15 กรกฎาคม 2554 14:07 น.
แจ้นเอง
เคยลงเรื่องกล้วยหอม ซึ่งมีส่วนทำให้ร่างกายสดชื่น มีกำลังวงชา
แต่มาคราวนี้ มาดูกันว่าการกินกล้วยหอมแล้วเป็นอย่างไร
หมอแดง ดิ อโรคยา (วีระชัย วาสิกดิลก)เขียนไว้ว่า....
การกินกล้วยหอมช่วงที่ท้องว่างเป็นการปั๊มลมเข้าท้อง กล้วยหอม ทุเรียน ขนุนผลไม้รสหวานเหล่านี้อย่ารับประทานตอนท้องหิวเด็ดขาด มันจะสร้างแก๊สได้เร็วมาก ยิ่งถ้าเอาไปแช่เย็นแล้วเอามากินหรือกินแกล้มเหล้าแล้วล่ะก็ อาจจะหามเข้าโรงพยาบาลกันได้ง่ายๆ
อาการที่เกิดขึ้นคือเสียดสลักเพชร(ใครรู้ว่าจุดสลักเพชรอยู่ตรงไหนช่วยอธิบายหน่อยนะคะ) เสียดท้องบ่อย
น้ำเต้าหู้เย็นทานกับกล้วยหอมตอนท้องว่างก็จะยิ่งผสมโรงให้เกิดแก๊สมากขึ้น เพราะน้ำเต้าหู้มีไฟเบอร์แข็งย่อยยาก
กล้วยหอมกับสับปะรดทานมากและบ่อยๆจะทำให้เส้นเลือดอุดตันเพราะความหวานของกล้วยหอมและสับปะรดเมื่อเหลือใช้ร่างกายก็จะเปลี่ยนเป็นไขมัน
อาการปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดขา เอวเหล่านี้เกิดจาด "ลม"ที่ร่างกายสร้างขึ้นเอง จากพฤติกรรมการกินที่ไม่ถูกต้อง
อาการเหล่านี้จะหายได้ต้องได้รับการนวดบำบัด นวดประคบ ดดยเฉพาะบริเวณสะโพกและจุดสลักเพชรให้เลือดลมเดินสะดวก
5 พฤศจิกายน 2553 11:26 น.
แจ้นเอง
เคยคิดกันบ้างไหม ? ว่าทำไม คำว่าพื้นที่สร้างสรรค์จึงมักถูกนำมาใช้บ่อยขึ้น
ความจริงคำว่าพื้นที่สร้างสรรค์มันมีมานานแล้วแต่เราใช้มันแบบเป็นเรื่องปกติ สนามเด็กเล่น ห้องครัวเด็ก พื้นที่ที่เราใช้ร่วมกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องสนุกสนานหรือร่วมพูดคุยกันล้วนแล้วแต่เป็นพื้นที่ที่เรียกว่าสร้างสรรค์
แต่ปัจจุบันพื้นที่เหล่านี้เริ่มลดน้อยลงไปด้วยเด็กๆหันมาใช้พื้นที่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ พูดคุยกัน จริงบ้าง เท็จบ้างก็ว่ากันไปที่จรรโลงสิ่งดีๆก็มากแล้วแต่ใครจะสรรหา แต่ขาดการควบคุมตัวเอง และผู้ใหญ่ก็มักจะตามไม่ทัน
จังหวัดเชียงรายโดยท่านผู้ว่าราชการคนใหม่ได้มองเห็นความสำคัญของเด็กและเยาวชนจึงได้จัดสรรพื้นที่ให้กับเด็กและเยาวชนจัดงาน"กาดนัดละอ่อนเจียงฮาย"ขึ้นที่บริเวณ "สวนตุงและโคมเฉลิมพระเกียรติ"ถนนธนาลัย ทุกวันศุกร์สุดสัปดาห์ เริ่มวันศุกร์ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เป็นต้นไป ในงานนี้จัดให้มีการจำหน่ายสินค้าพื้นบ้าน การแสดงศิลปวัฒนธรรม ประเพณีพื้นบ้าน เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมเชียงรายให้เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป
ในการนี้สภาเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงรายจึงขอเชิญชวนทุกท่านมาแอ่วจังหวัดเชียงราย และแวะมาเป็นกำลังใจให้กับเด็กๆต่อไป
27 ตุลาคม 2553 08:51 น.
แจ้นเอง
ธรรมชาติบำบัด (natural healing) เป็นการดูแลรักษาสุขภาพทางเลือก(alternative )สุขภาพเสริม (complementary)สขภาพบูรณาการ(integrative)ซึ่งครอบคลุมแนวคิดและแนวทางหลากหลายตามวัฒนธรรมท้องถิ่นแต่ละแห่ง ซึ่งมักไม่มีการเรียนการสอนในโรงเรียนการแพทย์ทั่วไป และไม่มีการใช้อย่างเป็นทางการในโรงเรียนพยาบาล
ธรรมชาติบำบัดที่แพร่หลายในปัจจุบัน เช่น การฝังเข็ม อายุรเวท ธารบำบัด ในตะวันออก รวมไปถึงการทำสมาธิโยคะ โดยทั่วไปแล้วจะไม่รวมถึงการรักษาแบบพื้นบ้านที่เน้นความเชื่อและพิธีกรรมที่มีลักษณะไสยศาสตร์
อย่างไรก็ดี หลักการจะคล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นตะวันตก ตะวันออกหรือพื้นบ้านทั่วไป คือหลักคิดที่ว่าธรรมชาติรักษาตัวมันเองได้ ดังที่ฮิปโปเครติส(460-377 ก่อน ค.ศ.)บิดาการแพทย์แผนปัจจุบันชาวกรีก บอกไว้ว่า"พลังการรักษาธรรมชาติในตัวเรา เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วย"ผู้ป่วยจึงเป็นผู้รักษาตัวเองมากกว่า หมอเป็นผู้ช่วย ผู้ให้การสนับสนุนเท่านั้น คนไข้จึงต้องตระหนักในศักยภาพของตนเองในการรักษาตนเอง
ธรรมชาติบำบัดเชื่อว่า การเจ็บป่วยเป็นผลสืบเนื่องจากการที่ร่างกายอ่อนแอลง ขาดความสมดุล การรักษาจึงหมายถึงการทำให้ร่างกายแข็งแรง เพื่อรักษาตัวเองและป้องกันโรค การป้องกันหรือสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายจึงเป็นวิธีการที่ดีกว่าการรักษา "สร้างดีกว่าซ่อม"
การรักษาพื้นบ้านที่มีพิธีกรรมและมีลักษณะไสยศาสตร์ ที่จริงมีหลักคิดพื้นฐานที่ว่าด้วยชีวิตที่เป็นระบบ เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล ความเจ็บป่วยถูกถือว่าเป็นการละเมิดกฎหรือระเบียบจักรวาล และบางครั้งถือว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจากการทำผิดศีลธรรม ละเมิดความสัมพันธ์กับโลกของวิญญาณ การรักษาโรคจึงเป็นการฟื้นความสัมพันธ์ให้กลับมาดีเหมือนเดิม
การรักษาพื้นบ้านมองว่าโรคภัยไข้เจ็บเกิดจากการละเมิดความสัมพันธ์ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์อันเป็นเรื่องทางจิตใจ การรักษาจึงสัมพันธ์กายจิตอย่างชัดเจน(psychosomatic)ให้ฟื้นความสัมพันธ์อันดีงามเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นหมอรำผีฟ้า หรือพิธีกรรมการรักษา การไล่ผี ที่ตีความได้ด้วยหลักคิดเรื่องการฟื้นฟูความสัมพันธ์
ที่มา: หนังสือ"ร้อยคำที่ควรรู้"โดย รองศาสตราจารย์ ดร.เสรี พงศ์พิศ
ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน(สสวช.)
11 มิถุนายน 2553 23:23 น.
แจ้นเอง
อาหารเรามีความรู้เรื่องสมดุลอาหารตามหมวดหมู่แต่เราขาดเป้าประสงค์หลักในการกิน
กินให้ชื่นใจ
กินให้ได้พลัง
กินอย่างมีความรู้
กินเพื่อล้างสารพิษ
กินเพื่อ หมุนเวียน ธาตุให้สมดุล
เอาง่ายๆกินเพื่อไปออกกำลังกาย สร้างร่างกายใหม่ ปู่ลิง เชื่อมนุษยืมีเซลสำรอง(สะมเซลประจำถิ่น)ที่จะสร้างร่างกายใหม่ได้ห้าร่าง
สิ่งที่จะปลุกเซลเหล่านี้มาทำงานคือ ออกกำลัง จนร่างกายสร้างกรดแลกติกสู่กระแสโลหิต แล้วมีอวัยวะสำคัญที่เอากรดแลคติกไป"จุดระเบิดครั้งที่สอง" ด้วยออกซิเจนกับน้ำ สร้างกลูโคลสใหม่จากตับ หัวใจ ต่อมไร้ท่อ และกล้ามเนื้อที่ออกกำลังทำให้"ได้ร่างกายใหม่ เกิดต่อเนื่องทุกวัน"และสิ่งที่เซลมะเร็งไม่ชอบคือ กรดแลคติก ออกซิเจน และอารมณ์ขัน
กินอาหารไบโอติค
เรารู้จักอาหารที่มีประโยชน์
รู้จักยาปฏิชีวนะ
ถึงเวลาแล้วที่เราควรรู้จัก อาหารไบโอติค
ที่มาจากจุลินทรีย์ที่สร้างกรดแลคติค เราต้องกินเพื่อขับไล่จุลอนทรีย์ที่ย่อยโปรตีนแล้วผลิตสารพิษ แพร่ไปยังตับออกจากระบบ "หมัก จากการย่อย" ในลำไส้เล็กใหญ่ให้มากที่สุดตับก็ทำงานดีขึ้น ร่างกายทุกระบบก็แข็งแรง
ออกกำลังกาย กรดแลคติค ออกซิเจนและอารมณ์ขัน
ขยันเรียนรู้สิ่งใหม่คือ"ยาอายุวัฒนะขนานเอก"
กรดแลคติคที่เกิดจากการออกกำลังกาย
กรดแลคติคที่เรากินเข้าไปในรูปอาหาร นมเปรี้ยว โยเกิร์ต น้ำไซเดอร์ น้ำหมักชีวภาพ ของหมักดองที่ไม่เน่าเหม็น(มีรสเปรี้ยวอมหวาน)
กรดแลคติคที่เกิดจากกระบวนการ "ย่อยอาหาร"ที่เราใช้ระบบเชิงกล เคมี และหมักในลำไส้แบบเคี้ยวเอื้อง
กรดแลคติคจากสามแหล่งคือ สารต้านมะเร็งที่ดีที่สุดในขณะนี้ ส่วนใครจะเสริมอาหารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ข้าวกล้อง อาหารจากผักพื้นบ้านก็ยิ่งดี แต่อย่าลืมว่า ถ้าเอาน้ำออกจากร่างกายหมด 80%คือโปรตีน เราต้องใส่กลับให้พอเท่าที่ร่างกายเราขับออกทางปัสสาวะทุกวัน ทานไข่ ผัก ปลา โปรตีนจากพืชที่ย่อยโดยจุลินทรีย์ที่เป็นมิตรดีที่สุด
ป้องกันสารพิษจากข่าวสาร
การสั่งการของร่างกายใช้สามระบบ
1. ระบบประสาท
-ระบบประสาทสั่งตรงไปที่อวัยวะเป้าหมาย
-ระบบประสาทสร้างสารเคมี ส่งเข้าระบบโลหิต น้ำเหลืองสู่อวัยวะเป้าหมาย
-ระบบประสาทสั่งต่อมไร้ท่อ ผลิตฮอร์โมนสู่ระบบโลหิตสู่อวัยวะเป้าหมาย
ดังนั้น"สิ่งที่เราพูด ทำ มีผลต่ออวัยวะ จะสร้างสรรค์ ทำลายอยู่ที่ความคิดเรา
"ความคิดอกุศลพุ่งไปที่ไหน มะเร็งก็สร้างบ้านที่ตรงนั้น"
2.ระบบเคมี
โดยต่อมไร้ท่อ ผลิตฮอร์โมนสั่งร่างกายเร่ง ผ่อน หยุดการทำงานสิบระบบ
3.ระบบคลื่นความคิด
ทุกบุคลกภาพที่เราปรุงจากความคิด อารมณ์ อุดมการณ์ องค์ความรู้ส่งคลื่นตัวตน ความคิด ให้ตนและระบบชีวาลัย ดังนั้นพึงคิดทางกุศล ละอกุศล ทำใจให้เบิกบาน มั่นคงในมโนธรรม ดีต่อร่างกายและระบบชีวาลัย
"ส่งข่าวสาร ความคิดดีๆสู่อวัยวะร่างกายสำคัญพอๆกับการเลือกคัดกรองข่าวสารและโยนขยะข่าวสาร ขยะความรู้เพี้ยนๆออกจากชีวิต"
ป้องกันสารพิษจากสิ่งแวดล้อม
ถึงเวลาที่เราจะเริ่มฝึก ลด ละ เลิก เติมสารพิษให้แก่ระบบชีวาลัยและส่งเสริมการใช้สินค้าจากเกษตรอินทรีย์
เรื่อง"ผลจากโลกร้อน"เป็นเรื่องสำคัญถ้าเราเชื่อว่า"ความดีต่อไปนี้คือ สขภาพตน สังคม ระบบชีวาลัยดี ยั่งยืนด้วยกัน"
ชีวิตเกิดมาเพื่อเรียนรู้ รับและให้สิ่งดีๆแก่กันในระบบชีวาลัย
http://212cafe.com/boardvip/view.php?user=cm99&id=1819
11 มิถุนายน 2553 18:50 น.
แจ้นเอง
มะเร็งคือ "ระบบที่ 11"ของร่างกาย มะเร็งไม่ใช่โรคหรือศัตรูแต่เป็นระบบ "กลายพันธุ์"ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมวิวัฒนาการ ที่อยู่ในยีน รหัสพันธุกรรม ของเราทุกคนระบบกลายพันธุ์นี้ จะผลิตเซลที่ "แบ่งตัวมีกรรมพันธุ์แบบผิดปกติ"ซึ่งแต่ละวัน จะมีจำนวน สามแสนถึงสี่แสนเซลโดยประมาณแต่ก็จะถูก เซลเม็ดเลือดขาว จัดการ"กิน" โดยชี้เป้า เม็ดเลือดขาวขนาดเล็กที่ชื่อ "ทีเซล" เป็นการ"คานอำนาจ อย่างสมดุลเราจึงไม่มีอาการ "มะเร็งกำเริบ"
"สมดุลนี้จะเสียไปเพราะ ร่างกายรับสารพิษจาก อาหาร ข่าวสาร สิ่งแวดล้อม ที่ทำให้สิบระบบร่างกายทำงานบกพร่องและจะฟื้นตัว ปรับสมดุลได้ด้วย "ตัวเราเอง"