24 กุมภาพันธ์ 2555 21:21 น.

* แดนพิศวง ตอน ๘ *

แก้วประเสริฐ


               แดนพิศวง ตอนที่ ๘
                    (ทดลองวิชา)

       ภายหลังนั่งพักผ่อนพอสมควรแล้ว ฉับพลันเขาก็แลเห็นรถ

ยนต์สามคันแล่นเข้ามาในบริเวณบ้าน  เนื่องจากเขาเป็นคนไม่

ค่อยจะสุงสิงต่อคนเท่าใดนักจึงได้  รีบลุกขึ้นเข้าไปในห้องพร้อม

สั่งแม่ม่อมอย่าให้ใครไปรบกวนเขา เพราะต้องการอ่านหนังสือ

     ครั้นรถยนต์มาจอดบริเวณหน้าบ้าน ร่างของชายหนุ่มนิวัฒน์

ก็ก้าวลงมาพร้อมกับ คนทั้งหมดจำนวน 5 คนด้วยกัน ชายหนุ่มสอง

คนมีอายุกลางคนมากแต่ดูยังแข็งแรงอีกสองรวมทั้งนิวัฒน์เจ้าของบ้าน

   “บ้านน่าอยู่นะคุณวัฒน์  แหมติดกับชายทะเลอีกด้วย 

อากาศช่างดีจริงๆ”

     เสียงหญิงสาวรูปร่างงดงามเอ่ยขึ้น

    “จริงๆอย่างที่คุณพัชรากล่าวไว้ไม่ผิด”

พลางหันไปมองบริเวณรอบๆบ้าน  ที่เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้

ออกดอกสวยงามมากมายหลายๆอย่าง 

ส่วนชายมีอายุกำลังคร่ำเคร่งสนทนากันอยู่ไม่สนใจเท่าใดนัก

   “คุณจะเดินชมบริเวณรอบบ้านก็ได้นะครับ คุณพ่อคุณแม่ผม

ไม่อยู่ท่านไปต่างประเทศอีกนานกว่าจะเดินทางกลับ”

   “ขอบใจมากคุณนิวัฒน์  แต่เรามาเรื่องงานก่อนไม่ดีกว่าหรือ???”

   “ถ้าอย่างนั้นก็ขอเชิญไปข้างในบ้านเถอะครับ ผมสั่งแม่บ้าน

ให้จัดเตรียมอาหารไว้พร้อมแล้วสำหรับมื้อกลางวันครับ”

   “ถ้าอย่างนั้นไม่เกรงใจกันล่ะ เราคนกันเองทั้งนั้นนี่นา”

   “แล้วเรื่องน้องชายคุณคงจะไม่มีปัญหานะ เพราะคุณกล่าวไว้

หวังว่าคงไม่สร้างความผิดหวังแก่ผมนะ”

   “ผมคิดว่าคงจะไม่หรอกครับ เพราะหมอนั่นมันสนใจแต่เรื่อง

ตำราบ้าๆบอๆอะไรนั่นแหละ  ป่านนี้คงขลุกอยู่ในห้องและครับ

ขอเชิญทุกๆคนเลยครับ”

     ภายในห้องรับแขกถูกจัดไว้ด้วยโต๊ะอาหารเครื่องดื่มต่างๆไว้รอ

รับอยู่แล้วพร้อมทั้งแม่บ้านและเด็กสาวสองสามคนรอการต้อนรับอยู่

เมื่อทั้งหมดนั่งลงสนทนาโดยมีแม่บ้านและเด็กสาวช่วยกันเสริฟน้ำให้

   ครั้นทั้งหมดสนทนาไปถึงเรื่องราวที่พวกเขาต้องการพอสมควรแล้ว

ชายหนุ่มเจ้าของบ้านก็เชิญทุกๆคนทานอาหารทันที

   ในระหว่างการทานอาหารและสนทนาของบรรดานักค้นคว้า

กับพี่ชายของเขาอยู่นั้นอย่างคร่ำเคร่งนั้น

   ทางด้านชายหนุ่มทราบเรื่องต่างๆด้วยอำนาจโทรจิตของบุคคล

เหล่านี้ได้ว่ามีความต้องการสิ่งใด  เขาไม่ค่อยสนใจนัก

    พลันนึกถึงในตำรากล่าวถึงอำนาจของมนตราที่บันทึกไว้  กล่าวไว้ว่าอัน

อำนาจของเวทย์มนต์นั้นอยู่เหนือธรรมชาติ  ที่สามารถจะบังคับ

จิตใจของผู้ที่อ่อนแอกว่า  ในทำนองเดียวกันชายหนุ่มก็คิดถึงใน

พระไตรปิฏกก็กล่าวถึงอำนาจลึกลับไว้เช่นกัน  แต่มันเพียงอำนาจ

ที่แอบแฝงไว้เท่านั้นหาได้ยั่งยืนจีรังก็หาไม่   

   ดังนั้นเขาครุ่นคิดว่าอำนาจนี้เมื่อไม่จีรังยั่งยืนก็ย่อมมีการทำลายล้าง

อำนาจดังกล่าวได้  จึงนำมาเปรียบเทียบกับอำนาจพลังงานกับอำนาจ

ของเวทย์มนต์คาถาอาคมต่างๆ  ก็ถึงจุดแห่งความสว่างแก่เขาว่า 

มาดแม้นว่าอำนาจทางพลังเวทย์จะยิ่งใหญ่ก็ตามแต่หาที่จะต้านทาน

อำนาจของพลังงานแห่งจักรวาลหาได้ไม่  หากผู้ฝึกฝนทางพลังงานย่อม

สามารถทำลายอำนาจแห่งเวทย์มนต์ต่างๆได้  เมื่อทราบแก่ใจเช่นนี้

ความกลัดกลุ้มที่จะช่วยเหลือนครต้องสาปนี้ให้แปรสภาพดังเดิมก็คง

จะไม่มีปัญญา  แว๊ปหนึ่งผุดขึ้นในสมองของเขาว่า  ในเมื่อมันเป็นคน

ละมิติกันอำนาจพลังงานที่เขาฝึกปรือไว้จะสามารถนำไปใช้ได้อีกหรือ

ไม่ซึ่งเขาไม่แน่ใจ   พลังงานดึงดูดของโลกเราผสมผสานกับพลังงานใน

ห้วงจักรวาลจะบรรลุจุดประสงค์หรือเปล่า   ข้อนี้นี่เองทำให้เขากังวลนัก

    แต่ช่างเถอะในเมื่อได้รับปากจากท่านทั้งสามไว้แล้ว   ด้วยความตั้งใจ

แน่วแน่ของบุคคลทั้งสามนี่เองทำให้เขาเกิดความมุมานะพยายามหาหน

ทางที่จะช่วยเหลือให้ได้   เขาจึงทดลองรวบรวมพลังงานทั้งทางโลกและ

ทางจักวาลโดยอาศัยดวงแก้วสองดวง  มาไว้ในฝ่ามือก็บังเกิดแสงกลมๆ

เป็นรังสีคล้ายๆกับสายฟ้าออกสีปรอทหลากสีอยู่ในอุ้งมือทั้งสองเปล่ง

ประกายสดใสงดงามยิ่งนัก   ด้วยบุคคลรวมทั้งพี่ชายเขายังทานอาหาร

ไม่เสร็จสิ้น  จึงชำเลืองมองไปนอกหน้าต่างที่เปิดไว้เป็นแนวทะเลอัน

กว้างสุดสายตาจึงยกพลังงานที่เขากำหนดไว้ดันออกจากฝ่ามือเพื่อทดลอง
  
      แล้วก็ผลักออกไปทางหน้าต่างทันที  พลังงานที่ก่อตัวเป็นผนึกกลม

ดวงนั้นก็พุ่งตรงไปยังท้องทะเลทันทีอย่างรวดเร็ว  จุดที่เขาเล็งไว้คือเกาะ

แห่งหนึ่งที่อยู่ไกลสุดโพ้น   เสียงระเบิดดังกึกก้องได้ยินมาถึงเขาพร้อมกับ

น้ำในทะเลเกิดกระแสหมุนวนอย่างรวดเร็วพุ่งขึ้นสูงไปในอากาศทันที

จุดเล็กๆที่เขานึกว่าเป็นเกาะก็ระเบิกแตกแยกจากกัน

เป็นแสงสว่างรุ่งโรจน์   แรงสั่นสะเทือนมาถึงบ้านที่เขาพักอาศัยอยู่ 

 ทำเอาบรรดาแขกของพี่ชายเขาต่างตกอกตกใจไปตามๆกัน 

 ผืนแผ่นดินเกิดการไหวค่อนข้างรุนแรงน้ำทะเลหมุนเวียนวน

และต่างกระฉอกกระทบฝั่งดังเกิดสินามิน้ำทะเลล้น

เข้าหาฝั่งอย่างมากมาย  แต่น้ำทะเลไม่ได้ล้นเข้ามาภายในบ้านเลย

   “เกิดอะไรขึ้นหรือพ่อนิวัฒน์ หรือว่าแผ่นดินไหวทำไมรุนแรง  ดูซิน้ำ

ทะเลพุ่งเข้ามาเกือบถึงบ้านเรานะ”

   ด๊อกเตอร์รพีและด๊อกเตอร์กมลอุทานอย่างตกใจรวม

ทั้งลูกๆของเขาด้วย

     บรรดาเข้าของบนโต๊ะอาหารต่างตกลงมาแตกกันหมด  

นิวัฒน์พลันตอบว่า

   “ไม่รู้ซิอาจารย์  ผมเองก็แปลกใจนัก  อยู่ดีๆไม่น่าจะเกิด 

ทางอุตุก็กล่าวว่าวันนี้อากาศปลอดโปร่งแจ่มใส ปราศจากคลื่นลม

 น้ำทะเลหนุนตามปกตินี่ครับ”

ชายหนุ่มนิวัฒน์หันไปตอบด้วยสีหน้าความตกใจเช่นเดียวกัน

   “เมื่อกี้นี้ก็อากาศแจ่มใสอยู่ดีๆทำไมถึงเกิดเหตุกระทันหัน??..”

   แล้วทุกๆคนก็รีบวิ่งไปที่ประตูบ้านพลางมองไปในทะเล

ก็พบคลื่นขนาดยักษ์กำลังม้วนตัวเข้าหาฝั่งอย่างรวดเร็ว

   “สินามิหรือค่ะคุณพ่อ”

   หญิงสาวอุทานลั่นด้วยความตกใจ พลางยกมือขึ้นลูบอก

   “ไม่รู้ซิ  แปลกที่ไม่มีวีแววว่าจะมี  อากาศก็แจ่มใสไม่มี

วี่แววว่าจะเกิดขึ้นท้องฟ้าก็ปราศจากเมฆดำครึ้มนี่นา  อีก

อย่างทางอุตุนิยมวิทยาเขาก็มีเครื่องวัดอุณหภูมิและเครื่องมือ

ความสั่นสะเทือนเกี่ยวกับเรื่องนี้  ก็ควรแจ้งให้ทราบแต่นี่

ไม่เห็นมีข่าวคราวอะไรเลย”

   ด๊อกเตอร์รพีเอ่ยตอบลูกสาว  ทุกๆคนรีบออกไปนอกบ้าน

มองไปในท้องทะเล  รวมทั้งสาวใช้เด็กๆภายในบ้านด้วยต่าง

เอามือทาบอกทุกๆคน   ยกเว้นชายหนุ่มที่นอนอยู่ในห้องเท่านั้น

เพียงคนเดียวที่ไม่ออกมาดูเหตุการณ์นี้แต่อย่างใด

   ในไม่นานนักเหตุการณ์ก็สงบลงอย่างปกติ เป็นที่วิจารณ์ของ

หนุ่มแก่ที่กำลังค้นหาสิ่งบางอย่างจากลายแทงก็กลับเข้ามาในห้อง

อีกครั้ง  ต่างช่วยกันเก็บหนังสือและแผนที่ลายแทงไว้  ส่วนเข้าของ

คนใช้ก็รีบมาจัดการอย่างรวดเร้ว ทุกอย่างก็คืนสู่ความปกติอีกครั้งหนึ่ง

   “คงจะเป็นการแยกตัวของภายในรอยแยกของผิวโลกอย่าง

กระทันหันกระมังโดยไม่มีการส่งสัญญาณเตือนใดๆอีกนะ”

   “ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับด๊อกเตอร์เพียงแต่แปลกใจนิดหนึ่ง”

   “อะไรหรือ???...คุณกมลคุณแน่ใจเหมือนผมเช่นเดียวกันหรือ??”

   “อ้าวๆๆพวกเราต่างก็ได้รับผลเช่นเดียวกันนี่นา  จะไม่แปลกใจได้

อย่างไรกัน  เมืองเราเรื่องแผ่นดินไหวนั้นมีมาเรื่อยๆก็จริงแต่ตามเหตุ

การณ์นั้น  ทางฝ่ายควบคุมก็มักจะทราบและเตือนล่วงหน้าก่อนทุกๆครั้ง

ไปนี่นา  แต่นี่ซิผมถึงว่าแปลกด๊อกเตอร์รพี”

    “ใช่ครับ  นี่เกิดกลางวันดีนะหากเป็นกลางคืนจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้”

   บรรดาชายหนุ่มหญิงสาวอุทานเกือบพร้อมๆกัน

   “ผมเคยอ่านหนังสือมาเล่มหนึ่งเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนี้คล้ายๆกัน

เรื่องเกี่ยวกับมิติเชื่อมต่อกันผมไม่แน่ใจ  เพราะฝรั่งได้บันทึกไว้แต่ไม่

มากนัก  เกี่ยวกับการเชื่อมโยงต่อระหว่างปัจจุบันกับอดีตครับ แต่ผมไม่

ได้นำมาด้วยเท่านั้น  เห็นว่าคงไม่สำคัญเท่าใด อีกอย่างหนึ่งผมก็ไม่ค่อย

จะเชื่อถือเท่าใดนัก”

      ด๊อกเตอร์รพีซึ่งค่อนข้างมีอาวุโสสูงกว่าใครเอ่ยขึ้น

   “แล้วมันเกี่ยวกันอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ล่ะคุณรพี”

   “คือว่าหากเกิดพลังงานหมุนเวียนจนเกิดมิติผสมผสานกับปัจจุบัน

จะเกิดแรงสั่นสะเทือนแล้วประตูมิติจะเปิดขึ้นเอง 

 แต่เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น  เป็นการบันทึกของนักวิทยาศาสตร์”

   “การค้นคว้าของพวกฝรั่งนี้ก้าวล้ำไปกว่าของพวกเรา  ก็น่าสงสัย

เหมือนกันหรือว่าจะเป็นไปได้อย่างที่คุณอ่านมาก็ได้นะครับ”

   “นั่นซิผมก็อ่านมานานแล้วตอนยังหนุ่มๆ ก่อนจะได้บันทึกและ

ลายแทงมาครับด๊อกเตอร์”

   “อืมม!!!!???....หากเป็นเช่นนั้นจริงๆกระมังดังเหตุการณ์ที่

พึ่งเกิดเมื่อกี้นี้เอง  สงสัยประตูมิติจะเปิดแล้วปิดเสียกระมัง”

   “เหมือนนิยายในหนังเชียวล่ะ   หากคุณกล่าวเช่นนี้”

    พลางหัวร่อเบาๆ

   “แต่ว่าเมื่อกี้นี้จะสอดคล้องหรือเปล่านะผมตอนนี้ชักไม่แน่ใจ

เสียแล้วซิอาจารย์ทั้งสอง”

   “เพราะไอ้น้องชายผมก็เคยสัพยอกผมบ่อยๆว่า  ไปเที่ยวมาก

ให้ระวังคล้ายๆกับอาจารย์บอกนั่นแหละครับ  ผมได้แต่ว่ามันบ้า”

   “ซ้ำๆมันยังเคยพูดว่าหากมีเหตุการณ์นี้พี่อาจจะไม่ได้กลับมาอีก

นะอาจไปหลงในที่ใดที่หนึ่งก็ได้  เพราะระหว่างนี้โลกเราเปลี่ยน

แปลงมากเสียด้วย  หากพี่หายไปพ่อแม่จะทำอย่างไร ดูๆซิมันพูด

แบบนี้  ผมเองก็งงเหมือนกันและไม่เชื่อ แต่เมื่อกี้นี้ทำให้ผมชักสงสัย

เสียแล้ว ยิ่งฟังอาจารย์รพีกล่าวเช่นนี้อีก  ก็เลยนึกขึ้นได้ครับ”

    ชายหนุ่มนิวัฒน์เอ่ยแก่ทุกๆคนฟังด้วยใบหน้าฉงนใจนัก

     เสียงหนุ่มๆสาวๆต่างกล่าวกันเรื่องต่างๆนาๆ  ยิ่งได้รับฟังจาก

ชายหนุ่มเจ้าของบ้านด้วยแล้ว  ต่างหันมามองหน้ากันเหลิกหลั่ก

   “หากเป็นเช่นนี้จริงๆ  ตำราที่ผมสอนในมหาวิทยาลัยคงจะต้อง

เริ่มต้นใหม่เสียแล้วล่ะ??  แต่ช่างเถอะเมื่อเหตุการณ์ผ่านไปรู้เฉพาะ

พวกเราไม่กี่คนเท่านั้นนะ  มากล่าวถึงบันทึกแผนที่ประหลาด

ก่อนดีกว่า  คุณนิวัฒน์ว่าน้องชายคุณนะรอบรู้ตำราต่างๆมากจะ

สามารถช่วยแปลให้แก่พวกเราได้หรือ???....”

    “เรื่องนี้ผมก็ไม่รับปากครับ เห็นมันเป็นหนอนหนังสือในห้องมัน

เต็มไปด้วยหนังสือในที่ต่างๆทุกมุมโลก ผมไม่สนใจแต่เขาซิอ่านได้

อ่านดี  ไม่ยอมไปเที่ยวเตร่พักผ่อนบ้างเลยหมกมุ่นอยู่กับตำราเหล่านี้

คุณพ่อคุณแม่ผม ยามไปต่างประเทศก็เสาะหามาฝากมันเสมอๆครับ”

   “เมื่อไม่มีอะไรอีกแล้ว  คุณนิวัฒน์ช่วยไปเรียกเขามาเดี๋ยวก็รู้ล่ะว่า

เขาจะช่วยเหลือเราได้หรือไม่???”

   “ครับผมจะไปเรียกมันเดี๋ยวนี้แหละครับ คอยเดี๋ยวนะครับ”

   “ผมว่าแปลกนะเหตุการณ์เช่นนี้ทำไมเขาไม่ออกมาดูก็ไม่รู้ซิ

อย่างน้อยก็คงจะต้องออกมาบ้างนะ???...”

    “เขาเป็นคนแบบนี้แหละครับอาจารย์ นอกจากฟ้าผ่าหัวมันนั่น

แหละถึงจะทำให้มันเสด็จออกจากห้องหนังสือมันได้ครับ คอย

เดี๋ยวนะครับผมจะไปเรียกมัน”

   “หากเขาไม่ว่างไม่ต้องก็ได้นะคุณนิวัฒน์”

   ด๊อกเตอร์กมลเอ่ยขึ้น  พลางหันหน้าไปมองด๊อกเตอร์รพีและทุกๆ

คนอย่างแบบจะไม่เชื่อใจเท่าใดนัก   

   นิวัฒน์ก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าห้องชายหนุ่มน้องชาย  พลาง

ตะโกนเรียกทันที

   “เฮ้ยๆๆๆรุทธ์โว้ย  หลับหรือเปล่าออกมาหน่อยซิว๊ะ มีเรื่องจะ

ให้ช่วยหน่อย”

     หนุ่มพี่ชายไปเคาะประตูห้อง เพราะใส่ลั่นกลอนเอาไว้  ชายหนุ่ม

รู้เรื่องราวหมดด้วยสายตาเขา ด้วยอำนาจแห่งพลังงานโทรจิตและ

พลังงานที่เข้านำมาสะสมไว้ในทุกอนุภาคของร่างกายทำให้เขานั้น

สามารถที่ใช้พลังงานดังกล่าวได้ อีกทั้งสายตาเขาก็สามารถมองผ่าน

วัตถุต่างๆได้เหมือนปกติธรรมดา ครั้นได้ยินเสียงเรียกจากพี่ชายเขา

 พลางยกมือขยี้ผมให้ฟูแล้วแสร้งทำเป็นงัวเงียออกมาเปิดประตูห้อง 

 ด้วยท่าทีอิดโรยเพราะผ่านการนอนมานั่นเอง ร่างอันสง่างาม

ประดุจนักรบโบราณของเขาด้วยความสูงใหญ่กว่าคนธรรมดา

ก็ปรากฏที่หน้าประตูห้อง พลางเหลือบตามองแบบเฉยเมย

ไปยังบรรดาแขกของพี่ชายอย่างไม่สนใจใยดีเท่าใดนัก

   การปรากฏกายของชายหนุ่มครั้งนี้สร้างความตกตลึงแก่

บรรดานักค้นคว้าสมบัติโดยเฉพาะพี่ชายเขา ถึงกับอุทานออก

มาพลางขยี้นัยน์ตาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เขาเห็น  ด้วยรูปร่างอัน

สง่างามสูงใหญ่กว่าเขามากนัก ใบหน้าที่หล่อเหลาได้รูปทรง

เนื่องจากเขาไม่เคยสนใจน้องชายคนนี้เลย ถึงกับอุทานว่า

   “นี่เจ้ารุทธ์หรือ  ทำไมร่างกายแกถึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้ได้เล่า”

ทุกๆคนต่างตกตลึงไม่คิดว่าคนหนอนหนังสือจะมีร่างกายที่สง่างาม

ได้เช่นนี้  โดยเฉพาะสาวพัชราถึงกับปากอ้าตาค้างไปทันทีอย่างคาด

การณ์ไม่ถึงว่า ที่เรียกว่าหนอนหนังสือมักจะร่างกายขมุกขมัวผ่ายผอม  แต่ที่

หล่อนเห็นกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง  พลางยกมือทั้งสองทาบอกทันที....

                * แก้วประเสริฐ. *

Cartoon_Animation_08.gif1139348gm3744qpip.gif76.gif				
24 กุมภาพันธ์ 2555 21:14 น.

* แดนพิศวง ตอน ๗ *

แก้วประเสริฐ


                           แดนพิศวง ๗
                         (หนังสือพิสดาร)

    หลังจากที่เขาพักผ่อนพอสมควรแล้ว ก็ลุกขึ้นเมื่อนึกถึงตำราและ

การฝึกฝนที่เขาจะต้องพยายามสร้างให้เกิดการเก็บพลังงานบางส่วน

ไว้ และที่สำคัญเกี่ยวกับอากาศที่ใช้ในการหายใจของเขา ซึ่งเป็นตัว

หล่อเลี้ยงร่างกาย อย่างออกซิเจนเป็นต้น   ว่าหากไปสู่ยังอีกมิติตามที่

หนังสือกำหนดไว้ มิตินั้นจะมีอากาศเหมือนอย่างในโลกนี้หรือไม่ นี่

คือเหตุสำคัญยิ่งสำหรับเขา  เขาคิดว่าหากเมื่อเขาสร้างพลังงานได้

แล้วก็ย่อมจะหาสถานที่เก็บและสร้างได้ด้วยซิ  หากเขาเก็บไว้ตาม

เซลล์ต่างๆในร่างกายอีกแนวหนึ่งก็จะดี  จึงคิดจะเข้าไปฝึกฝนหา

วิธีการก่อนที่จะสายไป   ดังนั้นเมื่อก่อนจะเข้าห้องนอน เขาสั่ง

แม่ม่อมว่าห้ามเข้ามายังภายในห้องเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นอาหารว่าง

หรือน้ำส้มที่เขาโปรดปรานมากก็ตามเขาจะออกมาทานอาหารและ 

ทานน้ำส้ม   เขาต้องการจะค้นคว้าเพราะเป็นหนทางที่เขาจะไป

ช่วยเหลือนครดังกล่าวที่เคยรับปากไว้ หากไม่สามารถทำได้จะสร้าง

ความผิดหวังให้แก่ท่านผู้เฒ่าทั้งหลายที่อุตส่าห์ติดตามเขามาและคน

ทั้งสามบอกการค้นคว้าก่อนจะสำเร็จ ทำให้เขาต้องผ่านการ

ทดลองต่างๆนาๆ  จึงจะได้ทราบและอ่านหนังสือได้  อาศัยที่เขา

เป็นคนค้นคว้าศึกษาโบราณคดีต่างๆมานำมาประกอบแต่ก็ยังไม่

สามารถทำได้ เมื่อเกือบจะจนปัญญาพลันก็นึกถึงดวงแก้วและ

อำนาจของพลังงานของดวงแก้วจึงทดลองทำดู จึงสามารถอ่าน

อักษรนั้นได้อย่างรวดเร็ว กาลเวลาผ่านไปจนเขาไม่รู้ว่าใช้เวลา

ไปนานเท่าใดเวลาที่ผ่านไปนั้นสร้างความรู้ต่างๆให้แก่เขา

อย่างมากมาย  หลังจากผ่านการออกมาพักผ่อนก็รีบกลับเข้าไป

เพื่อรีบเร่งค้นความจากตำราให้เกิดความเชื่อมั่นแก่เขามากยิ่งขึ้น 

เขายังไม่รู้ว่าในอนาคตนั้นจะเริ่มต้นอย่างไร  เพราะชายทั้งสาม

แจ้งแก่เขาว่าหลังจากถ่ายทอดหมดสิ้นแล้วจะไม่กลับมาอีกแล้ว

ขอให้เขาหมั่นฝึกฝนทดลองให้เกิดความเชี่ยวชาญยิ่งขึ้น   เขาหัว

ร่อในใจหลังจากย้อนหลังกว่าจะพบแหล่งที่ทำให้อักษรปรากฏ

ขึ้นที่ผ่านการทดลองมานั้นด้วยตัวเขาเองและแม่ม่อมตลอดจน

ความพิสดารของแผ่นกระดาษนั้นๆ

   ชายหนุ่มคิดอยู่เพียงคนเดียวว่า  หลังจากการทดสอบเกี่ยวกับ

ตัวหนังสือที่ได้รับจากชายทั้งสามแล้ว  ก็ทราบถึงความลี้ลับ

ต่างๆนาๆ ซึ่งผิดแผกไปกว่าหนังสือในโลก ไม่ว่าสมัยใดๆทั้งสิ้น

 ด้วยภาษาเขียนนั้นจะไม่เหมือนหรือว่าเขาจะยังค้นพบไม่เจอ

      จึงไม่สามารถจะอ่านได้  แต่ก็ต้องอาศัยพลังงานบางสิ่ง

บางอย่างในตัว รวมจิตเป็นสมาธิสร้างเป็นพลังงาน ครั้นจิตใจ

สงบสร้างอำนาจเร้นลับผสมผสานกับพลังงานจากดวงแก้ว จึง

สามารถทราบได้และอ่านได้ แต่ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่ง

แต่จะมีส่วนคล้ายหนังสือของชาวแอตแลนตีสอยู่บ้าง ซึ่งหาย

สาปสูญไปนานแล้ว  แม้แต่นักโบราณคดีปัจจุบันก็ยังไม่สามารถ

ค้นพบได้คงพบแต่ภาษาของชาวเผ่ามายาและภาษาอียิปต์เท่านั้น 

ส่วนภาษาของชาวอินคา และชาวแอตตีสนั้นหายสาปสูญไป 

ต่อมาพบภาษาชาวอินคาในบางส่วนเท่านั้นเอง แต่บัดนี้ภาษา

ดังกล่าวได้มาอยู่ในมือเขาแล้ว แต่กรรมวิธียากนักที่จะสามารถ

ทำให้ตัวหนังสือปรากฏขึ้นได้หากปราศจากพลังงานอันแรงกล้า

มาช่วยกระตุ้นให้ตัวหนังสือปรากฏขึ้นได้

      พลางก็รำพึงในใจอีกว่า และครั้นหวนคิดถึงการทดลองที่เขา

ทำขึ้นมา  แปลกจริงๆที่แม่ม่อมทดลองตามที่เขาบอกให้ลองทุก

ประการ   แล้วทำไมเหตุใดตัวหนังสือถึงไม่ปรากฏให้เห็น  เป็น

เพราะอะไร  หรือว่าเป็นเพราะแม่ม่อมขาดพลังงานทางจิตนั่นเอง

  ดังนั้นชายหนุ่มนำหนังสือทั้งหมดมาทดลองอีกครั้งดังที่เคยทำ

มาสมัยยังเด็กๆอยู่ว่าจะมีเหตุการณ์ขึ้นได้หรือไม่  พลางนำ

หนังสือเล่มหนึ่งออกเดินตรงไปยังแท่งเทียนที่จัดวางไว้ในฐาน

อันมีลวดลายไทยสวยงามแท่งใหญ่ตั้งไว้บนโต๊ะหนังสือ

ของเขาเพื่อป้องกันเวลาไฟฟ้าดับ  ซึ่งใหญ่พอประมาณแล้วนำไม้

ขีดไฟมาจุดเมื่อแสงเทียนลุกโชติแล้ว  หันหลังกลับไปนำ

หนังสือที่ว่างเปล่าไร้ตัวอักษรใดๆ  เปิดออกทดลองลนไปยังแสง

เทียนที่กำลังลุกโชน  แสงเทียนสว่างไสวมากไหวไปๆมาๆแล้ว

นำหนังสือที่ไร้อักษรใดๆ ลนไปยังเปลวเทียน    พลางคิดในใจ

ว่าคงจะปรากฏอักษรขึ้นมาดั่งที่เคยเล่นหรือไม่   ครั้นนำไปลน

ยังแสงเทียนอาศัยความร้อนแต่ผลก็เหมือนเดิม และแช่ไว้นาน

พอสมควร  แต่ความประหลาดใจแก่เขา ที่กระดาษนั้นไฟไม่

สามารถจะไหม้กระดาษนั้นได้  อีกประการหนึ่งคือ

     ยังไร้ซึ้งอักษรใดๆปรากฏขึ้นในแผ่นกระดาษ

หนังสือเลย แม้แต่รอยเกรียมยังไม่ปรากฏให้เห็นอีกด้วย  หรือว่า

กระดาษนั้นสามารถทนความร้อนของไฟได้ นับเป็นสิ่ง

ประหลาดที่ในโลกนี้ไม่เคยมีมา

     ทำให้ชายหนุ่มเกิดความฉงนสนเท่ห์ยิ่งขึ้น จึงได้ดับเทียนไข

เล่มนั้นเสีย  แล้วเดินไปยังเตียงนอนแล้วเอามาพิจารณาหาเหตุผล

ของความพิสดาร ดังที่เคยเล่นมาสมัยก่อนนั้น   แต่เหตุใดทำไม

เล่าใยเมื่อเขาลูบไล้ไปยังกระดาษที่ว่างเปล่ากลับมีตัวหนังสือ

ปรากฏ  แว๊ปหนึ่งในสมองเขาเกิดขึ้นหรือว่า????.....จะเป็นด้วย

อำนาจพลังความร้อนเย็นที่อยู่ในร่างกายเขา ส่งพลังงานไปยัง


หนังสือที่ไร้ซึ่งอักษรนั้น  ก็ล้วนแล้วแต่อันเกิดจากดวงแก้วทั้ง

สองก็จะเป็นไปได้กระมัง!!!!????...    ทดลองปิดหนังสือลงอีก

ทีแล้วก็เปิดอีกกลับเป็นกระดาษว่างเปล่า  เขาพยายามทดลองทำ

หลายแง่มุมมองที่เขาคิดขึ้นแต่ก็ไร้ผลเช่นเดียวกัน  ไม่อาจทำให้

หนังสือปรากฏตัวอักษรได้เลย นอกจากวิธีเดียวที่เขาทำได้เท่า

นั้นเอง ซึ่งต้องอาศัยพลังงานภายในร่างกายเขาส่งไปยังหนังสือ

     แน่แล้วอาจจะเป็นพลังงานอันลี้ลับที่ชายแปลกหน้าที่สามเคย

กล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องพลังงานแน่นอน  หรือทว่าตัวเขาภายใน

ร่างกายคงจะมีพลังงานที่มองไม่เห็นซุกซ่อนไว้แล้วกระมัง???...

   ดังนั้นเพื่อมิให้เสียเวลาไปจึงรีบเปิดหนังสือเล่มแรกขึ้นอ่าน

ทันที โดยใช้วิธีลูบให้อักษรปรากฏขึ้นมาก่อน  แล้วค่อยอ่านที

ละหน้า   ภายในกำหนดหัวข้อต่างๆ โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับอำนาจ

ลึกลับของพลังงานทั้งหลายไว้อย่างละเอียดชัดเจนว่า  การสร้าง

พลังงานที่ก่อกำเนิดนั้นล้วนแล้วมาจากการหมุนเวียนและมาจาก

แรงดึงดูดของจักรวาลทั้งหลายที่โคจรไปตามแกแลคซี่ของแต่

แกแลคซี่นั้นๆ  จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่แกแลคซี่นั้น อย่างเช่น

แกแลคซี่ของสุริยะนี้  ที่โลกเราเป็นส่วนหนึ่งของแกแลคซึ่นั้นก็

เหมือนๆกัน พลังงานต่างแบ่งแยกออกเป็นหลายอนุภาคแตกแยก

เป็นอนุภาคแล้วกลายมาเป็นอะตอมเมื่อกระจายออกมาก็จะ

แยกตัวเป็นนิวเครียสของโมเลกุลแต่ละชนิดเป็นพลังงาน

หมุนเวียนตามกระแสดึงดูดของแกลแลคซี่ แต่ละแกลแลคซี่นั้น

ยังแบ่งออกไปมากมายในห้วงแห่งจักรวาลทั้งหลาย     ที่เขา

อาศัยอยู่นี้ก็ส่วนหนึ่งของแกลแลคซี่ทั้งหลาย อันมีดวงอาทิตย์

เป็นแกนส่งพลังงานดึงดูดโลกและดาวอื่นๆที่อยู่ภายในวงแรง

ดึงดูดในลักษณะเป็นวงรี หมุนไปรอบดวงอาทิตย์โดยแรงดึงดูด

เป็นผู้ควบคุมดาวอื่นๆซึ่งเป็นบริวารไว้ ให้หมุนเวียนไปรอบๆ

แกแลคซีนี้อาศัยพลังงานไฟฟ้าดุจดังขั้วแม่เหล็กที่ส่งพลังงานอัน

ประกอบไปด้วยอะตอมภายในอะตอมๆหนึ่งล้วนแล้วเป็น

โมเลกุลเล็กๆรวมตัวกันขึ้น แบ่งแยกตัวเป็นขั้วบวกและลบคอย

ผสมผสานกันและกันในตัวแตกกระจายไปในอากาศ   แยกตัว

ออกอนูในระบบของคลื่นต่างๆกัน   และอะตอม แผ่กระจาย

ออกเป็นนิวเครียสแต่ละนิวเครียสจะหมุนวนเวียนไปตามกระแส

การดึงดูดของพลังงานไฟฟ้าภายในโมเลกุลวนเวียนในอะตอม

นั้นๆ  อะตอมยังแบ่งแยกออกเป็นหน่วยๆต่างๆหมุนวนเวียนไป

ตามกระแสงของพลังงานที่ก่อเกิดเป็นอำนาจของโมเลกุลนั้นๆ

เกิดเป็นอำนาจของพลังงานไฟฟ้าที่ประกอบด้วยขั้วต่างๆกันตาม

แกนของโลกที่เขาได้อาศัยอยู่นี่  ดังเช่นสายฟ้าที่ยามเกิดฟ้าร้องก็

อยู่ในลักษณะเดียวกันด้วยการวิ่งไปมาๆเพื่อค้นหาขั้วเชื่อมต่อ

เข้าด้วยกันจึงเกิดเป็นพลังงานอันมากมายมหาศาลวิ่งเข้าหากัน

และกันเป็นพลังงานอย่างรุนแรงมหาศาลมากมายเหลือที่อำนาจ

ใดๆจะต้านทานได้ เช่นฟ้าร้อง ฟ้าผ่าเป็นต้น   ภายในหนังสือยัง

อธิบายสิ่งต่างๆไว้อย่างละเอียดถึงการเรียกใช้พลังงานทั้งหลาย

โดยมีสื่อเป็นตัวเชื่อมของพลังงานทั้งหลายจากหลายๆแกลแล๊ค

ซี่ให้มารวมตัวกันเป็นพลังงานสามารถใช้ผสมผสานกับพลังงาน

ในร่างกายของมนุษย์ซึ่งก็มีประจุไฟฟ้าเช่นเดียวกัน  หากเรารู้จัก

เก็บ วิธีเรียกใช้ของจิตและสถานที่เก็บรวบรวมพลังงานเหล่านี้

ไว้อีกด้วย อย่างเช่นชาวแอตแลนตีสที่ใช้พลังงานไฟฟ้าที่เก็บไว้

ภายในร่างกายหรือวัตถุบางชนิดใช้ในการขับเคลื่อนของ

ยานพาหนะแทนน้ำมันที่ทางชาวแอนแลนตีสรู้อยู่แต่ไม่ให้

ความสำคัญต่อสิ่งเหล่านี้เท่าใดนัก เพราะพวกเขามีดีกว่านั้นเสีย

อีกและทราบข้อเสียของการใช้น้ำมัน ที่จะทำลายพวกเขาใน

อนาคตได้   เขามักจะใช้อำนาจพลังงานทางโทรจิตเป็นตัว

เชื่อมต่อ ดังนั้นวิวัฒนาการของเขาจึงล้ำหน้าไปกว่าชาวโลกใน

ปัจจุบันมากมายนักอย่างที่จะหามาเปรียบปานได้ แม้แต่อาวุธ

ต่างๆล้วนแล้วแต่พลังงานของแสงเป็นตัวทำลายกันและกัน

ซึ่งจะมีอนุภาพรุนแรงกว่ามาก สามารถท่องไปในที่ต่างๆได้ด้วย

ตัวเขาเอง แต่เขามักไม่ใช้เพราะกลัวจะสียพลังงานของเขาไป จึง

มักใช้พาหนะเป็นตัวนำในการเดินทางเท่านั้น

    ครั้นเขาศึกษาสำเร็จออกจากห้องมานั้นหนวดครายาวนั่น

แหละเขาถึงรู้ว่าผ่านการศึกษามานานด้วยไม่มีเวลาเอาใจใส่ต่อ

ร่างกายของเขา  บัดนี้เขาสามารถสร้างพลังงานในโลกนี้และ

จักรวาลได้มาไว้ในร่างกายเขาได้อย่างเพียงแค่นึกคิดเท่านั้น.....

            *  แก้วประเสริฐ. * 

Cartoon_Animation_08.gif1139348gm3744qpip.gif76.gif				
21 กุมภาพันธ์ 2555 19:08 น.

* แดนพิศวง ตอน ๖ *

แก้วประเสริฐ


               แดนพิศวง ตอน ๖
                  (ความสับสน)

     “อะไร???....หรือนี่แม่ม่อม   ฉันเก็บตัวไว้ตั้งหกเดือนแล้วหรือนี่

  ฉันดูไม่นานเลยนี่นา???...สงสัยฉันจะบ้าเสียแล้วกระมัง.....”

   “จ๊ะคุณชาย  คุณชายออกมาทานอาหารอาบน้ำชำระกายแล้ว

ก็เข้าห้องไปไม่ยอมไปไหนอีกเลยตลอดหกเดือนมาแล้ว

นี่แหละ แม้แต่ม่อมจะไปเรียกก็บอกว่าให้วางไว้จะออกมาทานเอง

แหละ ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นจะออกไปก็บางครั้ง เพื่อให้คั้นน้ำส้มเท่านั้น”

   “ถึงอย่างนั้นเชียวหรือแม่ม่อม  อืมมๆๆๆแปลกจริงๆนะ ฉันเพลิดเพลิน

จนนึกว่าไม่กี่วันเสียอีกนี่นา  นี่เข้าหกเดือนกว่าๆแล้วนะ หากแม่ม่อม

ไม่บอกฉันเองก็ไม่รู้ สงสัยเหมือนกันทำไมผมถึงได้ยาวผิดปกติเท่านั้น”

   “ใช่จ๊ะคุณชาย คุณชายใหญ่ก็ถามเหมือนกันและครั้นอิฉัน

เข้าไปดูว่าจะไม่สบายหรือเปล่า แต่   คุณชายปิดประตูจึงได้สอบถาม

เท่านั้น คุณชายตอบออกมาว่าไม่เป็นอะไรกำลังดูหนังสืออยู่จ้า”
    
     ชายหนุ่มยกมือลูบหัวและใบหน้าเขา  โอ้ยๆๆอะไรนี่พลางลูไป

ยังใบหน้าและศีรษระ  เขาปล่อยให้หนวดเคราวผมเผ้ายาวๆมาก

อะไรเช่นนี้  เรานี่สงสัยจะบ้าเสียแล้วลืมอะไรหมดไปจริงๆหรือ

แม้แต่วันเดือนปี และใบหน้าผมเผ้าหมด ฮึๆๆๆๆด้วยความมืนงง.... 

    ดังนั้นเขาจึงเอ่ยกับแม่บ้านว่า

   “แม่ม่อมจ๋าๆ....หากแม่ม่อมว่างๆช่วยให้ใครไปในตลาดทีให้

ตามช่างตัดผมมาให้ผมหน่อยนะจ๊ะ  จะได้ตัดผมที่ยาวๆให้ดีหน่อยจ้า”

   “จ้าคุณชายแหมวันนี้ปากหวานเชียวนะ คงจะสบายใจอะไรมาหรือเจ้า

ค่ะคุณชาย  ทุกๆทีเห็นออกมาใบหน้าเคร่งเครียดทุกๆวันเชียว”

   “ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะดูหนังสือมากๆไปกระมังนะ 

 อย่าลืมด้วยล่ะแม่ม่อม ช่วยจัดการให้เร็วๆหน่อยก็ดี 

 ผมชักรำคาญตัวเองเสียแล้วล่ะซิแม่ม่อม ไม่ปล่อยแบบนี้เลย”

   “เดี๋ยวฉันขอน้ำส้มคั้นหนึ่งแก้วใหญ่ด้วยนะแม่ม่อม

 นำไปที่ระเบียงวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้านก็แล้วกันจะได้  ดูอะไรๆบ้างจ้า”

  “จ้าคุณชายม่อมจะไปทำให้คุณชายเองจ้า”

   แล้วหญิงแม่บ้านก็เดินออกไปแต่ไม่วายเหลียวหลังมามองดูเพื่อให้แน่ใจ

แปลกๆหล่อนนึกวันนี้เป็นวันอะไรนะ ช่างดีเหลือเกินทุกอย่างดูแจ่มใส

ไปหมด  ผิดกับตอนขลุกอยู่ในห้องคนเดียว  ส่วนพี่ชายหรือก็เอาแต่เที่ยว

ไปเรื่อยๆไม่ค่อยสนใจอะไรมากนัก  แม่บ้านคิด

       แล้วร่างหญิงกลางคนก็หายไปด้านหลังบ้านในครัวเพื่อจัดการตาม

ที่คุณชายเล็กสั่งทันที 

  ชายหนุ่มก็ออกมาที่ระเบียงหน้าบ้านโดยไม่ลืมนำหนังสือพิมพ์รายวันติด

มือมาด้วย  แล้วเลือกมุมมองหันหลังเข้าบ้านหันหน้าออกไปยังหน้า

บ้านดูอะไรไปสักพักหนึ่ง พลางก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน

คร่าวๆ แล้วก็วางลง  จวบจนแม่บ้านบอกว่า

   “ช่างตัดผมมาแล้ว  จะให้ตัดตอนนี้เลยหรือเปล่าค่ะคุณชาย”

   “จ้าแม่ม่อม  เดี๋ยวผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละจ้า”

        เขาจึงลุกเดินไปหาช่างตัดผมยังห้องข้างๆหลังบ้าน 

จวบจนช่างตัดผมให้เรียบร้อยจึงไปอาบน้ำท่าแล้ว 

 ก็เดินออกมานั่งยังที่เก่า พลางจิบน้ำส้มคั้นมองท้องฟ้า

นึกถึงเรื่องราวต่างๆนาๆ  และคิดถึงเรื่องราวของชายฉกรรจน์

ทั้งสามที่แต่งกายพิเศษ เขามาจากไหนหนอช่างตรงตามเวลา

จริงๆนะ  พอมาถึงเขาก็รีบถ่ายทอดวิชาการต่างๆให้เขาจนหมดสิ้น

  และเขาหลังจากร่ำเรียนการใช้อาวุธต่างๆแล้ว ก็เอ่ยปากพลาง

รับปากว่าจะออกไปช่วยเหลือดังที่รับปากไว้โดยจะติดตาม

และช่วยเหลือพวกเขาแก้ไขนครต้องสาปให้ด้วย

   “ผมเองยังสงสัยเหมือนกันว่าจะหาทางแก้ไขคำสาปได้อย่างไรกันนะ

ทั้งๆที่พึ่งจะร่ำเรียนมาไม่เท่าไหร่  อีกประการหนึ่งพลังงานของทางนี้กับ

ของทางท่านจะเหมือนกันหรือเปล่า  นี่แหละฉันถึงได้กังวลใจมาก”

   “อันที่จริงพลังงานต่างๆจะมากหรือน้อยก็แล้วแต่สถานที่นั้นๆ  เพียงแต่

ว่าจะคล้ายคลึงกันเท่านั้น  แต่อำนาจของพ่อมดและเจ้าโหราธิบดีซึ่ง

ตอนนี้มันได้ครอบคลุมจิตใจทหารไปหมดสิ้นแล้ว  เว้นแต่พวกเชาวเมือง

บางที่เท่านั้นที่ยังไม่ยินยอมพร้อมใจครับคุณชาย”

     “ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันมิต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเลยหรือ???...”

   “จะมีบ้างก็เพียงปรับสภาพเท่านั้นแหละขอรับคุณชาย  แต่ทางพวกผม

นั้นก็กังวลเรื่องนี้เหมือนกัน  แต่เป็นคำสั่งท่านผู้เฒ่าก่อนล่วงลับไปว่า

หากพบบุคคลที่กล่าวไว้ในหนังสือแล้ว   ปัญหาต่างๆก็จะหมดไปเอง

เรื่องเหล่านี้ก็ต้องแล้วแต่คุณชายจะใช้ปฏิภาณไหวพริบ  ผมพวกกระผม

เชื่อมั่นมาก มิฉะนั้นคงไม่ติดตามมาจากภพโน้นหลายชั่วอายุคนขอรับ”

   “ ฉันเองในเมื่อรับปากแล้วก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถของฉัน

แต่หากผิดพลาดไปก็อย่าว่ากันก็แล้วกันนะ”

   “ไม่หรอกขอรับ เพราะฟ้ากำหนดไว้ตามลักษณะของดวงแก้วสองดวง

หากไม่ใช่คนที่ปรึกษาเมืองบอกไว้ ดวงแก้วก็จะไม่ยอมรับ แต่นี่คุณชาย

ดวงแก้วสองดวงยอมรับ คงเหลืออีกดวงหนึ่ง กับของอีกสิ่งหนึ่งซึ่งพวก

กระผมก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแต่ ท่านผู้เฒ่าก็ไม่ได้แจ้งไว้เพราะจำกันมาพึ่ง

จะมีการบันทึกก็ผู้เฒ่านี้เท่านั้นเองขอรับคุณชาย”

    เมื่อได้รับฟังจากหัวหน้ากลุ่มพลางคิดในใจว่า แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ

เริ่มต้นกันอย่างไร????  จุดจบจะเป็นฉันท์ใดเขานึกไม่ออกจริงๆ

    ชายหนุ่มรำพึงรำพันกับตนเองแล้วหลับตาพริ้มอย่างใช้ความคิดต่างๆ

นาๆที่เขาต้องกระทำต่อไปในอนาคตอันใกล้ๆนี้.........

                  * แก้วประเสริฐ. *

Cartoon_Animation_08.gif1139348gm3744qpip.gif76.gif				
20 กุมภาพันธ์ 2555 15:37 น.

* แดนพิศวง ตอน ๕ *

แก้วประเสริฐ


           แดนพิศวง ตอน ๕
              (แอตแลนติค)

ในทำนองเดียวกันเมื่อทวีปแอตแลนติคจมลงในมหาสมุทรก็

เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก หนุนแผ่นดินขึ้นมาใหม่ ที่เรียกว่า

ทวีปอเมริกาตราบจนทุกวันนี้   

     ดังนั้นชาวทวีปที่เกิดใหม่นี้จึงเจริญขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยเป็น

เชื้อสายของชาวแอตตีสในบางส่วน  ที่สร้างวัฒนาการณ์ต่างๆไว้

อีกบางส่วนก็ไปสู่ยังด้านทวีปเอเซีย แต่ทวีปนี้ก็เจริญกว่าทุกๆทวีป

มาก่อนทั้งด้านอารยธรรม  มาหลายๆศวรรต   ตามหลักฐานวัฒนธรรมคือ

ชนเผ่ามายา และอินคาซึ่งปัจจบันนั้นเรียกว่าเผ่านาคา แต่เมื่อการเชื่อใน

ธรรมชาติต่างๆ ฟ้าร้อง ความแห้งแล้ง จึงเกิดเป็นลิทธิต่างๆขึ้นมาจน

ปัจจุบันนี้  ชาวเผ่าอินคาหรือเป็นนาคาไปในชมพูทวีป  ได้ถูกทำลายไป

จนเหลือเพียงเล็กน้อยตามรอยตะเข็บของประเทศพม่า   ส่วนที่กระจัด

กระจายกันไปก็มีในประเทศรัสเซีย จีน และทวีป

ยุโรปบางส่วน   ส่วนชาวแลนตีสนั้นได้หายสาปสูญไป

อย่างไร้ร่องรอย  บันทึกตามชาวอินคายังกล่าวไว้ว่า ก่อนทวีป

แอตแลนตีสนั้นจะสูญสลายไปนั้น  เกิดลางจากธรรมชาติใน

บางอย่างขึ้นด้วยปรากฏกลางทวีปบังเกิดแสงสว่างพวยพุ่งขึ้น

จากพื้นแห่งแผ่นดิน พุ่งไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยวังวน

ของเหล่าพายุที่มืดดำคล้ำฟ้าได้เปิดออกสามช่องทาง

เป็นทางที่ลำแสงนั้นได้พวยพุ่งไปแล้วก็หายลับไปในฟากฟ้า  

 จนกาลต่อมาก็เกิดพายุคลื่นเสียง  และพายุหมุนวนเสียง

คำรามอย่างหน้ากลัวของพลังงานต่างๆที่แยกตัวกันเข้าทำลาย

  เกิดการไหวตัวของพื้นดินอย่างรุนแรงมหาศาล เกิดการแตกแยกของ

ดินแดน เกิดความวุ่นวายอลหม่านไปทั่วชาวแอตแลนตีส เกิดรอยแตก

แยกไปทั่วทั้งทวีป  น้ำจากมหาสมุทรพวยพุ่งไปในท้องฟ้า 

เหตุผันแปรจนเกิดกระแสร์แม่เหล็กสลับขั้วกัน  ความพินาศ

ย่อยยับได้บังเกิด แผ่นดินทั้งทวีปก็ทรุดหายไปใน

ท้องมหาสมุทร  ผ่านมานับเป็นหลายหมื่นหลายพันๆปี   บัน

ทีกที่ชาวนักโบราณคดีค้นพบได้เป็นบางส่วนที่สลักไว้ภายใน

ถ่ำต่างๆ  และแผ่นจารึกถึงความเจริญรุ่งเรืองของทวีปแอตแลนติค

ก็ขาดหายไป  จึงเพียงแค่ทราบถึงแผ่นดินทวีปแอตแลนติคยากจะ

หลุดพ้นภัยพิบัตินี้ต่างแยกตัวออกมา  ตามสถานที่ต่างๆ  เรียกว่าพวก

ตัวเองออกไปตามสถานที่ที่ได้ถูกน้ำทะเลพัดเข้าสู่ฝั่ง  ส่วนพวกที่ยัง

ยึดมั่นอยู่ต่างก็รวบรวมนักปราชญ์ไว้เพื่อจะสร้างขึ้นใหม่  แต่กระแส

แห่งพลังงานต่างๆได้  เกิดภัยพิบัติต่างแยกไปคนละทิศละทาง คงจะ

เหลือไว้เรียชื่อต่างกันคือเผ่า มายา เผ่าอินคาหรือนาคาและเผ่า

แอตติส ซึ่งล้วนเป็นพวกไม่เห็นด้วยมีศีลธรรมดีงาม แต่ก็แปรเปลี่ยน

สภาพไปตามภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อมต่างๆผ่านกาลเวลานานเข้า

     ดังนั้นชาวแอตแลนตีสและเผ่าต่างๆที่พากันอบพยบกระจายไปเท่านั้น

ซึ่งต่อมาแยกตัวเป็นชนกลุ่มน้อย  ที่ต่างขจัดขจายกันในระหว่างหลบหนี

มหาภัยพิบัติครั้งนั้น การบันทึกของชนต่างได้ขาดหายไป   จึงไม่สามารถ

ปะติดปะต่อได้จึงเป็นการสิ้นสุด และการใช้ภาษาก็แตกต่างกันออกไป

ตามสภาพสิ่งแวดล้อม จะมีส่วนที่คล้ายๆคลึงกันบ้างในบางส่วนเท่านั้น

      การค้นคว้าของนักโบราณคดีในปัจจุบัน ซึ่งยังมีพวกที่ยังเสาะค้นหา

กันอยู่บ้างแต่ก็เป็นส่วนน้อย โดยเฉพาะพวกแอสติสที่มีความรู้มากมาย

ต่างก็สร้างพาหนะอาศัยพลังงานไปอยุ่ยังที่อื่นนอกโลก ข้ามมิติกาลเวลา

ไปเกือบหมดสิ้น  ดังนั้นชาวแอสติสจึงสาปสูญไปจากโลกเรานี้

     แต่ในบันทึกเล่มนี้ยังได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมภาพ

ขึ้นอีกมากมาย  ทำให้ชายหนุ่มเร่งศึกษาค้นคว้าหนังสือ

ตำราต่างๆที่เขาเก็บไว้ออกมาเปรียบเทียบแล้วเขาก็ต้องตกตลึงไป 

     เมื่อพบว่ามีส่วนคล้ายๆคลึงกันมากที่สุด แน่ล่ะ????.......

หากเขาเอาหนังสือทั้งสามเล่มนี้ออกเผยแพร่ไปยังชาวโลก

คงจะเกิดการตกตลึงไปกันตามๆกันทั้งด้านวิทยาศาสตร์

นักโบราณคดีและตัวเขา พร้อมตำราทั้งสี่เล่มนี้ ยากจะหา

คนอ่านได้ นอกจากเขาเท่านั้นแต่ก็อาศัยดวงแก้วสองดวง

ที่เป็นพลังงานและซุกซ่อนสิ่งเร้นลับออกมาเกิดพลังงานใน

สมองของเขาเอง จึงสามารถอ่านหนังสือเหล่านี้ได้ไม่ผิดพลาด

หากตำราเหล่านี้จะต้องถูกนำไป

    แน่ล่ะเขาต้องกลายเป็นวิทยากรเป็นอย่างแน่แท้ เพื่ออธิบายสิ่งต่างๆ

ให้แก่ชาวโลกได้รับรู้เหตุการต่างๆ  ถึงเรื่องราวนี้ตลอดจนพลังงานของ

จักรวาล ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันนี้ยังค้นคว้าไม่ถึง

 อันนี้เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบเท่าใดนัก เขารำพึงในใจตัวเองและ

ด้วยนิสัยไม่ค่อยชอบวุ่นวายอะไรอยู่แล้ว  

     ดังนั้นเขาจึงหมั่นเร่งศึกษาหนังสือทั้งสามอย่างคร่ำเคร่งตลอดเวลา

ทุกๆตัวอักษรอย่างละเอียดถี่ถ้วนจนเข้าใจได้เป็นอย่างดี และทบทวน

จนสามารถจดจำได้อย่างแม่นยำไม่ขาดหล่นตกหายถึงพลังงานเวทย์มนต์

ที่แตกต่างจากปัจจุบันนี้อย่างมาก    อีกเล่มหนึ่งไม่เกี่ยวกับวิชาการใดๆ

เพียงเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆของเหล่าชนชั้นต่างๆที่อาศัยยังนอกโลกใน

อีกทั้งยังมีในอีกมิติหนึ่งและเกี่ยวกับนครต่างๆรวมถึงนครต้องสาปที่ชาย

ทั้งสามได้กล่าวไว้ให้เขารู้อยู่แล้ว  ส่วนเล่มที่สามนั้นเป็น

วิชากลยุทธ์ต่างๆและอำนาจเวทย์มนต์ต่างๆการสร้างและการแก้ไขจน

ละเอียดหมดสิ้น  โดยผ่านการบันทึกเหตุการณ์จากผู้เฒ่าสืบทอดกันมา

    ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องพลังงานแต่อย่างใด  ครั้นเขาศึกษาจนหมดแล้วเห็น

ว่าหากเขาจะนำเวทย์มนต์เหล่านี้มาผสมผสานกับอำนาจของพลังงานจิต

ไว้ก็ยิ่งจะทำให้เปี่ยมไว้ด้วยพลังงานอำนาจทั้งมืดและสว่างได้อย่าง

มหาศาลประมาณค่ามิได้

   ด้วยการศึกษาและความละเอียดเฉลียวฉลาดของเขาที่ผ่านการ

ศึกษามามากจากตำราต่างๆ ซึ่งเขาได้ร่ำเรียนมาจนจบเกี่ยวกับด้าน

โบราณคดีและชีวะวิทยาอย่างลึกซึ้ง โดยไม่โอ้อวดตัวเองเท่านั้น

เพียงไม่นานนัก รวมทั้งการค้นคว้าศึกษาสิ่งอื่นๆมาเขาก็สามารถ

จะนำสิ่งทั้งสองเหล่านี้มาผสมผสานกันด้วยการอาศัยสื่อบางอย่าง

เป็นตัวช่วยให้ทั้งสองอย่างนี้ผสมผสานกันอย่างกลมกลืนกัน

ไม่มีช่องว่างใดๆเหลือไว้อีกเลย  เพียงแต่เขาพะวงใจในบางอย่าง

เท่านั้นว่า พลังงานในโลกนี้พร้อมเวทย์มนต์กับอีกมิติหนึ่งนั้นจะ

สามารถใช้ได้หรือไม่  หรืออาจจะต้องเริ่มต้นใหม่อีกที่เขาเป็นห่วงนัก

   เมื่อศึกษาตลอดจนได้รับการฝึกฝนจากชายฉกรรจน์ทั้งสามแล้ว   จน

คล่องแคล่วผสมผสานเป็นอย่างดีแล้ว เขาคิดช่างเถอะอนาคตเป็นสิ่ง

กำหนดไว้   หากจะเรียนรับรู้สภาพของพลังงานอีกด้านหนึ่งก็คงจะไม่

ใช้เวลานานเท่าใดนัก  เพราะเขามีพื้นฐานได้รับการฝึกฝนมาพร้อมแล้ว

      บัดนี้ชายหนุ่มก็เปลี่ยสภาพไปตามกระแสของพลังงานได้โดยสมบูรณ์

โดยเขาไม่รู้ตัวเอง ว่าเขาสามารถใช้พลังงานในโลกและพลังแห่งจักรวาล

ได้อย่างไม่รู้ตัวของเขาเลย ทุกๆอย่างต้องอาศัยสมาธิแบบพุทธศานาทั้งสิ้น

   เขาเคยทดลองในห้องด้วยการเพ่งพลังงานใช้กับวัตถุต่างๆในห้องให้

สามารถปฏิบัติงานตามใจนึกได้อย่างไร้การต้านทานใดๆ เช่นให้สิ่งต่างๆ

ลอยไปลอยมาได้ไม่ว่าสิ่งนั้นจะหนักสักเท่าใด เพียงแค่คิดเท่านั้นเอง

        ดังนั้นเขาจึงต้องรีบนำเอาหนังสือทั้งสี่เล่มไปเก็บไว้ยังที่ซ่อนในชั้น

หนังสือในห้องลับที่เขาสร้างไว้เพื่อซ่อนตำราไว้อย่างดี  

แต่เขานึกว่าคนที่จะได้ตำรานี้ไปหากได้ไปก็ไม่สามารถจะอ่าน

ได้เพราะจะพบแต่ความว่างเปล่าจากอักษรทั้งสิ้น 

แต่ด้วยความไม่ประมาท จึงซุกซ่อนไว้ก่อนดีกว่า เพื่อความสบายใจเขา

    ชายหนุ่มก้าวออกจากห้องส่วนตัวครั้นพบแม่บ้านพลันถามว่า

   “แม่ม่อม  นี่วันที่เท่าใดเดือนใดแล้วหรือจ๊ะ”

   หญิงแม่บ้านมองหน้าชายหนุ่มด้วยความงุนงงสงสัย  เพราะเห็น

ชายอยู่หมกตัวอยู่แต่ในห้อง แล้วก็มาถามจึงได้บอกวันเดือนปีให้

ชายหนุ่มทราบ เขามองไปค้นหาปฏิทินทันที ครั้นแลเห็นก็ตกใจ???..........

                       * แก้วประเสริฐ.*

Cartoon_Animation_08.gif1139348gm3744qpip.gif76.gif				
17 กุมภาพันธ์ 2555 22:09 น.

* แดนพิศวง ตอน ๔ *

แก้วประเสริฐ


              แดนพิศวง ๔
             (ค้นคว้าศึกษา)

   หลังจากได้รับคำยืนยันจากแม่ม่อมแล้วชายหนุ่ม

ก็พลันพลิกตำราเพื่อศึกษาค้นความ  ทั้งสามเล่มนั้น

ว่าด้วยอำนาจของพลังจิตต่างๆตลอดจนเวทย์มนต์

ของนครต้องสาปด้วย  พร้อมทั้งสอนวิธีฝึกขั้นพื้นฐาน

ในการใช้อำนาจของพลังงานต่างๆ ตลอดวิธีการแก้ไข

อำนาจของเวทย์มนต์อื่นๆอีกด้วย โดยแบ่งแยกเป็น

แขนงๆไปตามลำดับ  โดยกำหนดวิธีปฏิบัติการใช้

    ด้วยการฝึกสมาธิเพื่อเรียกใช้พลังงานที่ถูก

เก็บไว้ให้ออกมาตามใจนึกคิดของผู้นั้น

     วิธีการใช้เรียกและการถ่ายเทพลังงานทั้งหลาย

เสริมสร้างพลังงานจากจิตบังคับเป็นอนุภาคของ

อณูทั้งหลายที่หมุนเวียนโดยรอบพลังงานดึงดูดของ

สุริยะจักรวาลและจักรวาลอื่นๆในแกแลคซีนั้นๆ

เมื่อฝึกถึงขั้นเรียกใช้ได้ย่อมมีอนุภาพเหนือเวทย์

มนต์ทั้งหลายซึ่ง  ก็ต้องอาศัยพลังงานเร้นลับแต่ไม่

มากนักเกิดบังคับจิตใจมนุษย์สัตว์ได้ และบางสิ่ง

บางอย่างสร้างเป็นภาพหลอนก็ย่อมสามารถทำได้

หากสามารถเรียกใช้พลังงานดึงดูดจากแกลแล๊คซี่

ทั้งหลายได้อีกด้วยได้แล้วย่อมมีอานุภาพร้ายแรง

     ดังนั้นชายหนุ่มที่ได้ผ่านการค้นคว้าเกี่ยวกับ

จักรวาลในตำราที่เคยศึกษาร่ำเรียนก็ยังอดทึ่งต่อสิ่ง

ที่เขาเห็น ณ บัดนี้เสียมิได้ มันละเอียดยิ่ง

กว่าตำราใดๆที่เขาผ่านการค้นหามาอย่างสิ้นเชิง  จึง

หลงใหลต่อหนังสือเล่มนี้จนแทบจะไม่ออกไปไหน

เลย มุมานะคร่ำเคร่งอ่านอย่างช้าๆไปตามขั้นตอน

เพื่อทำความเข้าใจและให้ซาบซึ้งต่อทุกๆตัวหนังสือ  

โดยเฉพาะเล่มเดียวนี้เขาศึกษาอย่างละเอียด


เวลาผ่านไป หนึ่งเดือนอย่างไม่รู้สึกตัวเว้นว่าง

ต่อเมื่อได้รับปากสัญญาไว้

กับชายทั้งสามในวันเพ็ญขึ้นสิบห้าค่ำเท่านั้นที่ได้

ออก ไปรับการถ่ายทอดวิชาบางอย่างให้เขาเกี่ยวกับ

พลังงานต่างๆ  และขอคำแนะนำจากพวกเขาซึ่ง

ได้รับไม่มากเท่าใดนัก  เพราะถูกบังคับเอาไว้ซึ่ง

    เขาแจ้งว่าไม่สามารถอ่านหนังสือทั้งสามเล่มได้

นอกจากเล่มสุดท้ายเท่านั้นตามท่านผู้เฒ่าแจ้งไว้

ซึ่งเป็นการบันทึกของอาจารย์ผู้เฒ่าเท่านั้นเอง  แต่

ทั้งสามก็ยังถ่ายทอดพลังงานของทั้งสามมอบให้แก่

เขาอธิบายถึงพลังงานจิตที่เขารู้ให้ทราบจนหมดสิ้น 

พร้อมทั้งการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆวิชาการต่อสู้

ของมวลเหล่าพลังงานจิตทั้งหลายอย่างไม่ปิดบัง   

นอกนั้นเขาจะหมกตัวอยู่ เพื่อศึกษาตำราต่างๆเพียง

แต่ในห้องค้นคว้าศึกษาเล่มต่อๆไปซึ่งก็เกี่ยว

เนื่องกันและกัน เล่มสองนี้พร้อมภาพประกอบด้วย

อธิบายถึงการใช้พลังงานด้วยอำนาจแห่งพลังจิต  ที่

ทางโลกปัจจุบันกำลังค้นคว้ากันอยู่เรียกว่าอำนาจ

แห่งโทรจิต ซึ่งเขาคิดว่าเป็นเพียงแค่พื้นฐานเท่านั้น  

       ซึ่งอำนาจนี้มีมาตั้งแต่สมัยที่ทวีปแอสแลนติค

เคยใช้แต่ล่มสลายไป การเดินทางด้วยยานพาหนะ

นั้นไม่ต้องใช้น้ำมัน  เพียงแค่ใช้พลังงานทางจิต

เท่านั้นก็สามารถใช้วัตถุต่างๆให้เดินทางได้ตลอด

จนอาวุธต่างๆ ก็แตกต่างไปจากปัจจุบันนี้มากนัก

ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพลังงานแสงทำลายกันและกัน

แล้วจากบันทึกที่หลงเหลือของชาวเผ่ามายา อินคา 

และชาวแอสติส ซึ่งบางตอนได้ขาดหายไป ยิ่ง

ของชาวแอตตีสแทบจะไม่เหลืออยู่เลย จะ

คงไว้ของเผ่ามายา และเผ่าอินคาก็น้อยเต็มที ซึ่ง

ชาวอียิปต์โบราณก็เลียนแบบของชนเผ่าทั้งสองไว้

ต่อมาได้หายสาปสูญไปอย่างไม่ปรากฏขึ้นอีกเลย

คงเหลือไว้เพียงชาวมายา อินคาที่อาศัยอยู่ในทวีป

อเมริกาตอนกลาง  และด้านเอเซียบางแห่งไว้

ซึ่ง บันทึกไว้ในถ้ำเมืองโบราณที่ล่มสลายไปแล้ว 

จากนักโบราณคดีที่ตรวจพบโดยบังเอิญจากชาว

อเมริกาในแถบทวีปตอนกลางด้านที่เต็มไปด้วย

ภูเขาอันมากมายสลับซับซ้อนในถ่ำๆหนึ่ง  ใน

บันทึกที่เป็นภาพวาดค้นพบโดย

อาจารย์แผนกโบราณคดีถึงสาเหตุของต้นกำเนิด

ของพวกเขาบรรยายไว้ว่า

     ต้นกำเนิดของพวกเขาที่ต่างทะยอยหนีออกจาก

ทวีปแอตแลนติคก่อนจะเกิดการล่มสลาย  แบ่งแยก

เป็นสามเผ่าด้วยกันซึ่งคนในทวีปแอตแลนติคนั้น

เรียกพวกตนว่า  เป็นชาวแอตแลนติสเป็นดินแดน

แห่งอารยธรรมดำเนินตามรอยชาวทวีปแอตแลนติค

มีศีลธรรมอันดีงาม และทุกๆอย่างล้วนใช้พลังงาน

จิตเป็นเครื่องมือในการใช้ทั้งสิ้นในการบังคับวัตถุ

ต่างๆเป็นพลังงานอำนาจจิตทั้งหมด  

    ความเจริญถึงขีดสุดชาวเมืองบางส่วนใช้อำนาจพลังงาน

ผิดเกิดการไร้ศีลธรรมเพราะหลงตนเองเกินไปมัว

เมากามราคะ  ด้วยการใช้อำนาจจิตในทางที่ผิด

สร้างสิ่งลามกต่างๆขึ้นไม่ดำเนินตามอารยธรรมใช้

อำนาจพลังงานในทางที่ผิดจึงเกิดกระแสจากเล็กๆ

ไปหามากขัดกันก่อเกิดพลังงานทำลายขึ้นที่

ประกอบกับแกนโลกได้เอียงไปตามระบบสุริยะ

จักรวาล ดังนั้นแรงโน้มถ่วงจึงขัดกัน ตลอดจน

พลังงานของชาวแอตแลนตีสใช้ขัดกับกระแสของ

พลังงานแห่งจักรวาลจึง ทำให้ทวีปแอตแลนติคถึง

กาลวิบัติสิ้นสุดจมลงไปในมหาสมุทร  จะพบก็

เพียงคำจารึกไว้ในบางส่วนเท่านั้น   และเรียกขาน

ตราบทุกวันนี้ว่า มหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่ง

ประชาชนทวีปนี้เรียกตัวเองว่าชนชาวแอตแลนตีส

   ต้นตะกูลแห่งชาว มายา  อินคา   แอสติส

โดยเฉพาะชาวแอสแลนติสซึ่งคัดค้านผู้นำในการ

ควบคุมทวีปนั้นไว้มิให้ผิดศีลธรรมจนเกิดการ

ต่อต้านและต้องนำพรรคพวกหลบหนีออกจาก

ดินแดนแห่งนี้    โดยสร้างเรือขนาดใหญ่หนีออก

จากดินแดนแอตแลนติค  ต่อมากระแสพลังงาน

พลิกผันทำให้ทั้งหมดต่างกระจัดกระจายกัน เป็น

ส่วนมากไปในที่ต่างๆของมุมโลก.............

          * แก้วประเสริฐ. *  

Cartoon_Animation_08.gif1139348gm3744qpip.gif76.gif				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ