17 มีนาคม 2553 21:09 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 61 (อวสาน)

แก้วประเสริฐ


                ลุ่มลึกอิสราวดี  61  (อวสาน)

     งานพิธีพระราชสยุมพรบังเกิดขึ้น   ประชาชนภายในเมืองต่างหยุดการค้าขายทั้งสิ้นพากันออกมา
ร่วมถวายพระพรพร้อมเพรียงกัน   ทางฝ่ายอำมาตย์ใหญ่เสนาบดีก็จัดการเฉลิมฉลองด้วยบรรดา
มโหรีการแสดงต่างๆอย่างมโหฬาร ให้บรรดาประชาราษฎร์ต่างชมกัน  ภายในเมืองมีแต่เสียงหัวร่อ
บรรดาเหล่าทหารหาญทั้งหลายก็ได้รับอนุญาตจากแม่ทัพใหญ่ตามแนวกำแพงเมืองมิให้มีการป้อง
กันแต่ประการใดมาร่วมงานในครั้งนี้  เพียงกำชับว่าหากดื่มกินเหล้าแล้วอย่าสร้างความเดือดร้อนให้
แก่ประชาชน  หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกลงโทษอย่างหนัก   เป็นที่ครึกครื้นสนุกสนานไปทั่วเมือง
      ในท้องพระโรงนั้นถูกประดับประดาด้วยสีสันอันอลังการ สถานที่ใช้รดน้ำพระคนโทนั้นก็ถูก
ประดับด้วยสีสันลวดลายต่างๆ   หน้าโต๊ะที่ประดับไว้กับประดับด้วยไข่มุกส่งแสงเรืองรองยิ่งนัก
 เหล่าบรรดาสนมกำนัลนางต่างแต่งกายโอ้อวดกันและกัน ส่งเสียงหัวร่อและต่างเข้ารับแขกเมือง 
 มิให้ขาดพระแม่เจ้าสิริสาอลงกรณ์วดีเป็นผู้ที่หลั่งน้ำพระสยุมพรคนแรกตามมาด้วยพระปิตุลาและ
เจ้าเมืองอิสราวดีและเจ้าเมืองขององค์หญิงต่างๆแล้วตามไปด้วยบรรดาแว่นแคว้นต่างๆแล้วเข้าประจำที่
      ภายในมีการแสดงมโหรีฟ้อนรำอวยพรถวายให้แขกเมืองชม   ต่างพากันส่งเสียงหัวร่อต่อกระซิกกัน
มีความรักใคร่ดุจพี่น้องครอบครัวเดียวกัน   ครั้นงานรดน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว  พระเจ้าศิระสุริยะชัยราชันย์
ก็พาพระมเหสีทั้งหลายกล่าวขอบคุณไปยังบรรดาเจ้าเมืองทั้งหลาย   

     บรรดาเจ้าเมืองทั้งหลายต่างตาค้างไปตามๆกันถึงความงดงามของพระมเหสีทั้งหลาย  คิดไม่ถึงว่า
พระมหากษัตริย์แห่งเมืองศิระสุริยะชัยจะทรงเปี่ยมด้วยพระบารมียิ่งนัก   ประดุจดาวล้อมเดือนมิปาน
ต่างเซ็งแซ่กล่าวขานมิสิ้นสุดต่างสดุดีพระบารมีของปฐมกษัตริย์เมืองนี้มากมาย  ชายหนุ่มก็ทักทาย
บรรดาเจ้าเมืองต่างๆโดยพร้อมเพรียงกันทุกๆพระองค์   แล้วทรงมอบของขวัญตอบแทนเพื่อเป็นที่
ระลึกประกอบด้วยสิ่งของมีค่ายิ่งนัก  แล้วก็เสด็จมายืนหน้าพระราชบัลลังก์  ทรงให้เหล่าสนมกำนัล
นำพานออกมา  ภายในพานประดับด้วยแก้วสดใสที่ถูกเจียรนัยสีแดงคือก้อนหินสีแดงนั่นเองที่กลาย
เป็นแก้ว ครั้นถูกเจียรนัยแล้วส่งประกายแวววาวสดใสยิ่งนักล้อมด้วยเพชรนิลจินดาเก้าประการ
        สายสร้อยนั้นทำด้วยทองคำและเรียงรายด้วยเพชรทั้งสิ้น  พร้อมทั้งสวมมงกุฎที่ประดับประดาด้วย
เพชรนิลจินดาเก้าประการหน้ากระบังมงกุฎก็ประดับด้วยแก้วสีแดงที่ถูกเจียรนัยไว้ยอดของหน้ากระบัง
นั้นถูกประดับด้วยขนนกวายุภักดิ์ที่มีสีสันแวววาวหลากสี  มวยผมของเหล่ามเหสีประดับด้วยปิ่นทองที่
เรียงรายด้วยเพชรนิลจินดาต่างแห่งเมืองหงสาที่พระแม่เจ้าทรงสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษมอบให้ตอนหลั่งน้ำ
แล้วพระองค์ทรงปักบนมวยผมให้เองทุกๆพระองค์หญิง
       ครั้นได้รับของมาแล้วชายหนุ่มก็ทรงสวมสร้อยที่พระศอแล้วสวมมงกุฎบนพระเศียรพระอัครมเหสี
ก่อนแล้วก็ทำแบบเดียวกันกับรองลงมาจนครบแปดเจ้าหญิง  บรรดานางรำก็นำดอกไม้นานาชนิดที่ส่ง
กลิ่นหอมยิ่งนักโปรยไปยังบรรดาพระมเหสีทั้งแปดทันที  มโหรีต่างบรรเลงเพลงติดตามด้วยนางรำออก
มาร่ายรำ   ทำให้บรรดาเจ้าเมืองที่เป็นพระบิดาพระมารดาขององค์หญิงพากันหลั่งน้ำพระเนตรด้วยความ
ปลื้มปิติไปสิ้น  แม้ แต่อำมาตย์หัวหน้าเผ่าคิกิอุระกะและพี่ชายก็ปิติปลื้มยินดีไปทั่ว  แม้ว่ารู้แล้วว่าแม้จะ
เป็นบุตรสาวตนเองแต่ก็แค่เพียงร่างกายแต่ภายในหาใช่ไม่  ด้วยเคยเข้าเฝ้าแล้วพระนางประกายแดงและ
พระนางประกายเขียวจำไม่ได้เลย  แต่ด้วยปฏิภาณไหวพริบก็ไม่ทรงรังเกียจให้การต้อนรับประดุจบิดา
และพี่ชายเช่นเดียวกัน  

      ตลอดจนถามไถ่ความเบื้องหลังของร่างแม่นางทั้งสองอย่างละเอียด หัวหน้าเผ่าซึ่งบัดนี้เป็นอำมาตย์
ก็กราบทูลให้ทราบทั้งสิ้น  นางทั้งสองจึงยกย่องเสมอบิดาตนเอง   ครั้นงานพิธีผ่านไปจวบจนเกือบจะ
เที่ยงคืน   เจ้าเมืองต่างๆก็พากันลากลับไปพักผ่อนยังที่ห้องรับรองแขกทันที   เหลือแต่เหล่าสนมกำนัล
และทหารองครักษ์ที่ยังคอยปรนนิบัติชายหนุ่มและเจ้าหญิงทั้งแปดอยู่จนกระทั่งชายหนุ่มนำพระมเหสี
ทั้งแปดเข้าสู่ยังตำหนักของพระองค์แล้วก็ทรงเย้าหยอกล้อกันกัน  ทำให้บรรดาพระมเหสีต่างเอียงอาย
ไปตามๆกัน    พลางชายหนุ่มก็เอื้อนเอ่ยพระดำรัสขึ้นในท่ามกลางการหยอกเย้าของเหล่ามเหสี ทำให้เหล่า
พระมเหสีหยุด  ต่างหันมาฟังพระดำรัสทันที

   แปดนางช่างเพริศพริ้ง    ลาวัลย์  จริงเฮย
ผิวเปล่งดั่งนวลจันทร์         หยาดเยิ้ม
ยากคิดแบ่งเสกสรร          คืนก่อ  สวาทแฮ
ยิ่งพิศยิ่งเคลิบเคลิ้ม          อ่อนซึ้งนวลฉวี ฯ

   ลีลานางดุจฟ้า             โลมดิน
เปรียบดั่งหงส์ยุพิน            ยากคว้า
ค่ำนี้ยากคงถวิล              กกกอด  นางเฮย  
พิศยิ่งใจอ่อนล้า              ยากแท้เยือนนาง ฯ    

     องค์หญิงจันทิราเทวีครั้นได้รับฟังก็แย้มยิ้มพลันเจื่อนแจ้วทันที

   อิสราวดีซาบซึ้ง          ก่อนใคร   พี่เอย
เคยสู่หมั้นเหตุไฉน          ป่วนซึ้ง
ใยท่านพี่มากไป            จวบก่อ  กาลแฮ
จงฝากสิ่งก้นบึ้ง             แห่งห้วงเสน่หา ฯ

    องค์หญิงอรทัยตอบโต้ทันควัน

   เดือนดาวแม้นมิคล้อง   ใฝ่ปอง
อวบอัดมัดเรืองรอง        คอยแล้ว
เหล่าหญิงเลือกให้ครอง     รอพี่  ต่อแฮ
ตัวพี่อย่าคลาดแคล้ว       เหล่าน้องคอยสนอง ฯ

    ส่วนองค์หญิงกัลยาเทวีก็ไม่ยอมแพ้เอื้อนเอ่ยพลางพระสรวลดังลั่นแถมหลิ่วตาอีกด้วย

   มังกรทองผ่องแพร้ว     หฤทัย  พี่เอย
หงส์ฟ้าปีกวิไล            หุบซึ้ง
ถ้ำทองผ่องอำไพ          หวังเทียบ เมฆินทร์
อันอาจจะโกรธขึ้ง         หมดสิ้นถวิลปอง ฯ

  พอพระนางกลางจบก็พลางหัวร่อต่อกระซิกกับเจ้าหญิงองค์อื่นๆ 
 องค์หญิงสิริกัลยาหัวร่อพลางขานแจ้ว

   บุรุษใยโลกนี้             ป่วนคนึง
มิคิดความตราตรึง            แย่แล้ว
ในสนามรบถูกขึง             ฟันฝ่า   มากแฮ
เพียงหนึ่งหญิงเพริศแพร้ว      พี่เจ้าใคร่ครวญ ฯ

   องค์หญิงสิรินภาวดีตรัสขึ้นทันที

   ข้าศึกยังเตลิดแล้ว       ยามพบ   พี่นา
หญิงหนึ่งงามบรรจบ         จากฟ้า
กลัวเกรงกลับมิสงบ         ฝากต่อ  ใครเอย
องค์พี่งามเลิศหล้า          สุดแท้ผ่านสนอง ฯ

    องค์หญิงประกายแดงเทวีหันไปหยิกแขนชายหนุ่มแล้วเอ่ยว่า

      ประกายแดงแนบข้าง    ยังยอม  พวกเอย
ไม้ดอกกรุ่นกลิ่นพยอม         หอบซึ้ง
นางยอมซึ่งชวนดอม           ใยพี่  กลัวแฮ
ใครเอ่ยซาบซึ้งบึ้ง            กิ่งแก้วเหม่อมอง ฯ

   องค์หญิงประกายเขียวพลันทรงพระสรวลลั่นเอ่ยวจีไปพลางหัวร่อไป

   ใดใดใยโลกนี้       แปลกจริง
แต่ก่อนเคยแอบอิง      สู่น้อง
บัดนี้กลับยากพิง        ฟ้าแนบ  สวรรค์แฮ
โอ้อกเอ๋ยต้องร้อง        แปลกแท้แมนสรวง.ฯ

       ครั้นเจ้าหญิงอิสรวดีนารีได้ฟังการหยอกเย้าก็ไล่หยิกทุบตีพวกนางทั้งเจ็ดทันที   เหล่าบรรดาแม่นาง
ทั้งเจ็ดก็พากันทรงพระสรวลลั่นห้องแล้วพากันชักชวนกันออกไป   ทิ้งไว้ให้ชายหนุ่มอยู่กับแม่นางอิสรวดีนารี
เพียงสองต่อสอง  เมื่ออยู่สองต่อสองเจ้าหญิงอิสรวดีนารีก็นั่งเขินอาย  ชายหนุ่มก็เดินเข้ามาสวมกอดแม่นาง
ทันที  พลางอุ้มแม่นางเดินไปยังแท่นบรรทมทันที  พลางเล้าโลม เจ้าหญิงซึ่งใจปฏิพัทธ์อยู่แล้วก็โอนอ่อนผ่อนตามชายหนุ่มค่อยๆเล้าโลมแล้วค่อยเปลื้องเครื่องทรงออกจนร่างกายเปลือยเปล่า  ชายหนุ่มถึงกับตลึงในความ
งดงามยิ่งนัก   เพ่งร่างที่ขาวผ่องอวบอัดยามขาดเครื่องทรงก็เผยความสมบูรณ์
ออกมาปทุมพระถันเต่งตึงจงอยสีชมพูตระการเด่นเย้ยผงาดต่อแสงไฟที่ส่องแสง
แวววาววับๆแวมๆ ยิ่งเพิ่มความงามแก่ชายหนุ่ม เมื่อทั้งสองเข้าประคองกอดกันต่างระรื่นชื่น
พระหทัยกันจนทั้งสองฝ่าย
      ต่างออดอ้อนด้วยคำหวานซึ้ง จวบจน เสียงฟ้าคำรามลั่นสะท้านไปทั่วฝนก็พลันหลั่งชโลม
พื้นหล้าองค์หญิงเล่าก็ร้องว้ายผวาเข้าซบพระอุระพระสวามี   ครั้นฝนพลันหลั่งจนทั่วหล้าไหลริน
ผ่านพื้นพสุธา  บ่อน้ำน้อยที่แห้งขอดก็เต็มไปด้วยน้ำฝนล้นรินหลั่งไหลเป็นทางไปตาม
ห้วยหนองลำคลอง  ทำให้พื้นดินทั้งเคยแห้งแล้งต่างชุ่มชื้นฉ่ำ  พื้นแผ่นดินก็ผุดผ่อง
ไสวอุดมแก่พืชพันธุ์ไม้ต่างที่เรียงรายก็พลอยชุ่มชื่นไปด้วย  แล้วพายุฝนฟ้าก็ค่อยๆจางหายไป
  ฟ้าก็กลับคืนสู่สภาพเดิมทันที

       ครั้นอรุณรุ่งสางเจ้าหญิงทั้งเจ็ดก็พากันเดินเข้ามายังห้องบรรทม  ต่างหยอกเจ้าแม่นางอิศวรดีนารีทำให้
แม่นางซึ่งมีใบหน้าอิดโรยยิ่งนัก  ก็พาวิ่งไล่ทุบตีแล้วกล่าว่า เอาเถอะน้องเราต่อไปถึงคราวของพวกน้องๆแล้ว
 การประยุทธ์ครั้งนี้ใครเล่าจะเป็นผู้ชนะ  ทำให้ใบหน้าของเหล่าองค์หญิงต่างแดงกันไปทั้งสิ้นเมื่อสอบถาม
แม่นางอิศวรดีนารีก็มิปิดบัง   ตอนนี้ถึงเวลาของน้องจันทิราเทวีแล้วที่จะต้องรับศึกภายในบ้างล่ะ ยิ่งทำให้แม่
นางจันทิราเทวีถึงกับขวยอาย  และแล้วเวลาย่อมผ่านไม่อย่างรวดเร็ว  พอตกค่ำๆเป็นหน้าที่ของเหล่าองค์หญิง
ทั้งแปดพระองค์  ต่างก็ได้รับสายฝนกันทั่วหน้ามิมีผู้ใดขาดตกบกพร่อง
       การศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงยิ่งนักแต่ก็เปี่ยมไปด้วยความสุขสดชื่นแก่บรรดาองค์หญิงทั้งหลาย จวบกาลได้ผ่าน
ไปเรื่อย ครั้นครบกำหนดหนึ่งปี  บรรดาองค์หญิงต่างก็ตั้งพระครรภ์กันทั้งแปดพระองค์   จวบวาระกาลผ่านไป
ครบทศมาศ ก็ทรงมีพระโอรสพระธิดา พระนางจันทิราเทวี  พระนางประกายแดงเทวี  พระนางประกายเขียวทรง
ได้พระโอรส นอกนั้นได้พระธิดาทั้งสิ้น   แต่เหล่าแม่นางทั้งแปดได้หาทรงอิจฉาริษยากันไม่ต่างช่วยกันเลี้ยงดู
เหล่าพระโอรสและพระธิดาพร้อมๆกัน  จนเป็นที่พอพระราชหฤทัยแก่จอมกษัตริย์ยิ่งนักที่มิเห็นผู้ใดอิจฉากัน
ครั้นกาลล่วงไปอีก  ต่างก็สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปต่างก็ได้พระราชโอรสและพระธิดาฝ่ายละเท่าๆกันจวบ

       จนกาลผ่านไปอาณาจักรเมืองของศิระสุริยะชัยบรรดาไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินต่างอยู่กันสุขเกษมสำราญ แผ่นดิน
ต่างๆที่พระองค์รวบรวมไว้ต่างก็ปรองดองกันดียิ่งนัก  หาได้มีการกระด้างกระเดื่องไปไม่จวบจนพระแม่เจ้า
แห่งหงสาวดี   พระปิตุลา ตลอดจนเจ้าเมืองอิสราวดีสิ้นสู่สวรรคต ผู้ครองแคว้นอิสราวดีก็ยังถือขนบธรรมเนียม
ความสุขทั้งหลายก็เกิดขึ้นเป็นแผ่นดินแผ่นเดียวกันไม่แตกแยกกันไป ต่างสามัคคี  จวบจนพระเจ้าศิระสุริยะชัย
ทรงพระชนม์มายุเข้าสู่วัยชรา   วันหนึ่งขณะทอดพระเนตรไปบนท้องฟ้าเพื่อตรวจดูตามดาราศาสตร์เห็นดวงดาว
ประจำเมืองแห่งเมืองศิระสุริยะชัยหม่นหมองและล่วงตกลงมา  พระองค์ก็ทรงทราบว่าถึงวาระของพระองค์แล้ว

      จึงเสด็จเข้าไปยังห้องพระอักษร ทรงร่างหนังสือขึ้นสามฉบับ   ฉบับหนึ่งฝากลาแก่เจ้าหญิงทั้งแปด ฉบับหนึ่ง
การขึ้นครองราชย์ของพระโอรสให้ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่และเสนาบดีทดสอบฝ่ายการเมือง  ให้แม่ทัพใหญ่ตลอด
รองแม่ทัพใหญ่   ให้จัดการประลองยุทธ์กันหาผู้ชนะทั้งทางด้านการเมืองและด้านฝีมือปกครองทหารทั้งปวง
ตลอดจนให้พระคุณเจ้าที่ครอบครองวัดในเขตพระราชฐานวัดทางด้านจิตใจด้วย  โดยให้ทำเป็นคะแนนไว้เมื่อใคร
ได้คะแนนสูงสุด    หากโอรสองค์ใดสามารถผ่านการพิสูจน์ทดลองได้แล้วก็ให้เถลิงขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ต่อไป 
      ไม่ว่าจะเป็นโอรสองค์ใหญ่หรือองค์รองไม่ว่าจะเป็นฐานันดรใดๆทั้งสิ้น ให้เห็นประโยชน์แก่บ้านเมืองทรง
คัดลอกไว้อีกสี่ฉบับส่งให้แก่อำมาตย์ใหญ่  เสนาบดี  แม่ทัพใหญ่  และพระที่ครอบครองวัดในพระราชวัง
     ส่วนอีกฉบับหนึ่งเป็นการแต่งตั้งองค์พระมหากษัตริย์ขึ้นครองเมืองศิระสุริยะชัย  มีหนังสือกำกับไว้ด้วยให้
เหล่าพวกที่ไว้ใจได้นำไปลงนามรับรองไว้ทั้งสิ้นถือเป็นพินัยกรรมสมบูรณ์หากจะขาดใครไปมิได้  โดยแอบมอบ
ให้และสั่งการเป็นความลับสูงสุดแต่ขอสัญญาไว้ด้วย   สองฉบับนี้พระองค์สอดไว้ใต้พระเขนยของพระองค์  
ครั้นตรวจดูแน่แก่ใจแล้วว่าคืนนี้พระองค์จะสวรรคตก่อนรุ่งสาง   ดังนั้นจึงเสด็จไปเยี่ยมเหล่าแม่นางทั้งแปดและ
หยอกเย้าเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ครั้นกาลล่วงเที่ยงคืนไปแล้วจึงขอตัวจากแม่นางทั้งแปดพลางพระดำรัสว่า
พี่เองนั้นก็อายุมากแล้วหากจากน้องทั้งแปดไปอย่าได้เศร้าโศก  ด้วยจะทำให้พี่นี้ยิ่งเป็นห่วงนัก  พอดำรัสเสร็จก็
เสด็จออกไปเขาห้องพระบรรทม   และห้ามมิให้ใครๆเข้าไปรบกวนเพราะรู้สึกว่าเพลียมากจะขอพักผ่อน 

       ครั้นพระเจ้าศิระสุริยะชัยจากไปพร้อมกับฝากพระดำรัสเช่นนั้น ทำให้เหล่าบรรดาพระมเหสีทั้งแปดพากัน
งวยงง  แต่มิได้สงสัยแต่ประการใด  ด้วยเพราะได้รับรายงานจากเหล่าสนมกำนัลว่าพระราชโอรสและพระธิดา
จะขอเข้าเฝ้า   ดังนั้นจึงปลีกตัวไปยังตำหนักของตัวต้อนเพื่อไถ่ถามถึงเหตุที่พระโอรสและพระธิดาใยจึงมาพร้อมๆกันทั้งแปดพระองค์  แต่หาได้สังหรณ์ใจแต่ประการใดไม่

       ครั้นรุ่งสางของวันใหม่พระอาทิตย์ส่องแสงสีนวลอำไพนัก  เกิดพายุหมุนท้องฟ้าครึ้มไปทั่วบริเวณเมือง
เหล่าองค์หญิงทั้งแปดก็ให้แปลกใจยิ่งนัก  จึงต่างไปชวนกันทั้งแปดเพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าศิระสุริยะชัย ครั้นทั้งหมด
ไปยังแท่นพระบรรทมเห็นพระสวามียังนอนหลับตาพริ้มแย้มยิ้มอยู่ก็ไม่สังหรณ์ใจ  จนเวลาผ่านไปสายก็ยังไม่
เสด็จลุกจากแท่นพระบรรทม  ก็ให้แปลกพระหฤทัยยิ่งนัก พระนางอิสราวดีนารีก็เข้าไปขยับพระวรกายแต่แข็ง
ไปและรีบตรวจช่องพระนาสิกก็ปราศจากลมเข้าออก  จึงทราบว่าพระสวามีสิ้นพระชนม์สวรรคตแล้วพระนาง
ก็ร้องกรีดสุดเสียง  ทำให้บรรดาพระมเหสีทั้งเจ็ดรีบเข้ามาตรวจพระอาการต่างก็ทรงพระกรรแสงอย่างน่าเวทนา
       เจ้าหญิงประกายแดงเทวีเห็นพระกรซุกไว้ใต้พระเขนยก็เรียกเจ้าหญิงอิศวรดีนารีมาให้ตรวจสอบพระเขนย
ก็พบหนังสือสองฉบับจ่าหน้าถึงพระมเหสีทั้งแปด  อีกฉบับหนึ่งเป็นพินัยกรรมให้ผู้ครองอำนาจขึ้นครองราชย์
สมบัติสืบต่อไป   ก็ทรงอ่านให้เหล่าบรรดามเหสีทราบทันที   ว่าการนี้พี่รู้ตัวแล้วว่าจะต้องสวรรคตในคืนนี้ก่อน
รุ่งสาง  สิ่งใดผิดพลาดไปขอพระน้องนางยกโทษแก่พี่  ที่ไม่บอกกล่าวให้รู้ไว้ด้วยรู้ว่าหากน้องพี่ทั้งแปดรู้แล้วก็
จะเกิดความไม่สบายพระราชหฤทัยยิ่งนัก  พี่ขอลาน้องไปก่อนให้รักษาและถือหนังสือพี่นี้เป็นสำคัญให้ต่างช่วย
กันทำนุบำรุงบ้านเมืองก่อนจะมีพระโอรสองค์ใดขึ้นครองราชย์สมบัติอย่าได้ถือดีถือเด่น หากผู้ใดยังรักพี่อยู่
ก็ขอให้ปฏิบัติตามคำพี่นะ  พี่เองนั้นรักน้องพี่ทุกๆคนเสมอภาคกันมาจวบจนหมดอายุพี่แล้ว ลาก่อนน้องแก้ว
ทั้งหลาย  ลงพระนามพร้อมกับประทับตราแผ่นดินของเมืองศิระสุริยะชัย

          เสียงพายุกึกก้องฝนได้กระหน่ำ บัดดลสายฟ้าฟาดลงมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วห้องของโรงพยาบาล
ทำให้เหล่าหมอและพยาบาลต่างตระหนกตกใจไปสิ้น   ภายในห้องหนึ่งที่มีร่างชายหนุ่มนอนรักษาตัวอยู่เป็นเวลา
ช้านานที่เขาเรียกว่าเจ้าชายนิทรา   เสียงร้องแสดงความยินดีพร้อมกับเสียงฟ้าคำรามเจือจางสายฝนหายไปแล้ว
เมื่อร่างของชายหนุ่มพลันกระดิกตัวได้ทางมือ   บรรดาญาติต่างวิ่งไปแจ้งหมอพยาบาลเข้ามาทันที   เมื่อหมอและ
พยาบาลเข้ามาแล้ว  เข้าตรวจอาการร่างชายหนุ่มพร้อมฉีดยาให้หนึ่งเข็ม  ชายหนุ่มลืมตาขึ้นทันที  เสียงร้องของ
สุภาพสตรีสูงอายุร้องลั่นห้อง  
        พ่อธวัชชัยฟื้นแล้ว  พ่อๆๆๆรีบเข้ามาดูโดยด่วน   ทำเอาบรรดาญาติทั้งหลายที่เฝ้าอาการมาเป็นปีๆต่างพากัน
ดีใจ    ครั้นชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งพลันหันไปถามผู้เป็นมารดาว่า  
       “แม่นี่ที่ไหนล่ะ”
       “นี่โรงพยาบาลในกรุงเทพพ่อธวัชชัย  ด้วยพ่อธวัชชัยหายไปในระหว่างไปมอบงานเมืองพม่าโน่นแนะ
พวกเราได้ค้นหาพบ  พ่อธวัชนอนสลบไม่ได้สติจึงนำไปรักษายังโรงพยาบาลพม่า  แต่หมอทางโน้นบอกว่า
เครื่องมือไม่ครบ  แม่และพ่อจึงนำลูกบินมายังกรุงเทพเข้ารักษาแต่ลูกกลับนอนหลับใหลคล้ายเจ้าชายนิทราไป
แต่แปลกนะ  นี่ไงล่ะในมือยังกำถือก้อนหินแปลกๆสีแดง  อีกมือหนึ่งถือขนนกอะไรก็ไม่รู้สวยงามจริงๆ”
        มารดาชายหนุ่มพลางล้วงหยิบมาให้ชายหนุ่มดู   ชายหนุ่มก็ลอบหยิกแขนตัวเองรู้สึกเจ็บ  จึงลุกขึ้นยืนแต่
แม่กลับห้ามไว้ว่ายังไม่หายดี   ชายหนุ่มหัวร่อพลางตอบว่าหายดีแล้วครับคุณพ่อคุณแม่  เดี๋ยวขอผมออกไปมอง
ทางหน้าต่างหน่อยนะ  ซึ่งหน้าต่างนั้นมองเห็นท้องฟ้ากำลังส่องแสงระยิบระยับด้วยประกายไอความร้อน
ชายหนุ่มจึงนำขนนกวายุภักดิ์กับก้อนแก้วสีแดงคือเลือดงูยักษ์มามอง  นี่เราไม่ได้ฝันนี่นา แต่กลับเข้าไปสู่ยังมิติ
ลี้ลับหาใช่ความฝันใดๆไม่  มิฉะนั้นคงไม่มีสิ่งของดังกล่าว  แปลกมากๆ  แต่ชายหนุ่มก็เก็บสิ่งของสองอย่าง
ลงกระเป๋ากางเกง  พลางบอกว่า
        “คุณพ่อคุณแม่ครับ ผมหายดีแล้ว  ขอเช็คเอ๊าท์ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว นึกถึงบ้านจัง”
ได้ซิจ๊ะ  ให้ลูกไปพักผ่อนที่บ้านเราดีกว่า   เดี๋ยวแม่จะให้พ่อไปเช็คเอ๊าท์กลับบ้านเราเลย

         ที่คฤหาสน์อันใหญ่โตแถวบริเวณสาธรใต้  ชายหนุ่มออกเดินเล่นในสวนพลางนึกถึงเรื่องราวต่างๆ
พร้อมมองก้อนแก้วสีแดงและขนนกพลางจูบไปบนสิ่งของนั้นให้พลันรำลึกนึกถึงนางทั้งแปดทันที
ฉับพลันก็แลเห็นพระภิกษุชราเดินผ่านหน้าประตูบ้าน  ชายหนุ่มแลคล้ายจะคุ้นเคยก็วิ่งไปหาพลาง
อาราธนาให้ท่านหยุดก่อนพระภิกษุรูปชรานั้นหันมามองหน้าชายหนุ่มพลางกล่าวว่า 
      “โยมคนละวาระกาลแล้วนะอย่าคิดมาก  อาตมาก็คือส่วนหนึ่งของที่โยมสั่งไว้  อาตมากล่าวเช่นนี้
โยมคงจะจำได้หรอกด้วยสัญญาของโยมยังไม่อาจลืมเลือนได้ถึงแม้จะคนละมิติกัน  อาตมาก็มาจากมิติ
นั้น มาอวยพรให้โยมจง อย่าคิดในอดีตไปด้วย โยมเป็นคนที่เคารพอาตมามากไปเชิญอาตมายังชมพูทวีป
ขอให้สุขสวัสดีมีชัยเถอะโยม  อาตมาลาก่อน ด้วยกำหนดเวลาจะปิดทางเสียแล้ว  โยมจะฝากอะไรให้กับ
เจ้าหญิงล่ะ”
        ชายหนุ่มนั่งพนมมือพลางกราบลง เขาทราบทั้งหมดและกล่าวขึ้นว่า
        “นมัสการพระคุณเจ้า  ดังนี้กระผมขอฝากสิ่งของสิ่งหนึ่งให้พระคุณเจ้านำไปยังมิตินั้นด้วยและแจ้งว่า
โยมยังคอยอยู่เสมอๆ”    พลางยื่นขนนกวายุภักดิ์เพื่อสักขีพยานว่าเขายังอยู่
พระภิกษุชรารูปนั้นก็ยื่นมือมารับขนนกวายุภักดิ์   แล้วร่างก็ค่อยๆจางๆหายไปทันที
         ชายหนุ่มก็ก้มลงกราบบนพื้นดินแล้วพลางเดินเข้าไปยังที่พักเพื่อเข้าพักผ่อนต่อไป........

ปล.   แม้นเรื่องนี้จะยาวไปอาจจะทำให้ท่านผู้อ่านผิดหวังไป แต่ข้าพเจ้าเขียนขึ้นตามบางตอนในสมัยพุกาม
แล้วมาจัดแต่ง ส่วนชื่อนั้นข้าพเจ้าตั้งเองทั้งสิ้น เว้นพระเจ้าอลองพญาแห่งหงสาวดี  และพระเจ้าอโนรธา
ที่ปกครองแว่นแคว้นพุกาม นับได้เก้าพระองค์ คือ
พระเจ้าอโนรธา พระเจ้าจานสิตา พระเจ้าอลองสิธู พระเจ้าสีหบดี พระเจ้าเซงพะยูเชง พระเจ้าโบดอพญา
พระเจ้าบาคยีดอว์ พระเจ้าชีบอ และพระเจ้ามินดง ที่ต่างรบพุ่งแย่งชิงอาณาเขตจนแตกออกเป็นเก้าแคว้น
แห่งแดนพุกาม.........สวัสดีขอรับผิดพลั้งขออภัยด้วยบ๊ายบาย..........

            *  แก้วประเสริฐ.  * 

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
17 มีนาคม 2553 16:16 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 60

แก้วประเสริฐ


                   ลุ่มลึกอิสราวดี  60

     เมื่อหัวหน้าอาลักษณ์ออกเดินทางไปยังท้องพระโรงแล้ว  ชายหนุ่มก็เดินไปยังห้องพระอักษร
อ่านข้อความที่ท่านมหาอำมาตย์เขียนพลางหัวร่อ  แล้วก็ร่างหนังสือขึ้นมาใหม่เมื่อลงนาม
และประทับตราแผ่นดินเรียบร้อยแล้ว  ก็แต่งกายโดยมีนางกำนัลคอยช่วยเหลือ   ครั้นเรียบร้อย
แล้วก็ออกเดินทางตามด้วยทหารองครักษ์  เข้าสู่ยังท้องพระโรงทันที  
      ครั้นมาถึงมวลเหล่าทหารองครักษ์ก็ส่งสียงแจ้งแก่บรรดาขุนนางทั้งหลายให้ทราบ
       “พระเจ้าอยู่หัวเสด็จแล้ว”
บรรดาเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองต่างยืนพลางเปล่งเสียงถวายพระพรดังลั่นไปทั่วท้องพระโรง
ครั้นชายหนุ่มก้าวนั่งบนบัลลังก์  พลางไต่ถามทุกข์สุขของประชาชนทั้งหลาย  ท่านอำมาตย์และ
แม่ทัพนายกองก็ทูลขึ้นว่า
       “ข้าพระองค์ได้ออกตรวจสอบถามความเป็นอยู่ของบรรดาประชาราษฎร์ต่างอยู่เป็นสุขดี
และทำมาหากินเจริญรุ่งเรืองพระเจ้าข้า”
       “และเหล่าพวกท่านทั้งหลายล่ะการกินอยู่เป็นอย่างไร”
        “ด้วยพระบารมีของพระองค์พวกข้าทั้งหลายต่างก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจกินอยู่อย่างพอเพียงตาม
รับสั่งของพระองค์และยังได้แจกจ่ายบรรดาอาหารแก่พวกที่ยากไร้มิให้เดือดร้อนพระเจ้าข้า”

         “งั้นดีแล้ว เมื่อประชาราษฎร์อยู่เป็นสุขเช่นนี้เราก็ให้สบายใจยิ่งขึ้น  ขอให้พวกท่านทั้งหลาย
จงหมั่นเอาใจใส่ต่อปวงประชาทั้งปวง  ด้วยพวกเรานี้อยู่ได้ก็ด้วยประชาชนทั้งหลายที่นำเงินต่างๆ
มาให้พวกเราได้ใช้จ่ายบำรุงกองทัพ  ฉะนั้นขอให้พวกท่านสำนึกถึงบุญคุณของเหล่าประชาราษฎร์
อย่าคิดว่าเราเป็นข้าราชการแล้วมีฐานันดรสูง  อย่าได้ดูหมิ่นดูแคลนแก่ประชาชนทั้งหลาย ใช้อำนาจ
โดยหวังผลประโยชน์ส่วนตัวเลย  ที่เมืองเราอยู่ได้อย่างดีก็เหตุที่ประชาชนเป็นผู้อุปการะทั้งสิ้น ด้วย
พวกเรามีหน้าที่ขจัดทุกข์บำรุงสุขและปกป้องพวกเขาให้รอดพ้นจากอันตรายต่างๆ  หากยังติดยึดใน
อำนาจราชศักดิ์เห็นว่ามียศถาบรรดาศักดิ์สูงกว่าเขาก็จะทำให้เมืองเราเดือดร้อนและทำให้พวก
       ประชาชนเกิดความปั่นป่วนการส่งส่วยเข้าสู่ท้องพระคลังก็จะเกิดการอำพรางปิดบังเพราะต้อง
นำผลประโยชน์มามอบให้แก่พวกท่านอีกทางหนึ่ง  ฉะนั้นเป็นการเบียดเบียนทำให้เขาไม่บริสุทธิ์ใจได้
ข้าหวังว่าท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจในคำพูดของเรานะ”
        “พระเจ้าข้า    ในเมื่อเป็นพระดำรัสของพระองค์พวกข้าพุทธเจ้าจะจำใส่เหนือเกล้าและกำชับมวล
เหล่าทหารทั้งปวงให้ยึดถือแนวทางนี้เช่นกันพระเจ้าข้า”   บรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองขุนทหาร
ทั้งหลายต่างเปล่งเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน
        “เอาล่ะท่านทั้งหลาย เมื่อได้ยินคำกล่าวของพวกท่านข้าเองก็สบายใจนัก  ด้วยข้าได้ใช้คนไปเที่ยว
สอดส่องอยู่อีกทางหนึ่งแล้วเหมือนกัน  ก็จริงดังที่พวกท่านแจ้งแก่เรา จึงขอขอบใจพวกท่านทั้งหลาย
ไว้ในที่นี้ด้วย  ข้าเองยังมีเรื่องหลายประการจะแจ้งให้พวกท่านทราบ”  ชายหนุ่มกล่าว
       “ท่านหัวหน้าอาลักษณ์มารับคำสั่งจากเราแล้วอ่านทีละฉบับให้เหล่าบรรดาข้าราชการทั้งปวงฟัง”

      ครั้นหัวหน้าอาลักษณ์ได้น้อมถวายพระพร  แล้วคุกเข่าลงยื่นมือรับหนังสือทั้งสามฉบับแก่ชายหนุ่ม
แล้วก็   ถวายคาราวะ  ถอยหลังออกมาแล้วยืนขึ้นอ่านคำสั่งขององค์เจ้าเหนือหัวทันที
       “ข้าศิระสุริยะชัยราชันย์ ขอประกาศแต่งตั้งบรรดามวลเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองขุนทหารทั้งหลาย
ว่า  ในเมือบ้านเมืองเราได้รับการช่วยเหลือจากพวกท่านทั้งหลายในการรวบรวมบรรดาแว่นแคว้นเมืองต่างๆ
เป็นปึกแผ่นเดียวกันแล้ว  ถึงแม้ว่าอำนาจนี้จะมอบให้เมืองอิสราวดีปกครองแทนก็ตามทีแต่เมืองอิสราวดี
นั้นแต่โบราณกาลมาก็นับเนื่องเป็นสายเลือดอันเดียวกันกับพวกเรา  พวกท่านใช้สติปัญญาและความกล้าหาญ
มาด้วยความลำบากยิ่ง  ไม่ทอดทิ้งข้ายังสู้อุตส่าห์มารับใช้ข้าสร้างเมืองใหม่ขึ้นได้  จึงเห็นสมควรจะได้รับการ
พิจารณาจากข้าที่มิอาจนิ่งนอนใจได้  จึงขอแต่งตั้งดังต่อไปนี้

       ให้ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ที่ปรึกษา  ศิระมหาสุรเดชาธิบดี ขึ้นดำรงตำแหน่ง พระปิตุลาของข้า ท่านแม่ทัพ
ใหญ่ ศิระสุรินทราบดี ขึ้นดำรงตำแหน่ง มหาอำมาตย์ใหญ่ฝ่ายขวา ศิระสุรเดชเดชาขึ้นดำรงตำแหน่งมหาอำมาตย์
ใหญ่ฝ่ายซ้าย  ท่านศิระสุรการขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ ท่านศิระนายะเดชะ ท่านศิระสุระ ท่านศิระนิละกะ 
ท่านศิระสุระเดชะ ท่านศิระกะยอ ขึ้นดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพใหญ่ฝ่ายที่ปรึกษา ส่วนแม่ทัพที่ควบคุมทหารเมือง
ทั้งเก้าที่มาร่วมอยู่กับเรา อันมีนามดังนี้
ท่านศิระนายะเดชะ ท่านศิระขึ้นดำรงตำแหน่งรองมหาอำมาตย์ใหญ่เป็นอำมาตย์ที่ปรึกษา ท่านแม่ทัพแห่งเมือง
ทั้งเก้าขึ้นดำรงตำแหน่งอำมาตย์ที่ปรึกษา   ส่วนรองแม่ทัพของเมืองทั้งเก้าให้ขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพ บรรดานาย
กองทั้งหลายให้ขึ้นดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาตามลำดับชั้น ส่วนท่านศิระนรินทร์สุรการแห่ง
กองทัพม้าทั้งปวงให้ขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพหัวหน้าหน่วยองครักษ์และหน่วยพลรบพิเศษควบคุมภายใน
พระราชวังทั้งหมดขึ้นตรงแก่ข้าแต่เพียงผู้เดียว  ส่วนบรรดาพลทหารให้เลื่อนขั้นขึ้นอีกคนละสามขั้นทุกๆนาย 
บรรดาหัวหน้าเผ่าต่างๆให้ขึ้นเป็นอำมาตย์ที่ปรึกษาแก่ท่านรองอำมาตย์ใหญ่ส่วนรองหัวหน้าเผ่าให้ขึ้นดำรง
ตำแหน่งแม่ทัพขึ้นตรงกับแม่ทัพใหญ่และรองท่านแม่ทัพส่วนไพร่พลเผ่าต่างๆให้เป็นชาวเมืองศิระสุริยันทั้งปวงนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป 

 ต่อมาหัวหน้าอาลักษณ์ก็อ่านฉบับที่สองขึ้นในท่ามกลางมวลเหล่าข้าราชการทั้งปวงว่า   บัดนี้บุตรฝาแฝดซึ่งเสีย
ชีวิตไปแล้วนั้นของท่านศิระอุระกะซึ่งข้าได้ชุบชีวิตขึ้นมาใหม่แต่หาได้เป็นบุตรีดังเก่าด้วยลืมอดีตไปหมดสิ้นแล้ว  ยกให้เป็นพระราชบุตรีของท่านพระปิตุลาของข้าให้ดำรงตำแหน่งเจ้าหญิงของพระปิตุลา  มีพระนามว่าเจ้าหญิง
ประกายแดงเทวี เจ้าหญิงประกายเขียวเทวีนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป    แล้วหัวหน้าอาลักษณ์ก็อ่านหนังสือฉบับที่สามติดต่อทันที่
         ข้าเองครั้นครองราชย์สมบัติยังหาผู้สืบราชสมบัติต่อจากข้าและยังไม่มีพระมเหสี จึงคิดใคร่จะ
พระสยุมพรกับพระมเหสีดังนี้   เจ้าหญิงอิสราวดีนารีขึ้นดำรงตำแหน่งเอกอัครมเหสีเจ้าหญิงจันทิราเทวีขึ้นดำรง
ตำแหน่งเอกอัครมเหสีฝ่ายขวา  เจ้าหญิงเรวดีอรทัยเทวีขึ้นดำรงตำแหน่งเอกอัครมเหสีฝ่ายซ้าย เจ้าหญิงกัลยาเทวี 
 เจ้าหญิงประกายแดงเทวี เจ้าหญิงประกายเขียวเทวี เจ้าหญิงสิริกัลยาเทวี และเจ้าหญิงสิรินภาวดีเทวี ขึ้นดำรงตำแหน่งพระมเหสี   ส่วนการพระสยุมพรนั้นให้ถือฤกษ์ในอีกสามวันข้างหน้าให้เหล่ามหาอำมาตย์น้อยใหญ่
รีบจัดขึ้นพร้อมอัญเชิญเจ้าปกครองแว่นแคว้นต่างๆมาร่วมในพิธีด้วยนับแต่นี้เป็นต้นไป   ครั้นหัวหน้าอาลักษณ์
อ่านหนังสือจบก็นำทูลยังองค์ราชันย์ทันใด

      ครั้นพระเจ้าสุริยะชัยราชันย์ฟังหัวหน้าอาลักษณ์ฝ่ายในอ่านสิ้นก็ทรงดำรัสขึ้นอีกว่า
   “การที่เราอัญเชิญเจ้าเมืองเหล่าแว่นแคว้นต่างๆมานั้น  ก็เพื่อเป็นพระเกียรติแก่เหล่าพระมเหสีทั้งหลาย 
 ขอให้ข้าราชการทุกๆนายถือว่าเป็นภารกิจของตัวเองด้วยนะ”
   “พระย่ะค่ะ    พวกเกล้ากระหม่อมจะรีบดำเนินให้เสร็จก่อนพระเจ้าข้า”
     เมื่อเหล่าบรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองขุนทหารและเหล่าพลทหารที่ได้ยินด้วยมีทหารรายงานแจ้งให้
เหล่าพลทหารที่ยืนเรียงรายอยู่ลานหน้าท้องพระโรง ต่างก็ปลื้มปิติยินดีกันทุกถ้วนหน้า ต่างยิ้มแย้มแจ่มใส
พากันไชโยร้องก้องถวายพระพรทันที   เสียงของเหล่าบรรดาทหารกึกก้องสะท้านไปทั่วเมือง  เมื่อเหล่า
ทหารที่รักษากำแพงเมืองครั้นทราบก็ต่างพากันเปล่งเสียงร้องขึ้นมาด้วย   เมื่อบรรดาประชาราษฎร์ครั้น
ทราบ  ล้วนแล้วแต่ใบหน้าแจ่มใสเสียงร้องอวยพรกึกก้องไปทั่วทั้งเมือง  ทำให้เมืองล้วนแต่เสียงไชโย
โห่ร้องกังวานไปทั่ว   
       แล้วพระเจ้าสุริยะชัยราชันย์    ก็ทรงเรียกเหล่าบรรดาข้าราชบริพารที่แต่งตั้งขึ้นใหม่มารับ
เครื่องอิสริยยศตามตำแหน่งตลอดพื้นที่ใช้ทำมาหากินตามตำแหน่งโดยถ้วนหน้าทุกๆคนแล้วสั่ง
ให้เลิกประชุม  พวกบรรดาข้าราชบริพารก็ทูลถวายบังคมลา   แล้วก็รีบไปดำเนินการตามรับสั่งมิรอช้า

      ข่าวการเฉลิมฉลองเมืองและการสยุมพรขององค์ราชันย์  ก็ถูกแพร่ข่าวกระจายไปทั่วบรรดาแว่นแคว้น
ต่างๆด้วยเวลาอันรวดเร็ว   บรรดาเจ้าเมืองทั้งแว่นแคว้นต่างๆก็จัดเครื่องบรรณาการเป็นของขวัญรีบออก
เดินทางมายังเมืองศิระสุริยะชัยมิรอช้า    ยิ่งพระมเหสีเมืองหงสาก็ยิ่งตื่นเต้นมากกว่าใครบัดนี้เมืองหงสานั้น
พระมเหสีมอบราชสมบัติให้ท่านอลองพญาขึ้นครองราชย์แทนตามหนังสือที่ชายหนุ่มมอบให้  ทั้งสองพระองค์
แห่งเมืองหงสาก็จัดของขวัญและรีบเดินทางมาทันที

        บรรดาประชาชนชาวเมืองศิระสุริยะชัยต่างก็ช่วยประดับประดาบ้านเรือนแห่งตนให้สวยสดงดงาม บรรดา
เหล่าทหารทั้งหลายก็เปลี่ยนชุดใหม่ให้สง่าผ่าเผยงดงามยิ่งนัก เมื่อก่อนครบกำหนดวันพระราชพิธีพระสยุมพรขึ้น
เหล่าบรรดาเจ้าเมืองแว่นแคว้นต่างๆ  เมื่อมาถึงเมืองก็ให้ตกใจยิ่งนักด้วยเมืองแห่งศิระสุริยะชัยหาได้เป็นดั่งเมือง
ของพวกตนเองก็หาไม่  ทั้งกำแพงเมืองหอคอยประตูรบก็แปลกประหลาดยิ่งนัก  ก็ให้นึกชมเชยความสามารถ
เจ้าเมืองแห่งศิระสุริยะชัยยิ่งนัก  เมื่อแลเห็นถึงกับอุทานกันทุกๆเมือง   เมื่อเจ้าเมืองต่างๆมากันเกือบครบการจัด
งานครั้งนี้เจ้าเมืองอิสราวดีมาร่วมช่วยทหารชาวเมืองศิระสุริยะชัยเป็นจำนวนมาก มาถึงก่อนบรรดาเมืองทั้งหลาย
       เมื่อเจ้าเมืองทยอยกันมาเกือบครบยกเว้นเมืองหงสาที่อยู่ไกลยังมาไม่ถึง     ครั้นชายหนุ่มได้รับแจ้งว่าทางเมือง
หงสามาถึงแล้วและทราบว่าพระแม่เจ้าสิริสาอลงกรณ์วดีเสด็จร่วมมาด้วย  ก็จัดเหล่าสนมกำนัลตลอดจนบรรดา
พระมเหสีทั้งแปดองค์ออกไปต้อนรับถึงนอกเมือง   เมื่อทางบรรดาเมืองหงสามาเห็นว่าองค์ราชันย์เสด็จมาเอง
ก็ยิ่งปลาบปลื้มพระหฤทัยยิ่งนัก   พระเจ้าแผ่นดินอลองพญา ครั้นเห็นชายหนุ่มยืนม้าอยู่รายเรียงด้วยพระมเหสี
เหล่าสนมกำนัลนางและทหารรักษาพระองค์  ก็ทรงลงจากหลังมาย่อกายถวายคาราวะแก่ชายหนุ่มทันทีพร้อม
ทรงตรัสว่า
       “หม่อมฉันอลองพญาข้าแผ่นดินของพระองค์ขอถวายพระพรพระเจ้าข้า”
       “แล้วท่านสบายดีหรือไม่ท่านอลองพญา”  ชายหนุ่มกล่าวพลางแย้มยิ้ม
        “ด้วยพระบารมีปกเกล้าสบายดี  ได้ครอบครองแผ่นดินหงสาก็ด้วยพระองค์ทรงแต่งตั้ง บัดนี้หม่อมฉันทราบ
จากพระแม่เจ้าหมดแล้วพระเจ้าข้า”  พลางก้มลงกราบชายหนุ่มทันที    ชายหนุ่มหัวร่อพลางเอ่ยขึ้นว่า

        “อันข้าเองนั้นต้องการให้ท่านหาประสบการณ์ในการศึกนี้ไว้  ด้วยในอนาคตท่านนี้ย่อมจะสามารถขยาย
อาณาเขตต่อไปด้วยเป็นเมืองที่ใกล้กับต่างประเทศอยู่และย่อมทำให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเป็นสุขยิ่ง หากสิ้นข้าไป
แล้วแว่นแคว้นที่ปกครองขึ้นใหม่อาจจะกระด้างกระเดื่องขึ้นได้อีก แม้นจะมีเจ้าเมืองอิสราวดีคอยควบคุมก็ตาม
แต่ท่านอายุมากแล้ว ส่วนท่านยังหนุ่มแน่นย่อมเป็นที่พึ่งพาอาศัยของบรรดาแว่นแคว้นต่างๆได้  ข้ามองออกว่า
ต่อไปความเจริญรุ่งเรืองจะอยู่ที่เมืองหงสา  ต่อไปชื่อเมืองนี้ควรจะเปลี่ยนเป็นหงสาวดีหากเจ้ากลับไปแล้วเรา
ก็ขอให้เจ้าเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่เป็นเมือง “หงสาวดี”เพื่อเป็นสิริมงคลโดยอาศัยติดพระนามพระแม่เจ้าไว้ด้วย”
       “ข้าพระองค์จะทรงถือปฏิบัติพระเจ้าข้า  บัดนี้พระแม่เจ้าเหนือหัวก็เสด็จมาในพระราชรถแล้วพระเจ้าข้า”
       “ถ้าอย่างงั้นข้ากับเจ้าก็ไปรับเสด็จด้วยกันเถิด”   พลางหันไปทางบรรดาพระมเหสีที่ยื่นเรียงรายอยู่ให้เข้า
ไปถวายบังคมแม่เจ้าอยู่หัว  พลางกล่าวว่า
        “น้องหญิง  พี่เองนั้นเคารพท่านพระแม่เจ้าดุจดั่งพระมารดาของข้า   ขอให้ไปร่วมกันถวายบังคมด้วยกันเถิด”
       ครั้นเจ้าเมืองหงสาได้ยินเช่นนั้นก็ให้ถึงกับตลึงที่กษัตริย์แห่งเมืองศิระสุรุยะชัยทรงพระดำรัสเช่นนั้นก็ยิ่งให้
ความเคารพนับถือมากยิ่งขึ้นๆ    เมื่อพระราชรถมาถึงทั้งหมดก็ไปคอยต้อนรับหน้าพระสูตร ทันทีที่พระสูตรเปิด
ออก ร่างพระแม่เจ้าแห่งเมืองหงสาเสด็จลง  ชายหนุ่มและเหล่าองค์หญิงต่างๆก็เข้าไปถวายบังคมทันที  
พระแม่เจ้าเมืองหงสานึกไม่ถึงว่าองค์ราชันย์จะเสด็จมาด้วยตนเองก็ทรงปลื้มปิติน้ำพระเนตรหลั่งไหลทันที
พร้อมเข้าสวมกอดยังชายหนุ่ม  พลางดำรัสว่า

        “สร้างความลำบากแก่โอรสข้าแล้วแม่จะไปหาเองก็ได้นี่นา”
        “หามิได้เสด็จแม่ หน้าที่ของลูกคือต้องมารับเสด็จแม่ถึงจะถูกพระเจ้าข้า”
         “แม่เองนั้นก็อยากจะขออะไรลูกสักหน่อยว่าจะรับคำได้หรือไม่”  พระนางดำรัสถาม
          “เมื่อเสด็จแม่ทูลมีหรือลูกจะให้ไม่ได้พระเจ้าข้า”
           “ดีแล้วลูกข้า  หลังจากพระราชสยุมพรเสร็จ  แม่ก็จะขออยู่ที่เมืองศิระสุริยะชัยไม่กลับเมืองหงสาแล้วลูก
จะว่าประการใด”
           “หากเป็นพระประสงค์ของเสด็จแม่ลูกบังเกิดความตื้นตันใจยิ่งนัก จะได้ปรนนิบัติรับใช้เสด็จแม่ด้วย”
ชายหนุ่มกล่าว    ครั้นพระแม่เจ้าสิริสาอลงกรณ์วดีได้ยินเช่นนี้ก็สวมกอดพลางจุมพิตพระปรางทั้งสองข้างของ
ชายหนุ่มทันที”
            “แม่ได้ยินนี้ก็ให้ปลื้มใจยิ่งนัก  แม่ขอฝากชีวิตไว้แก่เจ้าก็แล้วกัน นี่หรือคือองค์หญิงที่จะมาเป็นพระมเหสี
ของลูก  โอ้ช่างงดงามทั้งแปดพระองค์เชียวนะลูกรักของข้า”   พระนางชมเชยบรรดาองค์หญิงทั้งหลาย  ทำให้
บรรดาเจ้าหญิงทั้งแปดต่างเขินเอียงอายไปทุกๆพระองค์.................

           *  แก้วประเสริฐ. *

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
16 มีนาคม 2553 19:45 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 59

แก้วประเสริฐ


                  ลุ่มลึกอิสราวดี  59

      ในระหว่างการทำพิธีของชายหนุ่มบัดนี้ล่วงเข้าเจ็ดวัน  เพียงขาดอีกทิวาเดียวก็ครบตามตำรา
ในค่ำคืนวันที่หก นางทั้งแปดต่างหยอกล้อกันตามประสาหญิง กล่าวถึงว่าหากนางพรายทั้งสอง
หากคืนร่างได้แล้ว  ให้พวกเรามาประลองยุทธ์กันว่าใครจะสามารถมีโอรสธิดากันได้ก่อนใคร
ซึ่งทุกๆพวกนางต่างพากันหัวร่อครื้นเครงกันหยิกหยอกเย้ากันเล่นเป็นที่สำราญยิ่งนัก  
      แต่บัดดลนั้นนางพรายทั้งสองระหว่างการหัวร่อก็หยุดชะงักร่างกายเริ่มโอนเอนไปๆมาๆอยู่
ทันทีทำให้บรรดาเจ้าหญิงทั้งหกสงสัย  ด้วยเห็นแม่นางพรายทั้งสองหยุดชะงักการหัวร่อและ
ร่างกายเริ่มสั่นสะท้านไปทั้งร่างอย่างเห็นได้ชัด   ร่างนางพรายทั้งสองพลันค่อยๆจางลงๆไปเรื่อยๆ
ทำให้บรรดาเจ้าหญิงทั้งหกตกใจ  พลางถลาเข้าไปสวมกอดแต่ร่างนั้น แต่หาได้กระทบเนื้อดังแต่เก่า
ก่อนก็หาไม่  ต่างคว้าอากาศไปเสียสิ้นทุกๆพระองค์  แล้วร่างแม่นางพรายทั้งสองก็ค่อยๆหายวับไป
      เหล่าบรรดาเจ้าหญิงถึงกับตลึงไปทั้งสิ้น  ครั้นจะเข้าไปหาชายหนุ่มก็มิได้ ต่างไต่ถามกันไปมา
ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้   แม่นางจันทิราเทวีพลันก็เอ่ยขึ้นว่า
      “หรือว่าเสด็จพี่เราจะทำพิธีใกล้สำเร็จแล้วกระมัง   ร่างนางพรายทั้งสองจึงถูกเรียกไปเข้าร่างที่
นอนอยู่ในพิธีดังกล่าว”

        “คงจะจริงซินะ  อยู่ๆนางพรายแม่ประกายแดงประกายเขียวถึงได้เป็นเช่นนี้ เราชวนกันไปเฝ้า
รักษาการณ์ก่อนเหตุการณ์ร้ายจะเกิดขึ้นได้  เหลือเพียงอีกหนึ่งวันเท่านั้น  ฉะนั้นจงรีบแบ่งหน้าที่กัน
ไปควบคุมหน้าต่างประตูทั้งหมดดีกว่า”  แม่นางทั้งห้าเอ่ยขึ้น
        ดังนั้นพวกเราทั้งหมดนี้ไปกันเถอะ  อย่าลืมนำอาวุธติดตัวไปด้วยนะ หากเกิดเหตุอันคาดคิดมิได้
ก็จะได้ช่วยกันป้องกันไว้อย่าได้ประมาท    แม่นางทั้งหกก็ต่างนำอาวุธของตัวเองรีบออกไปยืนเฝ้ายัง
หน้าประตูหน้าต่างพร้อมทั้งกำชับทหารองครักษ์ให้ไปแจ้งแก่หัวหน้าองครักษ์ให้เพิ่มทหารขึ้นมา
รักษาการณ์ที่นี้ให้หมด ให้กระจายกำลังตรวจตราดูแลทั้งล่างและบนอย่าให้ขาดสายตาไปได้
        บรรดาทหารองครักษ์รับคำสั่งแล้วก็รีบไปแจ้งแก่หัวหน้าองครักษ์ทันที  ไม่นานก็ปรากฏทหาร
องครักษ์จำนวนมากถืออาวุธครบมือกระจายกำลังเฝ้าห้อมล้อมไว้ทุกๆด้าน  ส่วนหัวหน้าองครักษ์นั้น
ถึงกับเดินตรวจตราด้วยตนเองพร้อมรองหัวหน้า มิให้องครักษ์ใดเผลอไผลหลับไปได้ ต่างคนต่างผลัด
กันเดินตรวจกันอย่างละเอียดถี่ถ้วนจนกลางคืนผ่านพ้นไป  แต่เจ้าหญิงทั้งหกบอกว่าช่วงกลางวันนี้ก็
สมควรจัดเวรยามใครอ่อนเพลียผลัดกันพักผ่อน  แล้วมาเข้ายามต่อไป ส่วนหัวหน้าองครักษ์และรอง
มิยอมหลับนอน ต่างผลัดกันตรวจตราด้วยความเข้มงวดกวดขันยิ่ง  
            เจ้าหญิงทั้งหกก็หาได้หลับนอนไม่ต่างช่วยกันตรวจตราอย่างเข้มงวดกวดขัน  จนล่วงเวลาผ่าน
เข้าสู่ย่ำค่ำ   ก็ยังมิเห็นชายหนุ่มออกมาจากห้องพิธีเลย   ก็เกิดความกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง เวลาผ่านไปแต่
ละนาที   เหล่าเจ้าหญิงต่างกล่าวว่าช่างเชื่องช้าอะไรเช่นนี้  จวบจนค่ำมืดแล้วนั่นเอง  จึงเห็นชายหนุ่ม
ก้าวออกมาจากห้องพิธีแต่หาได้เห็นแม่นางทั้งสองไม่  ต่างพากันตลึงหรือว่าการณ์ครั้งนี้คงไม่สำเร็จ

        บรรดาเจ้าหญิงทั้งเจ็ดก็เข้าไปทูลถามทันที
    “เป็นไงบ้างเพค่ะ  พวกหม่อมฉันต่างจัดกำลังทหารมาป้องกันทุกๆวันเห็นเสด็จพี่ออกมาคนเดียวแล้ว
ไม่เห็นแม่นางพรายเลย  หรือว่า????....”  พวกนางชะงักมิกล้าเอ่ยประการใด
      ครั้นชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็นำเหล่าเจ้าหญิงทั้งหกไปนั่งลงก่อนแล้ว  หัวร่อเอ่ยว่า
       “บัดนี้พวกน้องพี่ได้น้องใหม่อีกสองนางแล้วล่ะ   แต่ตอนนี้กำลังแต่งตัวกันอยู่หากออกมาทั้งที่
ร่างยังเปลือยจะน่าดูหรือไง”  แล้วทรงพระสรวลลั่นพลางขอตัวไปชำระล้างร่างกายก่อนด้วยเจ็ดวันนี้
มิได้อาบน้ำเลยแล้วก็จะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ด้วย
       เมื่อเจ้าหญิงทั้งหกได้ยินเช่นนั้นก็ต่างลูบพระอุระทันที  ต่างก็พากันหัวร่อทุกพระองค์จ้องไปที่
หน้าประตูห้องพิธีเพื่อรอดูแม่นางพรายในร่างมนุษย์  เวลาผ่านไปดูช่างเนิ่นนานยิ่งนักด้วยความร้อนรน
       พลันเจ้าหญิงทั้งหกก็แลเห็นนางหนึ่งแต่งกายสไบแดง  อีกนางหนึ่งพาดสไบสีเขียว อันเป็นเครื่องทรง
ที่เหล่าเจ้าหญิงทั้งหกต่างช่วยกันตัดเย็บขึ้นมา  แต่ภายใต้เสื้อนั้นซิช่างเหมาะเจาะอ้อนแอ้นเสียยิ่งกระไร
สะโพกผายสมสัดส่วน เบื้องทรวงก็แลดูช่างล้ำนักถึงกับทำให้เสื้อล้นนูนเด่น  ใบหน้าหรือช่างงดงาม
ยิ่งคิ้วโขนงดั่งวงพระจันทร์ดำสนิท
ปานวาดด้วยดินสอรับกับใบหน้า   แก้มสองข้างช่างเอิบอิ่ม มีลักยิ้มทั้งสองข้าง  ดั่งนางในฟ้ามิปานทำให้
บรรดาเจ้าหญิงทั้งหลายถึงกับตลึงงันไปทั้งหกพระองค์ 
    
       ครั้นนางทั้งสองเดินเข้ามาหาเจ้าหญิงทั้งหกแล้วพลางทอดสายบัวคาราวะถวายบังคมเจ้าหญิงทั้งหกทันที
ยิ่งเพ่งมองใกล้ก็ยิ่งงามสวยเด่นยิ่งนัก เหล่าเจ้าหญิงถึงกับพระโอษฐ์พระเนตรค้างไปตามๆกัน  
นางสไบแดงนางสไบเขียวพลางเอ่ยว่า
       “เสด็จพี่ทั้งหลายทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเล่าเพค่ะ  จำหม่อมฉันไม่ได้แล้วหรือ หม่อมฉันประกายแดงไงเพค่ะ
และหม่อมฉันประกายเขียวเพค่ะ”
      เมื่อเจ้าหญิงตื่นจากความงดงามของนางทั้งสองพลางรีบเข้ามาสวมกอดต่างก็ชมเชยนางทั้งสองต่างๆนาๆ
ทำให้แม่นางประกายแดงประกายเขียวถึงกับม้วนอายไปทันที 
     “ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็สวยสู้เสด็จพี่มิได้หรอกเพค่ะ” นางทั้งสองตอบ
     “โอ้น้องเราทั้งสอง เจ้าใยจึงงดงามยิ่งนัก พี่ทั้งหกชักจะอิจฉาเจ้าเสียแล้ว”  พลางเจ้าหญิงทั้งหกก็ทรงพระสรวล
แล้วพลางกันเข้าสวมกอดแม่นางทั้งสองทันที
        ทั้งหมดเมื่อนางพรายเป็นมนุษย์ไปแล้วต่างก็หยอกเย้าล้อเล่นดังเดิม   เจ้าหญิงจันทิราเทวีพลางกล่าวว่าการ
ประลองยุทธ์ของเราทั้งแปดนี้  เห็นทีจะพ่ายแพ้แก่แม่ประกายแดงและประกายเขียวเสียแล้วกระมัง จริงไหม?....
เสด็จพี่อิสราวดีนารี  หรือน้องทั้งสี่ว่าเป็นดั่งที่พี่กล่าวหรือไม่”
       จริงเพค่ะดังเสด็จพี่จันทิราเทวีกล่าวไม่ผิดหรอก  แล้วทั้งแปดก็วิ่งล้อเล่นหยอกเย้ากันจับโน่นจับนี่กันชุลมุน
ไปหมด วิ่งไปรอบๆห้องพระบรรทมขององค์กษัตริย์

       ครั้นชายหนุ่มก้าวเข้ามาหลังจากเปลี่ยนเครื่องแต่งกายสีขาวแล้ว   ทรงพระฉลองพระองค์ใหม่ก็หัวร่อพลาง
เข้าหยอกล้อแก่เหล่านางทั้งแปดทันที   เป็นที่สุขเกษมพระสำราญพระหฤทัยกันถ้วนหน้า ชายหนุ่มก็เรียกทหาร
องครักษ์ให้รีบไปแจ้งแก่หัวหน้าเหล่านางกำนัล  เพื่อไปทำความสะอาดและจัดตำหนักของแม่นางประกายแดง 
และแม่นางประกายเขียวที่สร้างวังติดกันแล้วจัดหานางกำนัลเพื่อสนองรับใช้ทั้งสองนางทันทีอย่าได้ขาดตก
บกพร่องแต่ประการใด  ทหารองครักษ์ก็รีบไปแจ้งแก่หัวหน้านางกำนัลทั้งหลายทันที  แล้วกลับมาทูลว่าได้
สั่งหัวหน้านางกำนัลตามรับสั่งแล้ว    ก็รีบออกไปทำหน้าที่ทันที
       เหล่าเจ้าหญิงและแม่นางทั้งสองก็ต่างหยอกล้อกับชายหนุ่มต่อไป  จวบจนเที่ยงคืนจึงแยกย้ายกันกลับไปวัง
นางประกายแดงและนางประกายเขียว ต่างงุนงงด้วยเหตุที่ว่าตลอดมาได้เคียงแนบชิดกับชายหนุ่มเสมอมามิเคย
ห่างไป  แต่มาบัดนี้จำต้องแยกไปอยู่ตามตำหนักที่ถูกกำหนดให้  
ก็ให้รู้สึกอาลัยยิ่งนัก พลางคิดในใจว่ารู้แบบนี้ก็จะไม่ขอคืนกลับเป็นมนุษย์อีกดีกว่า   แต่ทำไงได้หากขอร้องต่อชายหนุ่มก็เกรงพระหทัยบรรดาเจ้าหญิงทั้งหลายจึงต้องเดิน ตามนางกำนัลไปยังตำหนักของแต่ละนางทันที 
  แต่ทว่านางทั้งสองนั้นก็ขอนอนร่วมด้วยกันเพราะเหตุว่าไม่เคยแยกจากกันมานานแล้ว  ต่างสัญญาว่าจะผลัดกัน
ไปนอนยังตำหนักคนละวันผลัดเปลี่ยนวนเวียนกันไป จึงพากันเข้าไปพักยังตำหนักของแม่นางประกายแดงก่อน   
 
      ทั้งสองพูดตรงกันว่าเราต่างได้ร่างของลูกสาวหัวหน้าเผ่าแต่เราไม่รู้จัก   ถ้าหากหัวหน้าเผ่าเจอพวกเรา
แล้วจะทำอย่างใดดี       ต่างคนก็ปรึกษาหารือกันว่า หากมาดแม้นเจอและเขาจำได้ให้เราทำเป็นไม่รู้จักก็แล้วกัน
 ด้วยเราเองยังไม่รู้จักหัวหน้าเผ่าเสียเลยด้วยเวลานั้นเราต่างพักผ่อน  หรือว่าเราทั้งสองจะปล่อยโดยสวมรอยเสีย
เพื่อจะได้ไม่เป็นที่ติฉินนินทาจากพวกเผ่าภายหลัง  อย่างไรวันรุ่งขึ้นค่อยไปถามท่านพี่ดีกว่า  ครั้นตกลงกันได้แล้ว
ต่างก็เข้านอนร่วมกันบนที่บรรทมเดียวกันทันที  
       ด้วยมิอาจจะทนต่อความง่วงเหงาหาวนอนของความเป็นมนุษย์ซึ่งบังคับไปด้วยธรรมชาตินั่นเอง  
 ตอนแรกๆก็นอนไม่หลับด้วยตอนเป็นนางพรายนั้นกลางคืนคือกลางวันของพวกนาง   แต่บัดนี้กาลกลับเปลี่ยนไปเสียแล้ว  ร่างกายจึงต้องการในสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมา  ครั้นฝืนๆก็ยังมิอาจทำได้   
ต่างคุยกันไปคุยกันมาถึงเรื่องราวในอนาคตต่อไป    เพียงสักพักเดียวแม่นางประกายเขียวก็หลับใหลไป
ก่อน  แม่นางประกายแดงครั้นเห็นน้องหลับไปแล้ว ก็คิดว่าแม่นางทั้งหกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นองค์หญิงทั้งสิ้นแล้ว
เราทั้งสองล่ะท่านพี่จะคิดประการใด  ยิ่งคิดไปยิ่งทำให้กลัดกลุ้มใจเป็นอย่างยิ่งแต่ไม่รู้จะทำประการใด  จนทน
ความง่วงนอนไม่ไหวพาหลับใหลตามน้องสาวไป

      ครั้นเมื่อเหล่าแม่นางทั้งแปดไปหมดสิ้นแล้ว  ชายหนุ่มหาบรรทมไม่กลับมานั่งคิดด้วย
เหตุว่าเหล่าเจ้าหญิงหกองค์ล้วนแต่มีเชื้อกษัตริย์ทั้งสิ้น  แม่นางพรายทั้งสองหาได้เป็นเช่นนั้นแต่พลันนึกได้ว่าแม่
จันจันทิราเทวีก่อนเก่าก็หาได้เป็นองค์หญิงใดไม่   เมื่อแม่นางอิศวรดีนารีสละราชสมบัติแล้วให้ท่านมหาอำมาตย์
เหมี่ยวมังกะยอชวาขึ้นครองราชย์สมบัติเมืองอิสราวดี  ดังนั้นฐานันดรจึงเกิดขึ้นแก่บุตรีตนขึ้นเป็นองค์หญิงทันที
         เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็ร่างที่แม่นางพรายครอบครองอยู่นั้นก็เป็นบุตรีของหัวหน้าเผ่าอยู่เทียบเท่ากับเมืองๆหนึ่ง
หากเราจะแต่งตั้งหัวหน้าเผ่าขึ้นมียศฐานันดรให้เปรียบเสมือนดังเจ้าเมืองคนหนึ่ง   ก็สามารถทำให้บุตรีฝาแฝดนี้
กลับกลายเป็นองค์หญิงไปได้  ด้วยเราจะประกาศแต่งตั้งพร้อมๆกับแม่นางพรายทั้งสองทันทีให้มีศักดิ์เป็นเจ้าหญิง
คงจะไม่น่าเกียจใดนัก   เมื่อคิดเสร็จผู้ที่จะดำเนินการได้คือท่านลุงเรานี่แหละ ค่อยผ่อนคลายอารมณ์ฟุ้งซ่านได้จึง
เข้าพระบรรทมทันที
       เมื่อตะวันขึ้นแล้วก็มีรับสั่งให้ทหารองครักษ์ไปแจ้งแก่ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ที่ปรึกษา  ว่าข้ามีคำสั่งขอเชิญเข้า
พบด่วนด้วย    เมื่อทหารองครักษ์รีบไปแล้ว   ไม่นานนักท่านผู้เฒ่าก็ก้าวเข้ามายังห้องพระบรรทม  ชายหนุ่มเชิญ
ให้นั่งยังเก้าอี้และสั่งให้นางกำนัลนำอาหารมาเลี้ยงดูแก่ท่านมหาอำมาตย์ทันที
    ครั้นท่านผู้เฒ่าเห็นเช่นนั้นก็ให้นึกแปลกใจแต่ไม่กล้าถามประการใด จนชายหนุ่มเอ่ยขึ้นระหว่างทานอาหารเช้า
ผ่านไปไม่นานว่า  ท่านพ่อลุงข้าเองกลัดกลุ้มใจนักในเรื่องของแม่นางพรายนั้นว่าจะทำฉันท์ใดดีแล้วก็เล่าความคิด
อ่านของตนให้ท่านผู้เฒ่าฟัง   ท่านผู้เฒ่าครั้นได้ยินชายหนุ่มกล่าวเช่นนี้ก็พลางหัวร่อขึ้นมาพลางเอ่ยว่า

       “ใยพระองค์จะทรงหมองพระหทัยไปใยเล่า ด้วยอำนาจในเมืองศิระสุริยะชัยนี้  พระองค์ทรงปกครองไพร่ฟ้า
ประชาราษฎร์จนร่มเย็นเป็นสุข   มีหลายเผ่าต่างก็พากันมาจำนวนมาก   หากจะทำเป็นพระราชสาสน์แต่งตั้ง
แม่นางทั้งสองใครเล่าจะกล้าคัดค้านอีกประการหนึ่ง บรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองขุนทหารทั้งหลายต่างก็เชื่อฟัง
ในพระองค์อยู่แล้ว  หากจะให้เหมาะสมแนบเนียนก็ควรแต่งตั้งให้บรรดาหัวหน้าเผ่าต่างๆเป็นเชื้อพระวงศ์โดย
สมมุตแล้วให้ฐานันดรเป็นอำมาตย์ด้วย  บรรดาหัวหน้าเผ่านั้นก็เปรียบดั่งเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งอยู่แล้วก็จะทำ
ให้คนในราชสำนักซึ่งไม่มีใครเลยสักคน   ว่าการครั้งนี้เพื่อรวบรวมความปึกแผ่นแก่แผ่นดินก็จะเสมือนยิงนกได้
ที่เดียวได้สองตัว   ก็จะทำให้บรรดาหัวหน้าเผ่าต่างๆบังเกิดความซื่อสัตย์สุจริตตลอดจนมวลเผ่าต่างๆ   ซึ่งข้าเอง
รวบรวมทำหนังสือบันทึกไว้มีทั้งหมดเจ็ดเผ่า   เผ่าเล็กๆสามเผ่า เผ่าใหญ่มีสี่เผ่ารวมทั้งบิดาของแม่นางฝาแฝดด้วย
ก็จะไร้ครหานินทาใดไม่
          ในวันนี้ครั้นประชุมเหล่าข้าราชการประจำอยู่แล้ว  ข้าพระองค์ก็จะร่างหนังสือให้พระองค์ทรงลงนาม
พระปรมาภิไธยประทับตราแผ่นดินที่จัดทำขึ้นไว้แล้ว การครั้งนี้ก็จะสำเร็จ  
ที่สำคัญราชวงศ์ของเราก็พึ่งตั้งขึ้นมาใหม่ๆหาได้มีการสืบเชื้อสายมาแต่อย่างใดนอกจากพระองค์เพียงองค์เดียว
เท่านั้น  หากได้หัวหน้าเผ่าเข้ามาร่วมฐานันดรด้วยฐานะเมืองศิระสุริยะชัยก็จะกว้างใหญ่ไพศาลขจรไปไกล
ครอบคลุมยังบรรดาขุนเขาทั้งหลายเป็นการขยายอาณาเขตไปในตัวเอง   โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ
แต่ประการใดไม่พระเจ้าข้า”
   
         ครั้นชายหนุ่มได้รับฟังเช่นนั้นก็ให้บังเกิดเสมือน ยกภูเขาออกจากออกพระอุระ
  หากในพระหทัยของชายหนุ่มนี้ย่อมจะผูกพันแก่แม่นางพรายมากกว่าบรรดาเจ้าหญิงทั้งปวง 
 ด้วยผจญภัยกันมาและอีกประการหนึ่งเป็นนางทั้งสองแรกที่เรารู้จักก่อนใครๆทั้งสิ้น
   ดังนั้นจึงหัวร่อพลางคาราวะท่านพ่อลุงทันที
       “หากมาดแม้นมิได้ความคิดพ่อท่านลุงกล่าวมาเช่นนี้  จึงขอความกรุณาร่างหนังสือแก่เราก่อนประชุมเหล่า
อำมาตย์ข้าราชบริพารทั้งหลายด้วยเถิด”
        “พระเจ้าข้า   หม่อมฉันจะออกไปดำเนินการเดี๋ยวนี้  “กล่าวเสร็จก็น้อมคาราวะชายหนุ่มออกเดินทางไปทันที
คราวนี้ชายหนุ่มจึงเดินไปยังห้องพระอักษรทันทีร่างหนังสือขึ้นอีกสองฉบับ   แล้วเก็บไว้ในเบื้องพระอุระพลาง
ออกจากพระราชตำหนักหลวง  เพื่อเข้าประชุมในท้องพระโรงทันที   ระหว่างเดินทางใกล้จะถึงท่านมหาอำมาตย์
ก็ยื่นหนังสือให้ทรงทอดพระเนตร  ชายหนุ่มอ่านเนื้อความแค่เพียงแต่งตั้งบรรดาหัวหน้าเผ่าขึ้นมีฐานันดรศักดิ์
ถึงเชื้อพระวงศ์ก็ทรงพอพระราชหฤทัย  แล้วย้อนกลับไปยังห้องพระอักษรเพิ่มข้อความลงไปอีกลง
พระปรมาภิไธยประทับตราแผ่นดินทันที    ท่านมหาอำมาตย์ยืนคอยหน้าห้องพระอักษร  แต่พลางสั่งว่า
   “ให้ท่านพ่อลุงเข้าไปในท้องพระโรงก่อน  เดี๋ยวหลานจะตามไปด้วย”
          เมื่อมหาอำมาตย์ใหญ่ได้รับพระราชบัญชาเช่นนั้นก็รีบเดินทางเข้าไปยังท้องพระโรงทันที   ชายหนุ่มเดินไป
ยิ้มไป  พลางเรียกหัวหน้าอาลักษณ์มาพบแล้วกระซิบบอกความนัย  ให้หัวหน้าอาลักษณ์เดินทางเข้าท้องพระโรง
ก่อน  เดี๋ยวจะเสด็จตามไป..............

          * แก้วประเสริฐ. *

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
16 มีนาคม 2553 14:06 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 58

แก้วประเสริฐ


                    ลุ่มลึกอิสราวดี  58

        เมื่อชายหนุ่มตรวจสภาพภายในเมืองศิระสุริยันต์เสร็จสมบูรณ์ พร้อมให้จัดสร้างอารามวัดขึ้นภาย
ในเขตราชฐานเป็นวัดทางพุทธศาสนาพร้อมจัดส่งทูตเดินทางไปยังชมพูทวีปอัญเชิญพระภิกษุมาครอง
วัดแก่ท่านผู้เฒ่า   ครั้นงานสร้างอารามหลวงเสร็จสมบูรณ์   ชายหนุ่มก็ปรึกษากับผู้เฒ่าเพื่อหาทางปราบ
ดาภิเษกขึ้นครองราชย์สมบัติเมืองศิระสุริยันต์   ครั้นได้ฤกษ์งามยามดีแล้ว  ก็จัดประชุมเหล่าอำมาตย์
แม่ทัพนายกองขุนทหารทั้งหลายทันทีภายในท้องพระโรง  ผู้เฒ่าก็ทรงประกาศแก่เหล่าอำมาตย์แม่ทัพ
นายกองขุนทหารทั้งหลายให้ทราบว่า  
        บัดนี้สมควรจะหากษัตริย์ขึ้นปกครองเมืองศิระสุริยันต์ได้แล้ว  จึงเห็นสมควรอัญเชิญให้ท่าน
มหาอุปราชทรงขึ้นครองราชย์สมบัติสืบต่อไป ซึ่งได้ปรึกษากับท่านมหาอุปราชแล้วถึงฤกษ์งามยามดี
ว่าบัดนี้จะปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งเมืองศิระสุริยันต์ขึ้นใหม่แทนที่ล่มสลายไปในนามว่า
พระเจ้าศิระสุริยะชัย แห่งราชวงศ์ ศิระสุริยะราชัน พวกท่านจะเห็นเป็นประการใด
   
      เหล่าบรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองขุนทหารทั้งหลายต่างเปล่งเสียงแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่ง 
จึงอัญเชิญ พระมหาอุปราชให้นางสนมกำนัลซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นลูกของเหล่าแม่ทัพนายกองทั้งสิ้น
นำพานรองรับมหามงกุฎมาทันที  พร้อมฝ่ายนางรำ ฝ่ายดนตรีเพื่อเฉลืมฉลองการปราบดาภิเษกครั้งนี้
      ครั้นบรรดานำพานทองที่วางด้วยมหามงกุฎที่จัดสร้างขึ้นใหม่ เป็นลวดลายงดงามยิ่งนักตรงหน้า
มหามงกุฎประดับด้วยไข่มุกเรืองแสงตรงกลางพระมหามงกุฎส่งแสงแวววาวรายล้อมด้วยแก้วนพเก้า
แล้วล้อมด้วยเพชรนิลจินดาเรียงรายรอบลวดลายเป็นลายช่อลายดอกไม้พร้อมก้านช่อซึ่งทำด้วยทองคำ
เมื่อท่านผู้เฒ่ารับพานที่รองมหามงกุฎมาแล้วก็ยื่นน้อมถวายแก่องค์ท่านมหาอุปราชทันที  ชายหนุ่ม
ก็นำมหามงกุฎขึ้นครอบบนศีรษะทันที  เสียงมโหรีและนางรำฟ้อนถวายพร้อมโปรยปรายดอกไม้
ที่ส่งกลิ่นหอมนานาชนิดไปยังพระแท่นบัลลังก์ทันใด    ครั้นปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์สมบูรณ์

       พระเจ้าศิระสุริยะชัยก็นั่งลงยังบัลลังก์พร้อมทรงรับสั่งแก่เหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองขุนทหาร
ทั้งหลายทันที   ว่านับแต่นี้เป็นต้นไปให้ทุกๆคนแม้แต่ภายในครอบครัวตลอดจนบริวารทั้งหลาย
ให้เพิ่มชื่อคำว่าศิระนำหน้าหากมีบุตรชายให้ใช้คำว่า”ศิระ”นำหน้าทุกๆคน เพื่อจะได้แสดงว่า
เป็นชาวเมืองศิระสุริยะราชันและขอท่านผู้เฒ่ามหาอำมาตย์ใหญ่แห่งเมืองศิระสุริยะราชัน
จงนำสาสน์ของข้าไปแจ้งและปิดประกาศให้เหล่าประชาราษฎร์ที่มาพึ่งพาอาศัยในเมือง
ศิระสุริยะราชันทราบทุกนาย นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
        แล้วทรงมอบสาสน์ให้ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่รับไปคัดลอกให้เหล่าทหารไปประกาศทั้งทาง
ทหารและปิดไว้ในที่สาธารณะชนทั่วๆไปด้วย    ท่านผู้เฒ่ามหาอำมาตย์ใหญ่น้อมถวายบังคม
เข้ารับพระราชสาสน์แล้วถอยออกมาส่งมอบให้อาลักษณ์ส่วนตัวรีบไปจัดการโดยด่วน โดยปราศ
จากแว่นแคว้นเมืองใดๆทั้งสิ้น ด้วยเป็นไปตามพระประสงค์ขององค์เหนือหัวเพื่อมิให้เอิกเกริกนัก
เพียงแต่ส่งสาสน์ไปให้แก่เจ้าเมืองอิสราวดีทราบเท่านั้นหลังจากปราบดาภิเษกแล้ว ทรงสั่งเลิกประชุม
       ครั้นเจ้าเมืองอิสราวดี พระเจ้าอโนรธาทราบก็เสด็จพร้อมเครื่องราชบรรณาการมาเยี่ยม  
พระเจ้าศิระสุริยะชัยก็ทรงขอร้องแก่พระเจ้าอโนรธาว่าหากจะแจ้งแก่เมืองแว่นแคว้นต่างๆ
ก็ไม่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาหรือเสด็จมาเอง  พระเจ้าศิระสุริยะชัยจะเสด็จไปเยี่ยมเยียนเอง
  เมื่อพระเจ้าอโนรธาทราบความพระประสงค์เช่นนั้นก็น้อมรับ  แต่ขอทราบเหตุผลซึ่งพระองค์ก็ทรง
ชี้แจงว่าไม่ต้องการให้เอิกเกริกทำความเดือดร้อนด้วยพึ่งสร้างเมืองใหม่ๆ  การต้อนรับจะไม่
สมพระเกียรติแก่เหล่าเจ้าเมืองทั้งหลาย  ด้วยประชาราษฎร์ยังไม่พร้อมการทางการก็ยังต้องปรับปรุงอีก

       พระเจ้าอโนรธาก็ทูลขอพบพระราชบุตรีด้วย   ชายหนุ่มก็ไม่ขัดข้องทรงให้ทหารองครักษ์ฝ่ายในนำ
พระเจ้าอโนรธาหรือมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาใหญ่นั่นเอง เข้าพบกับเจ้าหญิงจันทิราเทวีทันที  ดังนั้นพ่อลูก
ก็ถามไถ่ความทุกข์สุขกันและกัน  และเจ้าเมืองอิสราวดีก็ทรงปลาบปลื้มพระหฤทัยยิ่งนักที่ทราบว่าชายหนุ่ม
นั้นเอ็นดูรักใคร่   เพียงสงสัยว่าเหตุใดยังไม่ปราบดาภิเษกเหล่าพระมเหสีทั้งหลายขึ้น
       เจ้าหญิงก็ทรงพระสรวลพลางกระซิบตอบแก่เจ้าเมืองอิสราวดีให้ทราบ  ดังนั้นพระองค์ก็ทรงพระสรวล
นึกชมพระบารมีเจ้าเมืองศิระสุริยะราชันที่สามารถครองใจนางงามได้ถึงแปดพระองค์ 
  ครั้นได้เวลาก็ไปเฝ้าชายหนุ่มแล้วก็ฝากฝังราชบุตรีแล้วเสด็จกลับไปยังเมืองอิสราวดี 
  ขอทรงอนุญาตให้แจ้งข่าวแก่บรรดาเมืองต่างๆให้ทราบด้วยและแจ้งความประสงค์เพราะเคยร่วมรบผ่านศึก
สงครามมาด้วยกันทราบ  มิฉะนั้นอาจจะทำให้บรรดาเจ้าเมืองต่างๆน้อยพระหทัยได้    
ชายหนุ่มก็อนุญาตแต่ให้แจ้งแก่บรรดาเจ้าเมืองว่าพระองค์จะเสด็จไปเยี่ยมเยียนเอง

    เมื่อเจ้าเมืองอิสราวดีเสด็จกลับไปแล้ว   ชายหนุ่มให้นึกถึงแม่นางพรายทั้งสองว่าจะทำฉันท์ใดดีจึงเรียกแม่นาง
ทั้งหกมาร่วมปรึกษากัน  ครั้นเมื่อแม่นางทั้งหกฟังแล้วก็ทรงเล่าการคืนร่างของแม่นางพรายให้แม่นางฟังถึงการ
กลับคืนร่างของทั้งสอง   เมื่อแม่นางทั้งหกได้รับฟังชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น  ต่างพากันปรึกษากันแล้วแม่
นางอิสราวดีนารีก็ทรงพระดำรัสว่า
     “เรื่องแม่นางพรายทั้งสอง  น้องทั้งหกจะพยายามช่วยท่านพี่เองอย่าได้กังวลสิ่งใดไปเลยเพค่ะ”
     “ พี่ขอขอบใจน้องทั้งหกเป็นอย่างมากช่วยสอดส่องว่าใครสิ้นชีพไปแต่อย่าให้เกินสามวันเป็นอันขาด
หากได้ร่างที่ไม่เกินหนึ่งวันก็จะทำพิธีได้เร็วเท่านั้น”
     “แล้วชาตาของแม่นางทั้งสองล่ะกำหนดไว้เมื่อไหร่มีกำหนดหรือไม่เพค่ะ”
     “ ตามตำราที่พี่ศึกษามานั้นคงจะภายในเดือนนี้แหละ  แต่ทว่าภายในเมืองของพวกเรานั้น มีบรรดาครอบครัว
ของเหล่าทหารเท่านั้น   ได้ข่าวว่าภายในอาณาเขตรอบๆล้วนแต่หัวหน้าเผ่าต่างๆจะพากันมาขอพึ่งพิงอาศัยด้วย
เรื่องนี้พี่เองให้ท่านผู้เฒ่าเป็นผู้คัดเลือก   หากเหมาะสมก็ให้เข้ามาอาศัยภายในเมืองได้  พี่เองนั้นไม่อยากจะให้เป็น
ที่เอิกเกริกไปนัก  ด้วยต้องการจะอยู่สถานที่สงัดจึงมาเลือกชัยภูมิแถบนี้  ฉะนั้นยากแก่คนค้นพบยิ่งนักน้องรัก
  หากเดี๋ยวคืนนี้พี่เองจะเฝ้าตรวจดวงดาวอีกครั้งหนึ่งว่าสิ่งที่กล่าวมานี้นั้นจะอยู่ทางทิศใด”  ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น

       ครั้นเวลาค่ำนางพรายปรากฏร่าง  ชายหนุ่มก็ให้แม่นางพรายทั้งสองไปหาแม่นางทั้งหกทันทีว่าตัวเองจะขอ
ศึกษาด้านดาราศาสตร์สักหน่อย  ครั้นแม่นางพรายรับทราบก็เดินหายไปทันที   ชายหนุ่มก็เสด็จออกมายังระเบียง
ห้องบรรทม   ออกมายืนเพ่งท้องฟ้า ซึ่งเป็นข้างแรมปราศจากดวงจันทร์จึงปรากฏดาวมากมายระยิบระยับ
พร่างพรายไปทั่ว   ชายหนุ่มพลางนึกถึงหนังสือตำราทางด้านดาราศาสตร์ทบทวนทันที
         บัดดลก็เห็นดาวทอแสงเจิดจ้าสองดวงพุ่งล่วงหล่นมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้คู่กันมาก็ให้นึกแปลกใจยิ่งนัก
ครั้นทบทวนตามตำราก็ทรงทราบทันทีว่า   บัดนี้ถึงโอกาสของแม่นางพรายทั้งสองแล้วที่จะได้ร่างกลับคืนมาเป็น
มนุษย์ได้   จึงหันหลังกลับเข้ายังพระที่บรรทมรีบนำหนังสือมาทบทวนอีกครั้งหนึ่งก็แจ้งประจักษ์ทันทีก็ทรงดี
พระราชหฤทัยนัก  ว่าพรุ่งนี้จะออกไปตรวจยังทิศตะวันออกเฉียงใต้บางทีอาจจะได้เค้ามูลมาบ้างแล้วก็ทรงพระ
บรรทมทันที
       ครั้นรุ่งเช้าท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ว่ามีหัวหน้าเผ่ามาขอพึ่งพาพระบารมีเข้าร่วมอาศัยในเมือง
ศิระสุริยะราชันขอเข้าอยู่อาศัย     ชายหนุ่มทรงถามไปว่าแล้วหัวหน้าเผ่าดังกล่าวนั้นมาทางทิศใด
หรือท่านพ่อลุง  ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ก็ทูลว่า
       “อันหัวหน้าเผ่านี้มีคนติดตามมาจำนวนมากนับได้เป็นหมื่นคนมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้พระเจ้าข้า”
เมื่อชายหนุ่มได้รับฟังก็ให้สะดุ้งพระหทัยยิ่งนัก จึงดำรัสขึ้นว่า

         “ท่านพ่อลุงงั้นเดี๋ยวหลานจะออกไปรับด้วยตัวเอง ด้วยสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกลว่า
จะได้สิ่งที่สมปรารถนาในคราวนี้เองแหละ  ขอให้ไปเรียกแม่นางทั้งหกให้ติดตามไปด้วยนะ”
          “พระพุทธเจ้าข้า  จะรีบไปแจ้งแก่เหล่าเจ้าหญิงทั้งปวงเดี๋ยวนี้ แล้วพระองค์จะเสด็จเมื่อใดหรือพระเจ้าข้า”
          “เมื่อครบถ้วนรวมพ่อท่านลุงแล้ว  ก็ออกเดินทางไปรับได้เลย”  ชายหนุ่มกล่าว
  พอตกเกือบเที่ยง กษัตริย์แห่งศิระสุริยะราชันพร้อมด้วยมหาอำมาตย์ใหญ่และแม่นางทั้งหก
พร้อมด้วยขุนทหารก็ออกเดินทางไปคอยรับหัวหน้าเผ่าตามทิศดังกล่าวทันที 
   ครั้นขบวนของหัวหน้าเผ่าแลเห็นก็ให้ตกใจยิ่งนักที่เห็นเหล่าบรรดาทหารและองค์กษัตริย์มารับด้วยตนเอง
เช่นนั้น   ก็รีบเข้าไปถวายตัวทันที
        “ข้าแด่องค์เจ้าเหนือหัว  ข้าหม่องอุระกะหัวหน้าเผ่าคิกิแห่งดินแดนเทือกเขาคุระกะนำเผ่ามาเพื่อหวังพึ่ง
พระบรมโพธิ์สมภารพระเจ้าข้า  ข้ามวลเหล่าชาวเผ่าขอน้อมถวายพระพรพระองค์พระเจ้าข้า”   แล้วพลางหันไป
สั่งแก่ชนเผ่าให้น้อมถวายความเคารพทันที       บรรดาชาวเผ่าทุกๆคนต่างทรุดตัวลงกราบถวายตัวทันที
พลันชายหนุ่มก็ถามหัวหน้าเผ่าทันทีว่า  มีบุตรธิดากี่คน   หัวหน้าเผ่าก็บังเกิดใบหน้าสลดลงทันทีพลางกราบทูลว่า
    “ข้าพระองค์มีบุตรหนึ่งบุตรีแฝดสองพระเจ้าข้า   แต่ในระหว่างทางก่อนจะถึงเมืองบุตรีของข้าไม่ทราบด้วยเหตุ
ใดพึ่งจะเสียชีวิตไปในขณะจะพบพระองค์เองพระเจ้าข้า”   หัวหน้าเผ่าสะกดกลั้นน้ำตามิให้ไหลแต่อดที่จะหลั่ง
ออกมาก     ครั้นชายหนุ่มทราบเช่นนั้นก็บังเกิดความดีใจยิ่งนักจึงก้มลงประคองหัวหน้าเผ่าทันทีแล้วพลางกล่าว
แก่หัวหน้าเผ่าหม่องอุระกะว่าอย่าเสียใจไปเลยเป็นธรรมดาของมนุษย์ทั่วๆไปทุกๆคน   

       “ถ้าอย่างงั้นเราขอศพบุตรีท่านทั้งสองซึ่งเป็นฝาแฝดให้แก่เราเพื่อนำเข้าไปยังวังท่านจะเห็นเป็นประการใด”
       “ข้าพระองค์มาครั้งนี้ตั้งใจและแจ้งแก่ชาวเผ่าทุกๆคนจะซื่อสัตย์ถวายตนอย่าว่าแต่เพียงเท่านี้เลย  แม้แต่ชีวิต
ของข้าพระองค์และชาวเผ่าทุกๆคนก็สละให้พระองค์ได้หากพระองค์ไม่รังเกียจคนป่าเช่นพวกข้าพระเจ้าข้า”
        “เอาล่ะเราจะให้มหาอำมาตย์ใหญ่หาที่พักอาศัยภายในกำแพงเมืองให้แก่พวกท่าน  แต่ทว่าบุตรีท่านเราจะ
นำไปเข้าวังเดี๋ยวนี้เลยนะ”  ชายหนุ่มกล่าว
       “นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ข้าพุทธเจ้าและชาวเผ่ายิ่งนัก  แต่เพียงสงสัยว่าพระองค์จะนำศพบุตรีข้า
พระองค์ไปด้วยเหตุใดหรือซึ่งปราศจากประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น พระเจ้าข้า”  หัวหน้าเผ่าสงสัยยิ่งนัก
       “เอาเถอะในเมื่อท่านยกให้แก่เราแล้ว  ต่อไปท่านจะรู้เองแหละ  ไหนๆล่ะศพบุตรีท่านขอดูหน่อยซิ”
         หัวหน้าเผ่าหันไปทางบุตรชายพลางสั่งให้นำร่างที่ปราศจากชีวิตทั้งสองเข้ามาทันที   ครั้นร่างหญิงสาว
ซึ่งพึ่งเสียชีวิตไป นอนคลุมร่างอยู่บนเกวียนมาถึง  ชายหนุ่มก็ไปเปิดดูหน้า  ก็ให้สะดุ้งในใจนักด้วยนางนี้
ช่างสวยสดงดงามและใบหน้ายังคล้ายๆกับแม่นางพรายทั้งสองยิ่งนัก ก็ทรงพอพระราชหฤทัย หันไปเรียก
เจ้าหญิงทั้งหกมาเพื่อให้รีบนำไปยังห้องข้างพระแท่นบรรทมโดยด่วน  เหล่าทหารองครักษ์ที่ติดตามมา
ก็รีบลากเกวียนเพื่อจะออกไป เจ้าหญิงทั้งหกครั้นแลเห็นใบหน้าของหญิงสาวบุตรีหัวหน้าเผ่าต่าง
ก็งุนงงใบหน้าช่างละม้ายคล้ายกับแม่นางพรายทั้งสองยิ่งนัก   ก็ให้ดีใจเป็นอย่างยิ่งนึกถึงคำของชายหนุ่ม
ที่กล่าวไว้ก่อนแล้ว  เจ้าหญิงทั้งหมดก็รีบนำหน้าทหารแล้วต่างควบคุมไปเอง

        ครั้นอำมาตย์ใหญ่ผู้เฒ่าก็นำหัวหน้าเผ่าและชาวเขาทั้งหมดเข้าเมืองและจัดสถานที่ให้พักอาศัย ส่วนชาว
เขาประมาณหมื่นคนทั้งครอบครัวก็ถูกจัดนำไปพักยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ทันที    ชายหนุ่มครั้นสมประสงค์
ดังเจตนารมณ์ก็ให้ทรงเบิกบานพระหฤทัยยิ่งนัก   เมื่อครั้นท่านผู้เฒ่ามาถึงแล้วแจ้งว่าได้จัดสถานที่ให้หัวหน้า
เผ่าตลอดบริวารและครอบครัวพักอาศัยตลอดจนให้ตั้งชื่อศิระนำหน้าชายทุกๆคนด้วยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มก็กล่าวกับท่านผู้เฒ่าว่า
        “พ่อท่านลุง โปรดแจ้งแก่พระธิดาทั้งหกและบรรดาทหารทั้งปวงว่าห้องข้างพระทีนั้นห้ามบุคคลใดเข้ามา
บัดนี้ข้าเองจะถือศีลนุ่งขาวห่มขาวตลอดเจ็ดทิวาราตรี  ห้ามขาดมิให้ใครเข้ามาในห้องเด็ดขาด    อ้อๆๆๆโปรด
เรียกเจ้าหญิงทั้งหกให้แก่หลานด้วยเถิด  อีกอย่างหนึ่งให้จัดเครื่องพิธีตามนี้ให้ครบถ้วนอย่าขาดแม้แต่อย่างเดียว
พลางส่งกระดาษเขียนข้อความให้แก่ท่านผู้เฒ่าทัน  ข้ามิอาจจะรอช้าได้จะทำพิธีคืนนี้เลยล่ะ” 
        “เดี๋ยวข้าเองจะเรียกบรรดาเจ้าหญิงให้พบโดยด่วนนะพระเจ้าข้า”  ท่านผู้เฒ่ากล่าวแล้วรีบไปจัดการตามที่
ชายหนุ่มสั่งการทันที
       สักครู่เจ้าหญิงทั้งหกก็เข้ามาพบชายหนุ่ม   ชายหนุ่มครั้นไม่เห็นใครๆก็กระซิบเสียงเบาๆพอจะได้ยินว่าให้
รีบจัดการศพหญิงสาวโดยเปลื้องเสื้อผ้าออกให้หมด ให้นอนบนแท่นไม้หอมที่ให้พ่อลุงไปจัดการแล้ว เราจะถือ
ศีลตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน   และขอร้องให้เจ้าหญิงอย่าได้เข้ามาหรือให้ใครเข้ามาโดยเด็ดขาดมิฉะนั้นพิธีจะเสียไป
 ขอให้เจ้าหญิงช่วยดูแลคนด้วย ส่วนด้านอาหารนั้นให้วางผลไม้และน้ำไว้กะเพียงใช้ได้ครบเจ็ดวันก่อนจะทำพิธี
พี่จะเริ่มในค่ำนี้ด้วยจะไม่ทันการณ์    บรรดาเจ้าหญิงทั้งเจ็ดก็หัวร่อพลางรับคำว่าจะจัดเวรยามกันเองท่านพี่ไม่
ต้องกังวลหรอก   แล้วพวกนางก็ไปจัดเตรียมเสื้อผ้าสองชุดและจัดการตามที่ชายหนุ่มสั่งไว้ทันที
 
        ครั้นได้เวลาชายหนุ่มก็แต่งกายชุดขาวพลางกำชับบรรดาเจ้าหญิงอีกครั้งแล้วก้าวเข้าสู่ห้องพิธีทันที เข้าไป
ยังที่นั่งที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าศพหญิงสาวที่ถูกเปลือยกายหมดสิ้น   แล้วก็เริ่มเข้าสมาธิทำพิธีทันทีมิรอช้ายกมือร่าย
พระเวทย์ตามตำราทุกๆประการ....................

        * แก้วประเสริฐ. *

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
15 มีนาคม 2553 21:29 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 57

แก้วประเสริฐ


                 ลุ่มลึกอิสราวดี  57

        ทำให้บรรดาสัตว์ทั้งหลายต่างหายวับไปทันที  กระบองนาคราชที่แยกตัวบางกระบองก็
พุ่งเข้าเสียบไปยังร่างของอำมาตย์กบฏทะลุด้านหลังไป ส่วนประคำของท่านผู้เฒ่าก็เป็นดวงเพลิง
เข้าเผาผลาญบรรดาอาวุธและสัตว์น้อยใหญ่ดับสิ้นไปหมด   เหล่าทหารองครักษ์ที่เรียงรายถือ
อาวุธต่างใช้อาวุธป้องกันตัวเองแต่ไม่อาจต้านทานอาวุธของชายหนุ่มกระบองนาคราชได้ 
 ส่วนสัตว์บนอากาศต่างถูกนกวายุภักดิ์ทำลายเสียสิ้นแล้วแล้วจิกกินบรรดาสัตว์ต่างๆ ครั้นหมดแล้ว
ก็กลับมาหาชายหนุ่มทันที  ชายหนุ่มก็เก็บเข้าสู่ย่ามไว้ ส่วนประคำของท่านผู้เฒ่าเมื่อสิ้นภาระก็
กลับรวมตัวกันคืนสู่ท่านผู้เฒ่าต่อไป
       กระบองนาคราชที่แยกตัวออกก็กลับเข้าไปยังกระบองที่ฝังตัวอยู่ในร่างของอำมาตย์กบฏ  ที่ยังไม่ตาย
ส่วนบรรดามเหสีและเหล่าเครือญาติมันทหารองครักษ์ต่างสิ้นชีวิตไปหมดสิ้น   เสียงเจ้าอำมาตย์ใหญ่กบฏ
กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาๆว่า  เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วเกิดจากเจ้าหญิงทั้งสิ้น   ด้วยข้าเองนั้นก่อนเก่าก็มี
ความรักใคร่ในองค์หญิงทำหน้าที่นี้มาเพื่อองค์หญิงตลอดมา  แต่องค์หญิงช่างไร้น้ำใจแก่ข้านัก 
บัดนี้ข้าจะตายแล้วขอเพียงบอกให้องค์หญิงทราบว่าข้ารักองค์หญิงมากนัก  พอกล่าวจบร่างมันก็
สะท้านเฮือกใหญ่แล้วก็สิ้นใจตายไปทันที

       เสียงครั้งสุดท้ายของอำมาตย์มังสุระบดีถึงกับทำให้เจ้าหญิงซึมเซาลงไป  แต่เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ปกติ
พลางนึกในใจว่า  อันเรื่องความรักนั้นมิใช่ว่าจะบังคับใจใครก็หาได้ไม่เรื่องเหล่านี้เองหรือถึงทำให้แผ่นดินต้อง
พากันเดือดร้อนไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินไป   แต่มหาอำมาตย์มังสุระบดีนั้นมีครอบครัวอยู่แล้วก็หาได้คิดคำนึงก็หาไม่
ยังมักมากในกามคุณในหญิงอื่นอีกน่าสมควรตายจริงๆ   พลางหันไปกล่าวแก่ชายหนุ่มทันที
     “หม่อมฉันมิคาดคิดเลยว่าอันอำมาตย์นี้เพียงคิดเอื้อมในสิ่งที่สูงแม้นตัวเองจะมีครอบครัวอยู่แล้วก็ยังมักมาก
ในสิ่งที่ไม่สมควรยิ่งนัก   จึงทำให้แผ่นดินนี้ถึงกับลุกเป็นไฟไปเสียสิ้น แต่ด้วยความทะเยอทะยานของมันหาก
มันคงหวังในราชบัลลังก์มากกว่ากระมังเพค่ะ”
     ชายหนุ่มได้ฟังเช่นนั้นก็ทราบเป็นอย่างดีถึงแม้ว่ามันจะได้ในสิ่งที่มันต้องการ แต่ความโลภของมันหาได้สิ้น
สุดลงไม่ ด้วยนิสัยมันก็คงจะเหมือนกับอาจารย์มันนั่นแหละ จึงหาได้เกิดความสงสารแก่มันแต่ประการใดจึงได้
ปลอบองค์หญิง
     “ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องของความมักใหญ่ใฝ่สูงมากกว่านะน้องเรา  การที่มันอ้างนี้ก็อาจจะเพียงข้อกล่าวอ้าง
เท่านั้น ขอให้น้องหญิงอย่าคิดและคำนึงให้มากนัก  บัดนี้แผ่นดินอิสราวดีนครก็อยู่ในมือของน้องเราแล้ว อีก
ไม่ช้าเมื่อเหตุการณ์ก็คงจะเข้ารูปเข้ารอย   พี่จะพยายามจัดสร้างสิ่งที่ถูกทำลายไปให้ใหม่ขึ้นและยิ่งใหญ่กว่า
เดิมอีก   ส่วนแว่นแคว้นอื่นๆนั้นพี่เองก็จะมอบให้ขึ้นตรงแก่เมืองอิสราวดีต่อไป  ส่วนพี่นั้นก็จะออกเดินทาง
อีกครั้งหนึ่ง”  

    “อ้าวแล้วท่านพี่จะไปที่ใดเล่าล่ะ  ไม่อยู่ครองเมืองอิสราวดีร่วมกับน้องหรือไงจะปล่อยให้น้องต้องรอพี่อีก
นานเท่าใดเลยหรือ”   องค์หญิงทรงดำรัสด้วยน้ำเสียงสั่นเครือยิ่งนัก
    “ไม่หรอกน้องหญิง อันตัวพี่เองหาได้จากน้องพี่ไปก็หาไม่ เพียงแต่จะไปสร้างเมืองใหม่ คือเมือง ศิระสุริยันต์
ยังดินแดนที่ท่านผู้เฒ่าเคยอยู่มา เมื่อสร้างเมืองศิระสุริยันต์เรียบร้อยแล้วพี่เองก็จะมีฐานะสมศักดิ์ศรีเทียบเท่ากับ
น้องพี่   จะได้ไม่เป็นที่ครหานินทาจากเหล่าประชาชนและแว่นแคว้นอื่นๆอีก  แต่ทว่าดินแดนนั้นอาจจะห่างไกล
แต่ก็ไม่มากนักระหว่างเมืองเราทั้งสอง   แต่ตอนนี้ขอให้น้องพี่จงอยู่ปกครองเมืองอิสราวดีรอพี่ก่อนอีกไม่ช้า
พี่เองจะมาสยุมพรกับน้องพี่ตามขนบธรรมเนียมประเพณีต่อไปและก็จะยังไม่เป็นที่ครหานินทาของเหล่าประชา
และแว่นแคว้นอื่นๆอีก พี่ให้สัญญาจ๊ะ”   ชายหนุ่มกล่าวพลางรวบตัวหญิงสาวมาสวมกอด
   “ส่วนดวงแก้ววิเศษนี้พี่มอบให้น้องถือว่าเป็นสัญญาผูกพันก็แล้วกันนะ” ชายหนุ่มกล่าว
   องค์หญิงอิศวรดีนารี ครั้นได้รับฟังคำชี้แจงของชายหนุ่มล้วนแล้วแต่มีเหตุผลทั้งสิ้น ก็เอ่ยขึ้นว่า
     “ท่านพี่ทรงตรัสเช่นนี้ก็สมควรหรอก   แต่ดวงแก้วดวงนี้ถือเป็นตัวแทนที่จะชโลมน้ำใจน้องได้บ้างแต่น้องใคร่
ติดตามท่านพี่ไปสร้างเมืองด้วย  ท่านพี่คงจะไม่ปฏิเสธนะ

       “ใจพี่นี้ก็อยากจะให้น้องพี่ไปร่วมสร้างเมืองด้วยกัน  แต่เห็นว่าภายในเมืองยังวุ่นวายอยู่นัก  ขอให้น้องหญิง
จัดการให้เรียบร้อยเสียก่อนแล้วค่อยไปดูการสร้างเมืองของพี่ก็แล้วกันนะ  พี่จะเขียนแผนที่มอบแก่น้องหญิงไว้
เพื่อเดินทางไปยังเมืองใหม่จ๊ะน้องหญิง”  ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
        “สัญญาต้องเป็นสัญญานะเสด็จพี่  น้องจะรีบจัดการบ้านเมืองแต่งตั้งมวลเหล่ามหาอำมาตย์คัดเลือกตลอด
จนแม่ทัพขึ้นใหม่  ครั้นทางนี้เรียบร้อยแล้วพี่ก็จะออกเดินทาง  แต่แม่นางทั้งห้าจะอยู่กับน้องได้หรือไม่เพค่ะ”
         “อย่างนี้พี่เองก็ห้ามใจแม่นางทั้งห้าไม่ได้หรอก ให้น้องพี่ถามเหล่าแม่นางเองก็แล้วกัน”
     เมื่อแม่นางอิสรวดีนารีได้ฟังดังนั้นก็คิดว่าจริงการบังคับจิตใจคนนั้นไม่สมควรยิ่งจึงหันไปถามบรรดาแม่นาง
ทั้งห้าทันที   แต่ก็ได้รับคำปฏิเสธทั้งสิ้นว่าจะติดตามชายหนุ่มไปด้วยมีสัญญากันไว้ก่อนแล้ว  ครั้นแม่นางอิสรวดีนารีได้ฟังเช่นนั้นก็พา ทอดถอนพระหฤทัยพลางสวมกอดแม่นางทั้งห้าทั้งขอสัญญาว่าจะร่วมกันอยู่หากเมื่อสร้าง
เมืองใหม่แล้วข้าเองก็เห็นจะสละราชสมบัตินี้  เพื่อไปอยู่ร่วมกับท่านพี่ด้วยกันนะ
        ครั้นแม่นางทั้งหมดต่างเข้าใจกันแล้ว    นับแต่นั้นมาชายหนุ่มก็จัดแจ้งตบแต่งเมืองเสียใหม่ใช้เวลานานเกือบ
ปีจึงสมบูรณ์เรียบร้อย   แม่นางอิสรวดีนารีก็เถลิงราชสมบัติต่อไป   เมื่อเมืองเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มก็ประกาศใน
ที่ประชุมเหล่าทหารหาญทั้งหลาย  พร้อมจัดสิ่งของกำนัลแก่เหล่าทหารทั้งปวงตลอดจนสิ่งของไปมอบให้แก่เจ้า
เมืองต่างๆด้วย   แล้วให้บรรดาทหารทั้งหมดเดินทางกลับเมืองได้    แต่แม่ทัพนายกองและเหล่าทหารบางคนไม่
ยินยอมกลับจะขอกลับไปกับชายหนุ่มเพื่อสร้างเมืองใหม่ต่อไป   และให้บรรดารองแม่ทัพนายกองบางคนที่มี
ครอบครัวกับทหารที่มีครอบครัวเดินทางกลับไป  เหลือพวกที่ยังไม่มีครอบครัวเท่านั้นที่ชายหนุ่มยอมให้ติดตาม
ไปยังสถานที่คิดว่าจะสร้างเมืองต่อไป ส่วนเจ้าลิงขนทองและลิงขนขาวก็นำพวกลิงทั้งหลายเข้าอาศัยอยู่ในป่า
ใกล้วิหารต่อไป  เจ้าลิงทั้งหลายยินยอมรับเจ้าขนทองขนขาวเป็นหัวหน้ามันสืบไป  

       ดังนั้นจึงมีทหารเป็นจำนวนมากนับได้สามสี่หมื่นที่ติดตามชายหนุ่มไปพร้อมด้วยแม่นางหญิงทั้งห้าก็ไป
แจ้งแก่แม่นางอิสราวดีนารีเจ้าเมืองแห่งอิสราวดีว่าบัดนี้สมควรจะต้องขอจากลาไปก่อน  แต่แม่หญิงอิสรวดีผู้
ชาญฉลาดกับขอตัวแม่ทัพใหญ่ที่ปรึกษากองทัพของชายหนุ่มไว้ให้อยู่เพื่อได้รวมปกครองอิสราวดีต่อไป
ครั้นท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ที่ปรึกษานั้นความมุ่งหมายคือจะติดตามชายหนุ่มไปด้วย  ก็ต้องถูกชายหนุ่มขอร้อง
ให้อยู่ช่วยแม่นางอิสรวดีนารีต่อไป   ครั้นได้เวลาออกเดินทางทั้งสองต่างอำลาอาลัยซึ่งกันและกันแม่นางเจ้าเมือง
ก็จัดมอบบรรดาช่างฝีมือต่างๆมอบให้แก่ชายหนุ่มเพื่อจะใช้ในการสร้างเมืองต่อไป
        พอได้เวลาอันสมควรแล้วชายหนุ่มก็นำกำลังที่คงยินยอมพร้อมใจสามสี่หมื่นนายพร้อมนายช่างฝีมือของ
เมืองอิสราวดีก็ออกเดินทางไปยังวิหารของผู้เฒ่าทันที   ครั้นเมื่อถึงยังวิหารของท่านผู้เฒ่ามังมหาเดชาธิบดีแล้ว
ก็สั่งให้รื้อวิหาร  วางแผนกับท่านผู้เฒ่าวางรากฐานสร้างเมือง ศิระสุริยันต์ขึ้นใหม่ทันที  ครั้นการก่อสร้างใกล้จะ
เสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว   แม่ทัพก็มารายงานว่า
        “บัดนี้มีกองกำลังทหารหน่วยหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้พระเจ้าข้า”
     ชายหนุ่มได้รับฟังเช่นนั้นก็ให้ฉงนใจยิ่งนักว่าเส้นทางนี้ยากนักจะมีผู้ใดทราบ  เป็นทัพใดหนอที่ล่วงรู้ส่งกำลัง
มาได้     ดังนั้นชายหนุ่มจึงให้รีบจัดเตรียมกำลังทัพไว้เพื่อป้องกันเมืองที่ไม่สำเร็จยกทัพออกเดินทางไปรับหน้า
ก่อนกำลังจะมาถึงเมือง   ครั้นทัพทั้งสองปะหน้ากันชายหนุ่มถึงกับตกตลึงทันที พลางหัวร่อลั่น
       “น้องหญิงทำให้พี่ตกใจคิดว่าเป็นทัพใดเล่าที่รู้เส้นทางลืมไปว่าได้ทำแผนที่นี้ให้น้องแต่เพียงผู้เดียว”

 พลางลงจากหลังม้าพร้อมหน่วยทหารม้าที่เขาฝึกมาด้วยตัวเองก็พากันนำครอบครัวติดตามมาเพื่อสร้างเมืองใหม่
ลงจากม้าทั้งสิ้น ทหารทั้งหลายพากันน้อมกายถวายความเคารพแก่เจ้าหญิงทันที   ทันใดนั้นแม่นางอิสรวดีนารี
ก็ลงจากหลังม้าพร้อมน้อมกายถวายคาราวะแก่ชายหนุ่มพลางเอื้อนเอ่ยว่า
        “บัดนี้เมืองอิสราวดีต่างเรียบร้อยหมดสิ้นด้วยพระบารมีของท่านพี่แว่นแคว้นต่างๆพากันส่งเครื่องราช
บรรณาการมาให้ทุกปี   แต่น้องที่ขอท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ที่ปรึกษาแก่ท่านพี่ไว้นั้นด้วยเหตุที่วางกลยุทธ์มิ
ให้ท่านพี่ระแวงสงสัย   บัดนี้น้องได้สละราชบัลลังก์เมืองอิสราวดีแล้วมอบให้ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่
ท่านเหมี่ยวมังกะยอชวาขึ้นครองราชย์สมบัติแทน  ตอนแรกท่านมิยินยอมแต่น้องเล่าเรื่องต่างๆว่าอันน้อง
จันทิรานั้น   หากท่านเหมี่ยวมังกะยอชวาขึ้นครองราชย์ฐานันดรของน้องจันทิราก็จะเสมอกับน้องเพค่ะ

 อีกประการหนึ่งความดีความชอบของท่านเหมี่ยวมังกะยอชวามีมากมายนัก  เมืองอิสราวดี หากเป็นหญิงครอง
ราชต่อไปไม่ช้าไม่นานก็จะเกิดความยุ่งยากเกิดขึ้นอีก ส่วนใหญ่การตัดสินใจย่อมจะสู้ชายมิได้  ท่านเหมี่ยวมัง
กะยอชวาท่านเป็นผู้สูงอายุเพียบพร้อมด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิมีความรักซื่อสัตย์ต่อท่านพี่มากนัก น้องคิดอ่าน
ด้วยความรอบคอบแล้วจึงมอบให้ท่านเหมี่ยวมังกะยอชวาตัดสินใจคัดเลือกแม่ทัพนายกองและมหาอำมาตย์เอง
ด้วยความเฉลียวฉลาดของท่านเหมี่ยวมังกะยอชวา  ต่างให้จัดการประลองอาวุธคัดเลือกบุคคลเพื่อเป็นแม่ทัพ
นายกองทั้งหมดร่วมกับผู้มีฝีมือในเมืองอิสราวดีที่ไม่ใช่ทหารด้วย จึงได้แม่ทัพเสริมขึ้นอีกมากมาย ส่วนแม่ทัพ
ใหญ่นั้น  ท่านเหมี่ยวมังกะยอชวาต่างให้แม่ทัพทั้งหลายเรียกมาตรวจสอบแต่ละคน จนได้แม่ทัพใหญ่ขึ้นมา
ส่วนมหาอำมาตย์ก็ทำเช่นเดียวกับด้านทหาร   
        คือการคัดเลือกแล้วมาสอบถามความรู้ความสามารถทางการเมืองด้วยตนเองจึงได้มีอำมาตย์ใหญ่แต่ไม่แต่ง
ตั้งเป็นมหาอำมาตย์เพียงซึ่งมีแต่อำมาตย์เพียงสองสามนายเท่านั้น  จนเกิดความร่มเย็นเป็นสุขแก่มวลเหล่าไพร่ฟ้า
ประชาราษฎร์เมื่อเหตุการณ์สงบร่มเย็นเช่นนี้ น้องก็ประกาศต่อเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองขอสละราชสมบัติ
มอบให้แก่ท่านเหมี่ยวมังกะยอชวาแต่งตั้งนามใหม่ว่า “พระเจ้าอโนรธา” เป็นราชวงศ์ใหม่คือ”อโนรธา” แล้ว
จึงออกเดินทางโดยแจ้งบ่งบอกให้แก่ท่านเหมี่ยวมังกะยอชวาทราบถึงเจตนารมณ์ของข้า  ตอนแรกท่านปฏิเสธ
แต่น้องขอร้องท่านว่าให้เห็นแก่บ้านเมืองด้วยเถิด   เขาถึงได้ยอมรับแล้วมอบทหารให้แก่น้องจำนวนหนึ่ง”
พร้อมให้ทหารที่ติดตามานำครอบครัวมาทั้งสิ้นด้วย

        ครั้นแม่นางกล่าวจบลง ชายหนุ่มก็รีบเข้าไปสวมกอดแล้วหันไปแสดงความยินดีแก่แม่นางจันทิรา
ว่าเดี๋ยวนี้มีฐานันดรเป็นเจ้าหญิงแห่งเมืองอิสราวดีด้วย  แม่นางทั้งสี่ก็พลอยแสดงความยินดีแก่แม่นางจันทิรา
ทั้งสิ้น  ทำให้แม่นางจันทิราถึงกลับน้ำตาคลอด้วยความปิติยินดี ยิ่งทราบว่าท่านพ่อบัดนี้ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ
เมืองอิสราวดีก็ให้หายห่วงใย  พลางโผเข้าสวมกอดชายหนุ่มทันใด  แม่นางทั้งสี่ก็เข้าร่วมสวมกอดกันกลมเกลียว
ทำให้ชายหนุ่มถึงกับปลื้มปิติยินดียิ่งนัก    แล้วทั้งหมดก็นำเหล่าทหารหาญกลับไปยังเมืองที่กำลังสร้างใกล้
จะเรียบร้อยแล้ว  ทหารที่มาใหม่ก็ร่วมแรงร่วมใจเข้าช่วยสร้างเมืองใหม่ด้วยทั้งหมด
       ครั้นแม่นางอิสรวดีนารีเห็นดังนั้นก็ให้ปลาบปลื้มพระหทัยยิ่งนัก  ชายหนุ่มจึงได้เชิญแม่นาง เข้าไปพักผ่อนยัง
ที่พำนักชั่วคราว   แต่แม่นางทั้งหกเมื่อเข้าไปยังที่พักแล้วต่างก็หยอกเย้ากันว่าถ้าหากเรามีสามีคนเดียวกันจะเป็น
ฉันท์ใดเล่า  เหล่าพวกแม่นางที่ถูกแม่นางจันทิราสอบถามก็ต่างพากันขวยเขินเอียงอาย แล้วก็ย้อนถามแม่นาง
จันทิราเช่นเดียวกัน  ทั้งหมดต่างก็พากันหัวร่อบอกว่าแล้วแต่ฝีมือใครจะมีบุตรธิดาให้ถือเป็นการประลองยุทธ์
ก็แล้วกัน   ทั้งหมดทั้งๆที่เอียงอายต่างก็แจ่มใส่ระรื่นยิ่งนัก
      แล้วก็ชวนกันออกไปควบคุมการก่อสร้างที่ท่านผู้เฒ่าเป็นแม่งานอยู่ ต่างคนต่างช่วยเหลือท่านผู้เฒ่าดูแลงาน
ต่างๆ   ดังนั้นงานสร้างปราสาทเมือง ตลอดวังต่างๆพร้อมกำแพงเมืองที่ผู้เฒ่าห่วงใยเคร่งครัดเป็นที่สุดประกอบ
ด้วยวัสดุที่เป็นก้อนหินใหญ่ที่ผ่านการทดลองความแข็งแกร่งทั้งสิ้น  เวลาผ่านไปไม่นานการสร้างก็สำเร็จลุล่วง
ท่านผู้เฒ่าก็ให้นำธงศิระสุริยันต์ชักขึ้นบนกำแพงประตูเมืองแปดด้านทันที  อันเมืองศิระสุริยันต์นี้แปลกกว่า
บรรดาแว่นแคว้นเมืองอื่นๆซึ่งมีแค่สี่ด้าน  ส่วนทางเมืองศิระสุริยันต์นั้นกับมีประตูเมืองถึงแปดประตูทีเดียว
         
        เมื่อครั้นชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็ให้ปลาบปลื้มยินดีเป็นยิ่งนัก ยิ่งรอบๆเมืองนั้นเป็นคูน้ำรายล้อมรอบเมืองและ
ประดับไปด้วยดอกปทุมสีสันต่างๆกันกว้างขวางนัก  หากศัตรูรุกเข้ามาย่อมจะต้องผ่านคูคลองที่กว้างขวางนี้ก่อน
ถึงจะเข้าเมืองได้ ส่วนประตูนั้นผิดกับประตูเมืองทั้งหลายโดยมีลอกใช้ชักสะพานประตูเมืองเพื่อข้ามคลองที่กว้าง
แล้วยังมีประตูปิดอีกชั้นหนึ่งซ้อนอยู่ด้วย  กำแพงเมืองนั้นก็สูงยิ่งนักประกอบด้วยหอบังคับการถึงสิบหกหอใช้
สำหรับบัญชาการรบ
         ส่วนด้านหน้าวังกลับเป็นลานกว้างให้พระมหากษัตริย์ออกว่าราชการข้างนอกวังผิดกับแว่นแคว้นต่างๆเสีย
สิ้นเนื่องจากชายหนุ่มเป็นคนวางแบบแปลนไว้เอง ภายในวังท้องพระโรงก็แบ่งเข้าได้เฉพาะอำมาตย์และแม่ทัพ
นายกองตามลำดับชั้น ตลอดใช้สำหรับรับแขกเมืองอีกด้วย ภายในอลังการยิ่งนักประดับประดาด้วยลวดลาย
สีสันต่างๆนาๆ ประดับด้วยไข่มุกเรืองแสงยังตรงกลางเครื่องหมายที่จัดสร้างเป็นสุริยันต์ล้อมด้วยดาวหกแฉก
ตรงกลางเป็นไข่มุกเรืองแสงหนึ่งลูก  ส่วนราชบัลลังก์หัวท้าวพระแขนพระที่นั่งฝังด้วยไข่มุกเรืองแสงข้างละลูก
อีกหนึ่งลูกให้ประดับบนเหนือผนักพิงเป็นรูปสุริยันต์ล้อมด้วยดาวหกแฉกตรง
กลางฝังด้วยไข่มุกหนึ่งลูกเช่นเดียวกันของแท่นบัลลังก์ที่สร้างไว้ด้วยลวดลายสวยสดงดงามยิ่ง  ส่วนไข่มุกที่เหลือสอง
ลูกให้เก็บไว้ในที่เก็บในห้องพระบรรทมซึ่งชายหนุ่มเป็นคนเก็บไว้เอง
          เมื่อการสร้างสมฤทธืผลแล้วก็ให้ฉลองแก่บรรดานายช่างทั้งหลายพร้อมแจกของกำนัลให้  หากผู้ใดคิดจะ
กลับยังเมืองอิสราวดีก็ไม่ขัดข้องแต่ประการใด  แต่บรรดานายช่างฝีมือทั้งปวงเพียงขอให้นำครอบครัวกลับมา
อยู่ยังเมืองศิระสุริยันต์นครด้วย   ชายหนุ่มก็อนุญาตให้ไปนำครอบครัวมาได้  ภายในตัวเมืองมีที่พัก
ของบรรดาแม่ทัพนายกองอำมาตย์ เหล่าองครักษ์ไว้เรียบร้อย    เมื่อชายหนุ่มตรวจสอบความเรียบร้อย
พร้อมแม่นางทั้งหกแล้ว
       ก็ให้นึกถึงแม่นางพรายทั้งสองทันที  เขาตรวจดูดวงชาตาตามตำราบ่งบอกไว้เห็นว่าสมควรจะหาร่างให้
แก่แม่นางพรายทั้งสองได้แล้ว   จึงปรึกษากับนางทั้งหกทันที................

          * แก้วประเสริฐ. *  

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ