อทิสมานกาย ๖๙ เวลาผ่านไปเกือบจะใกล้ๆค่ำ หนุ่มโชติตอนแรกเพียงแค่จะแสร้งนอนเล่นๆแต่ พอนานเข้าเลยเกิดหลับไหลไปจริงๆ ลมโชยพัดแผ่วเบาๆเข้ามาจากทางหน้าต่าง ร่างชายหนุ่มนอนคุดคู้งอเข่า เข้าด้วยกัน คล้ายๆเด็กทารกมิปาน แม่เข็มมองหน้าลูกที่ส่งเสียงกรนเบาๆ ดวงตาทั้งสองข้างพริ้มขนตางอน ดั่งอิสตรีมิปาน ยื่นมือลูบไล้ใบหน้าเบาๆด้วยความรักใคร่เอ็นดู นึกในใจว่า ตั้งแต่เล็กจนโตป่านนี้ก็ยังมีนิสัยไม่ผิดเพี้ยนไปเลย เฝ้าดูแลมาตลอด มองใบหน้าลูกและอากัปกิริยาเหมือนเด็กทารก อุตส่าห์ทนดูการหลับของลูก ทั้งที่ขาแกทั้งสองข้างชาไปทั้งแถบ เกิดเหน็บชาขึ้น ก็ให้นึกย้อนไปในอดีตเก่าก่อน ครั้งชายหนุ่มยังเล็กก็มักจะทำเช่นนี้อยู่เสมอๆ จวบห่างหายไปกับการเรียน แล้วเลยเข้าสู่กรุงเทพ เพียงแต่ได้รับข่าวอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น “พี่เชียรข้าชักจะทนปวดขาไม่ไหวแล้วล่ะพี่ ช่วยหาหมอนมาให้สักใบซิ” แม่เข็มเอ่ยกับพ่อเชียร ด้วยแข้งขาตอนนี้ชามากเกิดอาการปวดหนึบๆขึ้นมา จะปลุกหรือก็ให้สงสารลูกมัน จำยอมทนปวดจนทนไม่ไหวจริงๆจ๊ะพี่” “ได้ซิแม่เข็ม ไอ้ลูกคนนี้มันไม่รู้จักโตสักทีนะแม่เข็ม ดูๆไปก็ให้คิดสงสารมันจัง ดูท่ามันนอนซิเหมือนเด็กๆจริงๆล่ะ” พ่อเข็มเอ่ย แล้วเดินไปหยิบหมอนในตู้ออกมาใบหนึ่งยืนส่งให้แม่เข็มทันที “นั่นซิพี่ พี่มองซิมันเหมือนสมัยเด็กๆไม่ผิดเลย ถึงรูปร่างจะโตขึ้นแต่กับพ่อแม่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยนะ” “นั่นซิแม่เข็มข้าเองก็เวทนามันมาก อายุหรือก็สู่วัยฉกรรจ์แล้ว แต่กับพวเรามันเหมือนเด็กๆจริงนะ” พ่อเชียรกล่าวจบก็ลูบไล้ไปตามแขนขาชายหนุ่มที่กำลังหลับไหลอยู่ เวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่ๆ ร่างของสาวชบาก็ก้าวออกมาจากห้อง หล่อนคล้ายมีอาการตกใจ เมื่อแลเห็นพ่อแม่และชายหนุ่มนอนหลับ อยู่ก็รีบกระวีกระวาดเข้าครัวทันที ครั้นแม่เข็มเห็นดังนั้นก็ร้องเรียกทันที “ในครัวแม่ทำอาหารเรียบร้อยแล้วล่ะลูก ไม่ต้องหรอกจ๋า มาๆๆมานั่งคุยกับแม่หน่อยนะ แม่อยากจะถามอะไรบางอย่าง” “จ๋าหญิงสาวรับคำ” แล้วก้มตัวเข้ามานั่งข้างๆแม่เข็ม “หนูนั่งสมาธิเพลินไปจ้าแม่ ครั้นรู้ตัวเห็นโพล้เพล้มากก็ตกใจด้วย ยังไม่ได้ทำอาหารเลย หนูขอโทษนะแม่ที่ทำให้แม่ต้องลำบากจ๊ะ” หญิงสาวเอ่ยหันไปยกมือไหว้ขอโทษ แม่เข็มยกมือขึ้นลูบหัวลูบไหล่หล่อน ส่วนพ่อเชียรไม่ได้กล่าวอะไรได้แต่ยิ้มๆแล้ว กระเถิบร่างไปเพื่อหาทาง นั่งพิงเสากลางบ้าน ควักบุหรีกระป๋องยาตั้งเอามาม้วนใบจากเสร็จแล้วยกไฟจุด สูบพ่นควันโขมง ควันลอยละล่องค่อยๆสลายหมอกควันจางไป หรือแกคงจะคอยฟังดูสองแม่รู้สนทนากันกระมังจีงไม่ได้ไปไหนปกติแกจะต้อง ลงไปข้างล่างเดินดูสิ่งต่างนานา แต่แกกับนั่งพิงเสาสูบบุหรี่สบายใจและ มักจะชำเลืองสายตามาคอยจ้องมองเสมอๆ คอยฟังชบามันกล่าวอะไรบ้าง “แม่ทราบแล้วล่ะจ้า ไม่เป็นไรหรอก ดีใจด้วยนะที่ลูกร่ำเรียน ได้สำเร็จไปอีกอย่างหนึ่งแล้วไปพบอะไรมาบ้าง???... ไหนๆๆเล่าให้แม่ฟังบ้างซิจ๊ะแม่ชบา” “จ๊ะแม่หากไม่ได้พี่โชติและแม่นางทั้งสองแล้วเห็นทีจะยากจริงๆจ๊ะ หาก ไม่ได้รับการชี้แนะนำทางและบอกหนทางให้แก่หนูไว้ยากจะทำได้จ้า ครั้นสำเร็จแล้วหนูตื่นเต้นงงงวยไปหมด มันเป็นปรากฏการณ์พิเศษจริง เมื่อเห็นร่างของหนูยังนั่งในท่าทำสมาธิก็ตกใจกลัวจะเข้าร่างไม่ได้ร่างนั้น อกสั่นขวัญแขวนทันทีเชียวล่ะจ๊ะ ตอนนั้นมองไปก็เห็นรอบๆห้องมี พี่นางอัปสรนั่งอยู่สองคนเท่านั้นและร่างหนู่นั่งสมาธิเท่านั้นเอง จึงเกือบจะร้องเรียกให้คนช่วยแล้วล่ะจ๊ะ แต่เสียงสั่นพูดจาอะไรไม่ออก พอดีพี่นางอัปสรเข้ามาจูงมือและอธิบายสิ่งเรื่องราวที่หนูไม่รู้ให้รู้ในสิ่ง ต่างๆเกี่ยวกับกาลเวลาให้ฟังจ๊ะแม่” หญิงสาวตอบ “แค่นั้นหรือลูกไหนๆเจ้าโชติบอกว่าแม่นางทั้งสองพาไปเที่ยวไงล่ะ???....” “ไปจ๊ะแม่พี่นางทั้งสองพาหนูลอยละล่องไปในที่ๆหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกัน แม่จ๋าช่างสวยเหลือเกินไม่เหมือนทางเรานี้เลยจ๊ะแม่ ทุกๆอย่างงดงามมาก ดอกไม้หรือก็ดอกโต๋โตหอมก็หอมส่งกลิ่นหอมเย็นมากมาย ชื่นใจจริงๆ หากพี่นางทั้งสองไม่อยู่หนูต้องหลงเพลิดเพลินแน่ๆเชียว อากาศหรือก็ร่มเย็นไม่มีแดดร้อนเลยจ๊ะ ล้วนชื่นฉ่ำเยือกเย็นนัก ไม่มีหนาวไม่มีร้อน อบอุ่นพอดีๆ ซ้ำพี่นางพาไปที่สระน้ำหนึ่ง น้ำนี้ใสสะอาดมองเห็นก้นสระ มีเหล่าสาวๆกำลังเล่นน้ำอยู่จ๊ะ แต่จะว่าสระหรือก็ไม่เชิงจ๊ะแม่ มองเห็นเหล่าฝูงปลาแหวกว่ายไปๆมาๆ แต่แปลกที่ไม่ยักกลัวคนที่กำลังอาบน้ำอยู่กลับว่ายเข้ามาคลอ เคลีย บางนางก็เอามือลูบไล้ไปบนร่างมัน มันก็เฉยๆจ๊ะแหวกว่ายไปๆมาๆ ครั้นแลมองไปไม่เห็นฝั่งเอาเสียเลยกว้างขวางใหญ่โตมากเห็นน้ำจรดฟ้า น้ำก็สดใสเปล่งสีต่างๆกัน ประกายแพรวพราวกันระยิบระยับไปทั่วท้องน้ำ เหมือนแววของแก้วที่โดนแดดส่องหลังคาโบสถ์เชียวล่ะแม่หลากสีแพรวพราว มีพวกดอกสัตบงกช บุณฑริก อุบลต่างๆชูช่อหลายหลากสี หลากหลายพันธุ์ แล้วพืชอื่นต่างออกดอกสะพรั่งหอมๆแต่ละดอกใหญ่ๆเบ่งบานส่งกลิ่นหอม แต่แปลกนะแม่ไม่มีพวกสัตว์จำพวกแมลงภู่หรือผึ้งสักตัวเดียวเลยล่ะ???... เหล่าผีเสื้อหรือก็ไม่มี หากเป็นทางนี้สัตว์พวกนี้จะมากันมากมายด้วยกลิ่นหอม ใบหรือก็ออกใหญ่โต หนูว่าหากเข้าไปนั่งหรือนอนก็คงจะได้กระมัง ด้วยใบก็ใหญ่โตมากๆด้วยจ๊ะ ลอยอยู่เหนือน้ำแล้วมีก้านชูดอกไม้เบ่งบาน เลยถามพี่ทั้งสองว่านี้สระอะไรหรือทำไมกว้างขวางใหญ่โตนัก พี่ทั้งสองช่วยกันอธิบายว่า นี่คือสระโบกขรณีสีทันดร ใช้สำหรับให้บรรดาเหล่าเทพเทวานางอัปสรสวรรค์ลงเล่นน้ำกัน อันสระนี้นั้น จะมีในดินแดนสรวงสวรรค์ทุกๆชั้น ชั้นหนึ่งจะมีเพียงสระเดียวเท่านั้น เป็นดินแดนสุขจริงๆนะแม่ แม่จ๋ารอบๆล้วนแล้วดอกไม้ส่งกลิ่นหอมสีสวยๆๆหลากหลายพันธุ์นัก มากมายจนบอกไม่ถูกจ๊ะ ล้วนแล้วแต่งามตระการตาไปหมดแม้นอยากจะเด็ดดม แต่หนูไม่กล้าไปเด็ดหรอกจ้า บรรดาพวกที่อยู่ทั้งหญิงและชายแต่งกายด้วยเสื้อ ผ้าสวยงามทั้งสิ้นผ่านมามีกลิ่นหอมๆด้วยล่ะ แล้วพี่เขาก็พาไปเที่ยวในสวนร่มรื่นต่างออกดอกไม้นาๆชนิด เป็นดอกไม้งดงามมาก และยังมีผลไม้ที่ห้อยเป็นพวงๆ ระย้าน่ากินจริงๆจ๊ะ มากมาย ลำต้นหรือก็ไม่ใหญ่โตสูงนักแค่เอื้อมมือก็เด็ดได้แล้ว เต็มไปทั่วบ้างก็ออกดอก สีของดอกก็สวยแพรวพราวเหลือเกิน แตกต่างกันออกไปด้วย หากจะนับก็นับไม่ถ้วนหรอกจ้า บ้างก็ออกผลสีแปลกประหลาดดี ไม่ซ้ำกันเลยจ๊ะ ลูกเบ่งบานอวบน่ากินจริงๆ ส่งกลิ่นหอมของผลโชยออกมา ไม่เหมือนทางเราสักนิด ลูกหรือก็ใหญ่พอ ประมาณล้วนแต่มีขนาดเดียวกันหมด พี่เขาหยิบมาให้หนูกินลูกหนึ่งพอผลไม้กระทบกับฟันเท่านั้น กลายเป็นน้ำละลายหายไปในลำคอชื่นใจจริงๆจ๊ะหวานเย็นชุ่มชื่น ยากจะหาได้อีกในดินแดนที่เราอยู่นี้ได้อีกแล้วจ๊ะ พี่เขาบอกว่าเป็นของทิพย์ กินแล้วก็เกิดความอิ่มอกอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก หอมหวลสดชื่นเย็นฉ่ำชุ่มซ่านหอมฉาบไปในลำคอหวานๆจน บรรยายไม่ถูกจ้า ไม่เหมือนผลไม้ในเมืองเราต้องมาปอกเปลือก แต่นี่เพียงกระทบฟัน ก็จะละลายเป็นน้ำไหลสู่ลงในคอเองหมดสิ้น ทั้งเปลือกและเนื้อผลไม้นั้นๆทำให้หนูลืมหมดทางนี้ทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง อยากจะอยู่ในแดนนี้จริงๆ นึกถึงพ่อแม่ได้ก็อยากจะให้มาเห็นเสียจริงๆ พี่เขาพาไปเดินเที่ยวในสวน ที่สวนนั้นก็มีบุรุษรูปงามมากมายเสียด้วย แต่ละคนรูปร่างสันทัดมีสีสรรค์แพรวพราวเปล่งหลากสีออกมาจากตัวเขาทั้งสิ้น กำลังเล่นพิณกันอยู่ต่างขับร้องเพลง หนูฟังไม่รู้เรื่องแต่รู้ว่ามันช่างไพเราะ หวานเยือกเย็นจับใจมาก อยากจะนั่งฟังให้เพลงจบทั้งๆที่ฟังไม่ออกแต่เพียงรู้ว่า ไพเราะมากๆเท่านั้น พวกสาวสวยทั้งหลายต่างก็ร่ายรำไปตามทำนองเสียงพิณ ท่าร่างช่างอ่อนช้อยลอยละลิ่วไปตามจังหวะเสียงดนตรี หมุนๆไปรอบๆร่าง ซ้ำยังมีประกายเล็กๆใสแพรวพร่างกระจายสว่างพราวแพรวไปรอบตัวด้วยยามที่ ร่างของพวกนางพลางร่ายรำวนหมุนตามไปเป็นทางด้วยละอองสดใสงามด้วยจ้า บางนางก็นั่งตบมือเล่นโคนต้นไม้ร้องคลอเพลงบ้าง แปลกจ๊ะแม่ใบไม้หรือก็มีแสงหลากสีเปล่งออกมาจากต้นไม้ใบไม้ด้วยล่ะ ริมขอบสระบ้าง เดินชมดอมดมกลิ่นหอมบ้างดูเขาช่างสนุกสนานร่าเริงจริงๆ ไม่มีทุกข์มีแต่ความสุขจ๊ะ เห็นทุกๆคนเบิกบาน ยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยกันทุกๆคนดู สำราญใจมาก ไม่มีใบหน้าเคร่งขรึมสักคนมีแต่รอยยิ้มแย้ม อ่อนหวานน่ารัก กันทุกๆนาง ยังหันมายิ้มกับหนูเลยจ้า แต่ภาษาเขาหนูไม่เข้าใจได้ยิ้มตอบเท่านั้นเอง จนกระทั่งพี่เขามาดึงร่างหนูบอกว่ากลับกันได้แล้วเดี๋ยวจะเลยเวลา แล้วเขาก็พาหนู ลอยลงมา ครั้นมาในห้องก็เห็นเจ้าแสงสีสินชัย นั่งเฝ้าไม่หายไปไหน พี่ทั้งสองบอกว่า ให้หนูเข้าร่างได้แล้ว ยังบอกว่ารู้แล้วใช่ไหมจะต้องทำอย่างไรหนูก็ตอบว่ารู้แล้วจ้า แล้วร่างหนูก็ลอยขึ้นไปบนศีรษะยังร่างที่นั่งสมาธิอยู่แล้วหย่อนขาลงมาจนเกิดความวูบ หนึ่งแล้วก็เป็นปกติจ้าแม่ พี่เขาก็ปรากฏตัวบอกว่าไว้วันหน้าจะค่อยพาไปเที่ยวอีกแต่ ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไปให้ชินกับกาลเวลาเสียก่อนจ๊ะ ครั้นหนูก็ออกจากสมาธิแล้วลุกขึ้น ก็ตกใจที่เห็นโพล้เพล้แล้ว ยังไม่ได้ทำอาหารให้พ่อแม่พี่น้องกันเลยจ๊ะแม่” หญิงสาวรายงานการไปเที่ยวของหล่อนให้แม่เข็มฟังอย่างละเอียด เล่นเอาแม่เข็ม ดวงตาเบิ่งโต ฟังสาวชบาเล่าเหตุการณ์บนสรวงสวรรค์ให้ฟัง นี่แค่ครั้งแรกระยะสั้นๆ นะหากได้ท่องเที่ยวไปยังที่อื่นอีก คงจะพบแต่สิ่งงดงามหรืออาจจะสวยกว่านี้อีกแม่เข็มคิด พ่อเชียรเองก็ฟังอย่างเพลิดเพลินจนกันบุหรี่ดับไหม้ในมือเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ครั้นรู้ตัวก็สะบัดเร่าๆ ด้วยฟังแม่สาวชบาเล่าเรื่องราวการพบเห็นที่ผ่านมาทำให้เกิดจินตนาการ ทำให้แกเกิดความเสียดายเวลาสู้อุตส่าห์ฝึกฝนมาก่อนชบาเสียอีกแต่มาติดในขั้นๆหนึ่งไม่ สามารถหลุดพ้นขั้นนี้ไปได้ เพียงเห็นแต่ภาพแต่แกคิดว่าคืออุปาทานเพราะ แว๊บไปแวบมา แล้วก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่เหมือน สาวชบาเล่าให้ฟังเสียเอาเลย ทำให้แกรำพึงว่าคงจะ ต้องหมั่นพยายามในเรื่องสมาธิให้มากๆขึ้นกว่าเดิม และเห็นทีจะต้องสอบถามลูกชาย เสียแล้ว ในการติดอยู่วนเวียนไปๆมาๆมิอาจก้าวข้ามล่วงไปได้ ว่าเพราะเหตุใดกันแน่ ครั้นหญิงสาวเล่าจบก็หันไปทางพ่อเชียรแม่เข็มแลเห็นร่างชายหนุ่มนอนคุดคู้ยังกับเด็ก ก็อดเอามือปิดปากหัวร่อจนได้ นี่หรือชายที่หล่อนหมายปองเวลานอนเหมือนเด็กทารกมิ ปานเชียวล่ะ หากคนธรรมดามาพบก็จะไม่รู้แก่นแท้ของเขาว่านั้นทางธรรมลุล่วงไปมาก เสียมากแล้วคงคิดว่าเหมือนๆพวกชาวบ้านทั่วๆไป ก็อดลอบอมยิ้มไม่ได้ “แม่ๆแล้วเจ้าชัยไปไหนเสียล่ะแม่ไม่เห็นเลยล่ะจ๊ะ????” หญิงสาวถาม “อ๊อๆๆๆมันขออนุญาติไปเที่ยวกับเพื่อนไปหาหลวงพ่อทองด้วยล่ะ???..บอกว่าไม่ต้อง ห่วงจะกลับมาไม่ช้าหรอก คงจะประเดี๋ยวกลับแล้วกระมังนะ” แม่เข็มเอ่ยให้สาวชบาฟัง “แล้วพ่อกับแม่ทานข้าวหรือยังจ๊ะ เดี๋ยวหนูไปยกสำรับกับข้าวมาให้แม่พ่อนะจ๊ะ” สาวชบาเอ่ย ถามแล้วหันไปมองชายหนุ่มอีกที “พี่โชติล่ะจ๊ะเขาทานหรือยังสงสัยไม่ได้ทานแน่นอนด้วยคอยกำกับหนูตลอดเวลาจ๊ะ” “พ่อแม่กินเรียบร้อยแล้วจ๊ะหนูชบา ยกเว้นเจ้าโชติคนเดียวเท่านั้นแหละด้วยพึ่งจะ ออกจากห้องมาไม่นาน แล้วก็มาหลับบนตักแม่นี่แหละ พึ่งให้พ่อเขาไปเอาหมอน มาหนุนให้ ไม่ไหวตัวก็หนั๊กหนัก นอนทับตักแม่จนขาแม่ชาไปหมดแล้วทนไม่ไหว จึงเอาหมอนมาหนุนหัวให้จ้า แล้วหนูก็คงจะยังไม่ทาน ถ้าอย่างนั้นจะทานก่อนก็ได้นา หรือว่าจะคอยเจ้าโชติมันกินพร้อมๆกัน” แม่เข็มกล่าวและเอ่ยถามในตัวเสร็จ “ ยังจ๊ะแม่ยังไม่ได้ทานแต่รู้สึกว่ามันอิ่มเอิบอย่างไรชอบกลนะ เดี๋ยวหนูเข้าไปยกสำรับตักข้าวมาคอยเขาตื่นก็แล้วกันนะแม่” “เออๆๆก็ดีเหมือนกันลูกชบา ไปจัดการได้แล้วเดี่ยวคงจะตื่นหรอกนี่ก็นอนนานแล้วนา” แม่เข็มเอ่ยกับสาวชบาที่หมายปองจะให้มาเป็นลูกสะไภ้ในอนาคต “จ๊ะแม่ ....หนูจะไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้เองแหละจ๊ะ เดี่ยวพี่เขาคงตื่นด้วยเมื่อคืนนี้นั่งสมาธิ ตั้งนานรู้เพียงว่าถอดกายทิพย์ไปข้างนอกแล้วพักหนึ่งก็กลับมาจ๊ะ เห็นพี่ทั้งสองเอ่ยให้ฟัง” “พ่อว่าคนนั่งสมาธินั้นจะไม่หิวอะไรหรอกจ้าลูกชบา ด้วยอำนาจแห่งฌานสมาธิก่อเกิด ความอิ่มเอิบในใจ ยิ่งหากได้เข้าสู่ภวังค์ด้วยแล้วก็คล้ายนิโรธสมาบัติแหละลูก” พ่อเชียรเอ่ยให้ฟัง “ถึงโชติจะถอดกายทิพย์ได้พ่อเองก็พอจะรู้แต่ยิ่งมารู้จากลูกอีกทำให้เชื่อมั่นมาก ยิ่งขึ้นไปอีกนะ” พลางหันมากล่าวกับหญิงสาว คราวนี้หญิงสาวหันมายืนยันทันที กล่าวขึ้นว่า “จริงๆนะพ่อพี่โชติร่ำเรียนสำเร็จมานานแล้วล่ะ แต่ก่อนหนูก็ไม่รู้หรอกพี่นางอัปสรบอก ให้ทราบนั่นแหละที่หนูสำเร็จเร็วก็ด้วยพี่โชตินี่แหละแนะแนวทางออกจากร่างให้หนูเอง ตลอดจนแม่พี่นางอัปสรทั้งสองด้วย ครั้นหนูออกมาแล้วมองอะไรก็เห็นรู้สภาพความจริง ไปหมด และยังทราบอีกว่า เจ้าแสงสีสินชัยนั้นที่พี่เขาสร้างจากหุ่นเก่านั้น แล้วมาอบรม ให้ในภายหลังจนกระทั่งเขาบัดนี้ได้แปรสภาพจากสัมภเวสีไปเป็นอทิสมานกายเทวดา เบื้องต้นไปแล้วจ๊ะ เพียงแต่ยังเปาะบางอยู่เท่านั้น เขาจะไปได้ง่ายกว่าหนูที่มีร่างกายเป็น เนื้อหนังเสียอีก ก็เหมือนหนูก่อนจะมาอยู่ในร่างนี้ยึดครองไว้ ก่อนนี้หนูก็สามารถไป ไหนๆมาไหนได้คล่องแคล่วแต่มีขีดจำกัดเท่านั้นเองแหละจ้า” หญิงสาวชบาเอ่ยความหลังให้พ่อเชียรแม่เข็มฟัง “แต่ก็ดีไปอย่างนะอีหนูและพี่เชียรด้วย มันอยู่ในสภาพนี้จะได้ช่วยงานลูกเราได้คล่อง กว่ามีกายเป็นมนุษย์เสียอีก ด้วยงานลูกเราพวกเราก็รู้แล้วเป็นงานอะไรใช่ไหมพี่???...” “อืมๆๆ....ข้อนี้ก็เห็นจริงดั่งแม่เข็มกล่าวไว้ไม่มีผิดหรอก แล้วเมื่อไหร่หนองานของ เจ้าโชติจะสำเร็จเรียบร้อยสักทีนะ” พ่อเชียรรำพึงเบาๆให้ทั้งสองฟัง “นั่นซิพี่ ฉันเองก็ให้รู้สึกเป็นห่วงเจ้าโชติเหมือนกันนะ ดีนะแค่อยู่เบื้องหลังสั่งการ เท่านั้นหากไม่เป็นอย่างเดี๋ยวนี้ฉันเองก็แทบจะกระอักเลือดตายเหมือนกันพี่” แม่เข็มเอ่ยให้ผัวและว่าที่ลูกสะไภ้ฟัง พลางเอาผ้าโบกไล่แมลงที่มาตอมหน้าลูกชาย “ข้าเองนะไม่ห่วงเจ้าโชติหรอกนะ เพราะมันมีเด็กๆคอยช่วยเหลือมันอยู่หากไม่มีเด็ก ซิข้าจะเป็นห่วง ด้วยข้าเคยทดสอบเด็กๆของมันแล้วไม่เบาทีเดียวเลยล่ะแม่เข็ม” “อ้าวๆพี่ทดสอบอย่างไรหรือ เอ๊ะข้าไม่ยักรู้เลยล่ะพี่” แม่เข็มเอ่ยด้วยความสงสัยนัก “อันที่จริงไม่จำเป็นต้องบอกหรอก ก่อนนี้แม่เข็มเองก็รู้ทุกๆอย่างไปหมดนี้นาแต่ทำไม เดี๋ยวนี้ไม่รู้อะไรเลยหรือ” พ่อเชียรเอ่ยถามด้วยความสงสัยหันไปมองหน้าเมียทันที “บอกตรงๆพี่หมู่นี้ข้าไม่ได้เข้าสมาธิเลยล่ะ คิดโน่นคิดนี่วางไม่ลงสักทีเกี่ยวกับเจ้าโชติ บ้าง หนูชบาบ้าง เจ้าชัยบ้าง สิ่งที่เคยแลเห็นในนิมิตมันเลยสับสนไปหมดไม่เหมือนเก่า เพียงเข้าไปสักพักปรุงแต่งให้สมาธิเกิดภาพคัดแยกสิ่งต่างๆออกก็สามารถจำแนกรู้ได้ เพราะมัวแต่มาคิดสิ่งเหล่านี้เลยสับสนไปกันใหญ่นะซิพี่” แม่เข็มเอ่ยให้ผู้ผัวฟัง ทำเอาพ่อเชียรถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน เอ่ยขึ้นว่า “อันที่จริงแม่เข็มกับข้าก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่หรอกนะ แต่ดีที่ข้าว่างเมื่อไหร่ก็ทำ เข็มก็รู้อยู่นี่ว่าการทำสมาธิไม่จำเป็นต้องมานั่งสมาธิหรอก ยืน เดิน นั่ง นอนก็ทำได้แต่ จะทำไม่เหมือนกับนั่งทำหรอกเท่านั้น แต่สามารถพยุงสมาธิมิให้จางได้เท่านั้นเอง แต่แม่เข็มคงจะขาดช่วงกระมังนะ ส่วนข้าว่างงานเมื่อไหร่ก็นั่งทำไปเรื่อยๆแหละ” พ่อเชียรเอ่ยให้แม่เข็มฟังว่าแกนั้นเจริญสมาธิตลอด “อันข้อนี้ข้าก็รู้เหมือนกันแหละเคยทำเสมอๆๆยามพี่ออกไร่ข้าอยู่ในกระต๊อบก็มองพี่ ทำงานไปข้าก็เจริญภาวนาไปมิได้ขาด จึงคงสภาพนิมิตรได้อย่างดีแต่ระยะนี้ซิข้าเองก็ ว่างเว้นจากสิ่งนี้ไปบ้าง เห็นทีต้องเริ่มทำใหม่อีกแล้วล่ะจ๊ะพี่” แม่เข็มเอ่ยให้ผู้ผัวฟัง แบบเสียดายกาลเวลาไป “แม่เข็มก็ยังไม่สายไปหรอกจ้า เริ่มต้นก็กลับคืนได้อีกแล้วล่ะ สมัยก่อนเพียงหลับตา พักเดี๋ยวอะไรๆก็มาแจ้งให้เรารู้ได้เองแหละใจเย็นไว้ ข้าว่าใช้เวลาไม่นานหรอกนะ” “เอาล่ะ???...เรื่องนี้ข้าไม่ติดใจแต่ข้าติดใจว่าพี่ลองกับเด็กของลูกเราอย่างไรล่ะ???...” “อ้อๆๆ...ข้าเพียงทดลองปล่อยเจ้าควายไปทดสอบดูแหละเพียงกำชับไว้ไม่ให้ทำอันตราย เกินไปเท่านั้นเอง ผลปรากฏว่าเจ้าควายเทียนข้าเขาเกบิดๆเบี้ยวๆแทบจะหักเสียซิ ข้าถึงได้รู้ว่าเด็กเจ้าโชติมันไม่ธรรมดานะแม่เข็ม” “เหรอๆแล้วไปทดลองกันที่ไหนเสียล่ะ???...หากเป็นภายในอาณาเขตบ้านข้าก็จะต้องรู้แน่ ด้วยเทพรักษาบ้านเรามักจะมาบอกข้าเสมอๆแหละ แต่นี้ไม่รู้จริงๆนะพี่” แม่เข็มให้นึกฉงนใจมากๆจึงเอ่ยถาม “ข้ารู้มานานแล้วล่ะแม่เข็มว่า ตอนค่ำๆ ราวสองสามทุ่มเด็กๆของเจ้าโชติจะออกไปฝึกฝนใน ป่าแถวแถบหน้าบ้านเรานั่นแหละ จึงทดลองส่งเจ้าเทียนไปทดสอบดูเพื่อดูว่าเด็กเจ้าโชติมัน แข็งแกร่งสักเพียงใด นี่หากเด็กเจ้าโชติไม่ยั้งมือแล้วล่ะป่านนี้ข้าต้องทำพิธีปลุกเสกใหม่แต่ มันเพียงรู้ว่าอยู่ในบ้านเดียวกันและคงรู้ว่าข้าคงจะมาทดสอบมัน จึงลงมือเบาๆแต่ก็เล่นเอา เขาเกไปเลยล่ะต้องเอามาทำพิธีเสริมเขาให้มันใหม่” “นี่แหละหน๊าคลื่นลูกหลังมันย่อมแรงกว่าคลื่นลูกแรกอยู่ดีๆ เฮ่อๆๆเมื่อเจ้าโชติมีเด็กๆ แบบนี้ข้าก็พลอยหมดห่วงไปด้วย ยิ่งเขามีมือซ้ายขวาชื่อเจ้าแสงสีและเจ้าสินชัยอยู่ด้วย ก็ยิ่งค่อยหายห่วงมากขึ้น เมื่อกี้นี้ลูกชบาบอกว่ามันทั้งสองเปลี่ยนสภาพเป็นอทิสมานกาย พวกเทวดาไปแล้วก็ยิ่งสบายใจมากขึ้นจ้าพี่เชียร” แม่เข็มเอ่ยพลางมองดูหน้าลูกชายสุดที่รักของแก แล้วก็ชะงักพลันตบบนท่อนแขนเบาๆ “ลุกได้แล้วโชติเอ๋ย...อย่ามาแกล้งนอนฟังอีกเลยแม่รู้นะว่าแกตื่นนานแล้วล่ะ???....” อันที่จริงชายหนุ่มตื่นนานแล้วตามคำแม่พูดไม่ผิด เพียงเขาแกล้งนอนหลับตาฟังเฉยๆดูการ สนทนาของพ่อแม่และสาวชบาเท่านั้น เมื่อได้รับการเตือนย้ำอีกทีก็รีบลุกขึ้นหัวร่อ พลาง เอ่ยขอตัวไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาเสียก่อน ส่วนชบาเห็นหนุ่มโชติลุกก็เลยลุกบ้างเดินเข้า ไปในครัวเพื่อจัดเตรียมอาหารยกออกมาให้ชายหนุ่มได้กินต่อไป............... * แก้วประเสริฐ. *
* ตำรายาสมุนไพรกลางบ้าน ๑๐ * การนำมาลงเผยแพร่ตำรายาสมุนไพรกลางบ้านนี้ ผมไม่หวังใน ผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น เพียงคิดว่าอาจจะเป็นคุณประโยชน์ได้บ้าง ไม่มากก็น้อย ตำรายานี้จัดรวบรวมจากที่หลายๆแห่ง ซึ่งคุณานุประโยชน์ นั้นแล้วแต่ท่านที่เชื่อถือ อาจจะได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง เพียงแค่เผยแพร่ ให้ทราบว่า คนไทยเราในสมัยโบราณนั้นได้คิดค้นยารักษาเหล่านี้ขึ้นมา เนื่องจากห่างไกลอันเป็นถิ่นทุรกันดารยากแก่การมารักษาได้ทันท่วงที จนเป็นที่ยอมรับสืบเนื่องกันมาแล้ว การใช้ควรมีวิจารณาญานด้วยครับ ยาระบายท้อง ขนานที่ ๑ ท่านให้เอา ใบมะขามแขก ๑ หยิบกำมือ ลูกสมอไทย ๗ ผล ตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้ นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำ ๓ ถ้วยชา ต้มเคี่ยวให้ เหลือน้ำ ๑ ถ้วยชา ใส่ดีเกลือฝรั่ง ๑ ช้อนคาวลงผสม ใช้น้ำยารับประทาน ให้หมด ๑ ถ้วยชา เวลาก่อนเข้านอน มีสรรพคุณ ช่วยระบายท้องได้ผลดี อย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูพิบูล รัตนากร วัดสามกอ อ.เสนา อยุธยา) ขนานที่ ๒ ท่านให้เอาผลมะกรูด ๓ ผล นำมาควักเอาไส้ออกทิ้งเสีย ใส่พริกไทยร่อนบรรจุให้เต็ม ๑ ผล ใส่หัวกระเทียมบรรจุให้เต็ม ๑ ผล ใส่เกลือทะเลบรรจุให้เต็ม ๑ ผล ยาดำหนัก ๒ บาท นำมาตำผสมกันให้ ละเอียด ปั้นเป็นลูกกลอน ใช้รับประทานครั้งล่ะ ๑-๒ ก้อน มีสรรพคุณ เป็นยาระบายท้องได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูอ่วม วัดทองกลาง อ.โพธิ์ทอง อ่างทอง) ขนานที่ ๓ ให้ท่านเอา ผลสมอไทย ๕ – ๖ ผล นำมาต้มกับน้ำ ๑ แก้ว ต้มเคี่ยวให้เดือดประมาณ ๑๕ นาที เทน้ำยาใส่ถ้วย ใส่เกลือป่น ประมาณ ๑ ช้อนชา ลงผสมกวนให้เกลือละลายแล้ว ใช้รับประทานให้หมด มีสรรพคุณ จะช่วยให้ถ่ายอุจจาระภายใน ๒ ชั่วโมง ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (นพ.กรุงไกร เจนพานิชย์ (หมอชาวบ้าน)) ขนานที่ ๔ ท่านให้เอา มะขามเปียก นำมาคลุกเคล้ากันกับ เกลือทะเล พอสมควร ปั้นเป็นลูกกลอน ขนาดเท่าหัวแม่มือ ๒ – ๓ ลูก ใช้รับประทานกลืนพร้อม กับน้ำสะอาด (โดยไม่ต้องเคี้ยว) มีสรรพคุณช่วยระบายท้อง ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (ประชิด เคลือบเพชร อ.หาดใหญ่ สงขลา (หมอชาวบ้าน)) ยาโรคขัดเบา (ถ่ายปัสสาวะไม่ออก) ขนานที่ ๑ ท่านให้เอารากต้นกล้วยน้ำหว้า ๑ กำมือ นำมาล้างน้ำให้สะอาด ใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอควร ใช้ยารับประทานต่างน้ำ มีสรรพคุณแก้โรคขัดเบา (ปัสสาวะไม่คล่อง)ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระอธิการสมยส ปิยวัณฺโณ ลพบุรี) ขนานที่ ๒ ท่านให้เอา หัวผักกาด ๑ หัวไพล ๐ ดินปะสิว ๑ ตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้ อย่างละพอสมควร นำมาตำให้ละเอียด ใช้พอกที่หัวเหน่า (คืออวัยวะใต้ท้องน้อยลงไป) ชั่วเวลาเพียงเล็กน้อย จะทำให้การถ่ายปัสสาวะออกมาได้โดยสะดวก มีสรรพคุณชะงัดนักแลฯ (รตอ.เปี่ยม บุญยะโชติ กรุงเทพมหานคร) ขนานที่ ๓ ท่านให้เอา ต้นมะแว้งเครือทั้งห้า (เอาต้นตลอดถึงราก) นำมาล้างน้ำให้สะอาดใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอควร ใช้น้ำยารับประทาน มีสรรพคุณแก้โรคขัดเบา (ถ่ายปัสสาวะไม่ออก)ได้ผลอย่างชะงัดนักแลฯ (พระมหาศรีเวียง โชติปาโล สุพรรณบุรี) ขนานที่ ๔ ท่านให้เอา ยอดสับปะรด ๓ ยอด ตาไม้ไผ่สีสุก ๓ ตา สารส้ม (พอสมควร)ตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้ นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำ พอสมควร ต้มเคี่ยวให้เดือดสักครู่หนึ่งแล้วรินน้ำยารับประทาน ๓ ถ้วยชา มีสรรพคุณทำให้การถ่ายปัสสาวะคล่องได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (วิทยาทานสงวนนาม) ขนานที่ ๕ ท่านให้เอา ต้นหญ้าขัดมอญทั้งห้า (เอาทั้งต้นตลอดถึงราก) นำมาล้างน้ำให้สะอาด ใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใส่น้ำตาลทรายแดง ลงผสมพอสมควร ใช้น้ำยารับประทานต่างน้ำชา มีสรรพคุณ แก้โรคขัดเบา ให้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระอธิการอนันต์ อิทฺธิโชโต วัดปากคลอง อ.บ้านแหลม เพชรบุรี) ขนานที่ ๖ ท่านให้เอารากหญ้าคา ๑ กำมือ แกลงข้าวเหนียว ๓ กำมือ (ห่อผ้าขาวบาง) สารส้ม หนัก ๑ บาท เถาตำลึงแก่ๆ ๑ กำมือ ต้นบานไม่รู้โรยสีขาว ๑ ต้น (เอาทั้งต้นตลอดถึงราก) ตัวยาทั้ง ๕ อย่างนี้ นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยารับประทาน เมื่อเวลา ถ่ายปัสสาวะขัด มีสรรพคุณแก้โรคขัดเบา ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระเกศีวักรม สิงห์บุรี) ขนานที่ ๗ ท่านให้เอา รากต้นหญ้าคา นำมาล้างน้ำให้สะอาด สับเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้ง คั่วไฟพอเหลือง ใช้ชงกับน้ำร้อนดื่มต่างน้ำชา มีสรรพคุณ แก้โรคขัดเบา (ถ่ายปัสสาวะไม่สะดวก) ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (วิทยาทานสงวนนาม) ขนานที่ ๘ ท่านให้เอา ต้นแจงทั้งห้า หนัก ๓ ตำลึง ชะพลู หนัก ๓ ตำลึง แก่นไม้สักหนัก ๓ ตำลึง ตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้ นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำ ๓ ส่วน ต้มเคี่ยวให้เหลือน้ำ ๑ ส่วน ใช้น้ำยารับประทาน เวลาเช้า – เย็น มีสรรพคุณ แก้โรคขัดเบาได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (รตอ.เปี่ยม บุญยะโชติ กรุงเทพมหานคร) ขนานที่ ๙ ท่านให้เอา ต้นหางนกยูง / รากสะแก ๑ หัวยาข้าวเย็นเหนือ ๑ หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑ ตัวยาทั้ง ๔ อย่างนี้เอาหนักอย่างละ ๔ บาทเท่ากัน นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำ ๓ ส่วน ต้มเคี่ยวให้เหลือน้ำ ๑ ส่วน ใช้น้ำยารับประทาน มีสรรพคุณแก้โรคขัดเบา ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (รตอ.เปี่ยม บุญยะโชติ กรุงเทพมหานคร) ขนานที่ ๑๐ ท่านให้เอา เง้าสับประรด กับ รากต้นมะละกอ (ที่งอกออกทาง ทิศตะวันออก) ตัวยาทั้ง ๒ อย่างนี้ น้ำมาล้างน้ำให้สะอาด ใส่หม้อดินต้มกับน้ำ พอสมควร ใช้น้ำยารับประทานต่างน้ำชา มีสรรพคุณแก้โรคขัดเบา (ปัสสาวะไม่ออก) ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระใบฎีกากรึก กิตฺติโสภี วัดห้วยกระเจา อ.พนมทวน กาญจนบุรี) ขนานที่ ๑๑ ท่านให้เอา ดอกบ้านไม่รู้โรยสีขาว ๗ ดอก หัวตะไคร้ ๓ หัว สารส้ม หนัก ๑ เฟื้อง ตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้ นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำ ประมาณ ๑ แก้วกาแฟ ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณ แก้โรคขัดเบา เป็นยาขับปัสสาวะ ปัสสาวะกระปริบกระปอรอย ปัสสาวะ ไม่ออก ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูสนิท อสโม วัดท่าจัด อ.สองพี่น้อง สุพรรณบุรี) ขนานที่ ๑๒ ท่านให้เอาตะไคร้ทั้ง ๕ (เอาทั้งต้นตลอดถึงราก) ๓ ต้น กับธูหอม (ธูปบูชาพระ) ๕ ดอก ตัวยาทั้ง ๒ อย่างนี้ นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำ พอสมควรใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณแก้ โรคขัดเบา (ปัสสาวะไม่ออก) ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูสังฆรักษ์กิจพงษ์ ปญฺญาสาโร วัดจันทร์ลาด อ.ท่ามะกา กาญจนบุรี) ขนานที่ ๑๓ ท่านให้เอา ว่านหางจระเข้สด นำมาปอกเปลือกออกแล้วหั่นเป็น ๓ ชิ้นๆละ ๑ องคุลี คลุกกับน้ำตาลทรายใช้รับประทานให้หมดทั้ง ๓ ชิ้น ชั่วระยะเวลา ๓๐ นาที จะถ่ายปัสสาวะออกได้สะดวก เคยใช้รักษาตัวเองหาย มาแล้ว มีสรรพคุณแก้โรคขัดเบาได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระสมุห์บุญช่วย นฺนทิโย วัดศีรษะทอง อ.นครชัยศรี นครปฐม) ขนานที่ ๑๔ ท่านให้เอา ก้านบัวหลวง กับ สารส้ม ตัวยาทั้ง ๒ อย่างนี้เอาอย่างละ พอสมควร นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ แก้วกาแฟ วันละ ๓ เวลา มีสรรพคุณแก้โรคขัดเบา (ถ่ายปัสสาวะไม่ออก) ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระปลัดขันธ์ วราโภ วัดลิ้นทอง (สระแกราบ) อ.โคกสำโรง ลพบุรี) ขนาน ๑๕ ท่านให้เอา ตากไม้ไผ่ ๓ ตา เง่าสับปะรด ๕ เง่า รากมะละกอ ๕ ราก ลงด้วยพระเจ้า ๕ พระองค์ (คือ นะ โม พุท ธา ยะ) นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำ พอสมควร ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยแกง หรือ ๑ แก้วกาแฟ มีสรรพคุณ แก้โรคขัดเบา (ถ่ายปัสสาวะไม่ออก) ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูอาร์ อตฺตโม วัดสมอ อ.สรรพยา ชัยนาท) ขนานที่ ๑๖ ท่านให้เอา ต้นหญ้าขัดมอญทั้ง ๕ (เอาทั้งต้นตลอดถึงราก) ๑ ต้น นำมาล้างน้ำให้สะอาด ย่างไฟให้แห้งแล้ว นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำ พอสมควร ต้มเคี่ยวให้นานๆหน่อย ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณ แก้โรคขัดเบา (ปัสสาวะไม่ออก) ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูวร พรตบริหาร วัดสิงห์ จันทบุรี) ยาแก้โรคขัดหนักขัดเบา ท่านให้เอา คนทา ๑ ข่าแก่ ๑ มหาหิงคุ์ ๑ รงทอง ๑ ยาดำ ๑ ตัวยา ทั้ง ๕ อย่างนี้ นำมาฝนกับฝาละมีหม้อดิน มีสุราเป็นน้ำกระสายยา ใช้ทาที่ท้องน้อยและหัวเหน่า มีสรรพคุณแก้โรคขัดหนักขัดเบา (คือถ่ายอุจจาระและถ่ายปัสสาวะไม่ออก) ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (วิทยาทานสงวนนาม) วันนี้เอาเพียงเท่านี้นะครับ จะนำมาเผยแพร่นานๆครั้งครับ แต่ว่า การใช้ควรอยู่ในดุลยพินิจของท่านว่าสมควรอย่างใดหรือไม่ อันตัวยา ทั้งหลายเหล่านี้เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ห่างไกลแพทย์แผนปัจจุบัน อนึ่ง ล้วนแล้วเป็นเส้นผมบังภูเขาครับ บางครั้งแพทย์แผนปัจจุบันรักษาไม่ ได้ บางทีอาจจะมีคุณประโยชน์ที่คาดไม่ถึงครับ สวัสดี. * แก้วประเสริฐ. *
อทิสมานกาย ๖๘ ชายหนุ่มนั่งพิจารณารูปร่างกายที่ปราศจากดวงวิญญาณของสาวชบา เห็นฉัพรังสีพรายรอบๆร่างนาง ดังนั้นก็ทราบว่า นางอัปสรทั้งสองได้นำพาร่างกายทิพย์ของสาวชบาท่องเที่ยว ไปในแดนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาแล้ว ในฉกามาพจร สวรรค์ หกชั้นหรือจะเรียกอีกนัยหนึ่งว่า ชั้น จาตุม เทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกานี้จะมีอายุ 500 ปีทิพย์ โดย 1 วัน และ 1 คืนของสวรรค์ชั้นนี้เท่ากับ 50 ปีของโลกมนุษย์ (30วันเป็น 1 เดือน 12 เดือน เป็น 1 ปี) อันสวรรค์ 6 ชั้นนี้ คือชั้น จาตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมารดี และ ปรนิมมิตวสวัตดี สวรรค์แต่ละชั้นนี้เกิดจากฌานสมาบัติในขั้นอนาคามี และทาน อันเป็นมหากุศลยิ่งใหญ่มากถึงจะได้เป็นหัวหน้าแต่ละชั้นหาก บุญนั้นน้อยก็จะไล่เรียงตามลำดับไป ตามลักษณะของวิมานต่างๆเป็น เครื่องหมายบอกถึงการเสวยบุญของเหล่าเทพยดานั้นๆ ในแดนแห่งชั้นแต่ละสวรรค์ที่เป็นประธานชั้นหรืออีกนัยหนึ่งคือ หัวหน้าของเหล่าเทพยดาและเทพอัปสรทั้งหลาย จะมีบุตรต่างเรียกว่า อินทร์ หรือ อินทะ มีจำนวนแห่งละพัน แปลว่าผู้เป็นใหญ่แห่งเทวดาทั้งปวงเรียงกันตามผลแห่งบุญที่สร้างไว้ เป็นรองของมหาราชเพื่อจะเข้าสู่ความเป็นมหาราชต่อไป การไปมาหาสู่กันได้ในระหว่าง 6 ชั้นนี้ ก็ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แต่จะมาอาศัยอยู่ไม่ได้ ผู้ที่จะมาได้นั้นต้องเป็นถึงมหาราชหรือ หัวหน้าของเทพยดาแต่ละชั้นเท่านั้นถึงจะไปๆมากันได้ ส่วนเทพยดามิได้เป็นหัวหน้าจะไปมาหาสู่ข้ามชั้นไม่ได้ ยกเว้น พวกอินทร์หรืออินทกะ หากเทพยดาชั้นใดๆก็ตามมีชั้นสูงกว่า จะลงมายังชั้นต่ำกว่าได้ แต่ชั้นต่ำจะขึ้นไปชั้นสูงไม่ได้นี่คือ กฏแห่งสวรรค์ที่กำหนดเอาไว้แบ่งส่วนต่างๆกัน ดังนี้ ชั้นพรหมจะมาอยู่ในชั้นใดๆก็ได้ตามเจตนารมณ์ ไล่กันลงมาจนถึงชั้นจาตุมหรือจาตุราชิกาส่วน ชั้นตั้งแต่เทวดาต่างๆที่อาศัยจะขึ้นไปสูงไม่ได้ มหาราชเองก็จะไปอาศัยอยู่ในชั้นสูงกว่าตนก็ไม่ได้เช่นกัน อันชั้นจาตุราชิกาอันมีมหาราชแยกปกครองเพื่อช่วยเหลือ เหล่ามนุษย์ทั้งปวงที่ประกอบกรรมดีให้รอดพ้นภัยร้ายนาๆนัปการ แบ่งอาณาเขตเป็นสี่ส่วน ทั้งสี่ทิศ ท่านท้าวเวสสุวรรณ(กุเวร) อันชื่อกุเวรนี้เป็นชื่อดั่งเดิมในสมัย ยังเป็นมนุษย์อยู่ในลักษณะของพราหมณ์ หรือผู้ที่สำเร็จฌาน ในขั้นอนาคามี มีบริวารนับเป็นจำนวนมากมาย ล้วนแล้วแต่พวกผีปีศาจ ยักษ์ และ อบายภูมิ อันมีท่านท้าวพระยายมราชปกครองอยู่ แต่จะต้องขึ้นอยู่กับท่านท้าวเวสสุวรรณมหาราช มีบุตรล้วนแล้วแต่ชื่ออินทร์หรืออินทกะทั้งสิ้น หรือเป็นรองท่านท้าวมหาราช ได้แก่พวกอินทร์หรืออินทกะที่ ท่านมหาราชได้ให้กำกับดูแลแทน หากท่านท้าวมหาราชจุติไปบังเกิดในชั้นสูงกว่าเช่นชั้นพรหมสืบ เนื่องมาจากพวกที่สำเร็จขั้นอนาคามีเท่านั้น ส่วนพวกที่กุศลเกิดจาก การทำบุญสุนทานก็จะไปสู่ชั้นสูงกว่าได้ยากมากจึงจำเป็น หรือย้อนกลับลงมาในโลกมนุษย์ด้วยหมดผลบุญที่ได้ เสวยผลบุญที่เคยทำมา เพื่อสร้างสะสมบุญบารมีต่อไป ในครั้งเป็นมนุษย์เจริญสมาธิหรือทำบุญไว้มากๆอีกครั้งหนึ่งก็จะกลับ คืนไปสู่ยังดินแดนอื่นๆอีกต่อไปหรือกลับไปในชั้นเก่าของตนก็ต้อง เป็นการเริ่มต้นในอินทร์หรืออินทกะก่อนเรียงลำดับตามผลบุญนั้นๆ หาใช่กลับมาเป็นมหาราชเหมือนเดิมก็หาไม่ ท่านอินทร์ทั้งหลายหรืออินทกะใครมีบุญบารมีสูงที่สุดก็จะได้รับการ เลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นมหาราชแทนทันที ไม่มีการขาดตอนใดๆเพื่อปกครองเฝ้าดูแลบริวารและมนุษย์ ช่วยเหลือผู้ที่ประกอบแต่กรรมดี คอยปกปักรักษาไว้มิให้ มีเภทภัยใดๆทั้งสิ้น จะช่วยคุ้มครองป้องกันพวกที่มาขัดขวางทางบุญกุศล อาณาเขตการปกครองกว้างขวางกว่ามหาราชอื่นๆอีก ซ้ำยังเป็นประธานของเหล่ามหาราชทั้งหลายอีกด้วย การที่จะมาชั้นนี้ได้นั้น ต้องสำเร็จฌานสมาบัติ ในขั้นอนาคามี และสร้างบารมีทานไว้มาก หากตอนก่อนจะดับขันธ์นั้น หากดับในสมาธิก็ต้องไปเสวยสุขยังชั้นพรหม หากดับขันธ์ไม่ได้ดับในสมาธิก็จะต้องมาสู่ยังสถานที่นี้แต่ต้องเป็น ในรูปของอินทกะเพื่อจะสืบสานขึ้นเป็นองค์มหาราชต่อไป หากท่านท้าวจาตุรราชิกานั้นจุติแล้วไปบังเกิดในชั้นพรหมหรือ เลื่อนขึ้นสูงกว่านี้ อินทกะที่มีบารมีสูงก็จะได้เป็นมหาราชแทน ปกครองดินแดนยังทิศเหนือสืบต่อไป ส่วนเทพยาดาที่ไม่ได้ขั้นอนาคามีและลดหย่อนลงมาตามลำดับได้ฌาน สมาธิแต่ยังไม่สูงถึงขั้นอนาคามีครั้นดับขันธ์มิได้อยู่ในฌานสมาบัติแล้ว หรือพวกทำบุญสุนทานมากน้อยแต่ไม่ใช่มหาทานก็จะจุติไปบังเกิดลด หลั่นกันไปตั้งแต่ อินทร์หรืออินทกะมาจนสุดท้ายคืออทิสมานกายที่ เราเรียกว่า รุกขเทวาหรือรุกขเทวี พวกนี้จะไม่มีวิมานของตัวเองแต่จะ สามารถเนรมิตไปเกาะติดตามต้นไม้ใหญ่ๆที่มีกลิ่นหอมเป็นต้นหรือ หากมีใครอัญเชิญก็จะไปประจำยังศาลพระภูมิบ้างตามแต่ผลบุญของตัวเอง ตามลำดับจะไปสู่ยังขั้นอินทร์หรืออินทกะไม่ได้เลย การจะไำปอยู่ใน ดิืนแดนทั้งสี่ทิศนั้นก็ต้องแล้วแต่อำนาจของผลบุญของตัวเองด้วย เป็นแรงของผลบุญแต่ละทิศนั้นการเสวยสุข ไม่เหมือนกันนั่นเอง ท่านท้าวธตรฐ ก็เช่นเดียวกันต้องมีฌานสมาบัติในขั้นอนาคามี เช่นเดียวกับท่านท้าวเวสสุวรรณ มีการปกครองอาณาเขตน้อยกว่า ด้วยบารมีนั้นน้อยกว่าท่านท้าวเวสสุวรรณ มีรองซึ่งเป็นบุตร จำนวนพันหนึ่งเหมือนกันชื่อก็เรียกเหมือนกันคือ อินทร์หรืออินทกะ ปกครองดินแดนด้านทิศตะวันออก มีบริวาร เป็นพวก กุมภัณฑ์ วิทยาธร คนธรรพ์ กินนร และยังมี ดินแดนแห่งป่าหิมพานต์ ที่พวกมัคคลีผลตลอดจนพวกสิงห์ คชสีห์ฯลฯ สัตว์ต่างเป็นจำนวนมาก เสวยสุขคล้ายๆดาวดึงส์ อาณาเขตน้อยกว่าท่านท้าวเวสสุวรรณ ท่านท้าวรุฬหก ก็เหมือนมหาราชทั้งสองคือท้าวเวสสุวรรณ ท้าวธตรฐ ปกครองทางด้านทิศใต้ มี ครุฑ กุมภัณฑ์ ปักษาทั้งหลาย เป็นบริวาร คล้ายกับท่านท้าวธตรฐ มหาราชที่มีบริวารดังกล่าว มีอาณาเขตน้อยกว่าท่านท้าวเวสสุวรรณ มีบุตรรองท่านมหาราช หนึ่งพันนายเช่นเดียวกัน ต่างเรียกชื่อเหมือนๆกันคือ อินทร์ หรืออินทกะ ท่านท้าววิรูปักข์ ก็เหมือนท่านท้าวทั้งสามเป็นมหาราชดูแลทางด้าน ทิศตะวันตก มีพวก นาค งู และสัตว์มีพิษทั้งหลาย มีบุตรและรองมหาราชจำนวนหนึ่งพันนาย มีนามว่า อินทร์ หรืออินทกะ เช่นเดียวกัน ทั้ง 6 ชั้น อาณาเขตน้อยกว่าท่านท้าวเวสสุวรรณ ดินแดน ทั้งสามท่านมหาราชนอกจากท้าวเวสสุวรรณแล้วมีพื้นที่ปกครองใกล้ๆเคียงกัน อินทร์หรืออินทกะนั้นการแต่งกายจะไม่เหมือนกันตามแต่ละทิศที่ช่วย ปกครองดูแลบริวารของท่านท้าวมหาราช รัศมีของแต่ละแดนก็แตกต่างกันด้วย ถึงจะมีชื่อเหมือนๆกันแต่มีที่สังเกตุของเครื่องแต่งกายที่เกิดขึ้นจากทิพย์เป็นตัว บ่งชี้ถึงการเหลื่อมล้ำ ฉะนั้นท่านท้าวมหาราชทั้งสี่หรือหัวแห่งทวยเทพยดาทั้งปวง แต่ละชั้นก็อาศัยสังเกตุการแต่งกายและฉัพรังสีของแต่ละองค์ซึ่งแตกต่างกันไป เรียกถูกต้องไม่เกิดการผิดพลาดด้วยแต่ละองค์นั้นการแต่งกายฉัพรังสีไม่เหมือนกัน ครั้นชายหนุ่มทราบเหตุดังนี้จึงนั่งคอยเฝ้าดูแลร่างของสาวชบามิให้รับอันตราย ด้วยว่าการออกจากร่างนั้นในขณะนี้ จะมีใครมาจับต้องร่างนั้นมิได้ ด้วยเกิดราคีจะทำให้ ร่างกายทิพย์มิอาจจะเข้าคืนร่างสู่ปกติได้เลย ครั้นนั่งเฝ้าดูแลร่างกายของชบานั้น ก็แลเห็นร่างของเจ้าแสงสีและสินชัย ปรากฏกายขึ้นมาเพื่อจะรายงานให้ชายหนุ่มรู้ที่สภาพการทำงาน แห่งบ้านบางโคให้ทราบถึงเรื่องราวทั้งหมดแก่นายมัน และหันไปมองยังร่างของสาวชบาด้วย ก็เกิดความสงสัยจึงได้ถามว่า “นายๆ???.....แม่สาวชบาถอดกายทิพย์ได้แล้วหรือครับ” “ใช่แล้วเจ้าแสงสีและแสงชัย เรื่องนั้นข้าเองก็คิดว่าคงจะสำเร็จด้วย ข้าได้ไปดูการทำงานของเจ้าแล้ว เจ้าปฏิบัติงานได้ดียิ่งนัก ที่ข้ามิให้เจ้าจัดการขั้นเด็ดขาดก็ด้วยได้รับแจ้งจาก องค์ท่านท้าวพระยายมราชแล้วว่าท่านได้ส่งท่านยมฑุตมาคอยช่วยเหลือ และรับตัวพวกมันแล้ว ด้วยอำนาจแห่งฉัพรังสีขององค์พระนั้น ก็สามารถตรึงพวกผีปีศาจอสูรกายได้แล้ว จึงไม่กังวลแล้วรีบกลับคืน แต่ได้รับการช่วยเหลืออีกทางหนึ่งย่อมเพิ่มความสะดวกแก่ท่านยมฑูตด้วย เอาล่ะขอบใจเจ้ามากนัก อ้อๆๆอีกอย่างหนึ่งเดี๋ยวข้าต้องออกไปข้างนอก ขอให้เจ้าจงช่วยเฝ้าดูแลร่างของสาวชบาไว้ด้วยอย่าให้ใครมา จับต้องร่างกายเนื้อนี้ได้นะ จะเป็นอันตรายแก่นางเมื่อคืนกลับสู่ร่าง” ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ อ้อๆอีกอย่างหนึ่งนั้นแม้เจ้าจะมิมีกายเนื้อเช่นดั่งนาง แต่ด้วยอำนาจแห่งผลบุญกุศลที่เจ้าสร้างบารมีไว้ด้วย การเจริญสมาธิ เจ้ารู้ไหม???....ว่าผลบุญแห่งการเจริญสมาธินั้น บัดนี้เจ้าได้ ปรับสภาพจากสัมภเวสีไปแล้วคืนเกิดดับในสมาธิปรับ โดยเจ้ามิรู้ตัวเลยว่า เป็นอทิสมานกายไปแล้วแต่ว่า ยังอยู่ในขั้นต่ำอยู่ เจ้าต้องหมั่นเจริญสมาธิให้มากๆอย่าได้เกิดความประมาท เจ้าตอนนี้ประดุจดั่งปุยนุ่นอาจจะทำให้กลับกลายเป็นสัมภเวสีอีกได้นะ” ชายหนุ่มกล่าวกำชับแก่แสงสีและสินชัย ครั้นทั้งสองได้ฟังเช่นนั้น ก็ให้รู้สึกยินดีต่างนึกในใจว่า หากไม่ได้มารับใช้นายคนนี้ มันจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ด้วยยังต้องวนเวียนรับใช้อาจารย์เจี๊ยะเปิ้งอยู่ หากมันสิ้นไปเหมือนเดี๋ยวนี้ ทั้งสองล่ะจะเป็นฉันท์ใด มันยังนึกไม่ออกเอาเสียเลย จึงพากันก้มลงกราบชายหนุ่ม ซาบซึ้งในใจยิ่งนักที่ได้รับการสนันสนุน ร่ำเรียนวิชาทางนี้มาจน บัดนี้มันเปลี่ยนสภาพเป็นอทิสมานกายหรือเทวดาน้อยได้แล้ว ย่อมพ้นจากอบายภูมิไป ไม่ต้องกลับลงไปสู่ภพภูมิเบื้องล่างอีกต่อไป เพื่อชดใช้เวรกรรมที่มันก่อขึ้นอย่างไม่ตั้งใจนัก โดยการถูกบังคับก็ตามที ทำให้มันทั้งสองปลาบปลื้มเป็นอย่างล้นพ้น จึงเอ่ยวาจาว่า “นายข้าทั้งสองจะคอยดูแลไม่ให้ใครมารบกวน ร่างกายเนื้อของแม่นางชบาได้เป็นอันขาด ขอให้นายอย่าได้ห่วงกังวลไปอีกเลย หากนายจะไป ทำธุระอื่นๆก็ได้ครับนาย” ทั้งสองตอบพร้อมเพรียงกัน “เอาล่ะข้าจะออกไปคุยกับพ่อแม่สักหน่อย และบอกท่าน ให้เข้าใจว่าทำไมสาวชบาไม่ได้ออกจากห้องข้าเลย นี่ก็ได้เวลาทำอาหารเย็นแล้วล่ะ ท่านทั้งสองกำลังสงสัยข้าอยู่” “เชิญเถอะนาย ข้ามองเห็นท่านนั่งสนทนากันอยู่ชานเรือนคอยอยู่แล้วล่ะ” “ดีล่ะเมื่อได้เจ้าคอยดูแลข้าก็หมดห่วงใยแล้วล่ะ ไปก่อนนะ” ชายหนุ่มเอ่ยเสร็จก็ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวออกจากห้องทันที แต่ไม่วายหันไปปิดประตูให้แน่น ก็มองเห็นพ่อและแม่กำลังนั่งคุยกันอยู่ ดูเหมือนจะสงสัยอะไรบางอย่าง จึงได้เดินเข้าไปหา แล้วนั่งลงร่วมสนทนาด้วย “นี่ลูกโชติ น้องชบาอยู่ในห้องกำลังทำอะไรหรือ???..อยู่ตั้งนาน วันนี้ไม่ได้ทำอาหารเย็นเลยทุกๆทีไม่เคยขาดนี่นา เห็นหายเข้าไปนานเหลือเกิน???..” แม่เข็มเอ่ยถามด้วยความสงสัย “นั่นซิพ่อเองก็สงสัยว่าเอ๊ะหายไปตั้งนานเหมือนกัน จึงคุยกับแม่เข็มว่ามันเข้าไปทำอะไรกันหรือนะ ไหนๆๆเล่าให้พ่อฟังบ้างซิลูก???...” “แล้วคุณพ่อคุณแม่ว่าผมทำอะไรหรือครับ” ชายหนุ่มแกล้งกระเซ้าพ่อแม่ทันที ได้ผลทั้งพ่อเชียรแม่เข็ม หันมามองหน้ากัน ต่างขมวดคิ้วเข้าหากัน ครั้นจะกล่าวตรงๆก็ให้รู้สึกเกรงใจลูกชาย หากไม่เป็นจริงก็จะเสียหายจึง หันมากล่าวทันที “ที่จริงแม่ก็ไม่สงสัยอะไรมากหรอกจ้า แต่เคยมาทำอาหาร ไม่เคยขาดแต่หายไปนี่ก็ยังไม่ออกจากห้องลูก และอยู่กันสองต่อสองด้วยจะไม่ให้แม่คิดอย่างไรล่ะ อีกอย่างหนึ่ง นั้นก็รู้ๆกันอยู่ว่า ร่างชบานั้นไม่ใช่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อแม่ ส่วนชบามันแม่ก็เอามาเลี้ยง หากเป็นไปได้ก็ดีนะรีบบอกๆมาเถอะ พ่อแม่จะได้จัดการให้ถูกต้องเสียที” “นั่นซิเจ้าโชติพ่อแม่ก็ไม่ได้รังเกียจมันหรอก ถึงจะโอนมา เป็นบุตรบุญธรรมก็ช่างและลูกเอง ก็เคยเอ่ยบอกไว้ว่า ปัญหานี้แก้ไขได้ด้วยล่ะ ????...... ฮ่าๆๆๆสาธุขอให้ข้ากับแม่เจ้า คิดถูกเสียเถิดนะ” พ่อเชียรเอ่ยพลางหัวร่อพลาง “แต่อย่างไรก็ให้เกียรติชบามันบ้างนะลูก จะได้จัดงานให้มันใหญ่โต สักทีไม่ได้มีงานอะไรเลยทางบ้านเรานะ” “นั่นซิพี่เชียรกล่าวก็ถูกต้อง ลูกเรามันโสดมาอายุหรือก็ย่างเข้าสี่สิบห้า ไปแล้วยังไม่มีฝั่งมีฝา หรือเราก็ยังจะได้ดูแลหลานสักคนสองคน จะเป็นชายหรือหญิงก็ได้นะ จะได้สบายใจกันเน๊อะพี่???...” แม่เข็มสนับสนุนทันที..... คราวนี้ชายหนุ่มได้ยินก็หัวร่อลั่นทันที เมื่อพ่อแม่เอ่ยเช่นนี้ เหมือนหนึ่งว่าเขากับชบาต่างชิงสุกก่อนห่ามไปเสียแล้ว ก็ยิ่งหัวร่อจนงอหาย จึงแกล้งยั่วขึ้นมาอีก “คุณพ่อคุณแม่คิดอย่างนั้นจริงๆหรือครับ ถ้าเป็นจริงแล้วคุณพ่อไม่กลัวคนนินทาหรือ???.. “โอ้ย!!!!!.....สาธุๆๆขอให้เป็นจริงเถอะน่ากลัวจะไม่จริงนะซิ เรื่องคนนินทาพ่อกับแม่ไม่กลัวเรื่องนี้หรอกจ้า กลัวจะไม่จริงนะซิ ใช่ไหมพี่เชียร????...” แม่เข็มหันไปมองหน้าผัว พลางอมยิ้มใจนึกว่าเป็นเรื่องจริงๆเสียด้วยซิ “จริงๆนะไม่ใช่ว่าข้าไม่ชอบนา แต่ว่าข้ามันรู้นิสัยเจ้าโชติมัน ดีมันจะหลอกเราหรือเปล่าเท่านั้นนะแม่เข็ม ล้อเล่นกับพวกเรา เรื่องหากเป็นจริงไม่ใช่ว่าข้าจะไม่ดีใจนะแม่เข็ม” “จะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง ฉันก็ต้องทำให้เป็นจริงให้ได้ โอ้ยๆๆคราวนี้จะได้อุ้มหลานกันกับเขาบ้าง มองคนอื่นมานานแล้ว แต่ไม่อยากบังคับจิตใจเจ้าโชติมันเท่านั้น ครั้นจะข่มขืนวัวควายให้กินหญ้า มันก็ดูกระไรนาพี่เชียร” แม่เข็มเอ่ย...พลางหันไปทางหน้าลูกชาย ทางสายตา เหมือนจะเคี่ยวเค้นความจริงหนุ่มโชติเสมือนให้ยอมรับให้ได้ ทำให้ชายหนุ่มนึกในใจว่า เห็นทีว่าเราคงจะไม่พ้นการแต่งงาน ไปได้ก็คราวนี้แหละนะ และงานเราหรือก็ยังไม่เรียบร้อยสมบูรณ์ไป แต่เมื่อคิดถึงสาวชบาก็ไม่ขี่เหร่ซ้ำยังสวยอวบอัดอีกด้วย ทั้งความเรียบร้อย การบ้านการเรือนหรือก็หมดจดหาที่ติมิได้ มีระเบียบจัดของน่าดูน่าใช้ ตั้งแต่ หล่อนเข้ามาอยู่นั้น บ้านเรือนหรือก็สะอาดไปทั่ว พื้นห้องก็แลดูแวววาวน่าอยู่ จะหาฝุ่นละอองสักนิดก็ไม่มี แต่มาติดเรื่องการจดทะเบียนโอนและหล่อนก็ เพียงแต่อายุนั้นยังน้อยนัก เราหรืออายุก็มากมาจนถึงบัดนี้ แล้วแม่นางอัปสร อีกสองคนล่ะจะทำอย่างไรดีหรือ????..... ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวทันที เมื่อพ่อแม่ถามก็ ได้แต่อ่ำๆอึ้งๆไป เมื่อพ่อเชียรแม่เข็มเห็นอาการของลูกชาย ก็ยิ่งปักใจเชื่อตัวเองยิ่งขึ้นไปอีก พลางหันไปหัวร่อกับผัวทันที “เอาล่ะๆๆ???.....ไม่ต้องมาอ่ำๆอึ้งๆหรอกลูกบอกพ่อแม่มาเลย จะได้ไปสู่ขอพ่อแม่มัน ด้วยถึงอย่างไรก็ยังเป็นเชื้อสายของเขาอยู่จะหักหาญ น้ำใจไปก็ไม่ดี แล้วก็ให้หลวงพ่อดูฤกษ์ยามงามดีจะได้แต่งๆกันไปนะลูก หรือว่าไงล่ะพี่เชียร” แม่เข็มเอ่ยถามผู้เป็นผัวทันที ด้วยสีหน้าแช่มชื่นนัก “ไอ้ข้านะแม่เข็ม แม่เข็มพูดอะไรข้าก็ไม่เคยขัดใจแม่เข็มสักที หากมันเป็นจริงอย่างแม่เข็มคิดนะข้าก็ดีใจด้วย แต่เจ้าโชติมันซิ จะล้อเราเล่นหรือเปล่านะ อย่าพึ่งปักใจให้มั่นคงนัก” พ่อเชียรเอ่ยแบบเป็นกลางๆ ส่วนในใจนั้นแสนจะลิงโลดยิ่ง “เถอะน่าๆๆในเมื่ออยู่กันสองต่อสองตั้งครึ่งค่อนวันแบบนี้ผิดปกติธรรมดา จะมีอะไรอีกล่ะ หญิงสาวกับชายโสด ไม่มากไม่น้อยมันก็มีบ้างแหละน่า เหมือนตอนพี่เชียรหนุ่มๆก็เหมือนกันแหละจ้า” “อ้าวๆๆไหงมาลงที่ข้าอีกล่ะแม่เข็ม ที่ข้าทำไปนะ ก็ด้วยมีความรักจริงใจจริงต่อแม่เข็ม คนเดียวเท่านั้นมิคิดนอกใจเป็นอื่นเลย เมื่อเราแต่งงาน แม่เข็มไม่เห็นหรอกว่าข้าเคยไปข้องแวะกับหญิงใดบ้าง นอกแต่วันๆหนึ่งก็ทำงานในไร่นาสวนนี่แหละ ซ้ำยังมีแม่เข็มคอยให้กำลังใจ แก่ข้าไม่เคยห่างไปไหน เวลาเหนื่อยหรือก็รีบนำน้ำเย็นมาให้ข้าดื่มแล้วจะให้ ข้าไปมองเหลียวหาสาวอื่นใดให้โง่นะซิ อายุหรือก็มากปานนี้แล้วเดี๋ยวเด็กๆมัน จะหัวร่อเยาะเย้ยข้าเอาว่า โคแก่ริกินหญ้าอ่อนอีกต่างหากนะแม่เข็ม ถึงแม้ว่า ข้าจะรูปหล่อกว่าใครๆในหมู่บ้านนี้ก็ตามจริงหรือเปล่าล่ะ???...” พ่อโชติกล่าวแล้วรำลึกความหลังได้ กล่าวเสร็จก็ยกมือขึ้นเสยผมทันที ผมที่เป็นสีดอกเลาประปราย หันไปหลิ่วตากับแม่เข็มยั่วเย้าเล่น “ไอ้ที่พี่พูดก็จริงอยู่หรอก หากมีซิพี่ก็รู้ว่าฉันเป็นคนอย่างไร มิหัวร้างข้างแตกก็ไม่ใช่ฉันแล้วล่ะจ๊ะพี่ ไอ้พวกหนุ่มที่มาจีบฉันนะหรือ ถามกำนันจ้อยดูได้ว่าหัวมันมีแผลเป็นหรือไม่????......” แม่เข็มกล่าวพลางหัวร่อฮึๆๆๆ “ฉันไม่ใช่ดอกไม้ริมทางนี้นา กำนันจ้อย ผู้ใหญ่อาจหรือ วิ่งป่าราบ เมื่อโดนพ่อฉันเอาปืนไล่ส่องตูดเสียวิ่งกระเจิงไปเลย นี่ดีนะมนต์พี่เชียรขลัง ที่พ่อฉันไม่รู้เกิดถูกชะตาอะไรกับพี่นะถึงได้มีวันนี้ แต่หน้าแข็งพี่แผลเป็นหายหรือยังล่ะ???...ฮึๆๆๆ...” “แม่เข็มอายเด็กๆมันบ้างนะ มันไม่รู้ก็เลยรู้หมดเพราะวันนี้แหละ เฮ่อๆๆๆมาพูดเรื่องของลูกเรากับสาวชบากันดีกว่านะแม่เข็ม” พ่อเชียรเอ่ยเอาใจเมีย ด้วยรู้ว่าเมียตนนั้นเวลาดีหรือก็เหมือนแม่พระ แต่พอร้ายหรือก็เหมือนพระเหมือนกัน แต่เป็นพระเพลิงกองใหญ่ด้วย จึงเสแสร้งเลี่ยงไปทางอื่นเสียด้วยอายลูกชายที่นั่งเฝ้าดูอยู่ห่างๆและอมยิ้มด้วย “แม่ๆๆมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือครับ ผมพึ่งจะรู้ว่าพ่อสมัยหนุ่มๆรูปหล่อมากๆ เสียด้วยนา แล้วไปมี เมียน้อยแอบซ่อนไว้เลยหรือแม่อย่าไว้ใจนา ผมพบมามากแล้ว ไม่มี๊ไม่มีๆแต่พอเวลาตายขึ้นมาเกิดมีคนมาบอกว่า เป็นเมียพาลูกมาด้วยน่าตาเด็กหรือก็เหมือนคนตายเปี๊ยบเลยล่ะแม่ ครั้นเอาเช็คเลือดทำดีเอ็นเอ หมอบอกว่าเป็นลูกของคนตายด้วย เอาล่ะตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่ ขันที่ใช้รดน้ำศพถูกเมียหลวงเคาะ กระบาลคนตายเลยจ๊ะแม่ นี่แน๊ะๆก่อนตายทำเป็นถือศีลกินเพลฮ่าๆๆๆ????....” คราวนี้ได้เรื่องทันที แม่เข็มหันขวับไปจ้องมองหน้าผัวเขม็งราวยักษ์ขมุขีสายตา อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ พลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกร๊วบๆๆ “ บอกมาดีๆนะพี่เชียรเรื่องมันจะเหมือนที่ลูกโชติพูดหรือเปล่า บอกมา บอกมาๆ???..เสียดีๆๆ บอกเสียก่อนนา หากข้ารู้เมื่อไหร่ตายสถานเดียว” แม่เข็มเอ่ยทันควัน เล่นเอาพ่อเชียรรีบถอยห่างแม่เข็มทันที เพราะมือของแม่เข็มคว้าเชี่ยนหมากอยู่ “ไอ้ลูกโชติโว้ยๆ???...หาเรื่องให้พ่ออีกแล้วหรือว๊ะ นี่แม่เข็มมึงนะโว้ยๆ ไม่เหมือนคนอื่นเสียด้วย เดี๋ยวพ่อก็ฉิบหายหรอกว๊ะ” พ่อเชียรร้องลั่นบ้านทันที ทำท่าจะลุกขึ้นเดินหนี แต่แม่เข็มไวยังกับปรอท คว้าข้อมือผัวกระชากให้ลงมาหาแกนั่งลง เพื่อจะรับฟังคำของผัวทันที “มานั่งนี่ซิพี่จะไหนหรือ???....สงสัยลูกเราจะพูดเป็นเรื่องจริงกระมังนะ ด้วยบางครั้งพี่ทำไร่นาสวนคนเดียว อาจจะใช้เวลานั้นแอบหนีไปเที่ยว ก็เป็นไปได้นะ หากฉันไม่ตามไปด้วย คงจะเหลิงระเริงกันแน่ๆถึงมีอาการ แบบนี้นะ บอกมาๆๆอย่าโกหกนะหากมีก็รีบบอกๆมาเสียโดยดี” แม่เข็มเอ่ยด้วยอารมณ์ค่อนข้างจะฉุนเฉียว ด้วยลูกที่เลี้ยงมาไม่เคยโกหก หล่อนเลยตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนเติบใหญ่บัดนี้ เล่นเอาพ่อเชียรปากอ้าตาค้างพูดอะไรไม่ออก พลางหันขวับไปทางลูกชาย ทันที “เป็นอย่างไรบ้างล่ะพ่อมหาจำเริญ ไหง๋ๆมาลงทางพ่อเสียล่ะ เห็นไหมเวลา ที่แม่เจ้าโกรธนะเป็นอย่างไรบ้าง???.ฮึๆๆๆไม่ช่วยพ่อแก้ไขบ้างเชียวหรือ” ชายหนุ่มหัวร่อลั่นบ้าน พลางล้มตัวลงนอนหนุนตักแม่เข็มทันทีแล้วอ้อนว่า “ไม่หรอกแม่จ๋า พ่อเชียรเขารักแม่จะตายไปที่ผมพูดมานี่นะไม่ใช่เรื่องของพ่อ หรอกจ๊ะ เป็นเรื่องที่เขาเล่าขานในวงเหล้าของลูกน้องผมมันแหย่คนที่บอกว่า ไม่กลัวเมีย ให้เมียมันฟังก็เหมือนแม่นี่แหละโมโหโกรธาเสียยกใหญ่จนพวกๆ ต้องบอกว่าเป็นการล้อเล่นกัน นั่นแหละเรื่องถึงเงียบไป เล่นเอาคนถูกอำต้อง โดดเตะเพื่อนเขาคาวงเหล้าเลยล่ะ???...ฮ่าๆๆเหมือนแม่เปี๊ยบเลยล่ะจ๊ะ ผู้หญิง หรือก็แบบนี้ทุกๆคนแหละแม่ ปากอย่างหนึ่งใจอีกอย่างหนึ่ง เพราะความรัก ทำให้ตามืดบอดไม่ตั้งสติคิดก่อนถึงเหตุผลเป็นอย่างไร ด้วยพอรักกันนานๆ ผิดนิดผิดหน่อยก็ไล่ไปๆๆๆไปหาเมียน้อยได้เลย ไม่ไหวแล้ว แต่พอเขาทำท่าจะไปจริงๆก็เลยเข้ามาอ้อนออดเป็นเสีย แบบนี้ทุกรายล่ะจ๊ะแม่ ฮ่าๆๆๆๆ ทำเป็นปากแข็งน่าตาขึงขังพอโดนจริงๆหงอ” แล้วชายหนุ่มก็หัวร่อลั่น พลางเอื้อมมือไปลูบหน้าแม่เล่นๆ ผมล้อพ่อแม่เล่น เห็นเครียดเอาจริงเอาจังนักจ้าแม่ ทำเอาทั้งสองตายายถึงกับเขินกันไป แม่เข็มก็หันมาเค้นถามอีก “จริงๆนะพี่เชียรไม่มีแน่นะ เอ๊ะๆๆๆฉันก็อยู่กับพี่ทั้งวันนี่นะไปวัดหรือก็ไป ด้วยกันมิเคยขาด จะมีเวลาไปหาเมียน้อยได้ หรือ อืมมๆๆๆจริงซินะ งั้นฉัน ขอโทษพี่ก็แล้วกันนะ ฉันมันคนอารมณ์ร้อนเสียด้วย อย่าโกรธฉันนะพี่” คราวนี้เล่นเอาพ่อเชียรยิ้มออก เป่าปากพรวดๆๆๆ ระบายลมออกจากท้อง เสียงดังสนั่น หันไปยกมือเขกกระบาลลูกชายทันทีแล้วเอ่ยว่า เฮ่อๆๆ ระบายลมออกจากปากอย่างโล่งอกโล่งใจ “เกือบแล้วซิเจ้าโชติ พ่อเกือบซวยซะแล้วไอ้ลูกคนนี้ เห็นฤทธิ์แม่เจ้าหรือยัง ทีหน้าทีหลังอย่าทำอีกนะ และแม่เจ้าหรือรักเอ็งมากด้วยเชื่อคำพูดเอ็งไปหมด” แล้วพ่อเชียรก็หัวร่อ ยิ่งเห็นหน้าเมียยิ้มปุเลี่ยนปุเลี่ยนด้วยก็ยิ่งถูกใจนัก “พ่อผมเห็นพ่อแม่รักกันแบบนี้ผมภูมิใจมากจริงๆนะ พอใครโมโหก็รีบถอย ทันที ดีจังเลยผมนี่เกิดมาเป็นลูกพ่อแม่ไม่เสียดายชาติเกิดหรอกครับชาตินี้” “อันที่จริงแม่ลืมตัวจ๊ะลูก นึกว่าเรื่องจะจริงเสียอีก ครั้นมีสติตั้งได้มาขบคิดถึงรู้ ทีหลังอย่าหยอกแม่แบบนี้อีกนะ พ่อเจ้าหัวแตกก็จะเป็นเวรเป็นกรรมแก่แม่” พลางเอามือทั้งสองลูบไปตามใบหน้าและลำตัวของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน “เอาล่ะๆๆเมื่อเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว เจ้ายังไม่ได้บอกว่า เจ้ากับชบาทำอะไรกันหรือ???” “อ้อๆๆๆผมฝึกให้ชบามันนั่งสมาธิจนสำเร็จแล้วจ๊ะแม่ ตอนนี้มันกำลังถอดกายทิพย์ ออกไปเที่ยวสวรรค์กับแม่นางอัปสรทั้งสองนำทางไป เพราะจะให้ไปคนเดียวไม่ได้ ด้วยไม่รู้กาลเวลาของอีกมิติหนึ่งว่าผิดแตกต่างกันมาก เดี๋ยวจะเข้าร่างก็จะสายเกินไป ด้วยร่างกายเนื้ออาศัยธาตุต่างๆสัมพันธ์กับธาตุวิญญาณด้วย จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไปไม่ได้เป็นอันขาด ถ้ามาช้าธาตุที่ก่อไว้ก็จะแยกออกจากกันเกิดแปรสภาพเน่าเปื่อย ไปตามกาลแห่งเวลาเสีย ครั้นมาถึงแล้วจะเข้าร่าง ร่างนั้นก็สูญสลายธาตุไปหมดแล้ว หากเป็นมิติเดียวกันก็ไม่เป็นไรด้วยรู้เวลาอยู่จ๊ะ” ชายหนุ่มเอ่ยให้พ่อแม่ฟัง ทั้งสองได้รับฟังก็พากันอ้าปากค้าง ต่างอุทานพร้อมๆกัน “เจ้าชบานะหรือถอดกายทิพย์ได้แล้ว หาๆๆจริงๆนะลูกไม่ได้ปดพ่อแม่นะ” “ตั้งแต่เกิดมามีครั้งใดบ้างล่ะครับที่ผมจะปดพ่อและแม่ เรื่องจริงๆครับ ตอนนี้ผม ให้เจ้าแสงสีและสินชัยมันคอยระวังเฝ้าร่างกายเนื้อให้แก่ชบาอยู่ครับ ป่านนี้คงจะ กลับเข้าร่างเดิมได้แล้วล่ะแม่ เพราะนางอัปสรทั้งสองรู้เวลาควรไม่ควรครับ” “อืมๆๆๆ???...นับว่าวาสนามันมีมากจริงๆคงสะสมมาตั้งแต่ปางก่อนจึงทำให้มัน สำเร็จได้ไม่ยากเย็นนัก พ่อกับแม่ซิยังทำไม่ได้ถึงขั้นนี้เลยล่ะ ด้วยยังตัดไม่ขาดหมด” แม่เข็มเอ่ยขึ้น แล้วหันไปทางพ่อเชียรเอ่ยถามบ้างว่า “แล้วทางด้านพี่ล่ะเหมือนเจ้าชบาหรือเปล่าล่ะพี่???...” “ข้าก็เหมือนแม่เข็มแหละ วนเวียนไปๆมาๆอยู่นี้แหละ แต่ช่างเถอะได้ขนาดนี้ก็ดี แล้วล่ะแม่เข็ม คนเราอย่าหวังอะไรมากนัก หากหวังมากยิ่งทำให้จิตใจเราฟุ้งซ่านมาก ขึ้นไปอีก พ่อเองก็พอใจในลักษณะนี้เหมือนกันล่ะ เพียงแต่รอเมื่อไหร่หนอจะได้มี หลานอุ้มสักคนหนึ่งกับเขาบ้างก็เท่านั้น จริงไหมล่ะ???...แม่เข็ม” “จ๊ะพี่ฉันปลงตกมานานแล้วล่ะด้วยบุญเรามันได้แค่นี้ก็แค่นี้ และคำพูดสุดท้ายของพี่ ก็เหมือนกับฉันเลยเชียวล่ะ” ชายหนุ่มหัวร่อฮึๆๆๆแล้วแกล้งนอนหลับตาแกล้งหลับไปบนตักแม่เข็มทันทีทำเป็น เสียงกรนเบาๆๆ................ * แก้วประเสริฐ. *
อทิสมานกาย ๖๗ อรุณสางยามเช้า หมอกเมฆปกคลุมยอดเขาสล้าง สายลมพัดคลอเคล้าพื้น แผ่นดินจางๆ กลิ่นหอมจากกล้วยไม้ป่าที่สาวบงกช นำมาปลูกไว้ในกระถาง ที่ทำด้วยไม้นาๆชนิดแขวนไว้ หน้าชานเรือนส่งกลิ่นหอมคลุ้งยามได้รับแสง ที่ยังสลัวๆอยู่เมื่อออกช่อบานสะพรั่ง สาวเจ้ากำลังรดน้ำให้เหล่ากล้วยไม้เหล่านั้น เจ้าหล่อนก็ดมไปยังกลิ่น อันหอมหวล พลางคำนึงถึงหนุ่มโชติก็ยิ่งให้จิตใจสะท้านหวั่นไหว หากดอกกล้วยไม้ช่อนี้ซิเป็นดั่งเช่นชายหนุ่มคนนั้น หล่อนก็จะ อยากจะให้เป็นเช่นนั้น แต่ภาพอีกหนึ่งก็แทรกซ้อนเข้ามาคือหนุ่มชัย น้องชายเขาทำให้ภายในจิตใจก็เกิดหวั่นไหวเช่นเดียวกัน ทำให้หล่อนคิดเอ๊ะๆเราจะรักใครดีหนอหรือว่าตอนนี้ เรารักเผื่อเลือกไปแล้ว คนโตหรือก็ช่างสง่างามหล่อเหลายากจะหาใครมาเทียบ ถึงแม้นว่า อายุอานามนั้นจะมากกว่าหล่อนหลายปีก็ตาม แต่ในห้วงลึกๆนั้น ก็มิคิดที่จะรังเกียจแต่ประการใด ครั้นมานึกถึงน้องเขาเล่าก็หาใช่ว่าจะต่ำต้อยมากนักก็หาไม่ ทั้งร่างกายแข็งแรงล่ำสันบึกบึน ผิดกับพี่ชายที่แม้รูปร่างจะได้ สัดสวนสูงสง่าก็ตามแต่ก็ถือว่าเป็นชายหนุ่มที่รูปหล่อคนหนึ่ง หญิงสาวทอดถอนหายใจค่อนข้างแรง พลันก็ให้นึกถึงเมื่อคืนนี้ที่ผ่านมา ชายหนุ่มสองคนนั้นบอกว่า เป็นคนของหนุ่มโชติอีกที่มาช่วยเหลือครอบครัว หล่อนก็ยิ่งให้สะท้อนใจหนักขึ้นไปอีก ที่เขาแผ่มายัง ครอบครัวของหล่อน ยิ่งนึกยิ่งอกสั่นไหวหวั่นไปตามอารมณ์สาว และแล้วหล่อนก็ต้องสะดุ้งหันหน้าไปมองเสียงเรียกนั้น “กชเอ๋ยทำอะไรอยู่หรือลูก” เสียงแม่เย็นเดินออกมาเห็นลูกสาวกำลังนัยน์ตาเหม่อลอย “เปล่าจ๊ะแม่มองดูช่อกล้วยไม้ป่ามันส่งกลิ่นหอมก็เลยนึกว่า จะหามาเพิ่มอีกเอาอะไรดีหนอ” หล่อนปิดบังแม่ไม่อยากให้ล่วงรู้ถึงความคิดหล่อน “งั้นเหรอก็แล้วไป ไม่ไปช่วยพ่อกับพี่ชวนเขาล่ะ เขากำลังมองหา สิ่งที่จะทำความเสียหายแก่บ้านจ้า แม่มานึกๆอีกทีหากเรา ไม่ได้พ่อโชติส่งคนมาช่วยนะป่านฉะนี้พวกเราจะเป็น อย่างไรบ้างก็ไม่รู้นะ แหม๋มันน่ากลัวจริงๆมากันเป็นฝูงๆเลยล่ะ ที่จริงแม่ก็พอจะรู้บ้างว่าพวกมันก่อนนั้นอยุ่ในอำนาจ ของอาจารย์เจี๊ยะเปิ้ง ครั้นกำนันมั่นมันนับถือก็เลยทำให้พ่อ แกเลยใฝ่ใจด้วย มันเก่งกาจมาเรื่องวิชาอาคม นี่แหละหนา เขาเรียกว่าหมองูตายเพราะงู” แม่เย็นเอ่ยให้ลุกสาวฟัง “หรือแม่????...มันเป็นผีของอาจารย์เจี๊ยะเปิ้งหรือ ทำไมหนูไม่รู้เรื่องเลยล่ะ แต่ใช่แม่มันน่ากลัวมาก เห็นเสียงมันจะมาพ่อไปโดยตรงคงจะถูกอสูรร้ายมันบังคับเอาเห็นมี อีกตัวหนึ่งมันใหญ่มากว่าเป็นคนของพญามารอะไรๆๆนี่แหละ หนูก็ไม่ค่อยจะเข้าใจจ๊ะ” “อ้อๆๆเรื่องนี้มันเกี่ยวกับพระพุทธประวัติหนูก็คงจะเรียน มาบ้างแล้ว ที่ก่อนพระพุทธเจ้าเราจะสำเร็จพระโพธิญาณนั้น มีพญามารมากีดกั้นเพื่อจะไม่ให้พระองค์ตรัสรู้จ๊ะ” “จ๊ะแม่หนูนึกออกแล้วล่ะ แต่ตอนนั้นนึกไม่ได้จริงๆจ๊ะแม่ มันตกใจจนลืมอะไรไปหมด แม้แต่แม่เองก็ทำท่าเป็นลมดีนะใต้เชี่ยนหมากมียาดมแบบโบราณด้วย หนูเคยทำความสะอาดเชี่ยนหมากแม่จ๊ะ” “นั่นซิลูกตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเห็นพวกผีๆอะไรนี่แหละ นอกจากตาแกจะเล่าให้ฟังเท่านั้น มาเจอของจริง โอ้ยๆๆพูดแล้วยังขนลุกไม่หาย ฮือๆๆน่ากลัวแม่แทบจะขาดใจให้ได้มันบอก ไม่ถูกแหละลูก ดีนะที่ลูกเอายาดมมาให้แม่มิฉะนั้นยังไม่รู้จะเป็นอะไร เหม็นก็เหม็นมากจน เวียนหัวไปหมดอยากจะอาเจียน ถ่ายก็จะถ่ายอะไรๆจิปาถะ แล้วลูกเป็นอะไรไปเหมือนแม่เปล่าล่ะลูก” “โอ้ยบอกไม่ถูกจ๊ะแม่ หนูเองตัวสั่นมันหนาวยิ่งกว่าหน้าหนาวเสียอีก ใจมันจะขาดเสียให้ได้เหมือนแม่ล่ะมันปวดฉี่ขึ้นมาและจะพาลถ่ายอีก โอ้ยสงสัยจะต้องนอนฝันแน่ๆเลยล่ะ ยื้อๆๆขยะแขยงจริงๆ เหม็นเหมือนศพที่ขึ้นอึดที่ลอยน้ำมาทั้งเหม็นทั้งคาวคลุ้งไปหมด อย่าพูดถึงเลยแม่ทำให้หนูตอนนี้จะอาเจียนอีกแล้ว” ว่าแล้วหญิงสาวก็รีบลุกขึ้นเดินไปที่รั้วๆเตี้ยๆบนชานบ้าน แหงนคออ๊วกอาเจียนทันทีแต่ไม่มีอะไรออกมานอกจากลม แม่เย็นต้องรีบไปตักน้ำใส่ขันแล้วมาลูบหลังลูกสาวทันที “แปลกๆนะพ่อ เหมือนภาพมายาเชียวล่ะ???.. ทั้งๆที่เราทั้งสี่ก็ต่างแลเห็นกัน ความรู้สึกว่าบ้าน เราเมือนจะพังมิพังแหล่กระนั้นเชียวครับ” หนุ่มชวนเอ่ยถามพ่อ พลางเดินไปเมียงมองตามชายคา หาสิ่งผิดปกติไม่พบเลยสักนิดเดี๋ยวเหมือนปกติทุกๆอย่างนะพ่อ” ครั้นกำนันหวนได้ยินก็เอ่ยขึ้นว่า “มันเป็นเรื่องศาสตร์ลึกลับนะลูก ฉะนั้นจึงพิสูจน์ไม่ได้ว่า โลกอีกมิติหนึ่งนั้นมีจริง ทั้งๆที่คน ก็พยายามพิสูจน์แล้วตามข่าววิทยุโทรทัศน์ออกข่าวไว้ หากพวกเราไม่พบก็จะไม่เชื่อเหมือนกัน คิดๆดูพ่อเองสงสัยเหลือเกิน พ่อหนุ่มโชติทำไมจึงทำนายได้ แม่นยำนักบอกวันเวลาให้เสร็จและ ก็ไม่ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว สมแล้วที่เป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อทอง จริงๆนะลูก พ่อบวชคราวนี้เห็นที่จะต้องขอฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อ ขอร่ำเรียนวิชาอาคมตลอดจนโหราศาสตร์ไว้ด้วยแล้วล่ะ???......... ถึงแม้ว่าพ่อจะเคยติดสอยห้อยตามท่านมาก็ตามที ท่านก็สอน แต่พ่อไม่เอาถ่านเสียเลยล่ะจึงคิดว่า หากได้บวชแล้วไม่ยุ่งกับทางโลก แล้วก็จะศึกษาไว้ด้วย เพื่อจะช่วยทนุบำรุงพุทธศาสนา ไปอีกทางหนึ่งนะ” “นั่นซิครับพ่อ ผมเองจะกล่าวเหมือนกันว่าในเมื่อพ่อบวชคราวนี้แล้ว ท่านก็เป็นอุปัชฌาจารย์ด้วยล่ะ มียศฐาชั้นพระครูแต่ท่านมักจะกล่าวไม่ให้คนเรียกท่านว่าพระครูเลย ท่านชอบให้เรียกชื่อท่านเฉยๆ คงจะค้นพบทางธรรมอย่างลึกซึ้งเสียแล้ว กระมัง จึงปล่อยวางทางโลกนี้หมดครับ” “ท่านได้เป็นพระครูมาตั้งแต่หนุ่มๆแล้วล่ะลูก เขาจะให้ครองวัด แต่หลวงพ่อได้หนีออกธุดงค์เสียก่อน หลบหายไปจนกระทั่งมาครอง วัดโคกอีแร้งซึ่งตอนนั้นมีแค่โบสถ์หลังคาสังกะสีเท่านั้นหา ได้เป็นดังเช่นปัจจุบันไม่ลูก” “นั่นซิครับท่านก็ไม่เคยใช้วิชาอาคมใดๆเลยนอกจากช่วยคนบ้าง ก็เป็นครั้งๆคราวและไม่เคยมีการสร้างพระหรือวัตถุมงคลใดๆเลย ผมเคยได้รับฟังมาว่าทางกำนันบ้านโคกอีแร้งและผู้ใหญ่บ้านเคยรบเร้า ให้ท่านสร้างเพื่อใช้เงินจำนวนนี้มาทนุบำรุงวัดให้เจริญรุ่งเรือง ท่านก็หัวร่อกล่าวว่ายังไม่ถึงเวลา และสิ่งนี้ หากทำไปแล้วต้องถึงสิ่งพร้อมมูลทั้งฟ้าและดินด้วย อีกอย่างหนึ่งตอนผมไปเที่ยวงานก็เคยเข้าไปหา นมัสการท่านและฟังผู้ใหญ่เขาสนทนากัน ท่านมักกล่าวว่า มันเป็นอจินไตยไม่แน่นอนไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ หากจะพ้นทุกข์ก็ต้องเจริญวิปัสสนาแต่ก่อนจะถึงการเจริญวิปัสนานั้น ก็ต้องพร้อมด้วยสมถะกรรมฐานก่อนด้วยสมถะกรรมฐานนั้น เป็นหนทางเข้าสู่วิปัสสนา ผมตอนนั้นฟังไม่รู้เรื่องอะไร หรอกนอกจากนั่งฟังดูแต่มันก็ดีนะพ่อ ทำให้จิตใจผมรู้สึก ปลอดโปร่งอย่างไรบอกไม่ถูกมันช่างเยือกเย็นยิ่งนัก พูดถึง เรื่องนี้ให้นึกถึงพี่โชติตอนที่สวมพระให้ผม พ่อครับมันเย็นยะเยือกเข้าไปในหัวใจผมทีเดียว ก่อนนั้น ผมก็เคยมีการให้พระที่วัดอื่นซึ่งเขาทำการปลุกเสกวัตถุมงคล เป็นอาจารย์ที่เชิญมา เพื่อนๆมันให้ผมไปให้ท่านเป่ากระหม่อม ผมเองก็เฉยๆไม่รู้สึกอาการแต่อย่างใด ไม่เหมือนกับพี่โชติเพียงแค่สวมพระให้ผมเท่านั้นแล้วเป่าลม มานิดหน่อยๆเหมือนกับเอาน้ำที่แช่น้ำแข็งนานๆมาสาดบนหัวผมเชียวครับ” “เออพูดแบบนี้พ่อเองก็เหมือนกันสอบถามแม่เขาและเจ้ากช มันก็เหมือนๆกันแหละ ทำให้พ่อเกิดอารมณ์จิตพ่อเปี่ยมไปด้วย ความปิติสุขอย่างเหลือพ้นจริงๆนะลูก” กำนันหวนกล่าวกับลูกชาย แล้วทั้งสองก็เดินตรวจสอบรอบบริเวณบ้าน ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆก็ชวนกันขึ้นเรือนไป ภายในห้องชายหนุ่มกำลังสาระวนอยู่กับการแนะนำชบา ร่วมกับแม่นางอัปสรทั้งสองแนะนำทางให้ระหว่างที่สาวชบาเข้ากำลัง อยู่ในฌานสมาธิ บัดดลก็เห็นกายทิพย์ค่อยออกมาจาก ร่างของสาวชบาหล่อนเหลียวซ้ายแลขวาแล้วมาสิ้นสุด ที่ร่างเห็นกำลังยังนั่งเข้าสมาธิ หล่อนก็ลูบเนื้อรูปตัวอย่างสงสัย มองสลับกันไปๆมาๆ จนแม่นางอัปสรทั้งสองเข้าไปจูงมือให้มานั่งพร้อมอธิบายระหว่าง กายเนื้อกับกายทิพย์ให้สาวชบาฟังว่า “อันกายเนื้อนั้นประกอบด้วยธาตุทั้งห้า หากจะเอาอย่างละเอียด ก็ต้องประกอบด้วยธาตุทั้งหก คือธาตุที่สร้างการหมุนเวียน ของอากาศอาหารต่างๆเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายเนื้อนั้น มี ธาตุดินที่สร้างเนื้อหนังมังสากระดูกส่วนที่เป็นของแข็งทั้งสิ้น คือธาตุดิน ธาตุน้ำอันได้แก่น้ำต่างๆในร่างกายไขมัน เสลด น้ำมูก เลือด เป็นต้น ธาตุลมคือกระแสการหมุนเวียนของอากาศทั้งหลาย อันมาจากลมหายใจเรานี่แหละช่วยในการฟอกเลือดหมุนเวียน ก็ด้วยธาตุลมนี้แหละตลอดจนการเป็นพลังงานการ ขับเคลื่อนภายในร่างกายธาตุนี้สำคัญมากจะขาดไป ไม่ได้เด็ดขาดแม้แต่น้อย หากขาดไปไม่มีการหมุนเวียนเลือด ก็จะหยุดการไหลไปหล่อเลี้ยงร่างกายทำให้เกิดการแข็งตัวอุดหลอดเลือด ที่ส่งไปยังหัวใจ ตับไต ไส้ พุงต่างๆ ส่วนธาตุไฟ คือการแสที่เกิดจากธาตุลมนำความอบอุ่นมาสู่ร่างกายเป็นพลังงาน ของความร้อนที่จะช่วยในการเผาไหมอาหารต่างๆให้แปรสภาพ จากเป็นละอองเล็กๆผันแปรเป็นเลือดใช้ในการหล่อเลี้ยงร่างกาย ส่วนอีกธาตุที่คนมักจะมองข้ามไปคืออากาศธาตุ อากาศนี้ มิใช่ธาตุลมเป็นสูญญากาศทำหน้าที่คอยพยุงพวกตับไตไส้พุง ไว้มิให้ตกไปตามกระแสดึงดูดของโลก จึงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าธาตุใดๆ ทั้งธาตุที่กล่าวมาแล้วนั้น ย่อมต้องพึงพาอาศัยซึ่งกันและกันมีความสมัครสมานสามัคคีกัน หากธาตุใดหย่อนคลายอ่อนล้าลงธาตุอื่นก็จะมาช่วยเสริมให้ แต่หากเสริมไม่ได้ก็จะเกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยที่เกิดจากพวกเชื้อโรค ไวรัสต่างๆที่ล่องลอยอยู่ในอากาศภายนอกแทรกซึมเข้ามา ทางธาตุที่เสื่อมนั้นๆส่วนวิญญาณธาตุนั้นจะมาที่หลังดังที่เธอ พบเดี๋ยวนี้เองแหละ เป็นธาตุที่ประกอบไปด้วยจิตเจตสิก และสิ่งที่ยังเหลือค้างจากการสืบต่อสันติวงศ์ของเวรกรรม ที่กระทำขึ้นจึงบังเกิดแทรกซ้อนเข้ามายังวิญญาณธาตุ อันนี้จะมีแต่เฉพาะคนที่ตายไปตามวาระแห่งผลเวรกรรมนั้นๆ ทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับการปรุงแต่งทั้งสิ้นที่ทางพระท่านกล่าวไว้คือ สังขาร อันสังขารนี้มิใช่ รูป เวทนา สัญญา วิญญาณก็หาไม่ สังขารนี้มีหน้าที่ปรุงแต่งอารมณ์ที่จิตนำสู่เจตสิก เจตสิกนำไปสู่ใจ ทั้งสามอย่างนี้รวมกันว่าวิญญาณเป็นธาตุอมตะที่สืบต่อสันติวงศ์ ของกรรมนั้นๆ ให้บังเกิดเป็น รูปธรรมนามธรรม ส่งผลไปยังเวทนาคือ เสวยสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ การวางเฉยนี้ล้วนเป็นเวทนาทั้งสิ้น เวทนานี้มันก่อเกิดจากตัณหา ซึ่งควบคุม กิเลสใหญ่คือ โลภะ ความโลภในสิ่งที่เราไม่มีแต่ต้องการจะมี โกรธะ ความโกรธ เกลียด พยาบาทอาฆาตกันและกันด้วย ไม่สมปราถนาในสิ่งที่ต้องการก็จะเกิดความโกรธทำใน สิ่งชั่วร้ายอันต่อเนื่องมาจากความโลภเป็นส่วนมาก แล้วก็มาถึง โมหะคือความหลงใหลในสิ่งที่เราต้องการจน ไม่มีสติจะไตร่ตรอง ขบคิดสิ่งใดดีสิ่งใดจน หน้ามืดตาลายลุ่มหลงในอารมณ์ที่ก่อเกิดจากเวทนา ส่วนสัญญานั้นคือการจำได้หมายรู้ที่ถูกส่งมาให้จดจำไว้เกี่ยวกับการ สืบทอดส่งเข้ามาจากจิตเป็นปัจจัยใหญ่ทั้งสิ้น แล้วสํญญา เมื่อจำได้ก็จะหยุดแค่นั้นไม่ได้เพราะความจำนี้มีขอบเขตจำกัด หากจำมากๆเข้าก็จะกลายเป็นคนบ้าไปจน สติแตกเพ้อเจอไปตามเรื่องตามราว จำเป็นต้องส่งไปให้แก่สังขาร เพื่อปรุงแต่งอารมณ์ต่างๆอันเกิดจากตัณหา โลภ โกรธและหลงเป็นต้น การปรุงแต่งของสังขารนี้จะทำเป็นช่วงๆไปตามที่สัญญาส่งมาให้เท่านั้น เมื่อปรุงแต่งอารมณ์เรียบร้อยแล้ว ก็ต้องถ่ายไปให้แก่วิญญาณอันมี จิต เจตสิก ใจในการจะกระทำในสิ่งดีหรือชั่วตามผลแห่งการสืบต่อสันติวงศ์ ส่วนเธอนั้นเองหาใช่เกิดจากสิ่งเหล่านี้ไม่ ด้วยเธอนั้นได้ ขจัดละวางแล้วเสียแล้วขีดวงมิให้ ตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ ออกนอกเขตวงกลมที่เธออาศัยผลแห่งฌานนั้นบังคับพวกเหล่านี้ ไว้เธอจึงแตกต่างกับวิญญาณที่ครบวาระไป จนแปรสภาพของเธอนั้นย่างเข้าสู่โลกแห่งอทิสมานกายเบื้องต้นหรือนัยหนึ่ง คือรุกขเทวี หากเป็นบุรุษเรียกว่ารุกขเทวา เมื่อดับไปยังไม่ถึงกาลวาระแล้ว หรือไม่ได้สร้างสมผลบุญกุศลไม่มีวิมานของตัวเองทำบุญมาน้อยแต่กุศลกรรม นั้นมีมากกว่าอกุศลกรรม ก็ย่อมจะจุติแล้วบังเกิดในชั้นนี้อาศัยต้นไม้เป็นวิมาน หากเธอยังดำเนินในทางนี้ต่อไปไม่นานจะเกิดดับๆไปตามวาระแห่งจิตเธอเอง จนถึงขั้นอัปสรและเลยไปเรื่อยๆตามอำนาจแห่งฌานสมาธิที่เธอได้สะสมมา แต่ก็ต้องแล้วแต่บารมีของเธอเองเป็นที่ตั้งของเธอเอง ใครจะเข้ามาแย่งแบ่งปันให้มิได้หรอก” แม่นางอัปสรทั้งสองช่วยกันอบรมร่างกายทิพย์ของสาวชบา ให้เข้าใจความแตกต่างกันระหว่างวิญญาณกับกายทิพย์ จนสาวชบาเข้าใจยกมือขึ้นกราบไหว้แม่นางอัปสรแล้ว มาคิดพิจารณาไตร่ตรองก็แลเห็นความจริงจนกระจ่าง “แล้วน้องจะเข้าร่างเดิมได้อย่างไรกันล่ะพี่นางทั้งสอง” แม่นางรัตนาวดีก็พลันเอ่ยขึ้นว่า “การออกจากร่างกายของคนเราจะเกิดขึ้นได้สามทางเท่านั้น คือ หากจะไปสู่ทางสุคตินั้นอันได้แก่ ปวงสวรรค์ทั้งปวงย่อม จึงออกจากร่างในที่สูง อันมีกระหม่อม เป็นที่เข้าและออกของดวงวิญญาณที่มาจากทางเบื้องสูง ของเหล่าเทพยดาทั้งสิ้น ส่วนทางอิกทางหนึ่งคือทางสะดือ นั้นที่ไปมาของพวกที่ ปกติธรรมดาจะมาสู่ยังโลกมนุษย์เท่านั้น หากดับธาตุต่างๆ ไปแล้วนั้นวิญญาณหากออกทางสะดือของมนุษย์ทุกๆชนชั้น ก็ย่อมจะไปเกิดในภพภูมิของมนุษย์แต่จะสูงศักดิ์หรือต่ำศักดิ์ ก็ด้วยเวรกรรมที่ก่อนจะละร่างนั้นเป็นปัจจัยในการบังเกิด ส่วนทางปลายเท้านั้นผู้ที่เข้าออกไปนั้นต้องไปสู่ในอบายภูมิ เป็นหลักใหญ่จะไปสู่ทางอื่นใดมิได้หรอกน้องชบา ในเมื่อเธอมาถึงขั้นกายทิพย์นี้แล้วเวลาจะเข้าร่างก็จะต้องเข้าทาง กระหม่อม เธอเคยสังเกตุไหมว่าทำไมเด็กที่เกิดมากระหม่อมจะเปิดอยู่ เสมอหากจับดูจะเห็นเป็นนิ่มๆจนกว่าจะบังเกิดชั้น ของกระโหลกศีระษะขึ้นมาเต็มนี่กฏแห่งกรรมก็แจ้งไว้ให้ มวลเหล่ามนุษย์รู้ว่าที่ได้เกิดมานี้ให้ทำแต่ความดี ละเว้นความชั่วก็จะได้ไปสู่สรวงสวรรค์ต่อไปจึงเปิดทางไว้ให้ แต่คนเราไม่รู้ความหมายของสิ่งนี้จึงเกิดความลุ่มหลงในอัตตา คือร่างกายที่ประกอบด้วยธาตุต่างๆซึ่งมิอาจจะ คงทนถาวรได้นั่นเอง ฉะนั้นน้องเวลาเข้าร่างก็อธิษฐาน ขอคืนสู่ร่างวิญญาณอันอมตะในร่างกายทิพย์ นี้ก็จะเข้าสู่ร่างทางนี้แหละน้อง” ครั้นสาวชบาได้รับฝากพี่นางทั้งสองล้วนช่วยกันอธิบาย ถึงเหตุและผลของการเกิดดับแล้วก็ให้รู้สึก ปลอดโปร่งในดวงจิตยิ่งนักบังเกิดความเคารพนับถือแม่นางอัปสร เข้าสู่ห้วงจิตทันที “ในสภาพกายทิพย์นี้น้องสามารถไปที่แห่งหนใดได้บ้างล่ะพระพี่นาง” หญิงสาวอดสงสัยมิได้ “เธอสามารถไปท่องเที่ยวได้ทั่วจักรวาลแล้วล่ะ แต่ทว่าต้องรู้กาลเวลา ของแต่ละภพด้วยว่าเวลานั้นกับเวลาของมนุษย์นั้นแตกต่างกันมากมาย เสียเหลือเกิน คือหนึ่งวันของพวกเทพยดานั้นหากมานับ ในเมืองมนุษย์แล้วนับเป็นปีๆเชียวเลยล่ะ หากน้องมิสนใจ ร่างที่เป็นกายมนุษย์นี้แล้วก็สามารถ ท่องเที่ยวไปไหนได้ แต่ก็มีขีดจำกัดเหมือนกันคือต้องแล้ว แต่อำนาจแห่งฌานของเธออีกด้วยว่าจะ สูงส่งสักเพียงใดเป็นปัจจัยในการท่องเที่ยวจ๊ะ” แม่นางอ้อยวิลาวัลย์เอ่ยให้สาวชบาฟัง “อีกประการหนึ่งหากยังไม่ถึงวาระแห่งอายุขัยแล้ววิมาน ที่น้องสร้างสะสมมาจะเกิดก็จริงแต่ยังไม่ สามารถจะเข้าไปสู่วิมานของตนเองได้ อย่างเช่นพี่สมัยแรกๆนั้น ดับไปก่อนจะถึงวาระอายุขัยแต่ด้วย พี่สร้างสถูปบูชาแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอานิสงฆ์นี้ จึงเกิดมีวิมานแต่ก็ไม่อาจจะเข้าไปอยู่ได้จึงต้องมาอาศัย ยังต้นตะเคียนในป่าไปพลางๆก่อนจนกว่าอายุขัยของพี่ จะครบวาระ ซึ่งบัดนี้ครบแล้วแต่อำนาจแห่งการอธิษฐานของพี่ รุนแรงเสียเหลือเกินยังผูกมัดเป็นห่วงร้อยรัดให้พี่นี้ต้องวนเวียนอยู่ ในโลกมนุษย์เพื่อรอคอยคนๆหนึ่ง หากลุล่วงสมเจตนารมณ์แล้ว พี่ถึงจะเข้าไปสู่วิมานชั้นฟ้าอันไกลสูงโพ้นได้” แล้วแม่นางรัตนาวดีก็ชี้มือไปทางทิศตะวันออกให้ดูวิมานของตัว แต่ด้วยตบะบารมีสาวชบายังไม่ ถึงจึงมิอาจจะเห็นวิมานของแม่นางอัปสรรัตนาวดีได้ ครั้นแม่นางเห็นดังนั้นก็หัวร่อเอาอย่างนี้ดีกว่า “พี่นั้นรู้กาลแห่งเวลาแล้วจะพาน้องไปเที่ยวยังดินแดนหนึ่ง ซึ่งมีเวลาพอที่น้องจะกลับเข้าสู่ร่างได้ทันเวลา ด้วยทางนี้มีพี่โชติคอยดูแลกำกับไว้แล้ว เมื่อกี้นี้เขาก็ส่งกระแสจิตมาหาพี่ให้พาน้องไปท่องเที่ยว ให้บังเกิดซึ้งถึงคนที่มีบุญบารมีได้เสวยสุขในแดนสวรรค์ พี่จะพาน้องท่องเที่ยวสวรรค์เบื้องต้นก่อน หากต่อไป น้องมีฌานสมาบัติสูงกว่านี้แล้วรู้ถึงกาลเวลาอันแท้จริง ของเหล่าเทพยาดา มนุษย์ สัตว์และสัตว์อื่นๆในดินแดนอบายภูมิแล้ว น้องจะไปเองก็ไม่เป็นปัญหากับกายที่น้องทิ้งไว้บัดนี้เปรียบ ดั่งคล้ายท่อนไม้เพียงแต่ยังมีลมหายใจเท่านั้น ถ้าหากกลับไม่ทันเข้าร่างธาตุทั้งสี่ก็จะแตกแยกกันออก ไปตามสภาพแห่งกฏธรรมชาตินะน้อง” “ถ้าเป็นแบบนี้ขอให้พี่ช่วยพาน้องไปท่องเที่ยวชมสักพัก ให้เป็นบุญตาบุญใจแก่น้องด้วยเถิด” สาวชบาเอ่ยกับพี่นางทั้งสอง แล้วร่างทั้งสามก็ลอยละล่องผ่านเมฆหมอกข้ามภพมิติหนึ่งไป ยังมิติหนึ่งก่าวย่างเข้าไปยังดินแดนแห่งสรวงสวรรค์เบื้องต้น............. * แก้วประเสริฐ. *
อทิสมานกาย ๖๖ ยามโพล้เพล้หนุ่มชวนหลังจากไปพบกับเพื่อนๆมาและทานอาหาร กับเจ้าของร้านแสนสวยแล้ว เขาก็ขอตัวกลับบ้าน อ้างว่าต้องไปดูแล อาการของพ่อก่อน ครั้นมาถึงบ้านก็พบทุกๆคนกำลังนั่งสนทนากันในห้องโล่งกว้าง ส่วนใหญ่ใช้เป็นที่กินอาหารร่วมกัน เขาถือของพะรุงพะรังขึ้นมาบนบ้าน วางของลงข้างๆตัว แล้วยกมือไหว้พ่อกำนันหวนและแม่เย็น พลางเอ่ยขึ้นว่า “พ่อครับแม่ครับ ผมซื้อขนมมาฝากและฝากน้องด้วยครับ บงกช เอาขนมไปใส่จานมานั่งทานกันซิน้อง” “ซื้ออะไรมาหรือลูก พ่อเขากำลังบ่นหาอยู่พอดีเชียวล่ะ” แม่เย็นเอ่ยทักลูกชาย “ผมซื้อขนมแบบไทยๆครับแม่ มี ฝอยทอง ทองหยอด ขนมชั้น ทองหยิบ ขนมหม้อแกง และพวกของขบเคี้ยวไว้ให้บงกชไว้ กินเล่นๆครับ” “แล้วไปคุยได้ความว่าอย่างไรบ้างละลูก????......” กำนันหวนหันมาถาม “ก็ไม่มีอะไรหรอกครับพ่อเรื่องเมื่อคืนนี้แหละครับแต่ไม่ได้แพ่ง พรายอะไรหรอกนอกจากสนุกสนานกันไปตามประสาคนหนุ่มๆครับ อ้อๆๆน้องกชไม่ต้องหาข้าวให้พี่กินนะ พี่กินที่ร้านอาหารแม่ดาเขา พร้อมกับพวกๆมาแล้วล่ะ” ชายหนุ่มหันไปเอ่ยกับน้องสาวคนเดียว “พอกินข้าวเสร็จพี่ก็เลยแวะไปร้านของป้าเชยหาของกิน ไม่รู้จะซื้ออะไร เพราะด้วยแกขายแต่ของพวกนี้ ก็เลยซื้อขนมจากร้าน ป้าเชยมาฝากพ่อกับแม่และน้อง ได้ยินข่าวว่าเขาคุยกัน ในร้านว่ากำนันมั่นถูกจับครั้งนี้ ตำรวจเขาไม่ให้เยี่ยมให้ประกันตัวด้วย และทางเสี่ยเม้งกำลังวิ่งเต้นหาทางช่วยเหลืออยู่ ผมรู้เพียงเท่านี้แหละ ต้องรีบกลับนึกได้ว่านี่เข้าวันที่สามที่พี่โชติเคยบอกไว้ เลยเป็นห่วงทางบ้านมากครับ ยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นมา แต่พ่อเคยสั่งไว้ว่าไม่ให้ประมาท ฉะนั้นคืนนี้อาจจะรู้เบาะแสบ้างก็ได้ครับ” “นั่นนะซิ...พ่อกับแม่และน้องถึงยังไม่เข้านอนและนั่งคุยกันเรื่องต่างๆ นาๆ คอยลูกด้วย เพราะนี้ก็เริ่มจะมืดแล้วล่ะ” พ่อกำนันหวนเอ่ยขึ้น พลางหันไปทางกชลูกสาว เอ๊าๆๆรีๆรอๆอะไรล่ะ พี่เขาให้นำของไปใส่มา พ่อแม่จะได้ชิมดู ซึ่งจริงๆแล้วแม่เชยคนนี้ฝีมือ ด้านนี้ก็ไม่เลวนะ พ่อเคยกินมาบ้างแล้วล่ะ” “อย่างนั้นผมขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ” แล้วชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องไปและลงไปอาบน้ำ สักครู่หนึ่งเมื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็ออกมานั่งสนทนา จนเวลาล่วงไปสามทุ่มได้ บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนแปลงมีลมกรรโชก ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทันใดนั้น เจ้าด่างและเจ้าดำที่ทางบ้านเลี้ยงไว้ เพื่อเฝ้าบ้านกระเห่ากรรโชกและพากันส่งเสียงหอนอย่างเยือกเย็น ไฟฟ้าเดี๋ยวก็ดับเดี๋ยวก็เปิดสลับกันไปๆมาๆ สิ่งที่ทำให้ทั้งหมดตกใจคือประตูหน้าต่างปิดๆเปิดดังปังๆ สะบัดไปๆมาคล้ายจะหลุดออกจากกันให้ได้ ทั้งหมดต่างหันมามองหน้ากัน กำนันหวนเอ่ยปาก หรือว่าจะเป็นพวกนั้นนี่เอง เสียงยังกล่าวไม่จบประตูทางขึ้นหน้าบ้าน ก็ คล้ายถูกคนกระชากเปิดอย่างแรงไหวโยกไปๆมาๆ หน้าต่างที่ใส่กลอนเปิดไว้กลอนก็หลุดสะบัดไปๆมาๆ และแล้ว ทั้งหมดก็ตกตลึงเมื่อแลเห็นหน้าอันน่าเกลียดหน้ากลัว บนใบหน้ามันล้วนแต่เละเทะมีน้ำเหลืองเจิงนองส่งกลิ่นเหม็นฟุ้ง ไหลเยิ้มย้อยออกมา ใบหน้าใหญ่เต็มหน้าต่าง ประตูบ้านไปเกือบทุกๆบานเต็มไปด้วยใบหน้าของเหล่าปีศาจร้ายทั้งสิ้น คนทั้งสี่ ต่างผวากันเข้ากอดกันทันที บงกชหลับตาปี๋ร้องไห้ลั่นพุ่งตัวเข้า ไปกอดแม่เย็นทันทีส่วนกำนันหวนก็ดึงลูกชายเข้ามากอดด้วยเช่นกัน แสงจันทร์เริ่มส่องแสงเป็นนวลใยสาดส่องทำให้มองเห็นบริเวณลานบ้าน เต็มไปด้วยเหล่าฝูงผีปีศาจต่างๆนาๆ ทั้งหญิงและชาย หญิงบ้างก็อุ้มลูกแต่ หัวของลูกมันใหญ่เท่ากระพ้อมใส่ข้าว เสียงร้องกรี๊ดๆๆอย่างโหยหวน อย่างเยือกเย็น ร่ำร้องเรียกหาแต่กำนันหวน บ้านหรือก็รู้สึกว่าจะยวบยาบๆไหวแกว่งไกวไปๆมาๆ ซึ่งทุกอย่างในบ้านล้วน โอนเอนไปๆมาๆหมดทำท่าจะพังครืนลงมา กำนันเ..เอ๋...ย???...อย่าบวชเลยมาเป็นพวกข้าดีกว่านะ ทุกๆคนด้วย กำนันหวนและชวนซึ่งจะรู้สติมากที่สุดหันไปมองเสียงร้อง เป็นร่างผอมแห้งเห็นแต่ซี่โครงผอมแห้งเนื้อหนังติดกับกระดูกเดินได้ หมายจะก้าวขึ้นมาบนบ้าน พลันหนุ่มชวนนึกถึงคำของพี่โชติขึ้นมาได้ พ่อแม่น้องเร็วๆเข้ารีบเอาพระออกมาจากนอกเสื้อโดยเร็วด้วย เร็วๆๆๆๆ???... พร้อมทั้งตัวเองก็นำพระที่ห้อยคอไว้ออกมาให้พ้นเสื้อผ้าข้างนอก ทันใดนั้นก็บังเกิดสีพราวสดใสคล้ายสีของรุ้งพุ่งออกจากองค์พระ ไปยังบรรดาผีร้ายทั้งปวง เมื่อทุกๆคนนำพระออกจากเสื้อผ้าแล้ว ต่างก็แลเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งหมดเห็นมืออันยาวใหญ่ที่ยื่นมือเข้ามาหมายจะคว้าร่างของคนทั้งสี่ต่าง ก็เกิดไฟลุกขึ้นไหม้ไปยังฝ่าเมือทั้งหลาย เสียงร้องกรี๊ดๆๆๆกร๊าดๆๆ อย่างโหยหวนอึงคนึงไปทั่วบริเวณบ้านหลังคาบ้านตลอดทุกๆหน้าต่างบ้างก็ แลบลิ้นออกมายาวจากบานหน้าต่าง เข้ามาแต่มันก็ต้องรีบหดลิ้นหายไป บางตัวก็หายวับไปแต่ ดูเหมือนว่ามันหนีสิ่งที่อยู่ภายนอกไม่ได้ กลับกระเด็นย้อนกลับเข้ามาอีก เมื่อประกายรังสีขององค์พระแผ่กระจายออกไป พวกที่พวกเหล่าปีศาจอาศัย อยู่ในบริเวณบ้านต่างไม่สามารถจะออกจากบริเวณบ้านได้เลย มึงนะมึงพวกกูไม่กลัวพวกมึงหรอก โอ้ยๆๆ!!!!!.....ว๊าย!!!!....แม่จ๋...า.... ช่....ว...ย หนู ด้...วย...เสียงของผีเด็กระงมไปทั่ว บัดดลร่างของอสุรกายต่างก็เข้า มาช่วยบรรดาผีร้าย พลางเป่าลมลงไปยังบรรดาผีร้ายทั้งหลาย ไฟก็ดับจากร่างกาย ของมัน...ทันที....และแล้ว....ร่างของอสุรกายประมาณห้าหกตัวก็ย่างสามขุม ก้าวนำหน้านำพวกผีทั้งหลายเข้ามาอีก ต่างแยกย้ายกันเดินเข้าหมายจะขึ้นบนบ้าน แต่มันร่างมันทั้งหมดก็ต้องชะงักไม่สามารถจะขึ้นมาบนบ้านได้ด้วยรังสีแผ่กระจาย ทั้งสี่ตอนนี้นัยน์ตาต่างเบิกค้างดูการกระทำร่างกายหนาวเย็นจับหัวใจ แม่เย็นเองก็ ทำท่าจะเป็นลมใส่ บงกชต้องรีบเอายาดมมาให้ดม ทุกๆคนร่างสั่นเทิ้มงกๆงันๆ ไปหมดท่ามกลางกระแสรังสีหลายหลากก็ส่งประกายเจิดจ้าขึ้นอีก ทำให้อสุรร้ายทั้งหมดที่นำหน้ามา ครั้นถูกลำแสงของรังสีจากองค์พระต่างล้มลงดิ้นพลาดๆๆแล้วมันก็ลุก ขึ้นมาอีกจะเป็นด้วยอะไร ทำความแปลกใจให้แก่หนุ่มชวนยิ่งนัก มันตอนนี้ลุกเดินก้าวขึ้นบันไดมาทั้งห้าหกตน แต่แล้วมันก็ต้องกระเด็นตกลงไปยังพื้นล่างทันที เหมือนถูกอะไรบางอย่างทำ คนทั้งสี่มองเห็นบัดนี้มีร่างของชายหนุ่มสองคนยืนขวางทางขึ้น ปากประตูบ้านเอาไว้อยู่ทั้งซ้ายและขวา ขวางกั้นมิให้เหล่าบรรดาผีร้ายต่างไม่ให้ก้าวย่างขึ้นบนเรือนได้ พวกผีร้ายต่างๆก็ต่างแสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆนา พากันฉีกอก แหกอก แลเห็นข้างใน ตับ ไต ไส้ พุง ซึ่งพวกมันก็ช่วยกัน นำสิ่งของเหล่านี้ออกมาและ ลากใส้ออกมาซึ้งกลื่นเหม็นคละคลุ้งตลบอวบอวบแผ่กระจายไปทั่วบริเวณบ้าน ทำให้ทุกๆคนทั้งสี่ต่างเอาผ้ามาปิดจมูกป้องกันทุเลากลิ่นเหล่านี้ค่อยทุเลาลงบ้าง มันช่างเหม็นร้ายกาจเหมือนซากศพที่เน่าเปื่อย ฉุนเฉียวอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น ชายสองคนที่ยืนขวางก็ยกมือพนมขึ้นแล้วท่องอะไรก็ไม่รู้ แล้วคนหนึ่งขว้างปา สิ่งของออกไปยังเหล่าพวกของผีปีศาจร้ายและอสุรทั้งหลายนั้น เห็นอีกคนหนึ่งยกมือขึ้นพนมมือบริกรรมแล้วยกมือขึ้นโบกมาทางกำนันหวน เจ้าชวนแม่เย็นและก็สาวบงกชทันที ก็ปรากฏกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นกระแจะจันทร์ และน้ำอบไทย ฟุ้งเข้ามาแทนทีดับกลิ่นเหม็นหายไปสาบสูญไปคงเหลือเพียงจางๆ ตัวเรือนบัดดลต่างโยกเหยกไปมาหลังคามีเสียงวิ่งเกรียวกราวไปทั่ว เสียงดังสนั่นลั่น เสทือนคล้ายๆหลังคาจะยุบลงมาให้ได้ บ้างก็เลิกหลังคาบ้านเอาหัว ลอดออกมาส่ายหัวมันไปๆมาๆ แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอนบรรดาคนทั้งหมด ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาหาคนทั้งสี่ทันที พลางเอ่ยปากบอกให้คนทั้งหมด อย่าตกใจจนเผ่นหนีและออกไปข้างนอกโดยเด็ดขาด ให้นั่งรวมๆกันไว้ที่นี่ จะได้ปลอดภัยมิฉะนั้นอาจเป็นอันตรายได้ “ไม่ต้องกลัวหรอกครับมันทำอะไรไม่ได้ ให้พยายามตั้งสติให้มั่นรำลึกนึกถึง คุณพระรัตนตรัยเอาไว้ พยายามสวดมนต์หากใครสวดได้ก็รีบให้สวดทันที บทเจริญ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณแล้วภาวนา คำ อรหัง เสียงดังๆไว้นะครับ” “ครั้นหนุ่มชวนได้สติก่อนใครทั้งหมด พลางหันไปถามว่าคุณเป็นใครหรือ ถึงได้มาช่วยพวกผม” ด้วยสำเนียงสั่นๆแทบจะไม่มีเสียงลอดออกมาจากลำคอ ชายหนุ่มรูปงามคนนั้นก็เอ่ยให้ฟังว่า พวกเขาทั้งหมดเป็นเพียงรับคำสั่งจากนายมา “นายโชติเขาสั่งผมให้มาคอยดูแลรักษาเหตุการณ์ทางนี้พร้อมกับพี่แสงสีเพื่อ ช่วยเหลือคนทั้งหมด ผมมาคอยเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่นานแล้วแต่ไม่เข้ามาด้วย ไม่ถึงเวลาที่จะทำการก่อนได้ ต้องคอยรอคนมาช่วยอีกทีหนึ่งครับ โน่นพี่แสงสีกำลังสั่งให้หัวหน้าเพิ่มกับเริ่มสั่งลูกน้องลงมือกำจัด ผีปีศาจร้ายเหล่านี้โดยจับพวกมันแล้วครับ ทางนี้ผมจะดูแลเอง” “แล้วนายโชติเป็นใครหรือคุณ” หนุ่มชวนถามด้วยเสียงสั่นๆคางกระทบกันกึกๆด้วยความสงสัย “อ้อๆๆๆนายโชติก็คือลูกของพ่อเชียรแม่เข็มอย่างไรเล่าครับ ที่พวกท่านไปหานั่นเอง” คราวนี้หนุ่มชวนก็เข้าใจแล้ว รวมทั้งคนที่สามอีกด้วย ก็ให้มีกำลังใจขึ้นมาบ้าง แต่หน้าตายังตื่นๆกลัวๆอยู่ เพราะบ้านรายล้อมไปด้วยเหล่าภูตผีปีศาจทั้งล่างและ บนหลังคา ที่มันพยายามจะเข้ามาแสดงอาการหลอกหลอนต่างๆนา เพื่อให้คนทั้งหมดขวัญเสียไปตามๆกัน จะได้วิ่งหนีออกจากบ้านมาหาพวกมัน ทั้งหมดมองไปยังบริเวณลานบ้านต่างแลเห็นรังสีหลายหลากสีแผ่กระจาย รอบๆบริเวณบ้าน ทำเอาพวกผีทั้งหลายต่างร้องกรี๊ดๆๆโอดโอยๆๆไปตามๆกัน วิ่งวนเวียนกันไปทั่วหาทางหลบหนีออกจากบ้านไป ร่างอสุรกายทั้งห้าหกคนกำลังต่อสู้อยู่กับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งซึ่งแลดูเป็นนักรบ แบบโบราณสมัยก่อนเกือบทั้งสิ้นล้วนแล้วแต่ร่างกายกำยำล่ำสันใช้อาวุธได้คล่องแคล้ว ว่องไวยิ่งนัก ไปในกลุ่มปีศาจได้ล้วนแล้วแต่ทำให้ร่างกายของพวกมันขาดกระจุยไป ซึ่งในมือเขาเหล่านั้นมีทั้งกรีช ดาบ หอก โล่ห์ใช้ฟาดฟันไป อาวุธทั้งหลายต่างหากฟาดถูก ตามร่างของบรรดาผีทั้งหลายต่างขาดแยกออกจากกัน เมื่อบรรดาอาวุธถูกต้องร่างกายมัน แทบจะเกือบทุกตัวตนไม่เว้นชายหญิงเด็กเล็กๆที่หัวมันช่างใหญ่โตมโหฬารยิ่งนัก แต่มันพยายามจะเข้ารวมตัวอีกแต่อำนาจของมีดดาบอาวุธต่างๆไม่สามารถจะรวมตัวกัน ได้อีก ผีบางตัวหัวขาด ร่างกายขาดเป็นสองท่อน แต่หัวมันร้องคร่ำครวญโหยหวนเยือก เย็นนัก ได้แต่กลิ้งไปกลิ้งมา ส่วนแขน ขาที่ขาดก็ดิ้นกระแด๋วๆ พยายมกลิ้งเข้าไปหาร่างของมัน จะพยายามมารวมตัวกันอีกแต่คล้ายมีรังสีมาคอยกั้นขวางเอาไว้ สิ่งที่ขาดก็กระเจิงแต่ก็ยังพยายาม ไฟฟ้าที่ตอนแรกเปิดๆปิดๆดับๆ บัดนี้สว่างไสวขึ้นบ้างแต่เฉพาะภายในบ้าน ส่วนนอกบ้านอาศัย แสงของดวงจันทร์ที่เต็มดวง สาดสองไปยังทั่วบริเวณบ้าน มืดบ้างสว่างบ้าง ถูกบังจากสิงอื่นบ้าง บ้านที่ถูกโยกไปโยกมา หลังคาที่มีเสียงเกรียวกราวก็เงียบหายไป เกือบจะหมดสิ้นจะมีก็นิดๆหน่อยๆ ทั้งหมดจ้องมองไปบริเวณลานบ้าน เห็นผีบางตัวพยายามจะหนีให้พ้นบริเวณ ร่างมันสูงชะลูด เก้งก้างหมายข้ามออกนอกรั้ว แต่ไม่อาจจะหนีไปได้ ทุกตัวถูกอะไรไม่รู้ต่างทะยอย กระเด็นย้อนกลับเข้ามาในลานบ้านอีก แล้ววิ่งวนเวียนหาทางเพื่อหลบหนีให้ได้ บางตัวหลบหนีไปบนต้นไม้ ต่างก็ร่วงผล๊อยตกลงมา เมื่อยามถูกอาวุธธนุที่ยิงใส่มันบนต้นไม้ คนทั้งสี่มองเห็นที่บริเวณรอบรั้วนั้นเรียงรายไปด้วยเหล่าทหารทั้งสิ้นก็ให้แปลกใจนัก อสุรกายทั้งหกต้องร้องเสียงดังลั่นเรียกร้องหาคนช่วยทันที ด้วยมันรู้แล้วว่าสู้ทางฝ่ายนี้ ไม่ได้อีกต่อไปแล้วเพื่อจะหนีกลับด้วยมันมาเพื่อช่วยพวกผีปีศาจร้ายเหล่านี้ตามที่ได้รับคำสั่งมา ร่างของเหล่าปีศาจทั้งหญิงและชายเด็กต่างถูกมัดกันเป็นพรวนกันทั้งหมด แม้แต่อสุรกาย ก็เช่นเดียวกัน ด้วยเกิดจากหนุ่มอีกคนหนึ่งนั้นเหวี่ยงเชือกสีขาวๆออกไป เชือกเหล่านั้น ต่างเข้าไปมัดบรรดาผีปีศาจร้ายทั้งสิ้น บางไม่มีหัว ส่วนหัวและแขนขาที่ขาดก็ถูกเชือกด้ายสีขาวผูกรวมกันไว้ด้วยอย่างแน่นหนายิ่งดิ้น เชือกนั้นยิ่งรัดมากยิ่งขึ้น ไม่สามารถใช้อิทธิฤทธิ์ต่างๆที่มันมีหนีไปจากเชือกอาคมได้เลย “ปล่อยข้าเถิดๆๆๆข้ากลัวแล้วๆๆๆ จะไม่มารังควาญอีกแล้วๆๆๆ ข้ายอมแพ้แล้วปล่อยเถิด” เสียงร้องโหยหวนเยือกเย็นคร่ำครวญร้องแผ่วบ้างดังบ้างสลับกันไปอย่างน่าเวทนายิ่งนัก ส่วนเจ้าอสุรกายก็ต่างร้องเรียกให้คนมาช่วยมันให้หลุดพ้นจากเชือกอาคมเหล่านี้ทันที “นายๆๆๆมาช่วยข้าทีเถิดๆๆๆมาช่วยข้าทีเถิดๆๆๆ ข้าสู้อำนาจมันไม่ได้นาย” ทันใดก็เกิดลมพายุพัดกระหน่ำอย่างรุนแรงแว่วใกล้เข้ามา บรรดาต้นไม้ต่างๆแกว่งไกว แทบจะหักลงราบพนาสูรเสียสิ้น เสียงลมพัดอู้ๆๆ ฝุ่นต่างๆฟุ้งแผ่กระจายไปในอากาศ เสียงท้องฟ้าคำรามลั่นทั้งๆที่ไม่ใช่ฤดูกาลเลย และมีประกายแลบแปลบปลาบไปทั่วบริเวณ “ฮ่าๆๆๆๆ ข้ามาช่วยพวกเอ็งแล้วไม่ต้องกลัว เดี๋ยวข้าจะไปปล่อยพวกเจ้าเอง” ร่างอันดำมะมืนสูงใหญ่ก้าวเข้ามา แต่ร่างมันก็ต้องชะงักเมื่อเจอรังสีของแสงหลายหลากสี พวยพุ่งเข้าใส่ร่างมัน มันร้องลั่นพลางเอ่ยเชิงตัดพ้อขึ้นมาทันทีว่า “นี่ไม่เรื่องของพระพุทธองค์เลย ท่านก็ตัดกิเลสไปแล้วนี่นา เหตุใดจะมายุ่งเกี่ยวอะไร อีกล่ะหาใช่กิจของพระองค์ก็หาไม่” ฉับพลันรังสีหลายหลากสีอันสวยสดแพรวพราวก็รวมตัวบังเกิดเป็นพระพุทธรูป ยกพระหัตถ์ขึ้นเกิดมวลรังสีอีกนาๆนัปการแผ่ออกมาจากฝ่ามือที่รังสีรวมตัวจากองค์ พระพุทธรูปพุ่งเข้าหาร่างที่ยืนทะมึนนั้นถึงกลับต้องทรุดกายลงคุกเข่าลงไป เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทั้งสี่คนมองเห็นได้อย่างชัดเจนถึงสิ่งเหล่านี้ในการรำพันอ้อนวอน อีกทั้งบรรดาแสงสวยงาม ตลอดจนรังสีที่รวมตัวกันเป็นองค์พระพุทธรูป ต่างคนก็พากันยกมือขึ้นพนมมือก้มลงกราบแสงสีที่เป็นองค์พระทันที แล้วลุกขึ้นนั่งพนมมือปากก็กล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ดังกังวานเพื่อกลบเสียงบรรดาเหล่าฝูงภูตผีปีศาจ ซึ่งเมื่อได้ยินเสียงสวดมนต์ทำให้ เกิดอาการต่างๆแก่บรรดาเหล่าภูตผีปีศาจทั้งปวงทันที บ้างเกิดไฟลุกขึ้นไหม้ร่างกายมัน แล้วกล่าวคำ อรหัง ด้วยวนเวียนไปๆมาๆอาการสั่นค่อยๆทุกเลาลงอย่างน่าประหลาด มหัศจรรย์ยิ่งนักด้วยการผสานเสียงคำสวดมนต์ภาวนาของบรรดาคนทั้งหมดที่ตั้งจิตมั่นคง พลันเหลือบไปมองยังชายหนุ่มทั้งสองก็เห็นต่างก้มลงกราบองค์พระที่เกิดจากแสงสี อันสวยสดงดงามที่แผ่ออกมาจากคนทั้งสี่เป็นวงกลมรายล้อมร่างแล้วกระจายออกไป รวมตัวเป็นองค์พระพุทธรูปงดงามอันตระการตายิ่งนักแพรวพราวด้วยรัศมีนาๆประการ มิแค่เพียงเท่านั้นรังสีนั้นก็ยังแผ่ไปยังบรรดาคนของชายหนุ่มทั้งสองและตัวชายหนุ่ม ที่เข้ามาช่วยเหลือพวกเขาเองอีกด้วย ทำให้ก่อเกิดพลังงานอันสูงยิ่งสร้างพละกำลังแก่ บรรดาพวกที่กำลังทำหน้าที่ไล่ทำลายล้างบรรดาเหล่าฝูงภูติผีปีศาจนับจำนวนมากมาย ในการจัดการแก่เหล่าอสุรร้ายและบรรดาผีปีศาจอีกด้วย จนต่างวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนกันไป ร่างที่มาใหม่ที่สูงใหญ่ปานภูเขานี้พลันเอ่ยกับเหล่าอสุรร้ายว่า “ข้าเองเห็นจะช่วยเหลืออะไรพวกเจ้าไม่ได้อีกแล้ว ถึงแม้ว่าท่านพญามารท่านจะ มาเองก็ไม่อาจจะต้านทานพุทธานุภาพได้หรอก ข้าจำเป็นต้องไปแล้วล่ะด้วยสู้อำนาจนี้ไม่ได้ จะไปรายงานให้ท่านพญามารทราบถึงเหตุการณ์ทั้งหมด ถือว่าเป็นเวรกรรมของเจ้าเสียแล้ว” มันพอกล่าวเช่นนั้นร่างก็พลันหายไป เสียงฟ้าร้องคำรามพายุพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง ในตอนขามานั้นก็ค่อยๆจางซาแล้วก็หายไป สภาพภายในบริเวณบ้านก็เข้าสู่ความสงบ เป็นปกติทันที คงเหลือไว้แต่เหล่าปีศาจร้ายที่บัดนี้ต่างถูกเชือกมัดดิ้นกันไปตามๆกัน รังสีร่างของพระพุทธรูปก็ค่อยๆกระจายแผ่ไปทั่วบริเวณบ้านทั้งหมดเกิดรังสีอันสวยงามขึ้น ฉับพลัน เสียงร้องดังกึกก้องก็แทรกเข้ามา ทำให้คนทั้งสี่ต่างตกใจขึ้นนึกว่าจะมีเหตุอะไรอีก เสียงดังกังงานแว่วใกล้เข้ามาอีกครั้งหนึ่ง พลางหันไปมองหน้ากันไปๆมาๆ เหลียวไปยังต้นเสียงทันที ก็แลเห็นชายร่างสูงใหญ่สี่นายกายดำทะมึนมือถือบ่วงบาศก์ ข้างหนึ่งอีกข้างหนึ่งถือกระบอง ก้าวย่างเข้ามาในบริเวณบ้านแล้วทรุดตัวลงนั่งวางอาวุธไว้ ข้างๆตัว ก้มลงกราบไปยังรังสีต่างๆที่แผ่กระจายทันที พลางเอ่ยพึมพรำเบาๆ แล้วก็ลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มทั้งสองก็เข้าไปหาร่างชายทั้งสี่ที่นุ่งโจงกะเบนด้วยผ้าสีแดงสดเผยอกที่เป็นแผง กำยำล่ำสันเห็นก้อนเนื้อเป็นมัดๆ สง่าผ่าเผยร่างกายออกสีน้ำตาลปนดำเป็นมันละเลื่อมๆ มีสายสะพายพาดเฉลียงจากไหล่มายังเอวส่งประกายแสงวูบๆวาบๆยามกระทบแสงไฟ “ข้าแต่ท่านยมฑูต ข้าได้รับคำสั่งจากนายโชติมาช่วยเหลือครอบครัวนี้ครับท่าน ตลอดจนเหล่าบรรดาบริวารของพวกข้าด้วย” “ข้าทราบแล้วจากท่านพระยายมราชพระองค์ทรงบอกให้ไว้แล้วล่ะกับนายของท่าน เอๆๆ พ่อหนุ่มผู้มีดวงจิตอันบริสุทธิ์ ขอพ่อจงหมั่นเพียรฝึกฝนต่อไปนะ นี่ก็จะใกล้เทวะเข้าไปแล้ว ข้ามาในหน้าที่มิอาจจะรับการคาราวะจากท่านได้หรอกด้วยตอนนี้ท่านนี้มีศักดิ์ศรี สูงกว่าข้ามากแล้ว และยิ่งเป็นคนของเทวะที่มาจากเบื้องบนชั้นสูงอีกด้วยที่ลงมานี้เหตุใด ไหนเลยเหล่าข้าจะกล้าอาจเอื้อมได้ เพียงขอร้องให้ท่านช่วยกราบเรียนท่านเทวะ ด้วยว่าทางนี้ไม่ต้องเป็นห่วงทางด้านนี้หรอกท่านข้าจะจัดการตามคำสั่งท่านท้าวพระยายมราช ที่จริงข้ามานานแล้วแต่ที่ไม่เข้ามา เพื่อจะให้เหล่ามารมันได้ซึ้งถึงอำนาจพุทธบารมี ก่อนเท่านั้นเองแหละ แม้ว่าพระองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพานไป แต่พระองค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยมหากรุณาธิคุณเมตตาแก่มวลเหล่าที่ยังเคารพใน พุทธศาสนานี้ด้วยรังสีพุทธบารมียังคอยปกปักรักษาไว้หาได้ทอดทิ้งแต่ประการใดไม่ ถ้าหากผู้ใดหมั่นเจริญสวดมนต์ภาวนา ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด พุทธบารมีของ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณเป็นสรณะประจำใจของตัวเองแล้ว ย่อมจะได้รับรังสีแห่งพุทธานุภาพเสมอๆขจัดสิ่งเลวร้ายไปได้ไม่ว่ามันจะร้ายกาจเพียงใด ต่อไปจะได้ไม่มีเหล่าฝูงปีศาจตนใดเข้ามากล้าล่วงเกินต่อผู้ที่จะมาเป็นพุทธบุตร ในพระองค์ได้อีกต่อไปแล้ว ด้วยบารมีที่เขาสะสมไว้จะได้บังเกิดขึ้นแก่คนในบ้านนี้ตลอด ให้พวกมันได้สำนึกรู้ถึงพุทธานุภาพบ้าง ไหนเลยแม้แต่ท่านพญามารมาก็ตามทีถิดนั้นก็จะ ยังต้องพ่ายแพ้ในพุทธบารมีที่พระองค์ทรงแผ่ไว้ให้เหล่าพุทธสานิกชนของพุทธองค์เอง ส่วนมันทั้งหกนี้และอีกตลอดเหล่าผีปีศาจนั้น ตลอดจนที่ไปอาศัยในหมู่บ้านต่างๆอีก สถานอื่นๆซึ่งครบกำหนด ข้าได้ใช้คนไปนำพาตัวไปสู่ยังอเวจีก่อนจะมาที่นี่แล้วล่ะท่าน ส่วนพวกเหล่านี้ข้าก็จะนำไปสู่ยังดินแดนอเวจีต่อไปรับโทษทัณฑ์มากน้อยตามตามโทษานุเวร ซึ่งเวรกรรมที่มันก่อกรรมเอาไว้ แต่อย่าลืมกราบเรียนให้แก่ข้าด้วยเถิดนะท่าน” “ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านยมฑูตด้วย และจะกราบเรียนนายข้าให้ทราบทุกประการท่าน มิต้องกังวลหรอก ขอเชิญท่านทำงานได้แล้วล่ะ ส่วนข้าเพียงมัดไว้ด้วยพุทธาคมเท่านั้น คิดว่าเมื่อเข้าสู่แดนของท่านแล้วอำนาจนี้ก็จะคืนกลับมาหาข้าเองแหละ” แสงสีเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นท่านเรียกของท่านกลับได้แล้ว ข้าจะใช้บ่วงบาศก์อันได้รับจากองค์ท่าน ท้าวพระยายมราชเอง” เมื่อแสงสีได้ฟังเช่นนั้นก็หลับตายกมือขึ้นพนมมือร่ายเวทย์พระพุทธมนต์ที่ร่ำเรียนมา ฉับพลันเชือกเหล่านั้นก็คลายมัดบรรดาอสูรและภูตผีปีศาจทั้งปวงกลับคืนสู่ชายหนุ่มแสงสี ทันที พวกมันต่างรวมแขนขาหัวร่างกันได้แล้วก็เริ่มจะแผลงฤทธิ์อีก แต่แล้วพวกมัน ก็ต้องตาค้างชะงักงันไปทันที เมื่อเกิดมีบ่วงบาศก์จำนวนมากมามัดมันเข้าอีกแต่ร้ายกาจกว่า ไม่เหมือนเชือกของชายหนุ่มแสงสีเลย กลับมีเปลวไฟลุกไหม้ขึ้นในบ่วงบาศก์ที่มัดมันด้วย ทำให้มันต่างร้องคร่ำครวญโหยหวนทนทุกขเวทนา ร้องเสียงดังลั่นไปทั่วบริเวณทันที พิษอันร้อนแรงของบ่วงบาศก์นี้ช่างร้ายกาจกว่าเชือกที่มัดมันก่อนมากมายนัก ปลายเชือกบ่วงบาศก์นั้นอยู่ในมือท่านยมฑูต ลากมันออกเดินทางทันที หากตัวใดพยายาม ขัดขืนก็จะถูกกระบองตีกระหน่ำอย่างไม่ยั้งมือ ที่ดิ้นรนไกลหน่อยกระบองนั้นก็ยึด ขึ้นเองหวดกระหน่ำจนพวกมันร้องโอดครวญ ยินยอมถูกนำพาไปทั้งหมด พากันถูกนำแล้ว หายไปจากบริเวณบ้านนั้นทันใด ความสงบกลับคืนมาสู่ดังเดิม ชายหนุ่มแสงสีสินชัยก็เข้ามากล่าวอำลาแก่คนทั้งหมดแล้ว แสงสีสินชัย ก็ค่อยๆลงบันไดไป คนทั้งสี่ก็แลเห็นชายฉกรรจ์ร่างกำยำสองนายเข้ามาหา ก็เห็นหนุ่มทั้งสองกล่าวอะไรไม่รู้ ก็มองเห็นเหล่าทหารหลายสิบนายต่างเดินแถวกัน ออกจากบ้านเดินหายลับไปกับความมืดทันที.............. * แก้วประเสริฐ. *