26 เมษายน 2554 21:11 น.

อทิสมานกาย ๘๖

แก้วประเสริฐ


              อทิสมานกาย ๘๖

   ตะวันลอยแล้วเคลื่อนลับ จันทร์จากข้างขึ้นเป็นข้างแรมหมุนสลับ

เปลี่ยนไปตลอดเวลา เดี๋ยวมีมืดมีสว่างทอดนานวันสายลมแสงแดด

สลับหมุนเวียนสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
   
     กาลเวลาเดินหน้าตลอดเวลาชีวิตคนเปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดหย่อน

ตามกระแสหมุนเวียน มิอาจจะย้อนคืนกลับมาได้  หมู่บ้านโคกอีแร้ง

ก็ไม่อาจจะย้อนทวนกลับคืนได้อีก คงปล่อยไปชาวบ้านต่างก็พากัน

เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด

    การทำมาหากินถูกความเจริญเข้ามาครอบคลุมไปทั่ว  แม้แต่

วัดโคกอีกแรงก็เหมือนกัน  หลวงพ่อทองชราภาพมากแล้ว
  
อดีตกำนันหวน  ก็ได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัตรหลังจากที่ลูกสาวได้ออก

เย้าเรือนไปแล้ว  ทุกๆอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด

    วัดที่เคยทรุดโทรมดีขึ้นตอนที่มีงานสร้างปูชนียวัตถุแล้วก็หยุด

ชะงักไป  บัดนี้ได้ถูกซ่อมแซมดีขึ้น และดีกว่าเดิมกว่าท่านถึงแม้ว่า

จะชราภาพมากแล้ว แต่ได้รับการช่วยเหลือจากอดีตกำนันหวนซึ่ง

ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากประสบการณ์ที่สะสมมาทำให้ วัดดูเจริญ

ขึ้นอย่างผิดหูผิดตา  บัดนี้ท่านมีฉายานามใหม่ว่า  อาจาริโยภิกขุ อัน

เป็นนามที่หลวงพ่อทองท่านตั้งให้ แต่ยังคงไว้ซึ่งชื่อเดิม คือ

พระภิกษุ หวน อาจาริโยซึ่งเป็นพระอุปปัชฌาจารย์เป็นผู้อุปสมบท


   ตั้งแต่เข้ามาสู่ร่มกาสาวพัตรภิกษุหวนก็เจริญธรรมปฏิบัติอย่างหมั่น

เพียรมิหยุดหย่อนจากตำราที่อาจารย์ทองมอบและตำราจากชายหนุ่ม

ที่มอบให้ มีวิชาของพ่อเชียรแม่เข็มและอาจารย์เลื่อม ซึ่งชายหนุ่มได้

อบรมแนะนำให้จนหมดมิปิดบังแม้แต่น้อย  แนะนำการเข้าสมาบัติ

จนก้าวล่วง  ดังนั้น พระภิกษุหวนจึงได้ขออนุญาติไปปลูกกุฎิที่ใต้

ต้นไม้ที่ฝังศพอาจารย์เลื่อมเป็นที่พำนัก ซ้ำยังได้รับการแนะนำ

     และการเจริญสมาธิยามใดท่องตำราอาจารย์เลื่อมก็คอยมาแนะนำ

ให้อยู่อย่างสม่ำเสมอ  การมาอยู่ในป่าช้าของท่านจึงเจริญก้าวหน้าทั้ง

สมาธิและวิชาการต่างๆอย่างรวดเร็วรุดหน้า จนได้รับการชมเชยจาก

อาจารย์เลื่อมซึ่งเป็นรุกขเทวาประจำอยู่บนต้นไทรนั้น

     กลางวันท่านก็มาร่วมสังฆกรรมกับภิกษุทั้งหลายจนเป็นที่โปรด

ปราณของหลวงพ่อทองเป็นอย่างมาก  ทั้งยังลงมือซ่อมแซมอาสนาะ

เรื่องเงินทองก็ใช้จ่ายในส่วนตอนเป็นฆราวาสอยู่จึงไม่เดือดร้อน

อะไรเลย ด้วยลูกชายได้นำมาถวายให้เป็นเนืองๆ


   ฉนั้นวัดจึงได้เจริญรุ่งเรืองตลอดจนสร้าง โบสถ์ กุฎิเพิ่มเติม ส่วน

โบสถ์เก่าก็เป็นวิหารไป  ได้มีการฝังลูกนิมิตรใหม่โดยนำลูกนิมิตร

เก่ารอบๆพระอุโบสถหลังเก่าขึ้นมายกเว้นที่ภายในโบสถ์เก่าเท่านั้น

มาฝังใหม่ยังโบสถ์ที่สร้างใหม่ ส่วนลูกนิมิตรที่ฝังไว้หน้าพระ

ประธานองค์เดิม ก็ถูกสร้างขึ้นใหม่ให้ชาวโคกอีแร้งปิดทอง ฉลอง

การสร้างโบสถ์กูฎีใหม่มีงานยกช่อฟ้า ดำเนินตามประเพณีงานวัด

จึงเกิดขึ้นอีกครั้งแต่ก็มีแค่คนชาวบ้านโคกอีกแร้งเท่านั้น ส่วน

โบสถ์ถูกสร้างวิจิตรการสง่างามใหญ่โต แบบแปลนในกรุงเทพฯ

กว้างขวางยกเป็นสองชั้น ดังนั้นวัดโคกอีแร้งจึงเจริญขึ้นกว่าวัดใดๆ

ในหมู่บ้านรอบๆไปมาก

   ครั้นหลวงพ่อทองเห็นก็ชมเชยอีกครั้งที่ภิกษุหวนได้ไปสอบ

นักธรรมเอกที่ในเมืองได้  ท่านจึงประกาศต่อภิกษุภายในวัดว่าหาก

ท่านสิ้นบุญแล้ว  ทุกๆอย่างภายในวัดให้ภิกษุหวนดูแลแทน ซึ่งพระ

ในวัดก็เห็นพ้องต้องกันไม่มีรูปใดขัด อีกทั้งที่วัดเจริญรุ่งเรืองได้ก็

ด้วยภิกษุหวน อาจาริโยท่านนี้อีกทั้งยังมีภูมิความรู้ทั้งทางปริยัติธรรม

และวิปัสสนาธรรมอันหาภิกษุรูปได้เหมือนได้ ด้วยภิกษุที่บวชนี้ส่วน

มากเมื่อครบพรรษาก็จะลาสิกขาบทออกไปทำมาหากิน เว้นแต่พระ

แก่เท่านั้นไม่กี่รูป

    ส่วนที่เหลือนั้นก็ไม่มีภูมิความรู้เท่ากับภิกษุหวนสักรูปเดียวถึงจะ

แก่พรรษากว่าก็ตาม  ทุกๆคนทราบว่าภิกษุหวนท่านเชี่ยวชาญธรรม

ทั้งด้านปริยัติและวิปัสสนาซึ่งไม่มีรูปใดเทียบได้ จึงเป็นการเหมาะ

สมอย่างยิ่ง  หลวงพ่อทองท่านก็มีหนังสือไปที่คณะสงฆ์จังหวัดว่า

หากสิ้นท่านไปแล้ว  ก็ขอมอบวัดการดูแลทั้งหมดให้แก่ภิกษุหวน

คณะสงฆ์จังหวัดทราบ
 
    ซึ่งพิจารณาเห็นว่าถึงแม้ว่าอ่อนพรรษาแต่อายุก็มากอยู่ด้วยแล้ว

 ยังสามารถศึกษาสอบได้นักธรรมเอกทั้งๆที่มีอายุมาก

ก็ให้เกิดความเชื่อมั่นจึงได้ทำหนังสือไปยังในเมือง
 
จนพระภิกษุหวนได้รับการมอบหมายจากคณะสงฆ์ในกรุงเทพฯ

แต่งตั้งเป็นท่านพระครูสัญญาบัตร เป็นรองเจ้าอาวาสรับการทอดสืบ

ต่อจากหลวงพ่อทองทันทีในอนาคตต่อไป

    หลังจากที่เจ้าชัย บงกช พ่อเชียรและแม่เข็ม ได้ออกไปงานไร่แล้ว

ภายในบ้านจึงมีคนไม่กี่คนเท่านั้น   เจ้าเปล่งหลังจากที่ได้รับการ

ถ่ายทอดวิชาการต่างๆจากชายหนุ่มจนหมดสิ้น  ได้หมั่นเพียรฝึกฝน

อาศัยมันเป็นคนที่มีไหวพริบปฎิภาณจดจำได้แม่นยำจึงผ่านการ

ศึกษาวิชาการต่างๆไปได้อย่างรวดเร็ว


    มันจึงออกมานั่งคิดทบทวนวิชาการต่างๆที่หัวบันไดบ้านทอดสาย

ตาไปมองบริเวณรอบๆบ้าน ภายในใจก็นึกว่านับเป็นบุญวาสนาของ

มันอย่างยิ่งที่มารับใช้นายคนนี้ของมันในทุกๆสิ่งทุกๆอย่างไว้ ด้วย

จิตออกจะฟุ้งซ่าน  แต่มันก็ต้องหยุดด้วยมานึกถึงคำอาจารย์ทั้งเป็น

นายมันอีกด้วยจึงหยุดอารมณ์ฟุ้งซ่านทันที นอกจากผ่อนคลาย

อารมณ์ของมันเท่านั้นเอง

    ทันใดนั้นมันก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อมีมือมาตบบนไหล่มัน จึงหัน

หน้าไปมอง  แล้วยกมือไหว้เอ่ยขึ้นว่า

   “พี่สินชัย???...มีอะไรหรือครับ”

   “ข้าไม่มีอะไรหรอก นายให้มาตามตัวเข้าไปพบในห้องแน๊ะ”

   “อ้าวข้าก็พึงจะออกมาไม่เท่าไหร่นี่นาพี่???....”

   “เอ๊ะ!!!!ๆๆๆ???....ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ด้วยแม่นางอาจารย์ท่าน

ก็มาอยู่ด้วย  เอ็งเข้าไปไหว้ท่านทั้งสองด้วยนะเจ้าเปล่ง”

   “อาจารย์หญิง????.....ใครล่ะผมไม่เห็นมีใครนอกจากแม่ชบาเท่า

นั้นเองครับพี่”

   “เออๆๆๆ....เดี๋ยวเอ็งก็รู้ล่ะว่าเป็นใคร ข้าบอกก่อนนะโว้ยอาจารย์

ไม่ใช่คนธรรมดาด้วยล่ะ”

   “อ้าวๆๆๆไม่ใช่คนธรรมดา ก็ผีซิพี่???...”

   “ไอ้ห่านี่ปากเสียแล้วซิ น่าเตะจริงๆว๊ะ  ไม่ใช่ผีโว้ยไอ้เปล่ง”

   “เดี๋ยวเอ็งก็เห็นหรอกว๊ะ ว่าเป็นผีหรืออะไรกัน ไปโว้ยรีบๆไป”

     ไอ้เปล่งทำหน้างุนงงสงสัย  พึมพรำเบาๆไม่ใช่ผีก็เทวดาซิ แล้วก็

ลุกขึ้น ตามสินชัยเข้าไปในห้องหาชายหนุ่ม ไม่กล่าวอะไรอีก เดิน

ตามสินชัยเข้าห้องไป

      ภายในห้องเจ้าเปล่งแลเห็นอาจารย์นายมันกำลังนั่งสนทนากับ

หญิงสาวอยู่ ขณะที่มันกำลังจะก้าวเข้าประตู้ห้อง ก็พาตกตลึงไป

ในทันที เมื่อเห็นหญิงสาวทั้งสองหันหน้ามามองมัน 

   “โอ้โห้!!!!????....????......”

   เสียงมันพึมพรำออกมาเบาๆตาเบิ่งค้างด้วย

สองสาวที่มันแลเห็นนั้นหาใช่คนธรรมดาไม่  ด้วยมีฉัพรังษีแพรว

พรายพราวส่งประกายหลากสีช่างเปล่งออกมากจากร่างนางทั้งสอง

สวยงามอะไรเช่นนี้ ในชีวิตมันเกิดมาก็พึ่งจะพบเห็นนี่แหละ

ถึงแม้ว่ามันจะไม่เคยจีบสาวใดๆแต่ก็ผ่านพบมามากเสียมากยังหา

งามเท่าแม่นางทั้งสองนี้ไปได้  หล่อนช่างงดงามเสียนี่กระไร???...

   “ตกตะลึงอะไรอีกล่ะ???....เสียงสินชัยเอ่ยขึ้น

   “นี่อาจารย์แม่ทั้งสอง  ที่กูบอกมึงแล้วไงล่ะ”

   มันทั้งๆตกตลึงพรึงเพริศกระนั้นก็ตาม ก็รีบทรุดตัวลงกราบ

ไปยังไม่นางทั้งสองทันที มันทราบว่าอะไรคืออะไรมิฉนั้นพี่สินชัย

กับพี่แสงสีคงจะไม่ให้ความเคารพนบนอบเช่นนี้มันคิดในใจ

   “ข้าขื่อเปล่ง ขอกราบอาจารย์แม่ทั้งสองด้วย”

ว่าแล้วมันก็ก้มลงกราบ   ชายหนุ่มยิ้มให้แก่มันพร้อมแนะนำว่า

   “ขวามือข้า คือแม่นางรัตนาวดีเทพอัปสร ซ้ายมือข้าคือแม่นาง

อ้อยวิลาวัย์เทพอัปสร  รู้จักไว้ด้วยนะเปล่ง”

   เจ้าแสงสี พลันเอ่ยขึ้นว่า

   “ข้ากับน้องสินชัยเป็นศิษย์อาจารย์แม่เหมือนกัน เอ็งรีบฝากเนื้อ

ฝากตัวขอร่ำเรียนวิชาการต่างๆไว้ด้วยนะเจ้าเปล่ง”

   “ครับพี่แสงสี  เกิดมาผมไม่เคยเห็นใครงามเท่าเอาจารย์แม่เลย

นับว่าเป็นบุญวาสนาผมอย่างยิ่ง  หากเพื่อนๆผมเห็นเหมือนผม

คิดว่ามันก็จะคงเหมือนผมแหละพี่”

   แล้วมันก็หันหน้าไปทางชายหนุ่ม  พลางเอื้อนเอ่ยว่า

   “นายมีอะไรจะใช้ผมหรือ  อ้อ อีกอย่างหนึ่งผมก็มีอะไรจะขอร้อง

นายเหมือนกันครับ  ด้วยผมคิดว่าหากผมอยู่ที่นี้จะไม่เหมาะสมทั้ง

ปวง  อาจจะเกิดขึ้นเป็นที่สงสัยแก่คนอื่นได้ครับนาย”

   “เปล่งข้าไม่มีอะไรหรอกนอกจากจะแนะนำให้รู้จักแม่นางทั้งสอง

เท่านั้นเอง  แล้วเรื่องเปล่งล่ะมีอะไรก็บอกมาได้เลยนะไม่ต้องห่วง

หรอกหรือว่าเจ้าจะแยกตัวออกไปพักแถวบริเวณป่าหน้าบ้านข้าแล้ว

เพราะข้าอ่านจิตใจเจ้าออกหมดแล้ว  แล้วข้าจะให้เด็กๆไปช่วยเหลือ

เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรหรอก”

   ชายหนุ่มกล่าวขึ้นลอยๆ   ทำเอาเจ้าเปล่งถึงกับอ้าปากค้างทันทีด้วย

คิดว่านายมันรู้จิตใจมันได้อย่างไรกันจึงกล่าวขึ้นว่า


   “ครับนาย  ผมเกรงว่าหากผมอยู่ด้วยผมเป็นคนที่คนถิ่นนี้หลายหมู่

บ้านรู้จักผมดี เมื่อผมร่ำเรียนวิชาต่างๆจากนายจนสามารถรักษาตัว

เองได้แล้วก็ไม่อยากจะให้ชาวบ้านเขาสงสัยอะไรครับนาย”

   “ข้อนั้นข้ารู้แล้วล่ะเปล่งเอ๋ย  สมแล้วที่ข้าดูคนไม่ผิดหรอก

 เจ้ากลัวว่าหากคนอื่นที่รู้จักเจ้า 
 
จะเดือดร้อนมายังข้าด้วยใช่ไหมล่ะ???....”

   “ ครับนาย  อีกอย่างหนึ่งหากได้ไปอยู่ในป่าแถบเชิงเขานั้นที่สงบ

เงียบจะทำให้วิชาต่างๆรุดหน้าไปอีกมากครับ  อีกอย่างหนึ่งผมได้

ศึกษาวิชาการวางกลยุทธต่างๆไว้จากหนังสือต่างประเทศมาครับ

คิดว่า  คนที่จะไปหาผมหากไม่รู้วิชานี้ย่อมยากจะเข้าไปหาผมได้

และจะได้ทดลองวิชาที่ร่ำเรียนมาด้วยครับนาย”

   “อ้อวิชาค่ายกลพรางรูปแบบคล้ายเขาวงกตใช่ไหมล่ะเปล่ง”

   “ใช่ครับนาย????....นายก็รู้วิชานี้เหมือนกันหรือครับ”

   “ข้าเรียนรู้มาหมดแล้วล่ะ ด้วยจะทำได้ต้องใช้ภูมิประเทศประกอบ

ด้วยถึงจะสมฤทธิ์ผล  แต่ที่เจ้าไปคงจะไปดูสภาพมาแล้วกระมัง”

   “ครับผมว่างๆก็ออกไปสำรวจมา พบแต่ไพร่พลหุ่นพยนต์ของนาย

เท่านั้นที่อาศัยอยู่ ส่วนสิงสาราสัตว์ก็มีบ้างแต่ปะปรายครับนาย”

   “ดีเหมือนกันน่ะเปล่ง จะได้ฝึกฝนวิชาการต่างๆไปในตัวเจ้าด้วย

อีกอย่างหนึ่งข้าก็จะวางมือทางนี้เสียด้วย จึงหาตัวแทนคือเจ้านั่น


แหละที่เหมาะสมทุกประการมาทำงานให้แก่ข้า  จึงให้เจ้ามาพักกับ

ข้าเสียที่นี่  ด้วยข้าตรวจสอบสังหรณ์ใจว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงต่อ

บ้านเมืองอย่างขนานใหญ่อีกด้วย  อ้อๆๆๆอีกอาทิตย์หน้าข้าก็จะ

ต้องไปในกรุงเทพฯสักพักหนึ่งด้วย  ฉะนั้นทางนี้จึงให้เจ้ากับแสงสี

และสินชัย เจ้า พ่วง เจ้าเริ่ม คอยดูแลในระหว่างข้าไม่อยู่อีกด้วยล่ะ”

   “ขอเป็นเพียงนายสั่งมาคำเดียวแม้จะให้ข้าลุยน้ำบุกไฟข้ายอม

ทั้งสิ้น  จะไม่ปฏิเสธนายเลยครับ”

    ทั้งหมดที่อยู่ด้วยอันเป็นลูกน้องเขารวมเจ้าเปล่งซึ่งเป็นคนเพียง

คนเดียวต่างรับคำพร้อมเพรียงกัน

แล้วชายหนุ่มก็หันหน้าไปทางเจ้าเริ่ม เจ้าพ่วง  เจ้าทั้งสองให้ไปเกณฑ์

พวกเรารีบไปสร้างกระท่อมให้แก่เจ้าเปล่งโดยเร็วเสียล่ะ ข้าคิดว่า

ใช้เวลาวันสองวันก็คงเสร็จด้วยเครื่องไม้เครื่องมือก็มีพร้อมแล้วนี่นา

เพราะเจ้าเปล่งมันจะได้ดำเนินงานของมันเอง  เจ้าแสงสีสินชัยและ

เจ้าทั้งสองก็ค่อยติดตามศึกษางานมันด้วยนะ   ด้วยวิชาของเจ้าเปล่ง

มันแม้กระทั่งภูตผีปีศาจหรือหุ่นพยนต์ก็มิอาจจะเข้าไปได้ หากไม่

รู้ทางเข้าทางออก จะหลงติดอยู่ในนั้นไปไหนไม่ได้ด้วยล่ะ”

   “ร้ายกาจ!!!!????.....ถึงเพียงนั้นหรือนาย”

ทั้งสีอุทานลั่น

   “ใช่แล้วล่ะ  การวางกลของมันไม่ใช่วางแบบตำราหรอกแต่มันจะ

ใช้อาคมที่ร่ำเรียนมาจากข้าประกอบเข้าไปด้วย จะมียันต์ต่างๆป้อง

กันพวกดังกล่าวไว้อีกชั้นหนึ่งด่วย ใช่ไหมล่ะเจ้าเปล่ง”

   ไอ้เปล่งได้ยินก็ถึงกับปากอ้าตาค้างไปทันที  จนแม่นางอัปสรทั้ง

สองต่างหัวร่อต่อกัน  แล้วทั้งสองพลันเอ่ยขึ้นว่า

   “เจ้าเปล่ง  เหลือเวลาอีกสองวัน  ให้เจ้าอย่าไปไหนอยู่กับข้าเวลา

ตกค่ำๆให้มาศึกษาวิชาต่างๆจากข้าด้วย เนื่องจากเป็นวิชาชั้นสูงของ

เหล่าเทพยดาใช้  พวกข้ามองออกว่าอาศัยสติปัญญาอย่างเจ้าเพียงแค่

วันเดียวก็สามารถทำได้แล้วเพราะแกร่ำเรียนมากจากพี่โชติเขาไป

มากแล้วล่ะ”

   “ครับนายแม่ ผมจะพยายามอย่างที่สุดครับ”

   แล้วมันก็หันไปกราบแม่นางเทพอัปสรทั้งสองทันที ด้วยความ

ปลาบปลื้มปิติยินดีอย่างยิ่ง

   “เจ้าเปล่งเอ๋ย  บัดนี้ข้าก็ได้ถ่ายทอดวิชาการต่างๆตลอดจนการ

ต่อสู้ทั้งหมดให้แก่เจ้าหมดสิ้นแล้ว หวังว่าเจ้าคงจะไม่ใช้ไปใน

ทางที่ผิดนะ  ให้หมั่นทำความดีส่วนข้านั้นมันไม่สะดวกในการ

นี้ด้วยต่อไปอาจจะไม่ได้อยู่กับพวกเจ้าอีกแล้วล่ะ”

   “อ้าวๆๆๆๆ..?????....อ้าวๆๆๆแล้วนายจะไปไหนล่ะหากไม่อยู่

ที่นี้อีกนะ”

    ไอ้เปล่งแสงสีสินชัยเจ้าพ่วงเจ้าเริ่มต่างอุทานขึ้นมาพร้อมๆกัน

   “ทุกๆอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเสมอๆแต่ยังไม่ถึงวันนั้น

หรอกให้พวกเจ้าสบายใจได้  ข้าเพียงเกริ่นๆให้พวกเจ้ารู้เพื่อจะ

ได้ทำใจ   อ้อๆๆๆเจ้าทั้งสี่หากข้าวางมือเสียให้เจ้าถึงแม้ว่าจะมี

อายุอานามมากกว่าเจ้าเปล่งก็ตาม  แต่ข้าสั่งให้เจ้าทุกๆคนจงเชื่อ

คำสั่งเจ้าเปล่งเสมือนเป็นคำสั่งข้าด้วยนะ”

   “ครับนายหากเป็นคำสั่งเช่นนั้นข้าทั้งสี่จะปฏิบัติตามคำสั่งนาย

โดยยกย่องเจ้าเปล่งมันเป็นหัวหน้าของพวกข้าครับนาย”

   “เออๆๆๆดีแล้วล่ะ  เพราะเจ้าเปล่งนั้นมันเหมาะกับงานนี้อีก

ทั้งสติปัญญามันได้รับพรมาตลอดจนการวางแผนการณ์ต่างๆ

นั้นมันกะเหตุการณ์ไม่เคยผิดพลาดมาเลย  เอ็งดูซิขนาดเอ็งอยู่

กับข้ามานาน วิชาการต่างๆยังไม่อาจจะเทียบเท่าเจ้าเปล่งได้

เลย ไม่ใช่ว่าข้าจะดูถูกเอ็งนะเอ็งก็คงจะรู้ด้วยตัวของตัวเองอยู่

แล้วนี่นา  ใช่ไหมล่ะ???...”

   “ครับนาย...ข้าก็รู้ถึงความรู้สึกภายในเหมือนกันว่าทำไมเจ้า

เปล่งมาทีหลังแต่ทำไมมันจึงก้าวหน้าเกินกว่าพวกข้าไปได้พึ่ง

มารู้ว่ามันได้รับพรจากสรวงมานั่นเองครับนาย”

   “นั่นแหละเบื้องบนเขาส่งมันมาให้รับใช้ข้าโดยเฉพาะเพื่อ

ไม่ให้ข้าต้องพวักพะวง ทำให้เสียหายแก่เบื้องหน้าไปจึงได้

ส่งมันมาให้แก่ข้า”

    กล่าวจบชายหนุ่มก็ยกมือไหวเหนือศีรษะไปยังเบื้องบนทันที

พลันแม่นางรัตนาวดีก็เอ่ยขึ้นว่า

   “เจ้าเปล่งนั้นมันเป็นเทพที่จุติลงมาเพื่อรับใช้พี่โชติ คอยจังหวะ

เท่านั้นเองนะ  ดังนั้นเอ็งจะเห็นได้ว่าในทั้งหกคนนั้นพี่โชติเขารู้

เขาจึงเลือกเจ้าเปล่งเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ให้มารับถ่ายทอดวิชา

การต่างๆจากเขาจนหมดสิ้น”

   “อ้อเหตุดังนี้เอง พวกข้าสิ้นสงสัยแล้วล่ะ  เมื่อนายแม่เอ่ยเช่นนี้

ข้าก็พร้อมจะคอยฟังคำสั่งน้องเปล่งโดยไม่มีเงื่อนไขอะไรๆทั้งสิ้น

ครับนายและนายแม่”

    คนทั้งสี่เอ่ยขึ้น  ที่เรียกว่าคนนั้นทั้งที่เป็นแค่หุ่นพยนต์แต่บัดนี้

ร่างมันแปรสภาพไปเป็นคนเรียบร้อยแล้วระหว่างกึ่งคนกึ่งเทพไป

   หากเป็นเช่นนี้ ข้าทั้งสองขอลานายไปทำธุระที่นายสั่งไว้ก่อนก็

แล้วกันนะนาย   พลางเจ้าพ่วงและเจ้าเริ่มก็ก้มลงกราบชายหนุ่ม

และแม่นางอัปสรทั้งสองแล้วร่างมันก็ค่อยๆเลือนลางหายไป.......


             แก้วประเสริฐ.

1139348gm3744qpip.gif				
18 เมษายน 2554 12:00 น.

อทิสมานกาย ๘๕

แก้วประเสริฐ

1139348gm3744qpip.gif
               อทิสมานกาย ๘๕

   หลังจากที่อดีตกำนันหวนแม่เย็นและครอบครัวเดินทางกลับบ้าน

ทุกๆอย่างก็ไม่มีอะไรผิดปกติ  นอกจากเด็กสองสามคนมารายงาน

ให้ทราบเรื่องเกิดการยิงกันใหญ่  แล้วยังมีเสียงหมาหอนระงม ทำ

ให้ไม่กล้าออกมาดู  นอกจากนอนคลุมโปงด้วยกันทั้งหมด

   ครั้นทราบดังนั้น เจ้าชวน ก็รีบออกไปเดินสำรวจภายในบ้านทันที

แต่ก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ  จึงเดินขึ้นบ้าน  แม่เย็นสาวบงกชก็ต่าง

พากันเข้าไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า  พ่อหวนกำลังนั่งสูบบุหรี่ใบจากนั่ง

ทอดอารมณ์  ชวนจึงเอ่ยปากว่า

   “ผมไปเดินสำรวจแล้วครับพ่อ  ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติเลย  เดี๋ยวว่า

จะออกไปสืบกับเพื่อนๆดูสักหน่อยครับ”

   “ไปแล้วก็รีบกลับบ้านอย่าช้าล่ะ พ่อจะได้ปรึกษาเรื่องน้องสาวเจ้า

ด้วย  ซึ่งจะถึงกำหนดอาทิตย์หน้าแล้วล่ะตามฤกษ์ที่พ่อโชติเขาดูให้

ว่าเป็นมงคลฤกษ์เหมาะสำหรับงานแต่งงาน หากพ้นไปแล้วจะต้อง

ไปปีหน้านั่นแหละ  แต่พ่อเองนั้นไม่มีปัญหา จะมีก็ทางกำนันมั่น

เท่านั้นเองแหละลูก”

   “ครับพ่อ!!!....คนอื่นนะผมเฉยๆแต่สำหรับพี่โชติแล้วบอกตรงๆ

ว่าถูกชะตาและเชื่อมั่นจริงๆ ตั้งแต่ที่ได้รับพระนั่นแหละครับ”

   “นั่นซิ???....พ่อเองก็เหมือนลูกแหละ สำหรับครอบครัวนี้มันก็

แปลกเหมือนกันนะ   พบบุคคลเหล่านี้ช่างถูกจิตใจพ่อมากๆ

เชียวนา???...”

   “เหมือนผมเลยครับ???....งั้นผมจะไปเดี๋ยวนี้นะครับจะไปพบ

เพื่อนๆดู    บางทีอาจะได้ข้อมูลมาบ้างครับ....”

   “ไปเถอะลูก อย่าลืมมากินข้าวด้วยกันล่ะ อีกหน่อยบงกชมันก็

ต้องไปอยู่ที่บ้านโน้นแล้วล่ะ???...”

   ครั้นแล้วเสียงรถมอเตอร์ไซค์ก็ดังออกจากบ้านหายไป พ่อหวนก็

เอนกายลงที่พนักพิง แล้วก็หลับไป....

   ที่ร้านแม่สาวลัดดาเจ้าของร้านอาหารกำลังสาระวนกับการต้อนรับ

บรรดาลูกค้าทั้งหมู่บ้านบางโคและหมู่บ้านอื่นที่กลับจากการส่งของ

      ร้านหล่อนเป็นร้านที่ค่อนข้างใหญ่โตติดกับริมถนนทางผ่านของ

บรรดาหมู่บ้านทั้งหลาย  อีกทั้งรสชาดอาหารหรือก็ไม่เป็นรองใครๆ

แต่การต้อนรับขับสู้ของเจ้าของร้านและบรรดาลูกมือทั้งหลายนี่

แหละที่เป็นเหตุให้บรรดา  คนรถทั้งหลายต่างพากันมาอุดหนุนกัน

เนื่องแน่น   ราคาอาหารหรือก็ไม่แพงไปกว่าที่อื่น ทุกๆอย่างปกติ

ธรรมดา  แม้ว่าราคาของในระยะนี้จะสูงเพียงใดก็ตาม

       ที่มุมห้องอาหารมีโต๊ะหนึ่งที่ล้อมวงไปด้วยพระกาฬ

ทั้งหก  แต่วันนี้มาแปลกๆหล่อนคิด

   ปกติธรรมดาแล้วบรรดาพระกาฬหกพระหน่อ

ขาดหายไปหนึ่งหน่อนั้นจะส่งเสียงดังมากๆ

   แต่วันนี้ทำไมถึงได้เงียบเชียบผิดปกติไป ไม่มีการส่งเสียงดังเหมือน

เก่าเกิดขึ้นอีกเลย  และทุกๆคนนอกจากซุบซิบกันแล้วก็กินอาหาร

เหล้าแบบธรรมดาไปหมดสิ้น

    หล่อนชำเลืองตามองระหว่าง  กำลังต้อนรับแขกที่มากินอาหาร

กลุ่มหนึ่งอยู่   ครั้นเรียบร้อยแล้วสั่งให้เด็กมาบริการแทนด้วยอดรน

ทนไม่ได้  จึงเดินไปหากลุ่ม  เห็นหกพระกาฬกำลังนั่งสนทนา

เหมือนจะปรึกษาอะไรบางอย่าง  ดังนั้นหล่อนจึงเอ่ยปากขึ้นว่า

   “เอ๊ะ!!!????....ๆๆๆๆแปลกๆโว้ย  วันนี้ลิงทโมน  อ้อๆๆผิด

ว๊ะ  พวกเหี้...ทั้งหลายเป็นอะไรไปว๊ะไหงเงียบอย่างกับมีสากอุด

ปากกันแทบทุกๆตัวไม่ซุกซนเหมือนเก่าไปเสียล่ะ???..
.
มีเรื่องอะไรมาหรือว๊ะ???..”

    พร้อมทั้งลากเก้าอี้เข้ามานั่งด้วย   ทำให้บรรดาชายหนุ่มโสด

ทั้งหมดต่างพากันสะดุ้งเฮือกไปตามๆกัน เมื่อได้ยินคำหลังหล่อน

แต่ทว่าวันนี้  พวกมันกลับไม่โวยวายเป็นที่แปลกใจหล่อนมาก

แต่กลับเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้ม  เจ้าตี๋ใหญ่ก็ตอบหล่อนว่า

   “วันนี้ไม่มีอะไรหรอกแม่ดา  พวกข้าเห็นคนมากินอาหารมากๆ

ผิดปกติ  เกรงจะรบกวนลูกค้าแม่ดาจ๊ะ”

   “อืมม???....รู้จักคำว่ามารยาทมั่งก็ดีเหมือนกันนะ  แต่มันผิดปกติ

มากไปว๊ะ   กูพอจะช่วยเหลือได้นะโว้ย???...มีเงินใช้หรือเปล่า

ล่ะ???!!!ไม่มีบอกได้นะโว้ยเราพวกกันเอง  กูไม่คิดดอกเบี้ย

จะใช้คืนหรือไม่หาใช่สิ่งสำคัญโว้ย!!!!.....”

   แม่ดาเจ้าของร้านแสนสวยโสดปิ๋งๆเอ่ยขึ้น  ด้วยทุกๆคนมักจะเข้า

ไปแล้วจะกระเซ้าเย้าแหย่หล่อนอยู่เสมอ จนเป็นธรรมดาไปแล้ว

   เมื่อเจ้าตี๋ใหญ่กล่าวจบก็ยกแก้วเหล้ายกขึ้นดื่มพลางหันไปทางพรรค

พวก   หล่อนเห็นดังนั้นคิดทันทีว่ามันต้องมีเหตุการณ์อะไรแน่ๆด้วย

รู้นิสัยใจคอพวกนี้ดี  ในเมื่อเห็นคนเข้ามาในร้านอีกจึงรีบออกไป

ต้อนรับทันที    แต่ไม่วายชำเลืองมองอยู่เสมอๆ หันมาทางหน้าร้าน

ท่าทีอาการหล่อนก็เปลี่ยนไปทันที


     หน้าร้านชายหนุ่มร่างงามก็ก้าวฉับๆๆเหลียวซ้ายแลขวา ครั้น

สบตากับสาวเจ้าของร้านแล้วยิ้มส่งให้  ทำเอาสาวดาเกิดอาการ

ผิดปกติไปทันควัน  รีบจดรายการอาหารที่ลูกค้าแปลกหน้ามา

สั่งอย่างรวดเร็วทันที   ชายหนุ่มหันไปมองลูกค้าก็สงสัยเหมือน

กันด้วยไม่เคยพบหน้าค่าตาเลย  ให้รู้สึกคลับคล้ายคลับคราแต่

เพียงนึกไม่ออกเท่านั้นเอง   เหลือบตาไปเห็นโต๊ะของพรรคพวก

ก็รีบเลิกคิดเดินเข้าไปหาทันที

   ครั้นบรรดาชายหนุ่มทั้งหกเห็นดังนั้น ต่างก็รีบร้องทักทันที

   “ได้ข่าวว่าพี่ไปที่บ้านโคกอีแร้งมา  ใช่หรือไม่???....”

   “ใช่ว๊ะไอ้ชื่น”

   กล่าวเสร็จก็นั่งบนเก้าอี้ที่หญิงเจ้าของร้านลุกขึ้นไป  แล้วมอง

ซ้ายมองขวา  ก็เอ่ยปากขึ้นว่า

   “กูไม่อยู่นี่...ถามจริงๆเถอะว๊ะในระหว่างกูไม่อยู่พวกมึงไป

ไหนกันมาหรือเปล่าล่ะ???...”

   “พวกกูก็ไม่ได้ไปไหนนี่นา  อยู่ที่บ้านบางโคตลอดเวลาเลย

ไม่ได้ไปที่อื่น มีอะไรหรือว๊ะไอ้พี่ชวน???...”

   “เปล่าหรอก...กูระหว่างตรวจบ้านหลังจากฟังพวกเด็กๆมันบอก

ว่าได้ยินเสียงปืนดังถี่ยิบและเสียงหมาหอน  ก็สังหรณ์ใจชอบกล

จึงได้ไปตรวจบริเวณบ้านดู ด้วยไม่ไว้ใจพวกไอ้แม้นมันว๊ะ!!!”

   ทุกๆคนหันไปมองหน้าทางไอ้เปล่งซึ่งกำลังนั่งกินข้าวแบบ

ทำเป็นทองไม่รู้ไม่ชี้ทั้งสิ้น  แสดงอาการเฉยเมยเสียแบบตีมึน

   “แล้วพี่เจออะไรผิดปกติหรือไม่ล่ะ???...”

   “หากไม่สังเกตุดีๆก็ไม่พบหรอกว๊ะ  แต่พบคราบรอยเลือดแห้งติด

อยู่ริมรั้วเป็นทาง  ก็นึกสงสัยเหมือนกันจึงรีบมานี่แหละ  เฮ้ยๆๆๆ

ไอ้เปล่ง  กูรู้นิสัยใจคอมึงนะโว้ยอย่าแกล้งทำตีซึมเลยว๊ะมีอะไรก็

รีบบอกกูด้วยว๊ะ?????”

   หนุ่มชวนเอ่ยถาม   เล่นเอาเจ้าเปล่งกำลังกินข้าวเคี้ยวอยู่ถึงกับสะอึก

รีบคว้าน้ำเปล่าขึ้นดื่มทันที  พลางหันไปทางบรรดาพรรคพวกหวังขอ

ความช่วยเหลือให้รายงานแทนมัน แต่ทว่า เปล่าๆๆไม่มีใครสนใจมัน

ซ้ำเห็นทุกๆคนต่างมองมาทางมันตาแป๋วๆหมด    หนุ่มชวนรู้นิสัย

ไอ้เปล่งดีว่าเป็นคนไม่ชอบโกหกหากไม่จำเป็นกับพรรคพรรคด้วย

แล้วมันจะไม่ปิดบังอะไรเลย  จึงเค้นถามไอ้เปล่งเฉพาะหากถาม

คนอื่นๆก็จะไม่ได้ความอะไร ทุกๆคนกระล่อนแบบเรียกว่ามะกอก

สามตระกร้าปาไม่ถูก  ให้ร้อยหรือกว่านั้นก็ปาไม่ถูกพวกมันแน่ จึง

หันมาถามเปล่งโดยเฉพาะ  ถึงอย่างไรไอ้เปล่งก็จะไม่ปิดบังเรื่องนี้   

  
   ไอ้เปล่งเห็นจนปัญญาด้วยไม่มีพวกจะเอ่ยแทนมัน  ก็กล่าว

เหตุการณ์  ทั้งหมดให้หนุ่มชวนฟังหมดเปลือกทันที     ครั้นหนุ่ม

ชวนรับฟังแล้ว     เจ้าชวนก็ตบเข่าเสียงดังผลั๋วะๆๆ พูดขึ้นว่า

   “กูนึกแล้วเชียวว่าเป็นแผนการณ์ของมึงก็จริงๆด้วย ”

   แล้วชายหนุ่มก็หัวร่อพลางเอ่ยว่า

   “เออๆๆๆขอบใจมึงมากไอ้เปล่ง  เฮ้ย!!!!...ๆๆๆๆทุกๆคนด้วย

นะโว้ย”

   ทุกๆคนครั้นเห็นอาการของหัวหน้ามัน   หน้าต่าแช่มชื่นทันที และ

ยิ่งได้รับการชมเชยอีกด้วย  ก็รีบรินเหล้าส่งให้ทันควัน   ชายหนุ่ม

รีบคว้าเหล้าจากมือไอ้วาสแล้วยกขึ้นดื่มทีเดียวหมดแก้ว 

 ส่วนไอ้ตี๋เล็กก็ใช้ซ่อมทิ่มอาหารส่งมาคอยอยู่ก่อนแล้ว  

พลางป้อนเข้าปากชายหนุ่ม   แล้วทุกๆคนก็พากันส่งเสียงหัวร่อ
  
    เล่นเอาแม่ดาหญิงสวยต้องหันมามอง  เพราะตั้งนานพวกนี้ต่าง

ก็เงียบ  พึ่งจะได้ยินเสียงหัวร่อดังก็คราวนี้แหละ  ครั้นชวนหันไป

มองรอบข้างก็เห็นโต๊ะชายแปลกหน้าก็หันมามองเช่นกัน  ทำให้

ชายหนุ่มนึกออกทันทีว่า   คนห้าหกคนนี้เป็นใครได้ 

   ครั้นจำได้แม่นยำดังนั้นร้องในใจฉิบหายแล้วล่ะ  มันพวกตำรวจนี่

หว่า!!!!  นึกในใจพลาง พร้อมทั้งหันไปกระซิบบอกพรรคพวก

ทันทีทำให้บรรดาพรรคพวกต่างเงียบกริบ ทั้งหมดตาเหลิกหลักๆกัน 

  หันไปมองทางโต๊ะนั้นด้วยความตกใจจนมือไม้สั่นไปกันหมด

เมื่อทุกๆคนหันไปมองดู   ก็เห็นทางโต๊ะโน้นหนุ่มรูปร่างสันทัด

ซ้ำยังยกมือโบกทักทาย  ไปๆมาๆทำให้โต๊ะพวกเจ้าชวนต่างสะดุ้ง

ทันที  ด้วยทุกๆคนรู้แน่แก่ใจว่าต่างไปทำอะไรกันมา

หนุ่มชวนก็เอ่ยกับพรรคพวก  พร้อมทั้งให้ทำตัวอย่าให้สงสัยได้

    “คนโบกมือนั้นคือสารวัตรชัชวาลย์ประจำสถานีในเมืองว๊ะ”

หนุ่มชวนเอ่ยขึ้นเบาๆ  แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยบอกอะไรอีกก็ถูกสะกิด

จากไอ้ตี๋ใหญ่ทันที   ด้วยแลเห็นบรรดาชายหนุ่มโต๊ะนั้นต่างก็ลุก

ขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินตรงมาหาพวกเขา  พลางเอ่ยปากถามขึ้นว่า


   “ใครหรือชื่อชวนครับ”

หนุ่มชวนรีบยืนขึ้นยกมือไหว้สารวัตรทันที  พร้อมเอ่ยปากกล่าวว่า

   “ผมเองครับ  มีอะไรหรือครับ”

   “อ้อๆๆๆไม่มีอะไรหรอกครับถามดูเท่านั้นเอง  ด้วยผมได้รับงาน

จากหัวหน้าผมว่า คุณเป็นญาติกับเขาครับและยังบอกว่าให้รีบมาทำ

ความรู้จักกันไว้  ไหนๆคุณช่วนแนะนำพวกๆให้ทราบหน่อยครับ

อ้อๆๆๆเฉพาะคนที่ชื่อนายเปล่งด้วยนะครับ”

   “ถ้าอย่างนั้นขอเชิญนั่งด้วยกันก็แล้วครับ”

   พลางสั่งให้พรรคพวกหาเก้าอี้มาเสริมขึ้นทันที   ดังนั้นบรรดา

พรรคพวกครั้นเห็นได้ยินดังนี้ก็ต่างพากันถอนหายใจกันทุกๆคน

ด้วยทราบว่าคงจะไม่มีอะไรกับพวกเขาแน่ๆ

   “อ้อๆๆพี่โชติหรือครับที่บอก????...”

   “ครับนั่นแหละครับ คุณชวนคงจะรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วซินะ

ครับ”

   “ครับสารวัตรพี่โชติเล่าทุกๆอย่างให้ผมฟังหมดแล้วครับ  และ

ให้รีบไปหาพี่เขาด่วนๆด้วยครับ   อ้อนี่ชื่อเปล่งครับ”

พลางชี้มือไปทางไอ้เปล่ง ซึ่งตีสีหน้าเฉยเมยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ยก

แก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่มไปจิบไปพลางๆ หันมามองทางด้านสารวัตรเฉย

   แล้วชายหนุ่มก็แนะนำพวกๆให้สารวัตรรู้จักกันทุกๆคนโดย

เฉพาะไอ้เปล่ง    ครั้นเมื่อพี่ชวนหรือไอ้ชวนของมันแนะนำตัว

ก็ต่างยกมือไหว้สารวัตรทุกๆคนทันที  ทางสารวัตรก็หันไปแนะ

นำพรรคพวกด้วยว่าคือใครๆกัน

   “ดีล่ะงั้นดีมากทีเดียว  ไม่ต้องไปหาหัวหน้าผมหรอกครับเพราะ

ผมได้นำเอกสารมาให้แล้วครับจะได้รีบนำไปมอบให้หัวหน้าผม

ด้วยครับ”

     “อ้อๆๆๆเกือบลืมไปหัวหน้าผมสั่งมาว่าให้นายเปล่งขนข้าวของ

ไปบ้านท่านด้วย ให้ไปอยู่กับท่านจะได้มีเรื่องปรึกษาอะไรสัก

หน่อย ท่านกล่าวเช่นนั้นไม่รู้เรื่องอะไรกัน”

   “หัวหน้าสารวัตรมีอะไรกับผมหรือครับ”

ไอ้เปล่งถามขึ้นทันควัน  ทั้งๆที่สันหลังมันเย็นวาบๆ

   “ผมเองก็ไม่ทราบเจตนาของท่านเหมือนกันครับ  งั้นนายเปล่งรีบ

ไปบ้านไปเตรียมตัวด้วย  เพราะผมจะไปบ้านหัวหน้าท่าน

เหมือนกัน”

   ดังนั้นสารวัตรชัชวาลย์ก็สอบถามรายละเอียดส่วนตัวทุกๆคน

ยกเว้นหนุ่มชวนเท่านั้น   แล้วพร้อมให้ทุกๆคนกรอกข้อความลง

ในเอกสารทั้งหมดทันที   

   หนุ่มชวนอ่านหนังสือเอกสารนั้นเป็นหนังสือสมัครเข้ารับราชการ

ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  จึงบอกให้พรรคทุกๆคนรู้ไว้ ทำเอา

บรรดา  พรรคพวกต่างตื่นเต้นไปตามๆกันที่อยู่ดีๆส้มหล่นออกมา

ตกถึงตัวพวกมัน  และแล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกอีกที


   “ถามจริงๆเถอะนายเปล่ง???....เมื่อคืนนี้ที่บ้านพ่อหวนนั้นเป็น

ฝีมือการทำงานของพวกคุณหรือเปล่านะ  ด้วยผมได้รับการรายงาน

มาจากสายสืบไว้  จึงได้รีบมาสังเกตุการณ์ถึงที่นี่ แต่ก็เป็นความลับ

บอกเถอะเราพวกเดียวกันไม่ควรจะปิดบังอะไรกัน   สองสามวันนี้คง

จะมีคำสั่งแต่งตั้งลงมาแล้วล่ะ”

   เล่นเอาไอ้เปล่งอ้ำๆอึ้งๆไปทันที   ครั้นหนุ่มชวนเห็นดังนั้นจึงรีบ

รายงานทั้งหมดให้สารวัตรชัชวาลย์ทราบเรื่องนี้ในเหตุการ์ที่เกิดขึ้น

   เห็นสารวัตรหัวร่อเบาๆ สมควรแล้วล่ะงานอาทิตย์หน้าคงจะไม่

มีอะไรเกิดขึ้นทำให้เสียฤกษ์ยาม  นับว่านายเปล่งนี่แน่ดังคำบอก

ของท่านหัวหน้าจริงๆ  ท่านมองคนไม่ผิดเอาเสียเลย

   “อ้อเสร็จแล้วหรือนายเปล่ง  งั้นๆรีบกลับไปนำของจำเป็นส่วน

ตัวมาด้วยจะได้ไปด้วยกันนะ  วันหลังค่อยมาเอาเพิ่มเติมอีกก็ได้”

   “ครับท่าน”

   ไอ้เปล่งรับคำเบาๆ  แบบสบายใจมิได้เคลือบแคลงสงสัยใดๆ

ทั้งสิ้นด้วย เห็นไอ้ชวนค่อนข้างจะไว้ใจ ด้วยรู้นิสัยไอ้ชวนดีว่า

เป็นคนมีนิสัยอย่างไร   แล้วรีบลุกขึ้นก้าวเดินออกจาก

ร้านไปทันที เสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังแล้วหายเงียบไป

   “ส่วนพวกนายตี๋เล็ก ตี๋ใหญ่ ชื่น วาสและกุ๋น นั้นท่านสั่งมาว่าให้

นำเข้าของไปอยู่บ้านคุณชวนโดยเร็วก่อนวันงานจะเกิดขึ้นก็แล้วกัน
 
จะได้ไม่ต้องเสียเวลามากนัก  ที่พวกนายทำไปนั้นถูกต้องแล้วล่ะ

ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้เป็นความลับระหว่างพวกเราเท่านั้น ห้ามไปเอ่ย

ที่ใดๆอีกเสียล่ะ???...”

   “ครับถ้าอย่างนั้นท่านสารวัตรคงจะรู้เรื่องราวหมดแล้วใช่ไหม

ครับ”

   “ใช่แล้วคุณชวน ผมรู้มานานแล้วครับ สายสืบลับได้ไปรายงานให้

หัวหน้าฟัง     ท่านก็รีบแจ้งมาให้ผมทราบทั้งผู้กองจำลองและผู้กอง

จรัสแล้วล่ะ”

   และแล้วตำรวจทั้งหมดก็ต่างยกแก้วเหล้าขึ้นชนกับพรรคพวก

หนุ่มชวนทันที   ซึ่งเหล้านี้ได้เตรียมไว้ตั้งนานแล้วจากไอ้วาสไอ้กุ๋น

   “เราพวกเดี๋ยวไปเตรียมตัวให้เรียบร้อยก็แล้วน่ะ   ทำอะไรๆก็ให้

เป็นความลับด้วยนะด้วย  ต่อไปคุณก็คือตำรวจแล้ว

พวกคุณตอนนี้เป็นสายลับพิเศษตามหัวหน้ากล่าวไว้โดย

ไม่สังกัดใครนอกจากหัวหน้าผมและผู้กองเท่านั้น  พวกเรานั้นที่

เป็นแบบคุณก็จะมีสัญญลักษณ์ประจำตัวไว้รู้กันเองระหว่าง

พวกสายลับพิเศษด้วยกัน ซึ่งบรรดาสายลับเหล่านี้ต่างก็พากัน

ขึ้นตรงต่อหัวหน้าผมอีกทีหนึ่ง  แล้วไม่ต้องไปรายงานตัว

ที่สถานีตำรวจอีกด้วย  การเบิกจ่ายเบี้ยเลี้ยงเงินเดือนจะมีคน

ทำให้เสร็จถึงเวลาจะมีการส่งมอบหมายให้กันเอง

   หากมีปัญหาใดๆเกิดขึ้นก็ให้เอาสิ่งนี้ ที่ผมจะมอบให้พวกคุณ

ให้ตำรวจสถานีดู  เขาก็จะรู้เองว่าพวกคุณเป็นใครกัน แต่ทว่า

ในสถานีนั้นมีทั้งตำรวจพวกเราและไม่ใช่พวกอีกมากมายนัก

ฉะนั้นการกระทำอะไรๆควรจะระมัดระวังตัวไว้ด้วย หากไม่

จำเป็นไม่ต้องเปิดเผยตัวเองเป็นเด็ดขาด   หากมีอะไรอีกติดต่อมาทาง

ผมก็แล้วกันไม่ต้องไปถึงท่านหัวหน้าหรอก  เข้าใจคำพูดผมไหม

ล่ะทุกๆคนนะ????”

   “เข้าใจครับ  ขอบคุณท่านมากนะครับผู้กองด้วยและทุกๆคนครับ”

แล้วทุกๆคนเมื่อต่างชนแก้วกันแล้วก็หัวร่อด้วยกันด้วยความสดชื่น

การวิสาสะสนทนาผ่านไปด้วยปกติธรรมดา  อีกอย่างหนึ่งผมจะบอก

ให้คุณทราบคือว่า

   “ นอกจากพวกเราแล้วจะไม่มีใครรู้ว่าพวกคุณเป็นใครกันเลย  

เว้นจากพวกสายลับด้วยกันจะทราบด้วยมีการประสานงานกัน

เป็นประจำเสมอๆ  หากได้รับสัญญาณก็ให้รีบไปโดยด่วนที่สุด

ไม่ว่าจะติดธุระงานใดๆทั้งสิ้นก็ต้องรีบวางมือ ไปรวมตัวพบกันโดย

เร็วด้วยงานของพวกเราเป็นงานเฉพาะกิจเท่านั้นนะ  ส่วนก่อนจะ

พบกันนั้นจะมีการแสดงสัญญลักษณ์และรหัสประจำตัว ซึ่งผมจะ

นำมาส่งมอบให้หรือใช้ให้คนของผมมาให้โดยเฉพาะ พร้อมด้วย


รหัสสัญญาณต่างๆซึ่งจะต้องจดจำทุกๆอย่างให้ขึ้นใจ  เมื่อจำได้

จนแน่แก่ใจไม่ผิดพลาด แล้วให้ทำลายหลักฐานรหัสนั้นอย่าให้

มีหลักฐานโดยการเผาทิ้งคอยจนไหม้หมดแม้แต่ฝุ่นก็ทำลายด้วย

รหัสสัญญาณจะเหมือนกันหมด เว้นรหัสประจำตัวพวกคุณเท่านั้น

ที่เป็นโดยเฉพาะเจาะจง เพื่อป้องกันการปลอมแปลงสัญญลักษณ์

ไว้ เมื่อเห็นสัญญลักษณ์แล้วก็สอบถามรหัสประกอบด้วยนะ”

   “ครับนาย ผมจะจำไว้แล้วท่องให้ขึ้นใจและทำลายเสียให้หมด

สิ้น”

   “ดีแล้วล่ะ  ทุกๆคนต้องจำให้ได้อย่าลืมแล้วทำตัวเหมือนชาวบ้าน

ธรรมดาทั่วๆไป อย่าได้แสดงในสิ่งที่เรามีอยู่ด้วยอำนาจที่มีจะทำให้

เราจะต้องเสียใจในภายหลัง  ให้จำข้อนี้ไว้ให้ดีๆด้วย ทุกๆคนต้องมี

ระเบียบวินัย การฝึกปรือนั้นที่หน่วยเราอยู่ที่บ้านโคกอีแร้งบ้านกำนัน

ให้ไปรายงานตัวกับหัวหน้ากลุ่มที่เป็นผู้ฝึก ซึ่งตอนนี้ซ่อนเร้นว่าเป็น

ทหารปลดจากกรมกองฯมา และกำลังฝึกชาวบ้านอยู่ ส่วนพวกเรา

จะแยกไปฝึกอีกทางหนึ่งต่างหาก ซึ่งหัวหน้ากลุ่มจะแจ้งให้ทราบ

เพียงแสดงสัญญลักษณ์และรหัสการสอบถามเท่านั้นเขาก็จะรู้ทันที

ว่าจะทำหน้าที่อะไรบ้าง ใช้เวลาฝึกไม่นานหรอกสำหรับพวกคุณที่

หัวหน้าท่านคัดเลือก  เพราะหน่วยนี้หัวหน้าท่านเป็นผู้คัดเลือกด้วย

ตัวท่านเองโดยเฉพาะตัว   จึงเป็นคนที่ไว้วางใจได้ทุกๆคน

   “ครับหัวหน้า พวกผมจะจำไว้และไปรายงานตัวรับการฝึกฝนอีก

ทีหนึ่งตามคำสั่งลับตกมาครับท่าน”


   “อีกอย่างหนึ่งเมื่อรู้ถึงขนาดนี้แล้ว จะถอนตัวก็ไม่ได้แล้ว หากถอน

ได้มีทางเดียวเท่านั้น คือ “ ตาย ” หนทางเดียว”

สายรวัตรเอ่ยให้พรรคพวกชวนทั้งหมดฟัง ด้วยสีใบหน้าเฉยเมย

เหมือนกับไม่อะไรเกิดขึ้น เห็นเป็นของธรรมดา กับคำว่า “ตาย”

   ครับบรรดาพรรคพวกชวนตอนแรกก็ดีใจว่าจะได้แต่งกายเป็น

ตำรวจได้โอ้อวดชาวบ้าน แต่เหตุการณ์กลับผิดคาด ไม่ทำก็ไม่ได้ด้วย

ต่างก็ได้ยินถ้วนทุกตัวคนว่า มีทางเลือกทางเดียวคือ ตาย เท่านั้นเอง

แต่กระนั้นทุกๆคนก็พอใจ ด้วยสิทธิพิเศษหลายๆอย่าง และสารวัตร

บอกว่ามีมากกว่าตำรวจที่แต่งเครื่องแบบเสียอีก ตายก็จะได้รับการ

ปูนบำเหน็จสูงขึ้นกว่าตำรวจธรรมดา อย่างน้อยก็เป็นหมวดขั้นต่ำไป

ทุกๆคน  สิ่งนี้นี่เองทำให้บรรดาพระกาฬทั้งหกพากันชื่นมึนกัน

   บรรดาพรรคพวกของชวน ต่างพากันแสดงท่าทีนอบน้อมสารวัตร

และผู้กองมากยิ่งขึ้น

    ส่วนสาวลัดดาซิสงสัยยิ่งนักที่จู่ๆโต๊ะชายแปลกหน้ากลับไปร่วม

โต๊ะกับพวกทโมนทั้งเจ็ดได้อย่างไรกัน  จะเข้าไปถามหรือก็เกรงใจ

จะเสียมารยาทสู้ทนเก็บไว้ในใจ  แต่ใจหล่อนช่างรุ่มร้อนเสียจริงๆ 

กะว่าหากชายแปลกหน้าไปแล้วจะเข้าไปถาม

 จึงได้เพียงอยู่หน้าเคาเตอร์ค่อยมองๆดูเสมอๆคอยจังหวะเวลาเท่านั้น

    แต่แล้วหล่อนก็ต้องผิดหวังเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากชวนให้มาเก็บ

ค่าอาหาร  หล่อนนึกว่าคงจะต้องรีบออกไปพร้อมๆกันทั้งหมดแน่

นอน   จึงเดินเข้าไปหาทันที


   “นี่คุณดา   นี่คุณชัชวาย์กลับพวกเป็นพวกเราทั้งหมดนี่แหละ  และ

ค่าอาหารทั้งหมดเท่าไหร่หรือจ๊ะ???......”

   “วันนี้ดาไม่คิดค่าอาหารหรอกจ้าพี่ชวน ตามสบายเถอะพี่ วันหน้า

ชวนเพื่อนๆมาอีกก็ได้นะ”

    หญิงสาวสวยโสดประจำหมู่บ้านบางโคเอ่ยขึ้น

   “จะได้หรือจ๊ะของทุกวันนี้ของก็แพงเสียด้วยล่ะ คิดมาเถอะจ้า”

  “พูดไม่รู้เรื่องหรือไงล่ะพี่ชวน  ดาว่าไม่ก็คือไม่ซิ”

อากัปกิริยาเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือทันที

  เมื่อได้รับการปฏิเสธของหล่อน  ทำเอาสารวัตรและพวกตาค้างไป

ทันทีต่อสิ่งที่พบเห็น ว่าอารมณ์หล่อนนั้นเป็นอย่างไร สมแล้วที่พวก

นี้เรียกหล่อนว่า แม่เสือโคร่ง คงจะไม่ผิด ดังที่ได้ยินแว่วๆจากพวกนี้

เมื่อสักครู่นี้ไว้ ยามโกรธเหมือนแม่เสือ ยามดีเหมือนกวางอ่อนงดงาม

แล้วคุณชวนจะรับมือไหวไหมหน่อ???...... สารวัตรหนุ่มคิดในใจ

       แต่แล้วน้ำเสียงหล่อนก็คืนกลับสู่ปกติธรรมดาทันที

โถๆๆๆไม่เข้าใจดาเสียบ้างเลยนะพี่ชวนนะ พี่หนอพี่???...”

    หญิงสาวเอ่ยเสร็จทำหน้าตากระเง้ากระงอดทันที   เล่นเอาหนุ่ม

ชวน ต้องปลอบใจหล่อนทันใด   ดังนั้นหล่อนถึงได้ยิ้มแก้มปริ 

แล้วเดินกลับออกไป  พลางสาวดาก็หันมาทางสารวัตรและพวก

กล่าวลาทุกๆคนไปทำงานก่อน ด้วยมีคนเข้าร้านมาอีกแล้ว

   “เอ๊ะแปลกนะคุณชวนเจ้าของร้านสาวและสวยด้วยไม่ยักกับคิด

เงินเลยแปลกๆๆๆ???....”

   “ไม่ต้องแปลกหรอกครับท่าน  เพราะหล่อนหมายมั่นปั้นมือว่า

จะเป็นคู่ครองของพี่ชวนเข้าครับ”

   ไอ้วาสและไอ้กุ๋นต่างรีบแย่งกันชี้แจงทันที   คราวนี้สารวัตรถึง

จะถึงบางอ้อ  พลางตบไปที่ไหล่ของหนุ่มชวน กล่าวว่า

   “ผมดูแล้วว่าหล่อนนั้นไม่ธรรมดานะคุณชวน คุณโชคดีจัง

แต่ในความโชคดีก็มีหลายๆสิ่งที่ควรระวังไว้ด้วยนะ”

   “ครับนาย  หล่อนไม่ธรรมดาจริงๆเป็นคนห้าวหาญไม่เกรงกลัว

ใครๆ  แม่เสือโคร่งดีๆนี่แหละครับ เหี้ยมโหดดุดัน

 จะมีใครกล้าตอแยอีกเล่าครับ  จะกลัวก็เพียงคนเดียวเท่านั้นแม้แต่

พวกผมเองยังเกรงใจเธอเลยครับ”

   ไอ้ตี๋ใหญ่เอ่ยขึ้นบ้าง   คราวนี้สารวัตรหัวร่อทันที
  
   “นั่นซิสมแล้วอุปนิสัยใจคอคุณชวนนี้ ซ้ำยังมีเสน่ห์แรงอีกด้วย

  ผมเพียงได้รับรายงานจากลูกน้องว่า หล่อนหากไม่เก่งจริงคงไม่อยู่

ถึงป่านนี้ไปได้หรอก  ใจถึงมือถึงเสียด้วยเชียวล่ะ”

   แล้วสารวัตรหัวร่อพร้อมลุกขึ้น ดังนั้นทุกๆคนก็รีบลุกแล้วก้าวตาม

สารวัตรไปทันที  คงจะเป็นเพราะไอ้เปล่งหิ้วถุงเสื้อผ้ากำลังจะก้าว

เข้ามาในร้านพอดี  หนุ่มชวนก็เอ่ยขึ้นว่า

   “ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอแยกตัวกลับบ้านเลยนะครับ” 

พร้อมยกมือขึ้นไหว้สารวัตรทันที

   “ตามสบายเถอะคุณชวน อ้อๆๆเดี่ยวผมจะนำนายเปล่งไปส่งให้

นายแล้วก็จะให้นายเซ็นต์ชื่อแล้วจะรีบส่งรายงานไปโดยด่วนด้วย

คงจะไม่เสียเวลานานหรอก  คิดว่านายคงจะรายงานไปทางท่านแล้ว

กระมังน๊ะ”

    ดังนั้นทุกๆคนต่างก็แยกย้ายกันไป  จนร้านคงเหลือไว้พวกที่มา

สั่งอาหารกินไม่ขาดสาย  จนทำให้แม่ลัดดาวุ่นวายไปพักหนึ่ง

    ตกเดือนหนึ่งผ่านไปเห็นจะได้งานแต่งงานของเจ้าชัยและ

สาวบงกชก็เป็นที่เรียบร้อย  

หนุ่มชัยก็ต้องมาอยู่บ้านเจ้าสาวเป็นเวลาหนึ่งเดือนตามประเพณี ใน

ระหว่างงานแต่งนั้น 

  บรรดาไอ้แม้นและพรรคพวกไม่มีเวลามาจุ้นจ้านได้ด้วย  ไอ้แม้น

เพียงแต่มองขบวนขันหมากแห่ผ่านหน้าบ้านมัน นอกจากยังไม่

หายดีจึงได้แต่กัดฟันกร๊อดๆ  และหญิงชายต่างก็นั่งมองดูเฉยๆ

เท่านั้น  นอกจากได้ยินบรรดาสาวๆต่างเปรยขึ้นเบาๆกับพวกสาวๆ

ว่าเมื่อไหร่หนอพวกเราจะได้มีโอกาสแต่งงานแบบนี้ด้วย

หรือเปล่าก็ไม่รู้เท่านั้น  ส่วนพรรคพวกเหลือไว้แต่บรรดาสมุน

พวกมันเจ็บมาก   คนเจ็บน้อยก็มัวสารวนกับการลำเลียงของเพื่อจะ

ส่งมอบให้กับเสียเม้งที่จะมารับของ ด้วยกำนันมั่นไม่ยอมให้ใครๆ

ไปไหนๆอีกแล้ว  กลัวจะเสียงานทำให้แกต้องเดือดร้อนขึ้นอีก

    ดังนั้นครั้นเวลาผ่านหนึ่งเดือนไปหนึ่งเดือนกว่าๆ

หนุ่มชัยก็นำสาวบงกชมาอยู่ที่บ้านของพ่อเชียรแม่เข็ม ต่างทำความ

เคารพพ่อแม่  แล้วเข้าไปยังห้องตนเองซึ่งพ่อเชียรแม่เข็มจัดไว้ให้

โดยเฉพาะส่วนตัว  ตลอดยังได้พบกับนายเปล่งซึ่งพี่ชายได้แนะนำ

ให้รู้จัก ต่างคนก็ทำความสนิทสนมกันนับเป็นครอบครัวเดียวกันไป

แล้ว  มันทราบภายหลังว่าทุกๆคนได้รับการบรรจุเป็นตำรวลับกัน

หมดทั้งสิ้นตลอดจนผ่านการฝึกฝนเพิ่มเติมอีกมากมาย  ส่วนตัวมัน

เองนั้น  ต้องคอยรับใช้หัวหน้าใหญ่ตลอดจนเป็นที่ปรึกษาอีกทาง

และมันก็ได้รับการบรรจุเป็นตำรวจลับด้วยเช่นกัน มือซ้ายขวาของ

ของหัวหน้ามันนั้นตลอดจนบริวารล้วนเป็นหุ่นพยนต์ ที่หัวหน้ามัน

ได้สร้างขึ้นทั้งสิ้น  ตลอดจนได้รับการแนะนำให้รู้จักกันด้วยและ

ยังได้พบกับแสงสี สินชัยมือซ้ายขวาของหัวหน้าและบริวาร

ทั้งหลายของหัวหน้า  โดยมีหัวหน้าเขาเป็นผู้ฝึกปรือให้เอง และยิ่งทึ่ง

ในความสามารถพิเศษของหัวหน้า ที่เชี่ยวชาญอาวุธยุทโธปกรณ์

ตลอดจนเวทย์มนต์ต่างๆ  และพวกนั้นล้วนเป็นพวกหุ่นพยนต์ที่

เจ้านายมัน ปลุกเสกขึ้นทั้งหมดเป็นบริวารนอกเหนือจากพวก

สายลับพิเศษอีกทอดหนึ่ง ซึ่งคนอื่นย่อมจะไม่รู้หากนายใหญ่

ไม่บอกมันไว้   ดังนั้นอุปนิสัยใจคอที่ฉลาดหลักแหลมสุขุม

มีความละเอียดอ่อนความจำเยี่ยมและตัวของมันเองยังได้รับ

การถ่ายทอดวิชาให้เกือบทั้งหมด  ทำให้มันเป็นไอ้เปล่งคนใหม่จึง

บังเกิดความเคารพนับถือทั้งกายและใจ ตลอดจนได้รับการฝึกปรือ

ด้านสมาธิซึ่งมันเกิดมาไม่เคยรู้จักอีกทางหนึ่งด้วย...........

        แก้วประเสริฐ.   

1139348gm3744qpip.gif				
11 เมษายน 2554 12:12 น.

อทิสมานกาย ๘๔

แก้วประเสริฐ


index.php?action=dlattach;topic=7053.0;a
                      อทิสมานกาย ๘๔

   ขณะที่ไอ้เบี้ยวกำลังออกจากพวกมาลัย  เพื่อนำรถไปเก็บไว้

ที่ใต้ถุนบ้าน   มันพยายามมิให้เกิดเสียงดัง  ครั้นเรียบร้อยแล้ว

มันก็หันหลังกลับ    แต่แล้วมันก็ต้องสะดุ้งเฮือกร่างกายเย็นชา

เมื่อสายตามัน   เหลือบไปเห็นสิ่งนอกรั้วบ้าน

มันขยี้นัยน์ตาคิดว่าตามันฝาดไป หรือเป็นต้นไม้ แต่ทว่าไม่ใช่

ด้วยมันเป็นร่างคนแต่สูงใหญ่ชะลูดยืนกวักมือไหวๆไปๆมาๆ

   ภายนอกบ้านบรรยากาศสลึมสลือ ขมุกขมัวนักมีเพียงแค่แสง

ดาวเท่านั้น ส่วนเดือนเสี้ยวก็ลับหายไปแล้ว หลังม่านเขา ท้องฟ้า

จึงมีเพียงแค่ดวงดาวเท่านั้น

เมื่อมันแน่แก่ใจ ตาที่เหลือกลานคิดว่าเป็นพวกผีร้ายตามพวกมัน

มา แต่เสียงเรียกมันคล้ายๆคนคุ้นเคยยิ่งนัก

  “ไอ้เบี้ยวๆๆๆ!!!!....ช่วยพวกกูด้วย  กูเข้าบ้านไม่ได้

โว้ย!!???....  มึงช่วยบอกเจ้าที่เจ้าทางด้วยพวกกูจะได้เข้าไป

ในบ้านได้ว๊ะ”

เสียงล่องลอยมาแผ่วเย็นยะเยือกนัก    เมื่อแน่แก่ใจแล้วพลางมัน

จึงร้องแหกปากลั่น

“ ผีมันตามเรามาโว้ยไอ้แม้น  ผีหลอก!!!!!.......”

กล่าวเสร็จไม่พูดล่ามทำเพลง  รีบตาเหลือกวิ่งไปยังพวกที่ยังอยู่

ใต้ต้นมะขามใหญ่   แซงหน้าพร้อมแหกปากร้องลั่นไปด้วย

       ขณะที่เจ้าแม้นก็กำลังจะรีบเดินไปที่ยังแคร่ใต้ต้นไม้   เมื่อ

มันแลเห็นร่างของไอ้แช่มกำลังได้รับการดูแลจากพรรคพวก

ไอ้อ๊อดและบรรดาสาวๆเฝ้ารุมล้อมทั้งหลาย  บ้างกำลังใช้พัด

ช่วยกันโบกบ้าง  ใส่ยา เช็ดแผลซึ่ง ร่างไอ้แช่มเต็มไปด้วยรอยเลือด

เปื้อนเสื้อผ้าไปหมด    

เมื่อได้ยินเสียงไอ้เบี้ยวร้องขึ้นว่า ผีหลอกตามมาเท่านั้นเอง

มันก็ตกใจทั้งที่อาการเจ็บปวดแทบหายเป็นปลิดทิ้ง   รีบเดิน

กึ่งวิ่งรีบเขยกไปหาทันที    ส่วนไอ้หาญกำลังช่วยพยุงร่าง

ของไอ้ผันซึ่งขาข้างหนึ่งมันแทบจะใช้การไม่ได้หากไม่พยุงไว้

ร่างมันก็คงจะทรุดกับพื้น   ไอ้ผันลืมความเจ็บปวดว่ามันขาหัก

รีบวิ่งได้ทันที แซงหน้าพวกทั้งหมด
 
     ไอ้แม้น เดินนำล่วงหน้าไปก่อนแล้ว  สะดุ้งเฮือกทั้งตัวรวม

ถึงบรรดาที่ต่างหนีผีร้ายกันมาทุกๆคนด้วย

เมื่อพวกมันต่างได้ยินเสียงร้องลั่นของไอ้เบี้ยวร้องลั่นแหกปาก

ตะโกนบอกพรรคพวกทันที   เมื่อแลไอ้เบี้ยววิ่งพลางชี้มือไป

พลาง    ครั้นพวกมันมองไปยังนอกรั้วมันแลเห็น

ร่างของไอ้โจ๊ก ไอ้เข่ง ไอ้สน ไอ้เจี๊ยบ ไอ้ผ่อง ไอ้เขียวและไอ้ดำ

ยืนทะมึนในเงามืด  แต่ร่างมันสูงใหญ่เลยรั้วบ้านเกือบเท่ากับ

ต้นไม้ใหญ่ข้างทางหน้าบ้าน     ร่างที่ปรากฏนั้นทั้งหมดพวกมัน

ต่างใบหน้าบิดเบี้ยว  แสดงความเจ็บปวดด้วยเสียงร้องแผ่วแต่

โหยหวนยิ่งนัก   พลางกวักมือเรียกพวกมันไหวๆ  ตลอดทั้ง

ร่างพวกมันชุ่มไปด้วยเลือดไหลย้อยออกมาตามร่างกายในลักษณะ

ต่างๆกัน   พวกผีพวกมันพยายามจะเข้ามาในบริเวณบ้านให้ได้

       ร่างไอ้สนและเกือบทั้งหมดต่างกวักมือเรียกมัน   เสียงแหบๆ

ดังลอยแว่วเข้าหูมัน

     “ไอ้เบี้ยว ไอ้แม้นโว้ย!!!!!????....ช่วยกูด้วยๆๆๆๆ  

กูเข้าบ้านไม่ได้แล้วมึงออกมารับกูหน่อยซิว๊ะ   มีใครก็ไม่รู้ไม่ยอม

ให้กูเข้าไปในบ้านว๊ะ!!!!!......”

   ทุกๆคนรู้ว่าเป็นพวกมันทั้งสิ้นหาใช่ผีร้ายที่มันได้พบเจอไม่

ต่างแยกย้ายกันยืนอยู่   และช่วยกันส่งเสียงร้องและกวักมือด้วย

อยู่บริเวณนอกรั้ว  พร้อมยื่นมืออันยาวเหยียดเหมือนจะปัดอะไร

บางอย่างที่สกัดพวกมันไว้  ต่างร้องระงมร่างมันส่ายไปๆมาๆอยู่

    ทั้งหมดหยุดชะงักชั่วคราวต่างมองไป   มันแลเห็นว่าพวกมันเอง

ที่ต่างร้องระงม  มันแลเห็นไอ้เข่งไอ้โจ๊กซึ่งมันรู้ว่าทั้งสองคนนี้ได้

ตายไปแล้ว  และยังนำศพมันไปให้สัปเหร่อวัดเผา  แต่ไหง๋มันมา

ยืนรวมกับพวกมันที่ไปบ้านอดีตกำนันได้เล่า  

    ครั้นมันได้ยินเช่นนั้นก็รู้ด้วยสัญชาติญานทันทีว่า  พวกมันที่

เห็น  นั้นตายไปหมดแล้วเป็นผี     ทันใดมันก็ได้ยินเสียงหมาหอน

ทั้งๆที่บ้านหรือแและบริเวณแถบนี้ก็ไม่มีใครเลี้ยงหมาสักตัวเดียว

แต่เหตุไฉนจึงมันจึงได้ยินเสียงหมาหอนอย่างโหยหวนอีกเล่า

    ขนผมบนหัวพวกมันตั้งชันทันที  คราวนี้มันรู้แล้วว่าอะไรเป็น

อะไรจึงต่างพากันได้แหกปากร้องลั่น ทำให้พวกไอ้แม้น ไอ้หาญ

และไอ้ผันสะดุ้งตาเหลือกลาน ต่างพากันร้องบอกต่อกันและกัน

    “ผีหลอกโว้ยๆๆๆๆ!!!!!!....ไอ้แม้น  โน่นมันยืนนอกรั้วพวก

เรามีไอ้โจ๊กไอ้เข่งไอ้สนอีกหลายๆคนยืนอยู่โน่น????
.....
แล้วร่างมันวิ่งทีเดียวถึงโค้นต้นมะขามที่พวกสาวๆอยู่ทันที


       ไอ้แม้นและพรรคพวกต่างก็แลเห็นเมื่อไอ้เบี้ยวบอก

ซึ่งมันเห็นแล้วว่าเป็นบรรดาพรรคพวกที่ยืนนอกรั้วเช่นกัน

   ร่างของมันสั่นเทาพร้อมด้วยไอ้หาญและไอ้ผันตลึงและ

รีบออกวิ่งทันทีตัวใครตัวมัน ต่างใส่ตีนหมากันเป็นแถวๆ

ส่วนไอ้ผันลืมความปวดโดยสิ้นเชิง    มันรีบวิ่งไปยังบรรดากลุ่มที่

มีแสงไฟของบรรดาสาวๆอยู่ก่อนใครเพื่อนด้วยความหวาดกลัว
  
     ตามติดด้วยไอ้เบี้ยวไอ้หาญและไอ้เบี้ยว   พากันกันวิ่งแข่งกัน

ทันทีอย่างรวดเร็ว พวกมันเมื่อมาถึงหลับตาปี๋หาที่ซุกซ่อนทันใด

       เมื่อทุกๆคนมาถึงบรรดาสาวๆ  มันรีบมุดหัวมันเข้าไปใต้ผ้าถุง

บรรดาสาวๆ  ซึ่งใกล้ที่สุด

   นางสร้อย นางช้อย นางลัดดานางนวล  ส่วนนางชบากับนางนวล

กำลังช่วยไอ้อ๊อดรักษาไอ้แช่มอยู่   แต่ทว่าพวกสาวๆเหล่านี้ไม่ได้

แลเห็นอะไรเลย  ต่างตกใจร้องหวีดว้าย!!!????....ดังลั่นไปตามๆ

พร้อมทั้งเถิบตัวหนี บ้างถีบใส่หน้าพวกที่เสือกมาหลบยังใต้ผ้าถุง

ทำให้ผ้าถุงหลุดจากร่างมาครึ่งหนึ่งก็มี  ปากต่างก็ร้องด่าขึ้น

   “ไอ้ห่ารากเอ๋ย????....เป็นอะไรไปมาถึงก็มุดซุกใต้ผ้ากูถุงกู

ทำไมกันว๊ะ  มึงกลัวอะไรถึงปานนั้น  ผ้าถุงกูจะหลุดแล้วโว้ย”

   “เฮ้ยๆๆอย่ามากไปซิว๊ะ ไอ้ห่าข้าไม่ได้นุ่งกางเกงในนะโว้ย??..”

   “ กูก็เหมือนมึงแหละว๊ะะอีสร้อย  โอ้ยๆๆ!!!ๆๆๆ..จั๊กจี๊ๆโว้ย”

   “เฮ้ยๆๆๆ...เอาหัวมึงออกไปเดี๋ยวนี้นะโว้ย  เยี่ยวกูจะแตกแล้วล่ะ

รดหัวมึงไม่รู้นะ ไอ้ห่าราก!!!!!.....”

     สาวนวลร้องลั่นไม่ลั่นเปล่า ส่งเสียงหวี๊ดว้ายๆดังไปทั่วบริเวณ

บ้าน บ้างลุกขึ้นจะหนี บ้างถอยหลังไปชนต้นไม้ ต่างวุ่นวายไป

หมด  แต่ทุกๆคนมัวสะระวนกับการผลักหัวของพวกมัน

    เสียงบรรดาสาวๆต่างด่ากันลั่นแล้วรีบถอยห่างออกให้พ้น  แต่

พวกนั้นไม่ยอม  ติดตามซุกอยู่ตลอดเวลา

   คราวนี้ไอ้เบี้ยวตั้งสติได้ รีบร้องลั่นขึ้นทันที พลางมุดออกจาก

ผ้าถุงจากอีสร้อย พร้อมร้องบอกอีสร้อยให้หันไปดูมีอะไร

แล้วชี้ให้บรรดาสาวๆดูสิ่งที่มันเห็น

   “  ผีพวกเรามันหลอกเราว๊ะ  โน่นๆๆๆ!!!!.....โน่นๆมันยืนอยู่

นอกรั้วบ้านโว้ย”

      คราวนี้บรรดาสาวๆที่ถูกพวกมันมุดใต้ผ้าถุง ต่างก็แลเห็นร่าง

ของพวกมันนอกรั้ว   แต่ตัวมันช่างสูงชะลูดเกือบเท่าต้นไม้หน้า

บ้านจึงรู้ทันทีว่าทำไมถึงไอ้พวกนี้เข้ามาซุกใต้ผ้าถุงมัน
  
     เท่านั้นเองวงก็แตกกระเจิงกระจายทันที  เสียงขวดเหล้า จาน

ต่างตกลงมาดังเพล้งๆๆไปทั่ว   บรรดาสาวๆต่างวิ่งหนีแยกกันไป

หาที่หลบซ่อน บ้างวิ่งไปแอบบ้านที่ปลูกใหม่ข้างๆบ้าน  บ้างก็วิ่ง

ขึ้นบนบ้านใหญ่  เมื่อเห็นห้องก็รีบเข้าไปทันทีหาผ้าห่มซุกหัวกัน

บ้างก็เปลือยเปล่าใส่แต่เสื้อเท่านั้น ผ้าถุงมันหล่นหายไปเมื่อไหร่

ไม่รู้   พวกแค่คำนึงจะหนีพวกผีที่มันเห็นเท่านั้นไม่คำนึงใดๆ

ทั้งสิ้น  ร่างกายจะเป็นอย่างไรก็ช่างไม่สนใจอีกแล้ว

     อีชบากับอีพลอยพร้อมด้วยไอ้อ๊อดก็แลเห็นทันหมด เว้นแต่

ไอ้แช่มเท่านั้นที่มันสลบไปอีกด้วยความเจ็บปวด 

 ดังนั้นจึงทิ้งร่างไอ้แช่มลงกับแคร่นอนเพียงคนเดียว   นอกนั้นร้อง

ลั่นพากันวิ่งตัวใครตัวมัน  เสียงร้องดังจนทำให้กำนันมั่นซึ่งนอน

หลับอยู่สะดุ้งตกใจ   พลางตะโกนลั่นทันที



    “ไอ้พวกเวรๆๆๆ????ตะไล????.....แหกปากร้องทำไมกูนอน

กำลังสบายๆ   จะแดกก็แดกไปทำไมต้องโวยวายกันลั่นไปหมดว๊ะ

เดี๋ยวกูลงไปกรทืบพวกมึงนะโว้ย หากยังเสือกเสียงดังอีก”

    เสียงกำนันมั่นแหกปากร้องลั่นด้วยความตกใจระดมด่าต่างๆนา

ไปด้วย   พลางลุกขึ้นออกมาหน้าบ้านราวลูกคั่นทันที  เมื่อมองไป

ยังบริเวณที่พวกลูกและพวกมันกินเหล้าประจำไม่เห็นใครๆมีเพียง

ร่างหนึ่งเท่านั้นที่นอนแผ่หลาบนแคร่

     ร่างไอ้แม้นถลันมาคนแรกทั้งๆที่ร่างกายมันเคล็ดขัดยอกไป

แต่บัดนี้หายเป็นปลิดทิ้งไปแล้ว  รีบร้องบอกพ่อมันทันที

    “พ่อๆๆๆๆ!!!!!.....ผะอี...ผีๆๆๆพ่อ  โน่นมันยืนอยู่นอกรั้วบ้าน

โน่นๆๆๆๆพ่อโน่นๆๆ  ข้าไปก่อนนะพ่อไม่ไหวพ่อ??....”

     พอมันพูดเสร็จก็รีบวิ่งไปห้องมันที่อยู่ข้างๆทันทีไปถึงไม่พูดร่ำ

ทำเพลงใดๆรีบคว้าผ้าห่มมาซุกคลุมหัวร่างมันตัวสั่นเทาๆร้องคราง

เสียงดัง ฮือๆๆๆลั่นบ้าน

   “ผีพ่อผีแม่มึงหรือไอ้แม้น  อ้าวๆๆๆไอ้ห่าผีแม่มึงหรือว๊ะ???...กูไม่

เห็นมีอะไรสักอย่างหนึ่งโว้ย”

ตั้งใจว่าจะด่าให้มากอีก

      แต่แล้วคำพูดมันก็ชะงักเมื่อมองไปตามมือลูกชายมันชี้  มันเห็น

ร่างของพวกลูกน้องมันยืนอยู่   ร่างกายเปื้อนเลือดไปทั่วร่าง
 
 ครั้นแรกกำนันมั่นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก  นึกจะเอ่ยปากด่าลูกชาย

สร้างเรื่องโกหกหลอกมัน
   
     ครั้นมองเห็นถนัดๆแม้จะเป็นพวกลูกน้องของมันบริเวณนอกรั้ว
  
แต่ทำไมร่างมันจึงสูงใหญ่ชะลูด เกือบเท่าต้นไม้ใหญ่  สูงๆๆเกือบ

ทุกๆคน    ดังนั้นกำนันมั่นอ้าปากค้างตาเหลือกค้าง

กำนันรู้ทันทีว่าเป็นอะไร  จึงหันหลังกลับรีบวิ่งเข้าห้องทันที

มันรีบคว้าร่างอีกแจ่มซึ่งกำลังนอนบนเตียงคุดคู้เข้าไปกอดพร้อม

ดึงผ้าห่มมาคลุมหัวตัวสั่นเทา   แต่อาการกลัวยังไม่หายจึงค่อยๆ

ลอดหัวออกมา 

     เมื่อกำนันนึกได้ว่าหัวเตียงมันมีเหล้าอยู่ครึ่งขวด  ที่เหลือตอน

หัวค่ำไม่รอท่า  รีบคว้ามาดื่มเพียวๆจนหมดขวดทันที  

 แล้วรีบซุกร่างอีแจ่มทันที   ร่างกำนันสั่นเทานางแจ่มสะดุ้งตื่นขึ้น

ทันทีนึกว่ากำนันมีอารมณ์อีก  แต่มันก็ต้องชะงักเมื่อร่างกำนันที่

กำลังกอดมันเหม็นเหล้าคลุ้งแต่ตัวสั่นเทาซุกหน้ามายังร่างนาง

   ครั้นได้ยินเสียงพึมพรำของกำนันเท่านั้น  มันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

รีบซุกร่างกอดกันกลมใต้ผ้าห่มทันที

    ครั้นเช้ารุ่งขึ้นเวลาสายๆ   กำนันมั่นจึงคลายความหวาดกลัวลง

พลางออกจากห้อง ชำระล้างร่างกายแล้ว แต่ความมึนเมายังค้าง

อยู่บ้าง  เพราะซัดเพรียวๆครึ่งขวด   พลางตะโกนเรียกหาลูกชายลั่น

   “ไอ้แม้นโว้ยๆๆไอ้แม้น   มึงรีบออกมาบอกกับกูหน่อยว่าเกิด

เหตุอย่างไร???...มึงไปทำอะไรกันมาว๊ะ”

     เมื่อไอ้แม้นอยู่ในห้องเห็นสายแล้วก็ถอนหายใจรีบออกมา

ตามคำพ่อมันเรียก   พลางรายงานเรื่องราวทั้งหมดให้พ่อมัน

รู้ทั้งหมด   ครั้นกำนันมั่นได้ยินเช่นนั้นก็ตบเข่าพรวดๆ

อึ้งไปพักหนึ่ง  ปากก็ร้องบอกลูกชายให้ไปล้างเนื้อล้างตัวก่อน

พร้อมลั่นด่าทันทีว่า 

   “ไป๊ๆๆๆๆไป...ไอ้ห่านี้ชอบทำเรื่องให้กูปวดหัวอีกแล้ว

ไปอาบน้ำอาบท่าแปรงฟันก่อนโว้ย รีบแต่งตัวก่อนเหม็นฉิบหายเลย 

 แล้วค่อยมาบอกกูอีกทีหนึ่ง  ไปตามพวกที่เหลือมาพบกูด้วย กูว่า

เรื่องจะไปกันใหญ่  ไอ้เหี้ยนี้หากไม่ใช่ลูกกูแล้วมึงโดนปืนกูแน่  รีบ

ไปโว้ย???”

   ดังนั้นไอ้แม้นก็รีบออกไปเดินกะโผกกะเผกไปอาบน้ำ ครั้นพบ

นางจ้อยก็รีบสั่งทันที

   “อีจ้อยมึงรีบไปตามพวกที่ยังไม่ตาย  บอกว่าพ่อกูให้มาพบ

ด่วนว๊ะ”

   “จ๊ะๆๆ...พ่อแม้น  จะไปเดี๋ยวนี้แหละจ้า”

   “อ้อ เรียกอีพวกสาวๆมาด้วยนะโว้ย มาเป็นพยานให้กูด้วย  เดี๋ยว

พ่อกูจะไม่เชื่อว๊ะ  ว่ามันเห็นอะไรบ้าง??......

   นางจ้อยได้ฟังก็พยักหน้ารับ แล้วรีบลงไปข้างล่าง  เพื่อไปตามตัว

บรรดาสาวๆและพวกไอ้แม้นตามคำสั่ง  โดยไม่ซักถามอะไรอีกด้วย

มันพบว่าหน้าตาไอ้แม้นบวมปูดช้ำๆเป็นรอยเขียวๆไปหมด และ

อารมณ์ไอ้แม้นไม่ค่อยจะดีด้วย  จึงรีบไปตามคนที่มันต้องการทันที

    สักครู่ใหญ่พวกที่มาได้ก็พร้อมหน้าที่ภายในห้องนั่งเล่นที่

กำนันมั่น  กำลังนั่งเอนหลังมีสาววัยรุ่นกำลังบีบนวด พลางถามไถ่

ครั้นได้ความ  พลางสั่นหน้าเอ่ยขึ้น

   “ไอ้ห่าแม้นเฮ้ย!!!!....มึงหนอมึงไม่น่าเลยว๊ะทำเป็นหึงหวงไปได้

แล้วไอ้ที่พวกมึงกับกูเห็น กูว่ามันคงจะตายห่าหมดแล้วล่ะ???..มันจึง

ตามพวกมึงมา  ด้วยตอนนี้ไม่รู้ว่ามันจะไปอยู่ที่ไหน ที่มึงว่าได้ยิน

บอกว่า  เข้าในบ้านไม่ได้สงสัยว่าจะหาที่อยู่แถวบริเวณหน้าบ้านเรา

นี่แหละว๊ะ   แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ นี่กลางวันมันออกมาไม่ได้ หาก

เป็นกลางคืนล่ะจะทำอย่างไรดีว๊ะ  พวกมึงออกความเห็นด้วยซิว๊ะ

ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ได้”

   บรรดาพวกไอ้แม้นที่เหลือพูดอะไรไม่ออกได้แต่กัดฟันระงับ

ความปวด    ไอ้แม้นและไอ้เบี้ยวเจ็บไม่มากนักก็ต่างมองหน้ากัน

ไอ้แม้นก็เอ่ยขึ้น....

   “พ่อๆๆเรื่องมันแล้วก็แล้วไปเถอะ  ที่ทำไปนั้นไม่อยากให้ใครมา

ลบหลู่พ่อกำนันมั่นของข้าได้นี่นา  ฉันเป็นห่วงก็ทางด้านไอ้สนกับ

พรรคพวกเท่านั้นว่า

มันยังนอนตายคงอยู่หรือเปล่า  เห็นไอ้แช่มบอกว่าเหลือมันคนเดียว

 นี่ก็ตอนขึ้นมา   ข้าได้สั่งให้พวกเด็กๆที่มาทำงานไร่านาบ้านเรา


ไปช่วยสืบดูทางบ้านพ่อหวนอยู่แล้วล่ะ ประเดี๋ยวก็คงจะรู้หรอก

พ่อ???....คงไม่นานหรอกข้าให้มันเร่งสืบๆแล้วมารายงานโดยเร็ว”

   “เออๆๆๆถ้างั้นก็แล้วไปโว้ย  ที่จริงกูกับไอ้หวนก็เคยร่วมงานการ

มาแต่ทำไมมันถึงปฏิเสธก็ไม่รู้  เมื่อมันทำเช่นนี้แสดงว่ามันหยาม

หน้ากูมากเสียด้วย ถึงได้ไปยกลุกสาวมันให้ไอ้เชียรซึ่งไม่เห็นจะมี

อะไรนี่นา นอกจากแค่เพียงเพาะปลูกขายต้นไม้ทำไร่นาเท่านั้นเอง

ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา   มึงเอาพวกบาดเจ็บหนักหน่อย ช่วยมันใส่

หยูกใส่ยา    นี่ไอ้ผันไม่มาแสดงว่าเจ็บหนักมากๆเสียด้วย 
  
ให้มึงไปตามหมอแผนโบราณมารักษาก็แล้วกันจะนำตัวมันไป

ส่งที่อนามัยก็ไม่ได้เสียด้วย เดี๋ยวเรื่องจะถึงตำรวจ  ก็จะไปกันใหญ่

โว้ย  ส่วนมึงล่ะเจ็บคงไม่มากนะใช่ไหม???....ไอ้แม้น”

   “ข้าเองไม่มากหรอกดังที่พ่อเห็นนี่แหละ ไอ้ผันซิเจ็บมากกระดูกขา

มันหักโปนออกมา   เขาว่าหมอแผนหมอชาวบ้านเก่งทางกระดูก

เหมือนกัน  ได้ยินว่าเคยรักษาคนขาหักหายมาแล้ว ตอนนี้ข้าให้คนไป

ตามมารักษามันแล้วล่ะพ่อ”

     แต่แล้วทุกๆคนก็หยุดชะงัก  เมื่อเด็กเข้ามาแจ้งแก่กำนันว่า เสี่ยเม้ง

มา กำลังแล่นรถมาจอดหน้าบ้านแล้ว

   “เฮ้ยๆๆๆ.....พวกมึงรีบออกไปกูจะรับหน้า   หากมันเห็นพวกมึง

เป็นแบบนี้จะไม่ดีโว้ย   ไปรีบไปลงทางบันไดหลังบ้านนะ”

    “จ๊ะพ่อ”

ไอ้แม้นรีบรับคำ  และรีบพยักหน้าให้พวกมันรีบออกไปลงทางหลัง

บ้านทันที

      กำนันมั่นก็ไล่เด็กสาวๆให้ออกไปแล้วสั่งให้มันว่า

 “มึงรีบไปแจ้งแม่ครัวให้จัดเตรียมอาหารไว้ด้วย  นำเหล้านอกพร้อม

กับแกล้มเข้ามาด่วน จัดตั้งโต๊ะรอคอยไว้ แล้วรีบทำหน่อยนะ เขาคง

มาไม่นานหรอกว๊ะ???......”

เด็กรับฟังดังนั้นก็รีบออกไปทางหลังบ้านโดยเร็ว   กำนันมั่นก็รีบเดิน

ออกไปหน้าบ้านคอยรับ  โดยมีเด็กนำหน้าเสี่ยเม้งและพรรคกำลัง

ก้าวขึ้นมาพอดี   กำนันมั่นรีบยกมือไหว้เมื่อเห็นเสี่ยเงยหน้าขึ้นมา

   “เชิญๆๆๆเสี่ยและทุกๆคนขึ้นมาก่อนนะ  บ้านพึ่งปลูกเสร็จไม่

เท่าไหร่นี่แหละ  คงขลุกขลักบ้างนะ ทุกอย่างยังไม่เข้าที่เข้าทาง”

   “ไม่เป็นไรหรอกกำนัน  ข้ามาไม่นานหรอกเพียงจะมาแจ้งข่าวให้

กำนันฟัง  เพื่อจะได้เตรียมตัวเพราะได้คำสั่งจากกรุงเทพฯมาด่วน

นะ”

      ครั้นเมื่อทุกๆคนเข้านั่งเป็นที่เป็นทางแล้ว   เด็กสาวก็เข้ามาถาม

กำนันว่า ของเตรียมเรียบร้อยแล้วจะยกมาเดี๋ยวนี้เลยหรือ

  ทางเสี่ยเม้งได้ยินก็หันไปตอบแทนว่า

   “อีหนูไม่ต้องหรอก  ไม่ได้มานานเอาแค่น้ำเปล่าๆก็พอ”

เด็กสาวได้ยินเช่นนั้นก็รีบถอยออกไปทันที  

     กำนันก็เอ่ยถามทันทีขึ้นว่า  เมื่อเสี่ยเม้งบอกสาวๆแล้วหัน

หน้ามาทางมัน

   “มีอะไรจะใช้ข้าหรือเสี่ย บอกมาได้เลย”

   “อ้อๆๆๆ...ไม่มีอะไรมากหรอก  ของที่ให้เก็บไว้ยังปลอดภัยดีหรือ

เพราะข้ามาแจ้งให้รู้ว่าอีกวันสองวันจะมารับของว๊ะ???....”

   เสี่ยเม้งเอ่ยขึ้น

   “ระยะนี้ของยังอยู่มากอยู่หรอกเสี่ย  ข้าเองก็ไม่ได้ออกไปข้างนอก

ต้องคอยคุมการปลูกบ้านอยู่   และมีส่วนหนึ่งที่ถูกตำรวจมันค้นพบ

และนำไป  แต่เป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  ข้าเองก็ติดต่อกับท่านรองไว้

เรียบร้อยทั้งสองคนแล้วล่ะ  เกี่ยวกับการถูกจับไป ท่านรองก็แจ้งว่า

เสี่ยได้ไปจัดการให้เรียบร้อยแล้วไว้  สำนวนก็คงเก็บไว้

ไม่ได้ไปไหนน๊ะ.....ขอบใจเสี่ยมากที่ช่วยข้าครั้งนี้”

   “ช่างมันที่เสียไปส่วนใหญ่ยังอยู่หรือ????....”

เสี่ยเม้งเอ่ยขึ้น พลางหันหน้าไปทางพรรคพวก
  
   “ข้ายังไม่ได้แนะนำให้รู้จักพวกนี้เป็นหัวหน้าควบคุมจังหวัดทุกๆ


ด้าน   เป็นคนสนิทของข้า”

    กำนันมั่นจึงหันไปมองหน้าพวกที่มากับเสี่ยเม้งทันที ทุกๆคนเพียง

แค่หันมายิ้มให้เท่านั้น

   “นี่ไอ้เซียะ  ไอ้สุย ไอ้เช้ง และไอ้มุ้ย   เออพวกมึงรู้จักกำนันไว้ด้วย

พวกเราทำงานเหมือนกันว๊ะ”

   บรรดาสมุนตัวเอ้ของเส่งเม้ง กำนันมั่นมองหน้าก็สะดุ้งในใจ ด้วย

ประสบการณ์มันซึ่งเจ้าเล่ห์อยู่แล้ว ทราบทันทีว่าไอ้พวกนี้มันพวก

พระกาฬทั้งสิ้น ใบหน้าเหี้ยมเกรียมไม่แตกต่างกันเลย  จึงหัวร่อเอ่ยว่า

   “ข้าเองก็ทำงานให้เสี่ยอยู่เหมือนกันแต่อยู่ด้านนอกเมือง  จึงไม่ได้

ค่อยรู้จักนัก  ไหนๆมาแล้วก็มากินข้าวกินปลาเหล้ายาข้าเตรียมไว้

ให้แล้วล่ะ  ขาดตกบกพร่องอย่าถือสานะตามประสาชาวบ้านนอก

ก็แบบนี้แหละ”

   “คงจะไม่ต้องหรอกข้าบอกเด็กของเอ็งแล้วนี่นา  เอ็งคงจะได้ยิน

เพียงแค่ข้ามาบอกเท่านั้นว่า วันพรุ่งนี้มะรืนนี้

จะให้พวกมันมาเอาของไป จึงได้พามารู้จักไว้เพราะต้องมารับของ

จะให้มันเอาเด็กมาขนของ เอ็งก็คงจะไม่ให้ไปจึงต้องพามารู้จัก

 อ้อๆๆๆไอ้เล้งทางกรุงเทพฯมันออกมาแล้ว  มันสั่งให้รีบนำไปส่งแต่

ข้าจะให้พวกของข้าไปจัดการเอง ให้

กำนันเตรียมของไว้ก็แล้วกัน   ข้ามาบอกเท่านี้ก็จะกลับแล้วจะไปดู

ของทางอื่นอีกด้วย”

   “หากเรื่องแค่นี้เสี่ยไม่ต้องมาเองก็ได้นี่นา  ให้เด็กมาแจ้งให้ข้ารู้

เท่านั้นก็คงจะพอแล้วล่ะ   ข้าเชื่อเพียงแค่หนังสือก็คงจะพอนะ”

   “อ้อๆๆอีกอย่างบ้านกำนันนั้นเป็นทางผ่านก็เลยแวะมาบอกเสียเลย 

เพราะต้องไปดูงานของหัวหน้าทั้งหมดด้วย

  ว่างานนี้ต้องใช้เป็นจำนวนมากเสียด้วย  ลำพังของกำนันไม่พอ

ค่าใช้จ่ายหรอก”

   “อ้าวๆๆแล้วไม่กินข้าวน้ำท่าก่อนหรือ????...”

กำนันแสร้งเอ่ยขึ้น

   “ไม่หรอกว๊ะกำนัน  เมื่อรู้แล้วข้าก็จะรีบไปเสียเพราะต้องไปดูงาน

ทางด้าน ไอ้เซี๊ยะก่อนไม่ต้องอ้อมมากนัก ผ่านบ้านกำนันก็เป็นทาง

แยกไปอาณาเขตของมันแล้ว  งั้นข้าไปก่อนล่ะ”

      พลางหันหน้าไปทางพรรคพวกเอ่ยว่า

   “เฮ้ยพวกเรากลับได้แล้วทางนี้คงเสร็จธุระแน่นอน  ส่วนข้าจะไปดู

และนำของจากไอ้เซี๊ยะมาด้วย ส่วนของ ไอ้มุ้ย ไอ้เช้งกับไอ้สุย เก็บ

ไว้ก่อนก็แล้วกัน”

      ด้านไอ้เซี๊ยะพยักหน้ารับ  เสี่ยเม้งก็ลุกขึ้นพร้อมกับพวกทั้งหมด

แล้ว   หันหลังเดินลงบันไดไปโดยมีกำนันมั่นมายืนคอยส่งอยู่

เมื่อทั้งหมด  ขับรถออกไปพ้นบ้านแล้วกำนันมั่นก็อยู่ไม่ติดด้วยต้อง

ไปจัดการตามที่เสี่ยเม้งว่าจะมาเอาของในวันพรุ่งนี้มะรืนนี้ จึงต้อง

เดินลงไปข้างล่างเพื่อสอบถามของกับไอ้แม้นโดยด่วนทันที.....


                 แก้วประเสริฐ.

index.php?action=dlattach;topic=7053.0;a				
4 เมษายน 2554 00:12 น.

อทิสมานกาย ๘๓

แก้วประเสริฐ


                อทิสมานกาย ๘๓

   เสียงจักจั่นร้องระงมดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง  ตลอดค้างคาวต่างบินโฉบ

โฉบฉวัดไปๆมาๆ  หลังจากเสียงปืนได้สงบหลังจากที่มันต่างพากัน

แตกตื่นด้วยเสียงปืนที่ดังสนั่นเลือนลั่นไป  ท้องฟ้าพระจันทร์ที่

รูปร่างเสี้ยวไม่มากนัก  พึ่งโผล่พ้นขอบไม้ต่างๆ  แสงดาวต่าง

ระยิบระยับ หมู่เมฆลอยละล่องไปตามกระแสลม  บ้างเจือจาง

บ้างเกาะกันเป็นกลุ่มก้อนไม่มากนัก ท้องฟ้าจึงแจ่มใสด้วยดวงดาว

ที่พราวพร่าง ประหนึ่งแข่งกับแสงจันทร์ที่ทอริบหรี่นัก แต่แสง

เหล่านี้ก็พอจะทำให้พื้นที่บริเวณแถวนั้นสว่างผสมกับแสงไฟฟ้า

จากโคมและภายในบ้านสาดส่องออกมา จึงทำให้แลเห็นได้

พอประมาณ  แต่ไม่มากนักเท่านั้นเอง


   ร่างของชายฉกรรจ์ทั้งหก ที่แยกย้ายกันในที่ต่างๆก็พากันเข้ามาร่วม

ตัวกันที่บริเวณลานกว้าง    หน้าบ้านอดีตกำนันหวน  หนึ่งในนั้นก็

เอ่ยปากขึ้นทันที......

   “ เฮ้ยๆๆ!!!!.....รีบช่วยกันนำศพพวกนี้ออกไปแล้วมาล้างเลือดให้

หมดก่อนที่ พ่อหวนไอ้ชวนจะกลับมานะโว้ย   ไอ้ตี๋เล็ก ตี๋ใหญ่ วาส 

และไอ้กุ๋น  ช่วยกันลากพวกมันไปฝังไว้ให้ห่างไกลๆหน่อย  เอาผ้าปู

ที่รถเรา  ไอ้วาส ไอ้กุ๋น  โน่น!!!!....มึงไปเอา จอบเสียมที่ใต้ถุนบ้าน

นำไปขุดหลุมฝังโดยด่วนด้วย  ส่วนข้า กับไอ้ ชื่น จะจัดการล้างเลือด

ที่เปื้อนนี้ไว้เอง  แล้วอย่าเสือกเอาผ้าเปื้อนเลือดกลับมาด้วยฝังไปกับพวก

มันนั่นแหละ...อย่าลืมนะโว้ยขนไปฝังให้ไกลๆบ้านหน่อยนะภายในป่า

ยิ่งดีว๊ะ  กลิ่นมันจะได้ไม่ส่งคลุ้งคนผ่านถนนทางนี้ หรือพวกหาของป่า

ด้วยจะดันเสือกไปเจอเข้าจะเป็นเรื่องใหญ่ว๊ะ!!!!!!.....”     

    เสียงไอ้เปล่งสั่งการสั่งงานหน้าตาเคร่งเครียด พร้อมทั้งเดินไปตรวจยัง

บรรดาศพที่นอนตายต่างๆกันทันที

   “ไอ้ห่าราก!!!!???.....มึงทั้งสองก็สบายซิว๊ะไม่เหน็ดเหนื่อยอะไรมาก”

   เสียง ไอ้วาสเอ่ยเปรยๆขึ้น  แต่มันก็ยังเดินไปจัดการตามที่ไอ้เปล่งพูด

ส่วนพวกที่เหลือไม่กล่าวอะไร นอกจาก  ไอ้ตี๋ใหญ่ที่ห้ามปรามไว้

   “ พวกมึงทำตามไอ้เปล่งมันก็แล้วกัน หากไม่ได้มันคาดคำนวณไว้ว่า

อะไรจะเกิดขึ้น ไอ้ชวนและเข้าของคงฉิบหายกันหมด  แม้แต่เด็กและ

ผู้หญิง  ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นว๊ะ???....”

   “เออๆๆๆ....จริงของมึงว๊ะไอ้ตี๋ใหญ่  ไปๆๆๆโว้ยรีบไปทำงานกันก่อนที่

พ่อหวน แม่เย็น ไอ้ชวน และน้องสาวมันจะกลับมา”

   เสียงไอ้กุ๋นเอ่ยขึ้นบ้าง  รีบๆทำเถอะ ว๊ะอย่าชักช้าเวลาจะไม่ทันว๊ะมันเอง

ก็เหนื่อยเหมือนกันต้องหาน้ำของอื่นๆมาล้างเลือดไอ้พวกห่าพวกนี้ว๊ะ

ยังล้างรอยเลือดหลายๆแห่งด้วยโว้ย???!!!...   ว่าแล้วชายทั้งสี่แม้จะบ่น

พรึมพรำก็ตามแต่มันก็เชื่อคำไอ้เปล่ง ด้วยมันรู้ว่า  หากไม่ได้ไอ้เปล่งซึ่ง

มันเป็นจอมวางแผนการณ์ไว้ล่วงหน้าหลังจากทราบว่าทั้งหมดไปบ้าน

พ่อเชียร  มันนั่งนึกคิดไปในระหว่างอยู่ที่ร้านอาหารแม่ลัดดา จึงได้เอ่ย

ให้พวกมันเตรียมตัวมารับมือกับพวกไอ้แม้น   ก็จริงดังที่มันกล่าวไว้ไม่

ผิด   ดังนั้นชายฉกรรจ์ทั้งสี่  ก็รีบลากร่างที่ตายแล้วมากองรวมกันไว้ ส่วน

ไอ้กุ๋น ก็รีบไปเอารถกระบะมาเทียบท้ายทันที   ทั้งหมดก็รีบขนศพขึ้นรถ

ไอ้กุ๋นเป็นคนขับนำร่างที่ตายด้วยพวกมันออกไปทันที   ส่วนไอ้เปล่งกับ

ไอ้ชื่นก็ไม่รอช้า รีบไปหากระแป๋งมาสี่ใบพร้อมไม้กวาดไม้ที่ใช้กวาด

ใบไม้ต่างๆ   มาแบ่งกับไอ้เปล่งช่วยกันตักน้ำ

ในตุ่มมาล้างเลือดทั้งกองเป็นลิ่มๆจนสอาดทั้งบริเวณหน้าบ้าน กระได

และตามพุ่มไม้ที่พวกมันหนีไป   อันที่จริงไอ้กุ๋นกับไอ้วาสจะตามไปเก็บ

มันให้หมด  แต่ไอ้เปล่งห้ามไว้ว่าปล่อยมันไปจะได้ไปรายงานพวกมันว่า

การที่มาบุกรุกบ้านพ่อหวนผลจะเป็นอย่างไรบ้าง

   เมื่อทั้งหมดต่างช่วยกันทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วต่างก็มาพบกันอีกครั้ง

หนึ่ง  แต่ทุกๆคนยังไม่ได้ไปไหน ต่างพากันหาที่นั่งแยกกันไว้เพื่อระวังภัย

อาจจะย้อนกลับมาอีก   ครั้นเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง 

 เสียงไอ้เปล่งก็เอ่ยว่า

   “ไปโว้ยพวกเราข้าคิดมันคงจะไม่มีเหตุอะไรเกิดขึ้นแล้วว๊ะ”

   “ แล้วพวกเราไม่ขึ้นไปปลอบใจผู้หญิงและเด็กหรือว๊ะ???...”

   ไอ้ตี๋ใหญ่เอ่ยขึ้นหันหน้ามาถามไอ้เปล่งซึ่งตอนนี้มันทำหน้าที่เป็น

หัวหน้าแทนไอ้ชวน

   “ ไม่ต้องหรอกโว้ย  เดี๋ยวพวกผู้หญิงมันจะจำพวกเราได้ ต่อไปจะเกิด

เรื่องใหญ่กว่านี้   ไปโว้ยพวกเรา”      เสียงไอ้เปล่งเอ่ยขึ้นกับพวก

   ดังนั้นทั้งหมดก็นั่งระกระบะขับออกจากบ้านอดีตกำนันหวนหายไปใน

ความมืดทันที  

    เสียงรถกระบะที่บรรทุกพวกไอ้แม้นแล่นมา  ครั้นไอ้แม้นกะว่าห่างกัน

ได้กิโลกสองกิโล  ก็สั่งให้พวกมันขับรถแฝงเข้าไปในใต้ต้นไม้ใหญ่ริม

ทางทันที     แล้วต่างลงจากรถมายืนรอฟังคำสั่งไอ้แม้นจะให้ทำอย่างไร

   “ พวกมึงแยกย้ายไปเตรียมตัวได้แล้วว๊ะ  กูคิดว่าคงอีกไม่นานไอ้หวน

กับพวกก็คงจะมาแล้วล่ะ  แล้วอย่าเสือกเผยหน้าให้คลุมหน้าไว้ด้วยทุกๆ

คนนะโว้ย”     เสียงไอ้แม้นสั่งทันที

   ดังนั้น ไอ้โจ๊ก  ไอ้เข่ง ไอ้ผัน  ไอ้หาญ  พร้อมกับตัวมันต่างก็แยกย้ายกัน

แฝงยังตามต้นไม้ใหญ่ริมทางบ้าง  พุ่มไม้ใหญ่ๆบ้างทันที     ในระหว่างที่

ทุกๆคนกำลังเดินออกไปเสียง     นกหากินกลางคืนก็ดังขึ้นก้องกังวานคือ

เสียงของนกแสกก็ดังร้องก้องดังลั่นฝ่าความมืด บินผ่านหน้ากลุ่มมันทันที

   พวกไอ้แม้นต่างชะงักรวมทั้งพวกไอ้แม้นด้วย  ต่างสบถด่าออกมา

   “ ไอ้นกผีห่าราก!!!!????....เสือกมาร้องตัดหน้ากูได้????.....”

   “ ช่างมันเถอะว๊ะอย่าคิดมาก  โว้ย”   ไอ้แม้นที่จริงก็ตกใจเหมือนกันแต่

ฝืนทนเอา    หันไปทางพวกมันนอกจากปลอบขวัญพวกเอาไว้เท่านั้น

   ครั้นทุกๆคนได้ฟังเช่นนั้นเนื่องจากอารมณ์ไอ้แม้นมันไม่ค่อยดีจึงไม่มี

เอ่ยอะไรขึ้นมาอีก   ต่างรีบพากันแยกย้ายกันไป  ส่วนไอ้แม้นก็นั่งอยู่ริม

ทางพร้อมกับไอ้เบี้ยวคอยมองดูแสงไฟรถที่จะผ่านมาทางพวกมัน

    บัดดลเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างยาวนานโหยหวน ทอดรับกันเป็นทางเข้า

มาสลับกันเป็นทอดๆ  เสียงมันทำให้พวกที่แยกย้ายกันต่างพากันหวั่นไหว

   “ โบ๊ววว!!!!?????ๆๆๆๆๆๆ.......”

   “ โบ๊ววว????....เอ๋งๆๆๆ.....โบ๊วววๆๆๆๆ?????.....”    เสียงนั้นยังคงส่ง

เสียงมิขาดสาย  ยังคงหอนโหยหวนอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา  เล่นเอาพวก

ไอ้แม้นต่างหน้าตาเหลิกหลักๆๆๆๆไปตามๆกัน  ขนบนร่างมันทั้งผมก็ลุก

ชัน  ความเมาแทบจะเหือดหายไป  แต่พวกมันก็จ้องไปทางบ้านพ่อเชียร

     ทันใดนั้นเองไฟหน้ารถก็ส่องมาแลเห็นแต่ไกลๆ   ไอ้แม้นหันไป

ตะโกนสั่งทันที  มันพร้อมกับไอ้เบี้ยว รีบไปนำขอนไม้ใหญ่  มาวางกั้น

บนถนนขวางทางไว้ทันที  แล้วรีบแอบเข้าไปยังริมถนน  นั่งซุกตัวอยู่

พร้อมกับนำผ้าไหมพรมคลุมหน้ามัน  พร้อมถือปืนออกมาเพื่อเตรียม

พร้อมเข้าหมายจัดการทันที  ส่วนไอ้เบี้ยวก็แยกจากไอ้แม้นไปห่างไม่มาก

นัก   ในมือมันก็มีปืนเหมือนกัน  เสียงของหมายิ่งหอนรับกันเป็นทอดๆ


กันยกใหญ่  เหมือนกับการต้อนรับอะไรๆสักอย่างหนึ่งก่อนจะเงียบหาย

ไป  แต่เสียงนั้นเพียงได้ยินแว่วๆเท่านั้นเอง  ทั้งสองรีบหมอบลงทันที

   จากแสงไฟดวงเล็กๆค่อยๆใหญ่โตขึ้นเสียงเครื่องยนต์ดังใกล้เข้ามา

   “เฮ้ยๆๆๆ!!!!.....เตรียมพร้อมนะโว้ยอย่าให้พลาดเสียล่ะ”

   เสียงไอ้แม้นตระโกนสั่งทันที   ดังนั้นพวกที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งก็ทะยอย

แยกกัน   เดินออกมาแต่ห่างๆกันไว้พอสมควร

   และแล้วเมื่อรถที่มันมองเห็นใกล้เข้ามาเพียงคันเดียว  มันก็แลเห็น

ไอ้ชวนเป็นคนขับ  แม่มันนั่งกระหนาบข้าง  ด้านหลัง ไอ้หวนกับ

อีนางบงกชนั่งคลุมหัวด้วยผ้านั่งอยู่ด้านท้ายรถกระบะ    

   พอรถแล่นมาถึงที่ไอ้แม้นกับไอ้เบี้ยวแอบซุกตัวอยู่ข้างทาง  รถก็หยุด

ชะงักดับเครื่องทันที

   เล่นเอาไอ้แม้นกับไอ้เบี้ยวสะดุ้งเฮือก  มันยังไม่ทันสั่งให้พวกเข้าจัดการ

พวกมันก็พากันออกมารุมล้อมรถกระบะทันที ทุกๆคนต่างคลุมใบหน้าไว้

หมดทุกๆคน    ในมือล้วนถือปืนกันหันปากกระบอกปืนมายังรถเตรียมยิง

    เสียงเยือกเย็นจากแม่เย็นก็ดังขึ้น  มันช่างเย็นยะเยือกเข้าไปในใจไอ้แม้น

กับกับเบี้ยว  ดังถูกน้ำเย็นที่แช่น้ำแข็งสาดไว้ไม่ผิด   ร่างมันสั่นสะท้านใจ

และกายอย่างไม่น่าเป็นไปได้   ทั้งๆที่พวกมันกินเหล้ากันมาก็ยังหนาวเย็น

   “ พ่อแม้นมารอพวกข้านานแล้วเหร๋อออ????.....เข้ามาซิจ๊ะะะ????....”

   “อ้าวววๆๆๆ....แล้วไอ้สนกับไอ้แช่มม????....มันไม่มาด้วยกันเหร๋อ!!!

ไอ้แม้น”    คราวนี้เป็นเสียงไอ้ชวนที่ไอ้แม้นมันแลเห็นจากแสงสว่างใน

รถจางๆ แล้วไอ้ชวนก็หัวร่อฮึๆๆๆๆ พลางหันไปทางแม่มันเอ่ยขึ้นว่า


    “ได้เวลาหรือยังล่ะแม่???....”   เสียงช่างเยือกเย็นยิ่งนัก
   
 “เอาซิลูกตามสบายเลยนะ  ไม่ต้องไปยั้งมืออะไรมันหรอกพวกชั่วๆนี้”

เสียงเยือกเย็นโหยหวนของแม่เย็นกล่าวกับไอ้ชวน  ได้ยินมายังพวก

ไอ้แม้นทันที    พวกไอ้แม้นที่ยืนอีกฝั่งมองหน้ากันด้วยความสงสัย 

   ไอ้แม้นไอ้เบี้ยวพากันงงทันที  มันรู้ได้อย่างไรว๊ะว่าเป็นกูทั้งๆที่กูคลุม

หน้าไว้และเป็นกลางคืนเดือนเสี้ยว มีแค่แสงดาวส่องกระจ่างนิดๆเท่านั้น

   และแล้วมันก็ตาเหลือกลาน เมื่อแลเห็นไอ้ชวนชโงกหน้าออกมาจากตัว

รถพร้อมกับแม่เย็น  มันรีบขยี้นัยน์ตาทันที   คิดว่าว่าตามันคงจะฝาดหรือ

ไม่ก็ยังไม่ซ่างเมาเป็นแน่   สิ่งที่มันเห็น  ร่างไอ้ชวนยังนั่งมือถือพวงมาลัย

แต่ไหง๋คอมันยืดยาวออกมานอกหน้าต่างรถ   ใบหน้าไอ้ชวนแม่เย็นซึ่งคอ

มันยาวโค้งอ้อม  หลังคารถมาทางมันและไอ้เบี้ยว

   โอ้วว..ๆๆๆ!!!!!! มันเห็นใบหน้าทั้งสองบัดนี้หาใช่ใบหน้าของไอ้

ชวนกับแม่เย็นเสียแล้ว   เป็นใบหน้าที่ใหญ่โต ตาถลนห้อยมายังใบหน้า


หน้าตาเละเฟะส่งกลิ่นเหม็นเน่าลอยมากระทบจมูกมันทั้งสอง ซ้ำยังใหญ่


โตเท่ากระโด่งซัดข้าวไม่ปาน   ทั้งสองทิ้งปืนทันทีหวังจะวิ่งหนีด้วยมันรู้

แล้วว่าอะไรเกิดขึ้นแก่มัน  แต่ทว่าขามันกลับไม่ยอมทำงานแข็งทื่อไม่

อาจจะวิ่งหนี  ดังใจคิดได้นอกจาก เพียงแค่แหกปากร้อง  
   
“โอ้ยๆๆๆๆ....ผีหลอกโว้ย เผ่นเถอะไอ้เบี้ยว”  เสียงมันสั่นเครือ

   แต่ทางด้านไอ้โจ๊ก ไอ้เข่ง  ไอ้ผัน และไอ้หาญ  แลเห็นว่าลูกพี่มันกำลัง

คุยอยู่กับไอ้ชวนอยู่ ยังไม่ได้สั่งการใดๆ   จึงรอท่าทีคอยคำสั่งก่อน

และแล้วทั้งหมดมองไปทางหลังรถกระบะก็แลเห็นพ่อหวนและนางบงกช

ยืนขึ้น   แต่ทว่าร่างมันทำไมช่างสูงขึ้นๆเรื่อยๆ  พลางก้าวข้ามข้างรถลงมา

ทางพวกมันทันที

   “เหว๋อๆๆๆๆผะๆๆๆผีๆๆๆหลอกโว้ย????....”    เสียงไอ้หาญตะโกน

ดังลั่นทำลายความเงียบทันที    ร่างของพ่อหวนนางบงกชเมื่อก้าวลงจาก

รถแล้วก็ยื่นมือออกมา   แต่มีมันช่างน่าเกลียดหน้ากลัวยื่นยาวออกมาคว้า

ไปยังร่างทั้งสี่ทันที 

   ครั้นไอ้โจ๊กและไอ้เข่งคล้ายจะคุมสติ  พลันแหกปากร้องลั่น 

   “เฮ้ยยิงแม่มันซิว๊ะ   มึงเห็นไหมมันเอื้อมมือมาทางพวกเราแล้ว”

เสียงไอ้เข่งตะโกนบอกพรรคพวก  มันเองก็หันกระบอกปืนอัตโตเมติค

แมคนั่ม  ยิงไปยังร่างของร่างผีที่แปลงเป็นอดีตกำนันหวนและนางบงกช

ทันที  

   “ปั้งๆๆๆๆ!!!!....ปั้งๆ....ปั้ง...”

มันยิงไป ไอ้โจ๊กได้ยินไอ้เข่งกล่าวเช่นนั้นก็ได้สติต่างก็พากันระดมยิง

ไปยังร่างผีร้ายทั้งสองทันที   จากความกลัวหายไปกลายเป็นความกล้า

ขึ้นมา  มันทั้งสองยิงจนกระสุนหมด  แต่ไม่อาจจะทำอะไรผีร้ายที่น่า

หวาดหวั่นนั้นได้เลยเหมือนกับผ่านทะลุไปในอากาศมิปาน

มันทั้งสองมองเห็นว่ากระสุนเข้าเป้าอย่างชัดเจน   ไอ้หาญกับไอ้ผัน

ครั้นได้ยินเสียงปืนจากการยิ่งของไอ้โจ๊กไอ้เข่ง  ก็พากันช่วยระดมยิง

ร่างผีร้ายด้วยจนกระทั่งกระสุนหมด   มันทั้งหมดหันหลังจะวิ่งหนีไป

แต่ทว่าช้าไปเสียแล้ว   เมื่อมืออันเหยียดยาวทั้งสี่มาถึงตัวพวกมันแล้ว 

 ร่างผีกำนันหวนมือซ้ายคว้าร่างไอ้เข่ง มือขวาคว้าร่างไอ้ผัน   แล้วจับมัน

ทั้งสองโยนขึ้นไปบนอากาศเลยต้นไม้ใหญ่  

 ส่วนร่างนางบงกชก็เช่นเดียวกัน  ต่างคว้างร่างของไอ้โจ๊ก และไอ้หาญ

ต่างพากันกันโยนร่างทั้งสี่ลอยเคว้งคว้างไปในอากาศเหนือยอดไม้ใหญ่

       ไอ้แม้นกับไอ้เบี้ยวครั้นเห็นร่างไอ้ช้วนและแม่เย็นที่กระทำเช่นนั้น

ร่างมันแข็งทื่อก้าวขาไม่ออก   ใจมันคิดว่าจะออกวิ่งหนีให้เร็วที่สุดแต่

มันไม่สามารถทำได้นอกจากใจมันคิดเท่านั้น   ร่างผีแม่เย็นและเจ้าชวน

ก็ก้าวลงจากรถทั้งๆที่คอยังยืดยาวอยู่   เอื้อมมืออันยาวใหญ่คว้าหมับไป

ยังคอไอ้แม้น ส่วนแม่เย็นคว้าคอไอ้เบี้ยว ที่ตาทั้งสองมันเหลือกลานแทบ

จะถลนออกจากนอกเบ้า   หายใจติดขัดทันที


   “พวกเอ็งงงงง???....!!!!!ๆๆๆๆๆ....คงจะมาฉุดลูกสาวข้าหรือ”

เสียงผีแม่เย็นเอ่ยถามขึ้น

    “ทำไม่ทำเสียล่ะ โน่นพ่อกูกับน้องกูยืนอยู่ข้างรถแล้วล่ะให้มึงฉุดได้

แล้ว...”    เสียงไอ้ชวนร้องบอกเสียงเยือกเย็น

เสียงหมาก็ต่างร้องหอนกันขึ้นอย่างโหยหวนอีกครั้งหนึ่ง  เสียงนั้นเข้ามา

ใกล้ยิ่งกว่าเก่า   พวกมันเห็นหมาเหล่านั้นแต่ละตัวสูงใหญ่เท่าม้าสีดำสนิท

มันไม่ร้องเปล่ากลับวิ่งเข้ามาหาพวกมันอีกด้วย พร้อมส่งเสียงหอนอย่าง

เยือกเย็นยิ่งนัก  แล้วพวกหมาเหล่านี้ก็เข้ารายล้อมพวกมันทั้งหมดไว้มิ

ได้เข้าใกล้ไปกว่านี้ ต่างช่วยกันร้องหอนอย่างโหยหวน  

   “โบ๊วววๆๆๆๆ!!!!!?????......ๆๆๆๆๆๆๆ”

    ถึงแม้ว่าคอมันจะถูกบีบก็ตาม แต่ตามันจะเหลือกเพียงใดแต่มันก็แล

เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดของบรรดาลูกน้องมัน  ตลอดร่างพ่อหวนแม่นาง

บงกชซึ่งแปรเปลี่ยนใบหน้ารูปร่างอย่างชัดเจน กลิ่นเน่าเหม็นลอยคลุ้ง

ไปทั่วบริเวณนั้น  พวกมันจะอ๊วกให้ได้แต่คอมันถูกบีบไว้จึงอ๊วกไม่

ออก  ได้แต่ส่ายตาไปๆมาๆ   ร่างมันสั่นเทาไปทั่วสรรพางค์กาย

เห็นบรรดาพวกลูกน้องมันต่างถูก พ่อหวนนางบงกชกำลังทำอะไรอยู่   

ร่างมันทั้งสองก็ถูกยกลอยขึ้นไปบนอากาศทันใด????......


    ความคิดมันตอนนี้คิดอย่างเดียวจะหนีไปให้ไกลที่สุดที่จะไกลได้  

แต่ทว่าสายเสียแล้วด้วยร่างพวกมันทุกๆคนตลอดจนตัวไอ้แม้นเองก็

ถูกกระทำเหมือนๆกัน  เมื่อร่างพวกมันต่างถูกจับขว้างลอยขึ้นไป

บนอากาศทุกๆคน   ร่างทั้งสี่ถูกโยนแตกต่างสถานที่ไปแล้วมันเลย

สูงกว่ายอดต้นไม้ใหญ่เสียอีก   ต่างพากันหกคะเมนตีลังกาในท่าต่างๆ

ร่างพวกมันทั้งหมดก็หล่นลงมายังพื้นดิน มีบางคนตกไปบนคากิ่งไม้จน

กิ่งไม้หักสะบั้น  ในลักษณะต่างๆกัน   แต่ไอ้โจ๊กกับไอ้เข่งซวยที่สุดหัวมัน

ปักลงบนพื้นถนนคอหักตายทันที เลือดไหลออกจากปากจมูก  ร่างมันดิ้น

กระแด๋วๆๆสักพักก็เงียบไปร่างทั้งสองจมกองเลือดสิ้นใจตายทันที

   ส่วนร่างไอ้หาญ กับ ไอ้ผัน ดีหน่อย  ไอ้หาญร่างมันตกลงมาพังพาบกับ

แอ่งหย่อมหญ้า  แต่กระนั้นร่างมันถึงจะไม่ตายแต่ก็สลบไป  ส่วน ไอ้ผัน

นั้นมันเอาขาข้างหนึ่งลงก่อนตกลงไปในพุ่มไม้ใกล้ๆ  จึงทำให้ทั้งสองต่าง

ร้องแหกปากดังลั่น ขาไอ้ผันหักจนกระดูกโปนออกนอกแยกจากกันอย่าง

เห็นได้ชัดติดแค่ผิวหนังมันเท่านั้น    

ส่วนทางด้านไอ้แม้นกับไอ้เบี้ยวตาเหลือกลาน  ไอ้เบี้ยวหันหลังกลับจะวิ่ง

หนี  ด้วยปืนที่มันนำมาล่วงหายไปไหนก็ไม่รู้แล้ว ด้วยความตกใจเมื่อแล

เห็น   ร่างแม่เย็นและไอ้ชวนคอมันยาวยืดออกมา คงไม่คนแน่มันคิด

ปากมันก็ร้องเตือนได้แม้นทันที   

   “เฮ้ยๆๆๆ....เผ่นเถอะว๊ะไอ้แม้น...มันๆๆๆผีนะโว้ยไม่ใช่ไอ้ชวนแม่เย็น

หรอกว๊ะ”

    ปากมันร้องเตือนได้ด้วยคุมสติได้บ้าง แต่ขามันทั้งสองซิไม่ทำตามใจ

มันเอาเสียเลย  ร่างขามันแข็งทื่อไปหมด นอกจากตาที่มองเห็น เมื่อมือ

ของแม่เย็นไอ้ชวน  ซึ่งบัดนี้ไม่มีเค้าหน้าเก่าอีกแล้ว เป็นใบหน้าเน่าที่

เละเฟะตาถลนออกมาห้อยรุ่งริ่ง  น้ำเหลืองไหลหยดย้อยส่งกลิ่นเหม็น

ไปทั่งบริเวณ   และแล้วร่างมันทั้งสองก็ถูกมือของผีทั้งสองคว้าจึงมี

อาการแบบเดียวกับ พวก ไอ้หาญไอ้ผันไอ้เข่งไอ้โจ๊ก เพียงไม่

แตกต่างกันเท่าไหร่   ร่างทั้งสองถูกขว้างไปยังต้นไม้ใหญ่ร่างมันครูดไป

ตามกิ่งไม้จนหักสะบั้น  ร่างมันถลอกปอกเปลือกเลือดไหลออกมาทันที

 ตกลงมาร่างไอ้แม้นแทบสลบซี่โครงหักไปแถบ

หนึ่ง แต่มันก็ยังไม่ถึงแก่ความตาย   ส่วนไอ้เบี้ยวค่อยยังชั่วหน่อยด้วยร่าง

มันตกไปยังแอ่งกอหญ้าแพรกใหญ่รองรับร่างของมันเอาไว้จึงค่อนข้าง

ปลอดภัยกว่าทุกๆคน.........

ดังนั้นมันจึงแค่เคล็ดขัดยอกบวมอย่างทันตาเห็น     แต่สัญชาติญานมัน

แกล้งทำเป็นสลบไป ทำร่างมันแน่นิ่งไปแกล้งเป็นตายร่างไม่กระดุก

กระดิก นอนคว่ำหน้าไว้ในแอ่งพงหญ้าที่รองรับร่างมันไว้

    เสียงหัวร่อลั่นจากไอ้ชวน แม่เย็น พ่อหวน แม่บงกชดังสนั่นเยือกเย็น

โหยหวนยิ่งนัก  แล้วร่างทั้งสี่พร้อมด้วยรถที่นำมาก็พาอันตรธานหายไป

พร้อมด้วยร่างหมาดำจำนวนหนึ่งก็พลอยหายวับไปด้วยเพียงได้ยินแต่

   เสียงร้องของหมาก็ร้องโหยหวนก้องกังวานในความเงียบสงบค่อยๆ

จางหายไปในที่สุด

คงทิ้งร่างทั้งหก บ้างตาย บ้างไม่ตาย สลบไปตามสภาพแตกต่างกันทั้งสิ้น

   เวลาผ่านไปเมื่อความเงียบเข้ามาครอบคลุมอีกครั้งหนึ่ง   ไอ้แม้นค่อยๆ

รู้สึกตัว พร้อมพวกๆมัน     ทุกๆคนต่างร้องครวญครางกันดังบ้างเบาบ้าง

ยกเว้นไอ้เข่งไอ้โจ๊กที่มันไม่สามารถจะร้องได้ เพราะมันได้ตายไปแล้ว

   ไอ้เบี้ยวซึ่งอาการเบากว่าเพื่อนก็เหลียวซ้ายแลขวาเห็นทุกอย่างปกติแล้ว

มันก็ลุกขึ้นยืนทั้งๆที่มันเกิดอาการเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วตัว   จึงเข้าไป

ช่วยพยุงร่างไอ้แม้นให้ลุกขึ้นมาได้   

       ส่วนไอ้หาญซึ่งฟื้นจากสลบแล้วก็ค่อยๆพยุงร่างไอ้ผัน

ซึ่งเดินได้เพียงขาข้างเดียวความเจ็บปวดแทบจะให้มันขาดใจตายไป 

 แต่ทว่ามันไม่อาจจะเดินตามได้ตามใจมันนึก 

 จึงถูกไอ้หาญค่อยๆพยุงร่างมายังรวมกลุ่มของไอ้เบี้ยว ไอ้แม้น

ร่างไอ้แม้นกับไอ้เบี้ยวซึ่งนั่งร้องครวญครางลั่น อาศัยที่มันกินเหล้ามาจึง

ทำให้พวกมัน  ทำให้อาการปวดค่อยทุเลาลงไปบ้างเล็กน้อย

   “ ไอ้เบี้ยวมึงไม่เป็นอะไรมากรีบกลับโว้ย!!!!????.....เดี๋ยวพวกมัน

พากันมาอีกคราวนี้แหละไม่มีใครรอดสักคนเดียว 

  เอาศพไอ้โจ๊กกับไอ้เข่งกลับไปด้วย  หากทิ้งเอาไว้จะทำให้ตำรวจ

สงสัยว๊ะด้วยรู้ว่าเป็นพวกเรา   แต่อย่า

พึ่งเอาเข้าบ้านเก็บไว้ที่บ้านนะโว้ย  พาศพไปที่วัดแถวบ้านเราก่อนไป

หาสัปเหร่อเอา

เงินให้มันก้อนหนึ่งแล้วใส่โลงเผาเสียคืนนี้เลย ทำลายหลักฐานให้หมด

  ทุกๆคนอย่าเสือกปากหมาว่าไอ้โจ๊กกับไอ้เข่งเป็นอะไรไป บอกว่าไม่รู้

ไม่เห็นมันหนีไปแล้ว   ไม่รู้ไปทางไหนหากมีคนถามบอกว่าเจอพวกผีโว้ย

พวกมึงเข้าใจกูพูดไหมว๊ะ????....”

    ถึงไอ้แม้นไม่บอกพวกมันก็รู้อยู่แล้ว   ไอ้เบี้ยวก็ถามขึ้นทันทีว่า

   “แล้วไอ้หาญกับไอ้ผันล่ะ  ไอ้ผันค่อนข้างหนักกว่าใครๆว๊ะ????.....”

   “กลับไปแล้วค่อยปรึกษากัน  พวกเราเจ็บกูคิดว่าทางโน้นคงสำเร็จแล้ว

ให้มันไปตามหมอชาวบ้านมาก่อน  อย่าพึ่งพาไปอนามัย  เพราะมันปิด

แล้วต้องคอยวันรุ่งขึ้น  กำชับหมอชาวบ้านด้วยอย่าให้มันพูดมากไป

เดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่โต หากรู้ถึงตำรวจนะ ว่าไอ้โจ๊กกับไอ้เข่งตายห่าแล้ว

มิฉะนั้น  ทางตำรวจมันจะมาและมันต้องมาสอบถามแน่นอนว๊ะ”

   “งั้นกูไปเอารถมาก่อนพวกมึงรอที่นี่ก็แล้วกัน”

   ว่าแล้วไอ้เบี้ยวก็เดินขโยกเขยกไปยังรถที่จอดซ่อนไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่

ห่างไกลนัก  สักพักรถก็แล่นมาถึง   ทั้งหมดต่างก็พยายามตะเกียกตะกาย

ขึ้นรถ โดยมีไอ้เบี้ยวขับไป  ที่วัดเพื่อจัดการกับศพทั้งสอง   ครั้นติดต่อ

ตกลงกับสัปเหร่อเรียบร้อยแล้ว  ก็รีบออกเดินทางกลับบ้านทันที

   ครั้นรถแล่นมาถึงทางเข้าประตูหน้าบ้านไอ้เบี้ยวก็ดับเครื่องแล้ว ไอ้

หาญ

กับไอ้เบี้ยวช่วยกันเข็นไปเก็บ  ก่อนไปมองไปยังใต้ต้นมะขามเห็นพวก

อีสาวๆกำลังว้าวุ่นอยู่กับร่างของไอ้แช่มอยู่อย่างกระวีกระวาด  ก็พากัน

ตกใจทันที   ด้วยบรรดาที่ตามไปหายกันไปหมดแม้แต่ไอ้สนที่เป็นคน

สนิทของมันก็หายไปด้วย................

              แก้วประเสริฐ.

index.php?action=dlattach;topic=7053.0;a				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ