21 พฤศจิกายน 2551 06:44 น.
แจ้นเอง
แดดร้อน หลายวันมานี้อากาศทั้งแห้งแล้งและร้อนอบอ้าว อยู่ในบ้านก็อึดอัด อยู่ข้างนอกก็เจอทั้งลมร้อนและแสบผิว อากาศเริ่มวิปริตผิดจากปกติไปทุกปี โดยเฉพาะปีนี้ที่อากาศร้อนจัดละอุณหภูมิ สูงถึง 39 องศาเซลเซียส
(บางแห่งยังสูงถึง 42 องศาเซลเซียส)
มีคนเคยบอกว่า ถ้าอธิบายคำว่า ภาวะเรือนกระจก แล้วเค้าไม่เข้าใจ ก็บอกง่ายๆว่า ให้เอารถที่ติดฟิล์มกรองแสงไปจอดไว้กลางแดด ประมาณ 1ชั่วโมง แล้วเข้าไปอยู่ในรถ ความร้อน ณ เวลานั้นนั่นแหละ ใช่เลย ความร้อนที่ส่งผ่านฟิล์มกรองแสงเข้ามาแล้วออกไม่ได้ ย้อนออกไปทางเดิมไม่ได้ คือสภาวะเรือนกระจกที่โลกเรากำลังเจอ
เพราะอากาศร้อนมาหลายวันและไม่ค่อยมีเวลามาดูแลต้นไม้ ดอกไม้ของพ่อที่ปลูก วันนี้ก็เลยฉวยโอกาสลงมาเดินทอดน่องดูมันซะหน่อย
โอ้โห อันนี้คิดในใจ ครั้นจะพูดเสียงดังๆก็กลัวว่าใครมาได้ยินจะหาว่าเราบ้าก็เลยพูดในใจมันคนเดียวนี่ล่ะ
ดินในกระถางต้นไม้ ดอกไม้ของพ่อแห้งผาก (ถึงว่าพักนี้พอกลางคืนได้ยินเสียง ก๊อกๆ แก๊กๆ )เห็นมั้ย หาเรื่องอีกแหละ อยู่คนเดียวเนี่ย มีเรื่องให้คิดมากมาย คิดเรื่อยเปื่อย ก็เลยเหมารวมเอาว่า วิญญาณพ่อคงมาบอกให้รู้ว่า ต้นไม้พ่อจะ มรณังแล้วนะ ประมาณนั้น ดินในกระถางแข็งโปก
เอาน่าขยันหน่อย บอกตัวเอง แบบพูดเอง เออเองเสร็จสรรพ แล้วก็ลากสายยางซึ่งก็วางแบบพร้อมใช้อยู่แล้วเปิดก๊อกน้ำฉีดน้ำพ่น เออ เน๊าะ นึกในใจอีกล่ะ พอเราพ่นน้ำไปสูงๆให้น้ำลงมาเป็นละออง ให้เหมือนฝนกำลังตกต้นไม้มัน ยิ้ม แฮะ จริงๆนะ ใบมันเคลื่อนไหวแรกๆที่เห็นใบมันเจอแดดจัดก็เลยห่อตัวเพื่อให้รูใบมันตีบ น้ำจะได้ระเหยออกน้อยที่สุดพอมันได้น้ำมันก็ค่อยๆกางใบและระริกระรี้ ว่าเข้านั่นแน่ะ ถ้าใครได้ยินคงว่าเรา
ปากคอเราะรายถ้าเป็นบรรดาเพื่อนปากปีจอด้วยกันคงไม่แคล้วว่า มันกะจะเลาะฟันเราออกเลยล่ะ
จริงๆนะ ใบไม้มันคงรู้สึกเย็นฉ่ำเพราะละอองน้ำที่เราค่อยๆให้มันตกลงมาก็เหมือนทำให้มันรู้สึกว่าฝนกำลังตกมันก็เลยชวนเพื่อนๆมาเล่นน้ำฝนเพราะพอน้ำปรอยลงมามันก็กระทบใบไม้ ใบไม้ก็กระเพื่อมรับและรับต่อกันเป็นทอดๆ ณ บรรยากาศแบบนี้เราก็เลยรู้สึกว่าต้น ใบไม้ มันยิ้ม ซึ่งก็ทำเอาเราคลายร้อนไปด้วยเพราะแอบเอาน้ำมาลูบหน้า ลูบตา แขน ขา และก็เปียกพอๆกับต้นไม้แหละก็รดน้ำทั้งคนทั้งต้นไม้ไง
ต้นไม้มันคงมีความสนุขนะ เพราะเราเหมือนเห็นมันยิ้มให้กันคงยิ้มให้กับเราด้วยคงถูกใจล่ะ ใครยิ้มให้เราเรายังรู้สึกอิ่มใจเลยโดยเฉพาะกับคนที่เราถูกใจมากๆ อิอิ ก็เลยเหมารวมเอาว่าใบไม้มันคงจะยิ้ม
หึหึ คงถูกหลอกอ่านละซิ เห็นทำท่าอยากเลาะฟันเราอีกคนแล้ว จบแล้วขอรับกระผม
10 พฤศจิกายน 2551 08:23 น.
แจ้นเอง
สองสามวันก่อน เราแหงนมองท้องฟ้า เห็นเมฆสีขาวกระจายและเคลื่อนตัวกันอย่างรวดเร็ว
และสายฝนที่กระหน่ำมาบางช่วงก็ทำให้ข้าวที่ออกรวงทนรับน้ำหนักไม่ไหวล้มระเนระนาด ชาวนาเริ่มหนักใจ การเก็บเกี่ยวข้าวล้มเป็นงานยากยิ่ง
แล้วสายลมหนาวก็พัดโชย ใบไม้ร่วงเกลียวกราว สายลมสอดแทรกมาทางหน้าต่างที่แง้มไว้ มาเยือน
เป็นหนาวแรกที่มาเร็วและรุนแรง อุณหภูมิที่ลดทีเดียว 3-5 องศา ทำเอาคลินิก คราคร่ำไปด้วยลูกเล็กเด็กแดง ที่เจ็บไข้ เพราะอากาศเปลี่ยนแปลง
หนาวแรกของปีนี้ ทำเอาเราเหงาไม่น้อย โครงการหลายโครงการยังไม่เริ่ม แต่โครงการของหัวใจก็ยังคงพับเก็บอยู่ในกระเป๋าเหมือนเดิม เฮ้อ
ถึงฤดูกาลแจกผ้าห่ม เครื่องกันหนาว บางพื้นที่และหลายหน่วยงานที่มีความพร้อมก็ตระเตรียมสิ่งของพร้อมแจก ด้วยเห็นว่าคงจะแร้นแค้น ถามว่า เขาต้องการจริงหรือเปล่า เราไม่แน่ใจ การพบเจอเหตุการณ์บางอย่างทำให้คิดว่า การที่เราแจกโดยไม่สืบหาข้อมูล ความต้องการ หรือข้อเท็จจริง บางครั้งก็เกิดการสูญเปล่า บางหน่วยงานเกิดการให้แบบซ้ำซ้อน หลายหน่วยงานลงพื้นที่เดียวกัน จนบางคน บางเจ้าไม่มีที่เก็บ ...ก็ว่า...กันไปเถิดนะ พี่ น้อง
ปล่อยอารมณ์ไปกับหนาวแรก จะบอกว่าใครอยากสัมผัสกับความหนาวมาเยือนเหนือสิ หนาวแล้วจ้า
28 กันยายน 2551 22:52 น.
แจ้นเอง
มิม เคยไปยะลาและเคยไปกินอาหารช่วงที่ชาวอิสลามกำลังถือศีลอด พอตกกลางคืนร้านรวงแถวหน้าบ้านที่พักจะเต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด หน้าตาน่ากินมากมาย มิม ตื่นเต้นมากเมื่อ ส้มชวนมิมออกไปดูและหาซื้อ
ไปมั้ย
ฮื่อ
เร็วซี่
ก็รีบอยู่นี่ไง มิมกำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง ส้มคนข้างบ้านเพิ่งรู้จักกันเมื่อมิมเดินทางถึงยะลาที่สถานีรถไฟ เมื่อเช้าตามคำสั่งของน้าชายว่าให้มารับมิมและให้พามาพักที่บ้านของน้าชาย ก็คือตึกแถวสองชั้นอยู่ย่านใจกลางเมืองของยะลามิมพักอยู่ ชั้นสอง
โธ่ เอ๊ยหิวจนตาลายแล้ว
มิมเปิดประตูโผล่พรวดออกมาโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงเล่นเอาส้มแทบหน้าหงาย
โอ๊ะ!นี่จะบ้าเหรอ
ใครบ้า ก็ทั้งเรียกทั้งเร่งไม่ให้ทำอย่างงี้ได้ไงก็อยาก...มิมเถียง
เออๆเออไปเหอะคงหิวมากเลยนะ
เค้าคว้าแขนมิมได้ก็รีบจ้ำอ้าวลงไปข้างล่าง
โอ้โฮ!ร้านขายกับข้าวเต็มไปทั้ง 2 ฟาก ถนน
อุ ว๊าว!
ทางนี้ๆส้มกระตุกแขนมิมขณะที่กำลังมองอาหารแปลกๆอยู่
มีอะไรเหรอมิมถามพร้อมทั้งตัวปลิวตามแรงทั้งลากทั้งฉุด
ข้าวยำส้มบอก
ข้าวยำมิมทวนคำบอกเล่าที่เหมือนเน้นๆนั้น
ฮือ!ไม่เคยรู้จักเลยรึไง
ก็แหงมิมเถียงในใจแค่ฟังชื่อก็ไม่เคยได้ยินอยู่แล้ว
เดี๋ยวจะให้ลองชิมดูเป็นอันดับแรกส้มยิ้มย่องผ่องใส
คงอร่อยน่าดูมิมทำปากเยาะๆนิดๆ
อย่าติดใจละ กันส้มทำท่าท้าทายใช่เล่นเหมือนกัน
ข้าวยำ 2 จานส้มสั่งแม่ค้า
แม่ค้าเป็นแขกอิสลามหน้าตาสวยมากหันมามองมิมแล้วยิ้ม
เพื่อนรึแม่ค้าพยักพเยิดมาทางมิมเมื่อเอ่ยปากถามส้ม
ฮื่อ!เพิ่งมาจากกรุงเทพฯส้มตอบพร้อมปรายตามองมาทางมิม
สวยนะ ข๊าว ขาวแม่ค้าหันมายิ้มแล้วชมซึ่งๆหน้า มิมก็ยิ้มและมองแม่ค้าที่มือก็ตักข้าวใส่จานใช้ทัพพีเกลี่ยข้าวให้เต็มจานทั้ง 2 จาน แล้วก็เอาตะไคร้หั่นฝอยโรยลงไป แตงกวาผ่าสี่แล้วหั่นเป็นชิ้นบางๆ มะม่วงดิบสับละเอียด
สะตอ(เมล็ดสีเขียวๆซอยอีกตามเคย) เมล็ดกระถิ่น ฮื่อเหม็นเชียวอันนี้คิดในใจกลัวเสียงดัง แล้วก็โรยกุ้งแห้งป่นหอมมากเลยคงเป็นกุ้งใหม่ มะพร้าวคั่วจนหอม
มองตาไม่กระพริบเชียวส้มหันมาพูด กระแหนะกระแหนพร้อมทั้งค้อนวงเบ้อเริ่ม
กุ้งแห้งป่นเนี่ยหอมมิมทำอาการสูดลมเข้าไปเต็มปอด
นี่พี่เค้าใช้แต่ของใหม่ๆสดๆทั้งนั้นถึงได้ชวนมาไงหือ ถามนิดเดียวตอบซะยาวเลย คงอยากอวดสรรพคุณเต็มที่ แล้วเค้าก็ใช้ช้อนตักอะไรไม่รู้เป็นน้ำสีดำๆ
อะไรน่ะมิมรีบถามแม่ค้า
บูดูจ้าหือ
อะไรบูดูชื่อแปลกๆอีกละ
ก็น้ำบูดุนี่เป็นน้ำที่ทำมาจากปลาร้าที่เค้าหมักไว้เป็นปีๆแล้วเค้าก็กรองเอาแต่น้ำ เอามาเคี่ยวปรุงรสโดยใส่น้ำตาลปึกด้วยเพื่อให้รสชาติออกมาหวานนิดๆ
ปลาร้าเหรอมิมพูดเสียงดังเพราะตกใจก็มิมมี่กินปลาร้าไม่เป็นนี่นะ
ไม่เอามิมรีบปฏิเสธโบกมือให้แม่ค้าว่าไม่เอาน้ำปลาร้า
เอาส้มสำทับ
แต่มิมกินไม่เป็นเสียงมิมเริ่มอ่อย
ก็ลองดูมันไม่เหม็นและนี่ข้าวยำที่ไหนเค้าไม่ใส่บูดูส้มเริ่มเสียงดังแต่ก็เบาๆ ในตอนท้ายๆ
ข้าวยำกับน้ำบูดูเป็นของคู่กันส้มพูดและยื่นจานที่รับจากแม่ค้ามาวางตรงหน้ามิม
ลองกินดูส้มคะยั้นคะยอ
มิมจึงใช้ช้อนเขี่ยๆดู อืม ไม่มีกลิ่นจริงๆด้วยและก้อ ออกจะหอมนะ
กินไงล่ะมิมมองดูส้ม
คนๆให้เข้ากัน เออ!นี่กินเผ็ดหรือเปล่า
ไม่ปฏิเสธทันทีเพราะมิมกินเผ็ดไม่ได้
งั้นโรยพริกป่นนิดหน่อยพอ ต้องใส่นะเพราะมันจะออกรสชาติข้าวยำของแท้อวดสรรพคุณอีกแล้ว
เอ้าแม่ค้ายกจานผัก ไม่รู้ มีผักอะไรมั่งนะจัดเป็นช่องๆส่วนใหญ่เป็นผักที่มีกลิ่นทั้งนั้น
ผักสมุนไพรพวกนี้มีประโยชน์กับร่างกายหมดเลย และข้าวยำก็อาศัยผักพวกที่มีกลิ่นคละเคล้ากันรสชาติจึงจะออกมาอร่อย ถ้าชอบรสเปรี้ยวก็บีบมะนาวอีกนิดหน่อย หรือไม่ ถ้าชอบผลไม้รสเปรี้ยวอื่นๆก็เอามาใช้ได้ เช่น ส้มโอ สับปะรด แต่ทุกๆอย่างต้องแกะต้องหั่นเล็กๆพูดแล้วก็หันมาตักข้าวยำเข้าปาก
อืม ได้ล่ะแล้วก็พยักหน้าให้มิมลอง มิมจึงตักข้าวยำใส่ปาก อืม! นอกจากไม่มีกลิ่นปลาร้าแล้วเจ้าผักทั้งหลายก็ให้รสชาติกลืนกันดีจัง อร่อยน่ะ พอซักพักก็หมดจาน
แฮ่ะ! ๆขออีกจานดิมิมสะกิดส้ม พูดเขินๆ
อ้าวส้มหันมามองจานข้าวยำมิมแล้วหัวเราะ
หมดแล้ว!ไหนว่าไม่กินปลาร้าไงยิ้มชอบใจใหญ่
เออ!ก็อร่อยนี่มิมพูดเก้อๆใครจะไปนึกว่ามันจะ...อร่อย
เอ้า คนสวยนี่เลยแม่ค้าส่งข้าวยำจานใหม่ให้มิม ทีนี้มิมก็ตักผักที่เค้าเอามาให้เพิ่มใส่ๆเข้าไป แล้วขอน้ำบูดูเพิ่ม
ขอน้ำบูดูอีกนิดค่ะมิมยื่นจานไปที่แม่ค้า
อร่อยมั้ยค้าแม่ค้าส่งยิ้มหวานที่เห็นลูกค้าใหม่ กินเป็นจานที่ 2
ค่ะ อร่อย ไม่นึกว่าจะกินได้
หลังจากกินข้าวยำไปคนละ 2 จาน ส้มก็ชวนมิมออกมาเดินดูสินค้าและอาหาร
พรุ่งนี้จะพาไปชิมอย่างอื่นบ้าง ว่าจะให้ชิมหลายๆอย่าง ก็เล่นล่อข้าวยำไปตั้ง 2 จาน อิ่มเชียวส้มชวนคุย
ถ้ามิมกลับกรุงเทพฯ หาซื้อน้ำบูดูให้ด้วยได้ป่าว
ได้สิ โธ่ ของแม่ตลาดทำอย่างนี้เลยพูดไม่พูดเปล่า ยกนิ้วโป้งขึ้นมาเกือบโดนหน้ามิมแน่ะ
(อุบเรื่องแม่ตลาดไว้เล่าวันหลังดีกว่า อิอิ)
แล้วทำเป็นเร้อ!มี สบประมาทด้วย
กินเป็นแล้วก็ต้องทำเป็นสิมิมตอบด้วยความเชื่อมั่น และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆเพราะพอกลับเข้า กทม. มิมก็ทำข้าวยำกินบ่อยๆและก่อนกินมิมก็จะอุ่นน้ำบูดูอีกที มิมเคยไปลองกินข้าวยำที่สนามหลวง(เมื่อก่อน)ไม่อร่อยแล้วก็ไม่ค่อยกล้ากินซักเท่าไหร่ดูไม่ค่อยสะอาดน่ะ
หลังจากซื้อของติดไม้ติดมือมา 2-3 อย่าง มิมกับส้มก็พากันกลับบ้านและทุกเย็นเราสองคนก็จะอออกไปเดินหาชิมอาหาร อิสลาม ปักษ์ใต้ จนธุระที่มาทำสำเร็จ มิมถึงเวลากลับ ส้มมาส่งมิมที่สถานีรถไฟ บาย บาย ยะลา ลาก่อน ส้มเพื่อนใหม่ที่แสนดี
แล้วขึ้นกรุงเทพฯ เมื่อไหร่โทรหาด้วยล่ะมิมไม่วายส่งเสียงมาย้ำกับส้มอีกครั้ง เมื่อรถไฟเริ่มเคลื่อนขบวน
ไม่ลืมหรอกน่า ว่าแต่ถ้า บูดูหมดล่ะก็ บอกนะ จะส่งไปให้อีกส้มพูดพร้อมกับโบกมือหยอยๆ และวิ่งตามรถไฟซึ่งเคลื่อนขบวนช้าๆ ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง มิมได้แต่ชะโงกหน้ามองทางหน้าต่าง
ไปเหอะ ดูแลตัวเองนะ แล้วพบกันใหม่ มิมพูดเสียงเครือๆ การพบกันแค่ช่วงเวลาสั้นๆแต่ก็ทำให้เกิดความรู้สึกผูกพันได้ไม่น้อย
โชคดีนะ ส้มยังตะโกนไล่หลัง
ลาก่อนมิมตะโกนตอบและโบกมือจนขบวนรถไฟห่างลับตา ไปจริงๆแล้วนะ ฮือๆๆๆ
จริงๆอาหารปักษ์ใต้และอิสลามอร่อยหลายอย่างแต่ที่ชอบที่ซู๊ดก็คือข้าวยำ...น้ำบูดูนี่แหละค่ะ
อร่อยมั้ยคะ อิอิ
8 กันยายน 2551 08:07 น.
แจ้นเอง
ฝนพรำมาแต่กลางคืน จนรุ่งสาง ลุกมาดูข่าว ที วี เห็นน้ำท่วมจัหวัดน่านแล้ว น่าเศร้าใจไม่น้อย ผู้คนกำลังหลับใหลใครจะนึกว่าอยู่ๆ บ้านก็พังไปทั้งหลัง ในชั่วพริบตา เพียงน้ำป่า ทะลักเข้ามาและใช้เป็นแค่ทางผ่านไม่กี่นาที จะเกิดความเสียหายมากมาย ทิ้งซากและความสูญเสียไว้เบื้องหลัง
หลายครั้งที่นึกถึงธรรมชาติ บ้างก็ว่าธรรมชาติโหดร้าย ถ้าเราย้อนไปดูว่าทำไมเหตุการณ์อย่างนี้จึงเกิดขึ้นบ่อยๆ ก็ใครเล่าเป็นคนทำ ไม่ใช่ฝีมือมนุษย์ดอกหรือที่ตัดไม้ทำลายป่า มิใช่ฝีมือมนุษย์ดอกหรือที่มากปัญญาเที่ยวคิดค้น เทคโนโลยีทันสมัยในการทำลายล้าง สารพัดวิธี ทั้งล้มเก่า และสร้างใหม่ โดยไม่คำนึงถึงอนาคต ที่ป่าที่เขาล้วนถูกหักล้างถางพง ก่อสร้าง ครอบครองโดยถูกหรือผิดกฎหมายก็ไม่สนใจ เอาเป็นว่ามีสิทธิ์ได้เป็นเจ้าของและก็หาลู่ทางจนสำเร็จความใคร่ได้ใคร่มีมิรู้จบรู้สิ้น มีบางครั้งบางหนธรรมชาติยื้อยุดฉุดตัวเองไม่อยู่ น้ำทะลัก ดินทลายผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้อง บ้างล้มตาย บ้างสูญเสียทรัพย์สิน ได้แต่นั่งมองด้วยนึกอนิจจัง ครั้งแล้วครั้งเล่ามนุษย์ก็ยังไม่หยุดซึ่งกิเลสและยังกระทำต่อไป...
เราออกมานั่งตรงระเบียงหน้าบ้าน ฝนเพิ่งจะหยุดและแสงแดดอ่อนๆเพิ่งจะมีให้เห็นเราทอดสายตาไล้ไปตามกิ่งไม้ที่ชุ่มฝน ดอกไม้แม้จะถูกฝนกระหน่ำมาทั้งคืน ก็ยังคงความงดงามดอกชบาสีเหลืองดอกโตต้นที่แม่ซื้อมาและบอกให้พ่อปลูกไว้หน้าบ้าน ตอนนี้ออกดอกเต็มต้น ดอกบัวฝรั่งที่ขึ้นอยู่ริมรั้วสีชมพู เรามองเลยออกไปที่หนองน้ำ วันนี้น้ำเอ่อขึ้นมามาก ปลาได้น้ำใหม่ดำผุดดำว่ายโดยไม่กลัวคนหาปลามาเจอ เรายังคงไล้สายตาไปเรื่อยๆอย่างเหงาๆ ก็วันนี้น้องน้ำไปเที่ยวกับน้าสาว มารับตั้งแต่ฝนยังไม่ซาเม็ด ทิ้งให้เราเฝ้าบ้านคนเดียวในวันหยุด อันที่จริงเราก็น่าที่จะออกบ้านไปไหนๆบ้างแต่ เราก็ชอบที่จะเลือกอยู่บ้าน แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับอะไรซักอย่าง บนศาลากลางน้ำ น่าจะเป็นใครซักคน เราเริ่มคิด แล้วใครกันนะมานอนอยู่ที่นี่ ศาลากลางน้ำเป็นศาลาโล่งๆและอยู่ไกลจากที่เราอยู่พอประมาณมองไม่ค่อยชัดว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายแต่ท่าทางที่นอนนิ่งไม่ไหวติงคงหมดแรง ถ้านอนตั้งแต่กลางคืน ก็แสดงว่าคงมาหลบฝน แต่เอ นี่ก็บ่ายคล้อยแล้ว ทำไมยังไม่มีท่าทีจะลุกหรืออะไรเลย เราเริ่มว้าวุ่น กลัวหรือ ก็น่าหรอกนะ ผู้คนตอนนี้ไว้ใจกันได้ที่ไหน แต่ปล่อยไว้เกิดเค้าตายเราจะทำยังไง เราเรียก 191 หรือโทรเรียก อพปร. มาดี แต่เอ หนองน้ำนี้ก็มีถนนโดยรอบ ผู้คนไปตลาดก็ผ่านเส้นทางเหล่านี้ แต่ทำไมไม่มีใครสนใจที่จะซักถามว่าเขามีเหตุอันใดถึงต้องมานอนอยู่ตรงนี้ ทั้งที่ศาลานี่ก็ไม่มีที่กำบังลมเลย อย่าว่าแต่คนอื่นเลย เราเองก็นั่งมองอยู่ตรงนี้นานเกินไปด้วยซ้ำ ฝนเริ่มตั้งเค้าเมฆดำทมึนแผ่คลุมไปทั่วแล้วฟ้าก็เปิดฉากคำรน คำรามกึกก้องกัมปนาท เราต้องรีบกลับเข้าบ้านเพราะกลัวฟ้าแลบเป็นที่สุด และก็เริ่มเป็นห่วงร่างที่นอนนั่น แต่ก็นั่นแหละ หลายครั้งที่มีการจับผู้ร้ายค้ายา ก็จะมีข่าวนายตำรวจปลอมตัวมาบ่อยๆ หรือว่านี่ก็ใช่ แล้วความคิดของเราก็หยุดเมื่อร่างที่นอนไม่ไหวติงนั้น ลุกขึ้น วัดจากสายตาเราที่มองอยู่เขาเป็นชายรูปร่างคงสูงเพรียวไม่น้อยแล้วเค้าก็ลุกขึ้น ใช่เค้าผอมและสูงมากทีเดียวเค้าเก็บถุงใส่อาหารหรืออะไรไม่รู้ดูไม่ออกเพราะฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว ภาพที่มองเห็นเค้าก้าวยาวๆและเดินออกจากศาลามุ่งหน้าสู่ทิศใต้ ชายผู้ไม่รู้ที่มาและที่ไป ศาลาจึงว่างเปล่าดุจเดิมฝนตกหนักแต่ซักพักก็ซา เรากลับออกมานั่งที่เก่าและยังไล้สายตาไปทั่วบริเวณ วันนี้เป็นวันหยุดผู้คนคงจะพักผ่อน จึงไม่มีใครผ่านมาให้เห็น นี่เรารู้สึกเดียวดายหรือเปล่า กับการอยู่คนเดียว ทั้งๆที่มันก็แทบจะเป็นปกติของเราที่ทนอยู่กับความเหงาลำพังมาหลายปี แม้ในใจจะบอกว่าสุขอยู่เพียงลำพังก็เถอะ...บ่นไปกับสายฝน เฮ้อ...
30 สิงหาคม 2551 22:55 น.
แจ้นเอง
สองปีแล้วที่แม่จากเราไป สองปีแล้วที่เราอยู่อย่างเหว่ว้าเงียบเหงาชีวิตอีรุงตุงนังไปหมด เหลียวหาอกอุ่นอ้อมกอดที่พอจะให้ซบอุ่นไอไม่มีเลย ได้แต่นั่งเหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย...
เรานั่งที่ประตูหลังบ้านมองไปที่ห้องครัว...ภาพแม่ผุดพรายขึ้นมาให้มองเห็นเด่นชัดในความรู้สึก แม่ใส่เสื้อแขนยาวตัวโปรดไม่ว่าแม่จะออกไปไหน ถ้าไม่ไกลจากบ้านมากนักแม่ก็จะคว้าหมวกและเสื้อแขนยาวตัวโปรดสวมทับกับเสื้อคอกระเช้าตัวนี้ออกไปเสมอ กลับมาก็จะถอดหมวกวางไว้พร้อมกับถุงหิ้วที่มีอาหารสดอัดแน่นอยู่เต็มถุง
"เฮ้อ"เสียงถอนหายใจดังๆ ดังขึ้นพร้อมกับการยกมือทั้งสองข้างขึ้นเสยผมและปาดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นอยู่เต็มใบหน้าๆของแม่มีรอยย่นมากมายแต่รอยยิ้มที่ดวงตานั้นมันอิ่มเอิบรอยยิ้มจะปรากฎขึ้นเสมอๆถ้าวันไหนลุกหลานมาเต็มบ้านและวันนี้ "แม่ครัวเอก" จะแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ ไก่บ้านตัวเขื่องถูกยกออกมาชำแหละ ล้างจนสะอาดเมนูวันนี้ต้องไม่พ้น "แกงข้าวคั่วไก่"แน่นอน เพราะเป็นอาหารโปรดของทุกคนและเมื่อสุกได้ที่แม่ก็จะบอกว่าไปเอาถ้วยมาตักแกงให้ แจ้น ก่อนแจ้นไม่กินข้าวคั่ว ทำไปก็แอบบ่นไป กินก็ไม่เหมือนคนอื่น แต่ก็เอาใจมาตลอด ใครชอบแบบไหน คุณแม่คนดีก็จะจัดเตรียมให้กับทุกคน เราเองก็เป็นปลื้มทุกครั้งเพราะมันแสดงให้รู้ว่า แม่รักเรา และวันนั้นอาหารทุกอย่างก็จะหมดเกลี้ยง พ่อเองก็จะกินแกงกะเราด้วยเพราะพ่อจะกินอาหารที่มีน้ำซุบด้วยทุกมื้อแม่จะทำอาหารหลายอย่าง กับพ่อจะเป็นอาหารอ่อนๆเสียเป็นส่วนใหญ่ และวันนี้ มีคนร่วมวงเยอะ พ่อก็มักจะแซวแม่เสมอว่าฝีมือเป็นยอด เด็กๆก็จะพากันยิ้ม พี่ตุ๊ (ลูกเขยคนเล็ก)ก็จะหัวเราะชอบใจ
แม่คงไม่รู้หรอกว่าอาหารของแม่เยี่ยมยอดเพียงใด ภัตตาคารไหนๆก็สู้ฝีมือแม่ไม่ได้ เพราะแต่ละมื้อที่แม่ลงมือทำมันมีทั้งความรัก ความละเมียดละไม ความเอาใจใส่ทุกขั้นตอน คนแกง ต้องคนอย่างนี้ ผักต้องเด็ดแบบนี้ ไก่ต้องสับอย่างนี้ ถั่วฝักยาวอย่าใส่มากจะทำให้รสชาติมันจืด และแกงข้าวคั่วหรือแกงแค หรือแกงป่า จะมีผักหลายชนิดล้วนเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ แล้วนิว(หลานชายคนโปรด)ก็ยกพัดลมมาเปิดให้ยายเพราะเห็นยายปาดเหงื่อไปหลายหนแล้ว
เรานั่งจมปลักกับภาพของแม่อยู่ตรงประตูทางลงไปห้องครัว และภาพที่ผุดพรายเหล่านั้น ก็เริ่ม...พร่าเลือนคงเพราะน้ำตาเริ่มเรื่อราง
คิดถึงแม่ คิดถึงเหลือเกินไม่มีอีกแล้วอ้อมกอดที่อบอุ่น รอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความรักความเมตตาอีกทั้งศูนย์รวมความรักที่มีในบ้านหลังนี้ เหลือไว้แต่ความหลังที่ยังฝังแน่นในความรู้สึก... ทิ้งไว้เป็นความทรงจำอันยาวนาน เสียงหัวเราะของลูกหลานที่พากันมากราบไหว้ในวันแม่ฃองทุกปี วันนี้ช่างเป็นวันที่แสนเศร้าเหลือเกิน