่ก็ดึกมากแล้ว ลูกนอนเสียนะคะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปโรงเรียน
แม่ขา
ว่าไงคะ ฉันลุกขึ้นเตรียมกลับห้อง
คืนนี้หนูไปนอนกับแม่ได้มั้ย
โธ่ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ งั้นไปเลยค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสาย
เหตุการณ์ในคืนนี้ทำให้ฉันคิดถึงชีวิตป้านาง ทำไมแกไม่ยอมกลับไปอยู่บ้าน ป้านางเคยกลับไปอยู่ และแกก้เที่ยวเก็บของเก่าไปใส่ไว้ในห้องจนเกือบเต็มเหลือที่ไว้นั่งหลับแค่นิดหน่อย ทำไมฉันบอกว่านั่งหลับ เพราะมีคนเล่าให้ฟังว่า ป้านางเอารถเข็นมาแต่ง โดยเอาไม้อัดมาปิดข้างบนและแบ่งช่องข้างในเป็นที่นั่งหลับ แกจะหลับเป็นพักๆ และถ้าวันไหนแกเครียด พอตกดึก ป้านางจะเริ่มร้องไห้คร่ำครวญฟังไม่รู้หรอกว่าแกพูดอะไร ฟังไม่ได้ศัพท์แต่แกกลับใช้ชีวิตโดยไม่ร้องขอ ใครเลย ยังคงเข็นรถหาเลี้ยงตัวเองไปเป็นวันๆและมีเงินเบี้ยยังชีพเดือนละ 500 บาท โดยมีญาติๆรับมาและจัดหาเครื่องกันหนาวบ้าง ตามฤดูกาลไป
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากับชีวิตป้านางที่พบเห็นและการเกิดมาของคนเรา บางครั้งฉันเคยคิดว่าไม่รู้จะเกิดมาทำไมเหมือนกัน อนิจจังหนอชีวิต
3 ธันวาคม 2551 22:54 น.
แจ้นเอง
นายอติรุจน์ เสียงครูเรียก เด็กชายอติรุจน์เสียงดังฟังชัดหน้าเสาธงในตอนเช้า รุจน์ หรืออติรุจน์เดินออกไปกอดอกรอรับโทษ
เพี๊ยะ ๆๆเสียงไม้เรียวที่กระทบเรียวน่องนั้นมันดังและบาดลึกเข้าไปในหัวจิตหัวใจอย่างบอกไม่ถูก นักเรียนทุกคนเงียบกริบแทบจะกลั้นลมหายใจ
รุจน์เพื่อนนักเรียนชั้นประถม 4 ที่มาเรียน มั่ง ไม่มามั่ง แล้วแต่อารมณ์หรือถ้ามาก็อาจจะนั่งเรียนซักครึ่งวัน นอกนั้นก็จะหลบไป หาปูหาปลาไปตามเรื่อง
วันนี้ รุจน์ถูกทำโทษเนื่องจากชกต่อยกับเพื่อนในห้องสาเหตุมาจากเพื่อนล้อ
รุจน์โมก เจ๋งยื่นหน้าหยอกล้อรุจน์ ซึ่งรุจน์ไม่ชอบให้ใครเรียกเขาแบบนี้
ที่จริงผมก็ชอบมองรุจน์เพราะรุจน์มีดวงตาที่กลมโตริมฝีปากหนา และตัวเตี้ย แต่ก็เป็นคนมีน้ำใจดี แต่คำว่า โมกเป็นภาษาเหนือ แปลว่าใหญ่มาก และเพราะเหตุนี้เพื่อนๆจึงเรียกรุจน์ลับหลังว่า รุจน์โมก
มึงอย่ามาเรียกกูแบบนี้นะ รุจน์ตะเบ็งเสียงใส่เจ๋ง
กูไม่ชอบ เดี๋ยวจะหาว่ากูไม่เตือน รุจน์ไม่พูดเปล่าแต่ลุกพรวดขึ้นตั้งท่าเอาจริง
มึงจะทำอะไรกูหา ไอ้รุจน์โมกเจ๋งไม่ยอมอ่อนข้อและยังแลบลิ้นปลิ้นตายั่วเย้าหนักข้อยิ่งขึ้น
กูจะทำอะไรเหรอ ไม่พูดเปล่า รุจน์ประเคนกำปั้นลงบนใบหน้า ของเจ๋งแบบไม่นับ นายเจ๋งถึงกับทรุดฮวบลงไปกับพื้น
ครูครับๆนักเรียนตีกันครับ ครูต้อยเดินผ่านมาพอดี นักเรียนในห้องรีบรายงาน
ครูต้อยรีบวิ่งมายังที่เกิดเหตุ
ใครตีกับใครครูต้อยร้องถาม
นายรุจน์ตีนายเจ๋งซะหมอบเลยครับนอกจากรายงานครูแล้ว นายแก้วยังทำท่าทางให้ดูด้วย
นายรุจน์ นายเจ๋งตามครูไปห้องครูใหญ่ ครูต้อยออกคำสั่ง
ครับเด็กทั้งสองขานรับคำสั่งพร้อมกัน
และจากการสอบสวนครูใหญ่จึงตัดสินว่าพรุ่งนี้ครูจะเฆี่ยนเธอหน้าเสาธงตอนเข้าแถว
นายรุจน์เธอจะถูกเฆี่ยน 3 ทีเข้าใจมั้ย โทษที่เธอไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจและลงมือรุนแรงเกินกว่าเหตุ ครูใหญ่สาธยายความผิดให้ฟัง
ครับรุจน์ตอบโดยไม่ลังเลและไม่ปฏิเสธในคำกล่าวโทษนั้น
ส่วนนายเจ๋งเธอจะถูกเฆี่ยนด้วย 1 ทีข้อหาที่เธอไปยั่วยุนายรุจน์และต่อไปห้ามเรียกนายรุจน์แบบนั้นอีกเข้าใจในโทษของเธอไหม
ครับนายเจ๋งรับคำและยังทำหน้าเจ็บว่าที่โดนมานั้นยังเจ็บอยู่
ไปได้แล้ว พรุ่งนี้ห้ามขาดเรียนเด็ดขาดไม่อย่างนั้นโทษพวกเธอจะเพิ่มเป็น 2 เท่าครูใหญ่สำทับ
ครับๆเด็กทั้ง 2 รับคำพร้องทั้งยกมือไหว้ทำความเคารพก่อนออกจากห้องไป
รุจน์จริงๆแล้วเค้าเป็นคนน่ารัก เวลาเพื่อนมีอะไรก็เรียกใช้ได้ตลอด ยกเว้นเรื่องเรียน รุจน์เรียนไม่รู้เรื่องและปีนี้ก็สอบตกเป็นปีที่ 3 แล้ว เพื่อนๆในห้องบางคนก็กลัวเพราะบางครั้งรุจน์จะดุแต่บางครั้งรุจน์จะอารมณ์ดีมากไม่ค่อยถือสาหาความกับใครนัก
แต่สำหรับกับผม รุจน์เป็นฮีโร่ของผมเลยทีเดียว
มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเหงาๆไม่รู้จะไปไหนทำอะไรก็เบื่อไปหมด แล้วรุจน์ก็เดินผ่านมาที่สะเอวมีข้องใบเขื่องผูกติดอยู่
รุจน์นายจะไปไหนผมตะโกนถาม
จับปลาเสียงรุจน์ตอบมาด้วยความมั่นใจ
นายจับได้เหรอ ไม่เห็นมีอุปกรณ์อย่างอื่นเลยผมสงสัย มือเปล่าๆเนี่ยน่ะจะไปจับปลา
เออ!มือเปล่านี่แหละรุจน์ยืนยัน
ไปด้วยได้มั้ยผมเสนอตัวทันทีบอกจริงๆว่าอยากเห็นและกำลังเหงาอยากหาอะไรทำ เมื่อรุจน์ไม่ปฏิเสธ ผมจึงรีบเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วตามรุจน์ไป
รุจน์พาผมไปหาปลาในนาซึ่งน้ำแห้งขอดบ้างแล้ว ชั่วเวลาไม่นานรุจน์ก็ได้ปลาเต็มข้องใบเขื่องนั้น ผิดกับผม ผมจับปลาไม่ได้เลยผมลงไปงมหาปลาแล้วเจอปลาหมอ แต่ผมจับไม่ได้ปลาหมอแถกเหลือกและกางครีบกระจายผมเลยไม่กล้าจับและเมื่อปลาเต็มข้องแล้วรุจน์จึงหันมาหาผมแล้วบอกว่า
เอาข้องนายมาเดี๋ยวเราจับให้รุจน์ไม่พูดเปล่าแต่ตรงเข้ามาแกะเชือกผูกเอวเอาข้องของผมไปแล้วก็จับปลาลงไปในข้องของผม
ทำไมนายจับปลาเก่งอย่างนี้ล่ะผมถามเพราะผมพยายามแล้วดักหน้าดักหลังปลาก็ยังหนีไปได้ทุกที
มันไม่ยากหรอกแต่เพราเราชอบและเราทำบ่อยจนรู้สัณชาดญาณของปลาและรู้ว่าปลาชนิดไหนควรจับอย่างไร มันถึงจะเอาอยู่ผมได้แต่ฟังอย่างตั้งใจ แต่ผมก็คงทำไม่ได้หรอกและอีกอย่างผมคงไม่เคยฆ่าสัตว์และก็คิดเหมือนกันว่าจะบาปหรือเปล่า พอเห็นว่ารุจน์จับมาไห้พอสมควรผมจึงบอกว่า
พอเหอะ! แค่นี้ก็มากเกินไปแล้ว เราขอบใจนายมากนะ เรานี่ไม่ได้เรื่องเลย
นายเรียนเก่งนี่ เรื่องอย่างนี้นายไม่ถนัดเท่านั้นเอง แต่เราเรียนยังไงก็ไม่รู้เรื่องรุจน์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
เอาอย่างนี้สิ นายมาบ้านเราทุกเย็นสิ เราจะสอนการบ้านให้อันไหนไม่เข้าใจ เราจะช่วยนายเองผมบอกรุจน์และผมก็ตั้งใจจะทำอย่างนั้นจริงๆเพราะผมเห็นความมีน้ำใจของเขาและผมรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก
นายให้เรามาบ้านนาย แล้วนายสอนการบ้านเราจริงเหรอรุจน์กระตือรือร้น
จริงสิปีนี้นายจะเรียนจบพร้อมกับเราแน่นอน เราสัญญาผมยื่นมือให้รุจน์จับรุจน์จับมือผมมั่นเหมือนจะบอกว่าสัญญากะเราแล้วนะ
รุจน์ตั้งใจเรียนและไม่ย่อท้อจากการที่อ่านหนังสือไม่ค่อยออก เค้ากลับเก่งขึ้นมาในทันที และเมื่อสอบปลายปีออกมาปรากฏว่ารุจน์สอบได้ที่ 10 จากนักเรียนทั้งหมด 42 คน
ผมมีโอกาสกลับมาเยี่ยมบ้านอีกครั้งหลังจากเรียนจบวิศวะโยธา ผมเจอกับรุจน์ รุจน์ยังไม่มีครอบครัวผมชวนไปทำงานด้วยกันที่กรุงเทพฯ รุจน์ก็ปฏิเสธ
เราไม่อยากไปไกลบ้าน เราห่วงแม่ แม่เราแก่มากแล้วและตอนนี้ก็ไม่ค่อยสบาย สามวันดีสี่วันไข้ เราทิ้งแม่เราไม่ได้หรอกรุจน์ทำหน้าหมองเศร้า
งั้นไว้ให้แม่หายดีแล้วหรือนายพร้อมเมื่อไหร่บอกเรานะ เราจะช่วยเหลือนายเองผมตั้งใจอย่างนั้นจริงๆครับ เพราะในบรรดาเพื่อนๆของผม ผมชอบเขามากที่เขาเป็นคนมีน้ำใจ
มิตรภาพไม่ได้แบ่งแยกคำว่าเพื่อน
เรารักนายว่ะ รุจน์ถึงใครจะว่านายยังไงสำหรับเรื่องจับปลา นายคือ...ฮีโร่เลยล่ะ
1 ธันวาคม 2551 18:00 น.
แจ้นเอง
แจ้น
ขา ฉันขานรับทั้งที่ตกใจกับเสียงเรียกของพ่อ
พ่อเรียกฉันเมื่อเห็นฉันเดินทอดน่องเข้าไปในสวน ด้วยอาการเหม่อลอย
มาดูนี่สิ
ค่ะฉันตอบง่ายๆและเดินเข้าไปหาพ่อ พ่อชี้ให้ดูแปลงผักที่ต้นกล้าอะไรไม่รู้เล็กๆขึ้นเต็มไปหมด มีใบเล็กๆขึ้นมาสองใบด้วย
ต้นคะน้า
คะน้าฉันทวนคำ ดูไม่ออกเลยค่ะพ่อ แปลงผักของพ่อจะมี 4 แปลง แปลงที่เห็นเป็นแปลงเพาะ ที่ดูมีเม็ดดินเม็ดเล็กๆละเอียดและมีสีดำ ถัดมาก็เป็นแปลงผักกาดซึ่งมีรอยตัดเพื่อเอาไปทำอาหารบ้างแล้ว และอีก 2 แปลง เป็นแปลงกะหล่ำปลี กับ มะเขือเทศ กะหล่ำปลีของพ่อจะมีหัวใหญ่มากและทุกแปลง พ่อใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เพราะบ้านเราเลี้ยงทั้งไก่และหมู บ้านเราเป็นครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้านและมีความเป็นเอกเทศไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับชาวบ้านเท่าใดนัก เพราะบริเวณบ้านเราไม่ติดกับใครเลย แต่ติดถนนใหญ่ และบ้านเราลูกๆต้องไปเรียนหนังสือ ส่วนพ่อทำงานยาสูบและออกจากบ้านแต่เช้า เพื่อออกไปเยี่ยมแปลงเพาะของ ลูกไร่ *
ลูกไร่คือชาวบ้านที่มายื่นความจำนง ขอเป็นสมาชิกปลูกยาสูบ และมีสัญญาว่าจะต้องขายให้กับโรงบ่มเท่านั้น ลูกๆมีหน้าที่ไปโรงเรียน และที่บอกว่าลูกๆ ก็เพราะ ครอบครัวเรามีพี่น้องถึง 7 คนมีเพียงพี่ชายคนโตเท่านั้นที่เป็นผู้ชายนอกนั้นเป็นหญิงล้วน และสมัยก่อนพวกชาวบ้านยังไม่คิดส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือ พวกเราจึงไม่ค่อยมีเพื่อนในละแวกเดียวกัน พวกเราพี่น้องจึงเป็นเพื่อนเล่นกันในตัว
และเพราะบ้านเรามีพี่ชายคนเดียว พอพี่ชายย้ายเข้าไปเรียนที่โรงเรียนยาสูบอุปถัมภ์ ที่กรุงเทพฯ ฉันจึงต้องแปลงร่างเป็นผู้ชาย เพื่อคอยปกป้องพี่สาวและน้องสาว และเป็นม้าใช้ให้พ่อด้วย จึงไม่แปลกที่ฉันกับพ่อจะสนิทสนมกันมากกว่าคนอื่น
และเมื่อพ่อไม่สบายต้องเข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาลและพร้อมๆกับแม่ก็เข้าโรงพยาบาลด้วยเช่นกัน แต่อยู่คนละโรงพยาบาล เพราะพ่อเข้าก่อนและเป็นโรงพยาบาลเอกชน ส่วนแม่เข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลค่ายฯและต่อมาก็ถูกส่งตัวเข้าโรงบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ฉันจึงอาสาดูแลพ่อ เราต้องแบ่งว่าใครจะดูแลพ่อและใครจะดูแลแม่
จนกระทั่งพ่อเห็นว่ายังไงก็คงไม่หายแล้วจึงขอกลับบ้าน ซึ่งก็ยุ่งยากพอสมควรที่หมอจะอนุญาตให้คนไข้ออก เพราะยังไม่หมดวิธีรักษา แต่พ่อก็กลับจนได้
ขณะที่อยู่บ้านพวกเราก็หมุนเวียนเปลี่ยนกันดูแล โดยไม่ขาดตกบกพร่อง เมื่อพ่ออาการหนักจนช่วยตัวเองไม่ได้พวกเราจึงอาบน้ำให้ เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ ซึ่งแรกๆพ่อจะไม่ยอมจึงต้องคุยกันนาน
ฉันบอกพ่อว่า พ่อจำได้ไหม ตอนลูกเล็กๆใครกันที่ดูแล คอยอาบน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม จะฉี่ จะอึ ก็ไม่เคยบ่น ทำด้วยความเต็มใจทุกอย่าง ตอนนี้ลูกขอทำหน้าที่นั้นตอบแทนพ่อบ้างจะได้ไหม พ่อได้แต่น้ำตาคลอ และเราลูกๆทุกคนไม่เว้นแม้แต่พี่ชายที่ฉันให้เข้าไปทำหน้าที่นั้น
ฉันพูดกับพี่ชายว่า ถ้าพี่ไม่ทำเสียตอนนี้ เวลาที่พ่อจากไปแล้ว พี่จะมาเสียใจทีหลังนะ
ฉันยังจำได้ถึงความเอาใจใส่ของพ่อที่มีต่อลูกๆพ่อจะเป็นคนสอนลูกๆพูด สอนหนังสือ ลูกๆของพ่อเมื่อไปเข้าเรียนในโรงเรียนประถมจึงถูกพาสชั้นกันทุกคน เราจึงมีอายุน้อยกว่าพวกเพื่อนในชั้นเรียน พ่อจะใส่ใจในเรื่องความสะอาด ทั้งผม เสื้อผ้าและเล็บ สำหรับเสื้อผ้าแม่จะรีดจนเรียบและดูความเรียบร้อยก่อนออกบ้านทุกวัน ส่วนเล็บพวกเราต้องเข้าแถวเพื่อรอให้พ่อตัดเล็บให้ และใครจะเริ่มเป็นสาวจะถูกกวดขันเป็นพิเศษ จึงมักมีเสียงครหาว่า พ่อดุ เพราะมีลูกสาวสวย(ยกเว้นเราละมัง) ทุกคนจึงหมดสิทธิที่จะไว้เล็บยาวๆพ่อจะบอกเสมอว่าเวลาเล็บยาวและไม่ได้ดูแลจะสกปรกและเป็นพาหะของโรค
เมื่อลมหนาวพัดมาวูบแรก ฉันจึงนึกถึงพ่อ เวลาพ่อนั่งพักเพื่อผ่อนคลาย พ่อมักจะนั่งชันเข่าบนเก้าอี้หวายตัวเล็กๆ พ่อจะใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่ๆ และเมื่อเห็นฉันไม่ใส่เสื้อกันหนาวพ่อมักจะถามว่า
หนาวไหมฉันเป็นคนไม่ชอบใส่เสื้อกันหนาว ด้วยเป็นนักกีฬาและออกกำลังกายเสมอๆ แต่ฉันก็บอกพ่อว่า
ค่ะพร้อมกับพยักหน้า พ่อจะเรียกให้ฉันเข้าไปนั่งใกล้ๆแล้วจับมือทั้งสองข้างของฉันไปสอดไว้ใต้ข้อพับ
ไม่น่าเชื่อว่าความรู้สึกอุ่นนั้นมันจะอุ่นจากข้างในออกมา สายตาพ่อที่มองฉัน ทั้งอ่อนโยนและรักใคร่
อุ่นจังพ่อมักจะเตือนฉันเสมอเรื่องที่ฉันไม่ชอบใส่เสื้อกันหนาว
คนเราร้อนก็หาพัดมาพัดวี หนาวก็หาเสื้อผ้ามาใส่ต้องช่วยเหลือตัวเอง ดูแลตัวเอง หาไม่ เมื่อไม่มีใครมาดูแลเราแล้ว เราจะอยู่ได้ยังไงฉันได้แต่พยักหน้าและเอาหน้าไปซบกับเข่าพ่อ
ฉันมักมีเรื่องคุยกับพ่อเสมอๆทั้งเรื่องโรงเรียนและเพื่อนๆ พูดถึงเรื่องโรงเรียนพวกเราถือว่ากระดุกกระดิกไม่ได้เลย อาจารย์แต่ละท่านที่สอนวิชาหลักๆดันมาเป็นขาหมากรุกของพ่อเสียนี่ พอพักเที่ยงอาจารย์ก็จะขี่มอเตอร์ไซด์มาโขกหมากรุกกับพ่อทุกวัน ฉะนั้น ทั้งการบ้านการเรียนจึงถูกพ่อสอบถามจากอาจารย์ทั้งสิ้น แต่จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน สมัยก่อนไม่มี ที วี ดู พวกเราก็ใช้วิธีอ่านหนังสือ ดังนั้นห้องสมุดในโรงเรียนจึงมีพวกเราเป็นสมาชิกและแวะเวียนกันไปยืมจนเป็นที่สนิทสนมกับบรรณารักษ์ และมักจะได้อ่านหนังสือเล่มใหม่ก่อนใครๆ
หลังเลิกเรียนพ่อจะให้ลูกๆอาบน้ำ ทานข้าวแล้วก็ทำการบ้าน พ่อจะเรียกดูการบ้านและคอยถามเสมอ ว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า
แล้ววันหนึ่งพ่อก็จากไปจริงๆ เราแทบทรุด หัวจิตหัวใจแทบไม่อยากทำอะไรเลย พ่อจ๋า คิดถึงพ่อจังเลย แต่พ่อก็บอกพวกเราเสมอว่า พ่อภูมิใจในตัวลูกๆของพ่อทุกคน
อุ่นจัง พ่อจ๋า
ได้เห็นหน้าได้อยู่ใกล้
แม้ตอนนี้พ่อจากไป
แต่ อุ่นไอยังติดตรึง
29 พฤศจิกายน 2551 15:16 น.
แจ้นเอง
คุณรู้จักโต๊ะหมู่บูชาไหม? โต๊ะหมู่มีทั้งหมู่5 หมู่7 หมู่9 มีทั้งขนาดใหญ่ กลาง เล็ก แล้วแต่จะเลือกแบบไหน จะเอาราคาประหยัดหรือแบบหรูหราก็มี และขึ้นอยู่กับสถานที่ด้วย ที่บ้านฉันมีโต๊ะหมู่7 และสืบเนื่องจากโต๊ะหมู่บูชานี่เอง มีอยู่วันหนึ่งพ่อบอกพี่เขยฉันพี่บุญศรี ว่าจะใส่ล้อเลื่อนที่ขาโต๊ะหมู่ พอฉันได้ยินก็รีบค้านขึ้นว่า
"มีที่กันพ่อโต๊ะหมู่เขาก็ตั้งเป็นที่เป็นทางจะใส่ล้อทำไม" พ่อหันมามองหน้า
เราจะไปรู้อะไร
รู้สิ ก็ไม่เห็นใครเขาจะทำแบบนี้นี่ ฉันยังค้านไม่เลิกพ่อหันไปบอกพี่เขยต่อว่าให้ไปหาช่างมาแล้วตั้งโครงทำหลังคาด้วย เอาใหญ่เลยพ่อ..
พ่อทำเสียงดุก่อนที่ฉันจะทันอ้าปากพูดอะไรต่อ
"เอาตามที่พ่อสั่ง"ฉันจึงพูดไม่ออก
จนกระทั่งวันหนึ่งหลังเลิกงานฉันก็พบกับโต๊ะหมู่หน้าตาประหลาดล้อเลื่อนน่ะก็ดูดี แต่หลังคาออกมาเหมือน เฮือนตาน* พ่อเองก็ชักสีหน้าไม่ดีเพราะมันออกมาไม่เหมือนที่คิดไว้เลย ดีที่มีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยไว้ ก็คุณเผด็ดสามีน้องแต่งบ้านตรงข้ามกันนี่แหละเขาเป็นช่างปิดทองและทำฉัตร ฉันก็เลยขอร้องเขาเอาโต๊ะหมู่ไปปรับเปลี่ยนหลังคาเสียใหม่ เอาแบบล้านนาหรืออะไรก็ได้เพราะคุณเผด็ดเห็นมาเยอะ
ครับผมจะลองทำดู อันนี้มันเกินไปจริงๆ
แล้วคุณเผด็ดก็ทำมาแบบถูกใจทุกคนเลยมีโครงหลังคาสีทองหลังคาเป็นรูปสี่เหลี่ยมสีแดง ตรงกลางมีลายฉลุและมีฉากฉลุรับหลังคาทั้งสี่ทิศด้วย ซึ่งดูแล้วสวยมากนั่นแหละและฉันก็มาคิดว่าก็เข้าทีดีเหมือนกัน แต่เอาเป็นว่านั่นไม่สำคัญเท่ากับล้อเลื่อนที่มันคาใจฉันอยู่
จนกระทั่งพ่อตายแล้ว และหลังงานฌาปนกิจจะมีการทำบุญ สังคหะ* ให้กับคนตาย หลวงพ่อมาถึงก็โวยขึ้นว่า
"อ้าวนี่โต๊ะหมู่ทำไมไปอยู่ตรงนั้น ต้องตั้งไว้ตรงนี้สิ"
พี่ชายฉัน พี่ศักดิ์ศรี ก็บ่น "ผมเพิ่งจัดเสร็จเมื่อกี้นี้เอง ปู่จ๋าน*บอกว่าวางตรงนี้"
หลวงพ่อ "ไม่ถูกต้องตรงนี้"พี่ชายจึงรีบลุกไปย้ายโต๊ะหมู่บูชาใหม่ ตอนนี้แหละฉันจึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าพ่อเคยบอกว่าเราจะไปรู้อะไรเดี๋ยวมันก็ย้ายไปย้ายมาอยู่แถวนี้ ใส่ล้อเลื่อนแล้วก็สบาย ก็นี่แหละพ่อรู้ได้ยังไง เห็นได้ยังไงเหตุการณ์เพิ่งจะเกิด หลังจากที่พ่อจากไปและช่วงที่จัดงานศพจะมีใครคาดคิดว่าพ่อเสียวันที่ 27 สิงหาคม2549 วันที่30แม่ก็จากไปอีกคนเพราะฉะนั้นมันจะยุ่งแค่ไหนในการจัดสถานที่ และต้องย้ายโต๊ะหมู่บูชาไปมาอยู่บริเวณนี้ ถ้ามันไม่มีล้อเลื่อน...คุณบอกฉันได้ไหม? ว่าพ่อรู้ได้อย่างไร....
บอกเล่า...งานศพ ที่นี่มักจัดงานศพและเก็บศพไว้ที่บ้าน
เฮือนตาน*บ้านจำลองที่อุทิศให้คนตาย คล้ายกงเต็ก
สังคหะ* การทำบุญให้กับวิญญาณของผู้ตายหลังจากที่มีการฌาปนกิจแล้ว
ปู่จ๋าน* ผู้ทำหน้าที่กล่าวนำในพิธีทางศาสนา