11 มกราคม 2554 14:06 น.

อทิสมานกาย ๗๒

แก้วประเสริฐ

76.gif
                       อทิสมานกาย ๗๒

  ในวันรุ่งขึ้นในห้องทำงานของสารวัตรชัชวาลย์  เมื่อเปิดอ่านจดหมาย
ปิดผนึกจาก หัวหน้าของเขาที่ส่งมาให้นั้น  ครั้นจ่าโฉมนำมายื่นส่ง
มอบให้  พออ่านเสร็จแล้วก็ยิ้มกริ่ม ใบหน้าเบิกบาน 
   พลางหันไปบอกจ่าโฉมทันที
   “จ่าช่วยไปตามผู้กองจรัสและผู้กองจำลองมาพบผมด้วยนะ”
   “ครับผ๊ม และหัวหน้าต้องการอะไรอีกหรือเปล่าล่ะครับ”
   “แค่นั้นก่อนจ่า  ผมมีเรื่องจะปรึกษาเขา อ้อๆๆ...อีกอย่างหนึ่งไปบอก
จ่าชื่นให้ไปบอกให้หมวดวิชิตทราบด้วย แต่อย่าให้ใครๆรู้ได้เป็นอันขาดนะ
ว่าผมขอพบตัวด่วนด้วยในห้องทำงานของผม ส่วนจ่าก็คอยเฝ้าหน้าห้องด้วย”
   “ครับสารวัตร”
     ร่างของจ่าโฉมทำความเคารพแล้วก็รีบเดินไปตามผู้กองทั้งสองและหมวด
วิชิตยังห้องท่านรองผู้กำกับทันที
      เมื่อร่างของทั้งหมดเข้ามายังห้องของสารวัตรชัชวาลย์ต่างก็หาที่นั่งกันเอง
โดยที่ไม่ต้องให้สารวัตรชัชวาลย์เอ่ยแต่อย่างใด  ครั้นทุกๆคนนั่งเรียบร้อยแล้ว
สารวัตรชัชวาลย์ก็ยื่นหนังสือของชายหนุ่มให้ทุกๆคนได้อ่านกัน 
     ครั้นทุกๆคนอ่านแล้วก็ต่างเงยหน้ามองทางสารวัตรทันที
 ผู้กองจรัสก็เอ่ยขึ้นว่า
   “แบบนี้เรียกว่า ตีปลาเข้าไซ่ นะนี่สารวัตร”

   “ใช่แล้วล่ะคุณจรัส  หัวหน้าเราตกปลาล่อเหยื่ออีกด้วยนา
   ให้ปลาได้ตายใจก่อนแล้วค่อยจัดการปลาเสีย”
    “แล้วจะไม่ให้ท่านรองทราบหรือครับ”
หมวดวิชิตถามด้วยความสงสัย
   “ที่ผมเชิญคุณมานะก็เพราะเรื่องนี้แหละ 
ด้วยไม่อยากให้เกิดความสงสัยกระโตกกระตากแก่ตำรวจอื่นๆ
  ผมเองยังไม่แน่ใจพวกเก่าๆเท่านั้นเอง กลัวปลาจะตื่นเสียก่อน”
สารวัตรเอ่ยขึ้น
   “แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ????...” 
ผู้กองจำลองถามขึ้นบ้าง
   “ผมได้รับรายงานจากสายมาว่า สารวัตรวิเชียรและสารวัตรอำนวย
ได้ไปพบเสี่ยเม้งมาแล้วล่ะ???...  
 คงจะได้รับเงินมาด้วยนาแต่ไม่รู้เท่าไหร่เท่านั้นเอง
ผมได้แอบให้ไปตรวจสอบบัญชีธนาคารพบว่า 
 สารวัตรทั้งสองมีเงินมากมายแถมยังซื้อที่ดินอีกมากมายด้วย”
   “แล้วเรื่องนี้ท่านรองไม่รู้บ้างเชียวหรือครับ???...”  
หมวดวิชิตเอ่ยด้วยความสงสัยจึงหันไปถามดูเพื่อให้แน่ใจ
   “เรื่องนี้ท่านเคยเปรยๆให้ผมฟังเหมือนกันว่า  ทางสายท่านก็รายงาน
ให้ทราบแล้ว       ก่อนหน้าที่สารวัตรทั้งสองจะเข้าไปพบ
 นายเราได้มีหนังสือให้เจ้าแสงสีนำมามอบให้ก่อนหน้านี้แล้วด้วย

 มิฉะนั้นท่านคงจะไม่ยอมให้มีการเยี่ยมการประกันตัวได้หรอก”
เพราะได้มีหนังสือมาถึงผมเช่น เดียวกัน”
    พลางสารวัตรลุกขึ้นไปหยิบเอกสารดังกล่าวที่เก็บซ่อนไว้ในตู้นิรภัย
ใบเล็กอีกชั้นหนึ่งนำมาเปิดต่อหน้าคนทั้งสามทันที
  พร้อมหยิบออกมายยื่นให้คนทั้งสามอ่านด้วย
   “อ้อๆๆผมหมดความสงสัยแล้วครับ  นายเรานี่ช่างวางแผน
ได้แนบเนียนจริงๆนะสารวัตร”
หมวดวิชิตเอ่ยขึ้น
   “และเจ้าแสงสีคนของนายยังมาเอ่ยด้วยวาจาว่า
 อีกสองสามวันนี้เสี่ยเม้งจะมีการขนย้ายของกันเพื่อนำส่งไปทางกรุงเทพฯ
  ให้ทางเราทำเป็นไม่รู้เรื่องราวเฉยๆไว้ก่อนนะ หากได้รับสัญญาณก็ให้
นำตำรวจพวกเราเข้าไปทำการจับกุมพวกมันทันที  เพียงแต่ให้พวกเราสั่ง
เจ้าหน้าที่ของเราให้เตรียมตัวไว้ให้พร้อมตลอด 24 ชั่วโมงเท่านั้น  
  ที่ผมนำมาบอกเพื่อให้พวกเราไม่ต้องสงสัยอะไรอีก”
     สารวัตรชัชวาลย์เอ่ยให้ทั้งหมดฟัง

   “อ้าวหากทางเราไม่จัดการพวกมันก็สะดวกนะซิท่านสารวัตร”
   “เห็นแสงสีพูดแค่นั้น  คงจะมีอะไรที่นายเราต้องจัดการเองกระมังนะ
 ถึงไม่ให้พวกเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวทางนี้ ปล่อยให้มันทำงานกันไป  
ผมเองก็สงสัยเหลือเกินว่านายเราจะทำกันอย่างไร???”
   “เรื่องนี้นายเราไม่ได้แจ้งให้เรารู้ เพียงแค่เขียนแผนที่ไว้บอกวันเวลา
ให้ทางเราทราบเท่านั้น  เดี๋ยวผมจะซีล๊อกซ์แจกจ่ายให้พวกเราไปบอก
พวกของเราต่างๆให้เตรียมพร้อม  ต่างแบ่งกำลังออกเป็นสี่ส่วนด้วย
แต่ว่าทางไปคงจะลำบากมาก  นายยังสั่งให้พวกเราหายาฉุนกับน้ำไปด้วย
และนุ่งกางเกงให้รัดขาไว้ในโอ๊ป หากพวกปลิงทากเกาะก็ให้เอายาฉุน
ชุบน้ำทามันก็จะหลุดไปหมด 
       คงจะไม่มากนักด้วยท่านยังแจ้งมาว่าจะให้คนของท่านไปจัดการ
ให้เรียบร้อยก่อนด้วย  ผมเองก็สงสัยเหมือนกันว่า
ท่านเอาคนมาได้อย่างไร  ตอนเข้าจับกุมพวกไม้เถื่อนคนของท่านผมกะ
คร่าวๆนะเกือบร้อยคน  
      ผู้กองทั้งสองก็เห็นกันมาแล้ว แต่เวลาเสร็จงานจากการจับกุมแล้ว
คนเหล่านี้ไม่รู้ว่าหายไปไหนกันหมด ผมเองก็แปลกใจเหมือนกันคิด
อย่างไรก็คิดไม่ออก หรือว่าผู้กองจรัสและผู้กองจำลองจะคิดได้กระมัง???”
   “นั่นซิสารวัตร ผมเองก็เคยใช้คนไปสำรวจดูว่าคนจำนวนมากเป็นร้อย
นั้นไปพักอยู่ที่ไหนกัน  คนกลับมาบอกว่าหาร่อยรอยไม่ได้เลย  พวกเขา
ก็ไปตามหมู่บ้านต่างๆเพื่อสืบเสาะก็ไม่เห็นล้วนแต่เป้นแค่ชาวบ้านธรรมดา
ยกเว้นหมู่บ้านโคกอีแร้ง  นั่นคนฝึกก็คนของเราทั้งสิ้นสอบถามแล้วว่า
ไม่มีคนแปลกปลอมเข้ามา ที่ไปดำเนินการนั้นส่งไปแค่ไม่กี่สิบคนเท่านั้น
เองแต่  ผมก็เห็นนับเป็นร้อยเชียวล่ะสารวัตร???.....”
ผู้กองจรัสและผู้กองจำลองเอ่ยพร้อมกันด้วยความสงสัย

   “มีแบบนี้ด้วยหรือครับ  คนจำนวนมากเช่นนั้นหายไปไหนหมดผมมา
คิดดูก็สงสัยเหมือนกันครับ”
   หมวดวิชิตเอ่ยถามด้วยความงุนงง   ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปก็ตามทีแต่ก็
มีเด็กคอยสอดแนมเหมือนกัน
   “ ด้วยท่านรองสั่งกำชับไว้เป็นความลับโดยใช้ผมหาคนที่ไว้ใจได้
ช่วยไปสืบไว้อีกทางหนึ่งเหมือนกันครับ”
   แล้วสารวัตรก็หันมากล่าวกับคนทั้งหมดว่า  
   “ผมคาดว่าพรุ่งนี้คงจะมีคนมาประกันตัวกำนันมั่นแน่นอน
 ซึ่งเป็นไปตามแผน ผมมาคิดๆดูว่าทางด้านกำนันคงจะรวบรวมยาเสพย์ติด
ไว้มากเหมือนกันนะ  มิฉะนั้นเสี่ยเม้งมันคงจะไม่ออกหน้าออกตาเช่นนี้”
   “นั่นซิครับสารวัตร หากไม่มีผลประโยชน์มันหรือจะยอมใช้จ่ายเงิน
จำนวนนี้มากด้วย อีกอย่างหนึ่งมันก็เสี่ยงต่อการเพ่งเล็งจากฝ่ายเราอีก”
   “ผมก็คิดเหมือนคุณนั่นแหละ  แต่นายสั่งมาแล้วก็ต้องทำตามนายด้วย
อาจจะมีแผนการอะไรๆดีๆขึ้นมาก็ได้นา  อย่าคิดมากเดี๋ยวคุณทั้งหมดเมื่อ
ออกไปแล้วก็ไปแอบส่งสัญญาณแก่พวกเรา ส่วนทางท่านรองท่านคงจะ
ไม่เรียกพวกเราไปพบหรอก  ถึงอย่างไรก็ยังมีหมวดวิชิตคอยเป็นสายสืบให้
แก่พวกเราอยู่แล้ว”
   สารวัตรชัชวาลย์เอ่ย
   “ที่ผมเรียกพวกคุณมานี่เพื่อต้องการให้ทราบแผนของนายเราพร้อมทั้งการ
ดำเนินการจับกุมอีกครั้งหนึ่ง  คราวนี้คงจะสิ้นซากเสียที และอาจจะต้องมีการ
เสี่ยงถึงตายกันบ้างล่ะ??.. ขอให้ทุกๆคนระมัดระวังตัวไว้ด้วย หากได้รับสัญญาณ
ก็ไปปฏิบัติยังที่เดิม ซึ่งไม่ใช่ในโรงพักนี้ ค่อยทะยอยๆกันออกไป ส่วนผม
เดี๋ยวจะทำเรื่องขอเบิกอาวุธและกระสุนเพื่อเตรียมพร้อมจากท่านรองด้วย”
   “แต่ผมว่าสารวัตรไม่ต้องไปหรอกครับเรื่องขอเบิกอาวุธกระสุนนั้นเดี๋ยวสารวัตร
เขียนมาแล้วผมจะนำไปยื่นให้ท่านเอง แล้วจะให้จ่าชื่นนำมาให้ก็แล้วกันจะได้
ไม่เป็นที่สงสัย ส่วนสารวัตรจะให้ใครไปเบิกก็ไม่เป็นปัญหาด้วยท่านรองท่านได้
ย้ายคนเก่าเอาคนของเราเข้าไปทำหน้าที่นี้อยู่ก่อนแล้วครับ”
   “อืมม....ดีเหมือนกันหมวด  เดี๋ยวผมจะทำหนังสือขอเบิกให้หมวดนำไปเลยนะ
เพราะหากผมเข้าไป อาจจะทำให้สารวัตรวิเชียรและสารวัตรอำนวยสงสัยก็ได้”
สารวัตรชัชวาลย์กล่าวเสร็จ ก็รีบร่างแล้วพิมพ์หนังสือขอเบิกอาวุธกระสุนต่างๆ
เสร็จยื่นมอบให้หมวดวิชิตทันที”
    เมื่อหมวดวิชิตรับหนังสือมาแล้วก็อ่านดูพลางยิ้มแล้วก็ใส่ซองรีบปิดผนึกทันที
เก็บไว้ในแฟ้มที่ถือเอามาด้วยเพื่อหลอกพวกตำรวจอื่นๆจะสงสัยที่ได้เข้ามาใน
ห้องของสารวัตรชัชวาลย์   แล้วสารวัตรชัชวาลย์ก็เอ่ยขึ้นว่า
   “นี่ๆๆแผนที่ให้ทุกคนนำไปอ่านให้ละเอียด แบ่งกำลังดังนี้

ทิศเหนือที่ภูเขาใกล้ๆน้ำตกนั้น ให้เป็นหน้าที่ของผู้กองจรัสคุมกำลังไปคอยไว้
อย่าพึ่งลงมือจนกว่าจะได้รับสัญญาณนะ
ทิศใต้นั้นมันเก็บของไว้ทีในถ้ำเหมือนกัน ให้ผู้กองจำลองคุมกำลังไปรอคอยไว้
โดยแอบแฝงตัวในป่าไว้ก่อน แยกย้ายกันครั้นได้รับสัญญาณค่อยมารวมพลกัน
ทิศตะวันตกผมจะนำกำลังไปเอง  ส่วนทิศตะวันออก ซึ่งเป็นที่ราบมากนั้นให้
จ่าฉลองนำกำลังคนไปจัดการก็แล้วกัน ส่วนหมวดหากไปด้วยก็จะทำให้เกิด
การสงสัยแก่ตำรวจที่ไม่ใช่พวกเดียวกับเรา หมวดก็อย่าคิดมากนะด้วยอยู่ใน
ห้องขอท่านรองอยู่แล้ว หากไปจะทำให้ทางสี่ยเม้งมันจะสงสัยขึ้นไปเท่านั้น  
เพราะมันมีสายเป็นตำรวจเก่าอยู่อีกมาก เราก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แล้วหมวดเอา
แผนที่ให้ท่านรองดูไว้ด้วยก็ดี  บอกว่าผมขอให้ท่านรองทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เท่านั้น
ด้วยกลัวไก่มันจะตื่นเสียก่อน  เพราะด้านนี้จ่าฉลองกับพวกก็คงจะพอรับได้
ด้วยทางนี้นั้น มันเป็นป่าโปร่งการแลเห็นทางไกลย่อมง่ายๆแก่การเข้าจับกุม
ด้วยทางนี้นั้นไม่เท่าไหร่หรอก เพราะเป็นป่าโปร่งง่ายแก่การสังเกตุการณ์หนี
และการเข้าจับกุม ผมจะสั่งหากมันต่อสู้ก็ยิงทิ้งวิสามัญมันไปเลยผมรับผิด
ชอบเองไม่ต้องห่วงหรอก  ถึงอย่างไรมันก็ทำอะไรทางเราไม่ได้อยู่แล้วล่ะ
   ให้ทุกๆคนทำตามแผนนี้ไปคอยล่วงหน้าก่อนสักหนึ่งวันนะคอยดูลาดเลาไว้ 
 โดยให้เด็กของเราที่ฝากไว้ตามหมู่บ้านนั้นออกไปก่อน เขาชำนาญทางป่าด้วย 
แล้วกำลังเสริมจะตามไปทีหลัง ส่วนพวกคุณไม่ต้องออกไปเดี๋ยวจะผิดสังเกตุ
แผนการณ์จะเสียไปก่อน  ครั้นเมื่อได้รับสัญญาณจากผม
แล้วค่อยทะยอยกันออกไปทำเป็นไปเที่ยวเตร่ก็แล้วกัน”
   “ครับสารวัตร “  ทั้งหมดรับคำทันที
   “ถ้าอย่างงั้นคุณกลับไปกันได้แล้ว เดี๋ยวไอ้พวกตำรวจนอกรีดมันจะสงสัย
แผนงานเราจะแตกเสียก่อน”
    สารวัตรชัชวาลย์สั่งกำชับทันที
   “อ้อๆๆๆ...ค่อยทะยอยออกไปทีละคนนะ ห่างกันสักห้านาทีค่อยไป”
   “ครับสารวัตร”   

    ทั้งหมดรับคำแล้วร่างของของหมวดวิชิตออกไปก่อน รีบเดินถือแฟ้มเองสาร
ออกไปทำท่าคล้ายๆมาส่งเอกสารบางอย่างแก่สารวัตรชัชวาลย์  แล้วสักพักก็
ต่างคนทะยอยออกจากห้องของสารวัตรชัชวาลย์  
   ครั้นทุกๆคนออกไปหมดแล้ว ร่างของเจ้าแสงสีก็ค่อยๆออกมาจากอีกห้องหนึ่ง
ซึ่งเป็นที่เก็บของและใช้เป็นที่พักผ่อนของสารวัตรชัชวาลย์ด้วย
   สารวัตรชัชวาลย์ก็เอ่ยปากกับเจ้าแสงสีว่า
    “ไปบอกนายแล้วว่าทางนี้ไม่ต้องห่วง  หากได้เวลาจะให้ตำรวจจัดการก็ให้ส่ง
สัญญาณมาทางผม     ผมจะได้แจ้งให้ตำรวจทุกๆนายรู้นะแสง”
   “ครับสารวัตรผมจะไปแจ้งให้นายทราบครับ งั้นผมกลับก่อนนะครับ “
   “เรื่องวางแผนนั้นเกี่ยวกับการจับกุมแสงสีคงจะได้ยินหมดแล้วใช่ไหม???...”
   “ครับผมได้ยินหมดแล้วครับ ไม่ต้องห่วงหรอกครับผมจะไปรายงาน
ตามที่ทราบมาให้นายผมรู้ครับ”
   “ดีแล้วล่ะเวลาออกไปให้ระวังตัวไว้ด้วยนะ
 สำหรับจ่าโฉมไม่ต้องห่วงหรอกผมได้กำชับไว้เรียบร้อยแล้ว 
  งั้นไปรายงานนายให้ทราบเร็วเถอะ”
   “ครับผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”
แล้วร่างเจ้าแสงสีก็เดินจะออกจากประตูไป  สารวัตรไม่ทันมอง
ด้วยกำลังตรวจดูแผนที่อยู่
 เมื่อเจ้าแสงสีเห็นสารวัตรไม่ได้มองมาทางมันร่างมันก็หายไปทันที
โดยไม่ต้องออกจากประตูห้องเลย
 ครั้นสารวัตรเงยหน้าก็ไม่แลเห็นเจ้าแสงสีแล้วคิดว่ามันคงจะออกไป
เรียบร้อยแล้ว ก็ไม่ได้สงสัยอะไรก็รีบวางแผนที่จะลงมือทำงานกันต่อไป

    ภายในห้องชายหนุ่มหลังจากที่เขาได้กินอาหารและคุยกับพ่อแม่
และน้องทั้งสองแล้ว
ชายหนุ่มก็หันไปทางชบาเอ่ยขึ้นว่า
   “น้องชบาวันนี้ไม่ต้องไปห้องพี่ฝึกสมาธินะด้วยน้องสำเร็จแล้ว
เพียงแต่เวลาอยู่ในห้องแม่ก็พยายามทบทวนเอาเองก็ได้หรอก
  เพราะน้องผ่านมาแล้วเพียงทำจิตให้รวมตัวเป็นหนึ่งเดียว
วางจิตเข้าสู่ขั้นที่ฝึกมาแล้วลงมายังอุปาจาระสมาธิแล้ว
ก็อธิษฐานจิตก็เท่านี้เองผลก็สำเร็จตามปรารถนาของน้องล่ะจ๊ะ”
ชายหนุ่มเอ่ยแนะนำทางให้สาวชบา
อย่าลืมทำตามที่พี่บอกก็แล้วกันนะ  ด้วยทางพี่วันนี้มีงานยุ่งอีกแล้วล่ะจ๊ะ”
   “จ๊ะพี่???...คงจะมีงานของพี่เข้ามาอีกแล้วหรือ???...”
   “จ๊ะต้องรีบทำด่วนเสียด้วย  เจ้าแสงสีสินชัยมันคงจะรอพี่อยู่ในห้องแล้วล่ะ
 เดี๋ยวพี่ต้องรีบไปสั่งงานมันก่อนนะ”
พลางหันไปทางพ่อแม่เจ้าชัย  พลางเอ่ยปากขอตัวต้องมีงานสำคัญ
ต้องจัดการทำด่วนเสียด้วยซิ
  แม่เข็มก็สงสัยถามขึ้นทันทีว่า
   “อ้าวๆๆลูกไม่ได้ไปไหนทำไมต้องทำงานอะไรอีกหรือลูก”
   “ปล่อยลูกไปเถอแม่เข็ม  ลูกมันมีงานด่วนจริงๆนะต้องทำ
เดี๋ยวงานของลูกเราจะต้องเสียเวลางานของเขานะ”
พ่อเชียรเอ่ยบอกแม่เข็มทันที
   “พี่เชียรรู้หรือว่าเป็นงานอะไร???...ฉันเองไม่รู้จริงเปรยให้ฟังบ้างซิ???...”
   “ก็งานที่มันทำอยู่ แม่เข็มลืมไปแล้วหรือว่าลูกเราเป็นใครกันนะ”
คราวนี้แม่เข็มนึกออก เพียงสงสัยว่าลูกเรามันรู้ได้อย่างไร
 ก็ทำสีหน้าฉงนใจนัก
   “ก็เจ้าแสงสีสินชัยนั่นแหละมือซ้ายขวาเขาล่ะมาบอกให้
  มันทั้งสองไม่ใช่คนธรรมดานี่นาแม่เข็ม  แม่เข็มเองก็รู้ดีอยู่แล้วนี่นา
จะสงสัยอะไรอีกล่ะ”
   คราวนี้แม่เข็มจึงถึงบางอ้อ  พลางหันไปทางลูกชาย
หัวแก้วหัวแหวนทันที กล่าวขึ้นว่า
   “เรื่องนี้ลูกต้องไปเองหรือเปล่าล่ะลูก”

   “คงจะไม่หรอกครับแม่ ผมจะอยู่ที่นี่แหละครับ
 เพียงสั่งให้พวกเด็กไปทำงานกันเท่านั้นครับ”
   “แล้วเด็กของลูกใครหรือ????...”
พลางนึกขึ้นมาได้ที่พ่อเชียรเอ่ยให้ฟังก็หยุดชะงักไปทันที
ไม่เอ่ยต่ออะไรอีก ด้วยลูกชายไม่ได้ไปในการทำงานครั้งนี้ก็พอใจนัก
   “ถ้าแม่ไม่สงสัยอะไรอีก ผมเข้าไปที่ห้องก่อนนะแม่
 เสร็จแล้วจะรีบออกมานั่งคุยด้วย ไม่ช้าเท่าไหร่หรอกครับ”
   “ไปเถอะลูก ทางนี้พ่อกับแม่และน้องๆจะคอยนะ”
พ่อเชียรเอ่ย
         ดังนั้นชายหนุ่มจึงลุกขึ้นเดินเข้าห้องไป  พอเข้าไปถึง
ก็รีบวางแผนการณ์ทันที
แสงสีสินชัยเจ้าพ่วงและเจ้าเริ่ม กำลังดูแผนที่ที่ชายหนุ่มร่างเอาไว้
  ครั้นเมื่อร่างเขาก้าวเข้ามาร่วมด้วย ก็สั่งงานทันที 
   “ ทิศเหนือให้แสงสีไปจัดการ  ให้พวกผีหลอกมันให้ตกใจเสียก่อนแล้ว
ให้เด็กแฝงตัวเอาระเบิดทีเอนทีที่ระเบิดโดยการตั้งเวลาไปวางไว้ที่ลังเก็บของ
ของมันแล้วค่อยออกมา ทางทิศใต้ให้สินชัย 
ทางทิศตะวันออกให้เพิ่มไปทำงานและทาง
ทิศตะวันตกให้เริ่มไปจัดการทำเหมือนกับแสงสีนะ  
ให้บอกพวกผีป่าให้ไปทำการหลอกหลอนพวกที่เฝ้าของไว้
ให้มันตกอกตกใจเสียก่อนด้วย จะได้เกิดการสับสนไม่กังวลด้วยของที่มันเฝ้าไว้
 แล้วให้ตั้งเวลาไว้ให้ตรงๆกันทั้งทุกแห่ง  นำพวกเด็กไปกลุ่มละยี่สิบคน
ก็คงจะเพียงพอแล้วล่ะ พวกเจ้าเข้าใจสงสัยอะไรบ้างล่ะ
หากสงสัยถามมาได้นะ
     อีกอย่างหนึ่งเจ้าก็สั่งให้พวกเด็กๆมันช่วยกำหราบพวกทากกับพวกปลิงให้
แก่ตำรวจด้วยเปิดทางให้เขาเข้าจับกุมพวกเฝ้าไว้ด้วย 
ส่วนของนั้นอาจจะทำลายไม่หมดก็ได้
แต่ควรวางอย่าให้ทำลายให้หมด  ให้เหลือไว้เป็นหลักฐานบ้าง
จะได้เป็นหลักฐานในข้อพิสูจน์ในการจับกุม เพื่อป้องกันการแก้ข้อกล่าวหาไว้ 
อีกทั้งรีดพวกเฝ้าให้มันตกใจแล้วเผยตัวการให้หมด ว่ามีใครที่ร่วมมือกันทั้งหมดด้วย
แล้วทำการบันทึกไว้เป็นหลักฐานด้วยนะเพื่อทำสำนวนคดีฟ้องร้องต่อไป”

    “ครับนาย แล้วงานจะเริ่มเมื่อไหร่ล่ะ???....” 
เจ้าแสงสีถามทันที 
     “คงคิดว่าอีกสามวันนั้น  แล้วเป็นคืนเดือนเพ็ญเสียด้วย
พวกหัวหน้ามันก็คงจะมาควบคุมการลำเลียงอยู่ด้วย 
 เพราะงานนี้ทำกลางวันไม่ได้ ข้ารู้มาว่าทางเสี่ยเม้งมันจะรีบระบายงาน
ออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่พวกมันจะทำกันได้  คงจะใช้เวลานานพอควร”
       ชายหนุ่มเอ่ยกับคนทั้งหมดให้รู้ทันที
   “แล้วด้านอาวุธละจะไปเอาที่ไหนล่ะนาย”  สินชัยเอ่ยถามขึ้นบ้าง
   “อาวุธนั้นให้ไปที่บริเวณฝึกไปติดต่อกับคนฝึกชาวบ้าน
พวกเราเก็บรักษาเอาไว้ จะพาให้พวกเราไปเอาเองแหละ
 เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก มีทุกๆอย่างพร้อมมูลอยู่แล้วล่ะ”
ชายหนุ่มชี้แจงให้ทั้งหมดทราบ   ถ้าหากเข้าใจไปพักผ่อนกันได้แล้วล่ะ
 เดี๋ยวข้าต้องออกไปคุยกับพ่อแม่น้องๆก่อน ด้วยรับปากเขาไว้แล้ว
    “ครับนายไปเถอะครับทางนี้ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก
  คงจะเรียบร้อยแหละด้วยไปพร้อมอาวุธครบมือกันทุกๆคน”
  ทั้งสี่เอ่ยพร้อมๆกันแล้วก็พากันจางหายไปเพื่อไปสั่งลูกน้องเพื่อจะทำงาน......

                  *  แก้วประเสริฐ.  * 

qp011.gifCartoon_Animation_08.gifflowers_170.gif692823n68ya60jv9.gif				
10 มกราคม 2554 19:22 น.

* ตำนานป่าหิมพานต์ *

แก้วประเสริฐ

76.gif

                            ป่าหิมพานต์

     ถัดจากเขาสุทัสสนะ หรือติดเขาสุทัสสนะ จะเป็นป่าหิมพานต์ ซึ่งป่าหิมพานต์ เป็นรอยต่อแห่งมิติ ส่วนหนึ่งของป่าหิมพานต์เป็นแดนทิพย์ ส่วนหนึ่งเป็นแดนมนุษย์ และส่วนหนึ่งเป็นแดนรอยต่อระหว่างโลกทิพย์กับโลกมนุษย์ 

     ในป่าหิมพานต์ จึงมีพืชพันธุ์แปลกๆ มากมาย สัตว์พันธุ์แปลกๆ มากมาย ทั้งสัตว์กึ่งเทพ สัตว์กายสิทธิ์ ก็อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ นี่เอง 

     ป่าหิมพานต์ ความจริงเป็นภูเขา เรียกว่าภูเขาหิมพานต์ หรือ หิมวันตบรรพต เมื่อมองลักษณะรูปร่างแล้ว เรียกภูเขาหิมพานต์ แต่เมื่อมองในลักษณะมีต้นไม้มากแล้ว ก็คือป่าหิมพานต์

     เขาหิมพานต์ ยังประกอบด้วยยอดเขาย่อยๆ อีกมากมาย 
     เขาหิมพานต์ มีสระสำคัญๆ อยู่ ๗ สระ คือ 

     ๑. สระอโนดาต  
     ๒. สระกรรณมุณฑะ 
     ๓. สระรถการะ  
     ๔. สระฉัททันต์ 
     ๕. สระกุณาละ  
     ๖. สระมันทากินี 
     ๗. สระสีหปปาตะ 
     สระอโนดาต เป็นสระที่ได้ยินชื่อบ่อยที่สุด ธารน้ำทั้งหลาย ย่อมไหลลงมาที่สระอโนดาต พื้นสระอโนดาต เป็นแผ่นหินกายสิทธิ์ ชื่อมโนศิลา บริเวณที่เป็นดิน ก็เป็นดินกายสิทธิ์ชื่อหรดาล (ใช้ถูตัวได้ดี) น้ำใสแจ๋วสะอาด ท่าอาบน้ำ มีมากมาย เป็นที่สรงสนานแห่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย รวมถึงเหล่าผู้วิเศษผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย เช่น ฤๅษี วิทยาธร ยักษ์ นาค เทวดา เป็นต้น  
รอบสระอโนดาต มียอดเขารายรอบอยู่ ๕ ยอดเขาได้แก่ 

     ยอดเขาสุทัสสนะ (สุทัสสนกูฏ)
     ยอดเขาจิตตะ (จิตรกูฎ )
     ยอดเขากาฬะ (กาฬกูฎ) 
     ยอดเขาคันธมาทน์ (คันธมาทนกูฏ) 
     ยอดเขาไกรลาส  (ไกรลาสกูฏ) 

     ยอดเขาสุทัสสนะ เป็นทองคำ รูปทรงโค้งตามแนวสระอโนดาต และปลายยอดเขา มีสัณฐานโค้งงุ้มดังปากกา โอบปิดด้านบนสระอโนดาตไว้ ไม่ให้โดนแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ตรงๆ 

     ยอดเขาจิตตะ เป็นรัตนะ รูปทรงคล้ายยอดเขาสุทัสสนะ

     ยอดเขากาฬะ  เป็นแร่พลวง หินแห่งยอดเขาสีนีล รูปทรงคล้ายยอดเขาสุทัสสนะ 

     ยอดเขาคันธมาทน์ รูปทรงคล้ายยอดเขาสุทัสสนะ ด้านบนยอดเขา เป็นพื้นราบเรียบ (เหมือนภูกระดึง) อุดมไปด้วยไม้หอมนานาพันธุ์  ทั้งไม้รากหอม  ไม้แก่นหอม  ไม้กระพี้หอม  ไม้เปลือกหอม  ไม้สะเก็ดหอม ไม้รสหอม  ไม้ใบหอม  ไม้ดอกหอม  ไม้ผลหอม  ไม้ลำต้นหอม  ทั้งยังอุดมไปด้วย ไม้อันเป็นโอสถนานาประการ  ในวันอุโบสถ(วันพระ) ข้างแรม ยอดเขานี้จะเรืองแสงเหมือนถ่านไฟคุ ข้างขึ้น แสงยิ่งเปล่งรัศมีโชติช่วงกว่าเดิม... ภายในเขาคันธมาทน์ มีถ้ำบนยอดเขาชื่อว่าถ้ำนันทมูล เป็นที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ประกอบไปด้วยถ้ำทอง ถ้ำแก้ว และถ้ำเงิน 
     ยอดเขาไกรลาส เป็นภูเขาเงิน  รูปทรงคล้ายยอดเขาสุทัสสนะ วิมานฉิมพลีแห่งพญาครุฑ ก็อยู่ที่เขาไกรลาสนี้ 

     ยอดเขาทั้ง๕ ตั้งตระหง่านรายล้อมสระอโนดาตไว้ และมีเทวดารวมถึงนาค เป็นผู้ดูแลรักษา ธารน้ำทั้งหลาย จากเขาหิมพานต์ ทุกสารทิศ จะไหลมาผ่านยอดเขา๕ลูกนี้ (ลูกใดลูกหนึ่ง) จากนั้น ก็จะไหลรวมลงสู่สระอโนดาต 
(เหตุที่ได้ชื่อว่าอโนดาต ก็เพราะ มีเงื้อมผาโค้งงุ้มดังปากกา โอบบังแสงไว้ด้านบน ทำให้แสงอาทิตย์และแสงจันทร์ ไม่สามารถส่องผ่านไปโดนน้ำตรงๆ ได้ แสงเพียงลอดเข้าด้านข้าง ในแนวเหนือใต้ ตรงระหว่างรอยต่อยอดเขากับยอดเขา เท่านั้น สระนี้ จึงได้ชื่อว่า “อโนดาต”...แปลว่า ไม่ถูกแสงส่องให้ร้อน..)
     จากสระอโนดาต... จะมีปากทางให้น้ำไหลระบายออกอยู่สี่แห่ง ทิศละแห่ง คือ 

     สีหมุข... ปากแม่น้ำแดนราชสีห์ (เป็นถิ่นที่ราชสีห์อาศัยอยู่มาก)
     หัตถีมุข... ปากแม่น้ำแดนช้าง (เป็นถิ่นที่ช้างอาศัยอยู่มาก) 
     อัสสมุข... ปากแม่น้ำแดนม้า (เป็นถิ่นที่ม้าอาศัยอยู่มาก) 
     อุสภมุข... ปากแม่น้ำแดนโคอุสภะ (เป็นถิ่นที่โคอาศัยอยู่มาก) 

เกิดเป็นแม่น้ำใหญ่สี่สาย ไหลล่อเลี้ยงรอบนอกของเขาหิมพานต์ ก่อนลงสู่มหาสมุทร...

     ด้านทิศตะวันออก จากสระอโนดาต เลี้ยวขวาสระอโนดาตสามเลี้ยว  ไม่ข้องแวะกับแม่น้ำอีกสามสาย  ไหลผ่านถิ่นอมนุษย์ทางภูเขาหิมพานต์ ด้านทิศตะวันออก  ลงสู่มหาสมุทร  

     ด้านทิศตะวันตก จากสระอโนดาต เลี้ยวขวาสระอโนดาตสามเลี้ยว  ไม่ข้องแวะกับแม่น้ำอีกสามสาย  ไหลผ่านถิ่นอมนุษย์ทางภูเขาหิมพานต์ ด้านทิศตะวันตก  ลงสู่มหาสมุทร  

     ด้านทิศเหนือ จากสระอโนดาต เลี้ยวขวาสระอโนดาตสามเลี้ยว  ไม่ข้องแวะกับแม่น้ำอีกสามสาย  ไหลผ่านถิ่นอมนุษย์ทางภูเขาหิมพานต์ ด้านทิศเหนือ  ลงสู่มหาสมุทร  
(ที่แม่น้ำทุกสาย ไหลวนรอบสระอโนดาตเหมือนกัน แต่ไม่ข้องแวะกัน เพราะ ไหลลอดอุโมงค์หิน ไหลลอดภูเขา ออกไป)

     ด้านทิศใต้ จากสระอโนดาต เลี้ยวขวาสระอโนดาตสามเลี้ยว  แล้วไหลตรงไปทางใต้ประมาณ ๖๐ โยชน์  โผล่ออกมาใต้แผ่นหิน ตรงบริเวณหน้าผา กลายเป็นน้ำตกสูงใหญ่ยิ่ง ความสูงสายน้ำตกประมาณ ๖๐ โยชน์ สายน้ำตกอันรุนแรงนั้น ตกกระทบแผ่นหินเบื้องล่าง จนหินแตกกระจายออก  ในที่สุดกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ รองรับสายน้ำตกนั้น  แอ่งน้ำนี้มีชื่อเรียกว่า “ติยัคคฬา”  เมื่อน้ำมากขึ้น ได้พังทำลายหินอันโอบล้อมอยู่ออกไปได้ทางหนึ่ง เจาะกระแทกหินที่ไม่แข็ง เป็นอุโมงค์ ไหลไป จนถึงส่วนที่เป็นดิน ก็เจาะทะลุดิน เป็นอุโมงค์ และไหลลอดตามอุโมงค์ดินนั้นไป  จนถึงภูเขาหินขวางอยู่ (ติรัจฉานบรรพต=ภูเขาขวาง) ภูเขานี้เรียกว่า วิชฌะ เมื่อน้ำกระทบหินเข้า ก็ไปต่อไม่ได้โดยง่าย แรงน้ำได้ดันจุดที่อ่อนแอที่สุดออกไปได้ ๕ จุด เกิดเป็นทางแยก ๕ แยก และกลายเป็นต้นน้ำสำคัญแห่งมนุษย์ ๕ สาย ด้วยกัน คือ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำอจิรวดี แม่น้ำสรภู แม่น้ำมหิ และแม่น้ำทั้ง๕ นี้ นอกจากผู้ตาทิพย์แล้ว ไม่มีใครบอกได้ว่า ของจริงอยู่ที่ไหน ...

              ***********************************
อีกหนึ่งตำนานกล่าวไว้เช่นเดียวกันว่า

      ตาม ตำนานกล่าวไว้ว่าป่า หิมพานต์ตั้งอยู่บนเขา หิมพานต์ หรือหิมาลายา (หิมาลัย) คำว่า “หิมาลายา” นั้นเป็นคำที่ มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตซึ่งแปลว่าสถาน ที่ๆ ถูกปกคลุมด้วยหิมะ ภูเขาหิมพานต์ประดิษฐานอยู่ในชมพูทวีปมีเนื้อที่ ประมาณ ๓,๐๐๐ โยชน์ (๑ โยชน์ เท่ากับ ๑๐ ไมล์ หรือ ๑๖ กิโลเมตร) วัดโดยรอบได้ ๙,๐๐๐ โยชน์ ประดับด้วยยอด ๘๔,๐๐๐ ยอด มีสระใหญ่ ๗ สระคือ ๑ สระอโนดาต ๒ สระกัณณมุณฑะ ๓ สระรถการะ ๔ สระฉัททันตะ ๕ สระกุณาละ ๖ สระมัณฑากิณี ๗ สระสีหัปปาตะ บรรดาสระใหญ่ทั้ง ๗ นั้น สระอโนดาตแวดล้อมไปด้วยภูเขาทั้ง ๕ ที่จัดเป็นยอดเขาหิมพานต์ ยอดเขาทุกยอด มีส่วนสูงและสัณฐาน ๒๐๐ โยชน์ กว้างและยาวได้ ๕๐ โยชน์ ในป่านี้เต็มไปด้วย สัตว์นานาชนิด ซึ่งล้วนแต่แปลกประหลาด ต่างจากสัตว์ที่เราๆรู้จัก บ้างก็ว่า สัตว์เหล่านี้เกิดจากจินตนาการของ จิตรกร ที่ได้สรรค์สร้าง ภาพต่างๆจาก เอกสาร
    
   สัตว์ประเภทกิเลน
   
   แม้ ว่ากิเลนจะได้รับอิทธิพลจากประเทศจีน วัดหลายแห่ง ในไทยก็มี กิเลนเช่นกัน แบบฉบับของกิเลนไทย แตกต่างจากแบบจีนบ้าง โดยปกติแล้ว กิเลนไทยมีเขา ๒ เขา และมีกีบคู่ ต่างจากแบบดั้งเดิม
    
   
   สัตว์ประเภทกวาง
   
   มารีศ เป็นหนึ่งในตัวละครยักษ์ในเรื่องรามายนะ (รามเกียรติ์)
   
   . มารีศเป็นบุตรของนางยักษ์ชื่อ กากนาสูร และเป็นญาติของทศกัณฑ์ (ตัวร้ายหลักของเรื่อง) ในเรื่อง ทศกัณฑ์ต้องการจับตัวนางสีดา จึงสั่งให้มารีศให้จำแลงกาย เป็นกวางทองไปล่อนาง แผนนี้เกือบสำเร็จลุล่วง แต่ท้ายที่สุด มารีศก็โดนพระรามแผลงศรใส่ ในรูปวาดมารีศจึงเป็นรูปสัตว์ประหลาด กึ่งยักษ์กึ่งกวาง
   
    
   
   พานรมฤคมีร่างท่อนบนเป็นลิงและมีกายท่อนล่างเป็นกวาง
    
   
   สัตว์ประเภทสิงห์
   
   บัณฑุ ราชสีห์ เป็น ๑ ใน ๔ ราชสีห์แห่งป่าหิมพานต์ บัณฑุราชสีห์มีผิวกายสีเหลืองและ เป็นสัตว์กินเนื้อ บัณฑุราชสีห์จัดได้ว่าเป็นสัตว์นักล่าขนาดใหญ่สัตว์ ที่ถูกล่า มีตั้งแต่สัตว์ประเภทกวาง ควาย ช้าง หรือแม้แต่มนุษย์ ในเอกสารที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับป่าหิมพานต์ระบุว่า มี ร่างกาย เหมือนสีใบไม้เหลืองและใหญ่เท่ากับวัวหนุ่ม
    
   ไกรสรปักษาเป็นสัตว์ผสมระหว่างสิงห์กับนก
   
   . ตามรูปโบราณ ไกรสรปักษามีกายสีเขียวอ่อน หัวเป็นเหมือนพญาอินทรี ตัวเป็นดั่งราชสีห์แต่มีเกล็ดคลุม นอกจากนั้นยังมีปีกเหมือนนกอีกด้วย
    
   เหม ราชตามชื่อของสัตว์ชนิดนี้ เหมราชเป็นสัตว์ผสมที่มีร่างเป็นสิงห์ ส่วนหัวเป็นเหม เหมเป็นสัตว์ในวรรณคดีไทยชนิดหนึ่ง บ้างก็ว่ามีลักษณะเหมือนหงส์(ห่าน) แต่ในบางรูป ก็วาดเหมเหมือนสัตว์ตระกูลจระเข้
   
    
   
   สัตว์ประเภทม้า
   
   ดุรงค์ไกรสรมีลักษณะคล้ายกับโตเทพอัสดรกล่าวคือทั้งคู่ เป็นสัตว์ผสมระหว่าง
   สิงห์กับม้า
   
   ตาม ตำนาน ดุรงค์ไกรสรมีกายเป็นม้าสีแดง มีหางสีดำ กีบสีดำเหมือนม้า ส่วนหัวเป็นสิงฆืที่มีลักษณะสง่า ชื่อ “ดุรงค์ไกรสร” มาจากคำบาลีโบราณ ๒ คำคือ “ดุรงค์” ซึ่งคือสายพันธุ์หนึ่งของม้า และคำว่า “ไกรสร” ซึ่งก็คือสิงห็นั่นเอง .
   
   ดุรงค์ไกรสรเป็นสัตว์กินเนื้อเป็น อาหาร อาหารที่กิน ก็คือสัตว์นานาชนิดในป่าหิมพานต์ ไม่ว่าจะเป็นกวาง หรือวัวควาย ลักษณะเด่นของดุรงค์ไกรสรคือ สามารถวิ่งได้เร็วดุจม้าและ มีความแข็งแรงอย่างสิงห์
   
    
   โต เทพอัสดร เป็นสัตว์หิมพานต์แบบผสมระหว่างสิงโตกับม้า มีลักษณะทั่วไปเหมือนดุรงค์ไกรสรกล่าว คือมีหัวเป็นสิงโต และมีร่างเป็นม้า แต่เมื่อพิจารณาลึกๆแล้วมีความแตกต่างจาก ดุรงค์ไกรสร โดยโตเทพอัสดรมีร่างกายเป็นม้าสีแสด หางและกีบสีแดงชาด หัวเป็นสิงโต คอ หลังและขนสร้อยคอสีเขียว คำว่า “อัสดร” มาจากภาษาสันสกฤต “อสฺสตร” หมายถึง ม้าดี หรือสัตว์ผสมที่เกิดจากพ่อที่เป็นลา และแม่ที่เป็นม้า โตเทพอัสดรเป็นสัตว์ล่าเนื้อเป็นอาหารเช่นเดียวกับ ดุรงค์ไกรสร สัตว์ที่เป็นเหยื่อของโตเทพอัสดรมีตั้งแต่ สัตว์เล็กสัตว์น้อย จนไปถึงสัตว์ขนาดใหญ่ ในป่าหิมพานต์เช่นกวาง วัว ควาย
    
   
   สัตว์ประเภทแรด
   
   “ระมาด” ในภาษาเขมรแปลว่าแรด ระมาดเป็นสัตว์หิมพานต์ที่ มาจากสัตว์ที่มีตัวตนอยู่จริง แต่อาจจะเพี้ยนไปบ้าง เพราะระมาด หรือแรดเป็นสัตว์ ป่าหายาก ศิลปินไทยในสมัยโบราณไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว ระมาดหน้าตาเป็นอย่างไร จึงได้แต่วาดตามคำอธิบาย ระมาดที่ปรากฎในศิลปะไทยจึงดูคล้ายกับตัวสมเสร็จ ซึ่งมีจมูกเป็นงวงสั้นๆ ดูน่าจะเป็นพันธุ์ Malayan Tapir ที่มีอยู่ในเขตตะวันตกของประเทศไทย
   
    
   
   สัตว์ประเภทช้าง
   
   ใน เรื่องรามายณะและ ความเชื่อของศาสนาฮินดู กล่าวถึงพระอินทร์มีร่างสีเขียว มีพาหนะเป็นช้าง ๓ เชือก เชือกหนึ่งพระศิวะเป็นผู้ประทานให้ชื่อว่า เอราวัณ เชือกหนึ่งพระพรหมป็นผู้ประทานให้ชื่อว่า คีรีเมขล์ไตรดายุค และอีกเชือกหนึ่งพระวิษณุเป็นผู้ ประทานให้ชื่อว่า เอกทันต์ ช้างเอราวัณเป็นช้างที่มีพละกำลังมากที่สุดในหมู่ ช้างทั้ง ๓ เชือก และเป็นที่โปรดปรานมากที่สุด ของพระอินทร์ เชื่อกันว่าช้างเชือกนี้เป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง เมื่อพระอินทร์ต้องการจะเสด็จ ไปไหนเอราวัณเทพบุตร ก็จะแปลงกายเป็นช้างเผือก ขนาดสูงกว่าภูเขาเอเวอร์เรสต์ มี ๓๓ เศียร แต่ละเศียรมีงา ๗ งา งาแต่ละงายาวถึง ๔ ล้านวา
   
   งาแต่ละงามีสระบัว ๗ สระ แต่ละสระมีดอกบัว ๗ ดอก แต่ละดอกมีกลีบ ๗ กลีบ มี ๗ เกสร แต่ละเกสรมีปราสาทอยู่ ๗ หลัง ปราสาทแต่ละหลังมี ๗ ชั้น แต่ละชั้นมี ๗ ห้อง แต่ละห้องมี ๗ บัลลังค์ แต่ละบัลลังค์มีเทพธิดาสถิต ๗ องค์ เทพธิดาแต่ละองค์มีบริวาร องค์ละ ๗ นาง เทพธิดาบริวารแต่ ละนางมีนางทาสีนางละ ๗ ทาสี รวมทั้งนางเทพอัปสรทั้งหมดประ มาณ ๑๙๐,๒๔๘,๔๓๓ นาง เทพธิดา บริวารรวมกันทั้งหมดประมาณ ๑๓,๓๓๑,๖๖๙,๐๓๑ นาง เศียรทั้ง ๓๓ ของช้างเอราวัณมีอุเปนทเทพยดา สถิตเศียรละ ๑ องค์ โดยปกติศิลปินไทยมักจะทำช้าง เอราวัณ เป็นช้าง ๓ เศียร
   
    
   
   คน ทั่วไป มักจำวารีกุญชรสลับกับกุญชรวารี เพราะสัตว์หิมพานต์ทั้ง ๒ ชนิดนี้มีรากศัพท์มาจากคำ บาลี ๒ คำที่เหมือนกัน เพียงแต่คำเรียงลำดับสลับกัน เท่านั้น รากศัพท์ทั้ง ๒ ที่กล่าวถึงคือคำว่า “วารี” มีความหมายตามตัวว่าน้ำ โดยปกติจะใช้แทนน้ำทะเล และคำว่า “กุญชร” ซึ่งแปลว่าช้าง สัตว์ทั้ง ๒ ชนิดนี้เป็นสัตว์ประสม ระหว่างช้างกับปลา เราสามารถแยกแยะระหว่าง วารีกุญชรและกุญชรวารีได้ค่อนข้างง่าย โดยที่วารีกุญชรนั้นมีร่างกายเกือบทั้ง ตัวเป็นช้าง จะมีก็แต่อวัยวะบางส่วนที่กลายมาจาก สัตว์ประเภทปลาเช่น ครีบบนแผ่นหลัง ครีบเท้า และครีบหาง ส่วนกุญชรวารีนั้น มีช่วงตัวท่อนแรกเป็นช้าง ช่วงหลัง เป็นปลา กล่าวคือกุญชรวารี มีเท้าเพียง ๒ ข้าง ลำตัวและหางเป็นปลาหมด สัตว์ทั้ง ๒ มีถิ่นอาศัยอยู่ในทะเล สามารถว่ายและดำ น้ำได้ดีเยี่ยม
   
    
   
   สัตว์ประเภทวัวควาย
   
   มี ยักษ์อยู่ตนหนึ่งชื่อ "นนทกาล" มีหน้าที่เป็นยามเฝ้าประตูวังสวรรค์ ของพระศิวะ (เขาไกรลาส) ยักษ์ตนนี้ได้ทำผิดกฏ โดยการปลุกปล้ำนางฟ้านาม "มาลี" นางฟ้าได้นำเรื่องทูล ต่อองค์ศิวะเจ้า พระศิวะทรงกริ้วจึงสาป ให้ยักษ์ไปเกิดเป็น
   ควาย มีนามว่า "ทรพา" และจะต้องถูกสังหารโดยลูกของตัวเอง ผู้มีชื่อว่า "ทรพี" หลังจากนั้นถูกจะพ้นคำสาป
    
   นนท กาลเกิดเป็นควายหลายเมีย มันจะฆ่าลูกชายที่จะเกิดทุกตัว เมียทรพาตัวหนึ่ง หนีไปและได้คลอดลูกที่อื่น ควายตัวนี้ ได้รับการเลี้ยงดูโดยเทวดา เทวดาได้ตั้งชื่อควายตัวนี้ว่า "ทรพี" ทุกวันทรพีจะวัดขนาดกีบของมันกับของพ่อ เมื่อใหญ่เท่ากันจึงถือว่าพร้อมที่จะสู้ ท้ายสุดทรพาก็ถูกลูกของตนฆ่าตาย
   
   สำนวนไทย คำว่า "ทรพี" หมายถึงคนที่ไม่รู้จักคุณบิดามารดา 

   กบิลปักษาเป็นสัตว์ประหลาดกึ่งนกกึ่งลิง โดยมีปีกนกติดอยู่ที่หัวไหล่ และ มีหางเหมือนนก โดยปกติระบายสีกายเป็นสีดำ
      สัตว์ประเภทลิง
   
   มัจฉา นุเป็นสัตว์ที่มีกายเป็นลิงมีหางเป็นปลา มัจฉานุเป็นตัวละครหนึ่งในเรื่องรามเกียรติ์ เป็นบุตรของตัวละครหลัก หนุมาน กับนางเงือกชื่อ นางสุวรรณมัจฉา
   
    
   
   สัตว์ประเภทนก
   
   คชปักษา เป็นลักษณะของนกผสม มีตัวและแขนคล้ายครุฑ ท่อนล่างเป็นนกคล้ายหงส์ หางเป็นกนก มีจมูกเป็นงวงและงาเหมือนช้าง
    
   ครุฑ เป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง สามารถบินได้รวดเร็ว ทั้งยังมีสติปัญญาเฉียบแหลม เฉลียวฉลาด อ่อนน้อม ถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ น่าสรรเสริญ

   สัตว์ประเภทปลา
   
   ศฤงคมัส ยา เป็นปลาศักดิ์สิทธิ ที่เชื่อกันว่าเป็นภาคอวตารของพระนารายณ์ หน้าที่หลักของปลาชนิดนี้คือชักเรือลากไปใต้น้ำในคราวที่น้ำท่วมโลก
    
   มัจ ฉวาฬ สัตว์หิมพานต์ชนิดนี้เกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดของคนโบราณที่ได้พบเห็นวาฬของ จริงจะเห็นได้ว่ามีการแต่งเติมฟันที่แหลมคมเข้าไปด้วย
    
   
   สัตว์ประเภทจระเข้
   
   เป็นสัตว์ผสมระหว่างเทพกับจระเข้
   มีลักษณะตัวเป็นเทพ ท่อนล่างเป็นจระเข้
   มีหาง มือถือดาบ
    
   เหรา นั้นเป็นสัตว์กึ่งนาคกึ่งจรเข้
    
   
   สัตว์ประเภทนาค
   
   นาค หรือ พญานาค งูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาล
   นาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ บางแห่งก็ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้า
    
   
   สัตว์ประเภทมนุษย์
   
   คนธรรพ์ เป็นชาวสวรรค์จำพวกหนึ่ง ตามคติลัทธิ
   ศาสนาฮินดู
   ว่า มีกำเนิดจากพระพรหม แต่บางทีก็ว่าเป็นโอรสพระกัตยปฤษี ตามปกติพวกคนธรรพ์มีบ้านเมืองของตนเองอยู่ระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ และกล่าวว่าเป็นพวกมีนิสัยเป็นเจ้าชู้ มีเสน่ห์ทำให้ผู้หญิงหลงรัก

นารีผล หรือมักกะลีผล หรือมัคคะลีผล เป็นพืชวิเศษชนิดหนึ่ง เกิดอยู่ในป่าหิมพานต์ ว่ากันว่า นารีผล ขั้วลูกอยู่ด้านบนศีรษะ มีรูปร่างเป็นหญิง ผลสด รูปร่างสะโอดสะอง สมส่วน ผิวพรรณงดงาม ปานเทพธิดา
   
   ว่ากันว่า บางครั้ง ฤๅษีที่บำเพ็ญเพียรจนตบะกล้า กิเลสสงบรำงับ เพื่อจะทดสอบจิตตน ก็จะเหาะไปที่ต้นนารีผล มองดูนารีผล ว่าตนจะตบะแตกหรือไม่... หรือบางครั้งฤๅษีผู้เป็นอาจารย์ อาจจะพาลูกศิษย์ไปทดสอบระดับจิต ไปฝึกควบคุมจิต ที่นั่น ก็มี และว่ากันว่า พวกนักสิทธิ์วิทยาธร มักจะเหาะไปเก็บนารีผล อุ้มมาเชยชมแล้ว ฝึกจิตใหม่ ค่อยเหาะกลับออกมา นารีผล เป็นที่ต้องการของสัตว์วิเศษ (คนธรรพ์เป็นต้น) รวมถึงวิทยาธรทั้งหลายผู้ยังไม่หมดกามราคะ ดังนั้น การที่นารีผลจะเหี่ยวแห้งคาต้นแล้วร่วงหล่นนั้น เป็นไปได้ยาก ก่อนจะโรยรา จะมีเทวดา สัตว์วิเศษ และวิทยาธร เป็นต้นมาเก็บเอาไป
   
      ขอ ขอบคุณข้อมูลความรู้จาก นายช่วง สเลลานนท์ ประพันธ์หนังสือ “ศิลปไทย” ในปีพ.ศ. ๒๔๙๔ และได้มีการกล่าวถึงสัตว์หิมพานต์ ท่านได้จำแนกสัตว์หิมพานต์เป็น ๓ ประเภทคือ สัตว์ทวิบาท (สองขา) สัตว์จตุบาท (สี่ขา) และ ประเภทปลา

อีกตำนานหนึ่งก็กล่าวบอกถึงลักษณะสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์

             *********************************

อีกตำนานหนึ่งกล่าวถึงประเภทสัตว์ในป่าหิมพานต์เอาไว้

"ป่า หิมพานต์" ตามตำนานกล่าวไว้ว่า ป่าหิมพานต์ตั้งอยู่บนเขาหิมพานต์ หรือหิมาลายา (หิมาลัย) คำว่า หิมาลายา นั้นเป็นคำที่ มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตซึ่งแปลว่าสถาน ที่ๆ ถูกปกคลุมด้วยหิมะ ภูเขาหิมพานต์ประดิษฐานอยู่ในชมพูทวีปมีเนื้อที่ ประมาณ ๓,๐๐๐ โยชน์ (๑ โยชน์ เท่ากับ ๑๐ ไมล์ หรือ ๑๖ กิโลเมตร) วัดโดยรอบได้ ๙,๐๐๐ โยชน์ ประดับด้วยยอด ๘๔,๐๐๐ ยอด มีสระใหญ่ ๗ สระคือ ๑ สระอโนดาต ๒ สระกัณณมุณฑะ ๓ สระรถการะ ๔ สระฉัททันตะ ๕ สระกุณาละ ๖ สระมัณฑากิณี ๗ สระสีหัปปาตะ บรรดาสระใหญ่ทั้ง ๗ นั้น สระอโนดาตแวดล้อมไปด้วยภูเขาทั้ง ๕ ที่จัดเป็นยอดเขาหิมพานต์ ยอดเขาทุกยอด มีส่วนสูงและสัณฐาน ๒๐๐ โยชน์ กว้างและยาวได้ ๕๐ โยชน์
ในป่านี้เต็มไปด้วย สัตว์นานาชนิด ซึ่งล้วนแต่แปลกประหลาด ต่างจากสัตว์ที่เรารู้จัก เราได้จำแนกสัตว์หิมพานต์เป็น ๑๕ ประเภทดังนี้ 
+ สัตว์ประเภทกิเลน 
- กิเลนจีน
- กิเลนไทย
- กิเลนปีก

+ สัตว์ประเภทกวาง
- มารีศ
- พานรมฤค
- อัปสรสีหะ 

+ สัตว์ประเภทสิงห์
- บัณฑุราชสีห์
- กาฬสีหะ
- ไกรสรราชสีห์ 
- ติณสีหะ
- เกสรสิงห์
- เหมราช
- คชสีห์
- ไกรสรจำแลง
- ไกรสรคาวี 
- ไกรสรนาคา 
- ไกรสรปักษา
- โลโต
- พยัคฆ์ไกรสร
- สางแปรง
- สกุณไกรสร
- สิงฆ์
- สิงหคาวี
- สิงหคักคา
- สิงหพานร
- สิงโตจีน
- สีหรามังกร
- เทพนรสีห์ 
- ฑิชากรจตุบท
- โต
- โตเทพสิงฆนัต
- ทักทอ

+ สัตว์ประเภทม้า
- ดุรงค์ไกรสร
- ดุรงค์ปักษิณ
- เหมราอัสดร
- ม้า
- ม้าปีก
- งายไส
- สินธพกุญชร
- สินธกนธี
- โตเทพอัสดร
- อัสดรเหรา
- อัสดรวิหค

+ สัตว์ประเภทแรด

+ สัตว์ประเภทช้าง
- เอราวัณ
- กรินทร์ปักษา
- วารีกุญชร
- ช้างเผือก

+ สัตว์ประเภทวัวควาย 
- มังกรวิหค
- ทรพี / ทรพา 

+ สัตว์ประเภทลิง
- กบิลปักษา
- มัจฉานุ

+ สัตว์ประเภทสุนัข

+ สัตว์ประเภทนก
- อสูรปักษา
- อสุรวายุพักตร์
- ไก่ 
- นกการเวก 
- ครุฑ 
- หงส์ 
- หงส์จีน 
- คชปักษา 
- มยุระคนธรรพ์ 
- มยุระเวนไตย 
- มังกรสกุณี 
- นาคปักษี 
- นาคปักษิณ 
- นกหัสดี 
- นกอินทรี 
- นกเทศ 
- พยัคฆ์เวนไตย 
- นกสดายุ 
- เสือปีก 
- สกุณเหรา 
- สินธุปักษี 
- สีหสุบรรณ 
- สุบรรณเหรา 
- นกสัมพาที 
- เทพกินนร
- เทพกินรี 
- เทพปักษี 
- นกทัณฑิมา 

+ สัตว์ประเภทปลา
- เหมวาริน
- กุญชรวารี
- มัจฉนาคา
- มัจฉวาฬ
- นางเงือก
- ปลาควาย
- ปลาเสือ
- ศฤงคมัสยา

+ สัตว์ประเภทจระเข้
- กุมภีร์นิมิต
- เหรา

+ สัตว์ประเภทปู 

+ สัตว์ประเภทนาค

+ สัตว์ประเภทมนุษย์
- คนธรรพ์
- มะกาลีผล


  ดังนั้นข้าพเจ้่าเอามาลงไว้ให้ท่านได้ไตร่ตรองเอาดูเองเถิดแต่
ข้าพเจ้าอ่านดูแล้ว เห็นว่ามีส่วนคล้ายหรือเหมือนกันทั้งนั้น ซึ่งบาง
ตำนานกล่าวไว้ว่า อันป่าหิมพานต์นี้อยู่ในดินแดนปกครองของท่าน
ท้ายธตรัฐฐะมหาราชในจตุรโลกบาลทั้งสี่ ข้าพเจ้าเองก็ไม่แน่ใจนัก
จึงขอให้ท่านที่ผ่านมาอ่านนี้เรื่องราวเหล่านี้  
     ควรอยู่ในดุลยพินิจของท่านเองเถิด สวัสดีครับ


                       *  แก้วประเสริฐ. *
qp011.gifCartoon_Animation_08.gifflowers_170.gif692823n68ya60jv9.gif				
10 มกราคม 2554 18:03 น.

อทิสมานกาย ๗๑

แก้วประเสริฐ

76.gif
                         อทิสมานกาย ๗๑

   ภายในห้องอาหารของเสี่ยเม้งที่ได้เปิดดำเนินกิจการบังหน้าการค้าขายของ
ที่ผิดกฏหมาย ตลอดจนเครื่องอุปโภค บริโภคหลายๆร้านนั้นภายในจังหวัด  
  ในห้องลับพิเศษที่ได้จัดทำขึ้นไว้นั้น  ได้มีการสนทนาหัวร่อร่วนด้วยเสียง
อันดังแต่ เสี่ยเม้งมิได้กังวลเพราะภายในห้องนี้ทั้งฝาผนังและเพดานปุด้วย
ใยแก้วที่เก็บเสียงไว้  เสียงจึงไม่เล็ดรอดออกมาภายนอกเลย
   ได้ยินเสียงเสี่ยเม้งเอ่ยกลับบรรดาลูกน้องคนสนิท  ที่ควบคุมภายในจังหวัด
แบ่งออกเป็น สี่ด้านไว้หมด อันมี เจ้าเซี๊ยะ เจ้ามุ้ย เจ้าเช้ง และเจ้าสุย ต่างกิน
อาหาร ซึ่งโต๊ะนั้นจัดทำแบบญี่ปุ่น คือเป็นโต๊ะเตี้ยๆสี่เหลี่ยมผืนผ้า วางด้วย
เบาะสำหรับนั่ง  ภายในห้องที่ประตูหน้าห้องมีชายร่างกายทะมึนน่าตาน่ากลัว
ยืนคอยเฝ้ารักษาดูแล ส่วนด้านนอกก็มีชายอีกสองคนเฝ้าดูแลเหมือนกัน
ทั้งหมดนี้เป็นคนคอยคุ้มครองเสี่ยเม้งทำหน้าที่อยู่

      ดังนั้นพวกมันทั้งหมดปล่อยอารมณ์ได้เต็มที่หาได้เกรงกลัวสิ่งใดไม่
 อีกอย่างหนึ่งสี่คนนี้ก็ยังมีคนที่คุ้มครองพวกมัน แต่ไม่ได้เข้ามาเพียงแต่ปะปน
อยู่ในห้องอาหารสั่งอาหารกินกันตามโต๊ะต่างๆ แต่มิได้นั่งรวมพวกกันคอยดู
แลให้ลูกพี่มันอีกทางหนึ่งด้วย
   “เฮ้ยๆๆ!!!....ของที่กูสั่งให้พวกมึงบัดนี้ผ่านมาเกือบเดือนแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
มึงไปตรวจสอบดูหรือเปล่าว๊ะ???...”
   “เรื่องนั้นเสี่ยไม่ต้องห่วงหรอก เพราะถึงจะเป็นของเสี่ยก็ตามทีแต่ข้าก็มีส่วน
ในผลประโยชน์อยู่ด้วยจะมีหรือที่จะไม่เอาใจใส่มันด้วย”
   เสียงไอ้เซี๊ยะ กล่าวตอบ
   “เมื่อวานนี้ข้าเองก็ไปตรวจดูเหมือนกันเสี่ย ทุกอย่างเรียบร้อยหมดไม่มีอะไร
เสียหายเลยล่ะ???...”  ไอ้สุยก็เอ่ยบ้าง
   “แล้วไอ้มุ้ย กับไอ้เช้งล่ะ????....มึงไปดูหรือเปล่าล่ะ”...
เสี่ยเม้งหันไปถามมันทั้งสอง ที่มัวแต่นั่งกินอาหารเคี้ยวปากคอตุ่ยๆอยู่
   “ข้าไปตรวจมาเมื่อวานเหมือนกันเสี่ยเรียบร้อยดีไม่ต้องห่วงหรอกเสี่ย”
   “เมื่อวานซืนข้าก็ไปดูเหมือนกันปกติเสี่ย”
    ไอ้มุ้ยกับไอ้เช้งตอบเพื่อให้เสี่ยสบายใจ

   “ไอ้ห่าไอ้มุ้ย กูเอายาที่มึงซื้อมาจากพวกกระเหรี่ยงไปให้พวกมันช่วยจำแนกดู
ว่ามีอะไรมั่ง มันตอบกูว่า เป็นยาฉุนกับปูนแดงกับน้ำฝิ่นผสมอีกเท่านั้นนี่นา
ทำไมมันถึงขายแพงนักว๊ะ กูชักสงสัยว๊ะ”
   “ข้าจะไปรู้หรือก็ไอ้เซี๊ยะไอ้เช้งและไอ้สุยมันต่างไปหามาให้นี่นา  ด้วยข้าไปบอก
ว่าทางที่จะเก็บของนั้นต้องฝ่าดงทากกับพวกปลิงกระโดด มันก็เอามาให้ข้าเอง
และข้าก็ใช้ได้ผลดีเสียด้วย เงินทองนะไม่สำคัญหรอกเสี่ยแต่มันใช้ได้ผลก็แล้วกัน
ข้าเองไม่คิดมาก ที่สำคัญข้าคิดเรื่องของนั้นสำคัญมากกว่าเสี่ย  และอีกอย่างหนึ่งมัน
พวกนั้นจะได้ป้องกันพวกตำรวจได้ดีแทนพวกเราอีกด้วย  ด้วยตำรวจมันคิดไม่ถึง
หรอกว่าแถวนั้นจะมีปลิงทากชุกชุมเสียด้วย หากมันไม่มียานี้ยากจะเข้าไปได้นะเสี่ย
แล้วหากมันเข้าไปจริงๆ  ต้องร้องโวยวาย จะทำให้พวกข้าที่รักษาของไว้จะได้รู้ตัว
เสี่ยด้วย หรือว่าเสี่ยจะเสียดายเงินเล็กๆน้อยนี้เสียกระมัง???....”

    ไอ้มุ้ยชี้แจงเหตุผลให้เสี่ยเม้งฟังทันที  ซ้ำยังพูดเป็นนัยๆว่าเสี่ยไม่สปอร์ตเสียอีก
   คำพูดของไอ้มุ้ยทำให้เสี่ยเม้งพูดจาอะไรไม่ออก  ก็จริงของมันพูดไหนของที่เก็บ
ไว้สำคัญมากด้วย และยังมีพวกปลิงและทากมาช่วยเฝ้าให้ด้วยเงินแค่แสนหนึ่งแลก
กับเงินเป็นล้านๆมันคุ้มค่ายิ่งนัก อีกทั้งตัวมันก็เห็นฤทธิ์พวกนี้อยู่    ก็หัวร่อลั่น
   “เออ?????....มึงพูดก็มีเหตุผลดีว๊ะ   แล้วไอ้เซี๊ยะไอ้เช้งไอ้สุยมึงไปได้ยานี้กันได้
อย่างไรล่ะโว้ย???...”
      เสี่ยเม้งหันไปถาม ไอ้เซี๊ยะ ไอ้เช้ง ไอ้สุยเกี่ยวกับเรื่องนี้   เล่นเอาสามพระหน่อ
ถึงกับสดุ้งเฮือกไปตามๆกัน ไอ้เช้ง ไอ้สุยถึงกับอ้าปากค้างทั้งๆที่ของกินมันยังอยู่
ในปากยังไม่หมดเลย  ด้วยปฏิภาณไหวพริบของไอ้เซี๊ยะ จึงแก้ต่างให้พวกทันที
   “ตอนแรกข้าก็ไม่รู้ว่ายามันจะได้ผลเสี่ย  เมื่อข้านำของโดยใช้ไอ้พวกกะเหรี่ยง
มันช่วยขนนะ  ต้องผ่านป่าลึก ข้าถูกทากกับปลิงมันกัดจนเลือดสาดมันแดกเสีย
ตัวโตเบ้อเร่มเชียว  ข้าร้องโวยวายลั่นเชียวล่ะเสี่ย  ไอ้พวกกระเหรี่ยงมันเห็นเข้ามัน
ก็ล้วงเอายานี้มาทาให้ข้ามันได้ผลดีชะงัด เสี่ยก็เคยใช้มาแล้วนี่นา  ข้าก็เลยขอมัน
มาดูแต่ดูไม่ออก  แล้วถามมาว่ามึงได้มาจากไหนกันมันบอกว่าเป็นของสืบทอด
กันมา  ข้าจึงขอซื้อมัน มันขายข้าเม็ดล่ะร้อยยี่สิบบาทเสี่ย  แล้วมันบอกว่าพวก
มันทำยาก ด้วยตัวยาหาลำบากมากๆ  กว่าจะได้มาก็ต้องเดินทางไปไกลๆ
ผ่านข้ามเขามากมายตั้งหลายๆลูกกว่าจะได้ตัวยามา  
     จึงแพงหน่อยเข้าเลยขอซื้อมันด้วยเป็นหัวหน้ามันจะทำเป็นงกก็ใช่ที่จึงได้
ซื้อมันมาติดตัวไว้  ครั้นไอ้มุ้ยมาบอกจึงได้ให้มันไปก็เท่านั้นเอง 
 ต่อมาไอ้มุ้ยมันบอกข้าว่าเสี่ยต้องการให้มันช่วยหา 
 ข้าก็เอาไอ้เช้งไอ้สุยไปเป็นเพื่อน ต่อรองกับมันแทบตายกว่ามันจะลดให้
 มันบอกแก่ข้าเหมือนกันเกี่ยวกับส่วนผสม แต่ก็น่าเห็นใจมันนะเสี่ยมันหายากจริงๆ

ยาฉุนแถบนั้นมันไม่มี มีแต่พวกฝิ่นทั้งนั้น ยิ่งปูนแดงด้วยแล้วหายากมากที่สุดนะ
  เมื่อต่อรองกับพวกมันได้ ให้มันทำให้โดยคิดเม็ดละร้อยบาทขนาดหัวแม่มือ
 ก็น่าเห็นใจมันหรอกมันก็จนเสียด้วย  ข้าเคยไปเยี่ยมพวกมันที่หมู่บ้านมาแล้ว 
     ไหนต้องเดินทางมาในจังหวัดซื้อยาฉุนกับปูนแดงไปจำนวนมากกว่าแล้วมาทำ
จะได้ตัวยาให้เสี่ย ขึ้นเขาลงห้วยหลายๆลูกจึงจะถึงหมู่บ้านมัน ส่วนน้ำยาฝิ่นนั้น
ไม่เป็นปัญหาหรอกเสี่ย มันปลูกและคั้นเอาเองได้  เสี่ยลองนึกซิกว่ามันจะทำยาได้
นั้นต้องเสียเวลาเท่าไหร่ ไหนต้องข้ามเขาเสียหลายลูกและต้องคอยระวัง
ไม่ให้มันถูกน้ำและอากาศหรือก็ชื้นๆ ตอนที่เสี่ยต้องการยานั้นมันก็ช่างลำบากนัก
เพราะเป็นเริ่มปลายฤดูฝนเสียสด้วยังมีฝนพรำๆอีกตลอดทั้งวัน พวกนี้โดนฝนได้
เสียเมื่อไหร่ล่ะ  ยิ่งปูนแดงกินกับหมากด้วยแล้วจะจะละลายหายไปหมด
     มันต้องคอยหาผ้ามาคลุมของที่ใส่บนหลังลาไว้ด้วย ก็น่าเห็นใจนะเสี่ย
ไม่เหมือนพวกเราหรอก ส่วนผสมนั้นขนาดเท่าไหร่มันไม่ได้บอกไว้ว่า
เป็นความลับของตระกูลมัน”
    เมื่อเสี่ยเม้งได้ยินไอ้เซี๊ยะพูดอย่างนี้แล้วก็ถึงกับสั่นหน้าหงึกๆๆ 
 และเห็นจริงตามที่ไอ้เซี๊ยะพูด  จึงเอ่ยอีกว่า
   “ถ้าอย่างนั้นพวกมึงก็ขาดทุนนี่หว่า  พวกมันขายเม็ดละร้อยบาท
แต่มึงก็เอามาให้กูครบหมด  ไหนค่ารถน้ำมันและเดินฝ่าป่าลึกเต็มไปด้วยทากปลิง
ไปหาพวกกระเหรี่ยงอีก ค่าใช้จ่ายก็ไม่เบานะโว้ย???...
   เออๆๆๆขอบใจพวกมึงมากว๊ะที่รักกูไม่คิดค่าใช้จ่ายส่วนตัวพวกำมึง”
   “ก็เพราะพวกข้าคิดถึงคุณของเสี่ยนี่แหละเรื่องเล็กๆน้อยๆจึงไม่ได้คิดอะไรมาก”
ไอ้มุ้ยได้ที เมื่อมันหันไปสบตากับไอ้เซี๊ยะ ไอ้เช้งและไอ้สุย ก็เอ่ยขึ้นแทนในฐานะที่
ตัวมันเอาไปขายให้เสี่ยเอง
   “นับว่ากูใช้คนไม่ผิดหรอกโว้ย  ที่จริงไอ้เงินแค่แสนสองแสนนั้นไม่เท่าไหร่กูกลัว
ว่าจะถูกคิดไม่ซื่อกินเล็กกินน้อยนะมากกว่าว๊ะ  เออๆๆๆไหนๆมึงก็รักและซื่อสัตย์
กู   งั้นเดี๋ยวกูจะแถมพิเศษให้มึงอีกคนละหมื่นว๊ะ อย่าคิดมากคิดว่าค่าเหนื่อยก็แล้วกัน”
    ว่าแล้วมันก็ล้วงกระเป๋ากางเกงควักเงินออกมานับส่งให้ทั้งสี่คนทันที

      เล่นเอาทั้งสี่คนหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มแก้มแทบแตกจากกัน   ทั้งสามคน
ยกเว้นไอ้เซี้ยะ นึกชมเชยไหวพริบของไอ้เซี๊ยะในใจ  ว่ามันฉลาดแก้ไขปัญหา
เหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ แถมยังได้เงินอีกด้วย   ต่างก็พากันหัวร่อดื่มกินอย่างสบายใจ
   “มีลูกพี่ใจสปอร์ตแบบนี้บุญของพวกเรานะโว้ย  เหมือนพ่อพระเชียวเลยะว๊ะ  พวกมึง
เห็นเหมือนกูไหมไอ้เซี๊ยะ ไอ้เช้ง ไอ้สุย”
   ไอ้มุ้ยเอ่ยเอาใจเสี่ยหลังจากมันรับเงินหมื่นจากเสี่ยมาแล้ว
   “จริงๆว๊ะไอ้มุ้ย อย่างนี้ไม่ให้กูรักและซื่อสัตย์กับเสี่ยเม้งได้อย่างไรกันว๊ะ 
ทุกวันนี้พวกเรากินดีอยู่ดีก็เพราะเสี่ยนี้ต่างหาก”
    พวกมันทั้งสามรับเป็นปี่เป็นขลุ่ยกัน  เล่นเอาเสี่ยเม้งหน้าบาน
ถึงกับหัวร่อลั่นมือลูบพุงเบาๆ
   “เรื่องเล็กโว้ยเงินทองแค่นี้อย่าคิดมาก  แดกให้สนุกๆเพราะอีกสองสามวัน
กูได้รับข่าวมาว่าทางกรุงเทพฯกำลังขาดแคลนด้านคู่แข่งหรือก็ไม่มีของด้วย 
 เพราะตำรวจกวดขันมาก   ขนย้ายทีไรถูกจับหมดทุกๆทีว๊ะทำให้ราคาสูงขึ้น  
 เหลือแต่ทางเรานี้แหละที่ยังมีของอีกมากมายเห็นทีต้องโขกราคากัน
สักเท่าสองเท่าว๊ะ”
       เสี่ยเม้งเอ่ยให้พวกๆฟัง  ถึงเหตุการณ์ทางกรุงเทพฯที่ขาดแคลนยาเสพย์ติดมาก
เรื่องของนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดความกระหยิ่มยิ้มย่อง 
ว่าคราวนี้มันจะได้กำไรอย่างมหาศาลทีเดียว ในการออกทะยอยส่งไปในกรุงเทพฯ
   “ฉะนั้นข้านึกถึงของที่พวกมึงเก็บรักษาไว้ เพราะมันเป็นรายได้อย่างมหาศาลอีกด้วย
 แล้วพวกมึงก็จะได้ส่วนแบ่งเพิ่มอีกมากกว่าเดิมมากนักว๊ะ”
     เสี่ยเม้งเอ่ยให้ทั้งสามฟัง

   “เรื่องของไม่ต้องห่วงหรอกเสี่ย คนของข้าล้วนเป็นคนที่คัดและไว้ใจได้ทั้งนั้น
 สองสามวันทีข้าก็ไปตรวจดูเสมอๆแหล่ะเสี่ย”
ทั้งสามเอ่ยให้เสี่ยเม้งฟัง   ทำให้เสี่ยเม้งยิ่งกระหยิ่มในใจขึ้นอีกมาก ด้วยความพึงพอใจ
    ทันใดนั้นคนเฝ้าประตูการ์ดของเสี่ยก็เดินเข้ามากระซิบข้างหูเสี่ยทันที
   เสี่ยพยักหน้าหงึกๆแล้วบอกว่าให้คอยเดี๋ยว  พลางหันไปทางทั้งสี่คนว่า  
   “เฮ้ยกูมีเรื่องสำคัญไม่อยากจะให้เขาพบพวกมึง      เดี่ยวต่อไปงานจะเสียว๊ะ???... 
มึงรีบไปได้แล้วไปทางประตูลับนะโว้ย เดี๋ยวนี้ด้วยเขามาคอยพบกูข้างนอกแล้วล่ะ”
    “ใครหรือเสี่ยสำคัญนักหรือ???.........”
         ไอ้มุ้ยถามด้วยความสงสัย  ตลอดอีกทั้งสามคนก็หันมามองหน้าเสี่ยทันที
    “อ้อๆๆ...สารวัตรฝ่ายปราบปรามและฝ่ายสืบสวนว๊ะ  มึงรีบไปได้แล้ว
กูไม่อยากให้เขาเห็นหน้าพวกมึง  เดี่ยวต่อไปจะเป็นภัยแก่พวกมึงโว้ย!!!!??....”
     พอทั้งสี่คนรู้ว่าเป็นตำรวจก็รีบลุกขึ้นทันที รีบเดินออกไปยังชั้นที่วางของโชว์
ทันใดนั้นเองประตูก็เปิดออกเป็นช่องทางแค่เดินเรียงกันออกไปเท่านั้น
 ทั้งสี่ก็เดินหายลับไปทันทีประตูช่องลับก็ปิดดังเดิม
เสี่ยเม้งก็หันหน้าไปทางการ์ดพลางพยักหน้า หมายถึงว่าให้เชิญแขกมาพบได้ 
    ส่วนอาหารต่างๆนั้นเด็กสาวที่คอยปรนนิบัติอยู่เหมือนรู้หน้าที่รีบเก็บของ
ที่ทั้งสี่กินอยู่เช็ดโต๊ะให้สะอาดรวบรวมไปเก็บยังที่อื่นต่อไป 
  จึงมีเพียงแค่อาหารบางส่วนและถ้วยตะเกียบของเสี่ยเม้งเท่านั้น
   สักครู่หนึ่ง ชายร่างกำยำสองนายก็ก้าวเข้ามา เสี่ยรีบลุกขึ้นยืนเดิน
ออกไปต้อนรับยกมือไหว้แล้วเอ่ยปากชักชวน
   “เชิญครับเชิญสารวัตรทั้งสอง  มีอะไรที่จะให้ผมรับใช้หรือครับ????....
ถึงได้มาถึงที่นี้ด้วยตนเอง”
   “ไม่มีอะไรมากหรอกเสี่ยเพียงจะมาบอกเสี่ยเท่านั้นเองแหละ”

สารวัตรวิเชียรเอ่ยขึ้น
   “ก็เกี่ยวกับเรื่องของกำนันมั่นนั่นแหละเสี่ย ที่เสี่ยให้พวกเราช่วยเหลือ”
สารวัตรอำนวยเสริมขึ้น   
   “แต่เสี่ยก็ต้องทำใจไว้บ้างนะแต่ไม่ต้องห่วงหรอกผมได้ไปติดต่อผู้ใหญ่
ด้วยตนเองแล้ว”
  “ถ้าอย่างนั้นขอเชิญสารวัตรทั้งสองนั่งทานอาหารก่อนนะครับแล้วค่อยเอ่ยก็ได้”
  แล้วหันไปสั่งเด็กๆสาวๆให้รีบไปจัดอาหารที่ดีที่สุดในร้านนี้มาโดยเร็ว 
  เด็กสาวรับคำพลางเดินออกไปทันทีตามที่เสี่ยเม้งสั่ง
   ครั้นสารวัตรทั้งสองนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เสี่ยเม้งก็รินเหล้าผสมเสร็จ
ส่งให้แก่สารวัตรทั้งสอง
   “เรื่องเป็นอย่างไรหรือครับท่านสารวัตร????......”
   สารวัตรทั้งสองยกแก้วเหล้ายกขึ้นดื่มทันที  พลางสารวัตรวิเชียรก็เอ่ยขึ้นว่า
   “ผมส่งเรื่องไปให้ท่านรองผู้กำกับซึ่งรักษาการแทนผู้กำกับนั้น ท่านอ่านแล้ว
ส่งเรื่องมาให้ผมพิจารณาอีกครั้งผมกับคุณอำนวยก็ต้องเข้าไปหา
อธิบายเรื่องต่างๆให้ฟัง  ท่านจึงเห็นชอบด้วยล่ะ  ฉะนั้นเสี่ยไม่ต้องห่วง
หรอกเรื่องนี้  ที่มานี้เพื่อจะให้เสี่ยหรือลูกชายกำนันไปรีบประกันตัวได้แล้วล่ะ
 ก่อนที่เหตุการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปกว่านี้ได้”

    “ถ้าเป็นแบบนี้ต้องขอขอบคุณท่านสารวัตรทั้งสองด้วยนะครับ”
    “ไม่เป็นไรหรอกเสี่ย  นี่ผมก็ทำสุดความสามารถแล้วนะ
ด้วยมีคำสั่งห้ามเยี่ยมห้ามประกันตัวด้วย เมื่อเสี่ยขอร้องมาผมก็หาวิธีการโดย
ผมต้องหาข้ออ้างต่างๆนาๆ  ด้วยท่านรองโดยอ้างเวลาไม่เท่าไหร่
ต้องปลดเกษียณก็ไม่อยากให้ท่านต้องลำบากใจ  ก่อนจะพ้นตำแหน่งไป
มากกว่านี้เท่านั้นเอง จะได้ไม่ต้องมีเรื่องเข้ามามากมายเสี่ย”
   เสี่ยเม้งรับฟังสารวัตรทั้งสองแล้วก็หันหน้ายิ้มรับ 
 แล้วก็หันไปทางการ์ดหน้าห้องพลางเรียกให้เข้ามาแล้วกระซิบ 
 การ์ดพยักหน้ารับทราบคำสั่งแล้วเดินไปบอกอีกคนหนึ่ง ตัวมันก็เดินออกไป 
สักครู่หนึ่งก็หิ้วกระเป๋าขนาดหย่อมเข้ามาด้วยแล้วส่งให้เสี่ยเม้งทันที   
    เสี่ยเม้งก็เปิดกระเป๋าแล้วหยิบสมุดเช็คออกมาเขียนสั่งจ่ายเงินสด 
สองใบส่งมอบให้แก่สารวัตรทั้งสองทันที  พลางก็เอ่ยปากว่า
   “นี่เป็นแค่เพียงสินน้ำใจเล็กน้อยจากผมเท่านั้นครับท่านสารวัตร”
   ครั้นสารวัตรทั้งสองนำมาอ่านเห็นเป็นเช็คสั่งจ่ายเงินสด
จำนวนหนึ่งแสนบาทก็ต่างยิ้มแก้มปริไปตามๆกันแล้วกล่าวขึ้นว่า
   “โอ้โห!!!!...ไม่ต้องก็ได้นี่เสี่ย แหม๋ให้ถึงขนาดนี้เชียวหรือเกรงใจ
เสี่ยจริงๆนะ  อันที่จริงผมก็ช่วยเสี่ยเท่าที่จะช่วยได้เท่านั้นเอง”
    กล่าวแล้วก็หยิบเช็คใส่ในกระเป๋าเสื้อทันที  แล้วทำเขินหันไปคีบอาหาร
ที่เด็กๆเอามาเสริฟใหม่ๆนั้นเข้าปาก พร้อมยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอีกที่เสี่ยเม้ง
รินมาเสริมให้ทันที

     ครั้นสารวัตรอยู่สนทนากับเสี่ยเม้งไม่นานนัก ก็ขอตัวกลับด้วยอ้างว่ามี
ภาระงานที่จะต้องทำอีกมาก
   “มาแจ้งให้เสี่ยทราบเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้ให้เสี่ยรีบไปประกันตัวนะผมอยู่
จะได้ประสานงานให้เสี่ยนะจะได้สะดวกยิ่งขึ้น”
   “ครับขอบคุณท่านสารวัตรมากครับ หากวันหน้าผมอาจจะต้องพึ่งพาท่าน
สารวัตรอีกครับ”
   “ไม่เป็นปัญหาหรอกเสี่ยถ้าผมทั้งสองอยู่นะ  งั้นผมไปก่อนนะ”
  แล้วสารวัตรทั้งสองก็ลุกขึ้นเพื่อจะออกไป  เสี่ยเม้งก็ลุกขึ้นเดินไปส่งยังหน้า
ปากประตู  การ์ดทั้งสองก็ยกมือไหว้สารวัตรทั้งสองด้วย
   เมื่อสารวัตรไปแล้ว  เสี่ยเม้งก็เข้ามานั่งดื่มกินอาหารคนเดียวพึมพร่ำไปพลาง
“ไอ้ห่าเอ๋ย พวกเหี้ยก็แบบนี้เกือบทุกตัวแหละพอเห็นเงินเป็นไม่ได้ นี่นะหาก
ไอ้กำนันมันยังซุกของไว้อีกมาก  เรื่องมึงนี่ทำให้กูเสียเงินตั้งมากมายนัก 
 นี่ดีนะที่มึงยังเก็บของซ่อนไว้  มิฉะนั้นกูก็จะไม่วิ่งเต้นถึงขนาดนี้เชียวล่ะ”
     ว่าแล้วมันก็ยกเหล้าเพรียวๆขึ้นดื่ม คีบกับแกล้มกิน  แล้วก็หันไปดึงร่างสาว
เสริฟมาจูบกอดเพื่อผ่อนคลายอารมณ์เครียดที่คั่งค้างจากเหตุการณ์เหล่านี้
        จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาค่อนข้างดึก    จึงเลิกและออกเดินทางกลับ 
ไปพร้อมกับการ์ดส่วนตัวทั้งสี่ที่ขับรถและนั่งประกบคู่ออก
จากร้านอาหารของมันเพื่อกลับบ้านไป ด้วยความกระหยิ่งยิ้มย่องที่สิ่งคิดสำเร็จ

    ในขณะที่หนุ่มโชติกำลังวิ่งออกกำลังกายในเวลาก่อนพลบค่ำนั้นอันเป็นกิจวัตร
ประจำวันของเขา   ครั้นวิ่งห่างออกไปจากสู่ถนนหน้าบ้านวิ่งเหยาะๆเริ่มออกห่างจาก
บริเวณบ้านมาก ก็สวนทางกับชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งขี่จักรยานสวนทางมาอย่างช้าๆ
   ครั้นเห็นชายหนุ่มกำลังวิ่งเหยาะๆอยู่ก็ดีดกระดิ่งแจ้งสัญญาณทันที  ชายหนุ่มก็หยุด
มองดู ครั้นจักรยานเข้ามาใกล้ๆ แล้วพลางยื่นหนังสื่อส่งให้ชายหนุ่มทันที 
ชายหนุ่มหยุดเปิดผนึกเอามาอ่านแล้ว ก็พยักหน้า พลางหันไปทางชายคนนั้นทันที
 เอ่ยขึ้นว่า
   “จ่าโฉม???....คอยเดี๋ยวนะ รอคอยตรงนี้แหละเดี่ยวเอาหนังสือของผม
ไปให้สารวัตรชัชวาลย์ด้วย”
   “ครับผ๊มหัวหน้า”  
จ่าโฉมเอ่ยด้วยความเคารพ  แล้ว หลบจักรยานเข้าไปยังพุ่มไม้ข้างทางทันที
ชายหนุ่มหันหลังกลับก็วิ่งเหยาะไปจนถึงบริเวณหน้าบ้าน เข้าไปในรั้วบ้าน
  แล้วล้างเท้าขึ้นไปบนบ้านเข้าห้องไป
    ครั้นเมื่อถึงก็รีบร่างจดหมายปิดผนึกฉบับหนึ่งเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงกีฬา
 นำเอกสารที่ได้รับเก็บไว้ในแฟ้มเอกสารซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้านำผ้ามาทับไว้อีกที
   ร่างเขาก็รีบเดินออกจากห้องก้าวลงไปยังข้างล่างออกวิ่งเหยาะๆอย่างเคย
ไปยังจุดที่ได้นัดหมายไว้กับจ่าโฉมคนสนิทคนหนึ่งของเขา
    ในขณะที่เขาทำนี้ไม่ใครอยู่บนบ้านเลยสักคน พ่อแม่เจ้าชัยก็ออกไปไร่นาสวน 
ส่วนสาวชบาเพียงไปกวาดลานพื้นเพื่อรวบรวมเศษใบไม้ที่ล่วงหล่น นำไปใส่ถังหมัก
แต่เพียงแค่หันมามองแต่ไม่ได้ทักทายอะไรเขาเลย
    ดังนั้นชายหนุ่มก็วิ่งออกมายังที่จุดนัดหมาย  จ่าโฉมนั่งเฝ้ามองดูอยู่ตลอดเวลาเมื่อเห็น
ก็เข็นรถจักรยานออกมายืนคอยริมทางอยู่ก่อนแล้ว  
     ชายหนุ่มแกล้งวิ่งผ่านไปพร้อมยื่นหนังสือปิดผนึกส่งให้ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ออกวิ่งต่อไป

    จ่าโฉมครั้นได้รับหนังสือแล้วก็รีบเอาซุกในหน้าอกเสื้อทันที แล้วแสร้งขี้จักรยาน
ไปข้างหน้าสวนทางกลับชายหนุ่ม แล้ววกจักรยานกลับอีกที ก็สวนกับร่าง
ชายหนุ่มที่วิ่งกลับต่างคนต่างสวนกัน พอดีมีรถยนต์กะบะ วิ่งผ่านมาบีบแตรไล่
ชายหนุ่มก็หลบเข้าข้างทางทั้งๆที่กำลังวิ่งอยู่  ส่วนจ่าโฉมนั้นขี่จักรยานหายไปกับ
พุ่มไม้แล้วแยกทางกับรถกะบะหายลับตาไป...........

               * แก้วประเสริฐ. *

qp011.gifCartoon_Animation_08.gifflowers_170.gif692823n68ya60jv9.gif				
9 มกราคม 2554 16:40 น.

ท่องแดนสวรรค์ + นรกภูมิ

แก้วประเสริฐ

76.gif
                 ท่องแดนสวรรค์ + นรกภูมิ

   ด้วยข้าพเจ้าไปเปิดอ่านพบเรื่องนี้ขึ้นโดยบังเอิญ เห็นว่ามีประโยชน์
แก่ชาวพุทธบริษัททั้งหลาย จึงใคร่ที่จะนำเผยแพร่ให้แก่ชาวเวปฯไทย
กลอนที่นับถือพุทธศาสนา เพื่อเสริมสร้างทางบุญได้เกิดปิติยินดีต่อ
ผลานิสงฆ์อันพึงจะได้รับ คงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย จึงนำมา
ฝากไว้  สวัสดี

                 ท่องแดนสวรรค์  

20/12/2010 
View: 33 
      เทวภูมิ หมายถึง ภูมิที่มีความสุขความเพลิดเพลิน อยู่ในกามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ประณีต  ถ้าจะเปรียบเทียบความสุขในมนุษยโลก กับความสุขบนสรวงสวรรค์ในเทวภูมิแล้ว ห่างไกล กันเหมือนฟ้ากับดิน พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ในวิตถตสูตร คัมภีร์อังคุตตรนิกาย อัฏฐนิบาต ว่า “ ราชสมบัติของมนุษย์ เป็นเหมือนสมบัติของคนกำพร้า เมื่อเทียบกับสุขอันเป็นทิพย์ในสรวงสวรรค์ ” หมายความว่า ถึงจะเกิดเป็นราชาพระมหากษัตริย์ หรือพระเจ้าจักรพรรดิ เสวยสุขอยู่ในราชสมบัติ เมื่อเทียบความสุขในเทวภูมิแล้ว ก็เทียบได้กับสมบัติของคนกำพร้า ซึ่งแทบจะไม่มีสมบัติอะไรติดตัวเลย ความพิเศษของเทวโลก เทวภูมิ หรือ เทวดานั้น มีอะไรที่ไม่เหมือนกับมนุษย์มี เช่น เทพบุตรเทพธิดาทุกคนในสรวงสวรรค์ ไม่มีคนแก่อย่างเมืองมนุษย์ มีแต่หนุ่มสาวเหมือนกันหมด เทพธิดาจะมีอายุราว ๑๖ ปี ส่วนเทพบุตรก็จะมีอายุราว ๒๐ ปี เหมือนกันหมดทุกคน จึงไม่มีคนแก่ในสรวงสวรรค์ ทุกอย่างจะเป็นทิพย์หมด เช่น อาหาร วิมาน ร่างกาย ซึ่งเราจะมองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ เรียกว่า อทิสสมานกาย การเกิดขึ้นของเทวดาในสรวงสวรรค์ ไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ หรือครรภ์ของมารดาอย่างมนุษย์ เป็นการลักษณะของ โอปปาติกกำเนิด เมื่อเกิดขึ้นจะโตเป็นหนุ่มเป็นสาวทันที
การไปเกิดบนเทวภูมิ

๑. ถ้าสร้างบุญกุศลไว้มาก จะเกิดในวิมานของตนเอง เหมือนคนรวยย่อมมีบ้านของตนเอง ไม่ต้องไปเช่าหรืออาศัยคนอื่นอยู่
          
๒. ถ้าสร้างบุญกุศลไว้น้อย ไม่มีวิมานของตนเอง ก็ต้องไปเกิดในวิมานของเทวดาองค์อื่น ที่สร้างกุศลไว้มาก โดย
(๑)	ผุดปรากฏขึ้น ที่ตัก ของเทวดาองค์ใด ก็เป็น บุตร หรือธิดา ของเทวดาองค์นั้น
(๒)	ผุดปรากฏขึ้น ที่แท่นบรรทม ของเทวดาองค์ใด ก็ต้องเป็นบาทบริจาริกา หรือภรรยาของเทวดาองค์นั้น 
(๓)	ผุดปรากฏขึ้น ใกล้แท่นบรรทม ของเทวดาองค์ใด ก็ต้องเป็น พนักงานรับใช้ ของเทวดาองค์นั้น
(๔) 	ผุด ปรากฏขึ้น ภายในวิมานหรือปราสาท ของเทวดาองค์ใด ก็ต้องเป็น บริวาร ของเทวดาองค์นั้น
(๕)	ผุดปรากฏขึ้น นอกวิมาน เมื่อใกล้วิมานของเทวดาองค์ใด ก็ต้องเป็น บริวาร ของเทวดาวิมานนั้น
(๖)	ผุดปรากฏขึ้น ระหว่างวิมานพอดี ก็ต้องดูว่าหันหน้าไปทางวิมานใด ก็ต้อง เป็น บริวารของเทวดาวิมานนั้น
(๗)	ผุดปรากฏขึ้น ระหว่างวิมานพอดี แต่ไม่หันหน้าไปทางวิมานใด ก็จะตก เป็น บริวาร ของเทวดาที่เป็นใหญ่ปกครองสวรรค์ชั้นนั้น ๆ หรือจะยกให้เป็นบริวารของเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้
นี่คือลักษณะการเกิดขึ้นของเทวดาประเภทโอปปาติกกำเนิด ซึ่งก็ถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่ควรรู้ควรเข้าใจเรื่องของเทวภูมิ
คำว่า เทวะ หรือ เทวดา นั้น มีอยู่ ๓ ประเภท คือ
๑. อุปปัตติเทวะ 	เทวดาโดยกำเนิด ได้แก่ เทวดาและพรหม
๒. สมมติเทวะ 	เทวดาโดยสมมติ หมายถึง พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระราชโอรส พระราชธิดา
๓. วิสุทธิเทวะ 	เทวดาที่บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสทั้งปวง หมายถึง พระอรหันต์ 
 
สวรรค์ ชั้นที่ ๑
จาตุมหาราชิกาภูมิ เป็นภูมิที่อยู่ต่อจากมนุษยภูมิขึ้นไป มีเทวดาผู้เป็นใหญ่ เป็นมหาราชอยู่ ๔ องค์ คือ
๑. ท้าวธตรัฏฐะ 	อยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอง คันธัพพเทวดา
๒. ท้าววิรุฬหกะ 	อยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอง กุมภัณฑ์เทวดา
๓. ท้าววิรูปักขะ 	อยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอง นาคเทวดา
๔. ท้าวกุเวร หรือ
ท้าวเวสสุวรรณ 
	อยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอง ยักขเทวดา
มหาราชทั้ง ๕ นี้ เป็นผู้รักษามนุษยโลก หรือเรียกว่า ท้าวจตุโลกบาล ซึ่ง มีสถานที่ปกครองตั้งแต่ตอนกลางของเขาสิเนรุ ลงมาจนถึงมนุษยโลก มีอาณาเขตแผ่ออกไปจดขอบจักรวาล เทวดาทั้งหลายที่อยู่ในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมินี้ทั้งหมด เป็นบริวารภายใต้อำนาจของมหาราชทั้ง ๔   เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์กับสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิแล้ว ๕๐ ปี ในมนุษย์ เท่ากับ ๑ วัน ของเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ
เทวดาที่อยู่ภายใต้การปกครองของมหาราชทั้ง ๔ คือ

๑. ปัพพตัฏฐเทวดา	เทวดาที่อาศัยอยู่ที่ภูเขา
๒. อากาสัฏฐเทวดา	เทวดาที่อาศัยอยู่ในอากาศ
๓. ขิฑฑาปโทสิกเทวดา	เทวดาที่มีความเพลิดเพลินในการเล่นกีฬา จนลืมกินอาหารแล้วตาย
๔. มโนปโทสิกเทวดา 	เทวดาที่ตายเพราะความโกรธ
๕. สีตวลาหกเทวดา	เทวดาที่ทำให้อากาศเย็นเกิดขึ้น
๖. อุณหวลาหกเทวดา	เทวดาที่ทำให้อากาศร้อนเกิดขึ้น
๗. จันทิมเทวปุตตเทวดา 	เทวดาที่อยู่ในพระจันทร์
๘. สุริยเทวปุตตเทวดา	เทวดาที่อยู่ในพระอาทิตย์
เทวดา ชั้นจาตุมหาราชิกานี้ มีอยู่ตั้งแต่กลางเขาสิเนรุจนกระทั่งถึงพื้นดินที่มนุษย์อยู่ มีชื่อเรียกตามที่อยู่ที่อาศัย ดังนี้
** อยู่บนพื้นดิน 	เรียกว่า 	ภุมมัฏฐะเทวดา
** อยู่บนต้นไม้ 	เรียกว่า 	รุกขะเทวดา
** อยู่ในอากาศ (มีวิมานอยู่) 	เรียกว่า 	อากาสัฏฐะเทวดา
        ภุมมัฏฐเทวดา  ได้แก่ เทวดาที่อาศัยอยู่ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ภูเขา แม่น้ำ มหาสมุทร ใต้พื้นดิน ตามบ้านเรือน ซุ้มประตู เจดีย์ ศาลา เป็นต้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ จะอยู่ตอนกลางรอบเขาสิเนรุ มีปราสาทเป็นวิมานของตนเอง สำหรับ เทวดาอื่นที่ไม่มีวิมาน ก็ต้องไปอาศัยอยู่ตามสถานที่ดังกล่าวข้างต้น โดยถือเอาสถานที่นั้นเป็นวิมานของตน
       รุกขเทวดา  ได้แก่ เทวดาที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้ มีอยู่ ๒ จำพวก คือ พวกที่มีวิมานอยู่บนต้นไม้ กับพวกที่ไม่มีวิมาน รุกขเทวดาที่มีวิมานนั้น จะเอา วิมานตั้งอยู่บนยอดไม้ ส่วนเทวดาที่ไม่มีวิมานของตนเอง ก็จะอาศัยอยู่บนคบไม้ หรือ กิ่งก้านของต้นไม้
       อากาสัฏฐเทวดา  ได้แก่ เทวดาที่มีวิมานของตนเองในอากาศ ตั้งอยู่ในอากาศ ภายใน และภายนอกของวิมาน จะประกอบด้วยรัตนะ ๗ อย่าง ซึ่งเกิดขึ้นด้วยอำนาจ ของกุศลกรรม คือ แก้วมรกต แก้วมุกดา แก้วประพาฬ แก้วมณี แก้ว เชียร เงิน และทอง บางวิมานก็มี ๒ รัตนะ บางวิมานก็มี ๓, ๔, ๕, ๖ รัตนะ ขึ้นอยู่กับบุญกุศลที่ตนได้สร้างไว้ วิมานเหล่านี้ จะลอยหมุนเวียนไปในอากาศรอบ ๆ เขาสิเนรุ 
เทวดาใจร้าย
     เทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกา บางพวกก็ขาดเมตตาธรรม จัดเป็นพวกเทวดาใจร้าย มี ๔ จำพวก คือ
       ๑. คันธัพพี คันธัพโพ  ได้แก่ เทวดาคันธัพพะ ที่ถือกำเนิดภายในต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม เรา เรียกกันว่านางไม้ หรือแม่ย่านาง ชอบรบกวนให้เกิดอุปสรรคต่าง ๆ เช่น ให้ เกิดเจ็บป่วย หรือทำอันตรายแก่ทรัพย์สมบัติที่นำไม้นั้นมาใช้สอย หรือนำมาปลูกบ้านเรือน เทวดาจำพวกนี้อยู่ในความปกครองของ ท้าวธตรัฏฐะ คันธัพพเทวดานี้ สิงอยู่ในต้นไม้นั้นตลอดไป แม้ว่าใครจะตัดฟันไป ทำเรือ แพ บ้าน เรือน หรือเครื่องใช้สอยอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็คงสิงอยู่ในไม้นั้น ซึ่งผิดกับรุกขเทวดาที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้ ถ้าต้นไม้นั้นตายหรือถูกตัดฟัน ก็ย้ายจากต้นไม้นั้นไปต้นไม้อื่น
       ๒. กุมภัณโฑ กุมภัณฑี  ได้แก่ เทวดากุมภัณฑ์ ที่เราเรียกว่า รากษส เป็นเทวดาที่รักษา สมบัติต่าง ๆ มี แก้วมณี เป็นต้น และรักษาป่า ภูเขา แม่น้ำ ถ้ามีผู้ล่วงล้ำ ก้ำเกินก็ให้โทษต่าง ๆ เทวดาจำพวกนี้ อยู่ในความปกครองของท้าววิรุฬหก
       ๓. นาโค นาคี  ได้แก่ พวก เทวดานาค จะมีวิชาเกี่ยวกับเวทมนต์คาถาต่าง ๆ ขณะท่องเที่ยวไปในมนุษยโลก บางทีก็เนรมิตเป็นคน หรือเป็นสัตว์ เช่น เสือ ราชสีห์ เป็นต้น โดยเฉพาะชอบลงโทษพวกสัตว์นรก เทวดาจำพวกนี้ อยู่ในความปกครองของท้าววิรูปักขะ
       ๔. ยักโข ยักขี  ได้แก่ พวก เทวดายักษ์ จะพอใจในการเบียดเบียนสัตว์นรก เทวดา จำพวกนี้ อยู่ในความปกครองของท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ เทวดาทั้ง ๔ จำพวกนี้ จะเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ เพราะอยู่ใกล้ชิดกับมนุษยภูมิ
ทางไปสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกาภูมิ
 มนุษย์จะไปเกิดเป็นเทพยดาในสรวงสวรรค์ นั้น จะต้องประกอบกรรมอันเป็นบุญเป็นกุศล เช่น การทำบุญใส่บาตร ทำทาน รักษาศีล เป็นต้น ในการจะไปเกิดในสวรรค์ชั้นใด ก็จะต้องทราบถึงวิธีการวางใจ ในการทำบุญว่า ทำเพื่ออะไร วางใจอย่างไรจะได้บุญมาก จะไปสวรรค์ชั้นใด สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ใน ทานสูตร ว่า
ถ้าผู้ใดให้ทานโดยหวังผลบุญจากการให้ทาน
เมื่อตายไปจะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา

          ตัวอย่างของผู้ที่ไปเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกา  คือ 
         พระ เจ้าพิมพิสาร แห่งกรุงราชคฤห์ ซึ่งเป็นพระราชบิดา ของพระเจ้าอาชาตศัตรู ได้ทรงปฏิบัติธรรมจนสำเร็จเป็นโสดาบันบุคคล เมื่อสวรรคตแล้วก็ไปบังเกิด ในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ เป็นสหายของท้าวเวสสุวรรณมหาราช ชื่อว่า ชนวสภยักษ์ 
 
สวรรค์ชั้นที่ ๒
       ดาวดึงสาภูมิ หมาย ถึง ภูมิอันเป็นที่เกิดของบุคคล ๓๓ คน ที่ได้สร้างกุศลไว้ในอดีต เป็น “สหบุญญการี” ที่มี มาฆมานพ เป็นหัวหน้า เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดเป็นพระอินทร์ พร้อมบริวารอีก ๓๒ รวม เป็น ๓๓ เป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ในชั้นดาวดึงส์ ดาวดึงสาภูมินี้ เป็นผืนแผ่นดินผืนแรก ที่เกิดขึ้นในโลก หลังจากโลกนี้ถูกทำลายด้วยน้ำ เมื่อน้ำงวดลงแผ่นดินผืนแรก ที่โผล่ขึ้นก่อนแผ่นดินอื่น ๆ ก็คือ ยอดเขาสิเนรุ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์ นี้เอง  เทวดาที่อยู่บนชั้นดาวดึงส์มีอยู่ ๒ จำพวก คือ
๑. ภุมมัฏฐเทวดา (เทวดาที่อยู่บนพื้นดิน)	ได้แก่ พระอินทร์และเทวดาผู้ใหญ่ ๓๒ องค์ 
พร้อมทั้งบริวาร และ เทวอสุรา ๕ จำพวก ที่อยู่ใต้ เขาสิเนรุด้วย
๒. อากาสัฏฐเทวดา (เทวดาที่อยู่ในอากาศ)	ได้แก่ เทวดาที่มีวิมานลอยไปในกลางอากาศ ตั้งแต่เหนือพื้นดินยอดเขาสิเนรุ ไปจดขอบจักรวาล บางวิมานก็มีเทวดาอยู่ บางวิมานก็ไม่มีเทวดาอยู่
เรื่องของจักวาลและเขาสิเนรุ
จักรวาลหนึ่ง ๆ วัดโดยรอบได้ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์ ส่วนที่เป็น พื้นดิน หนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ โดยมี พื้นน้ำ รองรับหนา ๘๔๐,๐๐๐ โยชน์ น้ำนี้ตั้งอยู่บน ลม ซึ่งมีความหนา ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์
เขาสิเนรุ เป็นภูเขาสูงสุดตั้งอยู่ท่ามกลางจักรวาล หยั่งลงสู่ห้วงน้ำ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ และสูงขึ้นไปในอากาศ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ยอดเขาสิเนรุมีลักษณะกลม มีเทือกเขา ๗ เทือก ล้อมรอบอยู่ คือ
    
๑.ยุคันธร   ๒.อีสินธร   ๓.กรวิก   ๔.สุทัสสนะ   ๕.เนมินทร   ๖.วินัตตถะ   ๗.อัสสกรรณ   ซึ่งเป็นภูเขาทิพย์ 
แผ่นดินชั้นดาวดึงส์ ตั้งอยู่บนยอดเขาสิเนรุนี้ มีลักษณะกลม กว้าง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สุทัสสนะนคร ซึ่งเป็นนครของพระอินทร์ กว้าง ๑๐๐ โยชน์ มี กำแพง ล้อมรอบ ๔ ชั้น มี ประตู ด้านละ ๒๕๐ ประตู รวม ทั้ง ๔ ด้าน มีประตู ๑,๐๐๐ ประตู  ในสุทัสสนะนครนี้ มี ปราสาทเวชยันต์ ที่เป็นที่อยู่ของท้าวสักกะ (พระอินทร์) ทิศใต้ของนครมีสวนดอกไม้ชื่อ นันทวัน กว้าง ๑๐๐ โยชน์ ในสวนมีสระโบกขรณี ๒ สระ คือ มหานันทา และจุฬนันทา ขอบสระและรอบ ๆ บริเวณสระปูลาดด้วยแผ่นศิลา เป็นที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจ
ทิศตะวันตก ของสุทัสสนะนคร มีสวนชื่อ จิตรลดา กว้าง ๕๐๐ โยชน์ มีสระโบกขรณี ๒ แห่ง คือ วิจิตรา และ จุฬจิตรา 
          ทิศเหนือ ของสุทัสสนะนคร มีสวนชื่อ มิสสกวัน กว้าง ๕๐๐ โยชน์ มีสระโบกขรณี ๒ แห่ง คือ ธัมมา และ สุธัมมา
          ทิศใต้ มีสวนชื่อ ผารุสกวัน กว้าง ๗๐๐ โยชน์ มีสระโบกขรณี ๒ แห่ง คือ ภัทรา และ สุภัทรา สวนทั้ง ๔ แห่งเหล่านี้ เป็นรมณียสถาน สำหรับพักผ่อนรื่นเริงของเทวดาในชั้นดาวดึงส์
          ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของสุทัสสนะนคร มีสวนอีก ๒ แห่ง คือ สวน ปุณฑริกะ และมหาวัน ที่สวนปุณฑริกะมี ต้นปาริชาติ สูง ๑๐๐ โยชน์ แผ่กิ่งก้านสาขาออกไป ๕๐ โยชน์ เมื่อคราวออกดอกจะส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปไกล ๑๐๐ โยชน์ ที่ใต้ต้นปาริชาติมีแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ กว้าง ๕๐ โยชน์ ยาว ๖๐ โยชน์ หนา ๑๕ โยชน์ มีสีแดงเหมือนดอกชบา ยุบได้เวลานั่ง ฟูขึ้นเมื่อเวลายืนขึ้น หน้าแท่นศิลานี้มีศาลาฟังธรรม ชื่อว่า ศาลาสุธัมมา มีเจดีย์มรกต คือ จุฬามณี สูง ๑๐๐ โยชน์ ซึ่งบรรจุพระเขี้ยวแก้วข้างขวา ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ พระเกศา ี่ทรงตัดไว้ในตอนเสด็จออกบรรพชา 
          
          สวนมหาวัน เป็นที่ประทับสำราญพระอิริยาบถของ ท้าวสักกะเทวราช (พระอินทร์) มีสระโบกขรณี สุนันทา กว้าง ๔ โยชน์ และมีวิมานรายล้อมอยู่ ๑,๐๐๐ วิมาน
ชีวิตความเป็นอยู่ของเทวดาชั้นดาวดึงส์ 
ความเป็นอยู่ของเทวดาในชั้นดาวดึงส์ ล้วนแต่เป็นผู้เสวยทิพยสมบัติจากผลบุญ ที่ได้กระทำไว้ อารมณ์ ที่ได้รับในชั้นดาวดึงส์ จึงล้วนแต่เป็นอารมณ์ที่ดีเลิศ เทพบุตร จะมีวัย ๒๐ ปี ส่วน เทพธิดา มีวัย ๑๖ ปี เหมือนกันทุก ๆ องค์ ไม่มีการแก่ เจ็บ ตาย ให้ปรากฏเห็น มีแต่ความสวยงาม เป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ตลอดไปจนกระทั่งตาย
          
          เทวดาในเทวโลกนี้ เกิดขึ้นโดยโอปปาติกกำเนิด คือ โตทันที มีอวัยวะครบบริบูรณ์ ถ้าจะเกิดเป็น บุตรเป็นธิดา ก็จะเกิดขึ้น ในตัก ถ้าจะเกิดเป็น บาทบริจาริกา (ภรรยา) จะไปเกิดใน ที่นอน ถ้าเกิดเป็นเทวดา ผู้รับใช้ ก็จะเกิด ภายในวิมาน
          
          เมื่อ เทวดาเกิด ขึ้น ในวิมาน ของเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งแล้ว ก็จะต้องเป็นบริวารของเจ้าของวิมานนั้น ๆ โดยเทวดาอื่นจะมาแย่งชิงไปไม่ได้ ถ้าเกิดระหว่างแดนวิมานต่อวิมาน ก็ต้องดูว่าใกล้เคียงกับวิมานขององค์ใด ก็จะเป็นบริวารของเจ้าของวิมานนั้น ถ้าเกิดระหว่างกลางวิมานต่อวิมาน ถ้าหันหน้าไปทางวิมานใด ก็ถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของวิมานนั้น ถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็จะพากันไปให้พระอินทร์เป็นผู้พิจารณา ถ้าผู้เกิดมาไม่หันหน้าไปทางวิมานใด ก็ต้องตกเป็นบริวารของพระอินทร์ไป 
          
          เทพบุตรองค์หนึ่ง ๆ อาจ จะมีนางฟ้าเป็นบาทบริจาริกา (ภรรยา) ๕๐๐ ถึง ๑,๐๐๐ หรือมากกว่าขึ้นอยู่กับบุญบารมีที่ตนได้ทำไว้ และเทวดาจำนวนมาก ที่ไม่มีวิมานเป็นของตนเอง บางทีก็เกิดความวุ่นวายทะเลาะวิวาท มีการพิพากษาตัดสินกันเหมือนกับมนุษยโลกของเรานี้
          
          ความเป็นอยู่ของเทวดาในเทวโลกนี้ ก็ เป็นไปเช่นเดียวกับมนุษยโลก มีการไปมาหาสู่ เบียดเบียนกัน มีนักดนตรี นักร้อง เทพบุตร เทพธิดา มีความรักใคร่ปรารถนาเป็นคู่ครองกัน หากขาดคู่ครอง ก็ย่อมจะเกิดความเบื่อหน่าย ในความเป็นอยู่ของตน ไม่เบิกบานรื่นเริงเหมือนเทวดาที่มีคู่ครอง เทวดาในชั้นดาวดึงส์ ทั้งหลาย ต่างก็ไปหาความสุขสำราญในสวนทั้ง ๔ แห่ง พร้อมด้วยบริวารของตน ๆ อย่างสำเริงสำราญ
          
          ในเทวภูมิ ชั้นดาวดึงส์มีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง และเป็นเทวโลกที่มีความเกี่ยวพันกับ พระพุทธศาสนาอยู่มาก โดยเฉพาะพระอินทร์ หรือท้าวสักกะเทวราชซึ่งได้เกื้อหนุนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชาติสุดท้าย ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีเป็นพระเวสสันดร และยังได้ตักบาตรแก่ พระมหากัสสปเถระที่ออกจากนิโรธสมาบัติด้วย เป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรมที่ให้ผลในทันที ทำให้รัศมีกายและวิมานที่เคยรุ่งโรจน์แจ่มจรัสน้อยนั้น กลับสวยงามเจิดจ้าขึ้นมาในทันที
 ผู้ที่ปรารถนาจะเกิดเป็นพระอินทร์ จะต้องหมั่นสร้างบุญกุศลโดยสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีคุณธรรม ๗ ประการ คือ 
๑. เลี้ยงดูบิดามารดา
๒. เคารพผู้ใหญ่ในตระกูล
๓. กล่าววาจาอ่อนหวาน
๔. ไม่กล่าวคำส่อเสียด
๕. ไม่มีความตระหนี่
๖. มีความซื่อสัตย์
๗. ระงับความโกรธได้
ปัจจุบัน พระอินทร์หรือ ท้าวสักกะเทวราชองค์นี้ ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน แล้ว ด้วย การฟังพระธรรมเทศนา จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสักกปัณหสูตร นับเป็นพระอริยบุคคลขั้นแรก ในพระพุทธศาสนา และอยู่ในดาวดึงส์พิภพนี้ต่อไป จนสิ้นอายุขัย เมื่อจุติจากชั้นดาวดึงส์แล้ว จะมาบังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในมนุษยโลก และสำเร็จเป็นพระสกทาคามีบุคคล เมื่อสิ้นชีพแล้วก็กลับไปเกิดในชั้นดาวดึงส์อีก และได้สำเร็จเป็นพระอนาคามี เมื่อสิ้นอายุแล้วจะไปบังเกิดเป็นพรหมโลก ในชั้นสุทธาวาสภูมิขั้นต้น คือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี และอกนิฏฐาภูมิ ตามลำดับ และเข้านิพพานในชั้นสุดท้ายนี้ นี่เป็นเรื่องราวของพระอินทร์พอสังเขป
          
          สถานที่น่าสนใจที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา อัน เป็นพุทธศาสนสถานที่สำคัญของเทวโลก คือ
ศาลาสุธัมมา เป็นสถานที่ฟังธรรมในเทวโลก บรรดาเทวดาทั้งหลาย จะมาประชุมกันเพื่อฟังธรรม โดยมีท้าวสักกะเทวราช องค์อมรินทร์เป็นประธาน ศาลาสุธัมมานี้ ประกอบด้วยรัตนะ ๗ สูง ๕๐๐ โยชน์ วัดโดยรอบได้ ๑,๒๐๐ โยชน์ พื้นประกอบด้วยแก้วผลึก เสาเป็นทอง เครื่องบนคือ ขื่อ คาน ระแนง เป็นต้นทำด้วยรัตนะทั้ง ๗ หลังคามุงด้วยอินทนิล เพดาน เสา ประกอบเป็นแก้วระพาฬ ลวดลายต่าง ๆ ช่อฟ้า ใบระกา ทำด้วยเงิน
          
          ภายในศาลา ตรงกลางเป็นที่ตั้งธรรมาสน์สูง ๑ โยชน์ ทำด้วยรัตนะทั้ง ๗ ปกกั้นด้วยเศวตฉัตรสูง ๓ โยชน์ ข้างธรรมาสน์ เป็นที่ประทับของท้าวโกสีย์เทวราช ถัดไปเป็นที่ประทับของเทวดาผู้ใหญ่ ๓๒ องค์และเทวดาอื่น ๆ 
          
          ศาลาสุธัมมานี้ ตั้งอยู่ข้าง ต้นปาริฉัตร ซึ่ง ออกดอกปีละครั้ง เมื่อเวลาใกล้จะผลิดอก ใบปาริฉัตรจะมีสีนวล เวลานั้นเหล่าเทวดา จะมีความยินดีปรีดา ว่าอีกไม่ช้าจะได้เห็นดอกออกสะพรั่ง ฉายสีแดง เป็นรัศมีแผ่ไปในปริมณฑลประมาณ ๕๐๐ โยชน์ ส่งกลิ่นหอมไปตามลมได้ไกล ๑๐๐ โยชน์ 
          
          ดอกปาริฉัตรนี้ เมื่อต้อง ลมกันตนะ จะหล่นลงมาเอง ไม่ต้องสอยและมี 
ลมสัมปฏิจฉนะ รองรับดอกไม้ไม่ให้ร่วงหล่นลงสู่พื้นดินได้ 
ลมปเวสนะ ทำหน้าที่พัดพาเอาดอกเก่าที่เหี่ยวเฉาออกไป 
ลมสันถกะ ก็จะพัดจัดระเบียบเรียบร้อย มิให้ไปกองรวมกัน
          
          การฟังธรรมในศาลาสุธัมมานี้ เมื่อถึงเวลาที่จะมาประชุมฟังธรรม ท้าวสักกะอมรินทร์ ก็จะทรงเป่า สังข์วิชยุตตระ ซึ่ง ยาว ๑๒๐ ศอก ดังก้องกังวานทั่วไปทั้งภายในและภายนอกพระนครสุทัสสนะ เสียงสังข์ที่เป่าครั้งหนึ่งจะดังปรากฏอยู่นานถึง ๔ เดือนมนุษย์
          
          เทพบุตร เทพธิดาทั้งหลายในชั้นดาวดึงส์ เมื่อได้ยินเสียงสังข์ ต่างก็พากันมาสู่ศาลาสุธัมมา รัศมีจากร่างกาย และแสงจากเครื่องประดับของเทวดาทั้งหลาย ก็สว่างไสวไปทั่วศาลา ท้าวสักกะเทวราช เมื่อเป่าสังข์แล้วก็เสด็จจากปราสาทเวชยันต์ พร้อมด้วยมเหสีทั้ง ๔ องค์ ทรงขึ้น ช้างเอราวัณ มีเทพยดาห้อมล้อมตามเสด็จ ไปสู่ศาลาสุธัมมา ประมาณ ๓ โกฏิ ๖ ล้านองค์
 
          สุนังกุมารพรหม เสด็จจากพรหมโลกมาแสดงธรรมเป็นประจำ แต่บางครั้งท้าวอมรินทร์ก็ทรงแสดงเอง หรือบางทีเทพบุตรผู้มีความรู้ธรรมะดีก็จะเป็นผู้แสดง
 
          ศาลาสุธัมมานี้ แม้ในเทวภูมิเบื้องบนอีก ๔ คือ ยามา ดุสิต นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวัตดี ก็มี ศาลาสุธัมมา เช่นเดียวกัน
          
          เมื่อ เทียบเวลาระหว่างมนุษย์กับสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้ว ๑๐๐ ปี ในมนุษย์เท่ากับ ๑ วัน ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ในทานสูตร กล่าวไว้ว่า ถ้าผู้ใดทำทานโดยไม่หวังผลบุญของการทำทาน แต่ทำทานโดยคิดว่าการทำทานนั้นเป็นสิ่งที่ดีงาม เมื่อตายลงย่อมไปบังเกิดในสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์
          
          ตัวอย่างของผู้ไปเกิดในชั้นดาวดึงส์ คือ มาฆมานพ พร้อมด้วยสหาย ๓๒ คน ขณะที่เป็นมนุษย์ ได้ช่วยกันทำถนนหนทาง ทางเดินที่ไม่สะดวก ให้สัญจรไปมาได้สะดวก ขุดบ่อน้ำ ที่พักคนเดินทาง เคารพนอบน้อมในผู้ใหญ่ บำรุงเลี้ยงบิดามารดา เมื่อสิ้นชีวิต จึงได้ไปบังเกิดเป็นพระอินทร์ ในชั้นดาวดึงส์สถาน พร้อมด้วยบริการดังกล่าวแล้ว
สถานที่น่าสนใจในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
๑. สวนสวรรค์
 ได้แก่สวนสวรรค์ซึ่งเป็นอุทยานทิพย์ที่มีชื่อเสียง ๔ อุทยานด้วยกัน คือ
๑. นันทวันอุทยานทิพย์ 	ตั้งอยู่ในด้านทิศตะวันออก แห่งดาวดึงส์แดนสวรรค์
๒. จิตรลดาวันอุทยานทิพย์ 	ตั้งอยู่ในด้านทิศตะวันตก แห่งดาวดึงส์แดนสวรรค์
๓. มิสกวันอุทยานทิพย์ 	ตั้งอยู่ในด้านทิศเหนือ แห่งดาวดึงส์แดนสวรรค์
๔. ปารุสกวันอุทยานทิพย์ 	ตั้งอยู่ในด้านทิศใต้ แห่งดาวดึงส์แดนสวรรค์

          
          ซึ่ง เป็นสวนขวัญอุทยานทิพย์ที่มีความรื่นรมย์ สนุกสนาน หาที่เปรียบไม่ได้ในมนุษยโลก ซึ่งเต็มไปด้วยบุปผาชาตินานาพรรณ มีสระโบกขรณีอันทิพย์ มีน้ำใสดั่งแก้ว มีก้อนศิลาที่เป็นทิพย์มีรัศมีรุ่งเรือง มีแท่นที่นั่งอันอ่อนนุ่มมีสีใสสะอาด เหล่าเทพบุตรเทพธิดา ก็จะมาในสวนสำราญเหล่านี้อย่างไม่ขาดสาย 
๒.พระเกศจุฬามณีเจดีย์

เป็น สถานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง สร้างด้วยแก้วอินทนิลอันเป็นทิพย์ มีความสวยงาม รุ่งเรืองยิ่งนัก ยอดพระเจดีย์เป็นทองคำบริสุทธิ์ ประดับด้วยรัตนะ ๗ ประการ (รัตนะคือแก้ว ๗ ประการ) เจดีย์นี้สูง ๘๐,๐๐๐ วา มีกำแพงทองคำล้อมรอบทั้ง ๔ ทิศ มีความยาว ๑๖๐,๐๐๐ วา ประดับด้วยธงนานาชนิด พระเจดีย์นี้เป็นที่บรรจุสิ่งที่มีค่ายิ่ง ๒ อย่าง คือ
          
          ๑. พระเกศโมลี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือมวยผมที่ตัดออก ขณะที่เสด็จออก บรรพชา (ภิเนษกรมณ์) และได้อธิษฐานว่า “ถ้าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ขอให้มวยพระเกศโมลีจงลอยขึ้นไปบนนภากาศเถิด อย่าได้ตกลงสู่พื้นปฐพีเลย” ครานั้นสมเด็จพระมหาอมรินทราธิราชผู้เป็นใหญ่ในชั้นดาวดึงส์นี้ จึงนำเอาพระผอบทองมารองรับพระเกศโมลีไว้ แล้วนำขึ้นไปบนดาวดึงส์สวรรค์ สร้างเจดีย์สำหรับบรรจุพระโมลีโดยเฉพาะ
          
          ๒. พระบรมธาตุ เขี้ยวแก้วเบื้องขวา ของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยที่ถวาย พระเพลิงพระพุทธสรีระของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โทณพราหมณ์ซึ่งได้รับการแต่งตั้ง ให้เป็นผู้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ได้นำเอาพระเขี้ยวแก้วซ่อนไว้ที่ผ้าโพกศรีษะ แล้วจึงได้จัด พระบรมสารีริกธาตุที่เหลือออกเป็น ๘ ส่วน เพื่อถวายแก่กษัตริย์ต่าง ๆ ในครั้งนั้น ท้าวสักกะเทวราช จึงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ เขี้ยวแก้วจากผ้าโพกศรีษะของโทณพราหมณ์นั้น ลงสู่พระผอบทองคำทิพย์อีกทอดหนึ่ง ด้วยกิริยาอันเลื่อมใสยิ่ง แล้วรีบเสด็จมาประดิษฐานบรรจุไว้ในพระเกศจุฬามณีเจดีย์นี้
๓.ต้นปาริชาต (กัลป์พฤกษ์)
อยู่ ในอุทยานทิพย์ ปุณฑริกวัน มีบริเวณกว้างขวางมีกำแพงล้อมรอบ ๔ ด้าน กลางสวนนั้นมี ต้นไม้ทองหลางใหญ่แผ่สาขาอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งชื่อว่า ต้นปาริชาต หรือ กัลปพฤกษ์ ซึ่งเป็นต้นไม้ทิพย์ มีแท่นศิลาแก้วนามว่า “บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์” เป็นแท่นสีแดงดังดอกชบา อ่อนนุ่มดังฟูก เมื่อพระอินทราธิราชประทับ พักผ่อนอิริยาบถอยู่เหนือแท่นศิลาอาสน์แล้ว แท่นทิพย์นี้ก็จะอ่อนยุบลงไป และเมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้น แท่นศิลาก็จะฟูขึ้นเต็มตามเดิม เป็นแท่นศิลาที่ประหลาดมหัศจรรย์ ยุบและฟูขึ้นเองโดยธรรมชาติ
          
          ต้น กัลปพฤกษ์นี้ ๑๐๐ ปี ถึงจะออกดอกครั้งหนึ่ง เมื่อถึงคราวนั้นดอกไม้ในสวรรค์นี้ก็จะบานสะพรั่ง เหล่าเทพบุตรเทพธิดา ก็จะพากันมารื่นเริง ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมาเฝ้า จนกว่าดอกไม้จะบาน ครั้นดอกไม้สวรรค์นั้นบานแล้ว ก็จะปรากฏแสงรุ่งเรือง งดงามยิ่งนัก รัศมีของดอกปาริชาต จะส่องรัศมีรุ่งเรืองไปไกลหลายหมื่นวา เมื่อลมรำเพยพัดพาไปในทิศใด ย่อมส่งกลิ่นหอมไปในทิศนั้น เป็นระยะไกลแสนไกล ดอกไม้นี้จะบานสะพรั่งไปทุกกิ่งก้านทั่วทั้งต้น ถ้าเทพบุตรเทพธิดาองค์ใด ปรารถนาจะได้ดอกปาริชาต ก็จะตกลงมาในมือดั่งรู้ใจ ถ้ายังไม่ได้รับในมือดอกก็ยังไม่ทันตกลงดิน โดยมีลมชนิดหนึ่งจะพัดชูดอกไว้ในอากาศ จนกว่าเทพยดาผู้ใดประสงค์ก็จะมารับเอาไป
๔.ศาลาสุธรรมาเทวสภา
 เป็น เทวสถานที่อยู่ไม่ไกลจากต้นปาริชาตเท่าไรนัก เป็นศาลาทิพย์ที่งามสง่ายิ่งนัก ศาลานี้เต็มไปด้วยแก้วผลึก ประดับไปด้วยแก้วรัตนะ ๗ ประการ มีกำแพงล้อมรอบเป็นทองคำ ที่ศาลานี้มีดอกไม้พิเศษอีกชนิดหนึ่งชื่อว่า ดอกอสาพติ หนึ่ง พันปีจะออกดอกครั้งหนึ่ง ส่งกลิ่นหอมอบอวล เทพธิดาทั้งหลาย ก็จะเปลี่ยนเวรกันมาเฝ้า โดยมีจิตผูกพันรักใคร่ดอกไม้นี้ยิ่งนัก
          
          ศาลาสุธรรมานี้ เป็นที่ประชุมฟังธรรม ของเหล่าเทวดาสัมมาทิฏฐิทั้งหลาย ซึ่งได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
 
สวรรค์ชั้นที่ ๓
 
ยามาภูมิ เป็นเทวภูมิ หรือ สวรรค์ ชั้นที่ ๓ ซึ่ง สวยงามและประณีตกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นสวรรค์ที่พรั่งพร้อม ด้วยความสุขที่เป็นทิพย์ ปราศจากความยากลำบากใด ๆ พระสยามเทวาธิราช หรือ เรียกว่า พระสุยามะ หรือ ยามะ ผู้เป็นใหญ่เป็นผู้ปกครองในสวรรค์ชั้นนี้ 

ยามาภูมินี้ เป็นภูมิที่ตั้งอยู่ในอากาศ จึงไม่มีเทวดาประเภทที่อาศัยบนพื้นดิน คือ กุมมัฏฐเทวดา มีแต่พวกอากาสัฏฐเทวดาพวกเดียว มีวิมาน ทิพยสมบัติ ร่างกาย สวยงามและประณีตกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ อายุขัยก็ยืนกว่าด้วย
          
           พื้นที่ของยามาภูมิอยู่ในอากาศ สูงกว่ายอดเขาสิเนรุ ๔๒,๐๐๐ โยชน์ มีบริเวณกว้างขวางขยายออกไป จนจดกำแพงจักรวาล มีวิมานของเทวดาเรียงรายอยู่โดยทั่วไป 
          
          เมื่อ เทียบเวลาระหว่าง มนุษย์กับสวรรค์ชั้นยามาภูมิแล้ว ๒๐๐ ปี ในมนุษย์ เท่ากับ ๑ วัน ในสวรรค์ชั้นยามา
 ในทานสูตร กล่าวไว้ว่า ถ้าผู้ใดทำทานโดยไม่คิดว่าเป็นการทำดี “แต่คิดว่า บิดามารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ได้เคยทำบุญทำทานมา โดยตลอด เราก็ควรจะได้ทำตามประเพณีที่ท่านเคยทำมา”
          
          ถ้า ผู้นั้นให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำกาลกิริยาตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเหล่าเทวดาทั้งหลายใน สวรรค์ชั้นยามา 
          
          ตัวอย่างผู้ที่ไปเกิดในชั้นยามาภูมิ คือ อุบาสกผู้หนึ่ง มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้อุทิศถวายอาหารเป็นสังฆทาน แก่พระภิกษุสงฆ์วันละ ๔ รูปทุกวัน ได้จ้างบุรุษผู้หนึ่งคอยเปิดปิดประตูเวลา พระจะมารับสังฆทาน บุรุษนั้นต้อนรับพระภิกษุสงฆ์ ที่มารับสังฆทาน ด้วยความนอบน้อมเลื่อมใสศรัทธา เมื่ออุบาสกผู้นั้นดับชีพลง ได้ไป บังเกิดในสวรรค์ชั้นยามา ส่วนบุรุษผู้ต้อนรับเฝ้าประตู ก็ไปบังเกิดในดาวดึงส์ สถานสวรรค์ชั้นถัดลงมา
 
สวรรค์ชั้นที่ ๔
 ดุสิตาภูมิ เป็น สวรรค์ที่ปราศจากความร้อนใจ มีความยินดีแช่มชื่นใจในทิพยสมบัติของตนอยู่เป็นนิตย์ เป็นภูมิที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ ทั้งหลายก่อนที่จะไปบังเกิดในมนุษยโลก และบำเพ็ญเพียร จนสำเร็จ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และยังเป็นที่เกิดของผู้ที่จะเป็น อัครสาวก ก่อน ที่จะไปบังเกิดในมนุษยโลกอีกด้วย ดังนั้น เทวดาที่อยู่ในชั้นดุสิตาภูมินี้ จึงนับว่าเป็นเทวดาที่ประเสริฐกว่าเทวดาในภูมิอื่น ๆ 
          
          ดุสิตาภูมิ เป็น ภูมิที่ตั้งอยู่ท่ามกลางอากาศ สูงจากชั้นยามาขึ้นไป ๔๒,๐๐๐ โยชน์ มีบริเวณแผ่กว้างออกไปจนจดขอบจักรวาล มีเทวดาที่เป็นอากาสัฎฐเทวดาเท่านั้น โดยมีท้าวสันตุสิตเทวราช เป็นผู้ปกครอง มีวิมาน ทิพยสมบัติ ร่างกาย สวยงามประณีตกว่าเทวดาในชั้นยามา อายุก็ยืนกว่าประมาณ ๔ เท่า
          
          เมื่อ เทียบเวลาระหว่างมนุษย์กับสวรรค์ชั้นดุสิตาภูมิแล้ว ๔๐๐ ปี ในมนุษย์ เท่ากับ ๑ วัน ในสวรรค์ชั้นดุสิตาภูมิ
 ในทานสูตร กล่าว ไว้ว่า ผู้ใดให้ทานโดยไม่คิดว่าทำตามบิดามารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ที่เคยทำมาจนเป็นประเพณี แต่ให้ทานโดยคิดว่า เราหุงหากิน สมณพราหมณ์เหล่านั้นไม่ได้หุงหากิน ถ้าเราไม่ให้ทาน ก็เป็นสิ่งไม่ควรอย่างยิ่ง เมื่อเขาตายลง ก็ย่อมไปบังเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดุสิต
          
          ตัวอย่างที่ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ได้แก่ พระนางสิริมหามายา พุทธมารดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง ครั้นประสูตพระโพธิสัตว์แล้ว ๗ วัน ก็ดับขันธ์ไปอุบัติเกิด เป็นเทพบุตรงามโสภา อยู่ในสวรรค์ชั้นนี้ อาจมีคำถามว่า ทำไมต้องเกิดเป็นเทพบุตรซึ่งเป็นชาย เกิดเป็นเทพธิดาไม่ได้หรือ ด้วยเหตุผลมีว่า เพราะเป็นวิสัยของพระพุทธชนนี ซึ่งมีบุญญาธิการ ถ้าไปเกิดเป็นเทพธิดาแล้ว หาก เทพบุตรองค์ใดเกิดความปฏิพัทธ์มีจิตรักใคร่เสน่หา จะเกิดเป็นโทษอย่างยิ่งแก่เทพบุตรองค์นั้น 
 
สวรรค์ชั้นที่ ๕
นิมมานรดีภูมิ เป็น สวรรค์ชั้นที่ ๕ เทวดาที่เกิดในภูมินี้ย่อมมีความสนุกเพลิดเพลินในกามคุณทั้ง ๕ ที่ตนเนรมิตขึ้นมาตามความพอใจของตน เทวดาที่เกิดอยู่ในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ ดาวดึงส์ ยามา และดุสิตา ทั้ง ๔ ภูมินี้ ย่อมมีคู่ครองของตนเป็นประจำอยู่มากบ้าง น้อยบ้าง ตามบุญญาธิการของตน แต่ในชั้นนิมมานรดี และปรนิมมิตวสวัตดี ๒ ภูมินี้ ไม่มีคู่ครองของตนเป็นประจำ เทพบุตรหรือเทพธิดาในชั้นนี้ เวลาใดที่จะปรารถนาใคร่เสพในกามคุณ เวลานั้นก็จะเนรมิตเทพบุตรเทพธิดาขึ้นมา ตามที่ใจปรารถนา เมื่อได้ เพลิดเพลินกับการเสพกามคุณนั้น ๆ สมใจแล้ว เทพบุตรเทพธิดาที่เนรมิตมานั้น ก็จะอันตรธานหายไป เมื่อ ปรารถนาอีกก็เนรมิตขึ้นมาใหม่ เมื่อสมปรารถนาแล้วก็หายไป มีความเพลิดเพลินเป็นอยู่เช่นนี้ตลอดไป
          
          เมื่อ พิจารณาดูแล้วก็น่าไปเกิด แต่เมื่อพิจารณาโดยสภาวธรรมแล้ว จะเห็นว่าเป็นการไปใช้ บุญเก่าจากที่ได้สะสมมาแล้วมากมาย พร้อมนี้ก็สะสมกิเลสใหม่ไปด้วย เมื่อหมดบุญเก่า ก็ต้องไปรับผลของกิเลสที่สะสมใหม่นั้นอีก เมื่อพ้นจากเทวภูมิแล้ว อาจจะไปเกิดในอบายภูมิได้ จึงไม่ควรที่จะยินดี แต่ให้มองเห็นวัฏฏะของชีวิตว่า ตราบใดเมื่อยังมีการเกิดอีก ความทุกข์ความโทมนัสไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แน่นอน
          
          นิมมานรดี ภูมินี้ อยู่กลางอากาศห่างจากดุสิตาภูมิขึ้นไป ๔๒,๐๐๐ โยชน์ มีแต่อากาสัฏฐเทวดา อย่างเดียว ที่มีความสวยงาม ประณีตกว่าเทวดาในชั้นดุสิตา มีอายุยืนกว่า ประมาณ ๔ เท่า
ในทานสูตร กล่าวไว้ว่า ผู้ใดทำทานโดยไม่คิดว่าเราหุงหากิน แต่สมณพราหมณ์เหล่านั้น ไม่ได้หุงหากิน เราจะไม่ให้ทานก็ไม่บังควรอย่างยิ่ง แต่ได้คิดว่าเราจะให้ทาน เหมือนอย่างฤาษีทั้งหลาย ที่ได้กระทำมาในอดีต เมื่อตายลงย่อมไป บังเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี
          
          ตัวอย่างผู้ที่ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ก็คือ หญิงชรายากจนอนาถา ผู้หนึ่ง ได้ใส่บาตรด้วยน้ำผักดอง แก่พระมหากัสสปเถระเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ที่ออกจากนิโรธสมาบัติ พอตกกลางคืน เข้านอนเกิดเป็นโรคลมฉับพลัน ถึงแก่ความตาย ซึ่งก่อนที่จะตาย นางยังชื่มชมปีติโสมนัสอยู่ในใจ ที่พระมหากัสสปเถระเจ้า ได้กรุณามาโปรดถึงหน้าบ้าน เพื่ออนุเคราะห์ให้นางได้ทำทาน ทำให้นางไปเกิดเป็นเทพนารี มีฤทธิ์ มีอนุภาพมากในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี เสวยทิพยสมบัติอยู่ในปราสาทพิมาน
 
สวรรค์ชั้นที่ ๖
ปรนิมมิตวสวัตดีภูมิ เป็นสวรรค์ชั้นที่ ๖ ที่มีความสุขความสำราญ มีความเพลิดเพลินในกามคุณทั้ง ๖ เป็นอย่างยิ่ง เมื่อปรารถนาเสวยกามคุณเมื่อใด เทวดาองค์อื่นรู้ใจคอยปรนนิบัติ โดยเนรมิตให้ตามความต้องการ
          
          เทวดาในชั้นปรนิมมิตวสวัตดีภูมินี้ ทั้งเทวดาที่เป็นเทพบุตรและเทพธิดา เวลา ใดที่ปรารถนาจะเสวยในกามคุณ ก็มีเทวดาที่รู้ใจเนรมิตให้ เมื่อได้เสวยกามคุณสมความปรารถนาแล้ว สิ่งที่เนรมิตมาก็จะสิ้นไป เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี จึงไม่มีคู่ครองประจำเหมือนกับเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ ดาวดึงส์ ยามา และ ดุสิตา 
          
          ปรนิมมิตวสวัตดีภูมิ ตั้งอยู่ในอากาศ ห่างจากนิมมานรดีภูมิ ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ปรนิมมิตวสวัตดี ภูมินี้มีแต่อากาสัฏฐเทวดาอย่างเดียว มีท้าวปรนิมมิตตเทวราช หรือ ท้าววสวัตดีเทวราช เป็นใหญ่เป็นผู้ปกครอง อากาสัฏฐเทวดาทั้งหลายในภูมินี้
          
          วิมาน ทิพยสมบัติและร่างกาย มีความสวยงามประณีต มากกว่าเทวดาในชั้นนิมมานรดี มีอายุ ยาวกว่าประมาณ ๔ เท่า ถือว่าเป็นยอดภูมิ คือ ภูมิที่สูงสุดของเทวดาในเทวภูมิ ๖ ท้าววสวัตดีเทวราช ซึ่งปกครองในสวรรค์ชั้นนี้นั้น มิใช่มีอำนาจปกครอง แต่เฉพาะเทวดา ที่อยู่ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีภูมิเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจปกครองทั่วไป ถึงสวรรค์ชั้นต่ำลงอีก ๕ ชั้นด้วย คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ด้วย
          
          เมื่อ เทียบเวลาระหว่างมนุษย์กับสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีภูมิ แล้ว ๑,๖๐๐ ปี ในมนุษย์ เท่ากับ ๑ วัน ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
ในทานสูตร กล่าวไว้ว่า ผู้ใดทำทานโดยไม่ได้คิดว่า ทำทานตามฤาษีในอดีตที่เคยทำมา แต่คิดว่าทำทาน เพื่อให้จิตเกิดความปลื้มปีติในบุญที่ทำ
          
          ตัวอย่างผู้ที่ไปเกิดในสวรรค์ ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ได้แก่ นางสิริมา เดิมเป็นหญิงนครโสเภณีชั้นสูง เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนา จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว สำเร็จเป็นโสดาบัน มุ่งหน้า ประกอบแต่การกุศลตลอดมา มีการถวายทาน รักษาศีล ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัย ถวายสลากภัตวันละ ๘ สำรับ อาราธนาให้พระภิกษุสงฆ์ไปสู่เรือนตน เพื่อรับสลากภัตวันละ ๘ รูป ทุกวัน ทานจะถวายอาหารอย่างประณีตที่สุด เท่าที่จะทำได้ ถวายให้อย่างจุใจ ถวายภิกษุรูปเดียวสามารถจะฉันได้ถึง ๓ ถึง ๔ รูป เมื่อสิ้นชีพแล้วก็ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้น ปรนิมมิตวสวัตดี ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุดในเทวโลก เสวยสุขอันเปี่ยมล้นหฤทัยสุดจะพรรณา

           *************************************
                       นรกภูมิ

   ขอเสริมด้วย นรกภูมิ โดยสังเขปเพื่อเป็นอุทาหรณ์ เมื่อกล่าวถึง
สวรรค์แล้วก็ควรจะมีนรกภูมิประกอบด้วย ระหว่างกรรมดีกับกรรมชั่ว
ไว้เพื่อท่านสาธุชนจะได้พึงสังวรณ์ไว้ ว่าท่านจะเลือกทางใดทางหนึ่ง
เพื่อจะไปเสวยผลนั่นเอง

                         นรกภูมิื

นรกภูมิ

นรกภูมิ เป็นสถานที่เกิดของผู้ที่ทำบาปอกุศลไว้ เมื่อบุคคลผู้ทำบาปตายลง ถ้าบาปอกุศลนั้นส่งผลจะส่งผลมาเกิดในนรก ต้องเสวยผลของบาปที่ทำไว้ ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส แบ่งเป็นขุมได้ ๘ ขุม เรียกว่า “มหานรก ๘ ขุม”

มหานรก มี ๘ ขุม

๑. สัญชีวนรก แปลว่า คืนชีวิตขึ้นเอง หมายถึงสัตว์นรกในขุมนี้ถูกตัดเป็นท่อนเล็กท่อนใหญ่แล้วก็กลับคืนชีวิตขึ้น มาเองอีก ได้รับการทรมานอยู่ร่ำไป

 ๒. กาฬสุตตนรก แปลว่า เส้นด้ายดา หมายถึงสัตว์นรกขุมนี้ที่ร่างกายถูกตีเส้นด้วยเส้นด้ายสีดา เหมือนอย่างตีเส้นที่ต้นซุงเพื่อที่จะเลื่อย แล้วถูกผ่าด้วยขวานเป็น ๘ เสี่ยง ๑๖ เสี่ยง ได้รับทุกข์อย่างแสนสาหัส

๓. สังฆาตนรก แปลว่า กระทบกัน หมายถึงมีภูเขาเหล็กคราวละ ๒ ลูก จากทิศที่ตรงกันข้ามเลื่อนเข้ามากระทบกันเอง บดสัตว์นรกในระหว่างให้แหลกละเอียด จาก ๔ ทิศก็เป็นภูเขา ๔ ลูกเลื่อนเข้ามากระทบกันตลอดเวลา

๔. โรรุวนรก แปลว่า ร้องครวญคราง คือ มีเปลวไฟเข้าไปทางทวารทั้งเก้า เผาไหม้ในสรีระจึงร้องครวญครางเพราะเปลวไฟ บางพวกถูกหมอกควันด่าง(เป็นกรด) เข้าไปละลายสรีระจนละเอียดเหมือนแป้ง จึงร้องครวญครางเจ็บปวดเพราะหมอกควัน

 ๕. มหาโรรุวนรก แปลว่า ร้องครวญครางมาก คือเป็นทุกข์ทรมานยิ่งกว่าข้อที่ ๔

๖. ตาปนนรก แปลว่า ร้อน คือถูกให้นั่งเสียบตรึงไว้ด้วยหลาวเหล็กบนพื้นแผ่นดินเหล็กแดงลุกเป็นไฟร้อน แรง บ้างก็ถูกต้อนขึ้นไปบนภูเขาเหล็กที่มีไฟลุกโชน ถูกลมพัดตกลงมาถูกเสียบด้วยหลาวเหล็กที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นแผ่นดินเหล็กแดง ที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิง
 
๗. มหาตาปนนรก แปลว่า ร้อนสูงมาก คือเป็นที่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าข้อที่ ๖

๘. อวีจินรก แปลว่า ไม่มีระหว่าง คือไม่เว้นว่างจากทุกข์ บางทีเรียกว่า มหาอวีจิ แปลว่า อเวจีใหญ่ ภาษาไทยมักเรียกว่า นรกอเวจี นรกขุมนี้มีไฟลุกโพลงเต็มทั่วไปหมด ไม่มีระหว่างหรือเว้นว่าง สัตว์นรกขุมนี้ก็แน่นขนัดเหมือนยัดทะนาน ไม่มีระหว่างหรือเว้นว่าง แต่ก็ไม่เบียดเสียดกันอย่างวัตถุสิ่งของ เพราะสัตว์นรกต่างถูกไฟเผาหม้อยู่ในที่เฉพาะตนๆ ความทุกข์ทรมานของสัตว์นรกในขุมนี้เกิดขึ้นตลอดเวลาไม่มีว่างเว้น

พระ เทวทัตบังเกิดในอวีจินรก ยืนถูกทรมานอยู่บนพื้นเหล็กที่มีไฟลุกโชน เท้าทั้ง ๒ จมพื้นลงไปถึงข้อเท้า มือทั้ง ๒ จมฝาเหล็กถึงข้อมือ ศีรษะเข้าไปในเพดานโลหะถึงคิ้ว หลาวโลหะอันหนึ่งออกจากพื้นเบื้องล่างแทงร่างกายทะลุขึ้นไปในเพดาน หอกเล่มหนึ่งออกจากฝาทิศตะวันออกแทงทะลุหัวใจไปเข้าฝาทิศตะวันตก หอกอีกเล่มหนึ่งออกจากฝาทิศเหนือแทงทะลุซี่โครงไปเข้าฝาทิศใต้ ถูกตรึงแน่นขยับไม่ได้ ถูกเผาไหม้อยู่ในอวีจินรก

เครื่องทรมานสัตว์ นรก ในนรกใหญ่ทั้ง ๘ ขุมนี้ มีเหล็ก เช่น พื้นแผ่นดินเหล็ก เครื่องอาวุธเหล็กต่างๆ มีไฟ คือ เหล็กนั่นแหละลุกเป็นไฟร้อนแรง มีภูเขาเหล็กที่กลิ้งมาบด และมีหมอกควันชนิดเป็นกรดหรือด่าง เป็นเครื่องทรมานสัตว์นรกทั้งหลาย ในนรกขุมที่ ๑ และที่ ๒ มีนายนิรยบาล แปลว่า ผู้รักษานรก ไทยนิยมเรียกว่า ยมบาล เป็นผู้ทำการทรมานสัตว์นรก แต่นรกขุมที่ลึกลงไปกว่านั้น ในอรรถกถาสังกิจจชาดกไม่ได้กล่าวถึงนายนิรยบาล มีแต่ไฟ เหล็ก เครื่องอาวุธต่างๆ เป็นต้น บังเกิดขึ้นเองตามแต่อกุศลกรรมของแต่ละบุคคลนั้นๆ
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือทรมานสัตว์นรกเอง

นรกแดนอบายประกอบด้วย
มหานรก ๘ ขุม
อุสสทนรก ๑๒๘ ขุม
ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม
โลกันตร์นรก ๑ ขุม
รวม ๔๕๗ ขุม

ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม
(อยู่รอบ ๔ ทิศ ทิศละ ๑๐ ของมหานรกแต่ละขุม)


:73:
โลหกุมภีนรก
 :040:เป็น หม้อเหล็กขนาดใหญ่เท่าภูเขา เต็มไปด้วยน้ำแสบร้อนเดือดพล่านตลอดเวลา สัตว์ที่มาเกิดต้องรับทุกข์ทั้งแสบทั้งร้อนเสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ถูกต้มเคี่ยวในหม้อเหล็กนรกนั้นจนกว่าจะสิ้นอายุกรรมชั่วที่ตนได้ทำมา
บุพกรรม : จับสัตว์เป็นๆมาต้มในหม้อน้ำร้อน แล้วเอามากินเป็นอาหาร

สิมพลีนรก
 :040:เต็ม ไปด้วยป่างิ้วนรก มีหนามเหล็กคมเป็นกรดยาวประมาณ ๓๖ องคุลี ลุกเป็นเปลวไฟแรงอยู่เสมอ สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับทุกข์ทรมานจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
บุพกรรม : คบชู้สู่สาว ผิดศีลธรรมประเวณี ชายเป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น หญิงเป็นชู้กับสามีของผู้อื่น หรือชายหญิงที่มีภรรยาหรือสามี ประพฤตินอกใจไปสู่หาเป็นชู้กับผู้อื่น มักมากในกามคุณ

อสินขะนรก
 :040:สัตว์ นรกที่มาเกิดมีรูปร่างแปลกพิกล เช่น เล็บมือเล็บเท้าแหลมยาว กลับกลายเป็นอาวุธ หอก ดาบ จอบ เสียม สัตว์นรกเหล่านี้เหมือนคนบ้าวิกลจริตบ้างนั่ง บ้างยืน เอาเล็บมือถากตะกุยเนื้อหนังของตนกินเป็นอาหารตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกรรม
บุพกรรม : เมื่อเป็นมนุษย์ชอบลักเล็กขโมยน้อย ขโมยของในสถานที่สาธารณะและของที่เขาถวายแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ตามโพทะนรก
 :040:มี หม้อเหล็กต้มน้ำทองแดงปนด้วยหินกรวด ร้อนระอุตลอดเวลา สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับทุกข์ โดยการถูกกรอกด้วยน้ำทองแดง และกรวดหินเข้าไปทางปาก จนกว่าจะสิ้นกรรม
บุพกรรม : ด้วยผลกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อนๆ เป็นคนใจอ่อนมัวเมาประมาท ดื่มกินสุราเมรัย แสดงอาการคล้ายคนบ้าเป็นเนืองนิจ

อโยคุฬะนรก
 :040:เต็ม ไปด้วยก่อนเหล็กแดงเกลื่อนกลาดไปหมด อกุศลกรรมบันดาลสัตว์นรกที่มาเกิดเห็นก้อนเหล็กแดงเป็นอาหาร เมื่อกินเข้าไปแล้วเหล็กแดงนั้นก็เผาไหม้ไส้พุง ได้รับทุกขเวทนาจนกว่าจะสิ้นกรรม
บุพกรรม : แสดงตนว่าเป็นคนใจบุญใจกุศล เรี่ยไรทรัพย์ว่าจะนำไปทำบุญสร้างกุศล แต่กลับยักยอกเงินทำบุญของผู้อื่นมาเป็นของตน การกุศลก็ทำบ้างไม่ทำบ้างตามที่อ้างไว้ หลอกลวงผู้อื่น

ปิสสกปัพพตะนรก
 :040:มี ภูเขาใหญ่ ๔ ทิศ เคลื่อนที่ได้ไม่หยุดหย่อน กลิ้งไปมาบดขยี้สัตว์นรกที่มาเกิดให้ร่างแหลกกระดูกแตกป่นละเอียดจนตายแล้ว ฟื้นขึ้นมาอีก ถูกบดขยี้อีกจนตายเรื่อยไปจนกว่าจะสิ้นกรรมของตน
บุพกรรม : เคยเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ประพฤติตนเป็นคนอันธพาล กดขี่ข่มเหงราษฎร ทำร้ายร่างกาย เอาทรัพย์เขามาให้เกินพิกัดอัตราที่กฏหมายกำหนด ไม่มีความกรุณาแก่คนทั้งหลาย

ธุสะนรก
 :040:สัตว์นรกที่มาเกิดมี ความกระหายน้ำมาก เมื่อพบสระมีน้ำใสสะอาดก็ดื่มกินเข้าไป อำนาจของกรรมบันดาลให้น้ำกลายเป็นแกลบ เป็นข้าวลีบลุกเป็นไฟเผาไหม้ท้องและลำไส้ เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส จากกรรมชั่วที่ทำมา
บุพกรรม : คดโกง ไม่มีความซื่อสัตว์ ปนปลอมแปลงอาหารและเครื่องใช้แล้วหลอกขายผู้อื่น ได้ทรัพย์สินเงินทองมาโดยมิชอบ

สีตโลสิตะนรก
 :040:เต็ม ไปด้วยน้ำเย็นยะเยือก เมื่อสัตว์นรกที่มาเกิดตกลงไปก็จะตายฟื้นขึ้นมาก็ถูกจับโยนลงไปอีกซ้ำเรื่อย ไปจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
บุพกรรม : จับสัตว์เป็นๆโยนลงไปในบ่อ ในเหว ในสระน้ำ หรือมัดสัตว์เป็นๆทิ้งน้ำให้จมน้ำตาย หรือทำเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้รับความทุกข์และตายเพราะน้ำ

สุนขะนรก
 :040:เต็ม ไปด้วยสุนัขนรก ซึ่งมี ๕ พวก คือ หมานรกดำ, หมานรกขาว, หมานรกเหลือง, หมานรกแดง, หมานรกต่างๆ และยังมีฝูงแร้งกา นกตะกรุม สัตว์นรกที่มาเกิดจะถูก สุนัข แร้ง กา ไล่ขบกัดตรงลูกตา ปากและส่วนต่างๆ ได้รับทุกขเวทนาจากผลกรรมชั่วทางวจีทุจริต
บุพกรรม : ด่าว่าบิดามารดา ปู่ย่าตายาย พี่ชายพี่สาวและญาติทั้งหลายไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ ตลอดจนพระภิกษุสงฆ์สามเณร

ยันตปาสาณะนรก
 :040:มี ภูเขาประหลาด ๒ ลูก เคลื่อนกระทบกันตลอดเวลา สัตว์นรกที่มาเกิดจะถูกภูเขาบีบกระแทก ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส ตายแล้วก็กลับฟื้นขึ้นมา จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
บุพกรรม : เป็นหญิงชายใจบาปหยาบช้า ด่าตีคู่ครองด้วยความโกรธ แล้วหันเหประพฤตินอกใจไปคบชู้เป็นสามีภรรยากับคนอื่นตามใจชอบ


     การที่ข้าพเจ้านำมาเผยแพร่ให้ทราบถึงกุศลกรรมและอกุศลกรรม
นั้นมิใช่ให้ท่านนั้นได้เชื่อถือแต่ประการใดก็หาไม่ เพียงเพื่อให้เกิด
ความสังวรณ์ ด้วยสิ่งที่นำมากล่าว ณ ที่นี้นั้นมีหลักฐานอ้างอิงทั้งสิ้น
เพื่อให้ท่านที่ประกอบแต่กุศลกรรม และอกุศลกรรมได้พึงสังวรณ์ไว้
เท่านั้นเอง  สวัสดีครับ

              **************************

                   *  แก้วประเสริฐ. *

qp011.gifCartoon_Animation_08.gifflowers_170.gif692823n68ya60jv9.gif				
8 มกราคม 2554 21:18 น.

อทิสมานกาย ๗๐

แก้วประเสริฐ

76.gif
               อทิสมานกาย ๗๐

    ภายในห้องฝ่ายปราบปรมสถานีตำรวจในจังหวัด พตท.วิเชียร อรุณโชติ
กำลังก้มหน้าก้มตาดูภาพถ่ายและรายงานของเจ้าหน้าที่ส่งมาให้ตรวจสอบ
ผลของการจับกุมพ่อค้ายาเสพติดอยู่นั้น  ก็ต้องเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงาน
   “ท่านผู้ช่วยครับ  มีแขกจะมาขอพบท่านครับ “
ตำรวจหน้าห้องเข้ามารายงาน
   “ใครหรือจ่า???...ที่จะมาขอพบผมนะ”
   “เขาบอกว่าชื่อ เม้ง เจริญกิจตั้งไพบูลย์ ครับท่าน”
   “อ้อ???...เสี่ยเม้งนั่นเอง เชิญเขาเข้ามาได้แล้วจ่า”
   “ครับผ๊ม...”
     แล้วจ่าก็ทำความเคารพเดินออกไปยังหน้าห้องทำงาน พร้อมนำร่างชาย
รูปร่างท้วมผิวกายขาวเข้ามาพบ พร้อมด้วยชายอีกสองคนเดินตามหลังมา
ด้วย  ครั้นเห็นพตท.วิเชียรก็ยกมือไหว้ท่านผู้ช่วยรองผู้กำกับทันที
   “นึกว่าใครเสียเอง   นั่งๆๆๆๆตามสบายนะเสี่ยมีอะไรหรือถึงได้มาถึงที่นี้นะ”
   เสี่ยเม้งก็นั่งลงตรงเก้าอี้ตรงกันข้ามกับโต๊ะทำงาน พร้อมหันไปทางลูกน้อง
ที่ยืนถือกระเช้าผลไม้อยู่  รับมาแล้วเสี่ยเม้งก็นำมาส่งมอบให้พตท.วิเชียรทันที
พลางเอ่ยขึ้นว่า
   “ไม่มีอะไรหรอกครับท่าน เพียงนึกถึงก็แวะมาเยี่ยมเยียนกันเท่านั้นเองครับ
นี่กระเช้าผลไม้ที่ผมคัดเลือกมาเองครับใต้ผลไม้นั้นมีของพิเศษครับท่าน”
    “ต้องมีซิเสี่ยมิฉะนั้นเสี่ยไม่มาหาผมที่ทำงานแน่ๆเลย” 
ท่านผู้ช่วยรองผู้กำกับกล่าว และยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อเสี่ยเม้งบอกว่ามีของพิเศษอยู่
    “ว่ามาได้เลยจะให้ผมช่วยอะไรได้บ้างล่ะ???...”
    “ไม่มีเรื่องอะไรใหญ่โตหรอกครับท่าน เพียงแต่ว่าอยากจะให้ท่านผู้ช่วยดูแล
ในเรื่องกำนันมั่นสักหน่อยครับ  ด้วยกำนันนั้นเป็นคนของผมครับตอนนี้ถูกจับ
กุมไว้และทางนี้ก็ยังไม่ยอมให้ประกันตัวเลยครับ”

     เสี่ยเม้งเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อม  สารวัตรวิเชียรได้รับฟังก็สะดุ้งแต่สีหน้าก็ยังปกติ
   “แล้วเสี่ยไปหาสารวัตรอำนวยมาแล้วหรือยังล่ะเสี่ย???....ด้วยเขากำลังทำงาน
ในเรื่องนี้อยู่พอดีเป็นหน้าที่ของเขาด้วยนาเสี่ย”
สารวัตรวิเชียรถาม   ด้วยทราบว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเสียด้วยด้วยท่านรองผู้กำกับ
มีหนังสือห้ามเยี่ยมห้ามประกันตัวไว้
   “ไปหามาแล้วครับท่าน  สารวัตรอำนวยบอกว่าให้มาปรึกษากับท่านก่อนด้วยท่าน
มีอำนาจในการจัดการเรื่องนี้ก่อนเสนอไปยังท่านรองผู้กำกับครับท่าน”
   “อย่างงั้นหรือ???...แล้วคุณอำนวยกล่าวเพิ่มเติมอีกหรือเปล่าล่ะ???...”
   “เห็นรับปากว่าจะช่วยครับเท่าที่จะช่วยได้  จะทำสำนวนให้อ่อนหน่อยเมื่อไปถึง
ทางอัยการครับ  แต่สำนวนนี้ต้องผ่านมือท่านอีกเพื่อตรวจสอบก่อนจะรายงานครับ”
   “อย่างนั้นหรือ  อ้อๆๆ ผมได้รับสำนวนมาแล้วล่ะนี่กำลังนั่งพิจารณาอยู่นะเสี่ย”
   “ผมก็อยากจะให้ท่านประสานงานกับสารวัตรอำนวยด้วยครับ 
ถึงอย่างไรก็มันเป็นเด็กของผมอยู่หนักก็ให้เป็นเบา
 หรืออาจจะขอประกันตัวได้ครับถ้าเป็นไปได้นะครับ”
   “เอาล่ะเรื่องนี้เสี่ยไม่ต้องเป็นห่วงอะไรหรอก  เราคนกันเองแท้ๆ
ผมกับคุณอำนวยจะได้ช่วยกันและจะรายงานผลนั้น
ให้ท่านรองผู้กำกับพิจารณาหาทางแก้ไขให้นะ”
   “ครับๆๆขอบคุณมากครับ หากประกันตัวได้ผมก็จะมีสิ่งที่ดีกว่านี้
สมนาคุณท่านทั้งสองด้วยครับ”
   “ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนเวลาของท่านสารวัตรแล้วนะครับ
 จะได้รีบกลับไปก่อนครับ
   “เชิญตามสบายเถอะเสี่ย  ไม่ต้องห่วงหรอกผมจะแก้ไขทำให้สำนวน
ให้อ่อนขึ้นไปอีกนะ”
   “ครับดีครับขอบคุณท่านสารวัตรมากๆนะครับ”

     แล้วเสี่ยเม้งก็ลุกขึ้นยกมือไหว้สารวัตรวิเชียร แล้วลากเก้าอี้ให้เรียบร้อย
 หันไปพยักหน้ากับลูกน้องสองคน  มันทั้งสองก็หันมา
ยกมือไหว้สารวัตรวิเชียรเดินตามหลังเสี่ยออกจาก
ประตูห้องสารวัตรทันที
     ครั้นเสี่ยเม้งก็นำกระเช้ายกไปวางบนหลังตู้เอกสารด้านหลัง
แต่ก่อนจะนำไปวางได้ล้วงไปยังก้นตระกร้ากระเช้า
 ดึงซองสีขาวออกมาวางในลิ้นชักข้างหน้าโต๊ะ ครั้นวางของเสร็จ
ก็มานั่งยังโต๊ะ ดึงลิ้นชักเปิดซองดูเห็นแบงค์พันปึกใหญ่ๆ
คงประมาณหลายๆหมื่นก็ยิ้มแล้ว
   แล้วเอื้อมมือหยิบกระเป๋าเอกสารเอาซองนำมาใส่
ยังกระเป๋าเอกสารของตน ทันทีแล้วก็หันไปดูเอกสารต่อไป
  เอกสารนั้นเป็นสำนวนของ พตต.อำนวยฝ่ายสืบสวนและสอบสวน
เสนอมายังตน  อ่านแล้วเห็นว่าสำนวนมันอ่อนมากอยู่แล้ว
 จึงได้แก้ไขเพิ่มเติมให้อ่อนลงไปอีกเพื่อที่ท่านรองผู้กำกับพิจจารณา
จะได้ไม่ต้องสงสัย พร้อมกับทำรายงานเสนอแนะเพื่อให้มีการ
ประกันตัวกำนันไปเพื่อจะได้ขยายผลในการจับกุมหัวหน้าใหญ่ต่อไป 
 ซึ่งสารวัตรวิเชียรรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าเป็นใคร
 เพียงเพื่อที่จะฉาบหน้าไว้เท่านั้นเอง

   ครั้นตรวจสอบทำรายงานแล้วก็เรียกจ่าหน้าห้องเข้ามา ยื่นหนังสือเอกสาร
ทั้งหมดที่ปิดผนึกตีตราว่า “ลับที่สุด”  บนซองยื่นมอบให้จ่านำไปให้ฝ่าย
ธุรการเพื่อเสนอต่อไปยังท่านรองผู้กำกับทันที
   เมื่อธุรการนำหนังสือที่สารวัตรวิเชียรและสารวัตรอำนวยทำไว้มาส่งให้
ท่านรองผู้กำกับแล้ว  ท่านก็เปิดออกอ่านเห็นสำนวนนั้นช่างอ่อนมากก็บังเกิด
ความสงสัยอีกทั้งยังขออนุญาติให้มีการประกันตัวได้ก็ยิ่งสงสัยไปอีกแต่ท่าน
ไม่พูดอะไรเลย  พลางหันไปทาง รตต.วิชิตที่นั่งอยู่ภายในห้องให้มาหาทันที
   “คุณวิชิต มาหาผมหน่อยนะจะมีเรื่องขอร้องหน่อย”
เมื่อ รตต.วิชิตที่กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนเอกสารของท่านรองผู้กำกับอยู่เงยหน้า
แล้วขานรับทันที
   “ครับผ๊ม”  แล้วร่างรตต.วิชิตก็เดินเข้าไปหาท่านรองผู้กำกับทันที
   “นั่งลงก่อนซิคุณวิชิต”
   “ครับผ๊ม???....”
   ที่จริงแล้วรตต.วิชิตนี้เป็นคนของพล.ตต.วีระโชติผู้กำกับการนี้อยู่ 
ได้ส่งตัวแอบแฝงมาตรวจสอบการทำงานของตำรวจทั้งหมดในโรงพักนี้
 โดยการสนันสนุนจากสารวัตรชัชวาลย์และผู้กองจรัสและผู้กองจำลอง
   “ท่านมีเรื่องอะไรจะใช้ผมหรือครับ”
   “ผมอยากจะให้คุณช่วยตรวจสอบสำนวนนี้หน่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ
 ด้วยผมสงสัยในบางสิ่งบางอย่างรู้สึกว่า
จะไม่ชอบมาพากล คุณก็จบนิติศาสตร์ด้านนี้โดยเฉพาะจาก
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาแล้วนี่  ไหนๆลองตรวจสำนวนหน่อยนะ”
   “ครับท่าน” 

   แล้วหมวดวิชิตก็นำเอาสารมานั่งเปิดอ่านบนโต๊ะของท่านรองผู้กำกับทันที
  เมื่ออ่านไปหน้าตาเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
 แต่ท่านรองผู้กำกับที่นั่งมองเฝ้าพิจารณาอยู่เห็นก็รู้พลางอมยิ้มไปด้วย  
 เมื่อหมวดวิชิตอ่านจบก็ยื่นเอกสารทั้งหมดให้ท่านรองผู้กำกับทันที
   “เป็นอย่างไรบ้างหมวด  ใช้ได้ไหมล่ะพอที่จะส่งอัยการสั่งฟ้องได้หรือไม่ล่ะ???...”
   “ในความรู้ที่ผมเรียนมานะครับเป็นสำนวนขัดแย้งกันในตัวครับท่าน 
ถ้าหากส่งไปให้อัยการก็จะต้องถูกตีกลับมาทำใหม่อีกครั้งครับท่าน
 อีกประการหนึ่งการจะให้ประกันตัวนั้นผมคิดว่ายังไม่เหมาะสม
ในระยะนี้หรอกครับ
 อาจจะเป็นที่เพ่งเล็งของทางกรุงเทพฯก็เป็นไปได้สูงครับท่าน” 
    หมวดวิชิตรายงานตามความเป็นจริง
   “อืมมม??....คุณมีความคิดเช่นเดียวกับผมเลยถึงแม้ว่าเรื่องนิติศาสตร์
ผมจะไม่เคยผ่านการศึกษาจากรั้วนี้มาก่อนก็ตามทีแต่ประสบการณ์
ในการเป็นตำรวจทั้งฝ่ายปราบปรามและสืบสวนมาแล้ว
เห็นว่าทำไมสารวัตรวิเชียรและสารวัตรอำนวยถึงได้ทำเรื่องเช่นนี้ได้นะ
น่าสงสัยจริงๆเสียด้วยหรือว่า???...”
   แล้วท่านก็ไม่กล่าวต่อไป  พลางหันส่งเสียงเรียกหน้าห้องทันที
   “จ่าๆๆๆอยู่หรือเปล่า???...เข้ามาหาผมหน่อยซิ”
   “อยู่ครับท่าน”
แล้วร่างจ่าซึ่งพึ่งจะได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายมาก็เปิดประตู
เดินเข้ามาหาท่านรองทันที    เมื่อถึงแล้วก็ทำความเคารพวันทยาหัตถ์
   “ท่านต้องการอะไรหรือครับ”
   “อ้อๆๆ....ผมอยากจะให้คุณไปตามสารวัตรชัชวาลย์
กับผู้กองจรัสและจำลองมาพบผมด่วนด้วยนะ ไปเดี๋ยวนี้เลย”
   “ครับผ๊ม”
   แล้วร่างจ่าคนใหม่ก็รีบเดินออกจากห้องไปทันที

   ชั่วเวลาไม่นานนัก ร่างตำรวจทั้งสามก็เข้ามาในห้อง
ของท่านรองผู้กำกับ ต่างทำความเคารพท่านรอง พลางเอ่ยปากจะกล่าว
   แต่ท่านรองผู้กำกับโบกมือไม่ให้ต้องพูดอะไร  แล้วกล่าวขึ้นว่า
   “เชิญคุณทั้งสามนั่งได้นะผมมีเรื่องจะปรึกษา  อ้อๆๆๆหมวด
ไม่ต้องไปหรอกนั่งอยู่ช่วยกันคิดกันหน่อยนะ”  
     “ครับผ๊ม”
   ร่างหมวดจะลุกขึ้นหลีกทางให้แก่สารวัตรและผู้กอง 
 สารวัตรกับผู้กองหันมายิ้มให้หมวดทันทีด้วยต่างรู้ใจซึ่งกันและกัน
  หมวดวิชิตก็ไปหาเก้าอี้โดยบอกให้จ่าชื่นนำเก้าอี้มาเสริมทันที
   ครั้นทุกๆคนนั่งแล้วท่านรองผู้กำกับก็ยื่นเอกสารให้ทั้งสาม
อ่านดูก่อน รอฟังคำอธิบาย   ทั้งสามอ่านไปต่างก็คิ้วขมวดไป
ตามๆกันทันที  เสร็จแล้วพลางเงยหน้าไปทางท่านรอง
   “เป็นอย่างไรบ้างล่ะสารวัตรผู้กอง หากไม่ได้อ่านเอกสารนี้
ผมก็ยังไม่สงสัยอะไรอีกด้วยเราสี่คนนี้รู้อะไรๆอยู่ก่อนแล้ว
 ผมคิดไม่ถึงจริงๆนะว่าจะเป็นไปได้”
ท่านรองเอ่ยให้สารวัตรผู้กองฟัง
   “ท่านครับ...ที่จริงนั้นผมสามคนพอจะรู้เรื่องสารวัตร
ทั้งสองอยู่เหมือนกันครับแต่ไม่อยากจะไปก้าวก่ายเท่าไหร่
 ด้วยผมทั้งสามพึ่งมาใหม่ครับ”

   “นั่นซิ???...ตอนแรกผมก็ไว้วางใจเหมือนกันนะ 
แต่มาระยะหลังนี้คนของผมก็กระซิบบอกมาแต่ผมก็ยัง
ไม่ปักใจเชื่อนักด้วยหลักฐานไม่มี  พึ่งจะมาแสดงเจตจำนงค์
ก็คราวนี้แหละ  ความสงสัยที่มีอยู่แล้วก็เลยปักใจเชื่อมั่นยิ่งขึ้น”
   ท่านรองผู้กำกับกล่าว
   “ นี่ดีนะที่ผมรู้ด้วยอีกไม่กี่เดือนผมก็จะปลดเกษียณไปแล้วสารวัตร
วิเชียรซึ่งเป็นผู้ช่วยก็จะได้เลื่อนมาแทนผมแล้วอะไรจะเกิดขึ้นอีกล่ะ
 หากท่านผู้กำกับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่จะคิดว่าผมบกพร่องต่อหน้าที่
ไปก็ได้เชียวนา
    จึงได้เรียกคุณทั้งสามมาช่วยปรึกษาขอคำแนะนำด้วย 
เพราะงานนี้คุณทั้งสามเป็นฝ่ายเข้าทำการจับกุม
โดยข้ามหน้าข้ามตาเขาไปด้วย  แต่เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาหรอก
     อันที่จริงจะว่าพวกคุณก็ไม่ได้หรอกเพราะเป็นด้วยเหตุ
บังเอิญมากกว่านะ”
   “ครับมันเป็นสิ่งบังเอิญจริงๆครับ  ในระหว่างการค้นหาหลักฐานนั้น
 หากตำรวจไม่ค้นพบห้องใต้ดินเสียก่อนก็คงจะไม่ทราบด้วยค้นยาก
ด้วยบ้านมันพังสุมทับกันไปหมด

  แต่ตำรวจที่มาใหม่เห็นผิดสังเกตุอะไรบางอย่างตามวิสัยตำรวจซึ่งมันไม่
น่าจะเกิดขึ้นในเรื่องนี้ รุนแรงจนบ้านทั้งหลังพังลงมาได้ต้องมีสาเหตุแน่นอน
ด้วยตำรวจพวกนี้ผ่านการอบรมมาอย่างเชี่ยวชาญก่อนจะมาประจำยังที่นี่ครับ
ทั้งหมดจึงได้แหวกกองไม้ดูจากการสงสัยที่ได้อบรมมาจึงพบ”
สารวัตรชัชวาลย์ชี้แจง
   “แล้วคุณจะให้ผมทำอย่างไรซิบอกมาได้เลยนะ”
ท่านรองเอ่ยขึ้น
   สารวัตรหันไปทางหมวดวิชิตทันทีด้วยอะไรๆก็รู้กันอยู่แล้ว
อีกทางหนึ่งจะได้ส่งเสริมเขาด้วย
   “ว่าไงคุณวิชิต คุณมีความเห็นประการใดหรือไม่ล่ะ???...”
   หมวดวิชิตสะดุ้งแล้วพลันนึกขึ้นได้ ในใจก็ขอบใจสารวัตร
ชัชวาลย์ทันทีด้วยเปิดหนทางให้แก่เขาไว้แล้ว
   “ครับท่านสารวัตรในความคิดเห็นของผมนะ 
ว่าควรจะส่งเรื่องกลับคืนไปให้ทางสารวัตรวิเชียรและสารวัตรอำนวย
ตรวจสอบแก้ไขอีกทีหนึ่งก็จะเหมาะครับท่าน”
  “อืมม???....เหมือนใจผมเลยล่ะวิชิต  เรื่องแบบนี้ไม่ธรรมดานะ”
   “เป็นความคิดที่ดีมากหมวด   เอาล่ะผมจะส่งเรื่องคืนกลับไป
คุณเขียนรายงานมาให้ผมลงนามไว้ก็แล้วกันและ
ให้ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุดด้วย”

   “ครับท่าน  ผมจะรีบรวบรวมเอกสารทั้งหมดแล้วทำรายงาน
ส่งให้ท่านลงนามใส่ไปในซองให้สารวัตรทั้งสองต่อไปครับท่าน”
   “เอาล่ะเป็นอันตกลงตามนี้นะ  ผมเองก็เห็นชอบด้วย 
 อ้อๆอีกอย่างหนึ่งให้คุณชัชวาลย์
คุณจรัสและคุณจำลอง ลอบส่งคนที่ไว้วางใจได้ให้ประกบตัวสารวัตร
ทั้งสองด้วยนะทั้งที่ทำงานและที่บ้าน ที่อื่นด้วยอย่าให้คลาดสายตา
และอย่าให้รู้ตัวด้วยเสียล่ะ???....”
   “อ้าๆๆๆ!!!!....แล้วหากเขาจับได้ล่ะครับจะว่าอย่างไรครับท่าน”
สารวัตรชัชวางย์เอ่ยถามเพื่อหาสิ่งคุ้มครองตนเอง
   “เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอกผมวางแผนไว้แล้วล่ะ  
หมวดทำหนังสือเกี่ยวกับเรื่องของสารวัตรทั้งสองแล้วมาให้ผมเซ็นต์
ลงนามไว้ส่งมอบให้แก่สารวัตรและผู้กองด้วยนะ ไปทำได้เลยล่ะ”
   “ครับผม” 
หมวดวิชิตกล่าวพลางหันไปยิ้มกับสารวัตรผู้กอง 
 แล้วรีบไปนั่งที่โต๊ะเขียนรายงานการสั่งงานของท่านรองผู้กำกับทันที 
นำเอกสารสามฉบับพร้อมด้วยซองสีน้ำตาลราชการมาด้วย
 พลางยื่นให้ท่านรองผู้กำกับอ่าน  เห็นท่านพยักหน้าแล้วหยิบปากกาบนโต๊ะ
มาลงนามพร้อมกับประทับตราประจำตำแหน่งไว้ทันที
  พร้อมยื่นส่งมอบให้แก่นายตำรวจทั้งสามเก็บไว้เป็นหลักฐานอ้างอิงต่อไป

   “ผมมีเรื่องแค่นี้แหละ งั้นเชิญทั้งสามกลับไปทำงาต่อได้แล้ว
 อ้อๆๆอย่าลืมแจ้งให้ผมรู้ด้วยนา”
   “ท่านไม่ต้องกังวลหรอกครับ  ผมใช้คนของผม
ซึ่งมาประจำการใหม่ๆไม่ให้คนเก่าๆได้รู้หรอกครับท่าน”
   “นั่นซิตอนนี้ผมเองก็ชักจะไม่แน่ใจตำรวจเก่าเข้ามาอีกแล้วล่ะ
 ย้ายไปหน่วยหนึ่งไหงดันเกิดหน่วยที่สองตามมาอีกก็ไม่รู้ 
หรือว่ามันจะเก็บหางมันไว้ก็ไม่อาจจะรู้ได้”
ท่านรองผู้กำกับเปรยๆขึ้น พลางลูบคางเบาๆๆ
   “ถ้างั้นเชิญได้แล้วล่ะ กลางวันนี้เจอกันที่เดิมนะ”
   “ครับท่าน”
   แล้วสารวัตรผู้กองก็ทำความเคารพหันไปยิ้มกับหมวดวิชิต
 แล้วก้าวเดินออกจากห้องไปโดยปิดประตู แล้วเดินไปที่โต๊ะของจ่าชื่น
พลางยกมือขึ้นตบไหล่เบาๆ กระซิบว่า ระวังตัวหน่อยนะจ่า
จ่าชื่นที่อยู่ในท่าวันทยาหัตถ์เอ่ยรับคำทันที
  ร่างของนายตำรวจก็แยกย้ายกันเข้าห้องไปทำงานต่อทันที 
 ทั้งหมดนี้หามีผู้ใดรู้เห็นแต่ประการใดไม่..............

                *  แก้วประเสริฐ.  *

qp011.gifCartoon_Animation_08.gifflowers_170.gif692823n68ya60jv9.gif				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ