8 มีนาคม 2553 17:54 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 41
เมื่อมังสุริยะชัยครั้นนั่งบัลลังก์เรียบร้อยแล้ว ซ้ายขวานั่งด้วยเจ้าลิงทั้งสองเคียงข้างขาเขา
พลางมองเหล่าอำมาตย์ขุนทัพนายกองของเมืองปะอาน ที่ถูกควบคุมตัวมานั่งอยู่เบื้องหน้า
เรียงรายไปทั่วต่างถูกมัดมือไขว้หลังก้มหน้า ทุกๆคนล้วนแต่ใบหน้าหมองเศร้ามีแต่เพียง
หนึ่งเดียวเป็นชายหนุ่มที่อาการปกติหาได้หวาดหวั่นแต่ประการใดไม่ ชายหนุ่มจึงเพ่งมอง
เป็นพิเศษ เขาเป็นชายหนุ่มที่มีลักษณะราศีผ่องใสยิ่งนัก ใบหน้าคางเหลี่ยมแต่หน้าผากกว้าง
สันจมูกโด่ง คิ้วหนาจรดเกือบใบหู หูยาวใหญ๋ผิดธรรมดา นั่งเงยหน้ามองมาทางเขา
หาได้ก้มหน้าเหมือนพวกเหล่าเชลยอื่นก็หาไม่ ดวงตามกลมโตใหญ่จ้องแต่อ่อนโยน
จึงให้บังเกิดความกังขายิ่งนัก พลางกล่าวกับทหารให้แก้มัดแก่ชายหนุ่มคนนี้แล้วให้ยืนขึ้น
ก้าวเข้ามาหาเขา เมื่อชายหนุ่มดังกล่าวถูกแก้มัดแล้วพลางก็ยืนขึ้นอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว
พร้อมทั้งก้มคาราวะแก่มังสุริยะชัยทันที แล้วเดินผ่านเหล่าเชลยทั้งหลายจวบจนใกล้จึงหยุด
น้อมคาราวะชายหนุ่มอีกครั้ง ดังนั้นเมื่อชายหนุ่มมองดูลักษณะร่างกายช่างองอาจยิ่งนัก
สง่าผ่าเผยผิดกับบรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองทั้งหลาย จึงกล่าวว่า
“เจ้ามีชื่อประการใดหรือ”
“ข้าพระองค์มีนามว่า “กะมังกะยอ พระเจ้าข้า” ชายหนุ่มน้อมกายตอบ
“ ในเมืองปะอานนี้เจ้าทำหน้าที่ใดล่ะ” มังสุริยะชัยกล่าวถามอีก
“ข้ามีหน้าที่เป็นสมุห์ราชองครักษ์พระเจ้าข้า”
มังสุริยะชัยก็ให้บังเกิดความชอบใจแก่ชายหนุ่มที่ตอบได้ฉะฉานนอบน้อมและมิเกรงกลัวใดๆ
“แล้วเจ้าฝึกทางด้านการรบพุ่งหรือไม่ล่ะ”
“ข้าขอเรียนว่า ข้าเองร่ำเรียนมาทั้งด้านหนังสือและอาวุธต่างๆพร้อมมูลพระเจ้าข้า”
“เอ๊ะ???....แปลกจริงนะ ใยเจ้าถึงเป็นแค่เพียงสมุห์ราช องค์รักษ์เท่านั้นหนอ” ชายหนุ่มรำพึง
“ ด้วยกระหม่อมเองมิได้คิดจะใฝ่สูงในบรรดาลาภยศใดๆ เพียงแค่เข้ามาเพื่อจะรับใช้เมือง
ด้วยการแนะนำของท่านรองแม่ทัพเอง ซึ่งตอนแรกข้าพระองค์ปฏิเสธแต่ท่านรองแม่ทัพ
ร้องขอจะให้อยู่ช่วยในกองทัพ แต่ข้าพระองค์เห็นว่าเมืองปะอานนั้น
เจ้าเมืองเป็นคนใช้แต่อารมณ์เป็นใหญ่มิฟังผู้ใด จึงกล่าวแก่ท่านรองแม่ทัพว่า หากจะให้ข้ารับใช้ก็ได้
ขอเพียงทำงานด้านหนังสือฝ่ายทหารเท่านั้นพระเจ้าข้า”
“แล้วรองแม่ทัพนั้นตอนนี้ยังอยู่หรือไม่ล่ะเจ้ากะมังกะยอ”
“ยังอยู่พระเจ้าข้า แต่ถูกมัดอยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์แล้วพระเจ้าข้า” กะมังกะยอกล่าวถวาย
พลางชี้ตัวรองแม่ทัพคนนั้นทันที
มังสุริยะชัยหันไปมองตามที่ชายหนุ่มชี้ตัวเห็นเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่องอาจผ่าเผยสมเป็นชาย
ชาติทหาร จึงให้ทหารแก้มัดเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองทั้งหมดทันที พลางกล่าวขึ้นว่าใครเป็นคน
ที่แนะนำเจ้ากะมังกะยอมารับราชการล่ะ ให้ก้าวออกมาซิ พลันทหารร่างองอาจคนนั้นก็ก้าวหน้า
ออกมาแล้วถวายความคาราวะทันที
“เจ้าหรือที่แนะนำตัวชายหนุ่มกะมังกะยอ แล้วเจ้าทำหน้าที่ในกองทัพตำแหน่งใดหรือเหตุใด
จึงแนะนำตัวกะมังกะยอมาทำงานด้วยล่ะ”
“ขอเดชะด้วยข้าเองตรวจดูลักษณะถูกต้องตามตำราว่า บุคคลเช่นนี้หากต่อไปในอนาคตจะได้เป็น
ใหญ่เป็นโต หากหมกมุ่นอยู่กับงานด้านช่างตีเหล็กก็หาสมควรไม่พระเจ้าข้า”
“ อืมมๆๆๆ....นับว่าสายตาเจ้ามิเลวเลยถึงกับรู้ตำราว่าด้วยลักษณะคนและเหมือนกับข้าที่มองเจ้ากะ
มังกะยอคล้ายๆกับเจ้า เจ้ามีชื่อว่าอะไรเล่า” มังสุริยะชัยถาม
“ขอเดชะข้าเองมีนามว่ามุสะกะยีเป็นรองแม่ทัพเหล่าทหารหน่วยสอดแนมพระเจ้าข้า” มุสะกะยีทูลขึ้น
ครั้นมังสุริยะชัยทราบเช่นนั้นก็มิได้กล่าวประการใดอีก พลางสอบถามบรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกอง
ทุกๆนาย ครั้นไตร่ตรองเห็นว่าบางคนนั้นยังเป็นคนมักมากใช้อำนาจในทางไม่สมควรนักจึงสั่งปลด
บรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองบางคนออกจากตำแหน่งทันที ส่วนมหาอำมาตย์ใหญ่แม่ทัพใหญ่ให้นำไป
ประหารชีวิตเสียพร้อมยึดทรัพย์สินต่างๆที่ใช้อำนาจในทางที่ผิดตลอดบรรดาแม่ทัพนายกองบางคนเสียสิ้น
พร้อมทั้งแต่งตั้งแม่ทัพใหญ่ใหม่ทันทีโดยให้มุสะกะยีขึ้นดำรงตำแหน่งแทนส่วนแม่ทัพอื่นๆที่
มีความผิดตลอดจนอำมาตย์ทั้งปวงก็ให้ถอดยศเป็นไพร่ แล้วทรงแต่งตั้งรองขึ้นมาใหม่แทนตำแหน่งเดิม
ทำให้บรรดาอำมาตย์แม่ทัพที่มีความผิดต่างตกใจใบหน้าซีดเผือดไปตามๆกัน ส่วนที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่
ก็ใบหน้าแจ่มใส แล้วต่างถวายพระพรให้คำสัตย์ปฏิญาณตนเองว่าจะซื่อสัตย์ต่อพระองค์ตลอดไปหากจะ
ใช้ให้ทำอะไรแม้แต่บุกน้ำลุยไฟก็หาหวาดหวั่นไม่ แล้วสั่งให้ทหารถอดเครื่องแบบพวกที่ถูกลงโทษออก
เสีย ส่วนที่ถูกประหารก็ถูกนำตัวออกไปและให้ทหารไปยึดทรัพย์สินทั้งหมดของบรรดาที่ถูกยึดทรัพย์
ให้เก็บมาเข้ายังคลังของเมืองปะอานต่อไป
เมื่อมังสุริยะชัยกล่าวจบ ก็พลางประกาศว่าอันเมืองปะอานนี้เป็นเมืองสำคัญนักที่ล้วนแล้วแต่ภูเขายาก
แก่การโจมตี หากจะขาดเจ้าเมืองไปหรือก็จะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในการแก่งแย่งอำนาจกันเอง ดังนั้น
ข้าขอให้แม่ทัพใหญ่และมวลอำมาตย์ที่ถูกแต่งตั้งใหม่นั้นคิดว่าใครเล่าที่จะขึ้นครองเมืองต่อไป ทำให้มวล
เหล่ามหาอำมาตย์และแม่ทัพนายกองต่างๆพลางมองหน้า แล้วพลางกราบทูลพร้อมๆกันว่า
“ขอเดชะ ขอให้เป็นหน้าที่ของพระองค์เถิดพระเจ้าข้า พวกข้าเองนั้นจะยินยอมพร้อมใจยอมรับหาก
เป็นพระประสงค์ของพระองค์พระเจ้าข้า”
ครั้นมังสุริยะชัยได้ฟังเช่นนั้นก็คิดเหมือนดังที่กล่าวไปแล้วว่าเหตุการณ์ต้องออกมาในรูปนี้ หากแม้นว่า
ใครกล่าวขึ้นเองก็หมายถึงความจงรักภักดีหามิไม่ด้วยเสแสร้งเป็นสำคัญแก่เรา ดังนั้นจึงประกาศขึ้นทันที
“ข้าเองไตร่ตรองโดยรอบคอบแล้วว่าเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนชาวปะอานตลอดจนแว่นแคว้นของ
กระเหรี่ยงจึงประกาศขอแต่งตั้งให้เจ้า “กะมังกะยอ” ขึ้นครองราชย์บัลลังก์ต่อไป มีใครจะคัดค้านก็ให้แจ้ง
แก่ข้ามามิต้องกังวลเกรงใจข้า”
เหล่าอำมาตย์และแม่ทัพนายกองทั้งหมดถึงกับตกตลึงด้วยคาดคิดมิถึงว่า สมุห์ราชองครักษ์ที่มีตำแหน่ง
น้อยนิดนี้จะได้ถึงกลับเป็นเจ้าเมืองครองแผ่นดินต่อไป ต่างพากันส่งเสียงงึมงำไปทั่วพลางหันมามองเจ้า
กะมังกะยอทันที มังสุริยะชัยเห็นเช่นนั้นก็ทรงพระสรวลพลางดำรัสขึ้นว่า
“อันเจ้าเมืองคนเก่าแห่งปะอานนั้นมีตาหามีแววไม่ พวกเจ้ารู้หรือไม่อันเจ้ากะมังกะยอนี้เพียงแวบเดียวข้า
เห็นก็รู้ว่า มันเป็นคนเก่งกล้าสามารถยิ่งนักเชี่ยวชาญการปกครองตลอดจนปฏิภาณไหวพริบ
เฉลียวฉลาดหาคนจับตัวได้ยากนัก ที่สำคัญมันเป็นคนที่รู้จักประมาณในตัวยิ่งนัก หาได้มีความทะเยอทะยานเหมือนคนที่ข้าสั่งให้ประหารไป ซึ่งมีแต่ความโลภโมโทสันหาคิดคุณค่าแผ่นดินหวังแต่เพียงแค่ลาภยศเพื่อ
ใช้เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและพวกพ้องของตนเป็นสำคัญ หาได้รู้คุณค่าของประชาชนก็หาไม่ คิดเพียงแต่
จะเป็นใหญ่ใครล้มก็จะข้ามเสียหวังเพื่อคิดตลอดเวลาจะครอบครองผืนแผ่นดินนี้ มิได้มีความสัตย์ซื่อต่อผืน
แผ่นดินเกิดของพวกมันเอง หากมาดแม้นต่อไปยามเจ้าเมืองชราขึ้นไอ้พวกอำมาตย์และบริวารพร้อมกับ
แม่ทัพใหญ่มันก็จะยึดอำนาจมาปกครองและต่อสู้กันเอง ส่วนไพร่พลที่ถูกข้าปลดไปนั้นมันก็เป็นพวกคอย
สนับสนุนหยิ่งยโสโอหังมิคิดถึงคุณของพวกราษฎร์ที่อุ้มชูมันมา กินเงินเดือนที่ประชาส่งมาให้เท่านั้นหาก
ต่อไปจะสร้างความยุ่งยากแก่การครองเมืองของเจ้ากะมังกะยอ ด้วยบุคคลพวกนั้นจะหาทางคิดล้มล้างเอง
และจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่พวกกะเหรี่ยงทั้งมวลในอนาคต เจ้ากะมังกะยอนั้นมันเป็นคนมีความเมตตา
เป็นที่ตั้งย่อมทำให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินอยู่ได้อย่างสงบสุข ข้าเองเมื่อไม่มีคนคัดค้านแต่ประการใดจึงขอประกาศ
ในที่นี้ว่า ให้ทุกๆคนจงช่วยเหลือเป็นภาระดูแลแก่เจ้ากะมังกะยอต่อไปด้วย”
บรรดาเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองเมืองปะอานทั้งหลายครั้นได้รับฟังต่างพากันอ้าปากค้างไปตามๆกัน
มันไม่คิดว่าชายหนุ่มอายุน้อยเพียงเท่านี้ใยถึงมีความคิดอ่านล้ำลึกเช่นนี้ และไม่สงสัยเลยว่าทำไมชายหนุ่มนี้
ถึงได้สามารถควบคุมบรรดาทหารทั้งหลายตลอดจนเข้าตีแว่นแคว้นต่างๆได้มาโดยง่ายดาย แม่แต่เมืองปะอาน
ที่มีชัยภูมิอันยากแก่การโจมตียังต้องเสียดินแดนต่างๆตลอดจนเมืองให้แก่ชายหนุ่มน้อยคนนี้ไป แล้วได้ยิน
ชายหนุ่มคนนี้ ที่หันหน้าไปทางทหารของตนที่ล้วนแต่องอาจกล้าหาญถืออาวุธครบมือพร้อมเพรียงกัน
พลางหันไปสั่งให้ทหารแจ้งแก่ฝ่ายในให้นำมงกุฎผู้ครอบครองแคว้นมาเพื่อเราจะสวมให้แก่เจ้ากะมังกะยอ
ครั้นทหารรับคำสั่งแล้วก็ไปแจ้งแก่ฝ่ายในทันที บัดเดี๋ยวเหล่าสนมกำนัลทั้งหลายต่างพากันเดินถือพานที่ใส่
มงกุฎเจ้าเมืองออกมา ตลอดจนนักดนตรีและเหล่านางรำเข้ามาพร้อมเพรียงกัน มังสุริยะชัยจึงเรียกชายหนุ่ม
เจ้ากะมังกะยอให้มาพบทันที ฝ่ายเจ้ากะมังกะยะนึกไม่ถึงว่าตนเองจะได้รับความเอ็นดูจากมังสุริยะชัยเช่นนี้
ถึงกลับน้ำตาซึม รีบเข้าไปพลางก้มลงกราบยังเท้าของมหาอุปราชแห่งแคว้นศิระสุริยันต์ทันที
มังสุริยะชัยรีบเข้าไปพยุงร่างให้ลุกขึ้นพลางกล่าวว่า เราจะเป็นคนครอบมงกุฎแก่เจ้าเพื่อครอบครองแผ่นดิน
ต่อไป กะมังกะยอเมื่อได้รับฟังเช่นนั้น ก็คุกเข่าลงต่อหน้าแล้วมังสุริยะชัยก็พลันสวมมงกุฎลงบนหัวเจ้า
กะมังกะยอทันที
ทันใดเสียงดนตรีพร้อมนางรำก็ฟ้อนถวายเฉลิมฉลองกษัตริย์องค์ใหม่แห่งแคว้นกระเหรี่ยง
มังสุริยะชัยพลางกล่าวขึ้นในท่ามกลางเหล่าอำมาตย์ทหารหลายว่า ข้าแต่งตั้งเจ้ากะมังกะยอเป็นกษัตริย์
แล้วข้าจะเปลี่ยนชื่อให้ใหม่เพื่อเป็นต้นตระกูลราชวงศ์ใหม่ว่า “อลองสิธูบดินทร์” นับแต่นี้ไป
บรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองเมืองปะอานต่างเข้าน้อมถวายพระพรกษัตริย์องค์ใหม่เพื่อเข้าถวายสัตย์
ปฏิญาณตนแก่กษัตริย์องค์ใหม่ด้วยเสียงสนั่นลั่นไปทั่วท้องพระโรง มังสุริยะชัยก็จูงมือกษัตริย์อลองสิธูบดินทร์
ขึ้นนั่งยังราชบัลลังก์
กษัตริย์แห่งเมืองประอานหลังจากรับคำสัตย์ปฏิญาณตนแล้ว เขาก็นำบรรดาอำมาตย์
แม่ทัพนายกองทั้งหมดเข้าให้สัตย์ปฏิญาณตนกับท่านมหาอุปราชว่าต่อไปนี้เมืองปะอานก็จะขอร่วมเป็น
ร่วมตายกับพระมหาอุปราชราชแม้จะชีวิตจะหาไม่ก็ตาม ทำให้มหาอุปราชแห่งเมืองศิระสุริยันต์ซึ้งพระหทัย
เมื่อพระองค์ครั้นจัดการทางนี้เรียบร้อยแล้ว ก็สั่งทหารทั้งหมดให้กลับไปยังค่ายพักทหารนอกเมืองทันที
ก่อนที่มังสุริยะชัยจะหันกลับ กษัตริย์องค์ใหม่ก็เข้ามาน้อมกายลงคุกเข่าพลางกล่าวคำปฏิญาณตนเอง
ว่าจะดำรงทศพิธราชธรรมตามพระองค์และจะซื่อสัตย์ต่อพระองค์ตราบชั่วชีวิต พลางกล่าวว่าพึ่งจะดำรง
ตำแหน่งหากเมื่อจัดการทางนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วก็จะจัดหน่วยทหารเข้าร่วมกับพระองค์ทันที มังสุริยะชัย
ครั้นได้ยินเช่นนั้นก็หัวร่อพลางตบไหล่เบาๆ แล้วกล่าวว่า
“ขอให้เจ้าจงปกครองไพร่ฟ้าประชาชนให้สงบสุข ข้าเองเมื่อเสร็จธุระแล้วก็จะคืนแว่นแคว้นต่างๆเจ้า
ครอบครองแต่เดิม หากได้ทหารเจ้าเข้าร่วมกับเราก็จะดียิ่งนักด้วยทหารเจ้าเชี่ยวชาญด้านหุบผาแนวไพร
ขุนเขามาก”
“ข้าพระองค์ขอเพียงขอร้องพระองค์ทรงพักสักอาทิตย์หนึ่ง ข้าเองจะนำทัพไปร่วมกับพระองค์พระเจ้าข้า”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าอลองสิธูบดินทร์ ขอเพียงเจ้าส่งแม่ทัพนายกองให้แก่เราก็เพียงพอแล้ว เอาล่ะข้า
เองก็จะทำตามที่เจ้าขอร้องแต่ทว่า ข้าเองไม่ชอบการต้อนรับที่เอิกเกริกนักจะขอพักที่ค่ายทหารเราเท่านั้น
หากเจ้ามีขอปรึกษาใดแก่เราก็มาหาเราได้เสมอนะ”
“พระเจ้าจ้า ข้าพระพุทธเจ้าจะส่งของลำเลียงไปตลอดเวลาที่พระองค์พำนักที่ค่ายทหารพระเจ้าข้า”
“เอาล่ะขอบใจเจ้ามาก ข้าเองกลับก่อนนะอย่าลืมคำมั่นสัญญาเสียล่ะ”
“ชั่วชีวิตนี้ข้าพระองค์หาลืมเลือนไม่พระเจ้าข้า” กะมังกะยอกล่าวด้วยความนอบน้อม
เมื่อชายหนุ่มออกจากเมืองปะอานแล้วก็กลับยังที่พัก แล้วเรียกประชุมนายทัพนายกองสำรวจทหารทันที
การศึกครั้งนี้ฝ่ายเราเสียทหารไปจำนวนไม่มาก ครั้นได้รับรายงานเช่นนี้ก็สร้างความดีใจยิ่งนักแก่ชายหนุ่ม
พร้อมทั้งตบรางวัลแก่เหล่าทหารทั้งปวงพร้อมทั้งให้จัดงานฉลองให้สนุกสนานที่เหน็ดเหนื่อยต่องานมาแล้ว
จากนั้นชายหนุ่มก็จูงมือท่านมหาอำมาตย์ใหญ่มาร่วมรับทานอาหารด้วยกันพร้อมกับแม่นางจันทิรา พลาง
เอ่ยชมเชยแม่นางจันทิรามิขาดปาก ทำให้แม่นางจันทิราถึงกับเอียงอาย ระหว่างทานพลางหัวร่อขึ้นทันทีทำ
ให้มหาอำมาตย์และแม่นางจันทิราสงสัยจึงถามว่า
“พระองค์ทรงพระสรวลอะไรหรือพระเจ้าข้าถึงได้ทรงนานเช่นนี้”
“ที่เราหัวร่อมากเช่นนี้ด้วยมองไปข้างหน้าว่าอันไอ้อำมาตย์แห่งเมืองอิสราวดีเห็นทีจะไม่พ้นความตายไป
จากมือเจ้ากะมังกะยอไปได้หรอก”
แล้วก็เล่าความต่างๆให้ท่านมหาอำมาตย์ทราบเรื่องราวต่างๆทั้งหมดฟังตลอดจนลักษณะต่างๆของเจ้าเมือง
ใหม่ให้ฟัง มหาอำมาตย์ที่ปรึกษาครั้นได้ฟังก็หลับตาลงครุ่นคิดถึงลักษณะที่ชายหนุ่มบ่งบอกแล้วลืมตาเอ่ยขึ้น
“ข้าพระองค์ตรวจดูนึกถึงตำราแล้วเห็นจะจริงดังพระองค์ตรัสมาพระเจ้าข้า ตามตำราก็บ่งบอกถึงการข่มกัน
ของรังสีระหว่างเจ้าอำมาตย์กับกษัตริย์แห่งปะอานเป็นแน่แท้พระเจ้าข้า”
“ นั่นซิตามตำราข้าเองก็บ่งบอกเช่นกันนะ แล้วต่อไปเราเห็นที่จะต้องอาศัยคนของชาวกระเหรี่ยงนี้แหละ
ยกเข้าตีแคว้นยะไข่ต่อไป ด้วยมันต่างเป็นชาวเขาด้วยกันย่อมจะรู้ทางซึ่งกันและกัน” ชายหนุ่มกล่าว
“แล้วชาวเมืองแว่นแคว้นข้าพระองค์ก็ล้วนแต่ชาวเขาเช่นกันนะเพค่ะ” หญิงสาวท้วงติง
“ใช่แล้วแม่นางย่อมล้วนเชี่ยวชาญเกี่ยวกับภูเขาทั้งสิ้นแต่ทว่า อันเมืองปะอานมีสัมพันธ์ไมตรีกับแคว้นยะไข่
อันแว่นแคว้นท่านถึงแม้จะเป็นภูเขาแต่ก็หาได้มีต้นไม้ปกคลุมมากมายนัก ผิดกับแว่นแคว้นทั้งสองนี้ซึ่งล้วน
แล้วอุดมด้วยพืชพันธุ์ไม้ใหญ่ๆทั้งสิ้นยากต่อการโจมตี ยิ่งเมืองหลวงมันซิตตเวแล้วไม่เพียงอยู่บนเขาแต่ก็ปกคลุม
ไปด้วยไม้ใหญ่ทั้งสิ้น นอกจากคนที่ชำนาญทางเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ พวกเราถึงแม้มิเกรงกลัว แต่ทว่าส่วนใหญ่
จะรบทางภาคพื้นดินทางราบเท่านั้น” ชายหนุ่มกล่าวขึ้น
ครั้นหญิงสาวได้ฟังเช่นนั้นก็เห็นจริงถูกต้องดังชายหนุ่มกล่าว พลางนึกในใจว่ามิน่าเล่าเขาเป็นผู้ที่
ชาญฉลาดนักถึงสามารถรวบรวมแว่นแคว้นต่างๆได้ อีกทั้งได้ฟังข่าวเล่าลือว่าผ่านป่าดงดิบที่มนุษย์ยากจะเข้า
ไปได้และรอดออกมาถือได้ว่าไม่ธรรมดา ตลอดยังมีเพื่อนที่เป็นสัตว์ที่เก่งกล้าสามารถอีกด้วยต้องหมายถึงความ
เป็นอิสริยะบุรุษยากจะค้นหาได้ในแผ่นดินนี้ จนบังเกิดความรักใคร่ใฝ่ปองยิ่งนัก ดังนั้นเพื่อหมายประสงค์จะ
ออกรบเคียงข้างร่วมกับชายหนุ่มจึงหันไปกล่าวกับบิดาว่า
“ข้าแต่ท่านพ่อข้าเองเห็นว่าภายในค่ายใหญ่นี้ก็ล้วนแต่ทหารอันเก่งกล้าสามารถยิ่งนัก ข้าเองใครจะหา
ประสบการณ์กับพระองค์ อยากจะอยู่เคียงข้างเพื่อบางทีอาจจะช่วยเหลือพระองค์ช่วยศึกได้นะท่านพ่อ”
ท่านมหาอำมาตย์ครั้นได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจในความคิดอ่านของบุตรีทันทีจึงหันไปกล่าวกับชายหนุ่มว่า
“ข้าพระองค์เห็นว่าข้าเองก็แก่เฒ่าแล้ว อยากจะฝากบุตรีแก่ท่านไว้ใต้เบื้องยุคคลบาทให้คอยปรนนิบัติ
รับใช้ด้วย ขอพระองค์อย่าได้รังเกียจหม่อมฉันเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
ครั้นชายหนุ่มได้รับฟังเช่นนั้นก็ถึงกับอ้ำอึ้งไปในทันที ครั้นจะปฏิเสธก็ให้เกรงใจกลัวจะผิดไมตรีกัน
ครั้นจะรับไว้หรือก็จะทำให้เกิดความเป็นห่วง จะทำไฉนดีล่ะเราพลางคิดถึงแม่นางพรายทั้งสองขึ้นมาได้ว่า
ขอให้ดลใจเราช่วยเราด้วย ทันใดความคิดก็สอดแทรกเข้ามาทันทีว่าให้รับไว้เถอะนางนั้นเก่งกล้าสามารถ
ทั้งมีสติปัญญามากมายจะเป็นประโยชน์มากนักและอาจจะช่วยงานท่านได้ดีเสียงกระซิบบอกมาดังนั้นชาย
หนุ่มแกล้งทำเป็นหัวร่อแล้วพลางกล่าวว่า
“การรบครั้งต่อไปนี้จะสร้างความลำบากแก่แม่นางมากนักนะ แม่นางคิดดีแล้วใยฤา”
“หากแม้แต่บุกน้ำลุยไฟข้าพระองค์ก็หาได้หวั่นเกรงใดไม่ เพียงกริ่งเกรงพระองค์เท่านั้นจะไม่เห็นข้า
อยู่ในสายพระเนตรของพระองค์พระเจ้าข้า”
“เอาล่ะๆๆ????....ในเมื่อแม่นางประสงค์เช่นนี้ข้าเองก็ไม่ขัดข้องหรอก แต่ว่าหากอยู่กันลำพังท่านมหา
อำมาตย์และแม่นางแล้วให้เรียกข้าธรรมดาก็ได้นะไม่ต้องถือยศถาบรรดาศักดิ์อย่างไรเราก็คนเหมือนกัน”
ครั้นทั้งสองพ่อลูกได้ยินเช่นนี้ก็ให้รู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นยิ่งนักว่าการมีเจ้านายเยี่ยงนี้ช่างประเสริฐยิ่งนัก
ยากจะหาเจ้านายที่เสมือนเช่นนี้ได้อีกต่อไปแล้ว............
* แก้วประเสริฐ. *
7 มีนาคม 2553 13:53 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 40
ฝ่ายเจ้าเมืองมะกะยอแห่งปะอาน ทราบข่าวศึกก็จัดสั่งทหารเข้ารักษาเมืองอย่างเข้มแข็ง ครั้นได้รับ
สาสน์เจรจากับมังสุริยะชัย ถึงกับหัวร่อลั่นหาได้สนใจแต่ส่งหนังสือให้กับทูตที่มาเจรจานำกับไปให้แก่
มังสุริยะชัยว่าหายินยอมพร้อมใจไม่ หากจะยึดเมืองเราก็ให้ระดมพลตีเข้ามาเถิดข้าเองหาได้เกรงกลัวไม่
ไม่เหมือนกับแว่นแคว้นอื่นๆ ด้วยมีความเชื่อมั่นในภูมิประเทศอันมั่นคงและทหารของฝ่ายตนเองว่า
สามารถที่จะรับและรุกในการศึกครั้งนี้ได้
พร้อมกับมีหนังสือให้ม้าเร็วรีบไปแจ้งแก่เหล่าเมืองบริวารทั้งหลายให้รีบจัดส่งทหารมาช่วยการศึกครั้งนี้ ครั้นทหารออกเดินทางไปแล้วก็ไปยังเชิงเมืองเพื่อสั่งการพร้อมกับให้ตระเตรียมน้ำมันและคั่วทรายเตรียมไว้
ให้พร้อม เพื่อป้องกันโจมตีหากเข้ามาใกล้ให้ใช้หน้าไม้ลูกดอกที่อาบยาพิษยิงทันที
เมื่อมังสุริยะชัยจัดส่งหน่วยทหารเข้าแทรกซึมไปตามหมู่บ้านรอบเมืองและในเมืองแล้ว ครั้นได้เวลาก็
แสร้งยกกำลังพลโห่ร้องด้านหน้าเมืองของเจ้ามะกะยอแต่ห้ามทหารเข้าโจมตีเพื่อรอจังหวะยั่วเย้า มะกะยอซึ่ง
มีนิสัยมุทะลุก่อน ชายหนุ่มทราบว่าอันเมืองปะอานนี้เก่งกาจด้านยาสั่งและยาพิษด้วยท่านมหาอำมาตย์ที
ปรึกษาแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไว้แล้ว
ดังนั้นชายหนุ่มจึงให้ทหารไปหลอกล่อเพื่อให้ทหารฝ่ายปะอานยิงลูกดอกอาบยาพิษมาแล้วแจ้งว่า
ให้เก็บไว้แล้วนำมามอบให้ทันที เพื่อจะให้เจ้าขนทองขนขาวพิสูจน์เพื่อหายามาป้องกันไว้เสียก่อน
ครั้นทหารได้นำลูกดอกอาบยาพิษมามอบให้มังสุริยะชัยแล้ว ชายหนุ่มจึงเรียกเจ้าขนทองขนขาวมาให้ดมพิสูจน์
ยาพิษ เจ้าลิงทั้งสองบัดนี้เข้าใจคำพูดและกิริยาท่าทางชายหนุ่มแล้วก็รีบออกไปทันที
ชายหนุ่มสั่งทหารทั้งหลายอย่าได้เข้าใกล้กำแพงเมืองเด็ดขาด ให้ยั่วเย้าด่าท้อต่างๆนาๆแก่เหล่าทหารจนกว่า
จะได้รับคำสั่ง จนเวลาผ่านไปนานเจ้าขนทองขนขาวก็กลับมาพร้อมด้วยตัวยาหลายชนิด ชายหนุ่มจึงสั่งให้
ทหารเรียกหัวหน้าหน่วยพยาบาลมาพบโดยด่วน เมื่อหัวหน้าหน่วยพยาบาลเข้าพบแล้วชายหนุ่มก็สั่งให้นำยาทั้ง
หมดนี้ไปตำให้ละเอียดรักษาอย่าให้แห้ง หากแห้งให้ชุบน้ำให้เปียกแล้วใช้น้ำที่คั้นเก็บรักษาไว้ หากใครโดน
ลูกดอกอาบยาพิษก็ให้ดื่มและนำเอากากมาพอกบาดแผลก็จะระงับความเจ็บปวดค่อยๆขจัดพิษออกสิ้น
หัวหน้าหน่วยพยาบาลรับทราบแล้วก็นำตัวอย่างทั้งหมดซึ่งมีจำนวนมาก ด้วยเจ้าขนทองขนขาวมอบยาแล้ว
ก็ไปรีบนำมาเพิ่มเติมอีกจนได้จำนวนมากมายนัก ครั้นสั่งการเรียบร้อยแล้วแจ้งแก่หัวหน้าหน่วยพยาบาลว่าหาก
เสร็จพร้อมแล้วให้รีบมาแจ้งให้เขาทราบโดยด่วน หลังผ่านไปอีกไม่นานนักราวครึ่งวันหัวหน้าหน่วยพยาบาลก็
กลับมาแจ้งว่าได้จัดการให้เรียบร้อยแล้ว
มังสุริยะชัยทราบดังนี้ก็ รีบนำกำลังทหารม้าทั้งหมดพร้อมอาวุธที่เขาสร้างขึ้นมาออกนำหน้าเหล่าทหาร
ทั้งหลาย เมื่อถึงยังด้านประตูเมืองก็เห็นมีทหารของเมืองปะอานจัดทัพรออยู่แล้ว จึงขับม้าสีเทาทุ่งทะยาน
พร้อมออกคำสั่งบุกทันที เหล่าทหารม้าที่เชี่ยวชาญกลยุทธ์ต่างๆก็เรียงหน้าเข้าต่อสู้ทันใด เมื่อทัพทั้งสอง
ปะทะกันขึ้น ฝ่ายของมังสุริยะชัยมีมากกว่าก็สามารถฆ่าข้าศึกลงได้เพียงชั่วเวลาไม่นานนัก เหล่าทหารของ
มะกะยอก็แตกพ่ายหนีกลับเข้าสู่เมือง
แม่ทัพนายกองของมะกะยอล้วนแล้วเสียชีวิตมากมาย เหลือเพียงนายกองนำทหารกลับเข้าเมืองรายงานแก่
มะกะยอ ว่าทหารของมังสุริยะชัยนั้นกล้าแข็งนักเชี่ยวชาญการรบทั้งม้าและทหารพื้นดิน การใช้อาวุธก็แปลก
ประหลาดทั้งสิ้นนอกจากเหล่าทหารบรรดาแว่นแคว้นต่างๆที่ระดมมานั้นที่เสียชีวิตไปกับทหารของเรา
เหตุที่กำลังพลทหารฝ่ายตรงข้ามมีมากกว่า จึงมิอาจต้านรับได้
เจ้าเมืองปะอานครั้นทราบและรู้ว่าบรรดาแม่ทัพที่ออกศึกครั้งนี้เสียชีวิตไป ก็ยิ่งเพิ่มความโกรธเป็นยิ่งนักจึง
ใคร่จะนำทัพออกต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง แต่บรรดาอำมาตย์ทั้งหลายต่างห้ามไว้ว่าหากการรบต่อไปผิดพลาดเมือง
ปะอานเห็นทีจะหาหัวหน้าควบคุมมิได้ เมื่อได้รับฟังการต้านทานเช่นนี้ มะกะยอก็พลันคิดได้จึงสั่งให้รักษา
กำแพงเมืองให้เข้มแข็ง สักครู่ม้าเร็วก็กลับมารายงานว่าไม่สามารถจะเข้าเมืองต่างๆได้ด้วย บรรดาเมืองต่างๆ
ได้เสียไปให้แก่ข้าศึกหมดแล้วทั้งแปดเมือง ต่างถูกกองทัพของข้าศึกทำลายเมืองและฆ่าเจ้าเมืองเสียสิ้นจัดตั้ง
เจ้าเมืองใหม่ บัดนี้กำลังพลทหารที่ตีเมืองทั้งแปดต่างมุ่งหน้ามาทางเมืองปะอานแล้ว
มะกะยอได้ฟังเช่นนั้นก็ตกใจเป็นกำลังไม่คาดคิดว่า ข้าศึกจะแยกการตี หลายวันนี้ที่มายั่วเย้าก็เพื่อจะรอ
ให้กองทัพที่แบ่งไปตีเมืองต่างๆได้บรรลุผลสำเร็จนั่นเอง จึงรีบจัดประชุมเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองทันทีว่า
จะทำประการใด ด้วยนิสัยที่ดื้อดึงของชาวกะเหรี่ยงหาได้รู้หนักรู้เบาไม่ตามนิสัยชาตินักรบจึงแจ้งว่าให้ช่วยกัน
ระดมกำลังภายในเมืองเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาเมืองให้ได้ต่อไปพร้อมระดมพลรักษาเมืองอย่าได้ท้อถอย หากผู้ใด
ขัดขืนก็ให้ฆ่าทิ้งเสีย คำสั่งนี้ยามออกไปทำให้เหล่าทหารพากันหวาดกลัวต่อคำสั่งนักจึงพยายามผลัดกันรักษา
เมืองอย่างเข้มแข็ง
ฝ่ายมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาใหญ่เข้ามารายงานแก่ชายหนุ่มว่า บัดนี้บรรดากองทัพทั้งแปดสามารถตีเมือง
ต่างได้ได้ราบคาบหมดแล้ว กำลังเดินทางมาถึงค่ายใหญ่แล้วคงอีกไม่เกินสองวันนี้ มังสุริยะชัยก็ยินดียิ่งนัก
แจ้งแก่ที่ปรึกษาใหญ่ว่า ให้รีบไปต้อนรับกองทัพไว้แล้วให้พักผ่อนสักสองสามวันเพื่อให้กำลังวังชาทหารนั้น
กลับคืนมาเสียก่อน พร้อมให้จัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะแก่แม่ทัพนายกองทั้งหลายตลอดเหล่าทหารด้วย
มหาอำมาตย์ทราบแล้วก็รีบออกไปจัดการตามคำสั่งชายหนุ่มทันที ด้านแม่นางจันทิราที่ทราบการวางแผน
ของมังสุริยะชัย ยามออกศึกก็ขี่ม้านำหน้าเหล่าทหารมิหวั่นเกรงใดๆทั้งสิ้นซึ่งผิดกับแม่ทัพนายกองทั่วๆไปก็
หายความกังวลสงสัยในใจนางออกไป ด้วยเหตุนี้เองทำให้เหล่าทหารทั้งหลายคะนองศึกยิ่งนักด้วยแม่ทัพใหญ่
นำหน้าเหล่าทหารออกศึกด้วยตนเอง เพิ่มขวัญกำลังใจแก่มวลเหล่าทหารทั้งหลายบังเกิดความนึกชอบขึ้นในใจ
นางยิ่งนัก มาดแม้นว่านางจะยังมิได้ออกรบสักครั้งเดียวก็ตามด้วยการติดตามท่านพ่อตลอดเวลาเป็นที่ให้คำ
ปรึกษาแก่ท่านเท่านั้น ก็ใคร่คิดอยากจะออกรบร่วมกับชายหนุ่มด้วย
จึงหาโอกาสที่จะแจ้งให้ชายหนุ่มทราบได้ประจักษ์ในฝีมือนางบ้าง ครั้นหน่วยทัพทั้งแปดเดินทางมาถึงแล้ว
ชายหนุ่มก็ออกไปต้อนรับยังหน้าค่ายแล้วกล่าวแสดงความยินดีแก่แม่ทัพนายกองทั้งปวง ทำให้เหล่าแม่ทัพ
นายกองบังเกิดความรักศรัทธาเชื่อมั่นต่อชายหนุ่มเป็นอันมาก ภายหลังจากงานเลี้ยงฉลองเหล่าทหารผ่านไปแล้ว
ชายหนุ่มจึงเรียกประชุมแก่เหล่ามหาอำมาตย์และแม่ทัพนายกองทั้งหลาย พร้อมนำแผนทีของท่านมหาอำมาตย์มา
กางแล้วชี้แจงว่า เวลาก็เนิ่นนานมาทหารทุกๆคนต่างสมบูรณ์พร้อมแล้ว เราจะเข้าโจมตีเมืองปะอานหากปล่อย
ช้าไป จะทำให้บรรดาแว่นแคว้นอื่นๆเพิ่มกำลังมากขึ้นถึงแม้นว่าบัดนี้จะรู้ทั่วไปแล้วแต่ไม่คิดว่าเราจะเข้าโจมตี
แว่นแคว้นใดก่อนเท่านั้น จึงแต่งตั้งให้มังสุรเดชเดชาเป็นปีกขวายกกำลังเข้าตีเมืองด้านตะวันออก มังนายะเดชะคุมปีกซ้ายยกกำลังพลเข้าตีด้านตะวันตก ส่วนทิศใต้นั้นให้เหมี่ยวสุรการแอบลอบเข้าทางด้านหลังซึ่งยากแก่
การโจมตีแต่ด้วยเหมี่ยวสุรการนั้นมีความชำนาญด้านภูเขาและค่อยๆเดินทางไปให้ส่งสัญญาณไปยังเหล่าทหารที่
แฝงตัวอยู่ในเมืองและรอบข้างให้ทราบเพื่อรวบรวมพบตีด้านหลังซึ่งติดกับหน้าผา ส่วนด้านหน้าเราจะเข้าตีเมือง
เองให้ทุกๆท่านนำยาที่จะมอบไว้และบอกวิธีรักษาให้ตลอดจนนำอาวุธเพื่อใช้ทำลายเมือง
ด้วยอาวุธต่างๆรวมลูกดอกของหน้าไม้ของพวกปะอานนั้นล้วนแล้วแต่อาบยาพิษหากรักษาไม่ทันก็จะถึงแก่
ชีวิตทันที ฉะนั้นจงอย่าได้ประมาทเด็ดขาดให้ใช้กลทางทหารเป็นหลักแล้วก็อธิบายถึงการโจมตีตามหลักพิชัย
สงครามที่ตนศึกษามาจากตำราเขียนบางส่วนมอบให้เหล่าแม่ทัพนายกองทันที บรรดาแม่ทัพที่ชายหนุ่มสั่งการ
น้อมรับแผนที่แล้วก็ถอยออกมาเพื่อรอคำสั่งต่อไป ได้เวลาที่แม่นางจันทิราสบโอกาสทันทีจึงกล่าวขอร้องให้
มอบกำลังส่วนหนึ่งเข้าโจมตีด้านหลังที่เป็นภูเขาด้วย แม่นางอ้างว่าเธอเองเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะเพราะได้
ฝึกฝนจากอาจารย์มาอย่างดี รอบรู้สิ่งต่างๆสิ้นประกอบกับท่านพ่อได้บันทึกไว้แล้วด้วย
ครั้นชายหนุ่มได้ฟังก็บังเกิดความลังเล แต่หากขัดใจหล่อนก็จะทำให้เสียกำลังใจยิ่งนัก จึงอนุญาตและจัด
กำลังให้นางส่วนหนึ่งร่วมไปกับแม่ทัพเหมี่ยวสุรการทันที ครั้นได้เวลาฤกษ์งามยามดีแล้วท้องฟ้าแจ่มใสยิ่งนัก
ชายหนุ่มก็สั่งให้เคลื่อนกำลังพล ให้สังเกตเสียงระเบิดเป็นสำคัญหากได้ยินเสียงระเบิดเกิดขึ้นก็ให้เข้าโจมตีโดย
พร้อมเพรียงกัน บรรดาแม่ทัพที่ได้รับการแต่งตั้งรับทราบแล้วก็จัดกำลังพลออกเดินทางพร้อมชายหนุ่มทันที
ครั้นเสียงกลองศึกกังวานขึ้น ชายหนุ่มก็ขับเจ้าสีเทาทะยานออกหน้าเหล่าทหารเคียงคู่กับเจ้าขนทองและขนขาว
ที่ขี่ม้ากระหนาบข้างทะยานออกไปด้วย
กำลังพลทั้งปวงก็ดาหน้าเข้าสู่เมืองปะอาน ฝ่ายเจ้าเมืองปะอานซึ่งยืนคุมพลทหารอยู่บนเชิงกำแพงครั้นเห็น
นึกว่าชายหนุ่มระดมกำลังเพื่อเข้าตีด้านหน้าเพียงด้านเดียวก็หัวร่อลั่นพลางเรียกระดมทหารเกือบทั้งหมดเข้าป้อง
เมืองด้านหน้าทันที แต่พอเห็นกองทัพที่ดาหน้าออกมาต่างแยกย้ายกันทั้งปีกซ้ายขวาหลังก็นึกได้ รีบสั่งให้
เหล่าทหารกลับไปประจำยังประตูเมืองต่างๆทันที เสียงย่ำเท้าทหารและหน่วยหม้าดังสนั่นหวั่นไหว ผงคลีคลุ้งกระจายตลบ
ไปทั่ว แต่ทางเมืองปะอานหาได้ยกกำลังออกมาต้านรับใดไม่ เพียงแค่ตั้งรับภายในเมืองเท่านั้น
ดังนั้นชายหนุ่มก็ให้หยุดทัพพ้นระยะของลูกดอกหน้าไม้แล้วตั้งเรียงกระจายออกไป เพื่อรอให้กองกำลัง
ที่จะเข้าตีประตูเมืองทิศอื่นพร้อมเสียก่อน เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้วชายหนุ่มก็หันม้ากลับแจ้งไปยังแม่ทัพให้
ลำเลียงอาวุธมาจัดตั้ง ท่อนเหล็กบ้องไฟพิเศษนั้นก็ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่หมายคือประตูเมืองและกำแพง
เมืองที่บรรดาเหล่าหน้าไม้ใช้ป้องเมืองอยู่ ครั้นได้เวลาสมควรชายหนุ่มก็สั่งยิงทันที
เสียงหวีดหวิวดังขึ้นบ้องไฟก็พุ่งทะยานเข้าสู่ประตูเมืองและกำแพงภายในเมืองทันที
เสียงระเบิดกึกก้องกังวานพร้อมเสียงร้องโหยหวนของเหล่าทหาร เกิดไฟไหม้ไปทั่วภายในเมืองทันที
ชายหนุ่มให้ระดมทหารออกยิ่งเพิ่มอีกทันที ภายในเมืองก็เกิดไฟลุกไหม้โชติช่วงเป็นเปลวเพลิงสูงควัน
ไฟกระจายไปทั่ว ทำให้บรรดาราษฎร์ต่างพากันส่งเสียงร้องระงม
ประตูเมืองก็พังทลายลงมาบรรดาพลหน้าไม้และเหล่าทหารที่เจ้ามะกะยอคิดว่าคงจะใช้สะพานไม้พาดกำแพง
เมือง ซึ่งแลเห็นก็ทราบทันทีว่าเป็นกลลวงหลอกพวกมัน แต่ที่แท้จริงคือเป้าหมายประตูกำแพงเมืองนั่นเองและสร้าง
ความชุลมุนแก่เหล่าทหารทั้งหลายนั่นเอง มันบังเกิดความตกใจยิ่งนัก แต่ทว่าช้าไปเสียแล้ว ชายหนุ่มพร้อมด้วย
เจ้าลิงขนทองขนขาวนำเหล่าทหารควงอาวุธประจำกายเป็นจักรผันป้องกันเหล่า ลูกดอกหน้าไม้หล่นหมดสิ้น
เหล่าทหารม้านั้นได้รับสิ่งของที่ชายหนุ่มมอบให้คาดแขนไว้หาได้รับอันตรายใดๆไม่ ก็โลดทะยานนำฝูงม้าติด
ตามชายหนุ่มเข้าประตูเมืองทันทีตีฝ่าบรรดาทหารปะอานที่เข้ามาต่อสู้รบตายเป็นจำนวนมาก
บรรดาเหล่าไพร่พลทหารของชายหนุ่มก็เคลื่อนกำลังเข้าสู่ภายในเมืองได้ ส่วนทางด้านทิศตะวันออกและทิศ
ตะวันตกประตูเมืองก็ทลายลงเหล่าทหารของแม่ทัพทั้งสองก็เข้าสู่ภายในเมืองแล้วเข่นฆ่าเหล่าทหารปะอาน
ล้มตาย เสียงอาวุธปะทะกันเสียงวุ่นวายต่างฝ่ายก็เสียชีวิตไป เลือดนองท่วมพื้นดินไปทั่ว ด้านมะกะยอเห็นว่าไม่
อาจจะรับมือได้แล้ว ก็รีบนำบรรดาเหล่ามเหสีบริวารนำทหารเพื่อหวังจะหลบไปทางทิศใต้ ครั้นมาถึงประตูเมือง
ก็ต้องตกใจเป็นยิ่งนักที่ประตูเมืองได้ถูกทำลายบรรดาทหารของตนก็ล้มตายไปเสียสิ้น เหลือเพียงทหารของข้าศึก
เต็มไปหมด ก็ย้อนหวนกลับเข้ายังวังอีกครั้งหนึ่ง
แต่ก็ต้องตกตลึงเมื่อภายในวังล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยเหล่าทหารข้าศึกทั้งหมด มันคิดจะปลอมตัวเป็นชาวบ้าน
เพื่อหลบหนีแต่ไม่ทันการเสียแล้ว แม่นางจันทิราได้ถึงตัวมันก่อนใครๆก็เข้าต่อสู้รบกับเจ้ามะกะยอซึ่งจนตรอก
ฝ่ายเจ้ามะกะยอเห็นแม่นางจันทิราซึ่งแต่งตัวเป็นทหารร่างเล็กอรชรนักก็นึกประมาท แต่พอปะดาบไม่เท่าไหร่
จึงทราบว่า ทหารร่างเล็กนี้ช่างมีพละกำลังฝีมือฉกาจฉกรรจ์นัก ผ่านไปไม่เท่าใดแม่นางจันทิราก็สามารถตัด
หัวเจ้ามะกะยอได้ แล้วพลางหิ้วหัวเจ้าเมืองชูให้บรรดาทหารปะอานทราบว่า
บัดนี้เจ้าเมืองปะอานได้เสียชีวิตไปแล้ว พร้อมทั้งชูหัวของมะกะยอให้เหล่าทหารต่างๆได้แลเห็น
ทำให้ทหารของปะอานต่างทิ้งอาวุธลงพร้อมยินยอมรับการจับกุมเสียงร้องบอกต่อๆไปยังเหล่าทหารปะอาน ทั้งหมดก็พากันยอมสยบทิ้งอาวุธนั่งลงทั้งสิ้น ครั้นชายหนุ่มเมื่อสามารถยึดเมืองปะอานได้แล้ว
ก็ออกคำสั่งแก่แม่ทัพนายกองให้กำชับทหารอย่าได้สร้างความเดือดร้อนแก่เหล่าราษฎร์ทั้งสิ้น
พร้อมให้เหล่าทหารปลอบใจบรรดาราษฎร์ทั้งหลายอย่าได้ตื่นตระหนกตกใจว่าจะไม่ทำ
อันตรายใดๆ ขอให้อยู่ในความสงบสุขทำให้มวลบรรดาราษฎร์นั้นถึงได้เงียบเสียงหยุดการหนีหลบออก
นอกเมือง
เมื่อยึดเมืองปะอานได้แล้วเขาก็เข้ามายังท้องพระโรงมะกะยอแล้วนั่งลงยังบัลลังก์ทันทีเรียงรายไปด้วย
เหล่าทหารและบรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองของปะอานที่ถูกจับกุมรอคำสั่งของมังสุริยะชัยต่อไป แต่แล้ว
ชายหนุ่มก็ถึงกับตกตลึงเมื่อเห็น แม่นางจันทิราได้นำหัวของเจ้ามะกะยอเดินเข้ามาพลางน้อมถวายแก่ชายหนุ่ม
พร้อมกับรายงานทันที
ข้าพระองค์เห็นเจ้ามะกะยอมันและบริวารจะหนีออกทางทิศใต้หน้าผาซึ่งเป็นทางลับ ซึ่งหม่อมฉันเจนจัด
อยู่แล้วก็นำท่านเหมี่ยวสุรการตีเข้าประตูเมืองแต่ไม่ได้ใช้อาวุธที่พระองค์ประดิษฐ์เลย เนื่องจากมันคงคิดไม่ถึง
ว่าจะมีทหารเข้ามาทางนี้พระเจ้าข้า แม่นางกล่าวขึ้น
ข้าพระองค์ได้ต่อสู้กับมังกะยอตัวต่อตัวและสามารถฆ่ามันได้ด้วยอาศัยพระบารมีของพระองค์พระเจ้าข้า
แม่นางเสริมขึ้นอีก
จริงหรือท่านแม่ทัพเหมี่ยวสุรการ ชายหนุ่มสงสัยนักจึงหันไปถามแม่ทัพ
ที่ท่านนายกองท่านนี้กล่าว ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้นพระเจ้าข้า ข้าเองจะเข้าไปช่วยแต่นายกองท่านนี้บอก
ให้ข้าพระองค์ไม่ต้องช่วยคอยคุมเชิงห่างๆพระเจ้าข้า แม่ทัพเหมี่ยวสุรการถวายบังคมทูล
ครั้นชายหนุ่มทราบเช่นนั้นก็ลุกจากบัลลังก์แล้วเข้ามาจับไหล่ทั้งสองของแม่นางพลางกล่าว่า
ถือได้ว่าท่านนายกองนี้มีฝีมือยิ่งนัก ด้วยข้าเองนั้นทราบว่าเจ้ามะกะยอนั้นเก่งกล้าสามารถยิ่งไม่คิดเลย
ว่าจะต้องตกตายภายในเงื้อมมือของนายกองที่มีรูปร่างเล็กนักเช่นนี้ ถือได้ว่ามีความดีความชอบมากมายนัก
ชายหนุ่มยิ้ม ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นบุตรีของท่านมหาอำมาตย์ แต่คาดมิถึงว่าช่างมีฝีมือฉกาจฉกรรจ์เช่นนี้.........
* แก้วประเสริฐ. *
6 มีนาคม 2553 14:05 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 39
เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้ว มังสุริยะชัยก็เรียก มังสุรเดชเดชาทหารเอกคู่ใจมาแล้วกล่าวว่า
“ต่อไปนี้ในเมื่อเรารวบรวมแคว้นต่างได้มากมายเช่นนี้ ยังไม่มีธงประจำกองทัพเราเลยจึง
คิดว่าใคร่ที่จะจัดสร้างประจำหน่วยรบของเราขึ้น ขอให้ท่านแจ้งแก่เจ้าเมืองฮะคาให้ช่วยจัด
สร้างธงประจำหน่วยเราขึ้น ดังแบบที่ข้าเองสร้างขึ้นไว้”
เมื่อมังสุรเดชเดชามองยังแบบแปลนเป็นเป็นพื้นสีขาวประกอบด้วยดวงอาทิตย์ส่องประกาย
รัศมีสีแดงไปรอบกลางพื้นธงสีขาวภายในเป็นสีน้ำเงินเข้มด้วยประกายดาวหกแฉกภายในเป็นวงกลม
สีแดงอยู่ในรูปดาวหกแฉก พื้นธงเป็นรูปสามเหลี่ยมชายธงปลายแหลมยาว จึงกล่าวว่า
“พระเจ้าข้าแต่เห็นภายในพื้นธงแล้วไม่ทราบความหมายว่าหมายถึงอะไรพระพุทธเจ้าข้า”
“อ้อ...มังสุรเดชเดชานั่นคือเครื่องหมายของเมือง “ศิระสุริยันต์”เก่าส่วนดาวหกแฉกนั้นคือตรา
แผ่นดินประจำตัวข้าเอง “ เมื่อกล่าวเสร็จก็นำสายสร้อยที่ร้อยรัดด้วยดวงตราประจำเมืองศิระสุริยันต์
ส่งให้ทหารคู่ใจดูทันที
เมื่อทหารเอกซึ่งบัดนี้เป็นแม่ทัพใหญ่ครั้นเห็นก็นึกชมความงามของดวงตรานักจึงเข้าใจอัน
พระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้ารัศมีประกายรอบด้านนั้นหมายถึงเมืองศิระสุริยันต์นั่นเองส่วนดวงดาว
นั้นคือตราประจำตัวท่านมหาอุปราช เมื่อส่งคืนสร้อยแล้วก็ถามว่าจะให้จัดทำเท่าใด
มังสุริยะชัยกล่าวว่า
“ให้ทำให้เพียงพอกับกองทัพของเราก็แล้วกัน หากไปตีแว่นแคว้นใดเขาจะได้
รู้ว่าเป็นกองทัพของศิระสุริยันต์ “ ครั้นแม่ทัพใหญ่ทราบดังนั้นก็รีบออกไปแจ้งแก่เจ้าเมืองตามคำสั่งต่อไป
ครั้นได้เวลาอันสมควรแล้วกองทัพที่ประกอบด้วยริ้วธงต่างๆตามลักษณะของเหล่าหน่วยทหารนั้น
ก็เคลื่อนกำลังพลทั้งหมดมุ่งหน้าเข้าสู่ยังแคว้นรัฐฉานซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลนักกับลุ่มแม่น้ำอิรวดีซึ่งมีแม่น้ำ
แยกออกมาเกิดจากต้นน้ำภูเขาไหลลงสู่แม่น้ำอิรวดี ระหว่างการเดินทัพจนถึงเมืองหน้าด่านของ
รัฐฉาน เมืองซึ่งเต็มไปด้วยทหารเรียงรายตามเชิงกำแพง ก็ให้ทูตนำสาสน์ไปส่งยังเจ้าเมืองทันที
เมื่อทหารแห่งเมืองหน้าด่านทราบดังนั้น จึงตอบว่าขอพักรบไว้ก่อนรอจนกว่าจะได้รับคำสั่งจากท่าน
อินทิราชัยซึ่งอยู่ในเมืองหลวงตองยีก่อน
เมื่อมังสุริยะชัยทราบเช่นนั้นก็ให้เหล่าทหารทั้งหลายล้อมเมืองหน้าด่านไว้ก่อน ด้วยทราบว่ารัฐฉาน
นั้นปกครองด้วยพวกไทใหญ่ซึ่งนับเนื่องแล้วก็เป็นไทเหมือนกันกับเขาก่อนจะมาเป็นมหาอุปราชทางนี้
ฉะนั้นสายเลือดยังเข้มข้นจึงมิคิดจะหักโหมแต่ประการใดไม่ หากเจรจาเป็นผลก็จะได้ไม่ต้องเสียเลือด
เนื้อในสาสน์นั้นก็แจ้งเหมือนกันว่าเขาเองก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขจากไทเช่นกัน
เวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ก็ได้รับคำตอบว่า ทางเมืองตองยียินดีสมานเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับทางกองทัพของศิระสุริยันต์โดยแจ้งไปยังแปดเมืองรอบด้านให้ต้อนรับเหล่าทหารทั้งหลาย
ขอเชิญเข้าเมืองพักผ่อนก่อนเถิดมังสุริยะชัยก็มีสาสน์ไปยังเจ้าเมืองหน้าด่านว่าเราจะมุ่งไปยัง
เมืองตองยีเพื่อปรึกษาราชการเจ้าเมืองตองยีก่อน
เจ้าเมืองหน้าด่านเมื่อทราบเช่นนั้นก็ออกมาด้วยตัวเองพร้อมเหล่าทหารออกจาก
ประตูเมืองมาต้อนรับแล้วเจ้าเมืองแจ้งว่า จะขอร่วมติดตามพร้อมเหล่าทหารของตนร่วมทัพไปด้วย
เพื่อสะดวกในการผ่านทางไปยังเมืองหลวง มังสุริยะชัยครั้นทราบเช่นนั้นก็บังเกิดความยินดี
กล่าวขอบใจเจ้าเมืองหน้าด่านทันทีว่านับต่อไปนี้พวกเราเสมือนเครือญาติกันเอง ในเมื่อท่านยินยอม
ร่วมไปด้วยก็จะเป็นประโยชน์ยิ่งนัก
ดังนั้นทัพของท่านมหาอุปราชก็สามารถผ่านบรรดาแว่นแคว้นต่างๆพร้อมกับการต้อนรับที่ดียิ่ง
จนลุล่วงเข้าสู่อาณาเขตเมืองตองยี เจ้าเมืองตองยีอินทิราชัยก็ออกมาต้อนรับชายหนุ่มยังหน้าประตู
เมืองทันที ครั้นทั้งสองพบกันแล้ว ชายหนุ่มมังสุริยะชัยก็ลงจากหลังม้าพร้อมกับเข้าทำความเคารพ
ท่านอินทิราชัยพลางกล่าวว่า
“ข้าหลานชายมังสุริยะชัยแห่งศิระสุริยันต์ของคาราวะท่านลุง หากสิ่งใดที่ข้าเองทำความลำบากใจ
แก่พ่อลุงขออภัยให้แก่หลานคนนี้ด้วยเถิด”
ครั้นเจ้าเมืองตองยีได้รับฟังเช่นนั้นแลไปเห็นเหล่าทหารอันมากมายยิ่งนักก็คิดในใจว่าเราคิดได้ถูกต้อง
แล้วหากเกิดการต่อสู้ยากนักที่จะต้านไพร่พลของชายหนุ่มได้ พลันกล่าวว่า
“หลานเราหากนับเนื่องแล้วพ่อท่านเองก็นับว่าเป็นนายของข้า ข้าได้ทราบมาว่าท่านคือมหาอุปราชแห่ง
เมืองศิระสุริยันต์ย่อมมีศักดิ์เหนือกว่าข้ามากมายนี้ใยถึงกระทำเช่นนี้เล่า” ชายชรากล่าว แต่ภายในใจให้นึก
ชมเชยถึงความอ่อนน้อมหาได้ลุล่วงในอำนาจไม่
“ที่พ่อลุงกล่าวเช่นนี้ก็สมควรอยู่หรอก แต่บัดนี้ข้าเองก็มีสายเลือดคนไทอยู่จึงมิคิดที่จะล่วงเกินต่อคนไท
ด้วยกัน ตามประเพณีเราต้องรู้จักเล็กจักโตสิ่งใดควรไม่ควรพระเจ้าข้า”
เมื่อชายหนุ่มกล่าวถึงเลือดเนื้อเชื้อสายก็ยิ่งทำให้เจ้าเมืองตองยีซาบซึ้งแก่ใจยิ่งนักถึงกับลุกเดินไปโอบไหล่
แล้วชักชวนให้เข้าไปในเมือง ชายหนุ่มจึงหันไปกล่าวกับแม่ทัพนายกองให้พักทัพไว้นอกเมือง ส่วนตัวเองก็จะ
เพียงนำกำลังคนไปไม่มากนักพร้อมด้วยเจ้าลิงทั้งสองก็ติดตามเจ้าเมืองเข้าเมืองไป เจ้าเมืองอินทิราชัยก็ให้การ
ต้อนรับและกล่าวว่า
“แล้วพ่อหลานชายคิดจะไปรวบรวมแคว้นใดอีกเล่า หากลุงช่วยได้ก็จะช่วยเหลือตามกำลังความสามารถไม่
ต้องเกรงใจลุงหรอก” ชายชรากล่าว
“พ่อลุงข้าเองคิดว่าจะออกเดินทางต่อไปยังแว่นแคว้นกระเหรี่ยงก่อนซึ่งอยู่บนเขา ด้วยแว่นแคว้นรัฐมอญนั้น
ตอนนี้กำลังมีปัญหากับเมืองตองอูอยู่ หากจะเกิดการรบพุ่งก็ต้องใช้กำลังมากมาย หากจะไปแคว้นยะไข่ก็ไกล
และล้วนภูเขามากมายเช่นกันแต่เมืองนั้นอยู่ใกล้กับจีนไม่อยากจะกระทบกระเทือนต่างประเทศและยังมีความ
สัมพันธ์กับเมืองหงสาที่มีทหารล้วนกล้าแข็งนักแต่หากใช่จะเกรงกลัวก็หาไม่เพียงแต่หากได้แว่นแคว้นกะเหรี่ยง
ไว้แล้วตีเมืองชิตตเวแห่งแคว้นยะไข่เข้าโอบล้อมแว่นแคว้นมอญก็จะง่ายกว่า มิฉะนั้นเมืองปะอานและเมือง
มะละแหม่งก็จะไหวตัวก่อนท่านพ่อลุง”
“อีกประการหนึ่งเมืองปะอานนั้นล้วนแล้วแต่ภูเขา ก็จะทำให้ไพร่พลทหารเราเกิดความชำนาญภูมิประเทศ
ยิ่งขึ้นด้วยเคยตีเมืองหล่อยก่อมาแล้ว หากเข้าตีเมืองยะไข่ก็คงจะไม่ยากนัก” ชายหนุ่มกล่าว
“หากความคิดพ่อหลานชายคิดนั้นคือง่ายไปหายาก ยากมาหาง่าย หากสำเร็จการรวบรวมแคว้นก็อยู่ใน
กำมือของพวกเรา แต่นี่หลานชายคิดคนเดียวหรือ” ชายชราถามด้วยความสงสัย
“หามิได้พ่อลุง เป็นความคิดอ่านร่วมกันแต่ส่วนใหญ่เกิดจากท่านที่ปรึกษาใหญ่ของข้าเองแหละ”
“นั่นซิมันเป็นกลยุทธ์ตามพิชัยสงครามที่เกิดจากลับลวง ลวงรับ นั่นเอง ข้าอยากใคร่พบเขานัก”
ชายชราเอ่ยขึ้น
“แต่ตอนนี้เขาอยู่ดูแลกองทัพอยู่แต่คิดว่าท่านลุงคงจะทราบดีเขาชื่อ “เหมี่ยวมังกะยอชวา”
แห่งเมืองหล่อยก่อนั่นเองท่านลุง”
“โอ้ๆ????.... หากเป็นบุคคลนั้นหากมาดแม้นว่าเจ้าเมืองมันไม่ถือตัวตนเองเชื่อฟังท่านมหาอำมาตย์
นี้แล้ว ใยเมืองหล่อยก่อก็คงจะไม่เสียโดยง่ายดายหรอก”
“ในเมื่อหลานเราได้บุคคลนี้มารับใช้แล้วเสมือนได้ดวงแก้วมาเคียงคู่กายไม่ผิด ข้าคิดว่างานครั้งนี้
สำเร็จไปเสียแล้วครึ่งหนึ่งนะ” ชายชราอดที่จะแสดงความยินดีเสียมิได้
“ หากแม้นหลานชายจะเคลื่อนทัพไปเมื่อใดเล่า”
“หลานเองคิดว่าคงจะเป็นพรุ่งนี้ ด้วยท่านที่ปรึกษาใหญ่กล่าวว่าหากล่าช้าไปข้าศึกก็จะรู้ตัวเสียก่อน
ยากแก่การเข้าโจมตี ข้าเองก็ขอลาพ่อลุงในตอนนี้เลยนะ”
“แล้วหลานชายมีไพร่พลประมาณเท่าไหร่ล่ะ ภูเขานั้นยากต่อการใช้ม้ายิ่งนัก” ชายชราเอ่ยเตือน
“หากตอนนี้เห็นจะประมาณสี่แสนกว่าๆกระมังพ่อลุง”
“งั้นข้าก็จะมอบทหารให้อีกสามหมื่นนายพร้อมเสบียง แต่ก็ต้องใช้เวลา แต่จะให้ติดตามไป
คงไม่ล่าช้าหรอก ส่วนทหารนั้นให้หลานชายนำไปได้เลย” เมื่อกล่าวเสร็จก็เรียกที่ปรึกษาให้ไปสั่งให้
นายทัพนายกองระดมกำลังสามหมื่นนายจะออกเดินทางไปร่วมรบกับชายหนุ่มพรุ่งนี้ทันที ที่ปรึกษาครั้น
รับคำสั่งแล้วก็รีบไปแจ้งแก่แม่ทัพใหญ่ทันที
แล้วชายหนุ่มก็ขอลาเจ้าเมืองตองยีอินทิราชัยกลับยังกองทัพโดยไม่พักในเมืองตองยี ครั้นเดินทาง
ถึงกองทัพแล้วก็ให้เรียกประชุมบรรดาแม่ทัพนายกองพร้อมท่านเหมี่ยวมังกะยอชวามาร่วมปรึกษากันว่าใน
กาลข้างหน้าคงจะไม่เหมือนเดี๋ยวนี้หรอก ด้วยนิสัยพวกกะเหรี่ยงนั้นเป็นคนดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเป็นใหญ่แบ่ง
แยกเป็นเหล่าๆอยู่ตามขุนเขายากแก่การโจมตี ท่านพ่อลุงเหมี่ยวมังกะยะชวาเห็นเป็นประการใด
“หม่อมฉันคิดว่า หากองค์ชายเมื่อไปถึงแคว้นกะเหรี่ยงแล้วให้แบ่งกองทัพออกเป็นหลายๆทาง ให้แม่ทัพ
คุมกำลังพลเข้าไปยึดแว่นแคว้นที่อยู่ในที่ราบก่อนซึ่งมีทั้งหมดแปดเมือง หากได้เมืองเหล่านี้ไว้ แล้วค่อยยก
พลแต่ให้กระจายกำลังออกไปซุ่มไว้ตามเขาต่างๆโดยปลอมตัวคลุกคลีกับชาวบ้าน
หากได้สัญญาณแล้วถึงจะเข้ารวมตัวกัน หากไปเป็นกองทัพก็ยากจะยึดเมืองปะอานได้หรอกพระเข้าข้า”
มหาอำมาตย์กล่าว
“อ้าวแล้วใครล่ะที่ยืนข้างหลังท่านพ่อลุงนะ” ชายหนุ่มถามเมื่อแลเห็นทหารรูปร่างเล็กๆยืนอยู่เบื้องหลัง”
“อ้อ...บุตรีข้าพระองค์เองแหละพระเจ้าจ้า” พลางหันไปเรียกทหารดังกล่าวให้มาถวายบังคมชายหนุ่ม
“หรือท่านพ่อลุง แล้วเขามีนามว่าอะไรล่ะ” ชายหนุ่มถามพลางมองไปยังทหารร่างเล็กทันที พลางนึก
ในใจว่ารูปร่างเช่นนี้จะไปสู้รบอะไรใครได้ เห็นบอกว่าเก่งฉกาจนัก
“บุตรีข้าพระองค์ชื่อ “จันทิรา” พระเจ้าข้า”
“ยังงั้นหรือ...ข้าขอกล่าวกับแม่นางก่อนว่า เวลาออกจากค่ายพักห้ามแต่งกายเป็นหญิงโดยเด็ดขาดหวังว่า
แม่นางคงจะเข้าใจเจตนาที่พ่อท่านกล่าวไว้แล้วกระมัง” ชายหนุ่มกล่าว
“ทราบแล้วเพค่ะ...กระหม่อมจะทำตามพระประสงค์ทุกประการเพค่ะ” หล่อนกล่าวพลางนึกชมความ
องอาจสง่าช่างหล่อเหลายิ่งนัก นี่หรือเพียงแค่อายุเท่านี้สามารถควบคุมทหารตีเมืองต่างๆได้ ก็ให้นึกบังเกิด
ความชอบขึ้นในใจ ซึ่งหล่อนไม่เคยมีมาแต่ก่อนเลย ถึงแม้จะมีบรรดาหนุ่มๆมาติดพันก็ตามที
ครั้นแล้วมังสุริยะชัยก็หันมากล่าวกับบรรดาแม่ทัพโดยจัดแยกกองกำลังเพื่อเข้าตีแว่นแคว้นกระเหรี่ยง
แปดเมืองโดยพลางสั่งแก่บรรดาแม่ทัพทั้งหลายว่า
ท่านมังสุรเดชเดชา เข้าตีเมือง กุละ
ท่านมังนายะเดชะ เข้าตีเมือง ปุริสะ
ท่านเหมี่ยวสุรการ เข้าตีเมือง เมงก่อ
ท่านมังกะยอ เข้าตีเมือง การียะ
ท่านมังสุระ เข้าตีเมือง กอรีกะ
ท่านมังสีหะ เข้าตีเมือง ยะกี
ท่าน นิละกะ เข้าตีเมืองมุลีกะ
ท่านสุระเดชะ เข้าตีเมืองกันหะกะ
โดยนำกำลังคนไปกองทัพละสี่หมื่น พร้อมอาวุธที่ข้าคิดประดิษฐ์ขึ้นไปด้วยเพื่อใช้ทำลายประตูเมือง
ส่วนข้าเองจะเข้าตีเมืองปะอานเอง ให้แม่ทัพทั้งหลายที่จะไปตีเมืองนั้นๆให้ใช้พระคุณนำหน้าพระเดชหาก
เมืองใดยอมอ่อนน้อมก็อย่าทำอันตราย การรบพุ่งครั้งนี้ต้องอาศัยสติปัญญาของพวกท่านแต่ให้ใจเย็นไว้อย่า
ได้ใช้อารมณ์คิดไตร่ตรองรักษาทหารทั้งหลาย หากเมืองใดตีได้แล้วก็ให้รีบส่งกำลังไปช่วยเมืองที่ยังไม่สามารถ
เข้าตีได้ ครั้นตีเสร็จแล้วให้จัดตั้งเจ้าเมืองใหม่โดยเป็นประโยชน์แก่พวกเราเป็นที่ตั้ง หากทหารฝ่ายนั้นยินยอม
สวามิภักดิ์จะร่วมทัพด้วยก็ให้รับเอาไว้แต่ให้คัดเลือกด้วยความระมัดระวัง จงให้เกียรติแก่เขาอย่าคิดว่าเป็นเพียง
ทหารที่พ่ายแพ้เป็นอันขาด ท่านใดสงสัยอย่างไรแผนการเข้าตีเดี๋ยวท่านที่ปรึกษาใหญ่จะชี้แจงให้ท่านทราบถึง
การเข้าโจมตีเมืองต่างๆ
เมือสั่งการแล้วก็หันมาทางท่านมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาทันที อาศัยพ่อลุงช่วยอธิบายเส้นทางแผนการโจมตี
แก่เหล่าแม่ทัพทั้งหลาย ข้าเองก็จะร่วมช่วยพิจารณาด้วย
เมื่อเหมี่ยวมังกะยอชวาได้รับคำสั่งเช่นนั้นก็เรียกบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหมดล้อมดูแผนที่ที่จัดเรียงรายไว้
ด้วยธงต่างๆ ตลอดจนแผนที่ได้จัดทำขึ้นมอบให้แต่ละแม่ทัพเส้นทางการเดินทัพการหยุดพักตามรายทางตลอด
การวางกำลังพลต่างๆให้แก่บรรดาแม่ทัพนายกองทราบ หากผู้ใดสงสัยให้รีบสอบถามทันที
เหล่าแม่ทัพนายกองครั้นได้รับการชี้แจงอย่างละเอียดแล้วตลอดจนได้รับแผนที่เมืองต่างๆไว้ก็ขอลาไปเพื่อ
จะรีบออกเดินทางคัดเลือกทหารเหล่าล่ะสี่หมื่นซึ่งต้องแยกกันไปตามเมืองต่างๆออกเดินทางทันที
ทางด้านจันทิราซึ่งยืนอยู่เคียงข้างพลันกล่าวขึ้นว่า
“ข้าแด่ท่านมหาอุปราช แล้วข้าพระองค์มิให้ดำเนินกิจการใดบ้างเชียวหรือ”
“ข้าเองนั้นที่ไม่ใช้ท่านก็ด้วยต้องการให้ท่านปกป้องท่านมหาอำมาตย์ไว้ ด้วยทางเมืองปะอานนั้นมีชัยภูมิยาก
ยิ่งต่อการเข้าโจมตีนัก อีกประการหนึ่งข้าเองก็เป็นห่วงท่านอยู่หรอก” ชายหนุ่มกล่าว
ทำให้แม่นางจันทิราถึงกับหน้าแดงทันทีนึกว่าชายหนุ่มคงจะพิสมัยตนบ้าง จึงมิอาจกล่าวประการใด
ครั้นได้เวลาของแม่ทัพนายกองนำพลทหารมาพร้อมแล้ว ก็ออกไปอวยพรเสริมสร้างพลังใจแก่มวลทหาร
ทั้งปวงทันที เสียงทัพทั้งแปดเคลื่อนพลทำให้แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นโดยแยกย้ายกันไปตามทิศต่างๆหมดสิ้น
แล้วชาย หนุ่มก็เข้าไปยังค่ายใหญ่พร้อมท่านเหมี่ยวมังกะยอชวาเพื่อปรึกษาแผนการรบต่อไป........
* แก้วประเสริฐ. *
5 มีนาคม 2553 15:14 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 38
มังสุริยะชัย ครั้นเห็นว่าได้เวลาเหมาะสมแล้วก็ให้ทหารไปเรียก เหมี่ยวมังกะยอชวามาพบ
ครั้นมหาอำมาตย์ใหญ่เข้ามา ก็คาราวะทันที มังสุริยชัยพลันหยิบสร้อยดวงตรามาให้แม่ท่าน
มหาอำมาตย์พลางถามว่า
“ท่านรู้จักของสิ่งนี้หรือไม่”
ครั้นเหมี่ยวมังกะยอชวาเห็นก็น้อมทูลขึ้นว่า
“ทราบพระเจ้าข้าว่าเป็นดวงตราแผ่นดินประจำเมืองศิระสุริยันต์ที่มอบให้แก่ท่านมหาอุปราช
ไว้พระเจ้าข้า”
“แล้วเจ้าเหมี่ยวสุรินทร์นราไม่ทราบหรือ???..” มังสุริยะชัยถาม
“คงจะทราบพระเจ้าข้าด้วย ดวงตรานั้นลอดออกมาจากเสื้อของพระองค์ แต่เจ้าเมืองคงจะไม่
คำนึงถึงพระเจ้าข้า”
“งั้นหรือ....เราถามไปยังงั้นเองแหละ อ้อๆ...ท่านได้จัดการเรื่องส่วนตัวพร้อมหรือยังล่ะด้วย
เราจะเคลื่อนพลเพื่อรวบรวมอาณาเขตต่อไป เห็นท่านทำแผนที่ไว้จึงใคร่ขอดูสิ่งที่ท่านทำไว้”
“ได้พระพุทธเจ้าข้า...กระหม่อมได้เตรียมมาเรียบร้อยแล้ว” กล่าวจบท่านมหาอำมาตย์
เหมี่ยวกะยอชวาก็ล้วงแผนที่ ที่ทำด้วยหนังสัตว์ออกมาน้อมถวายให้แก่ท่านมหาอุปราชทันที
“งั้นเรามาร่วมกันพิจารณาในแผนที่กันเถิด ว่าเมืองใดเล่าสมควรจะเข้ายึดแว่นแคว้นก่อน”
“บัดนี้ข้าพระองค์ได้ทราบว่า อันเมืองฮะคาแห่งแคว้นรัฐชินนั้นเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์นัก
ตลอดมีทัพเรือด้วยติดกับลุ่มแม่น้ำอิรวดี แต่ข้าได้รับทราบว่าเห็นเจ้าเมืองฮะคาคือมังสีหะบดีได้
ยอมอ่อนน้อมต่อพระองค์ กำลังส่งเครื่องราชบรรณาการพร้อมด้วยตัวเองมากำลังเดินทางจวนจะ
มาถึงแล้วพระเจ้าข้า” มหาอำมาตย์ทูลถวายรายงาน
“หรือเราเองก็พึ่งจะรู้จากท่านนี่แหละ ข้าคิดจะเคลื่อนทัพไปตียังแคว้นรัฐชินพอดีหากเป็นเช่น
นี้ก็เห็นจะต้องคอยเจ้าเมืองฮะคาก่อนแล้วล่ะ หากเขาเดินทางมาถึงให้ท่านออกไปต้อนรับแล้ว
นำมาหาเราก็แล้วกันนะท่าน” มังสุริยะชัยกล่าว
“ข้าเองสงสัยชื่อของพระองค์พระเจ้าข้าว่า เหตุใดจึงใช้ชื่อว่า มังสุริยะชัย ข้าพระองค์เพียงทราบ
ว่าท่านมหาอุปราชนั้นชื่อว่า “มังสุระกานต์นรินทร์เดชา” พระพุทะเจ้าข้า
ชายหนุ่มหรือมังสุริยะชัยหัวร่อ พลางกล่าวว่า
“ชื่อนี้ข้าตั้งเองแหละเพื่อมิให้เกิดความสงสัยแก่แว่นแคว้นทั่วๆไปนั่นเอง ท่านก็ทราบชื่อแท้จริง
ของเราด้วยหรือ????....”
“ทราบดีพระเจ้าข้าด้วยก่อนนั้น เจ้าชายได้เคยมายังเมืองหล่อยก่อด้วยและยังมาเยี่ยมสนทนากับข้า
แต่ข้าเองก็สงสัยเหมือนกันว่าเหตุใดพระองค์จึงจำข้าไม่ได้ พระเจ้าข้า” ท่านเหมี่ยงกระยอชวากล่าว
“เนื่องจากข้าพลัดหลงไปในป่าทึบผจญภัยต่างนาๆทำให้ลืมเลือนไปกระมัง ข้อนี้ขออย่าให้ท่านคิด
แต่ประการใดเถอะ”
“พระเจ้าข้า แต่ในการเดินทางครั้งนี้ข้าพระองค์ใคร่อยากจะนำธิดาซึ่งมีความเชี่ยวชาญทั้งรบและ
การเมืองต่างๆไปด้วย พระองค์จะเห็นเป็นประการใดพระเจ้าข้า”
“ หากเป็นความประสงค์ท่านข้าเองก็ไม่ขัดข้องหรอกนะตามแต่ท่านเถอะ แล้วท่านมีบุตรธิดากี่คน
ล่ะท่านเหมี่ยวกะยะชวา” มังสุริยะชัยกล่าว
“ข้าพระองค์มีเพียงบุตรีคนเดียวพระเจ้าข้า ด้วยเขาเป็นห่วงข้าพระองค์ว่าชรามากแล้วและอยู่คนเดียว
ด้วยภรรยาข้าพระองค์เสียไปนานแล้วจึ่งขอร้องให้มากราบทูลขอพระบรมราชานุญาติพระเจ้าข้า”
มหาอำมาตย์กล่าว
“งั้นหรือดีเหมือนกันท่านจะได้ทำหน้าที่ปรึกษาแก่ข้าและกองทัพด้วยข้าเองเชื่อมั่นต่อท่านมากนักจะได้
ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เอาเถอะหากมาในกองทัพเป็นหญิงก็ไม่เหมาะสมข้าขอให้ลูกสาวท่านแต่งตัวเป็น
ชายก็แล้วกันนะ จะได้ไม่เป็นที่กังขาแก่เหล่าทหารๆทั้งหลาย” มังสุริยะชัยกล่าวขึ้น
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ข้าพระองค์มากพระเจ้าข้า ข้าพระองค์พร้อมที่จะทูลและยอมถวายชีวิตแต่
ท่านมหาอุปราชจวบชีวิตจะหาไม่พระเจ้าข้า ก่อนเดินทางข้าพระองค์จะนำธิดามาทูลถวายชมก่อนพระเจ้าข้า”
ชายหนุ่มเดินเข้าไปโอบไหล่ชายชราทันทีพร้อมกล่าวว่า
“การศึกครั้งหน้านี้คงจะใหญ่หลวงนัก แต่ข้ากังวลก็เพียงรัฐกระเหรี่ยง รัฐมอญกับรัฐยะไข่เท่านั้นเองด้วย
ทำเลนั้นล้วนแล้วแต่สูงชันเต็มไปด้วยภูเขาต้นไม้ใหญ่ยากแก่การยกทัพเข้าโจมตีเมืองหลวงมันได้”
“แต่ข้าพระองค์ทราบเหมือนกันพระเจ้าข้า แต่ได้เคยจัดหน่วยสอดแนมเข้าไปเป็นไส้ศึกไว้นานแล้วและ
รู้เส้นทางลัดเข้าสู่เมืองหลวงที่พวกมันจัดทำ และเนื่องจากพวกมันนั้นประมาทจัดวางกำลังคนไว้น้อย หากเรา
ทำเป็นต่อสู้ด้านหน้า ส่วนทางลัดนั้นให้จัดทหารอีกหน่วยแม้ทางจะลำบากไม่สามารถลำเลียงอาวุธต่างๆได้มาก
นักด้วย เป็นทางเท้า แม้แต่ม้าก็สามารถสวนกันได้แค่ตัวเดียวพระเจ้าข้า”
“ อ้อนี่ได้ท่านมาแนะนำแก่ข้านะ หากมิฉะนั้นก็จะยากแก่การโจมตียิ่งนัก เอาล่ะท่านไปแจ้งแก่ลูกสาว
ท่านให้จัดเตรียมตัวได้แล้ว หากเจ้าเมืองฮะคามาถึงให้ต้อนรับหลังกลับไปแล้วก็จะออกเคลื่อนพลต่อไปเพื่อเข้า
รัฐฉานก่อนด้วยถึงแม้ว่าจะแกร่งกล้านักแต่เจ้าเมืองเป็นคนมีเหตุมีผลย่อมรู้จักหนักเบา” มังสุริยะชัยกล่าว
“ข้าพระองค์อยากจะทูลเสริมอีกหน่อยพระเจ้าข้า” เหมี่ยวกระยอชวาเอ่ยขึ้น
“ท่านว่ามาได้เลยตามสบายเถอะนะ หากมีอะไรไม่ต้องกังวลหรอก”
“หากแม้นเจ้าเมืองฮะคามายอมสวามิภักดิ์แล้ว พระองค์ให้เจ้าเมืองต่อเรือไว้ให้มากๆเพื่อใช้ลำเลียงพล
ด้วยข้าเองพอจะเดาพระหทัยของพระองค์ว่า สิ่งสำคัญคือเมืองอิสราวดีแต่เพียงใคร่จะกำราบแขนขาของมัน
ก่อน จึงได้ตีโอบล้อมเมืองอิสราวดีไว้ ใช่ไหมพระเจ้าข้า”
“ฮ่าๆๆๆ????.....สมแล้วที่ท่านเป็นที่ปรึกษาเราช่างรู้ใจเรายิ่งนักถูกแล้วเรามุ่งหมายที่สำคัญคือเมือง
อิสราวดีนั่นเอง แล้วท่านให้เจ้าเมืองฮะคาต่อเรือไว้มากๆทำไมหรือท่าน”
“เหตุที่ชาวเมืองฮะคานั้นอาศัยแม่น้ำเป็นหลักและเชี่ยวชาญทางน้ำและทางเรือตลอดจนการต่อเรือมาก
เมื่อเราได้เมืองต่างๆเพื่อเข้าโจมตีเมืองอิสราวดีนั้น อันเมืองอิสราวดีติดกับแม่น้ำอิรวดี เก่งทั้งทางน้ำและ
ทางบกนัก หากเราชนะทางบกมันก็จะหนีไปทางน้ำพระเจ้าข้า หากเราได้เรือจากเมืองฮะคาแล้วยกกำลัง
พลไปทางน้ำซุ่มคอยไว้ หากเราเข้าโจมตีทางบกเมื่อใด ก็ให้ทหารทางเรือเข้าตีด้านหลังกระหนาบทั้ง
สองทางปิดกั้นทั้งทางหนีของมันด้วยพระเจ้าข้า” เหมี่ยวมังกะยะชวากล่าวรายงาน
“อื่มมๆๆๆๆ.....สมแล้วที่ข้ามองคนไม่ผิด ท่านนี่หากเจ้าเหมี่ยวสุรินทร์นรามันเชื่อฟังท่านเห็นทีการ
ศึกนั้นคงจะลำบากนักจริงๆ” มังสุริยะชัยกล่าว
“เอาล่ะท่านที่ปรึกษาใหญ่เหมี่ยวมังกะยอชวาท่านไปได้แล้ว เมื่อจัดการตามที่ข้าบอกแล้วพวกเราก็
จะออกเดินทางไปยังรัฐฉานทันที หากเจรจาไม่ได้ผลก็เห็นทีจะต้องรบกันแต่นอนนะ” ชายหนุ่มกล่าว
ครั้นเจ้าเมืองฮะคาพร้อมเครื่องราชบรรณาการมาถึง ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ก็ออกมาต้อนรับแล้วนำ
ท่านมังสีหะบดีเข้าเฝ้าท่านมหาอุปราชยังท้องพระโรงทันที
เมื่อมังสีหะบดีก้าวเข้าสู่ท้องพระโรงตามท่านมหาอำมาตย์ไป เห็นชายหนุ่มนั่งยังบนราชบัลลังก์ก็
ให้แปลกใจยิ่งนัก ด้วยตนเองคาดคะเนว่าคงจะมีอายุมากนักแต่การณ์กลับกันไปเสียก็สะดุ้งในใจแต่เมื่อมา
ตามประเพณีก็ก้มลงน้อมทำความเคารพตามประเพณี เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็ลุกจากบัลลังก์มาแล้ว
ก้มพยุงร่างชายกลางคนขึ้นมา พร้อมกล่าวว่า
“ข้ามังสุริยะชัยเองทำความลำบากใจให้แก่ท่านอามากนัก ขอท่านอาอย่าได้ถือโกรธรังเกียจแก่ข้าด้วยเถิด”
มังสีหะบดีได้ยินเช่นนั้นก็ให้ตกใจด้วยคาดมิถึงว่าผู้ที่สามารถยึดแว่นแคว้นเมืองหล่อยก่อได้นั้นจะมิถือ
ในตัวเอง มิได้หยิ่งยโสโอหังแต่ประการใดไม่ ซ้ำยังเรียกตัวเองประดุจดังญาติผู้ใหญ่อีก ความคิดอ่านแต่
แรกก็หายไปสิ้นเชิง บังเกิดความรักใคร่แก่ชายหนุ่มยิ่งนัก จึงน้อมกายถวายบังคมทูลว่า
“พระองค์ทรงให้เกียรติแก่หม่อมฉันนัก จนมิอาจจะรับได้หรอกพระเจ้าข้า” เจ้าเมืองฮะคากล่าว
“หาเป็นเช่นใดไปเล่าท่านอา ด้วยท่านอาซิกับให้เกียรติแก่ข้ายิ่งนักที่อุตส่าห์เดินทางไกลมากับทำให้ข้า
ผู้น้อยนี้ล่วงเกินต่อท่านอา ซึ่งปกติจะควรเป็นข้าไปหาท่านอาถึงจะถูกต้องนะท่านอา” ชายหนุ่มเอ่ย
“ข้ามังสุริยะจึงใคร่ขอให้ท่านอา อย่าได้เรียกเช่นนี้อีกขอให้เรียกข้ามังสุริยะชัยเฉยๆหรือว่าหลานชายก็
จะทำให้ข้านี้มิต้องเกิดความละอายใจนัก ด้วยฐานันดร์เราก็เสมอๆกันแต่ข้าเองอายุยังน้อยด้อยประสบการณ์
เห็นทีจะต้องพึ่งพาความรู้ความสามารถท่านอาอีกมากมายนักพระเจ้าข้า” มังสุริยะชัยกล่าวอย่างนอบน้อมยิ่ง
ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้เจ้าเมืองฮะคายิ่งซาบซึ้งแก่ใจจนถึงแก่อ้ำอึ้งไป พลันกล่าวว่าหากเป็นพระประสงค์เช่น
นี้ก็จะขอน้อมรับพระบัญชา นับแต่นี้ไปข้าเองขอเรียกท่านว่ามังสุริยะชัยก็แล้วกัน ท่านจะให้ข้าทำสิ่งใดๆก็
แล้วแต่พ่อหลานชายจะกล่าวมิต้องเกรงใจเราหรอก” เจ้าเมืองฮะคากล่าวด้วยความปิติยินดีนัก
“ยังหรอกท่านอาขอเชิญท่านอารับทานอาหารด้วยกันเถิด ส่วนพวกติดตามมานั้นข้าเองสั่งกำชับไว้แล้วให้
ต้อนรับด้วยอาหารอย่างดีในที่พักรับรองแล้ว ส่วนท่านอานั้นก็เข้ามาพักกับหลานด้วยกันเถิดเพื่อจะได้ปรึกษา
กันนะพระท่านอา”
“ในเมื่อหลานชายเรามีความประสงค์เช่นนี้ เครื่องราชบรรณาการนั้นหลานเรามิเปิดดูหรอกหรือ”
“ไม่หรอกท่านอา คนอย่างข้านั้นรักใครและใคร่ครวญแล้วถือเป็นน้ำใจอันสูงส่งมากแก่ตัวข้านักจำมิรับไว้
หรือก็จะเสียขนบธรรมเนียมประเพณีไป จึงใคร่เพียงขอรับไว้แค่ครึ่งเดียวก็พอหวังว่าท่านอาคงจะไม่ถือโทษแก่
ข้าน้อยด้วยนะท่านอา”
เจ้าเมืองฮะคามังสีหะบดีได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งบังเกิดความรักเปรียบประดุจญาติสนิทมิปาน ด้วยคิดว่าชายหนุ่ม
คนนี้มิได้มีความโลภโมโทสันเห็นแก่สิ่งของเป็นสิ่งสำคัญ ยึดถือสิ่งใดควรมิควรเป็นหลักรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่มิได้
หลงใหลในอำนาจของตัวเอง คนประเภทนี้หากใครอยู่ในปกครองย่อมก่อเกิดแต่ความสุขความเจริญยิ่งนัก
พลางหัวร่อแล้วก็ติดตามชายหนุ่มเข้าร่วมรับทานอาหารร่วมกัน
ชายหนุ่มหันมาเรียกท่านมหาอำมาตย์เหมี่ยวมังกะยะชวาเข้าร่วมรับทราบอาหารร่วมโต๊ะด้วยกัน
ทำให้เหมี่ยวมังกะยะชวาตกใจยิ่งนัก ครั้นจะเอ่ยคัดค้านก็เกรงพระราชหฤทัยยิ่งนัก จึงหันมาน้อมคาราวะขอ
อนุญาตต่อเจ้าเมืองฮะคาด้วย เจ้าเมืองฮะคาครั้นเห็นชายหนุ่มถึงกับให้เกียรติแก่มหาอำมาตย์เช่นนี้ก็ยิ่งสงสัย
เหตุใดมหาอำมาตย์ผู้นี้ก่อนเคยเป็นมหาอำมาตย์แห่งเมืองหล่อยก่อกับได้รับเกียรติสูงส่งประดุจดังหน่อเนื้อเชื้อ
กษัตริย์ก็มิปาน แต่ก็ไม่อาจจะขัดประการใดได้กลับนึกถึงสติปัญญาในการใช้คน จึง ผายมือเชื้อเชิญทันที
ทั้งสามก็ร่วมรับทานและสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดอ่าน มังสีหะบดีครั้นได้สนทนากับมหาอำมาตย์ใหญ่
ก็ทราบทันทีว่าเหตุใด มังสุริยะชัยถึงให้ความไว้วางใจแก่มหาอำมาตย์คนนี้มากนักด้วยสติปัญญาเฉลียวฉลาด
รอบรู้บรรดาแว่นแคว้นต่างๆไปแทบเสียสิ้น ในระหว่างการร่วมรับทานอาหารมังสุริยะชัยก็เอ่ยปากขอร้องให้
ทางเมืองฮะคาช่วยต่อเรือไว้ให้มากๆเพื่อจะต้องใช้ในการต่อไป เจ้าเมืองฮะคาก็ตอบตกลงว่าจะสร้างเรืองไว้
ให้มากหากชายหนุ่มต้องการเช่นนั้นไม่ต้องห่วงกังวลและมาทราบอีกด้วยว่า
ที่แท้มังสุริยะชัยก็คือมหาอุปราชแห่งแคว้นศิระสุริยันต์ยิ่งบังเกิดความเชื่อมั่นยิ่งขึ้น
ว่าเหตุใดชายหนุ่มถึงได้สามารถตีเหล่าแว่นแคว้นต่างๆได้อย่างรวดเร็วนักโดยไม่กังขาสิ่งใดๆเลย
ครั้นแล้วเจ้าเมืองฮะคากล่าวว่าแล้วพ่อหลานชายจะไปยังแว่นแคว้นใดหรือ ชายหนุ่มก็ไม่ปิดบังกล่าวว่าจะ
เคลื่อนทัพไปยังรัฐฉานเพื่อเจรจาการศึกก่อนด้วยเป็นทางผ่าน เจ้าเมืองฮะคาจึงกล่าวว่า
“หากแม้นพ่อหลานชายเราจะเคลื่อนพลเราจะแจ้งแก่บรรดาแว่นแคว้นของเราให้เปิดทางผ่านและให้นำ
ทหารเข้าร่วมเดินทางไปด้วย ส่วนทางเมืองฮะคาจะมอบทหารให้แก่หลานชายสองหมื่นนายหากรวมกับแว่น
แคว้นของเราก็ตกราวๆเกือบแสนคนจะได้กระมัง” มังสีหะบดีกล่าว
“นับว่าข้าเองได้รับความเมตตาแก่ท่านอ่านอย่างเหลือล้นทีเดียว จึงขอกราบขอบคุณท่านอานะที่นี้ด้วย
แล้วชายหนุ่มก็ยกมือไหว้มังสีหะบดีทันที จนเจ้าเมืองฮะคารีบยกมือรับไหว้ตอบแทบไม่ทันพลางกล่าวว่า
เมื่อเดินทางถึงเมืองหลวงเราแล้วจะรีบเร่งระดมทหารส่งมอบ ยามที่หลานชายผ่านแว่นแคว้นต่างๆของเราและ
ให้เหล่าแว่นแคว้นมอบทหารให้ตามแต่จะสามารถทำได้พร้อมด้วยเสบียงอาหารการศึกนี้ตลอดจนจะระดมคน
ก่อสร้างเรือขนาดใหญ่ให้อีกจำนวนมาก
ทั้งหมดต่างปรึกษารับทานอาหารไปนั้นก็สำราญบางครั้งก็ส่งเสียงหัวเราะกันสนิทสนมกันยิ่งๆขึ้นไปอีก
หลายวันผ่านไปได้เวลาสมควร เจ้าเมืองฮะคาก็ขอเดินทางกลับเมือง ชายหนุ่มก็ออกมาส่งยังนอกเมืองในระยะทางหนึ่งถึงเดินทางกลับเข้าเมือง แล้วเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งหลายให้ตระเตรียมกำลังไพร่พล
มะรืนนี้พวกเราจะออกเดินทางผ่านแว่นแคว้นฮะคาแต่ให้ทหารทุกๆคนอย่าทำความเดือดร้อน
แก่บรรดาราษฎร์แว่นแคว้นต่างๆและมิให้เข้าเมืองบรรดาแว่นแคว้นเหล่านั้นเป็นอันขาด
พร้อมทั้งให้เหล่าขุนทัพนายกองตระเตรียมให้พร้อม มังกะยะ มังสุระ และมังสีหะ
แห่งแคว้นหล่อยก่อก็ทูลทันที
“ข้าแด่องค์เหนือหัว ข้าทั้งสามปรึกษากันแล้วว่า จะขอออกเดินทางร่วมรบพร้อมด้วยทหารเมืองหล่อยก่อ
ไปในศึกครั้งนี้ด้วยพระเจ้าข้า”
เมื่อมังสุริยะชัยได้ยินเช่นนี้ก็ยินดียิ่งนัก ด้วยทั้งสามแม่ทัพนั้นทราบมาว่าเป็นคนมีสติปัญญาเก่งฉกาจ
ในการรบพุ่งเกี่ยวกับด้านภูเขาแล้วยิ่งชำนาญยิ่งนักอดปลื้มใจมิได้จึงกล่าวว่า
“หากแม้นว่าท่านทั้งสามยอมติดตามเราไป ข้าเองก็ขอขอบใจพวกท่านนัก
ดังนั้นให้ท่านเตรียมไพร่พลทหารออกร่วมเดินทางกับเราได้”
“นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่พวกข้านัก ด้วยพวกข้าเป็นทหารก็ใคร่อยากจะเข้าสู่สงครามมาเนิ่นนานแล้ว
เพื่อทดสอบฝีมือตนเองด้วยเห็นว่าพระองค์ทรงรักใคร่เหล่าทหารมากยิ่ง
ทำให้พวกข้ายิ่งบังเกิดความเชื่อมั่นคิดใคร่จะทดแทนพระคุณของพระองค์พระเจ้าข้า”
ชายหนุ่มได้ยินเช่นนี้ก็ให้ปลาบปลื้มใจ จึงกล่าวว่า
“เอาเถิดท่านทั้งสาม เราเหล่าทหารทั้งหมดเปรียบประดุจดั่งสายเลือดอันเดียวกันเสมือนครอบครัวที่ไม่
อาจจะแตกแยกกันได้ เมื่อเป็นความประสงค์ของพวกท่านข้าก็ยินดี มะรืนนี้พวกเราก็จะเคลื่อนพลออก
เดินทางไปยังรัฐฉานขอให้ท่านไปเตรียมไพร่พลได้แล้ว เมื่อแจ้งแก่เหล่าขุนทัพนายกองแล้วก็สั่งเลิกประชุม
แล้วหันไปกล่าวกับมหาอำมาตย์เหมี่ยวกะยอชวาให้ท่านเตรียมตัวเพื่อเดินทางได้ต่อไป........
* แก้วประเสริฐ. *
4 มีนาคม 2553 14:45 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 37
ชายหนุ่มแลไปเห็นบรรดาเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองของหล่อยก่อถูกมัดมือนั่งเรียงราย
อยู่หน้าบัลลังก์ของเจ้าเมือง ครั้นเดินทางเข้าไปบรรดาแม่ทัพนายกองของชายหนุ่มต่าง
ก็ร้องถวายพระพรทันที ทำให้พวกเชลยทั้งหมดหันมามอง ครั้นเห็นเป็นเพียงแค่ชายหนุ่ม
ก็สร้างความแปลกใจสงสัยขึ้นว่า เหตุใดถึงได้เก่งฉกาจยิ่งนักที่สามารถรวมแว่นแคว้นต่างๆ
ได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งยังฆ่าเจ้าเมืองหล่อยก่อซึ่งเป็นเมืองหลวง เข้าตีเมืองได้ในเวลาอันรวดเร็วใช้เวลาไม่นาน
การยึดเมืองหล่อยก่อนั้นหาจะใช่ได้มาโดยง่ายนัก ด้วยสภาพเป็นขุนเขาล้อมรอบทั้งยังอยู่ใน
ที่สูงยากต่อการเข้าโจมตี แต่แค่เพียงวันเดียวกับสามารถตียึดเมืองได้โดยฝ่ายเราไม่สามารถ
จะต้านทานได้ ทำให้เกิดความนับถือขึ้นในใจของเหล่าแม่ทัพนายกองหล่อยก่อที่มีต่อชายหนุ่ม
เป็นยิ่งนัก หากมาดแม้นว่าเจ้าเมืองหล่อยก่อมิได้ถือความโอหังเป็นใหญ่แล้วยากนักที่จะถูกยึด
เมืองได้ คงต้องใช้เวลาเนิ่นนานด้วยสภาพภูมิประเทศอำนวยตลอดยังสมบูรณ์ด้วยเสบียงอัน
มากมายยิ่งนัก ยิ่งคิดไปบรรดาอำมาตย์ขุนทัพนายกองก็ยิ่งบังเกิดความนับถือขึ้นเป็นอย่างมาก
แล้วชายหนุ่มก็ก้าวเดินผ่านบรรดาอำมาตย์ขุนทัพนายกองที่ต่างก็น้อมหัวคาราวะทันที
ครั้นถึงบัลลังก์ของเหมี่ยวสุรินทร์นราขึ้นนั่งยังบัลลังก์ทันที พร้อมสั่งให้ทหารเข้าแก้มัดบรรดา
เหล่าอำมาตย์และขุนทหารทั้งหลาย เมื่อเหล่าทหารได้แก้มัดให้แล้วก็ถอยหลังออกมา
ชายหนุ่มก็พลันกล่าวขึ้นว่า เรามังสุริยะชัยนั้นได้ส่งทูตเจรจากับทางท่านแล้วแต่หาได้รับการ
ต้อนรับดั่งธรรมเนียมทั่วๆไปที่ปฏิบัติกันมา เราจึงจำเป็นต้องเข้ายึดเมืองของพวกท่าน หากพวก
ท่านยินดีที่จะยอมอยู่ในอำนาจของฝ่ายเรา เราก็จะลดโทษให้ตามฐานะของแต่ละบุคคล
ครั้นฝ่ายเหล่าอำมาตย์ขุนทัพนายกองทั้งหลายได้ยินเช่นนั้น มหาอำมาตย์เมืองหล่อยก่อก็
กล่าวขึ้นทันทีว่า
“ ในเมื่อเหตุการณ์เช่นนี้ก็ด้วยเจ้าเมืองมิได้เชื่อฟังพวกเรา แต่ทว่าหาก
ถือตามธรรมเนียมแล้วก็อาจจะมิต้องเสียเมืองง่ายดายไปไม่ นายด่านนั้นแม้จะส่งสาสน์มา
ก็ตามแต่มันกับหยิ่งยโสไม่คำนึงถึงการควรมิควรกับจับกุมทูตพระองค์ผิดธรรมเนียมพระเจ้าข้า”
“ที่ท่านกล่าวเช่นนี้เสมือนหนึ่งดังยกความผิดให้แก่เจ้าเมืองคนเดียว พวกเจ้าหาได้เกี่ยวข้อง
อันใดฤา” มังสุริยะชัยเอ่ยขึ้น
“หามิได้พระเจ้าข้า พวกข้าก็ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัดอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะเสียเมืองหรือ
ไม่ก็ตามย่อมต้องถือหน้าที่เป็นใหญ่เพื่อรักษาเมืองไว้พระเจ้าข้า” มหาอำมาตย์กล่าวขึ้น
“ในเมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ก็มีเหตุผลพอฟังได้หรอก ด้วยทุกๆคนย่อมจะรักเมืองของตนเองเป็น
ใหญ่แต่ทำไมท่านไม่เตือนหรือชี้แจงแก่เหล่าขุนนางทั้งหลายให้ช่วยคัดค้านการนี้ด้วยล่ะ”
“ที่ข้ากล่าวเช่นนี้หาใช่ว่าจะเอาตัวรอดก็หาไม่ ท่านลองถามท่านแม่ทัพซึ่งก็ได้คัดค้านการศึก
ครั้งนี้เหมือนกันดูเถิดพระเจ้าข้า”
“ใครล่ะเป็นแม่ทัพใหญ่คุมเมืองนี้ “ มังสุริยะชัยกล่าวขึ้น
“ข้าพระพุทธเจ้า มังกะยะ ส่วนท่านมังสุระ มังสีหะ เป็นรองแม่ทัพพระเจ้าข้า “
“อ้อ...ท่านเองหรือแล้วท่านมีความคิดเห็นประการใดล่ะ” ชายหนุ่มถาม
“ เรื่องนี้แล้วแต่พระมหากรุณาธิคุณตามแต่พระองค์จะตัดสินพระหทัย ข้าพเจ้ายอมรับทุกประการ
แม้แต่ชีวิตของข้าเองก็ยินยอมพระเจ้าข้า” แม่ทัพใหญ่กล่าวขึ้นมิอ้างอิงสิ่งใดๆทั้งสิ้น
“ฮ่าๆๆๆๆ....เจ้ากล่าวได้ดีจริงมังกะยอ อันตัวข้าและเหล่าขุนทหารทั้งหลายมิได้คิดที่จะมารุกราน
เบียดเบียนเมืองหล่อยก่อและแว่นแคว้นต่างๆ เพียงแต่หากรับฟังสาสน์เราแล้วมารวมตัวกันขึ้นเพื่อ
ก่อการรวมแผ่นดินไว้เป็นหนึ่งเดียว ไม่ถือตัวเองว่ามีความสามารถแยกตัวขึ้นเองได้แล้ว
ก็จะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้หรอก แต่ทว่าท่านพ่อเมืองของพวกท่านถือตนเอง
และอำนาจมิได้คำนึงถึงความเก่าที่เคย
ร่วมรบกันมาเพื่อรวบรวมแผ่นดิน ก็คงจะไม่ต้องเป็นเช่นนี้หรอก”
“เอาล่ะเมื่อเป็นเหตุเช่นนี้จะหาความผิดแก่พวกท่านก็มิได้ ด้วยต้องทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองเมือง
เป็นใหญ่ เราก็จะอภัยให้แก่พวกท่านแต่เพียงให้ท่านถือด้วยความจริงใจเท่านั้น เรารู้มาว่าพวกของ
เจ้าเมืองเก่าก็มีอีกที่เป็นเครือญาติหาได้สยบยอมด้วยความจริงใจ ซึ่งเราได้ให้ทหารเราจัดการหมดแล้ว
เพื่อถอนรากถอนโคนไป ส่วนพวกท่านนั้นเมื่อทหารเรามารายงานตัวว่าพวกท่านทั้งหลายหาได้มีความ
จริงใจต่อเจ้าเมืองเท่าใดนัก เรื่องพวกท่านเราก็รู้อยู่ก่อนแล้วอย่างละเอียดก่อนจะเข้ามาตีเมืองท่าน”
เหตุที่ชายหนุ่มคิดเช่นนี้ด้วยไม่อยากจะมีศึกหลายๆด้านจึงคิดที่จะถนอมน้ำใจเหล่าอำมาตย์และ
ขุนทหารทั้งหลายไว้ เพื่อรวบรวมไพร่พลไปตีแว่นแคว้นอื่นต่อไป หากทำการใดด้วยลุแก่อำนาจแล้ว
ย่อมยากจะปกครองเหล่าขุนนางทหารทั้งหลายได้นั่นเอง จึงคิดใคร่จะให้พวกมันสยบด้วยใจจริง
และจะได้ใช้สอย ไม่ต้องห่วงกังวลไป ด้วยต้องเดินทางไปยังแว่นแคว้นรัฐชิน
ซึ่งมีอาณาเขตอุดมสมบูรณ์ยิ่งนักเพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเสบียงอาหาร
ในการใช้เลี้ยงทหารมากมายเหล่านี้
“ ในเมื่อข้าเองคิดว่าหากผู้ใดยินยอมพร้อมใจกันพร้อมเสียสละชีวิตรวมเป็นร่วมตายแก่พวกเราก็ให้
ก้าวออกไปด้านข้างด้วย” ชายหนุ่มกล่าว
ปรากฏว่าเหล่าขุนทหารทั้งหลายต่างก็ก้าวออกมาเกือบทั้งสิ้น ยกเว้นเหล่าขุนนางอำมาตย์เท่านั้น
ที่ยังคงก้มหน้าอยู่ที่เดิม ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นว่า
“เหตุใดหรือพวกท่านถึงไม่ยินยอมพร้อมใจกัน”
“หามิได้ด้วยเหตุว่าพวกกระหม่อมมิได้ฝึกฝนด้านเกี่ยวการรบพระเจ้าข้า จึงมิอาจจะเข้าร่วมรบ
กับพวกพระองค์ได้พระเจ้าข้า”
เมื่อชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็หัวร่อเสียงดังทันที ถูกต้องมิใช่ว่าพวกเหล่าอำมาตย์ขุนนางนั้นจะไม่
ยินยอมก็หาไม่ แต่ด้วยประมาณตัวเองว่าไม่สามารถจะเข้าร่วมรบในสงครามได้นี่เอง ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น
“ฮ่าๆๆๆๆ ข้าก็ทราบอยู่แล้วว่าพวกเจ้าหาได้เป็นไปตามที่ข้าคาดการณ์ได้แล้ว หากมาดแม้นเหล่า
ขุนนางอำมาตย์ทั้งหลาย ก้าวตามเหล่าขุนทหารไป ข้าเองก็จะไม่ไว้ชีวิตพวกเจ้าทันทีเพราะด้วยความ
กลัวตายและหาได้มีความจริงใจใดไม่”
ทำให้บรรดาเหล่าอำมาตย์ขุนนางทั้งปวง เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ทราบทันทีว่าที่ชายหนุ่มสามารถเข้า
ตีแว่นแคว้นกะฉินได้ ก็ด้วยเปี่ยมไปด้วยสติปัญญาเป็นที่ตั้งยิ่งทำให้เกิดความนับถือเพิ่มขึ้นอีก
“ส่วนข้ามหาอำมาตย์ “เหมี่ยวมังกะยอชวา” ถึงมาดแม้นว่ามิได้ฝึกปรือด้านอาวุธมาแต่ก็สามารถ
ช่วยเหลือพระองค์ได้เท่าที่สติปัญญาของข้าจะทำได้ จะขอเข้าร่วมไปในสงครามด้วย เหตุด้วยข้าเอง
ได้เขียนแผนที่ของแผ่นดินต่างๆตลอดลู่ทางทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้วพระเจ้าข้า แต่มิได้นำเสนอต่อ
เจ้าเมืองด้วยเห็นเป็นคนโลภโมโทสันเอาแต่ใจตนเองหาได้เข้าใจคนอื่น ที่คิดลาออกไปก็จะเป็น
อันตรายแก่ครอบครัวจึงจำต้องทนอยู่พระเจ้าข้า” เหมี่ยวมังกะยะชวากล่าวทูลขึ้น
ครั้นชายหนุ่มได้รับฟังเช่นนั้นก็ให้ดีใจแต่มิได้แสดงกิริยาใดๆทั้งสิ้นจึงกล่าวว่า
“เมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ ไหนลองเข้ามาหาข้าใกล้ๆหน่อยซิ”
มหาอำมาตย์ใหญ่เหมี่ยวมังกะยะชวาครั้นได้รับฟังเช่นนั้น ก็น้อมกายถวายคาราวะแล้วยืนขึ้นค่อยๆ
ก้าวเข้าไปหาชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มสังเกตเห็นมีบุคลิกลักษณะฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก ใบหน้ากลม
แก้มแดงเปล่งปลั่งหนวดเคราขาวโพลนหัวใหญ่ผิดปกติของคนธรรมดา ทั้งยังมีสง่าราศีนัก ก็ให้ชอบใจ
ชายชรายิ่งนัก จึงลุกขึ้นจากบัลลังก์เดินลงมาโอบไหล่ทั้งสองของชายชราทันทีพลางจูงมือ แล้วสั่งให้
ทหารหาเก้าอี้มาให้ชายชรานั่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ชายชราถึงกับทรุดกายลงกราบยังเท้าชายหนุ่มทันที พอเงยหน้าน้ำตาทั้งสองไหลออก
มา พลางกล่าวขึ้นว่า
“หากมาดแม้นเจ้าเมืองเก่ามีสติปัญญาอ่านรู้ใจคนเช่นดังพระองค์แล้ว เมืองหล่อยก่อก็จะขยาย
อาณาเขตได้กว้างขวางกว่านี้ พระเจ้าข้า”
“ข้าขอให้สัตย์ปฏิญาณตนต่อฟ้าดินว่าจะขอรับใช้พระองค์ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ด้วยสติปัญญาอัน
น้อยนิดของกระหม่อมพระพุทธเจ้าข้า” แล้วชายชราก็ก้มกราบอีกครั้งหนึ่ง
ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็พยุงร่างมหาอำมาตย์ใหญ่พาไปนั่งยังเก้าอี้ข้างๆตนทันที แล้วหันไปถามว่า
“ข้าเองจะให้คนของข้าขึ้นปกครองเมืองหล่อยก่อท่านเห็นเป็นประการใดเล่า”
“ ถูกต้องยิ่งนักพระเจ้าข้าเหมี่ยวมังกะยอชวากล่าวขึ้น เหตุดังนี้เพราะว่าดังสุภาษิตกล่าวว่า รู้ใจเราไม่
รู้ใจเขานั่นเอง หากแม้นพระองค์ให้คนของพระองค์ปกครองก็จะสยบอำนาจต่อเจ้าเมืองไม่อาจจะแก่งแย่ง
ชิงดีชิงเด่นได้พระเจ้าข้า” มหาอำมาตย์กล่าว
“ฮ่าๆๆๆ.... ท่านกล่าวเช่นนี้ถูกใจข้ายิ่งนักนับได้ว่าเป็นผู้มองการณ์ไกลนัก เอาล่ะการรบต่อไปเพื่อ
รวบรวมแว่นแคว้นต่างๆให้เป็นหนึ่งเดียวกันนี้ เห็นทีต้องอาศัยสติปัญญาท่านแล้วล่ะ”
“หากแม้นพระองค์เชื่อมั่นเช่นนี้ ข้าพระพุทธเจ้าจะน้อมถวายหากผิดพลาดยินดีรับใช้ด้วยชีวิตพระเจ้าข้า”
“งั้นก็ดีแล้วข้าจะตั้งท่านให้เป็นที่ปรึกษาของข้าเกี่ยวกับการรบทั้งหมด หวังว่าท่านคงจะยอมรับส่วน
ครอบครัวท่านมิต้องเป็นห่วง ด้วยข้าเองคิดหาเจ้าเมืองใหม่ตลอดจนรองเจ้าเมืองไว้แล้วเพื่อถ่วงดุลซึ่งกัน
และกันโดยแยกกันควบคุมคนละครึ่งไว้แล้วล่ะ” ชายหนุ่มหรือมังสุริยะชัยกล่าว
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ข้ายิ่งนักพระเจ้าข้า” ชายชรากล่าว
“บัดนี้ข้าขอยกโทษทั้งหมดให้แก่เหล่าอำมาตย์ขุนนางทั้งหลาย ส่วนด้านอำมาตย์นั้นให้ทำหน้าที่ของตัวไป
จะไม่มีหัวหน้าอำมาตย์อีกต่อไปให้ขึ้นตรงต่อเจ้าเมืองหรือรองเจ้าเมือง ส่วนขุนทหารแม่ทัพนายกองให้ติดตาม
เราไปพร้อมทหารกึ่งหนึ่ง พวกแม่ทัพนายกองจะเห็นเป็นประการใดในการเข้าร่วมศึกครั้งต่อไป หากผู้ใดขัดข้อง
ก็เอ่ยมาได้มิต้องเกรงใจข้า” ชายหนุ่มกล่าว
ทำให้บรรดาแม่ทัพใหญ่กระเหี้ยนกระหือทันทีหากได้เจ้านายเช่นนี้แน่นอนการศึกในครั้งหน้าคงจะ
ราบรื่นนัก จึงพากันส่งเสียงร้องว่าพร้อมจะเข้าร่วมรบแก่พระองค์พระเจ้าข้า
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าเมืองข้าจะให้ เหมี่ยวมินยองแห่งแคว้น มังละ รองเจ้าเมืองให้มังกุรียะ แห่งแคว้น กุลา
ทหารส่วนหนึ่งไว้ปกครอง ข้าเองจะพักอยู่ไม่กี่วันก็จะออกเดินทาง ให้เจ้าจัดทัพทหารเข้าร่วมด้วย หน้าที่
การปกครองให้ร่วมกันปรึกษาทุกๆครั้งไป หากข้าได้ข่าวว่ามิปรองดองกันข้าก็จะไม่ละเว้นพวกเจ้าทั้งครองครัว
ด้วย เจ้าทั้งสองจงจำไว้ “
เหมี่ยวมินยอง กับมังกุรียะ ก้าวออกมาน้อมกายถวายบังคม พร้อมให้สัตย์ปฏิญาณตนแก่มังสุริยะชัยทันที
ชายหนุ่มจึงหันไปกล่าวกับมหาอำมาตย์มังกะยอชวาให้ไปแจ้งแก่ครอบครัวว่าต้องออกเดินทางไปร่วมรบด้วย
แล้วก็สั่งเลิกประชุมทันที บรรดาเหล่าแม่ทัพนายกองเมืองหล่อยก่อก็เข้าไปแสดงความคาราวะแก่แม่ทัพของ
ฝ่ายชายหนุ่มพร้อมชักชวนกันไปหาความสำราญกันยังบ้านของแม่ทัพใหญ่เมืองหล่อยก่อทันที ทั้งหมดเมื่อ
เป็นพวกเดียวกันแล้วก็มิได้ตั้งแง่แต่ประการใด ด้วยทุกๆคนมีความรักต่อเจ้าเหนือหัวทั้งสิ้น ฝ่ายทหารม้าพิเศษ
นั้นก็แยกทางอีกทางหนึ่งพร้อมด้วยทหารที่มาด้วยกันไปหาความสนุกสนานกันเอง อยู่ภายในวังทั้งสิ้นเพื่อคอย
อารักขามังสุริยะชัยนายเหนือหัวต่อไป
ข่าวคราวการยึดแว่นแคว้นกะยารวมถึงการตายของเจ้าเมืองหล่อยก่อนั้น ได้แพร่สะพัดไปทั่วแว่นแคว้น
ต่างๆ ทำให้เมืองในแว่นแคว้นทั้งหลายเกิดความปั่นป่วน บ้างก็นำบรรณาการมาเพื่อขอพึ่งบารมีของชายหนุ่ม
ส่วนที่มิยอมตกในอำนาจก็จัดสร้างกำแพงเมืองระดมทหารไว้ป้องกันเมืองระดมฝึกทหารและสร้างอาวุธไว้
ด้วยหวั่นเกรงต่อกองทัพชายหนุ่ม ดังนั้นข่าวที่แพร่ออกไปนั้นทำให้ข่าวแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็วจน
ล่วงรู้ไปถึงเจ้าเมืองแคว้นกะฉิ่นและท่านผู้เฒ่าและเจ้าหญิงในหุบผาทันที
ทุกๆคนปลาบปลื้มต่อชัยชนะครั้งนี้จนทำให้เจ้าหญิงใคร่อยากจะออกร่วมรบกับชายหนุ่ม
แต่ได้ถูกห้ามปรามจากท่านผู้เฒ่าว่ากิจการทหารนั้นควรเป็นของชายหาใช่สตรีใดไม่
หากแม้นว่าองค์หญิงจะร่วมก็จะเกิดความพะวักพะวงต่องานที่จะกระทำสู้ปล่อยให้ดำเนินไป
คนเดียวจึงจะถูกต้อง ดังนั้นเจ้าหญิงจึงต้องระงับการเดินทางคอยฟังข่าวชายหนุ่มคู่หมั้นตนเองต่อไป
ในเวลาไม่นานนักเสบียงอาหารและอาวุธใหม่ที่ชายหนุ่มแจ้งแก่ท่านมังสินธูก็ถูกลำเลียงมาเป็นจำนวนมาก
มอบให้แก่ชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มจึงส่งสาสน์ไปให้เจ้าเมืองมิจีนาทราบด้วยถึงแผนการต่อไป ยามที่ชายหนุ่ม
ล่วงเข้าฝ่ายในโดยมีองครักษ์รับใช้นำทางไปที่ตำหนักของเจ้าเมือง
แต่ชายหนุ่มไม่ประสงค์เช่นนั้นกลับให้ทหารนำไปพักยังเรือนรับรองแขกเมืองเท่านั้น
บรรดานางสนมกำนัลตลอดจนพระมเหสีและองค์หญิงต่างๆต้องมีหน้าที่มาปรนนิบัติ
ชายหนุ่มตามประเพณีธรรมเนียม แต่ชายหนุ่มแจ้งแสดงความขอบใจให้ทุกๆคนทำตัว
แบบสบายๆไม่ต้องกังวลสิ่งใดๆ ที่ทำไปก็ให้ถือเช่นเดิมไม่ต้องมาปรนนิบัติเราหรอกให้กลับไปได้
ยกเว้นเครื่องเสวยและนางกำนัลบางคนเท่านั้น พระองค์สั่งแต่เพียงแค่ผลไม้และน้ำใช้ดื่มก็เพียงพอ
ทำให้เหล่าพระมเหสีองค์หญิงและนางสนมกำนัลพากันแปลกใจไปตามๆกัน
แต่ก็ไม่อาจจะขัดพระบัญชาได้ บรรดาองค์หญิงนั้นต่างมีสรีระร่างสวยงามทั้งสิ้น
เมื่อถูกปฏิเสธจากชายหนุ่มก็พลางใบหน้าสลดด้วยเห็นบุคลิกลักษณะของชายหนุ่มหล่อเหลายิ่งนัก
ตลอดจนพระมเหสีด้วยที่ยังสาวอยู่ ก็พยายามท้วงติงอ้างว่าเป็นพระราชประเพณี
แต่ชายหนุ่มบอกว่าถึงมาดแม้นเป็นประเพณีโบราณกาลก็ตามหาใช่ที่จะเปลี่ยนแปลงมิได้
เราเองจะขอขัดแย้งเปลี่ยนแปลงเสียเลยนับแต่นี้ไป แม้เจ้าเมืองใหม่ก็หามีสิทธิใดๆทั้งสิ้นเราจะกำชับไว้
ดังนั้น บรรดาเหล่ามเหสีองค์หญิงตลอดจนนางสนมกำนัลต่างเสียดายแต่มิอาจขัดพระหทัยได้จึงทูลถวาย
บังคมลากลับไปยังตำหนักของตัว
ส่วนกลางคืนนั้นนางพรายทั้งสองก็คอยเฝ้าปรนนิบัติชายหนุ่มอยู่แล้วตลอดจนเจ้าขนทองขนขาวก็ร่วม
กระเซ้าเย้าแย่กันเหมือนเดิมหาได้แตกต่างประการใด จนทำให้ทหารที่รักษาการณ์หน้าตำหนักพากันแปลกใจ
กันไปตามๆกัน ด้วยได้ยินเสียงหัวร่อของหญิงสาวอยู่ด้วยทั้งๆทีเห็นมีเพียงแต่ชายหนุ่มและลิงทั้งสองเท่านั้น
ใยจึงมีเสียงหัวร่อ อดที่จะลอบแอบมองเสียมิได้ ครั้นเห็นแม่นางพรายทั้งสองช่างสวยสดงดงามกระไรเช่นนั้น
ก็ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมชายหนุ่มถึงไม่สนใจต่อสตรีทั้งหลายนัก.............
* แก้วประเสริฐ. *