13 กุมภาพันธ์ 2553 13:55 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 18
หลังจากที่กำจัดต้นไม้ยักษ์กินคนแล้ว ทั้งหมดก็เริ่มออกเดินทางไปตามไหล่เขาซึ่ง
เชื่อมกันระหว่างยอดเขาทั้งสองเป็นซอกพอจะเดินเป็นทางแคบๆ แต่ที่ทำให้ชายหนุ่ม
ต้องตกตลึง ด้วยภูเขา เขาทั้งสองนั้นเดี๋ยวก็แยกจากกัน เดี๋ยวก็มากระทบรวมกัน
ซึ่งแปลกที่เขาไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่าเขาทั้งสองลูกนี้จะกระทบกันแยกกันได้
แต่นี่เขากับมาเจอนับว่าตั้งแต่เขาเดินทางมาในป่าดงดิบนี้ อะไรๆมัน
ก็ช่างแปลกประหลาดไปหมดสิ้น ต้นไม้เอย สัตว์ต่างๆเอยมันช่างใหญ่โต
ไปเสียสิ้น ทำให้เขาคิดว่าคงจะหลงมาในดินแดนมหัศจรรย์เป็นแน่แท้ แต่เมื่อมาแล้ว
ก็หาทางแก้ไขกันเท่าที่เขาจะทำได้จนกว่าจะล่วงพ้นดินแดนเหล่านี้ไป
ดังนั้นเขาจึงไม่คิดอะไรมากนอกจากเพียงแค่จะเอาตัวรอดพร้อมกับเจ้าเพื่อนยากเท่านั้น
ที่ฝ่าดั้นด้นต่อไป เขาพร้อมเจ้าลิงขนทองซึ่งบัดนี้มันทั้งสูงใหญ่หัวมันเกือบถึงไหลของเขา
ร่างกายล่ำสันแขนขากำยำเป็นมัดๆแต่ความคล่องแคล่วมันกับมากขึ้นกว่าเดิม
ชายหนุ่มยืนมองดูเห็นว่าการเข้ากระทบกันนั้นมันไม่รวดเร็วนักค่อยๆเป็นค่อยๆไปและ
ใช้เวลานานพอสมควร แต่ลมที่พัดผ่านมากลับรุนแรงมาก เสียงสายลมดังอู้ๆตลอดเวลา
เข้ามาปะทะหน้าแล้วรู้สึกชาและสะท้าน
หากเขายืนไม่มั่นคงก็เห็นทีจะปลิวไปได้ เขาคอยจับระยะเวลาการ
ที่ภูเขาทั้งสองลูกกระทบกันและค่อยๆแยกห่างจากกัน ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาและ
เจ้าขนทองจะแทรกตัวผ่านไปได้ เพียงแต่ติดที่สายลมแรงจัดมากเท่านั้นที่จะชะลอร่างเขา
ทั้งสองยามปะทะฝ่าสายลมไปคงต้องใช้เวลานานพอควร
เมื่อชายหนุ่มกำหนดและทดลองฝ่าสายลมที่หน้าช่องหินก่อนฝ่าเข้าไปได้สักพักเพื่อ
ความแน่นอน เขาจึงทดลองให้เจ้าขนทองเกาะขี่หลังเขาเพื่อตัดปัญหาในการถูกสายลมพัด
แยกจากกัน ทดลองน้ำหนักเจ้าขนทองดูแต่ด้วยเขาได้ดื่มน้ำดีของงูยักษ์ทำให้เขามีพละกำลัง
มากมายจึงสามารถแบกเจ้าขนทองได้อย่างสบายๆดังกับเจ้าขนทองเป็นลูกลิงฉะนี้ เมื่อเขา
มั่นใจตนเองได้แล้ว ครั้นรอจนสายลมในช่องเบาบางลงและช่องแคบภูเขาค่อยๆแยกจากกัน
เขาก็รีบออกเดินทางฝ่าซอกหินไปทันที ก่อนที่ซอกหินจะมากระทบกันอีก
ในไม่ช้านักเขาฝ่ากระแสลมยามช่องหินแยกจากกัน โดยแบกเจ้าขนทองและสัมภาระ
ฝ่าสายลมออกมาได้ จนกระทั่งเขาสองลูกกลับมากระทบกันอีกแต่ทว่าเขาได้หลุดรอดเข้าไปข้าง
ในได้เรียบร้อยแล้ว เขาหันไปมองดูเห็นเศษหินหล่นกระจายเป็นควันฝุ่นฟุ้งไปหมด
ทั่วทัศนียภาพเบื้องหน้าเขาช่างงดงามยิ่งนักเป็นที่กว้างมีต้นไม้ขึ้นประมาณเกือบหน้าแข้ง
แลดูประหนึ่งคล้ายพรมสีเขียวปูเต็มบริเวณ ด้วยเขายืนอยู่บนที่สูงบรรดาลานทุ่งกว้างนั้นอยู่
ต่ำกว่าเขา มีต้นไม้ใหญ่คล้าเคล้ากับต้นไม้เล็ก มีธารน้ำไหลมาจากซอกไหลเขาที่เกือบสุด
สายตาเขาแลเห็นบ้านหลายๆหลังปลูกห่างๆกัน
เขามองไปทั่วบริเวณนั้นแปลกเขาคิดด้วยไม่เห็นมีการเพาะปลูกแต่ประการใดไม่
แล้วบ้านเหล่านี้ทำมาหากินอะไรหรือว่าเป็นบ้านของพวกพราน
หากเป็นบ้านพวกพรานก็ย่อมจะมีบริเวณที่จะเพาะปลูกสิ่งจำเป็นไว้ แต่นี่ไม่มีเลย
เท่าที่สายตาเขาเห็นกับไม่มีด้วยปลูกบ้านใต้ต้นไม้ใหญ่เกือบทุกๆหลัง
เมื่อเห็นดังนี้ก็ออกเดินทางเป้าหมายคือหมู่บ้านบางทีอาจจะขอพักพิงอาศัยชั่วคราวได้
บ้าง จึงจูงมือเจ้าลิงขนทองออกเดินทางต่อไป ครั้นใกล้ๆจะถึงบ้านเหล่านี้ก็ได้ยินเสียง
แม่นางพรายกระซิบว่า
“พี่ท่านให้ระวังตัวไว้ด้วย นั่นเป็นภาพลวงตาของพวกผีโขมดและพวกผีกองก๋อยหา
ใช่เป็นที่อยู่ของมนุษย์ไม่จ๊ะ”
ร่างชายหนุ่มชะงักทันที ยามเมื่อได้ยินเสียงร้องเตือนของแม่นางพรายมากล่าวเตือน
“มันเพียงเพียงแค่กิ่งไม้ที่คลุมไว้ด้วยหญ้าแห้งเท่านั้นจ๊ะ” นางพรายกล่าวเตือนอีก
“หรือน้องรักแต่พี่กลับเห็นเป็นเรือนแต่ละหลังจ๊ะ” ชายหนุ่มตอบหญิงสาว
“จ๊ะมันใช้อำนาจบังตาคนสัตว์ให้เข้าไปหามันเพื่อจะได้กัดกินสูบเลือดเป็นอาหาร”
“แล้วเราจะทำอย่างไรดี หรือว่าเราจะต้องหนีมันอีก แต่มันเป็นทางที่เราต้องไปนะ”
“จ๊ะๆ...เบื้องหลังเขาลูกโน้นจะเป็นซากของปราสาท ซึ่งก่อนเจริญรุ่งเรืองมากแต่
มาบัดนี้ได้ล่มสลายแล้ว” นางพรายตอบให้ชายหนุ่มเข้าใจ
“แล้วมันมีจำนวนเท่าไหร่ล่ะ แม่น้องรัก”
“ราวประมาณที่น้องรู้นะ ว่าสักหกเจ็ดตนได้จ๊ะ ด้านซ้ายมือเป็นพวกผีโขมด ส่วน
ด้านขวามือ ห่างไปไม่มากนักเป็นพวกผีกองก๋อย แต่ว่ามันแปลงกายได้นะพี่ท่าน”
“เท่าที่พี่เห็นนะน้อง รู้สึกว่ามันจะไม่มีใครอยู่สักตนเลยนี่นา” ชายหนุ่มถามด้วยสงสัย
“กลางวันมันจะหายตัวไปหมด มันจะออกมาเฉพาะกลางคืนเท่านั้นจ๊ะ เหมือนน้องแหละ”
“เห็นทีเราคงจะหลีกเลี่ยงมันไม่ได้เสียแล้ว ด้วยมันขวางทางที่เราจะผ่านไปเสียด้วย”
ชายหนุ่มรำพึงพอได้ยิน
“หากพี่จะคิดปราบมันต้องรอจนกว่าจะค่ำมืดถึงจะสามารถกำราบมันได้ ด้วยมันซ่อนตัว
อยู่ตามต้นไม้ต่างๆจ๊ะ นอกจากเหยื่อเข้ามาในบ้านนั่นแหละมันถึงจะออกมา” นางพรายสาวตอบ
“นี่ก็บ่ายคล้อยมากแล้วเห็นทีเราจะต้องหาที่อาศัยหลับนอนเอาแรงแล้วค่อยออกมากำราบมัน”
“ให้พี่ท่านรีบหาที่พักผ่อนเอาแรงก่อนดีกว่าก่อนจะค่ำลง ด้านซ้ายมือมีต้นไม้ใหญ่มีคาคบ
พอที่จะอาศัยได้จ๊ะ”
ชายหนุ่มเหลียวมองไปด้านซ้ายมือทันทีเห็น ต้นไม้ใหญ่สูงชะลูดอยู่สองสามต้นขึ้นห่างกัน
ไม่มากนัก จึงชวนกันเดินทางตรงไปยังต้นไม้ต้นหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดและมีคาคบพอที่จะอาศัยได้
เขาส่งสัญญาณให้เจ้าขนทอง ทันใดเจ้าขนทองก็พุ่งร่างทะยานขึ้นไปยังต้นไม้ใหญ่ทันที
เมื่อมันสำรวจดูเห็นดีแล้ว มันจึงไต่ลงมาชายหนุ่มปลดเถาวัลย์ที่คล้องใหญ่อยู่ส่งให้มันทันที
พอมันได้รับก็เลียนแบบชายหนุ่มนำมาคล้องแขนไหล่มันบ้างแล้วไต่ขึ้นไปพลางผูกเถาวัลย์ดัง
ที่มันเคยทำมา หย่อนปลายเถาวัลย์มาให้ชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มได้รับปลายเถาวัลย์ก็ไต่ขึ้นไป
บนต้นไม้แล้วนอนรอเวลาให้ใกล้ๆค่ำที่ใกล้ๆจะมา
ยามสนธยาดวงตะวันคล้อยลับเหลี่ยมภูเขาทอแสงบรรเจิดจับท้องฟ้าเขานอนมองดูมันช่าง
สวยงามยามแสงจับก้อนเมฆ เขานึกถึงตอนที่ยังเด็กๆว่าเคยมองภาพก้อนเมฆแล้วนึกภาพที่กำลัง
ลอยทอแสงเป็นวิมานของเทพยดา ปราสาทต่างๆที่ทอแสงระยิบบ้างสีส้ม แดง เหลือง ฟ้าแวววาว
งดงามนัก มาบัดนี้เขานอนมองท้องฟ้าและก็ให้นึกภาพต่างๆไปด้วย นางประกายแดงและนาง
ประกายเขียวมานั่งข้างๆเขาเมื่อไหร่เขาไม่รู้สึกตัวเลย มัวแต่มองภาพสวยงามของบรรดาก้อนเมฆ
ที่แยกแตกตัวเป็นภาพที่เขาจินตนาการสร้างไว้
หล่อนคงจะทราบอารมณ์ของชายหนุ่มจึงมิได้กล่าวอะไรขึ้น นางเองก็ยังมองภาพสวยงาม
ต่างๆเหล่านี้เหมือนกัน จวบจนอากาศมืดสลัวๆบ่งบอกว่าค่ำแล้วนั่นแหละ เขาจึงลดสายตาและพบ
ว่าแม่นางคนสวยทั้งสองมานั่งเคียงคู่เขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ จึงกล่าวขึ้นว่า
“อ้าวๆๆๆ????....น้องเรามาตั้งแต่เมื่อไหร่พี่ไม่รู้ตัวเลย”
“น้องทั้งสองเห็นพี่ท่านมองก้อนเมฆและนึกภาพต่างๆ น้องเองก็ยังมองช่างงดงามนักนะ
มันประดับประดาเป็นรูปภาพสัตว์ต่างๆสอดแทรกด้วยสีสันต่างๆด้วยเหมือนกันจ๊ะ” นางพรายกล่าว
“นั่นซีน้องรัก....พี่เองก็ยังอดนึกถึงวัยเด็กๆเวลาพระอาทิตย์ลับฟ้ามักจะออกมานั่งและมอง
ภาพก้อนเมฆต่างๆนึกไปต่างๆนาๆพร้อมแสงที่สอดแทรกเสมอๆแหละจ้า” ชายหนุ่มกล่าวบ้าง
“นี่ก็มืดค่ำแล้ว รอบข้างพี่มองอะไรไม่เห็นเลย เดือนหรือก็มืดค่ำมีแค่แสงดาวต่างๆเท่านั้น”
“ใกล้แล้วท่านพี่ ท่านพี่สังเกตไปด้านที่มีบ้านต่างๆที่เห็นในตอนบ่ายๆซิ ท่านพี่จะเห็นแสง
คบเพลิงมันจัดเรียงรายไปทั่ว แม้แต่ในบ้านก็สว่างไสวจ้า” นางพรายตอบ
ถึงตอนนี้ชายหนุ่มนึกขึ้นได้จึงหันไปมองดู จริงดังที่น้องนางพรายทั้งสองกล่าว
เขามองเห็นแสงไฟเรียงราย บ้างก็มีแสงไฟระยิบระยับมุ่งตรงมาทางที่เขาอาศัยอยู่
“พวกมันมาแล้วพี่ท่าน มันรู้แล้วว่าพี่ท่านกับเจ้าน้องขนทองอาศัยอยู่ที่นี้แล้วจ๊ะ” นางพรายตอบ
“เพียงมันสงสัยว่าเหตุใดจึงมีพวกน้องอาศัยอยู่ด้วยเท่านั้นเอง หากกล่าวไปฤทธิ์เดชแล้วมันสู้
พวกน้องไม่ได้หรอกจ๊ะ มันถึงกล้าๆกลัวๆ แต่ความหิวมันทำให้มันต้องกระทำจ๊ะ”
“หรือ???...น้องรักดังนั้นเห็นทีต้องอาศัยน้องเราเสียแล้วล่ะจ๊ะ” ชายหนุ่มกล่าว
“ถึงน้องจะมีฤทธิ์เดชมากว่ามันก็จริงแต่ น้องมีแค่สองคน มันมีสิบกว่าตนยากจะป้องกันพี่และน้อง
ขนทองได้สะดวกจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกน้องรัก น้องเท่าที่จะช่วยได้ก็แล้วกัน ส่วนตัวพี่และเจ้าขนทองไม่ต้องห่วงหรอก
พี่เองคิดว่าสามารถปราบมันได้จ๊ะ”
“แต่ท่านพี่ต้องระวังหน่อยนะด้วยความเป็นห่วง...มันจะมาในรูป?????.....”
พรายสาวหน้าแดงไม่กล้าตอบมากกว่านี้
“อะไรหรือ????...ทำไมถึงไม่กล่าวต่อล่ะ” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
“อ้าๆๆๆ????.....มันรู้ว่าพี่เป็นหนุ่มโสด มันๆ????...จะมาในรูปร่างลักษณะที่ๆ...อุ๊ยๆ... ท่านพี่ดูเอง
ก็แล้วกัน น้องกระดากปากจ๊ะ” หญิงสาวตอบ
บัดดลแสงไฟหลายๆดวงได้ใกล้มาแถวบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่ ภาพที่ชายหนุ่มเห็นถึงกับตะลึงหน้าแดง
ทันที ด้วยผู้ที่ถือคบไฟนั้นล้วนแล้วแต่เป็นหญิงสาวสวยๆทั้งสิ้น แต่การแต่งกายหล่อนซิ ช่างยั่วอารมณ์คน
หนุ่มยิ่งนัก ท่อนบนเปลือยเปล่า ถันตั้งชูชันขาวผ่อง ท่อนร่างนั้นนุ่งผ้าปิดเพียงน้อยนิดเท่านั้นวับๆวอมแวมๆ
ร่างที่เห็นขาวโพลนในท่ามกลางแสงไฟและความมึดตัดกับร่างที่อรชรอ้อนแอ้นยิ่งนัก
มารู้สึกตัวเมื่อเขาถูกนางพรายหยิกเอาจึงทำให้ชายหนุ่มสะดุ้ง คืนกลับสู่สภาพเดิมได้
ว่านั่นเป็นแค่ภาพหลอกหลอนเท่านั้นหาใช่ตัวตนใดจริงไม่
เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วชายหนุ่ม ก็เข้าสมาธิทันทีเมื่อจิตสงบก็ร่ายพระเวทย์ที่จารึกในหนังสือที่เขาพกติดตัว
มาตลอดศึกษาจนช่ำชอง พลางเป่าไปยังบรรดาร่างนางงามที่เห็นทั้งหลายทันที
บัดดลเสียงร้องกรีดอย่างโหยหวนก็ดังสะท้านป่า ร่างที่สวยงามนั้นหายวับไปทันทีกลับเป็นร่างของชาย
หญิงที่แห้งเหี่ยวหนังหุ้มกระดูก รูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว บางตัวคล้ายๆลิงร้องเสียงดังกร๊อกๆๆ บางตัวร้องเสียงดังก๋อยๆๆ ไปทั่วบริเวณ เล็บมือมันยาวงุ้มบางตัวพลางตะกายปีนขึ้นมาบนต้นไม้
ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ชักมีดดาบออกมาถือ ตัวใดที่ปีนป่ายขึ้นมาได้ก็จะถูกชายหนุ่มฟันจนร่างมัน มือ
ที่ตะกายเข้ามาขาดสะบั้น เสียงร้องอย่างโหยหวนน่าสะพึงสยองไปทั่วร่างมันหายวับไปทันใด ชายหนุ่ม
มองไปข้างล่างเห็นแม่นางพรายทั้งสองต่างแยกย้าย กันเข้าตบทำลายร่างของเจ้าผีโขมดและกองก๋อยสิ้น
ไปหลายๆตน เจ้าผีร้ายอีกตัวมาทางด้านหลังเขาก็ถูกเจ้าขนทองพุ่งร่างเข้าสกัดและฝังเขี้ยวแก้วมันลง
ไปเลือดมันสาดกระเซ็นคอขาดหายวับไปทันใด
เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนี้ก็รีบไต่เถาวัลย์ลงมายังโคนต้นไม้แล้วเข้าช่วยเหลือแม่นางพรายทั้งสองทันที
เขาฟาดดาบไปถึงที่ใดก็ดับสิ้นหายไป เสียงร้องก้องอย่างโหยหวนดังและมีเสียงตอบรับก้องเข้ามาอีก
ทันใดนั้นภายใต้ต้นไม้ใหญ่ก็เรียงรายไปด้วยผีโขมดซึ่งรูปร่างมันคล้ายๆลิงสีดำแต่หัวเป็นคน
เจ้ากองก๋อยนั้นร่างมันเป็นคนที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกแต่พละกำลังมันมากมายนัก
ยามกระโจนเข้ามาปะทะเขานั้นช่างรุนแรงจนเขาต้องเซ เขารีบดึงมีดน้อยออกมาช่วยอีกเล่มหนึ่ง
จนชุลมุนไปทั่ว การต่อสู้แบ่งออกเป็นสามฝ่ายทันที เสียงกรีดร้องก้องโหยหวนก้องกังวานป่า
บรรดานกที่อาศัยต่างตกใจบินว่อนร้องลั่นด้วยความตกใจ
นางพรายกล่าวว่ามันมีประมาณสิบกว่าตน แต่บัดนี้หาใช่ไม่ ไม่รู้ว่ามันมาจากที่ใดอีกช่าง
มากมายนัก เขามองกะคร่าวๆคงไม่ต่ำกว่าห้าสิบหรือมากกว่านั้นเสียอีก
เขาไม่รอช้าทะยานร่างเข้าใส่ยังฝูงโขมดลักษณะคล้ายๆลิงซึ่งตัวใหญ่กว่า เจ้ากองก๋อยมากนัก
ทั้งสองมือชายหนุ่มทั้งฟาดทั้งแทงร่าง ด้วยอาวุธของชายหนุ่มนั้นผ่านการปลุกเสกวิทยาคมแก่กล้า
สามารถทำลายพวกผีได้มันรู้สึกจะกริ่งเกรงกลัว แต่กระนั้นเสื้อผ้าเขาก็ถูกฉีกขาดเสียแทบจะหมด
สิ้น แต่แปลกร่างกายเขาหาได้มีรอยเล็บเป็นรอยข่วนก็หาไม่หรือจะเป็นด้วยอำนาจของเลือดงูยักษ์
ที่มีอายุนับพันๆปีนั่นเองทำให้ร่างกายเขาคงกระพันชาตรี เล็บของเหล่าผีร้ายจึงไม่อาจจะทำลายผิว
หนังเขาได้
การต่อสู้อย่างดุเดือดได้ผ่านไป เสียงร้องก้องและโหยหวนดังไปทั่วบริเวณก็ยังไม่อาจจะปราบ
พวกผีร้ายได้หมด จนกระทั่ง..........
* แก้วประเสริฐ. *
12 กุมภาพันธ์ 2553 13:03 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 17
ท่ามกลางเปลวแดดร้อนระอุอบอ้าว ประกายแสงแดดมองดูระยิบระยับไปทั่ว
ทุ่งกว้างใหญ่ จะหาต้นไม้สักต้นเพื่อใช้พักผ่อนก็ไม่มีเป็นลานกว้างใหญ่โล่งๆ
ทั้งสองระหว่างคนกับลิง รีบออกเดินทางเพื่อมุ่งตรงไปภูเขา น้ำที่เขาเตรียมมา
ถูกใช้ดื่มกินแทบจะหมดกระบอกแล้ว หากยังไม่ถึงที่หมายและหาแหล่งน้ำไม่ได้
เห็นทีว่า ทั้งสองคงจะแย่แน่นอนด้วยขาดน้ำซึ่งพยายามประหยัดการดื่มอย่างที่สุด
บนท้องฟ้าแสงแดดจ้าจะหาเมฆแทบจะยาก แต่กลับมีฝูงนกต่างบินว่อนหรือว่า
จะเป็นพวกนกแร้งที่คอยเหยื่อคือพวกเขากระมัง ระยะทางที่ผ่านมาเขาพบซากสัตว์
มากมายกองเรี่ยราดกับพื้นดิน เขาเข้าใจว่าสถานที่นี้คงจะเกิดเพลิงป่าไม้จนราบเลี่ยนเตียน
ไปหมด ด้วยบรรดาตอไม้ต่างดำบ้างไม่ดำบ้าง ส่วนหญ้าวัชพืชนั้นแห้งแทบหมดจะ
มีบางต้นที่ใบเหี่ยวเฉา
จวบจนตะวันบ่ายคล้อยอากาศค่อยสดชื่นขึ้นบ้าง ลมเย็นเริ่มพัดมาเย็นหน่อยซึ่ง
ตอนแรกถึงมีลมพัดแต่ยิ่งกลับร้อนมากยิ่งขึ้นแต่ก็ยังดี ดีกว่าไม่มีลมเสียเลย
ทั้งสองก็ยังไม่พ้นทุ่ง แต่ใจชื้นขึ้นหน่อยเมื่อเห็นว่าใกล้ภูเขามากแล้ว แนวเขาที่มอง
แต่ไกลเตียนโล่งปราศจากต้นไม้ เมื่อใกล้เข้ามา
จึงเห็นต้นไม้เล็กขนาดไม่ใหญ่มากนักเรียงรายเป็นขย่อมๆบ้าง ล้วนแล้วแต่เป็นวัชพืช
ขึ้นแต่ห่างๆกัน พอตกเย็นและอากาศเริ่มสลัวๆเขาก็ถึงตีนเขา
ชายหนุ่ม......สิ่งแรกคือหาแหล่งน้ำก่อนแต่เขาไม่เห็นลำธารเลยสักสายเดียว ดังนั้น
จึงเปลี่ยนใจ ทันใดนั้นได้ยินเสียงกระซิบจากแม่นางพรายว่า เลี้ยวไปทางขวามือก็จะพบ
ถ้ำขนาดค่อนข้างใหญ่ภายในจะมีแอ่งน้ำอยู่ ชายหนุ่มกล่าวขอบใจแม่นางพรายทั้งสอง
ที่ช่วยชี้แนะทางให้ ดังนั้นจึงเดินเบี่ยงร่างไปทางขวามือทันทีโดยปีนป่ายขึ้นไปเพื่อ
ค้นหาถ้ำที่แม่นางบอก ในแม่ช้าเขาก็เห็นปากถ้ำซึ่งมีวัชพืชขึ้นบางๆ
เมื่อถึงปากถ้ำ เขาและเจ้าขนทองนอนแผ่หลาทันทีด้วยความปวดเมื่อยขบ
ตามร่างกายคอยจนหายปวดเมื่อยก่อน บรรดาแหล่งน้ำแล้วอาหารล่ะ?....
ด้วยตอนนี้หมดเกลี้ยงไปแล้ว เห็นทีมื้อเย็นนี้คงจะต้องอดเสียแล้ว
แต่ช่างเถอะขอให้เจอน้ำก่อนก็พอจะประทังความหิวโหยไปได้บ้าง
ครั้นหายทุเลาดีแล้ว ชายหนุ่มก็ดึงร่างเจ้าขนทองเดินเข้าไปในถ้ำทันที ตอนนี้อากาศ
เริ่มมืดมิดแล้วและเยือกเย็นด้วย ทางเดินเห็นเพียงแค่สลัวๆเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงล้วงหยิบคบไฟที่เหลือมาจุดทันทีแล้วส่องทางเดินเข้าไป บริเวณภายใน
กว้างขวางนักมีหลีบซ้อนๆกันหลายๆชั้น มีหินย้อยเรียงรายยามกระทบกับแสงไฟก็ส่ง
ประกายระยิบทอแสงเรืองรองหลากหลายสีดูงดงามยิ่งนัก แต่เขาหาได้สนใจไม่เพียงสิ่ง
เดียวที่เขาปรารถนาคือ น้ำๆเท่านั้น เพื่อค้นสิ่งที่ต้องการจึงเที่ยวค้นหาก็ได้ยินเสียงของ
แม่นางพรายกระซิบบอกว่า
น้ำนั้นอยู่ข้างในต้องผ่านหลีบหินด้านซ้ายมือเข้าไปถึงจะพบ
เขาจึงจูงเจ้าขนทองเดินผ่านหินที่วางเรียงรายระเกะระกะไปทั่ว ก้อนหินนั้นล้วนส่งประกาย
แสงสีสดใสหลากสีต่างๆ พอผ่านหลีบหินไปได้สองสามชั้น
ทางด้านซ้ายมือ พอพ้นหลีบหินเบื้องหลังนั้น เขาก็พบแอ่งน้ำที่ไหลย้อยมา
จากหินย้อยเป็นน้ำใสบริสุทธิ์ ดังนั้นทั้งคนและสัตว์ต่างก็เข้าไปพากันดื่มกินจนอิ่มหนำ
สำราญแล้วนำมาลูบตัว ชายหนุ่มพลางวักน้ำไปลูบยังตัวให้เจ้าขนทองเสียเปียกปอนไปทั่ว
มันแสดงอาการดีอกดีใจที่ได้น้ำเย็นด้วยผ่านอากาศที่ร้อนอบอ้าวมาทั้งๆวัน
เมื่อเขาจัดการดื่มกินแล้วก็นำกระบอกไม้ไผ่มาเติมน้ำให้เต็มทั้งสามกระบอกเพื่อจะได้
ใช้ในการเดินทางต่อไปข้างหน้า พลันร่างนางพรายแสนสวยทั้งสองก็ปรากฏร่างขึ้นพวก
หล่อนได้เดินมาหาเขา แล้วกล่าวว่าท้ายสุดของถ้ำนี้จะมีทางออกไปอีกฟากหนึ่งซึ่งอุดมไป
ด้วยผลไม้นานาชนิดซึ่งอันตราย แต่ให้พักผ่อนที่นี่สักคืนก่อนพวกหล่อนจะคอยเฝ้าดูแลให้
ชายหนุ่มกล่าวขอบใจพร้อมยิ้มส่งให้นางพรายทั้งสองทันที ภายในถ้ำตอนนี้รู้สึกเย็นๆ
ขึ้นตามลำดับ เขารีบนำคบไฟไปหาที่ปักเพื่อให้แสงสว่างกระจายได้ทั่วๆบริเวณ และเดินหา
ที่ใช้สำหรับพักผ่อน แต่ที่นี้มีบริเวณกว้างนักไม่เป็นปัญหาสำหรับจะหาที่พักเมื่อพบแล้วจึงได้
นำหนังเสือมาปูเพื่อใช้หลับนอนในค่ำคืนนี้ พลางหันไปถามแม่นางพรายว่า
“แม่นางประกายแดง ประกายเขียว ในบริเวณนี้จะมีสัตว์ร้ายอาศัยหรือไม่”
“ไม่มีหรอกพี่ท่านด้วย ถ้ำนี้เป็นสิ่งที่อาศัยของพญางูอยู่ แต่เหตุที่พี่ท่านและเจ้าน้อง
ประกายทองเข้ามาได้ ก็ด้วยอาศัยดวงแก้วของพญางูยักษ์ที่พี่ท่านและน้องห้อยคออยู่ตลอดจน
กระบองนาคราช ทำให้ท่านพญางูเกรงกลัวไม่กล้าออกมารบกวนท่านพี่หรอก” นางทั้งสองตอบ
“อ้อ....เป็นเช่นนี้หรือ” ชายหนุ่มอุทานเบาๆ
“ตลอดคืนนี้น้องทั้งสองจะคอยระมัดระวังเฝ้าดูแลให้จ๊ะ หากมีอะไรน้องจะปลุกท่านพี่ทันที”
“ขอบใจน้องเรามากนะ นี่หากพี่ไม่ได้น้องทั้งสองแนะนำ ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องลำบากอีกนาน
สักเท่าไร บางทีอาจจะต้องตายไปก็ได้” ชายหนุ่มรำพึงเสียงเบาๆ
“ไม่หรอกท่านพี่หากท่านพี่เป็นอะไรไป น้องเองก็จะต้องลำบากด้วยเจ้าค่ะ”
“ อ้าวๆๆทำไมล่ะน้องพี่?????....” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
หญิงสาวทั้งสองมองหน้ากันแล้วพากันหัวเราะขึ้นมา........
“ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องบอกท่านพี่หรอกเจ้าค่ะ” นางประกายแดงตอบ
“หากถึงเวลาแล้วบอกพี่ด้วยนะน้อง” ชายหนุ่มกล่าว
“ถึงเวลาแล้วท่านพี่จะรู้เองแหละจ๊ะ” พรายเขียวตอบขึ้นบ้าง
นับวันความผูกพันของทั้งสี่ก็กระชับแน่นแฟ้นมากยิ่งๆขึ้น ความผูกพันนี้ต่อๆไปนับเป็นความรัก
เข้าใจเห็นใจซึ่งกันและกันจนแปรสภาพไปหมดสิ้น
ชายหนุ่มคิดว่าเขาคงจะขาดสิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้เด็ดขาดแน่นอน หากเกิดการแปรเปลี่ยนใน
อนาคตเขาคงจะต้องเกิดความเสียใจมากๆ ครั้นสนทนากันหยอกล้อกันพอได้เวลาเขาก็ขอ
ต่อแม่นางพรายทั้งสองเพื่อพักผ่อนเพื่อจะได้เอาแรงออกเดินทางต่อไปข้างหน้าอีก
ครั้นรุ่งอรุณวันใหม่ย่างกรายเข้ามา เขารีบเก็บสัมภาระซึ่งมีไม่มากนักจัดเข้าทีทางแล้วหลัง
จากชำระล้างใบหน้าและร่างกาย ก็ออกเดินทางไปตามทางที่นางพรายทั้งสองแนะนำไว้
เดินทางไปถึงทางที่จะทะลุออกไปยังอีกฝั่งหนึ่ง แต่ทางกลับเล็กลงๆไปเรื่อยๆจนเขาต้องคลาน
ออกไปเป็นระยะทางไกลพอสมควร โดยเจ้าขนทองคลานไปล่วงหน้าก่อน จนถึงทางแยก
เขาลังเลว่าจะไปทางใดดี ก็พอดีได้ยินเสียงนางพรายกระซิบบอกให้แยกไปทางขวามือ
เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็คลานไปตามทางที่นางบอกพื้นถ้ำรู้สึกว่ามีหินแหลมคมๆคอยบาดเนื้อ
เขา เขามิมีเวลาสนใจรีบๆคลาน ทางก็เริ่มจะกว้างขึ้นๆจนในที่สุดเขาและเจ้าขนทอง
สามารถยืนขึ้นได้ เขาหันไปมองดูด้านหลังเห็นว่าที่เขาผ่านมานั้นล้วนแต่เป็นหินแหลมคม
ทั้งสิ้น ยังกับฟันของสัตว์จำพวกหนึ่งก็ได้ แต่ความหิวทำให้เขาไม่สนใจอะไรมากนัก
เมื่อพ้นจากปากถ้ำ เขารีบสูดหายใจลึกๆทันทีด้วย อากาศช่างเย็นบริสุทธิ์อะไรเช่นนี้
สภาพผิดกับด้านตรงข้ามยังกับหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว ด้วยสถานที่นี้เต็มไปด้วยป่าเขา
แมกไม้พืชนานาพันธุ์ ที่ออกดอกสวยงามหลากสี และผลไม้อุดมออกผลย้อยไปทั่ว
ช่างเป็นสถานที่ดังภาพวาดในเมืองแมนมิตามฝาผนังในโบสถ์มิผิด
เขารีบจูงมือเจ้าขนทองซึ่งมีอาการตื่นเต้น
ดีอกดีใจ สะบัดมือเขา พลางกระโดดโลดเต้นตีลังกาไปตามประสาลิงทั่วๆไป
เขาไม่ต้องสั่งการแต่อย่างไรเมื่อถึงพื้นดินแล้ว มันพุ่งทะยานโลดลิ่วไปยังต้นไม้ที่มีผล
ไม้ทันที เลือกเก็บที่กินได้หอบพะรุงพะรังมาให้เขา ชายหนุ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใน
ทันที ด้วยต้นไม้บางต้นขยับเขยื้อนเถาวัลย์ไปๆมาๆ ค่อยๆเลื้อยไปหาเจ้าขนทองแต่ด้วย
เหตุใดไม่ทราบ เถาวัลย์นั้นเมื่อใกล้เจ้าขนทองกลับหยุดชะงักไม่กล้าเลื้อยเข้าใกล้ตัวมัน
ทำให้ชายหนุ่มรำลึกถึงคำที่กล่าวไว้ว่า.. สิ่งใดที่งดงามสวยนักมักจะมีเภทภัยเสมอๆจะมาก
หรือน้อยก็ล้วนแล้วสถานที่อำนวยให้
พลางคำนึงว่าเห็นจะจริงด้วยเขามองเห็นต้นไม้ใหญ่ๆบางต้นส่ายไปส่ายมา จะว่าลม
พัดก็ไม่ใช่ เพราะต้นไม้มันส่ายไปทั้งลำต้น ครั้นหลังจากกินอาหารร่วมกับเจ้าขนทอง
แล้ว เจ้าขนทองก็จะทะยานเข้าสู่ป่าแต่เขาได้เรียกมันทันที เจ้าขนทองชะงักตีลังกาย้อน
กลับมาทันที แล้วมองหน้าเขาเหมือนสงสัย เขาชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่บางต้นที่ยังมีเถาวัลย์
ห้อยออกจากลำต้นให้เจ้าขนทองดู เจ้าขนทองเมื่อแลเห็นเช่นนั้นตามันเหลือกไปๆมาๆ
ชายหนุ่มมองไปยังสภาพภูมิประเทศรอบๆด้าน เห็นมีช่องทางที่โล่งแต่เต็มไปด้วย
วัชพืชขึ้นประมาณเกือบครึ่งหน้าแข้ง เขาคิดเห็นว่าอาจจะหลีกเลี่ยงเจ้าต้นไม้นี้ได้
ดังนั้นจึงจูงเจ้าขนทองให้เดิน คราวนี้เจ้าขนทองไม่กระโดดอีกแล้วเดินตามเขาต้อยๆๆ
เมื่อเดินไปได้ระยะหนี้ปรากฏว่างูพิษต่างๆตัวใหญ่ขนาดข้อมือเขาเห็นจะได้
ต่างก็ได้พุ่งตัวหลบทางเขาทันที
ทันใดนั้นร่างของมันที่หนีหลายตัว บางตัวก็ถูกต้นไม้นั้นใช้เถาวัลย์ซึ่งย้อยส่ายไปมาๆ
พากันรัดร่างมันจนแหลกละเอียด บรรดาเถาวัลย์ต่างๆแยกย้ายกันจับพวกงูพิษทั้งหลาย
แล้วดูดซึมน้ำเลือดเนื้อของงูทันทีจนเหลือเพียงแต่ซากงูที่หล่นลงมายังโคนต้นไม้
เขามองดูให้รู้สึกสะท้านใจหากเป็นร่างเขาหรือเจ้าขนทองล่ะคงจะเป็นเช่นเดียวกัน
เมื่อเดินผ่านมาได้อยู่ในท่ามกลางต้นไม้เหล่านี้ เสียงดังครืนๆใกล้ๆเข้ามา เขาหันขวับ
ไปมอง โอ้ววๆๆ...มันเดินได้หรือ ร่างเขาและเจ้าขนทองต่างตกอยู่ในวงล้อมของ
ต้นไม้ไปเสียแล้ว บรรดาต้นไม้ต่างชูเถาวัลย์พุ่งตรงมาหาเขาบ้างก็เลื้อยมาตามพื้นดิน
บ้างก็แกว่งไกวส่ายไปๆมาๆ เหล่าเถาวัลย์มันปิดทางออกของเขาเสียแล้วทุกๆต้นมัน
ต่างรายล้อม แต่แปลกที่เถาวัลย์หาได้ใกล้เข้าถึงตัวเขาและเจ้าขนทองได้
เมื่อเป็นดังนี้ทำให้เขารำลึกนึกถึงคำของท่านพญางูธนาธิบดีนาคา
ที่มอบกระบองนาคราชให้แก่เขา ดังนั้นเขาจึงรีบส่งเสียงเรียก
“นาคราชๆๆ....” เสียงเบาๆ ทันใดมีแสงพุ่งออกมาจากตัวเจ้าขนทองทันที พุ่งมาหา
เขา ชายหนุ่มยื่นมือขึ้นรับไว้แล้วกล่าวว่า
“เจ้าจงใหญ่ขึ้นเดี๋ยวนี้” กระบอกน้อยเล็กนิดเดียวก็ขยายใหญ่เป็นกระบองกระชับมือ
เขาหยิบท่อนหัวซึ่งเป็นรูปพญานาคเจ็ดเศียรชี้ไปยังเหล่าต้นไม้ที่มีเถาวัลย์ที่ส่ายไปๆมาๆ
ทันทีพร้อมกล่าวขึ้นว่า
“เจ้านาคราชเอย เจ้าจงทำลายมันเดี๋ยวนี้”
บัดดลกระบองนาคราชก็ลอยออกจากมือเขาทันที หัวของพญานาคได้มีลำแสงพุ่งออก
มาทั้งสิบสี่สาย พุ่งแยกเข้าทำลายยังยอดกลางลำต้นของต้นไม้ทันที เสียงดังฉี่ๆและระเบิด
สนั่นหวั่นไหว ต้นไม้ต้นแรกแตกกระจายยับเยิน บรรดาต้นไม้อื่นๆต่างรีบหนีเสียงครืนๆ
ค่อยๆห่างออกไปทีละน้อยๆ แต่กระบองนาคราชก็ไม่ยอมปล่อยปะละเลย ทั้งลำแสงที่พุ่ง
ออกมาและตัวกระบองก็เข้าไปตี ถูกต้นใดก็มีอันเป็นไปดังต้นแรกสักประมาณชั่วครู่ใหญ่
เหล่าต้นไม้ที่เคลื่อนที่ได้ต่างก็ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น
ครั้นหมดภาระทำลายต้นไม้แล้วกระบองนาคราชก็ย้อนกลับมา
ยังมือของชายหนุ่มอีกครั้ง ชายหนุ่มมองดูต้นไม้ที่แหลกละเอียด
เขาได้รับกลิ่นเหม็นเขียวฉุนรุนแรงมากๆเขาต้องเอามือปิดจมูก และมีน้ำสีเขียวๆข้น
เต็มไปทั่วบริเวณนั้น บรรดาพืชต่างๆเมื่อได้รับน้ำจากต้นไม้ที่แหลกนั้นต่างก็บังเกิดควัน
และเหี่ยวแห้งอับเฉาตายไปทันที เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็สั่งให้กระบองนาคราชกลับ
ไปยังที่เดิม กระบองนั้นก็พลันหดตัวลงเล็กแล้วพุ่งไปยังร่างเจ้าขนทองสู่ยังดวงแก้วทันที
ครั้นปราบบรรดาเจ้าต้นไม้จนหมดสิ้นแล้ว ชายหนุ่มก็เรียกเจ้าขนทองให้ออกเดิน
ทางต่อไป คราวนี้เจ้าขนทองมันแสดงความดีใจกระโดดโลดเต้นตีลังกานำหน้าเดินทาง
เพื่อนำเขาไปยัง ป่าเนินเขาเพื่อหาทางออกจากภูเขาทั้งหลาย ต่างลุเข้าสู่แนวป่าผ่านซอก
แนวเชิงเขาทันใด............
* แก้วประเสริฐ. *
11 กุมภาพันธ์ 2553 16:04 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 16
หลังจากพายุฟ้าคำรามสงบลงแล้ว มังสุระบดีและมังสีหะมะทาซึ่งตื่นตระหนก
จากเสียงคำรามของฟ้าตลอดจนยอดปราสาท ยอดฉัตรเหนือบัลลังก์หักโค่นลง
ทำให้นึกสังหรณ์ในใจ แต่ด้วยความทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงเข้าครอบงำไว้
มังสุระบดีมหาอำมาตย์ใหญ่ที่คิดจะสถาปนาตนเองก็ส่งเสียงหัวร่อดังลั่น
พลันกล่าวขึ้นในท่ามกลางเจ้าแห่งแคว้นต่างๆตลอดจนเหล่าแม่ทัพนายกองขึ้นว่า
“เหตุการณ์ครั้งนี้เห็นทีฟ้าดินจะอำนวยอวยพรให้แก่เราว่า การครั้งนี้เห็นที
ว่าจะเป็นฤกษ์งามยามดี ที่เราจะปรับเปลี่ยนแผ่นดินใหม่
เพื่อความผาสุกของเหล่าอาณาประชาราษฎร์ทั้งหลาย
ตลอดจนความสุขแก่เหล่าแว่นแคว้นต่างๆเสียเป็น
มั่นเป็นเหมาะแล้วแน่แท้นะ ราชวงศ์เก่าคงจะหมดสิ้นแล้ว
เพื่อให้เราได้สร้างเศวตฉัตรและยอดปราสาทขึ้นเพื่อความรุ่งเรือง
ของราชวงศ์ใหม่เป็นแน่ พวกท่านทั้งหลายเห็นเป็นประการใดรึ”
เหล่าเจ้าแคว้นต่างๆตลอดมวลอำมาตย์ข้าราชบริพารแม่ทัพนายกอง ครั้นได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ ซึ่งต่างก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจ
ก็พากันสรรเสริญ ยกยอปอปั้นไปตามๆ
กันหาได้มีผู้หนึ่งผู้ใดกล่าวขัดขวางก็หาไม่
เจ้าแคว้นแห่งเมืองตองอูกล่าวว่า
“ นั่นซิ ฟ้าดินคงจะอำนวยชัยให้แก่ท่านเป็นแน่แท้” ทั้งๆที่ภายในใจมันก็นึก
ประหวั่นต่อเหตุการณ์เช่นนี้ หากจะกล่าวตรงๆไปก็เกรงภัยจะเกิดขึ้นได้
ข้างฝ่ายอำมาตย์น้อยใหญ่และแม่ทัพต่างก็ร้องสรรเสริญยกยอเป็นการใหญ่
เมื่อมังสุระบดีได้ยินความเช่นนั้น ก็หันไปสั่งแก่เหล่าสนมกำนัลให้นำมหามงกุฎ
ไปเก็บเสีย แล้วพลางกล่าวขึ้นว่า
“ในเมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น เราเห็นทีจะต้องสร้างมหามงกุฎขึ้นใหม่เสียแล้ว
อีกประการหนึ่ง เราก็ขอยกเลิกการสถาปนาเป็นกษัตริย์ลงไว้ก่อน เว้นได้โอกาสฤกษ์งาม
ยามดีก็จะเถลิงราชสมบัติต่อไป แต่เราจะรักษาการณ์แทนในตำแหน่งมหากษัตริย์ต่อไป
พวกท่านทั้งหลายเห็นเป็นไฉน”
แล้วแต่ท่านมังสุระบดีเถิด การครั้งนี้เมื่อรักษาการณ์ก็เปรียบเสมือนกับเป็นราชันย์เหมือนกัน”
เหล่าเจ้าแคว้นต่างๆและมวลอำมาตย์แม่ทัพนายกองกล่าวขึ้นพร้อมเพียงกัน
“เอาล่ะในเมื่อพวกท่านทั้งหลายเห็นพ้องต้องกันเช่นนี้แล้ว เราก็ขอประกาศ ณ ที่นี้
ว่าจะแต่งตั้งให้ท่าน มังสีหะมะทาขึ้นดำรงตำแหน่งท่านมหาอำมาตย์ใหญ่และควบตำแหน่ง
เสนาบดีใหญ่ฝ่ายทหารอีกตำแหน่งหนึ่ง
อำนาจทั้งหมดให้เป็นรองเราเท่านั้น”
มังสุระบดีกล่าวขึ้น
เหล่าอำมาตย์น้อยใหญ่และแม่ทัพนายกองก็ไม่มีผู้ใดคัดค้านแต่ประการใด ได้แต่มอง
หน้ากันไปมา
แต่ในส่วนลึกคิดถึงเรื่องยอดปราสาทหักและเศวตฉัตรจะเกิดภัยแน่นอน
ด้วยการครั้งนี้มันบ่งบอกถึงลางร้าย แม้แต่ท่านโหราธิบดีจารย์ก็กระอักกระอ่วนใจนัก
ครั้นจะกล่าวก็เกรงภัยจะตกถึงตัวจึงได้เงียบๆไว้
ทันใดนั้นเองทหารคนสนิทของมังสีหะมะทาก็เข้ามารายงานข้างหูของท่านเสนาบดีใหญ่
มังสีหะมะทาเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ และรีบไปกระซิบที่ข้างหูแก่มังสุระบดีทันที
ทำให้ผู้สำเร็จราชการซึ่งพึ่งรับตำแหน่งใหม่ๆถึงกับอุทานขึ้นมาทันที
“อ้าาๆ????.... ใยมีเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นเชียวหรือ” แล้วหันไปสั่งแก่มังสีหะมะทาทันทีว่าให้
รีบออกไปดำเนินการทันที แต่ตัวเองยังปั้นสีหน้ายิ้มแย้มหันไปกล่าวกับเจ้าแคว้นนครต่างๆ
ตลอดจนมวลอำมาตย์แม่ทัพนายกองน้อยใหญ่ทันที
“ข้าขอขอบใจท่านทั้งหลายที่ให้เกียรติแก่แคว้นเรา และท่านทั้งหลายไปพักผ่อนยังเรือน
ต้อนรับก่อน ด้วยเรามีงานเร่งด่วนที่จะทำในครั้งนี้ ต้องขออภัยแก่ท่านทั้งหลายด้วยนะ”
ฝ่ายเจ้าแคว้นนครต่างๆและมวลอำมาตย์ทั้งปวงได้ยินเช่นนี้ ก็บังเกิดความดีใจด้วยเห็นว่า
เรื่องนี้คงจะไม่ธรรมดาเสียแล้วคงจะมีเหตุภัยร้ายแรงเกิดขึ้นแน่นอน เพียงแต่พวกตนยัง
ไม่ทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้น
มังสุระบดีหันไปทางเหล่าแม่ทัพนายกองแล้วสั่งว่า
“ขอให้ท่านแม่ทัพนายกองอยู่ก่อน อย่าพึ่งกลับไป เดี๋ยวท่านมังสีหะมะทาจะมีเรื่องปรึกษา
ข้อราชการ
เหล่าบรรดาเจ้าแคว้นนครต่างๆตลอดจนมวลอำมาตย์แสดงความเคารพแก่มังสุระบดีแล้วก็
รีบต่างพากันทยอยออกไปจนหมดสิ้น
ครั้นเหล่าแคว้นต่างๆและอำมาตย์ได้ออกไปแล้ว มังสีหะมะทาก็หันไปสั่งแก่เหล่าแม่ทัพ
นายกองทันทีว่า
“บัดนี้เกิดความวุ่นวายภายในเมือง ให้ท่านเหมี่ยวมังละสุทีแม่ทัพคุมกำลังไปดับไฟที่วางเพลิง
คลังอาวุธและคลังฉางข้าวโดยด่วน ตลอดจนจัดกำลังออกจับกุมผู้ก่อการโดยเร็ว ส่วนท่านมังสุระศรี
ก็จัดกำลังเข้าตรวจค้นผู้ที่สงสัยและสั่งปิดประตูเมืองโดยด่วน
ครั้นแม่ทัพทั้งสองนายรับคำสั่งแล้ว ก็รีบออกมาจัดกำลังพลออกปฏิบัติการทันที
ระหว่างที่ฟ้าคำรามและฝนหยุดแล้ว เหล่าทหารที่แฝงกายเป็นพลเรือนของมังละเว้เมื่อได้รับคำสั่ง
จากท่านเหมี่ยวนรธาแล้วก็คัดทหารกล้าตายเข้าเริ่มปฏิบัติงานโดยแบ่งเป็นกลุ่มๆละ ห้าคน แยกย้าย
กันไปปฏิบัติงาน ยามเมื่อเห็นยอดปราสาทราชมณเฑียรถูกฟ้าผ่าหักสะบั้นลงก็ให้เกิดความยินดียิ่ง
ถือเป็นฤกษ์ดี
งานนี้คงจะสำเร็จลุล่วงไปได้แน่นอนด้วยฟ้าดินคงพิโรธช่วยเหลือ จึงนำกำลังพล
ทั้งหมดออกปฏิบัติการทันที โดยกำชับว่าเมื่อวางเพลิงลุกดีแล้วให้รีบหนีออกจากตัวเมืองโดยเร็ว
อย่าได้รีรอชักช้าเป็นอันขาด ด้วยประตูเมืองจะถูกปิดต้องมีเหตุการณ์นี้ขึ้นแน่นอน เมื่อสั่งการให้
เหล่าทหารกล้าทั้งหลายทราบ ก็นำกำลังพลสามนายพร้อมสิ่งที่จะใช้วางเพลิงแยกย้ายไปทำงาน
ทันที
บัดนี้แทบทุกมุมเมืองปรากฏเปลวเพลิงลุกลามขึ้นอย่างรวดเร็วประกอบกับพายุที่หายไปนั้น
กลับเกิดขึ้นพัดโหมกระหน่ำอีกวาระหนึ่ง บ้านเรือนฝ่ายทหารถูกเปลวเพลิงมอดไหม้แทบหมดสิ้น
เสียงแตกเผียะๆดังลั่นสนั่นคลังอาวุธ สถานที่เก็บม้าได้ถูกปล่อยวิ่งหนึเพ่นพานไปทั่ว
คลังเสบียงอาหาร ตลอดจนอื่นๆต่างตกอยู่ภายใต้กองเพลิงทั้งสิ้น
เหล่าทหารพากันวิ่งวุ่นหาน้ำมาดับเพลิงกันจ้าระหวั่นแต่น้ำที่จะหามาได้
นั้นไม่พอเพียงกับการใช้ดับไฟตลอดจนพายุได้โหมอย่างหนัก เปลวเพลิงลอยขึ้นท้องฟ้าปลิวไป
ทั่วเมือง และติดไปยังบ้านชาวเมืองทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายไปเสียทั้งสิ้น เมืองทั้งเมืองแทบ
ลุกเป็นไฟ
บรรดาเหล่าเจ้าแคว้นนครต่างๆพากันตื่นตระหนกไปตามๆกันเตรียมตัวเพื่อออกเดิน
ทางกลับ และมาออที่ประตูเมืองทหารประจำประตูเมืองก็อนุญาตให้ออกไปนอกเมืองได้
ด้วยเห็นเป็นแขกบ้านแขกเมือง คงจะได้รับอนุญาตจากท่านมังสีหะมะทาแล้ว ขณะเดียวกัน
พวกทหารในร่างพลเรือนก็แอบแฝงออกมาด้วย เมื่อพ้นประตูเมืองแล้วก็แยกย้ายกันกับยัง
ที่พักทันที
เมื่อรายงานไปถึงท่านมังสุระบดีก็ให้โกรธ กระทืบพื้นแล้วเร่าๆ รีบออกมาดูเหตุการณ์
พร้อมด้วยมังสีหะมะทาสั่งการอย่างเร่งด่วน
เวลาผ่านไปจวบจนเพลิงยุติมอดไหม้ด้วยไม่มีสิ่งที่เป็นเชื้อเพลิงอีกแล้ว
บรรดาเหล่าอำมาตย์ทั้งหลายต่างก็ทยอยเข้ามาสมทบทันที
เมื่อแลเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นต่างพากันวิตกยิ่งนักกริ่งเกรงว่า
หากเป็นเช่นนี้แล้วเห็นทีผู้สำเร็จราชการก็คงจะเรียกเก็บเงินทองจากพวกตนและ
ราษฎร์ก็จะเกิดความสับสน ด้วยตอนนี้พวกราษฎร์นั้น ส่วนใหญ่ต่างหลบหนีออกเมือง
ไปเสียสิ้น ที่เหลืออีกไม่มากนักเนื่องจากส่วนมาก นอกจากพวกเด็กคนชราและพ่อค้าวานิช
จึงต่างพากันปรึกษากันว่าจะหาทางทำอย่างไรดี
เหล่าทหารเข้ามารายงานว่าเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้เกิดจากการลอบวางเพลิง แต่ไม่สามารถ
จับคนร้ายได้ ด้วยในระหว่างการทำพิธีนั้นทุกๆคนต่างก็มาเพื่อที่จะร่วมแสดงความยินดีกับ
ท่านผู้สำเร็จราชการ
ดังนั้นไม่คิดว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นบัดนี้ประตูเมืองทุกๆประตูได้ถูกปิดตาย
และบรรดาเจ้าแคว้นนครต่างๆได้ต่างกลับไปหมดสิ้นแล้ว
ครั้นมังสุระบดีทราบเหตุดังนี้ จะเอาความผิดกับทหารก็ไม่ได้จึงหันมาปรึกษากับ
มังสีหะมะทา ว่าจะทำฉันท์ใดดี กล่าวขึ้นว่า
“นี่แน๊ะ!!!!....ท่านมหาอำมาตย์เสนาบดี การครั้งนี้เหตุเกิดในเมือง พวกบรรดา
แคว้นต่างๆก็จะเกิดการแข็งข้อแน่นอน
หากจะเอาความผิดทหารเราก็ไม่ได้ ขอให้ท่านตระเตรียมทหารและสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ขึ้นใหม่โดยรีบด่วน
ตลอดจนเสบียงอาหารไว้ให้พร้อมเพื่อป้องกันเหตุนี้นะ”
“ขอรับ...ท่านผู้สำเร็จราชการข้าจะเรียกประชุมนายทัพนายกองด่วน เพื่อวางแผนป้องกัน
ไว้ และจะจัดการซ่อมแซมสิ่งที่เกิดเพลิงไหมโดยด่วนที่สุดขอรับ” ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ซึ่ง
พึ่งได้รับการแต่งตั้งหมาดๆกล่าวตอบ
“เอาล่ะๆ....ในเมื่อท่านรับปากเราเช่นนี้เราค่อยคลายใจได้บ้าง หากท่านต้องการสิ่งใดให้
แจ้งมายังข้าเพื่อจะจัดการให้ท่าน ส่วนเราจะเรียกประชุมเหล่าอำมาตย์ทั้งปวงเพื่อจัดหาเงินมา
ช่วยเหลือการครั้งนี้ และจะนำเงินในท้องพระคลังออกมาใช้จ่ายไปก่อนและปรึกษาหารือเกี่ยวกับ
การวางแผนในเมืองต่อไป” ผู้สำเร็จราชการที่ยกตัวเองขึ้นกล่าว
ครั้นแล้วมันก็เดินทางเข้าวังทันที ด้านมหาอำมาตย์ใหญ่ก็รีบไปบัญชาการเกี่ยวกับกองกำลัง
เพื่อสำรองใช้ในการปกป้องและปราบปรามบรรดาแว่นแคว้นต่างๆหาก เกิดการกระด้างกระเดื่อง
ตลอดจนสั่งทหารให้รีบซ่อมแซม หากไม่สามารถซ่อมได้ก็ให้จัดการสร้างขึ้นใหม่ แล้วมีหนังสือ
ไปยังบรรดานายทัพนายกอง ตลอดจนบรรดากองทัพที่อยู่นอกเมืองให้ตระเตรียมกำลังไว้หากจำเป็น
ต้องใช้ในศึกสงครามต่อไป
ทางด้านเหมี่ยวนรธา ครั้นทหารที่ไปทำการมารายงานว่าการทำครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
และทุกๆคนปลอดภัยตามแผนการที่ท่านได้วางไว้ทุกประการ เมื่อทุกคนจุดไฟที่ผสมด้วยน้ำมัน
แล้วรอจนไฟติดกระชุจึงได้รีบออกมา และหาทางกลับไปนอกเมืองบ้างก็แฝงไปกับบรรดาเจ้าเมือง
ต่างๆออกไป การครั้งนี้พวกมหาอำมาตย์มังสุระบดีไม่สามารถเถลิงปราบดาเป็นกษัตริย์ได้แต่มัน
ยกตัวเองขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการควบคุมอำนาจเด็ดขาดเสมือนหนึ่งองค์กษัตริย์มิปาน
ครั้นเหมี่ยวนรธาได้รับรายงานแล้วก็ให้บังเกิดความดีใจ รีบทำหนังสือรายงานไปยังท่านแม่
ทัพใหญ่
สักครู่ใหญ่เขาก็ได้รับรายงานจากทหารที่ปลอมแปลงตัวมาส่งรายงานว่าแม่ทัพใหญ่ได้
ค้นหาพบเจ้าแม่เหนือหัวแล้ว และอารักขาอย่างปลอดภัยด้วยอยู่ยังป่าลึกในภูเขาแวดล้อมไป
ด้วยภูเขามากมายเป็นกำแพงกันยากนักจะเข้ามาตลอดแนวได้วางกำลังเรียบร้อย โดยได้ทำการ ตลอดได้ย้ายกองกำลังและไปนำอาวุธ
ที่ซ่อนเร้นตลอดจนบรรดาม้าศึกทั้งหลายกลับไปยังหุบเขา
หมดสิ้นเรียบร้อย
ดังนั้นนายกองเหมี่ยวนรธา จึงมอบหนังสือส่งให้กลับไป
รายงานท่านแม่ทัพใหญ่เพื่อทราบผลการดำเนินการ ตลอดจนเรื่องราวต่างๆ
เกี่ยวกับบรรดาแม่ทัพนายกองที่เข้ามาสวามิภักดิ์
และการส่องสุมกองกำลังไว้ให้แม่ทัพใหญ่ทราบ เพื่อจะได้หาหนทางกอบกู้ช่วงชิงบัลลังก์คืน
ในหนังสือของแม่ทัพใหญ่ยังได้กำชับให้แยกกองกำลังที่ฝึกไว้ออกเป็นกลุ่มย่อยๆ
อย่าให้เป็นที่สังเกตของเหล่าทหารในเมืองได้
โดยให้นายกองเป็นผู้ควบคุมรับผิดชอบ ส่วนทางด้านนี้ก็ได้จัดเตรียมกอง
กำลังไว้เพื่อรอเวลาโอกาสที่เหมาะสม เพื่อยกกองกำลังเข้าโจมตีเมืองอิสราวดีต่อไป.....
ดังนั้นเจ้าขนทองก็กระโดดโลดเต้นตีลังกาแสดงความดีใจในชัยชนะของมันครั้งนี้ ชายหนุ่ม
เห็นดังนั้นก็หัวร่อแสดงความยินดีต่อมัน แล้วก็จูงมือเจ้าขนทองออกเดินทาง แต่ทว่าเบื้องหน้า
เขานั้นหาได้เป็นที่อยู่ของต้นไม้เขียวชอุ่มเลยก็หาไม่ กลับเป็นที่โล่งเตียนบรรดาต้นไม้เล็กๆต่างก็แห้งเฉา
เป็นบริเวณกว้าง อากาศก็แสนร้อนอบอ้าวเป็นระยะทางไกล เขามองไปยังเบื้องหน้าที่เป็นภูเขาก็
โล้นปราศจากต้นไม้ใดๆ เห็นแต่เปลวระยิบระยับของแสงแดดไหวไปไหวมา
ชายหนุ่มรีบตรวจดูน้ำในกระบอกทันที เห็นว่ายังพอจะมีเหลือเต็มอยู่สองกระบอกไม้ไผ่ แต่อีกกระบอกกลับเหลือครึ่งหนึ่ง
ทำให้ชายหนุ่มกังวลใจทันที หากเขาจะต้องเดินทางไปยังเขาโล้นที่แล
เห็นอยู่ลิบๆ น้ำที่เหลือจะพอประทังชีพได้อีกเท่าไหร่แต่ในเมื่อมาแล้วหากจะย้อนกลับไปก็จะเสียเวลา
พลางคิดว่าเมื่อมาถึงที่นี้แล้วก็คงต้องปล่อยไปตามวาสนา ดังนั้นจึงสลัดความคิดทั้งหลายออกแล้วจูงมือเจ้าขนทอง
รีบมุ่งหน้าเดินทางตัดตรงไปยังภูเขานั้นทันทีเผื่อจะมีโอกาสพบน้ำก็ได้.........
* แก้วประเสริฐ. *
10 กุมภาพันธ์ 2553 15:22 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 15
ภายหลังจากที่นายกองของเสนาบดีจากไปพร้อมเหล่าทหารไปตรวจ
ยังร้านอื่น ลับหลังนายกองก็รีบเข้าไปยังห้องลับทันทีพร้อมเขียน
หนังสือรายงานไปยังแม่ทัพเหมี่ยวสุรินทราบดีทันที เพื่อให้ระมัดระวัง
ในการดำเนินการตลอดจนรับรายงานหากมี
เสร็จแล้วก็มอบให้ทหารในร่างพ่อค้า แฝงตัวนำไป มอบแก่แม่ทัพใหญ่
แล้วก็ออกจากร้านค้าเพื่อออกนอกเมืองไปยัง หน่วยสะสมกำลังซ่อนอยู่
ในป่าลึกที่ใช้สำหรับฝึกฝนอาวุธต่างๆ
เมื่อไปถึงก็เรียกหัวหน้าหมู่ที่ควบคุมเหล่าทหารใหม่สอบถามเหตุการณ์
และทราบมาว่า บรรดาทหารที่หนีออกจากเมืองมานั้นต่างก็มาสมทบ
ด้วย ที่ไม่พอใจในการกระทำของอำมาตย์ใหญ่และมีความจงรักภักดี
ต่อเจ้าแม่เหนือหัวรวมทั้งแม่ทัพต่างๆตลอดจนนายกองอื่นๆ
นายกองเหมี่ยวนรธาเมื่อทราบดังนั้นก็ตรงไปยัง ที่พักของบรรดาแม่ทัพ
นายกอง แสดงความเคารพต่อแม่ทัพต่างๆแล้วรายงานเรื่องภายในเมืองให้
ทราบไว้เพื่อจะได้ระมัดระวังตัว บรรดาแม่ทัพเห็นดังนั้นก็พากันลุกขึ้นแล้ว
กล่าวขึ้นว่า
“ท่านเหมี่ยวนรธา พวกของเราถึงแม้จะเป็นแม่ทัพนายกองมาก่อน แต่
บัดนี้หาใช่เป็นแม่ทัพและนายกองไม่ เห็นว่าท่านซึ่งมีความจงรักภักดีต่อ
พระแม่เจ้ารวบรวมจัดกำลังพลขึ้น พวกข้าทั้งหลายขอยกย่องท่านให้เป็น
หัวหน้าพวกเรา จะสั่งการใดๆ ถึงจะลุยน้ำลุยไฟเราก็หาหวั่นเกรงใดไม่
และจะเชื่อฟัง เรื่องบรรดาศักดิ์ยศฐานันดรนั้นหมดสิ้นไปแล้ว”
“ และต่อแต่นี้ไป พวกเราจะถือท่านเป็นหัวหน้าพวกเราเท่านั้น”
และพากันน้อมกายแสดงคาราวะแก่นายกองเหมี่ยวนรธา
ครั้นเหมี่ยวนรธาเห็นเช่นนั้นพลางกล่าวว่า
“ข้าขอขอบใจพวกท่านยิ่งนักที่ให้เกียรติแก่เรา แต่ทว่าถึงอย่างไรหาก
นับด้วยความอาวุโสแล้วตลอดประสบการณ์ ท่านมีความเชี่ยวชาญกว่า
ข้ามากนัก จำต้องพึ่งพาอาศัยท่านอีกมาก เอาอย่างนี้ก็แล้วกันเรามาสาบาน
เป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกันดีกว่านะขอรับ”
บรรดาแม่ทัพนายกองเห็น เหมี่ยวนรธาแสดงอาการอ่อนน้อมให้เกียรติ
แก่พวกตนเช่นนี้ พากันซาบซึ้งในน้ำใจจึงพร้อมใจกันตกลงรับปากคำ
เหมี่ยวนรธาหันไปทางทหารที่คอยรับใช้ว่าให้ไปเอาเหล้ามาให้พร้อม
จอกขันในการดื่มกิน พร้อมอาหารต่างๆมาเพื่อไหว้ฟ้าดินในการสาบานตนกัน
เหล่าทหารที่ได้รับคำสั่งก็ออกไปนำสิ่งของอุปโภคบริโภคและรีบนำมา
ให้แก่เหมี่ยวนรธาทันที เขาสั่งให้จัดโต๊ะบูชาฟ้าดินตลอดจนที่องค์พระรัตนตรัย
ด้วย เมื่อเห็นครบถ้วนแล้ว ทั้งหลายต่างคุกเข่าสักการบูชาพระรัตนตรัยกล่าว
คำสาบานร่วมเป็นพี่น้องเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายทันที
แล้วหันไปยังโต๊ะที่สำหรับไหว้ฟ้าดิน เหมี่ยวนรธาหยิบเหล้าออกมา
เทยังขันใบใหญ่จนหมดไหแล้วนำมีดดาบออกมากรีดเลือดที่ยังท่อนแขน
ให้ไหลหลั่งลงไปยังเหล้าในขันนั้น
บรรดาแม่ทัพนายกองเห็นดังนั้น ก็ต่างทยอยกันมากรีดเลือดหลั่งสู่ขันนั้นทันที
พร้อมนำมีดวางไว้บนปากขันใบนั้น แล้วต่างจุดธูปกล่าวคำสาบานต่อฟ้าดินทันที
ว่าทั้งหมดจะขอร่วมเป็นร่วมตายไม่ว่าจะสิ้นชีวิตในการครั้งนี้ก็ตาม เพื่อกอบกู้
อำนาจเพื่อมอบให้แก่พระแม่เจ้า
ทั้งหมดเมื่อสาบานกันแล้วก็ต่างน้ำขันใบใหญ่ที่ผสมเหล้ากับเลือดต่างยกขึ้นดื่ม
วนเวียนกันจนหมดสิ้นทุกตัวนาย
ครั้นพิธีเสร็จสิ้น นายกองเหมี่ยวนรธาก็หันไปทางหญิงรับใช้ที่ผ่านการอบรมเป็น
ทหารให้จัดเตรียมอาหารต่างๆเพื่อใช้ในการต้อนรับพี่น้องร่วมสาบานทันที ครั้นแล้ว
ทั้งหมดก็เข้าร่วมดื่มกิน ต่างส่งเสียงเฮฮาหัวร่อต่อกระซิก กันผลที่สุดไม่ว่าใครจะอาวุโส
เท่าไหร่หรือมียศสูงสักเพียงใด ต่างลงมติให้เหมี่ยวนรธาเป็นหัวหน้า
เหมี่ยวนรธาครั้นได้รับการยกย่องเช่นนี้ ก็ให้สัตย์แก่บรรดาพี่น้องร่วมสาบานว่าจะ
พยายามรักษาปกป้องพวกพี่น้องทั้งหลายด้วยชีวิต หากมาดแม้นเขาจะผิดพลาดอย่างไร
ก็อย่าได้เกรงใจเขา ให้ช่วยตักเตือนแก่เขาด้วย พร้อมยกจอกขึ้นหันไปทางบรรดาพี่น้อง
ร่วมสาบาน
ทุกๆคนต่างลุกขึ้นยืนแล้วยกจอกเหล้ามาชนกันกล่าวสัตย์พร้อมกันว่าจะรักษาราชบัลลังก์
ให้แก่พระแม่เจ้าเหนือหัวด้วยชีวิตจะหาไม่ แม่ทัพที่อาวุโสท่านหนึ่งก็นำแผนที่ออกมากาง
เป็นแผนที่แสดงถึงเขตพระราชฐานทุกซอกมุม และกล่าวว่า
“ ท่านหัวหน้าเหมี่ยวนรธา แผนที่นี้ไม่ใช่เพียงแต่แสดงเขตต่างๆแล้ว
ยังประกอบด้วยห้องลับน้อยใหญ่ที่น้อยคนนักจะล่วงรู้ได้
แต่ด้วยข้าเองมีคนใกล้ชิดเป็นญาติทำงานเกี่ยวกับราชเลขาของ
องค์เจ้าเหนือหัวองค์ก่อน ควบคุมห้องหนังสือทั้งปวง ด้วยเหตุที่ข้าสังเกตเห็นไอ้อำมาตย์นั้น
มีความทะเยอทะยานมากไม่เห็นหัวผู้ใดและเป็นที่ใกล้ชิดไว้เนื้อเชื่อใจแก่องค์เจ้าเหนือหัว
จึงคิดว่าหากเป็นเช่นนี้ไม่วันใดวันหนึ่งจะต้องมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นแน่นอน ข้าจึงให้ญาติ
ข้าพยายามคัดลอกเขตราชฐานให้ละเอียด ด้วยญาติข้านั้นเป็นผู้รับผิดชอบต่อห้องคลังหนังสือนี้
จึงทราบและคัดลอกมาให้ข้า” แม่ทัพผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว
“โอ้ๆๆ...เมื่อเป็นเช่นนี้นับว่าฟ้าดินยังเมตตาแก่เมืองยิ่งนัก เห็นทีการครั้งนี้คงจะสำเร็จสมความ
ตั้งใจแก่พวกเรา และเป็นประโยชน์ยิ่งนัก ฉะนั้นข้าเองคิดว่าหากนำมาลอกเพื่อมอบให้แก่บรรดา
พี่น้องทั้งหลายนี้ก็จะดี ดีกว่าเก็บไว้คนเดียวหากมาดแม้นเกิดเหตุการณ์ที่คาดมิถึงขึ้นก็จะสามารถ
รักษาตัวเองและพวกพ้องได้ทางหนึ่ง พวกท่านเห็นเป็นประการใด” เหมี่ยวนรธาหันไปถาม
ทั้งหมดหันมามองหน้ากันและคิดตรงกันว่า สมแล้วที่เรายกย่องให้เขาเป็นหัวหน้าพวกเรา
ด้วยมีน้ำใจรักพวกพ้องยิ่งนัก ตลอดจนความละเอียดรอบคอบ
หากเกิดเหตุแผนที่ลับนี้สูญหายไป หรือตกไปอยู่ในมือฝ่ายตรงกันข้ามยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไร
และแผนการต่างๆที่วางไว้ก็จะสูญสิ้นไปหมด นายกองท่านหนึ่งกล่าวขึ้นว่า
“ความคิดอ่านของหัวหน้าเป็นความคิดกว้างไกลนัก แต่ทว่ารู้มากก็ยิ่งเปิดเผยมาก ดังคำกล่าว
ของคนโบราณว่า ความลับย่อมไม่มีในโลก ถึงมีก็ควรจะน้อยลง เอกสารนี้หากพวกเราเกิดถูกจับ
และค้นพบก็จะเป็นภัยอันใหญ่หลวงแก่พวกเรานะท่าน”
“จริงของท่านนายกอง ที่กล่าวมานี้ก็ถูกต้องเห็นที่ควรคัดลอกเพียงไม่กี่ฉบับมอบให้แก่คนที่
รอบรู้เชี่ยวชาญการศึกครั้งนี้ เพื่อจะได้จัดการวางกำลังได้อย่างถูกต้องนะ”
“ท่านหัวหน้าเหมี่ยวนรธามอบหมายจะดีกว่า” แม่ทัพอีกนายหนึ่งกล่าวขึ้น
“หากเป็นเช่นนั้น ท่านนายกองและแม่ทัพท่านก็กล่าวถูก ข้าเพียงถามพวกท่านว่าจะทำฉันท์ใด
ส่วนในใจข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” เหมี่ยวนรธากล่าว
“เมื่อท่านหัวหน้ากล่าวเช่นนี้.....แล้วจะคัดลอกสักเท่าไหร่ตามแต่หัวหน้ากระทำเถิดจะมอบให้
ใครๆก็เหมือนกัน เราต่างเป็นพี่น้องกันอยู่แล้วย่อมมีค่าเท่าเทียมกันหรอก” แม่ทัพอีกนายหนึ่งกล่าว
“เอาอย่างนี้ดีกว่าข้าคิดว่า จะคัดเพียงแค่ห้าฉบับ และข้าจะมอบให้แก่ท่านแม่ทัพนายกองสลับ
กันไป ด้วยข้าเองไว้ใจพวกท่านทั้งหลายนัก” เหมี่ยวนรธากล่าวขึ้น
เมื่อต่างคนต่างตกลงกันได้ เหมี่ยวนรธาก็จัดการเขียนคัดลอกด้วยทุกๆคนต่างก็ช่วยกัน
ในไม่ช้า งานละเอียดต่างๆก็สำเร็จลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว แล้วต่างมอบเอกสารลับให้แก่นายกอง
เหมี่ยวนรธาทันที
ครั้นเมื่อท่านเหมี่ยวนรธาได้รับหนังสือลับมาแล้วก็เก็บไว้ในอกเสื้อยังมิได้มอบหมายให้แก่
ผู้ใด พร้อมเชิญชวนร่วมกันดื่มหาความสำราญกันต่อไปโดยมีทหารหญิงที่ได้รับการฝึกฝนอบรม
มาอย่างเชี่ยวชาญคอยปรนนิบัติตลอดเวลา แล้วก็พากันแยกย้ายกันไปพักผ่อนเพื่อรุ่งขึ้นจะได้มา
ทำการฝึกอาวุธตลอดจนค่ายกลต่างๆแก่เหล่าทหารทั้งหลายต่อไป
เมื่อต่างแยกย้ายกันไปหมดแล้ว นายกองเหมี่ยวนรธาก็นำเอกสารลับมาพิจารณาและจดจำ
รายละเอียดภายในเมืองตลอดจนสถานที่ต่างๆจนขึ้นใจ แล้วหันไปยังทหารที่คอยรับใช้ให้ไปเรียก
แม่ทัพนายกองบางนายมาสี่นาย ครั้นทหารออกไปเรียกแม่ทัพนายกองที่ท่านหัวหน้าสั่งแล้ว
ในไม่ช้าร่างของแม่ทัพนายกองทั้งสี่รวมทั้งผู้ที่มอบบันทึกลับนี้รวมอยู่ด้วย
เมื่อต่างเข้ามาแล้วก็แสดงความเคารพต่อท่านเหมี่ยวนรธา
นายกองก็เชิญท่านทั้งสี่นั่งลงพร้อมสนทนาเป็นพิธีต่างคุยและวางแผนการด้วย
ว่าจะดำเนินการวางเพลิงในเมืองเพื่อให้เกิดความจลาจลในงานพิธีสถาปนา
ตนเองของเจ้ามหาอำมาตย์ขึ้นเป็นกษัตริย์ ต่างคนก็ออกความคิดเห็น ร่วมช่วยกันวางแผนในการ
ดำเนินงานครั้งนี้จนเสร็จ เมื่อปรึกษาเรียบร้อยแล้ว
นายกองเหมี่ยวนรธาก็ล้วงหยิบบันทึกลับมามอบให้แก่แม่ทัพนายกองทั้งสี่
ว่าให้ศึกษาให้ละเอียดเพื่อใช้ในการดำเนินการต่อไป
แล้วก็เชิญให้แม่ทัพทั้งสี่กลับไปพักผ่อนได้
เสร็จแล้วก็ล้วงบันทึกลับคัดลอกอีกฉบับหนึ่งมาใส่ซองพร้อมบันทึกสิ่งต่างๆในการดำเนินการ
ขัดขวางในงานพิธีนี้แก่ท่านแม่ทัพใหญ่ โดยคัดคนที่ไว้ใจได้ไปส่งเอกสารนี้ ในการครั้งนี้นั้น
เขาก็ส่งทหารติดตามไปห่างๆถึงสามช่วงด้วยกันเพื่อความไม่ประมาท หากเกิดการผิดพลาดใน
ระหว่างทาง จะได้เข้าประสานงานรับช่วงต่อไป
เมื่อสั่งการแก่เหล่าทหารภายในค่ายเรียบร้อยแล้ว นายกองในร่างพ่อค้าก็เดินทางกลับมา
ยังร้านทันที แล้วสั่งเหล่าทหารในร่างพ่อค้าตามร้านต่างๆที่แยกย้ายกันไปทั่วบริเวณเมืองให้เตรียม
พร้อมเพื่อจะดำเนินการคัดคนที่มีฝีมือที่สุดในการทำงานครั้งนี้โดยอำพรางซ่อนเร้นรอกำหนดเวลา
รอคำสั่ง เพื่อคอยช่วยเหลือกำลังทหารของมังละเว้ และมังสุระยะข่าต่อไป
ครั้นก่อนวันครบการสถาปนาเถลิงราชสมบัติของเจ้ามหาอำมาตย์มังสุระบดี บรรดาเจ้าเมือง
แคว้นต่างๆที่เป็นเมืองขึ้นแก่เมืองอิสราวดีก็ต่างทยอยกันเข้าเมืองมาพร้อม
เครื่องราชบันนาการเพื่อมอบแก่ผู้จะเข้าครอบครองเมืองต่อไป
จวบจนถึงเวลาในรุ่งอาทิตย์ที่ได้ฤกษ์ตามโหราจารย์กำหนดแล้ว ภายในท้องพระโรงที่
ประดับไปด้วยความสวยงาม บรรดาแขกเมืองต่างก็นั่งยังเก้าอี้ด้านหน้า ตรงกลางเป็นพื้นเป็นที่
นั่งกับพื้นของบรรดาเหล่าแม่ทัพนายกองและเจ้าหน้าที่สูงสุดที่ควบคุมกิจกายภายในเมืองทั้งสิ้น
ส่วนราชบัลลังก์นั้นเป็นตั่งสองชั้นที่แกะสลักลวดลายสวยงามยิ่งนัก เป็นช่อลายต้นไม้ประดับ
ด้วยสัตว์หิมพานต์ทั้งสิ้น เหนือตั่งเป็นฉัตรใหญ่สามชั้นขลิบทองสวยงามนัก แต่ยังไม่มีผู้ใดนั่ง
ข้างถัดลงมาสองข้างเป็นที่นั่งของมหาอำมาตย์ใหญ่มังสุระบดี
และเสนาดีมังสีหะมะทา ด้านข้างท้องพระโรง ยืนเรียงรายไปด้วยเหล่าทหารทั้งหลายในมือถืออาวุธ
อีกด้านหนึ่งของท้องพระโรงจัดเป็นที่นั่งของพระสงฆ์ที่จะมาคอยเจริญพุทธมนต์ ส่วนอีก
ด้านหนึ่งเป็นที่อยู่ของพวกพราหมณ์ ซึ่งกำลังร่ายมนต์เบื้องหน้าเป็นที่เซ่นสังเวยเทพยดาอยู่
พิธีเริ่มขึ้นแล้ว ในระหว่างการร่ายอัญเชิญเทพยดาฟ้าดินนั้น พลันก็เกิดพายุพัดกระหน่ำขึ้น
ตลอดจนฝนพร่ำๆ เสียงฟ้าร้องคำรามลั่นสายฟ้าฟาดสลับกันไปๆมา พราหมณ์ก็ร่ายมนต์ต่อไป
เสียงฟ้าก็ยังคำรามตลอดเวลา ลมพายุก็โหมกระหน่ำอย่างไม่รู้หยุด จนพราหมณ์ร่ายเวทย์จบ
มหาอำมาตย์ก็ให้อัญเชิญมงกุฎที่นางสนมกำนัลใส่พานทองถือเดินออกมาจากม่านชั้นใน
เพื่อจะส่งมอบให้แก่มหาอำมาตย์ ใช้เพื่อสวมศีรษะปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ต่อไป
เมื่อมหาอำมาตย์มังสุระบดีรับมงกุฎมาถือไว้ ก็บังเกิดอสุนีบาตฟาดดั่งสนั่นยังยอดประสาท
ราชวังหักล้มลงมา เสียงสนั่นหวั่นไหวลั่นเลื่อนไปทั่ว
ยอดฉัตรที่ตั้งไว้เบื้องหลังตั่งก็หักโค่นลงมายังทำความตกใจให้แก่เหล่าเจ้าเมืองทั้งหลาย
ตลอดจนข้าราชบริพาร ทำให้มหาอำมาตย์ถึงกับตกใจมหามงกุฎพลันพลัดหลุดจากมือทันที............
* แก้วประเสริฐ. *
9 กุมภาพันธ์ 2553 15:31 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 14
แสงอาทิตย์เริ่มทอแสงประกายร้อนแรงขึ้น เหล่าทหารทั้งหลายที่ถูกจัดขึ้น
เป็นกลุ่มๆ ต่าง ก็รีบออกเดินทางเข้าสู่เมืองอิสราวดี ซึ่งคล้ายตรงกับชื่อของ
แม่น้ำอิรวดีโดยตัวเมืองนั้นใกล้ๆกับฝั่งของแม่น้ำห่างกันไม่ถึงโยชน์
ใช้เป็นที่ค้าขายทางเรือตลอดจนเป็นที่ดื่มกินของชาวเมืองอิสราวดี
ครั้นถึงประตูเมืองต่างก็แยกย้ายกัน บ้างกลับไปบ้านพักบ้าง บ้างที่อยู่ตามนอก
เมืองก็พากันแยกย้ายโดยถือเอาตลาดเป็นที่นัดหมาย ที่ทุกๆคนจะต้องมาพบกัน
ทุกๆอาทิตย์ในตอนเช้า เพื่อจะได้คอยสัญญาณที่ถูกกำหนดไว้
หากไม่พบเห็นสัญญาณดังกล่าวก็จะพากันกลับที่พักดังเดิม
ส่วนนายกองเหมี่ยวนรธาก็แยกจากแม่ทัพ พร้อมด้วยทหารคู่ใจสองนายแฝงตัว
เป็นพ่อค้าพานิช ในระหว่างทางเขาทราบจากพวกพ่อค้าถึงเรื่องเกิดการขบถภายใน
วัง ด้วยมหาอำมาตย์ใหญ่พร้อมด้วยเสนาบดีฝ่ายทหารเข้ายึดอำนาจจาก พระแม่เจ้า
เหนือหัว ซึ่งได้หนีออกจากวังได้แต่ไม่รู้ไปอยู่ ณ หนใด เพียงข่าวคราวนี้
นายกองทหารกล้าก็แสนจะดีใจที่ พระนางเจ้าไม่ต้องตกถูกจับกุมอยู่ภายใต้การยึด
ครองครั้งนี้
ดังนั้นทหารกล้าคนนี้ก็เปิดร้านขายของและด้านหนึ่งก็สะสมกำลังพลให้เพิ่มมากขึ้น
พร้อมทั้งส่งสายเข้าไปสืบความลับต่างๆทั้งนอกและในวัง เพื่อจะได้เตรียมการยึดอำนาจคืน
แต่ในช่วงระยะนี้ด้านหนึ่งก็ส่งคนคอยติดตามข่าวคราวพระแม่เจ้าเหนือหัวด้วย
สายได้กลับมารายงานว่าทางในวังกำลังจัดตั้งพิธีสถาปนากษัตริย์องค์ใหม่คือท่าน
อำมาตย์ใหญ่ “มังสุระบดี”ขึ้นครองราชย์แทน หากแม้นข้าราชบริพารคนใดมิยอมก้มหัว
ให้ก็จะถูกนำไปประหารทันที อีกประการหนึ่งที่ถูกคัดค้านก็ด้วยดวงตราแผ่นดินที่
ถูกปกครองมานานแสนนานนั้นสาบสูญไปพร้อมกับเจ้าแม่เหนือหัวด้วย
ด้วยความที่มันเกรงจะล่าช้าถึงไม่มีตราแผ่นดินก็จะสถาปนาตัวขึ้นก่อน ด้วยชาวเมือง
พากันวุ่นวายระส่ำระสาย แบ่งออกเป็นหลายๆฝ่าย ชาวบ้านชาวเมืองได้อพยพหนีออก
จากเมืองตลอดเวลา มันเกรงว่าหากสิ้นหรือเป็นเช่นนี้เมืองก็จะตกอยู่ในอันตรายทำให้
แคว้นต่างๆพากันกระด้างกระเดื่องแข็งเมือง
ยากต่อการยกกำลังทหารออกปราบปราม
มันจึงรวมกับมหาเสนาบดีมังสีหะมะทาคิดแก้ไขโดยยกตนขึ้นเป็นกษัตริย์ก่อนที่เมือง
ต่างๆจะกระด้างกระเดื่อง แต่สายกลับรายงานว่าถึงเหตุจะเป็นเช่นนี้แต่ก็ยังมีเหล่าทหาร
ที่ไม่พอใจ ต่างแฝงตัวแยกย้ายกันหนีออกนอกเมือง ซึ่งภายในวังคงเหลือแต่เหล่าทหารที่
อยู่ในการปกครองของเสนาบดีเท่านั้นกับทหารรักษาพระองค์ฝ่ายในที่แปรภักดิ์
ดังนั้นมันจึงรวมหัวกันขึ้นสถาปนาตนเองและยกให้เสนาบดีใหญ่ฝ่ายทหารขึ้นเป็น
มหาอำมาตย์ใหญ่แทนทันที การจัดงานจะเริ่มในอีกอาทิตย์หน้าที่จะถึงนี้แล้ว
ทันใดนั้นทหารในร่างของพ่อค้าก็เข้ามารายงานอีก พร้อมส่งหนังสือให้นายกองทันที
เหมี่ยวนรธา ครั้นนำหนังสือที่มีตราลับอันเป็นของแม่ทัพใหญ่มาอ่าน พลางหันไปสั่งแก่
ทหารคู่ใจว่า
“ ท่านมังสุระยะข่า... เราได้รับหนังสือแจ้งมาว่าให้พวกเราเข้าก่อกวนงานพิธีในครั้งนี้
แต่เรายังนึกไม่ออกเลยว่าจะดำเนินการอย่างไรดี ไหนๆท่านลองออกความเห็นหน่อยซิ”
“ข้าแต่ท่านนายกอง ข้าคิดว่าหากจะเข้าไปในวังเห็นทีจะยากด้วยมันมีทหารมากมาย
และเหล่าทหารองค์รักษ์ที่ล้วนเข้ากับพวกมหาอำมาตย์หมดสิ้นและล้วน
ที่เจนจัดและรู้หนทางดีกว่าพวกเรามากนัก ข้าเองว่ามีทางเดียวเท่านั้นแหละ”
“อะไรหรือท่านมังสุระยะข่า???...” นายกองถาม
“ข้าคิดว่าในช่วงระหว่างการทำพิธีนั้น ให้พวกเราต่างวางเพลิงไปตามสถานที่ต่างๆรอบๆ
เมือง ก็จะเกิดการสับสนจะทำให้เสียฤกษ์ในพิธี บางทีงานอาจจะหยุดชะงักก็ได้” ทหารคู่ใจตอบแก่ท่านนายกอง
“อืมมๆๆๆ....เป็นความคิดที่ดี หากเราจะนำทหารเข้าไปก็เหมือนเอาน้ำมันไปราดกองไฟ
น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ฉะนั้นใครล่ะจะจัดการเรื่องนี้ล่ะ” นายกองถาม
“ข้าเองท่านนายกอง...” ทหารคู่ใจฝ่ายซ้ายอีกคนตอบ
“เอาๆๆ...ในเมื่อพวกเราเห็นพ้องด้วยกันในแผนการนี้ ข้าขอมอบให้ท่าน “ท่านมังละเว้”
ไปดำเนินการก็แล้วกัน แต่ว่าท่านอย่าได้ประมาทนะ เมื่อพวกเราหากเมื่อวางเพลิงแล้วให้รีบ
หนีออกไปโดยเร็วและอย่าได้ถูกจับตัวหากจวนตัวจริงๆให้ดื่มยาพิษเสีย หากแม้นว่างานนี้สำเร็จ
ข้าจะบำเหน็จรางวัลให้อย่างงามบอกทหารที่ทำการด้วยนะ อ้อๆ..ด้วยข้าได้รับรายงานมาว่าตอนนี้
มันใช้ทหารแฝงตัวสมทบกับประชาชนไว้ด้วย” เหมี่ยวนรธากล่าว
“เรื่องนี้ข้าก็พอจะระแคะระคายเหมือนกันท่านนายกอง ข้าจะคัดคนที่เชี่ยวชาญด้านนี้และแจ้ง
ถึงงานนี้ที่ตัดสินใจในเรื่องความตายด้วย อนึ่งทหารกล้าพวกเราที่แฝงตัวล้วนแล้วแต่สาบานตัวกัน
ไว้แล้ว ท่านนายกอง” มังละเว้ตอบขึ้น
ครั้นแล้วนายกองก็เรียกคู่ใจทั้งสองมาแล้วกางแผนที่ภายในเมืองทั้งหมด แล้ววางแผนที่จะจุด
ไฟในสถานที่หลายๆแห่งรวมทั้งคลังเสบียงอาวุธและอาหารด้วย
“ข้าเห็นว่าการเรียกพวกเรามาในครั้งนี้ ควรจะกระทำยังชายป่านอกเมืองเห็นจะเหมาะ ด้วย
ในเมืองนี้มีสายของฝ่ายตรงกันข้ามซึ่งเราไม่รู้ว่าใครเป็นใครกัน แต่ควรจัดคนคอยเฝ้าไว้ด้วย
ข้าขอมอบหน้าที่นี้ให้ท่านทั้งสองดำเนินการ ส่วนตัวข้าจะคอยรับฟังข่าวและติดตามเรื่องภาย
ในเมืองด้วย หากมีเหตุไม่เหมาะสมอย่างไรจะรีบส่งข่าวไปให้พวกท่านทราบ อ้อๆๆ....
อีกประการหนึ่ง การกระทำในครั้งนี้ ให้ท่านมังละเว้ดำเนินการ ส่วน ท่านมังสุระยะข่าให้คุม
ทหารรอเชิงหรือจะเข้ามาแล้วแยกย้ายกันคอยช่วยเหลือท่านมังละเว้ต่อไป” นายกองกล่าว
เมื่อทั้งสองได้รับทราบว่าจะต้องทำประการใดแล้ว ก็น้อมกายอำลาออกเดินทางเพื่อไปส่ง
สัญญาณเรียกตัวเหล่าทหารกล้าทั้งหลายให้มาประชุมยังที่ป่านอกเมืองทันที เพื่อจะทำการอีก
ในอาทิตย์หน้าที่จะถึงนี้
ครั้นเหมี่ยวนรธาสั่งการเสร็จ ก็ออกจากห้องลับมาทำหน้าที่ขายสินค้าหน้าร้านต่อไป
หากมีใครที่รู้จักมาเห็นก็คงจะจำเขาไม่ได้ เนื่องจากเขาปล่อยผมรุงรังเพียงคาดผมด้วยผ้า
ธรรมดาไว้หนวดยาวย้อมสีเลาๆแต่ก็ให้มีบุคลิกดั่งพวกพ่อค้าทั่วๆไป
ในขณะที่เขากำลังว้าวุ่นอยู่กับการจำหน่ายของนั้นๆ เขาเหลือบไปเห็น นายกองของ
ท่านเสนาบดีกำลังนำทหารกลุ่มหนึ่งเที่ยวเดินตรวจสอบตามร้านค้าทั่วๆไป เมื่อมาถึงยัง
ร้านค้าของนายกอง
เหมี่ยวนรธารีบเข้าไปน้อมคาราวะนายกองผู้นั้นทันที พร้อมกล่าวว่า
“ท่านนายกองท่านจะให้ข้าพอจะช่วยเหลือท่านอะไรได้หรือไม่ขอรับ”
นายกองซึ่งวางมาดหยิ่งยโสหันมามอง แล้วพลางถามว่า
“เจ้าเป็นเจ้าของร้านค้านี้หรือ”
“ขอรับท่านนายกอง”
“เอ...ข้าจำรูปร่างท่านคลับคล้ายคลับคลาว่าเราเคยเจอกันหรือเปล่านะ”
นายกองผู้นั้นถาม
“หามิได้หรอกขอรับ ข้าเป็นชาวเมืองนี้แต่ได้ไปค้าขายและนำสินค้าจากเมืองยะไข่พึ่ง
จะมาถึงในราวอาทิตย์สองอาทิตย์นี่แหละ ท่านจะสนใจผ้าหรืออุปโภคจากเมืองยะไข่หรือไม่ขอรับท่าน” เหมี่ยงนรธา น้อมกายตอบ
“เออนั่นซิถึงแม้ว่าบุคลิกท่านจะไปทางพ่อค้าก็จริง แต่ทำไมท่านถึงไม่มีพุงและลักษณะ
คล้ายเป็นทหารนะ ทำให้ข้าสงสัยนัก” นายกองถามด้วยความสงสัย
“ข้าเองก็พอจะมีฝีมืออยู่บ้างขอรับ ด้วยต้องคุมสินค้าไปยังต่างแดนไกล อีกอย่างหนึ่งทาง
ก็เต็มไปด้วยพวกกะเหรี่ยงและแม้ว ซึ่งพวกนี้ชอบมาปล้นสะดมอยู่เสมอๆจึงจำเป็นต้อง
ฝึกอาวุธไว้ป้องกันตัวบ้างขอรับ”
“ยังงั้นหรือ...แล้วเจ้ามิคิดจะเป็นทหารบ้างหรือไม่
ด้วยหน่วยก้านท่านเหมาะกับเป็นทหารนัก”
“ไม่หรอกขอรับท่านนายกอง ตระกูลของข้าเป็นพวกพ่อค้าวานิชมาและข้าเองก็สืบทอดมา
จนถึงตัวข้า เพียงแค่ส่งส่วยให้แก่ทางราชการมิได้ขาดก็ถือว่าเป็นการทดแทนบุญคุณแก่แผ่นดิน
ได้อีกทางหนึ่งขอรับ”
“เออๆๆๆ....จริงซินะหากขาดพ่อค้าเมืองเราก็จะขัดสนเงินทอง อ้อๆๆ...แล้วนี่อะไรหรือ???”
“อ้อนี้คือเครื่องเงินและหินประดับหลากสีต่างๆ ท่านจะนำหินหลากสีในเมืองเราไม่มีเพื่อ
นำไปให้แม่บ้านท่านบ้างไหมขอรับ ข้าจะเลือกที่ดีที่สุดให้แก่ท่านขอรับ”
“เอาล่ะๆไม่เป็นไร เอๆๆ...แต่ก็ดีเหมือนกันนะพอดีเสร็จจากตรวจราชการแล้วข้ากำลังจะ
กลับบ้านจะได้หาสิ่งของแปลกๆไปฝากเมียข้าบ้าง เจ้าจะให้อะไรแก่ข้าหรือ ไม่ต้องดีเด่นอะไร
มากนะ”
นายกองตอบแต่ในส่วนลึกๆคิดว่าหากมันนำสิ่งไม่ดีมาให้เห็นที่จะหาเรื่องมัน
“สร้อยเส้นนี้เป็นอย่างไรขอรับ ประดับด้วยหินหลากสีและตรงอุบะยังฝังพลอยสีแดงล้อม
รอบด้วยหินหลากสีอีกด้วย แต่หากนับราคาแล้วคนธรรมดาไม่สามารถจะสู้ราคาได้ ข้าเก็บไว้เพื่อ
ขายให้แก่พวกพ่อค้าด้วยกันขอรับ” เหมี่ยวนรธา กล่าว
นายกองหยิ่งยโส ยื่นมือมารับของจากนายกองเหมี่ยวนรธาพลางยกขึ้นพิจารณา ในระหว่าง
นั้นพวกทหารที่ติดตามมาด้วยต่างก็พากันหยิบของภายในร้านคนละชิ้นสองชิ้นใส่กระเป๋ามัน
ลูกน้องของเหมี่ยวนรธาไม่กล้าเอ่ยปากได้แต่มองตาปริบๆเท่านั้น
“เออๆๆ...เส้นนี้ก็แล้วกันนะสวยด้วยซี อ้อเจ้าชื่ออะไรล่ะหากวันหน้าหากจะให้ข้าช่วยเหลือ
ได้บ้าง” นายกองยโสกล่าว
“ข้าเองชื่อ”มังมะค่า” ขอรับท่านนายกอง” เหมี่ยวนรธา ตอบ
“เอาล่ะข้าจะจำชื่อเจ้าไว้ หากเจ้าต้องการให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใดก็ไปหาข้าที่จวนถามหาข้าก็ได้
นะ ข้าเกิดถูกใจเจ้าแล้ว” นายกองผู้นั้นตอบ พลางหันไปเรียกกลุ่มทหารให้เดินไปตรวจยังอีกที่
หนึ่ง
“เดี๋ยวก่อนขอรับ รอก่อนขอรับ” เหมี่ยวนรธาตอบ
“อะไรหรือ????...หรือเจ้าเสียดายของเสียแล้ว”
“เปล่าหรอกขอรับ นึกว่าเป็นสินน้ำใจที่ท่านเอ็นดูแก่ข้าเผื่อว่าโอกาสหน้าข้าอาจจะพึ่งพาใบบุญ
ท่านอีกขอรับ “ กล่าวจบชายหนุ่มก็หยิบยื่นห่อผ้ามอบให้แก่นายกองผู้นั้นอีก
นายกองนั้นพลางเปิดดู แล้วพลันหัวร่อเสียงดังลั่น
“เจ้าช่างมีน้ำใจยิ่งนัก เจ้ามังมะค่า”
“แล้วทำไมท่านนายกองถึงต้องมาตรวจด้วยตนเอง ใยไม่ใช้ทหารระดับต่ำกว่าท่านก็ได้นี่ขอรับ”
“อ้อๆๆ...ที่ข้ามานี้ด้วยเหตุได้ข่าวว่ากองทัพของนายทัพใหญ่ เหมี่ยวสุรินทราบดีเคลื่อนกำลัง
จะเข้ามาในเมือง ท่านมหาเสนาบดีเกรงว่าคงจะปลอมแปลงแฝงเข้าเมืองมานะ”
“เอ๊ะๆๆๆ เจ้าจะรู้ไปทำหรือหรือ???....
“อ้อๆข้าเพียงแค่สงสัยเท่านั้นขอรับ ก่อนนั้นเห็นแค่เพียงทหารและหัวหมู่เท่านั้นขอรับ”
“อืมมๆ...จริงของเจ้าข้าระแวงมากไป ปกติก็แค่หัวหมู่แต่นี่ข้าเป็นถึงนายกองมาเอง”
“ใช่ขอรับ ข้าถึงได้สงสัยนักคิดว่าต้องมีเรื่องสำคัญ จะได้เตรียมตัวขนของเก็บไว้ยังไม่ขาย
จนกว่าเรื่องจะเรียบร้อย ข้าเองกลัวจะเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นขอรับ”
“เออๆๆไม่ต้องกลัวหรอก หากข้ายังอยู่จะให้ทหารช่วยเหลือเจ้านะ ข้าไปก่อนล่ะ
เดี๋ยวงานยังมีอีกมากต้องไปตรวจดูความสงสัย”
“ขอรับข้าน้อยขอส่งแค่นี้นะขอรับ” เหมี่ยวนรธาตอบ
“เออๆๆขายของไปเถอะ คนเข้ามาในร้านเจ้ามายืนมองดู แต่เห็นพวกข้าจึงไม่กล้าเข้ามา”
“ขอบคุณท่านนายกองมากขอรับ” เหมี่ยวนรธาน้อมกายคาราวะด้วยความอ่อนน้อม
พลางนึกในใจว่า มันช่างโลภเสียจริงๆแม้แต่สินบนแค่นี้ยังเกิดอยากได้ทำให้ลืมหน้าทีไป หากเราทำการสำเร็จ
เจ้าคือคนแรกที่ข้าจะต้องชำระแน่นอน เขานึกในใจ........
* แก้วประเสริฐ. *