17 ตุลาคม 2555 18:16 น.
แก้วประเสริฐ
แดนพิศวง ๑๙
(เภทภัยคุกคาม)
เสียงหวีดร้องโหยหวนดังก้องแนวป่าข้างหน้า พร้อมกับเสียงคำราม
ของสัตว์ดังกึกก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณนั้นๆ
อากาศเยือกเย็นหมอกปกคลุมไปทั่วตามเนินเขาและป่าไม้ริมทาง ความ
มืดได้แผ่ขยายอย่างรวดเร็ว แสงของตะวันเริ่มหม่นริบหรี่เป็นอากาศ
โพล้เพล้ที่ย่างกรายเข้ามา
ร่างทั้งสองสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงร้องเบื้องหน้า ที่เขาทั้งสองจะไป
กุลาหันหน้ามาทางหนุ่มนิรุทธิ์ทันที
“นายๆได้ยินเสียงร้องนั้นไหมนาย???”
“ได้ยินซิกุลา เป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือ พวกเราหรือเปล่า???”
“นั่นซิข้าว่า มันยังไงๆไม่รู้นะนาย หรือว่า????....”
“ใช่ข้าก็คิดเช่นเดียวกับเจ้านั่นแหละ มันคงย้อนไปเล่นงานพวกเรานะ”
“หากมันไปเล่นงานพวกเรา พวกผู้หญิงเด็กๆคงจะแย่ รีบไปเถอะนาย”
“แต่ตอนนี้มันเงียบเสียงไป ทางโน้นคงจะจัดการได้กระมัง???”
“นายข้ายังได้ยินเสียงร้องและเสียงคำรามของเจ้าสัตว์ร้ายอยู่นะ”
“ไปเถอะกุลา เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์”
ทั้งสองรีบเร่งฝีเท้าเดินลัดเลาะไปทางเบื้องหน้า ไม่นานนักเนิน
เขาก็โผล่แต่ไกลๆ สูงขึ้นไปเป็นอีกยังเนินเขาอีกลูกก่อนที่จะไปยังถ่ำที่
เหล่าชาวบ้านใช้พำนักอยู่ เป็นแสงว๊อบๆแวมๆ
ทั้งสองมองไปเบื้องหน้า ก็เห็นกองไฟและคบไฟกระจายเรียงรายไป
ทั่วๆบริเวณ เสียงหวีดหวิวของเหล่าธนูที่ปลายเป็นคบไฟพุ่งเข้าไปยัง
เงาตะคุ่มๆ เสียงร้องคำรามลั่นร่างของสัตว์ร้ายก็กระโดดเข้าใส่ผู้ที่ยิง
มันทันที กรี๊ดๆๆโหยหวนดังขึ้น เมื่อเขาแลเห็นร่างเจ้าสัตว์ร้ายกำลัง
คาบร่างของชาวบ้านไว้ในปาก มันสะบัดร่างไปๆมาๆ ก่อนจะกลืนลงไป
เขาเห็นร่างของสินธุ คียะและภาคีตลอดจนชาวบ้านที่เป็นชายต่าง
ทะยานเข้าใส่ฝูงสัตว์ร้ายอย่างไม่เกรงกลัว ธนูได้ถูกยิงออกไปเห็นได้
จากดวงไฟที่วิ่งเป็นสาย
เข้าสู่ฝูงสัตว์ร้าย และเสียงดาบดังเฟี้ยวๆๆยามแกว่งไกว
ไปๆมาๆใส่ร่างของเหล่าสัตว์ทั้งปวง แต่กระนั้นมองเห็นได้ชัดว่าร่าของ
ฝ่ายมนุษย์จะสู้ทางเจ้าสัตว์ร้ายไม่ได้ เพราะมันเริ่มชินกับดวงไฟเล็กๆไม่
ทำอันตรายแก่มันมากนัก เสียงร้องคร่ำครวญ หวนโหยแผ่กระจายไปทั่ว
บริเวณหน้าถ้ำ เสียงสั่งการให้เหล่านักสู้ชาวบ้านรีบถอยเข้าถ้ำทันทีแว่ว
มาเป็นระยะๆตามสายลมที่พัดมาทางคนทั้งสอง
“เร็วๆพวกเราสู้ไปหนีไปรีบเข้าไปยังถ้ำก่อกองฟ้าให้ใหญ่ๆปิดบริเวณ
ปากถ้ำ”
เสียงร้องของคียะ สาวผู้มีเรือนร่างงดงามบึกบืนได้สัดส่วนตะโกนร้อง
สั่งประสานเสียงกับภาคีและสินธุ ต่างเร่งเร้าชาวบ้านนักสู้เหล่านี้ให้รีบ
หนีเข้าถ้ำโดยเร็ว
“คียะๆๆระวังมันพ่นควันใส่เจ้าแล้ว ข้างหลังซ้ายมือโน่น”
เสียงร้องของภาคี ตะโกนบอกแก่คียะเมื่อแลเห็นเจ้าสัตว์คางคกกระโดด
ใส่คียะพร้อมพ่นควันสีขาวๆเข้าใส่ร่างเจ้าหล่อน พร้อมร่างของภาคีได้
ทะยานควงดาบเป็นจักรผันเข้าป้องกันช่วยเหลือคียะทันที ส่วนทางสินธุ
ก็เกณฑ์ชาวบ้านที่ออกสู้รบ ให้รีบๆถอยเข้าถ้ำอย่างเร่งด่วน พร้อมยิงธนู
เพลิงเข้าใส่ร่างเจ้าสัตว์ร้ายไม่ขาดสาย เหล่าอาวุธหาได้ทำลายมันได้ใน
ทันทีทันใด นอกจากโดนที่สำคัญและจำนวนมากจึงจะหยุดมันได้ชั่วคราวเท่านั้น แต่มันก็กระจายดาหน้าเข้าหาชาวบ้าน
ชายหนุ่มเห็นว่าหากเดินด้วยเท้าคงจะไปช่วยเหลือชาวบ้านไม่ทันการณ์
ดังนั้นเขาจึงเอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อของเจ้ากุลา พร้อมร่างทั้งสองก็ลอย
ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ร่างทั้งสองก็พุ่งจากเนินเขาที่ห่างไกลชั่วพริบตา
ร่างทั้งสองก็มาถึงที่เกิดเหตุ ชายหนุ่มวางร่างเจ้ากุลาพร้อมกลับชักมีดกริช
ที่สร้างจากผลึกของแก้วคริสตัลที่หล่อหล่อมพลังงานธรรมชาติออกมา
กวัดแกว่งมีดกริชลอยตัวเข้าหาสัตว์ร้ายทันที ถึงตัวใดก็ฟาดฟันดาบใส่
ร่างทำให้มันแยกกระจายเลือดไหลหลั่งออกมา บางตัวสิ้นใจตายไป
ร่างพวกสัตว์ร้ายที่มีประมาณ สิบยี่สิบตัวเห็นจะได้แต่ละตัวใหญ่โตดัง
กระด้งลูกย่อมๆกระจัดกระจายออกตะปปร่างชาวบ้านฉีกกิน เลือดไหล
นองไปทั่วบริเวณ กลิ่นคาวเลือดกระจายฟุ้งชายหนุ่มไม่รีรออะไรอีกแล้ว
หากเขาช้าไปสักนิดเดียว เหล่าชาวบ้านเห็นทีจะต้องตกตายไปตามๆกัน
มือหนึ่งควงดาบที่ส่งประกายสีเจ็ดสีพุ่งเข้าใส่ร่างของเหล่าคางคกตัว
ประหลาด ตัวใดที่โดนต่างไหม้เกรียมแม้ไม่ทำให้มันตกตายไปได้ทันที
ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้น อีกมือหนึ่งก็รีบรวบรวมพลังงานตระหวัดมือเป็น
วงกลม ผลักไปสู่เจ้าสัตว์ร้ายทันที
เสียงดังกึกก้องระเบิดติดต่อกันพร้อมเสียงดัง ฉี่ๆๆของการไหม้จากสัตว์
ตัวใดที่โดนพลังงานประหนึ่งดั่งสายวิชชุผ่าลงมายังร่างเหล่าสัตว์ เสียง
มันร้องโหยหวน ส่วนเจ้ากุลาก็ทะยานร่างหลังจากร่างถูกวางแล้วโผนเข้า
ไปทาง สินธุ คียะและภาคีช่วยกันต่อต้านสัตว์ที่พุ่งร่างเข้าหาคนเหล่านี้
และพวกชาวบ้าน
หน้าไม้ที่นายมันกำกับลูกให้ด้วยพลังงานประจุไฟฟ้าจำนวนมากก็
ปรากฏแสงสีฟ้านวลจ้าที่ปลายหน้าไม้ทันที รีบปลดออกจากกระบอก
ที่มันใช้แขวนเบื้องหลัง การบรรจุพลังงานชายหนุ่มทำให้ระหว่างทาง
หลังจากหนีจากเหล่าสัตว์จากบึงใหญ่ ลูกดอกที่ประกอบด้วยพลังงาน
ไฟฟ้าได้พุ่งเข้าเสียบยังร่างเจ้าคางคกยักษ์ที่กำลังพ่นควันออกมา
ลูกดอกได้พุ่งเข้าไปใส่ปาก เสียงระเบิดดังกึกก้องร่างของเจ้าสัตว์นั้นก็
แตกกระจายเป็นชิ้นต่างๆกัน
“เฮ้ๆๆๆกุลา ทำไมอาวุธเอ็งมีแสงด้วย เอ๊ะร้ายกาจจริงๆ????”
เสียงคียะร้องตะโกนพร้อมกับควงดาบฟาดฟันไปยังร่างเจ้าคากคกยักษ์
เหมือนกับเอาเศษไม้ไปแหย่ร่างมัน
“ถอยๆๆพวกเราถอย อาวุธธรรมดาไม่อาจทำร้ายพวกมันได้ เร็วๆๆ”
เร็วหน่อยมันหันหน้ามาทางนี้แล้ว”
เสียงภาคีตะโกนเร่งพรรคพวกทันที แล้วหล่อนก็ต้องตะลึงเมื่อแลเห็น
เหล่าเจ้าสัตว์ร้ายต่างหันหลังกลับไป เพื่อช่วยเหลือพวกมัน ก็แลเห็น
ร่างๆหนึ่งซึ่งกำลังฟาดฟันดาบแก้วเข้าใส่ร่างของพวกมันเลือดสาด
กระจาย ซึ่งเลือดเป็นสีขาวข้นผสมแดงจึงออกเป็นชมพูไป ทุกตัวต่างหัน
หลังเข้าไปรุมร่างที่เห็นเลือนลางนั้นทันที
ควันสีขาวกระจายฟุ้งไปทั่วบริเวณปิดกั้นบริเวณแถบนั้น ล้วนบังกั้น
สายตาเหล่าชาวบ้าน แต่ก็ทำให้โอกาสหนีของชาวบ้านเป็นไปได้อย่าง
สะดวก ต่างทะยอยกันหนีเข้าถ้ำในโอกาสนี้และช่วยกันสุมไฟกองใหญ่
สะกัดกั้นพร้อมยกหินทะยอยกันปิดปากถ้ำ ให้เหลือเนื้อที่พอสำหรับ
สุมไฟให้ลุกตลอดเวลา
ชายหนุ่มเมื่อแลเห็นเหล่าชาวบ้านต่างหนีกันเข้าไปยังถ้ำหมดแล้ว ก็รีบ
ลอยตัวเข้าฟาดฟันและใช้พลังงานเข้าทำลายสัตว์ร้ายเหล่านี้ เพียงไม่นาน
ร่างของพวกสัตว์ก็ต่างตกตายไหม้เกรียมไป เหลือไม่กี่ตัวต่างพากันหลบ
หนีหายไปตามแนวป่า พวกมันกระโดดได้สูงและไกลทำให้การหนีของ
มันเป็นไปด้วยความรวดเร็ว
เพียงชั่วไม่นานบริเวณลานหน้าถ้ำก็เงียบสงบเหลือแต่เศษอวัยวะชิ้น
เล็กๆน้อยๆของชาวบ้านที่ตกตายเป็นเครื่องสังเวยในการต่อสู้ครั้งนี้
หลังจากสัตว์ร้ายหนีไปแล้ว ร่างชายหนุ่มก็ค่อยๆเดินฝ่ากองเลือดที่
ส่งกลิ่นคาวฟุ้งไปทั่ว ครั้นเมื่อใกล้ปากถ้ำก็แลเห็น สินธุ คียะ ภาคี
และกุลาเดินออกมาต้อนรับพร้อมด้วยเหล่าชายฉกรรจ์ชาวบ้าน
เข้ามาต้อนรับเขา พร้อมส่งเสียงร้องไชโยด้วยความดีใจที่พวก
สัตว์ร้ายตกตายและได้หนีไปจนหมดสิ้น
เสียงเจ้าสินธุต่างบัญชาการให้ลูกบ้านไปทำความสะอาดบริเวณ
หน้าถ้ำให้เรียบร้อย ด้วยกันช่วยกันชำระล้างบริเวณให้สะอาดพร้อม
จุดคบเพลิงปักไว้เป็นรายทางสว่างไสวไปทั่ว ขณะที่ชาวบ้านกำลัง
ทำความสะอาดนั้น ชายหนุ่มก็เดินไปทักทายบรรดาหัวหน้าชาวบ้าน
และกล่าวให้กำลังใจชมเชยความกล้าหาญของนักสู้เหล่านี้
“ข้าเสียใจด้วยที่มาช้าไป” ชายหนุ่มกล่าว
“หามิได้นาย พวกเราเองก็พึ่งจะรู้เมื่อไม่นานมานี้แหละ ปกติแล้ว
พวกนี้มันจะไม่มาถึงที่นี่หรอก แต่แปลกจริงๆทำไมมันถึงมารุกราน
ทางนี้ได้????”
เสียงสินธุรายงานและอุทานออกมา
“สงสัยมันจะมาจัดการด้วยความอาฆาตที่นายและเจ้ากุลาไปทำร้าย
มันก่อนกระมัง???”
“คงจะจริง สินธุเพราะในขณะที่เราและกุลาต่อสู้นั้นมันคงแยกกัน
ออกมาทางนี้ แสดงว่าพวกมันรู้จักคิดว่าควรจะทำอย่างไร ก็แปลกนะ
ปกติดสัตว์ทั้งหลายจะไม่มีความคิดแบบนี้”
“นั่นซินาย แล้วทางโน้นละเป็นอย่างไร ถามเจ้ากุลามันให้การวกวน
เวียนไปๆมาๆไม่ค่อยได้ใจความนัก”
เสียงคียะและภาคีถามขึ้นทันที พร้อมส่งประกายยิ้มหวานมาทางเขา
ชายหนุ่มหันไปมองดูแล้วอมยิ้ม อันที่จริงสาวสองนางนี้หาใช่ขี้เหร่แต่
อย่างไรร่างกายอวบอัดเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อได้สัดส่วนเปล่งความงาม
ของวัยสาวออกมาได้อย่างน่ามหัศจรรย์ หล่อนทั้งสองนับเป็นผู้ที่งดงาม
ได้ทีเดียวชายหนุ่มคิด แล้วเอ่ยขึ้น
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันจะแบ่งพวกมาทางนี้ เพราะกำลังรบติดพันกับพวก
มันอยู่ เมื่อเห็นว่าพวกมันมากมายนัก อีกทั้งยังห่วงทางนี้ตลอดจนอากาศ
ก็จวนจะมืดค่ำแล้ว จึงรีบหนีพวกมันมาไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ทางนี้”
“อันที่จริงพวกข้าก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ เพราะไม่ใช่วิสัยของพวก
สัตว์ที่จะรู้จักการแบ่งพวกพ้อง” เสียงภาคีเงยหน้าตอบ
“นั่นซิมันร้ายกาจมากๆอาวุธเราไม่สามารถทำอันตรายมันได้เลย หาก
นายและกุลามาไม่ทันสงสัยคงจะแย่กว่านี้” สินธุกล่าวให้ชายหนุ่มฟัง
“แต่แปลกนะนาย ทำไมหน้าไม้ของเจ้ากุลามันถึงมีแสงประกายส่ง
ออกมาได้ก็ไม่รู้ ซ้ำยังร้ายแรงทำให้สัตว์ร้ายนี้ตกตายได้” ภาคีรำพึงเบาๆ
“ก็ข้าบอกแล้วพวกเจ้าไม่เชื่อข้านี้ ว่านายได้ส่งกระแสอะไรก็ไม่รู้มา
ยังลูกดอกและดาบของข้า มันถีงได้มีประกายนี้แหละ”
เจ้ากุลากล่าวด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะพอใจนัก ด้วยคนทั้งหลายไม่เชื่อมัน
“หากเป็นดังที่เจ้ากุลาว่า ข้าคิดว่านายช่วยพวกข้าให้อาวุธข้าและพวก
เป็นดังอาวุธเจ้ากุลาด้วยก็จะดี เวลาต่อสู้กับพวกมันจะได้มีกำลังใจมาก
ยิ่งขึ้น ที่อาวุธสามารถทำร้ายพวกสัตว์เหล่านี้ได้นาย”
สินธุกล่าวแกมขอร้องชายหนุ่ม ทันใดคียะก็กล่าวตัดบทว่า
“เรื่องนี้แล้วแต่นายตัดสินใจเถอะ ควรให้นายไปพักผ่อนได้นี่กลับมา
ก็ต้องต่อสู้ช่วยเหลือพวกเรา คงจะเหนื่อยแย่ ดูซิตัวนายเปอะเปื้อนเมือก
ของสัตว์ร้ายผสมเลือดมันเต็มใบหน้าและเสื้อผ้าหมดแล้ว”
“ข้าเองเอ็งไม่เห็นเป็นห่วงเลยนะ คียะ???”
“เอ็งมันรูปร่างใหญ่โตปานยักษ์ปักหลั่น คงจะไม่เหนื่อยอะไรหรอกแค่
นี้เองเห็นเอ็งคุยว่าเคยผจญการต่อสุ้มาห้าหกสิบคนไม่เคยกลัวและต้านเอ็ง
ไม่อยู่ แค่นี้ยังบ่นอะไรอยู่อีกหรือ?????...”
“เฮ้ยคียะๆมันไม่เหมือนกันโว้ยนั่นมันคนและสัตว์ไม่มีพิษเช่นพวกนี้
นี่หว่า หรือเอ็งกลัวว่านายเอ็งจะระบมเพราะต่อสู้ไปหรือว๊ะ ฮ่าๆๆๆ”
“พูดจาดีๆๅนะโว้ยกุลา ข้าก็เป็นห่วงทุกๆคนแหละ ยังห่วงเอ็งว่าทำไม
ไม่ตายไปในที่บึงนั้นแหละแผ่นดินจะสูงขึ้นกว่านี้”
“อ้าวๆๆไหงเป็นเช่นนี้ไปเล่าคียะ หรือว่าก็ข้าไม่หล่อเหลาเหมือนนายนี่
หว่า จริงไหมภาคี ฮ่าๆๆๆถึงไม่มีคนคอยเป็นห่วงมากนัก ทีนายละก็
ฮ่าๆๆตาเล็กตาน้อยหวานเสียนี่กระไร”
“จริงไหมาว๊ะภาคี” แล้วร่างมันก็รีบกระโดดหนีไปไกลๆทันที
“ไม่รู้ว๊ะกุลา ไหงมึงเอากูเข้าร่วมด้วยว๊ะ จริงไหมจ๊ะนาย”
“พอๆๆๆเลิกกันได้แล้วรีบพานายไปอาบน้ำอาบท่าหาอาหารมาให้
นายกินเถอะ นี่ก็ค่ำแล้ว เออๆๆอย่าลืมสุมไฟทั้งคืนหน้าถ้ำด้วยนะโว้ย”
สินธุกล่าวทางนี้หันไปสั่งทางลูกบ้านทางโน้นทันที
ชายหนุ่มได้ยินการล้อหยอกเย้าของหนุ่มสาว ก็ทำให้เขินบ้างแต่เขาทำ
เป็นไม่รู้ไม่ชี้พลางรีบเดินผละไปเข้าถ้ำทันที นั่นแหละการหยอกเย้าจึงได้
ยุติลงเมื่อแลเห็นร่างชายหนุ่มกำลังเดินจะเข้าถ้ำไปนั่นแหละทั้งหมดรีกุลีกุจอตามไปไม่ห่างจากชายหนุ่มทันที สองสาวก็นำชายหนุ่มไปอาบน้ำ
ยังหลีบถ้ำ ซึ่งด้านหลังในถ้ำนั้นปลายถ้ำสุด ได้ยินเสียงน้ำไหลตกแว่วมา
มีธารน้ำตกไหลเตี้ยๆแผ่กระจายไปเป็นธารเล็กไหลหายไปตามหลีบ
ถ้ำ แสงสว่างก็ลอดมาจากปล่องยอดเขาที่มองสูงขึ้นไปปกคลุมไปด้วยไม้
หลากพันธุ์ แถวธารน้ำตกมีต้นเฟรินล์เกาะเต็มก้อนหินน้อยใหญ่
ซ้ำยังมีต้นไม้เตี้ยๆออกดอกหลากสี กลิ่นหอมเย็นยิ่งนักทำให้ชายหนุ่ม
ที่ลงเล่นน้ำในธารไม่เล็กไม่ใหญ่นัก น้ำใสสะอาดมองเห็นก้นลำธารได้
อย่างชัดเจน ด้วยแสงแค่เล็กน้อยกระทบกับเกล็ดหินย้อยภายในถ้ำทำให้
สว่างกว่าภายนอก ชายหนุ่มนุ่งผ้าอาบน้ำไม่กล้าแก้เพราะที่ริมก้อนหิน
ใหญ่มีร่างของสองสาวที่นั่งมองดูเขาเล่นน้ำอยู่ เวลาผ่านไปไม่นานนักชาย
หนุ่มก็เสร็จจากการอาบน้ำ
หญิงสาวทั้งสองรีบเข้าไปช่วยเช็ดเนื้อตามตัวอย่างทะมัดทะแมง
อีกคนหนึ่งคอยหวีผมให้ด้วยแปรงที่ทำด้วยหินหลากสีสวย
สดงดงามยิ่ง เมื่อเสร็จหมดแล้วเขาก็กล่าวขึ้น
“ขอบใจแม่นางทั้งสองมากนะ ที่ช่วยเป็นธุระให้แก่เรา”
“หามิได้นาย มันเป็นหน้าที่ของพวกเราที่นายสินธุมอบหมายมา”
“อันที่จริงไม่ต้องถึงขนาดนี้ก็ได้นะ ภาคีคียะเรามาอาศัยพวกเจ้าอยู่”
“ในหมู่บ้านนี้นายสินธุรับตกทอดมาจากบรรพชนเป็นผู้ควบคุมดูแล
ฉะนั้นเมื่อนายสินธุเป็นบ่าวนาย พวกข้าทุกๆคนก็ต้องเป็นบ่าวไปด้วย”
“อืมๆๆๆ!!!....แต่ข้าเห็นความรักสามัคคีเช่นนี้ไม่เหมือนชาวหมู่บ้าน
ที่ไหนจะมี คิดว่าการปกครองคงมีกฏเกณฑ์ให้ชาวบ้านปฏิบัติกันนะ”
“ถูกต้องแล้วนาย ทุกๆคนจะขัดขืนไม่ได้ต้องทำตามกฏที่ผู้เฒ่าวางไว้
หากผู้ใดขัดขืนจะต้องถูกเนรเทศออกไปทันที และเราปกครองกันแบบ
พี่ๆน้องๆตลอดมา”
“นั่นซินะ เราก็เห็นเช่นนั้นทุกๆคนต่างอาวรณ์ต่อกันและกันยิ่งนักจะว่า
ไม่ใช่การปกครองแบบพี่ๆน้องๆก็ไม่ถูกต้องนัก”
“ไปเถอะไปโต๊ะอาหารแล้วข้าจะบอกวิธีการต่อสู้กับสัตว์ร้ายนี้
วางแผนว่าจะทำอย่างไรดี”
“นายมีแผนการณ์แล้วหรือ” ภาคีถามด้วยความสงสัย
“อันที่จริงจะเป็นแผนก็ไม่ถูกต้องนัก แต่ข้าคิดว่าเมื่อกำลังของพวกเรา
มีเพียงเท่านี้จะไปสู้รบกับพวกสัตว์ร้ายเห็นทีจะชนะยาก เพราะอาวุธเรา
หรือก็ไม่สามาถจะทำอันตรายมัน นอกเสียจาก????”
“อะไรหรือนาย???...”
“เห็นว่าข้าจะใช้พลังงานที่ข้ามีอยู่เสริมสร้างพลังงานไว้ในอาวุธแก่
พวกเรา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอาวุธแต่คนเราน้อยเกินไปพวกมันมีที่
ข้าคำนวณราวประมาณพันหรือสองพันตัวเห็นจะได้ นี่เราก็เสียคนไป
มากเหมือนกัน ข้าสังเกตุดูจากอวัยวะที่เรี่ยราดต่างเป็นของพวกเราหา
ใช่สัตว์ร้ายนั้นเลย”
“ถูกต้องแล้วนาย พวกเราเสียคนไปประมาณ สิบกว่าคนล้วนเป็นหญิง
และชายฉกรรจ์ที่มีฝีมือไป คนของเรามียังไม่ถึงร้อยคนเลยตอนนี้นะรวม
ทั้งหญิงและเด็กด้วย ที่จะออกต่อสู้ต่อไปก็ตกราวๆห้าสิบคนเห็นจะได้”
“นั่นซิคียะ ดังนั้นเรากำลังคิดวางแผนล่อลวงมันให้ไปรวมกันที่
สระบึงใหญ่นั่น อีกอย่างมันก็ใกล้ๆกับรังที่มันอาศัยอยู่ด้วย เราคิดว่า
จะทำลายมันให้สิ้นซากทีเดียวทั้งหมดเลย”
“แล้วนายจะให้พวกเราไปฆ่าพวกมันจะหมดหรือนาย”
“ไม่หรอกภาคี คียะ ลำพังพวกเรายังไม่อาจจะต่อสู้และฆ่ามันได้หมด
ข้าคิดว่าเราจะไปเพียงไม่กี่คนเท่านั้น”
คราวนี้เล่นเอาหญิงสาวทั้งสองถึงกับอ้าปากค้าง งวยงง ไปทันที ต่าง
หันมามองหน้ากันและกัน หล่อนนึกขนาดเราไปกันมากมายก็ยังฆ่ามัน
ไม่ได้หมด แล้วนี่เราไปแค่เพียงนิดเดียวไหนเลยจะไปชนะมันได้ ยิ่งคิด
ก็ยิ่งไม่เข้าใจกันใหญ่
ชายหนุ่มหัวร่อที่เห็นใบหน้าหญิงสาวทั้งสองที่แสดงอาการแปลกใจนัก
แม้แต่เขาเองที่คิดไว้ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะทำการคราวนี้ได้สำเร็จตามความ
คิดหวังเท่าใดนัก ดังนั้นชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้น
“ไปเถอะนะคียะภาคี เดี๋ยวคนจะรอพวกเราอยู่ แต่เอ๊ะทั้งสองท่านยัง
มิได้อาบน้ำชำระกายเลย เอาล่ะไปอาบน้ำที่ลำธารก็แล้วกันเราจะคอย
เฝ้าทางนี้ให้”
“อ้าๆๆๆนายท่านจะดีหรือ” ทั้งสองต่างอุทานพร้อมๆกัน
“ไม่เป็นไรน่า แต่เรารับรองว่าไม่แอบดูเจ้าอาบน้ำหรอก ฮ่าๆๆ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนาย เพียงว่าจะเหมาะควรหรือไม่เท่านั้นเอง หากนาย
คอยช่วยดูต้นทางให้ก็ทำให้เราทั้งสองอบอุ่นใจได้เป็นอย่างดี”
“หรือว่าเจ้าจะให้เรากลับก่อนแล้วพวกเจ้าจะได้อาบน้ำ เพราะอายเขิน
เรากระมัง???...”
“หามิได้หรอกนายท่าน เดี๋ยวข้าไปเตรียมเสื้อผ้ามาผลัดเปลี่ยนก่อนนะ”
“ตามใจท่านจะให้เราคอยดูต้นทางให้หรือไม่ล่ะ??”
“ตามใจนายท่านเถอะจ้า แต่พวกข้าว่าก็ดีเหมือนกัน อิอิ มีผู้พิทักษ์”
“ถ้าอย่างนั้นนายรอเดี๋ยวนะ พวกข้าจะรีบไปเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยน”
ว่าแล้วนางทั้งสองก็เดินหายไปในหลีบถ้ำสักพักเดียว นางก็ออกมา
พร้อมเสื้อผ้าที่ใช้เปลี่ยนแล้วก็เดินนำหน้าชายหนุ่มย้อนกลับไปยังลำธาร
ที่พึ่งกลับมา แล้วทั้งสองก็รีบจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าชายหนุ่มพร้อม
ทั้งทำตาชะมดชะม้อยชะม้ายตามายังชายหนุ่ม ทำให้ชายหนุ่มมีอาการ
หน้าแดงด้วยความเขิน จะออกไปก็ใช่ที่เพราะรับปากพวกหล่อนไว้แล้ว
ดังนั้นจึงแสร้งกล่าวว่า
“แม่นางทั้งสองรีบอาบเถอะ เพราะเราต้องเข้าร่วมวางแผนกันอีกนะ”
“จ๊ะนาย หรือว่านายจะไปก่อนก็ได้นะเดี๋ยวนายสินธุจะเป็นห่วงออก
ติดตามาจ๊ะ”
“อืมม!!!???...ดีเหมือนกันนะ งั้นขอโทษที่รับปากแต่แรกแล้วไม่ได้
ทำตามคำพูด”
“ไม่เป็นไรหรอกนาย ประเดี๋ยวเดียวข้าและภาคีจะตามไปจ๊ะ”
แล้วทั้งสองก็แยกทางกันหนึ่งไปอาบน้ำอีกหนึ่งเดินเข้าไปยังลานใน
ถ้ำเพื่อรอรับทานอาหารและระหว่างนั้นจะได้ปรึกษาหารือในการรับมือ
กับสัตว์ร้าย ระหว่างที่มาพร้อมเสร็จสรรพแล้วทุกๆคนนั่งฟังว่าชายหนุ่ม
จะมีแผนการอย่างไรดี สินธุก็เอ่ยขึ้น
“ที่นายคิดจะวางแผนคิดทำลายมันทั้งหมดก็ดี ข้าสังเกตุว่ามันเป็น
สัตว์ที่มีความอาฆาตมาก แต่เราจะเอากำลังคนที่ไหนไปจัดการมันเล่า
อีกอาวุธหรือที่ใช้ก็ยากที่จะกระทบผิวหนังมันได้”
“ก็อย่างนั้นซิสินธุ หากเราไม่กำจัดมันให้หมดสิ้นไปในครั้งนี้อีกหน่อย
มันก็จะมารุกรานเราไม่มีวันสิ้นสุด”
“แล้วนายมีแผนการณ์ทำอย่างไร นายบอกมาได้เลย”
“ข้าคิดว่าก่อนอื่นให้เจ้ารวมรวมอาวุธของพวกเราทั้งหมดมาไว้ที่ลานนี้
เพื่อข้าเองจะได้บรรจุพลังกระแสไฟฟ้าลงไปในอาวุธ แม้ว่าจะไม่ทำให้
มันตายในครั้งเดียวได้ แต่ก็สามารถทำอันตรายมันได้หากโดนที่เดิมซ้ำๅๆ
ไปก็ทำร้ายมันได้ หากเราสามารถพุ่งใส่ดวงตามันหรือให้เข้าไปในปาก
มันก็ยิ่งดี เพราะกระแสไฟฟ้าที่มากด้วยพลังจะเกิดการระเบิดทำให้มันตก
ตายไปได้ อย่างเช่นหน้าไม้ของเจ้ากุลาเป็นต้น”
“แต่พวกเรามีน้อยจะไปฆ่ามันได้หมดหรือนาย????...”
“ลำพังอาวุธที่เราจะบรรจุพลังงานนั้นไม่เพียงพอหรอก แต่ก็สร้างไว้
ใช้ป้องกันตนเองได้อยู่ แต่เราคิดวิธีการหนึ่งได้แล้วแต่ยังไม่แน่ใจว่าสิ่ง
นี้จะได้ผลมากน้อยเพียงใด”
“อาวุธอะไรหรือ???นาย??????”
คนทั้งหมดอุทานขึ้นด้วยสีหน้าดีใจที่ยังมีความหวังในการสู้รบครั้งนี้
“ดวงแก้วสุริยันต์และจันทรา”
“ดวงแก้วสุริยันต์และจันทรา?????....”
ทั้งหมดอุทานขึ้นพร้อมๆกัน............................
* แก้วประเสริฐ. *