28 กุมภาพันธ์ 2553 12:01 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 33
ภายหลังจากการฝึกม้าป่าให้เป็นม้าศึกได้สำเร็จลงเรียบร้อยแล้ว หัวหน้าการฝึกฝนม้าก็เข้า
มารายงานแก่ผู้เฒ่าแม่ทัพ ชายหนุ่มพลันกล่าวขึ้น
“ แล้วทั้งหมดมีจำนวนเท่าไหร่ยกเว้นเจ้าสีเทาม้าเราล่ะ”
“ ทั้งหมดมี สามร้อยห้าสิบห้าตัว ไม่นับทั้งแม่ม้าและลูกม้าขอรับ” หัวหน้าคนฝึกกล่าว
พลางหันมากล่าวกับผู้เฒ่าว่า
“ หากเป็นเช่นนั้นข้าเองจะคัดเหล่าทหารที่ข้าฝึกไว้เอง ขอให้ท่านช่วยเรียกทหารทั้งหมดที่
ผ่านการฝึกฝนจนชำนาญแล้ว ขอให้มาประชุมด่วน เวลาไม่อาจจะล่าช้าได้นักแล้วจะทำการคัด
แยกทหารออกเป็นทหารม้า เป็นพิเศษขึ้นท่านผู้เฒ่า”
ครั้นชายผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ได้รับฟังเช่นนั้น ก็หันไปทางทหารสนิทสั่งให้ประชุมด่วนทันที
ไม่นานนักเหล่าทหารทั้งหลายก็มาประชุมหน้าลานพร้อมเพรียงกัน
ชายหนุ่มเดินสำรวจร่างกายของทหารทั้งหมดทุกตัวนาย พลางชี้ตัวแยกคัดเลือกออกมาเอง
ให้ครบจำนวนม้าที่ได้รับการฝึกฝนแล้ว
เมื่อได้ครบจำนวนแล้วก็สั่งให้ทหารทั้งหมดกลับได้คงเหลือไว้เพียงทหารที่ถูกคัดเลือกไว้
ชายหนุ่มเริ่ม เรียกให้ชายหัวหน้าคนฝึกม้านำพวกทหารไปยังคอกม้าทันที แล้วให้ทหารเข้าคลุก
คลีกับม้าทั้งหลายตามใจชอบ ครั้นบรรดาทหารทั้งสามร้อยกว่านายได้ต่างคัดเลือกม้าตามที่ถูก
ใจแล้ว ก็ขี่ม้าออกมายืนเข้าแถวเรียงราย เสียงบรรดาม้าต่างร้องก้องคะนองไปทั่ว
ชายหนุ่มฝึกให้บรรดาทหารขี่ม้ายืนบนหลังม้าจนเชี่ยวชาญก่อนและให้หย่อนร่างกายหลบไป
ยังใต้ท้องม้า ในเวลาเพียงไม่กี่วันบรรดาทหารทั้งหมดก็ฝึกได้คล่องแคล่วทั้งการยืนบนหลังม้า
และหลบหลีกใต้ท้องม้า พร้อมๆกับการใช้อาวุธต่างๆได้อย่างคล่องแคล่วสำหรับในการรบต่อไป
ทหารที่ได้รับการฝึกพิเศษนี้สามารถยิ่งธนูและใช้หอกดาบบนหลังม้าตลอดจนขว้างก้อนหินได้อย่าง
แม่นยำยิ่งนัก เขาควบคุมการฝึกด้วยตัวเองจนเกิดความแน่แก่ใจแล้วว่าหน่วยทหารนี้ชำนาญทั้งการ
รบบนหลังม้าและบนดิน ก็แบ่งแยกออกเป็นสองหน่วยเข้าประลองรบกันเองต่างก็ก่ำกึ่งซึ่งกันและกัน
ดังนั้นเขาจึงแบ่งแยกเหล่าทัพม้าทั้งหมดออกเป็นออกเป็นสิบหน่วยทันที และคัดเลือกผู้ควบคุมหน่วย
หน่วยละสามสิบห้ามีคนควบคุมหนึ่งคนและรองลงมาสองคน หากเกิดการผิดพลาดให้คนรอง
ลงมาสามารถบัญชาการรบต่อไปไม่ต้องคำนึงถึงให้ทำหน้าที่หัวหน้าหน่วยต่อไปสั่งการได้ทันที
เมื่อจัดการใช้ในการฝึกและตัวหน่วยรบทหารม้าขึ้นผ่านไปเกือบสามเดือน ทุกหน่วยต่างเข้าฝึกการรบพุ่ง
กันเองและประสานงานเข้าช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
เขาก็ให้เหล่าทหารม้าทั้งหมดมาสาบานตัวกินน้ำที่ผสมด้วยเลือดของเหล่าทหารม้าทั้งหมด
ให้ถือเสมือนเป็นพี่น้องร่วมกันมา ต่างต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามสถานการณ์พร้อมทั้งเรียก
หัวหน้าทั้งหมดรวมทั้งรองมาอธิบายแผนการรบการเข้าไปในค่ายกลที่เขาวางไว้ตลอดวิชาการต่างๆ
ให้ทราบไปช่วยฝึกเหล่าทหารทั้งหลายด้วย เวลาผ่านไปประมาณหกเดือนทั้งหมดก็เชี่ยวชาญการรบพุ่งนัก
ต่างกระเหี้ยนกระหืออยากจะเข้าสู่สงครามโดยเร็ว ทุกๆคนมีขวัญกำลังใจดีเยี่ยมเชื่อฟังเขาคนเดียว
เขาเองก็เขียนแบบแปลนให้หัวหน้าช่างเหล็กสร้างอาวุธพิเศษให้แก่เหล่าทหารม้า และแจ้งให้เหล่า
ทหารม้าให้ขึ้นตรงแต่เขาเพียงผู้เดียวที่จะสั่งการนี้ได้ ทั้งหมดน้อมคาราวะเขาและทุกๆคนได้รับการแจก
ผ้ายันต์ที่เขาสร้างขึ้นไว้ให้ทุกๆคนใช้ผูกแขนไว้เวลาออกรบจะได้ไม่สับสนกันเอง ครั้นจัดการหน่วยทหาร
ม้าจนเป็นที่พอใจแล้ว ก็พอดีหน่วยลำเลียงของที่เขาสั่งแก่ท่านผู้เฒ่าก็ส่งของมาถึงเป็นจำนวนมากพร้อม
ด้วยเสบียงอาหารที่ใช้เลี้ยงแก่เหล่าทหารทั้งหมด
ครั้นแล้วเขาก็มอบแบบแปลนที่เขาเคยร่ำเรียนจากช่างทำบ๊องไฟมาเขียนการวางกำหนดระยะทางขาตั้ง
ที่ใช้ในการปล่อยบ๊องไฟขึ้นสู่ในอากาศตลอดจนการบรรจุดินดำและจัดทำชนวนไฟไว้ด้วย พร้อมทั้งกล่าว
ให้ท่านผู้เฒ่าว่า ดินประสิวก็ดี กำมะถันก็ดี ตลอดจนถ่านให้แม่บ้านที่เป็นหญิงติดตามมาในการหนีจากเมือง
มารวมอยู่ด้วย เป็นคนตำของทั้งหมด แล้วเขาก็เรียกเหล่าแม่บ้านทหารมาอธิบายการจัดทำการผสมดินดำ
ชนวนประทุในการใช้จุดไฟ ซึ่งใช้กระดาษเป็นส่วนผสมนำไปตากแห้งให้สนิทอย่าได้มีความชื้นเข้าไปได้
และบอกถึงอันตรายหากใช้หรือทำรุนแรงไปก็จะระเบิดเป็นไฟทันที จนเหล่าแม่ทหารทั้งหลายเข้าใจและมา
รับหน้าที่ทันที เขาแจ้งว่าต้องการเร่งให้จัดทำเครื่องมือต่างๆให้ฝ่ายช่างทำเหล็กเร่งมือโดยด่วน
ครั้นท่านผู้เฒ่าทราบดังนั้นก็สั่งให้ทหารใกล้ชิดไปแจ้งแก่นายช่างพร้อมมอบแบบแปลนที่ชายหนุ่มเขียน
ขึ้นให้เร่งมือทำให้เสร็จในวันสองวันนี้ด้วย เมื่อชายหนุ่มวางแผนการเรียบร้อยแล้วเกือบทั้งวันทั้งคืนเขาไม่
ได้รับการพักผ่อนมากนัก เพียงคิดถึงแผนการต่างๆพร้อมกับแม่นางพรายทั้งสองก็ระดมความคิดช่วยเหลือเขา
เป็นอย่างดี เขาเองได้เล่าเรื่องแม่นางจะขอพบแม่นางพรายทั้งสองด้วย หล่อนก็ไม่ขัดข้องด้วยเห็นนางกษัตริย์
นั้นเป็นคนจิตใจดีโอบอ้อมอารียิ่งนัก
ในที่สุดทั้งหมดก็สามารถเข้ากันได้และบังเกิดรักใคร่กลมเกลียวกันไปมาหาสู่กันเสมอ ส่วนนางพราย
นั้นไม่ยอมจากชายหนุ่มอ้างว่าต้องคอยดูแลคุ้มครองยามค่ำคืนเสมอๆ ครั้นทั้งหมดร่วมกันวางแผนที่จะยึดเมือง
ต่างๆไว้ทีละขั้นตอนแล้ว ต่างก็ฉลองกันอย่างสนุกสนานแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้นหาได้จัดอย่างใหญ่โตไม่
ในระหว่างทานอาหารนั้นชายหนุ่มขอให้ท่านแม่ทัพช่วยกำชับเหล่าทหารทั้งหลายห้ามเด็ดขาดไม่ว่าจะมีงาน
เลี้ยงใดๆห้ามทานเหล้าเป็นอันขาด เพราะถึงแม้จะสร้างความกล้าก็จริงแต่ว่าย่อมขาดสติในการป้องกันตัวเอง
สู้ความกล้าในด้านจิตใจไม่ได้ เขาแจ้งว่าได้พาทหารเกือบทั้งหมดทดสอบความแข็งแกร่งจนทุกๆคน
เกิดความแข็งแกร่งกว่าทหารทั่วๆไปสามารถวิ่งได้นับเป็นกิโลๆโดยไม่เหน็ดเหนื่อยแต่ประการใดไม่
ทำความพอใจแก่ชายหนุ่มยิ่ง ดังนั้นชายหนุ่มจึงชวนแม่นางกษัตริย์และแม่ทัพใหญ่พร้อมเหล่าทหารหัวหน้าไป
พร้อมๆกับนำอาวุธในการขว้างปาด้วยกระสุนดินดำ และบ๊องไฟที่เรียบร้อย เมื่อครั้นติดตั้งบ๊องไฟเสร็จแล้วจึง
ชวนท่านผู้เฒ่าและแม่นางไป ที่ด้านเขาอีกลูกหนึ่งชายหนุ่มเมื่อจัดบ๊องไฟที่ทำไว้พร้อมขาตั้งที่วางเรียงไว้สามตอนเชื่อมต่อและถอดขาออกมาได้เพื่อสะดวกในการขนย้ายไปการสู้รบต่อไป
เมื่อเขาจัดการจุดประทุให้ติดไฟแล้ว เมื่อประทุถึงบ้องไฟที่ทำด้วยเหล็กพร้อมด้วยกระสุนเหล็ก
ก็พุ่งทะยานใส่ยังภูเขาอีกลูกหนึ่งทันที เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นผลทำให้ภูเขาลูกนั้นระเบิดเป็นผุยผงเป็นโพลง
ใหญ่ทันทีพร้อมกับระเบิดได้เกิดเสียงดังอีกครั้งทำให้ภูเขาขนาดย่อมๆแถบนั้นทะลายลงมาเป็นหน้ากลอง
ทำให้ทุกๆคนต่างตกตลึงต่อเหตุการณ์เช่นนี้ กับเพิ่มกำลังใจให้เหล่าทหารทั้งหลาย ชายหนุ่มกล่าวขึ้นทันทีว่า
“การที่เราคิดทำครั้งนี้เพื่อใช้ในการทำลายกองข้าศึกที่เข้มแข็งตลอดประตูเมือง ซึ่งมีไม่มากนักส่วนระเบิด
ที่สามารถพกติดตัวได้เราจะมอบให้แก่หัวหน้าหน่วยทหารไว้ทุกๆคน หากจำเป็นจริงๆก็ให้ใช้ได้ด้วยมีจำกัดไม่
มากนัก ฉะนั้นขอให้ทหารเราอย่าเพียงคิดว่าเมื่อมีอาวุธเหล่านี้แล้วจะไม่ต้องใช้ดาบ ธนู หอกอาวุธอื่นๆอีก ด้วย
นี้เป็นแค่สิ่งเสริมเท่านั้นเอง จงจำไว้”
เหล่าทหารทุกๆคนรับคำว่าหากไม่จำเป็นก็จะไม่ใช้ ชายหนุ่มกล่าวว่าหากออกเดินทางไปรบเราถึงจะมอบ
ของเหล่านี้ให้ พร้อมๆกับนำท่อนกระบอกขนาดเล็กๆมาจุดแล้วสอนวิธีการจุดให้ด้วยเมื่อได้ระยะของประทุ
ที่จะเข้าไปภายในก็ขว้างออกไปยังเบื้องหน้าทันที กระบอกขนาดเล็กครั้นถูกขว้างไปยังก้อนหินตกยังพื้นก็เกิด
เสียงระเบิดทันทีก้อนหินก้อนโตก็แตกทลายลงหมดสิ้น พร้อมกับแจ้งว่าให้กะระยะของประทุที่จะจุดว่าจะต้อง
คำนวณว่าใกล้ๆหรือไกลง หากไกลๆก็ให้เว้นระยะให้ห่างๆไว้ มิฉะนั้นมันจะระเบิดก่อน ซึ่งทุกๆคนต่างก็เข้าใจ
เมื่อหลังเสร็จสิ้นแล้วทหารก็เข้ามารายงานว่ามีหน่วยทหารเดินทางมาถึงปากทางแล้วจะให้ทำประการใด
เมื่อเป็นเช่นนี้ ชายหนุ่มพร้อมคนทั้งหมดก็รีบออกเดินทางไปยังปากทางเข้าหุบผาทันที ครั้นไปถึงเห็นหน่วย
ทหารทั้งหลายมุ่งมาทางนี้ เขาจึงได้จัดส่งทหารลงไปเพื่อหลอกล่อแจ้งให้ทราบว่าครั้นถึงปากค่ายกลแล้วให้หลบ
เลี่ยงออกทั้งสองข้างกลับมาที่เดิมทันที นายทหารครั้นได้รับทราบคำสั่งจากชายหนุ่มแล้วก็รีบนำทหารออกไป
เมื่อทหารทั้งหลายไปถึงก็นำกำลังเข้าหลอกหล่อซึ่งใช้ม้าที่มีอยู่ก่อนแล้ว เข้าประจัญบานกับทหารภายในเมือง
ทันที ทำเป็นพ่ายแพ้ถอยร่นหนีกลับมาทางปากหุบเขา
เหล่าทหารในเมืองต่างก็ไล่ทะยานเข้ามาและเลยเข้าไปยังค่ายกลทันที เมื่อเหล่าทหารของชายหนุ่มกลับมาแล้วซึ่งเขามองเหตุการณ์อยู่เบื้องบนเห็นทหารของข้าศึกต่างร้องโหยหวนก้องกังวานทำให้บรรดาทหารข้าศึกที่
ทยอยกันมาต่างชะงักและรีบหวนกลับไปรายงานต่อนายทหาร นายทหารที่นำทัพมาก็มุ่งหน้ามาครั้นเห็นทหาร
ของพวกต้นหายไป ก็หันไปตวาดกับทหารที่มาส่งข่าวว่า
“ไหนๆ ข้าไม่เห็นทหารของเราอยู่หรือว่ามันจะเลยเข้าไปในหุบเขาแล้วกระมัง” ทำเอาทหารที่มารายงาน
ครั้นหันไปมองก็เห็นเป็นที่โล่งเปล่ามองผ่านเลยไปได้ ก็ตลึงไม่รู้จะกล่าวประการใด
“พวกข้าเห็นเสียงร้องของทหารของพวกเรายามผ่านเข้าไปถึงกลางทางหุบเขาต่างร้องก้องทั้งม้าทั้งคนนะ”
ท่านนายกอง
“แต่นี่หามีทหารหลงเหลือสักคนนี่นา หากไม่แน่ใจอย่ากลับมารายงานข้าเป็นอันขาดมิฉะนั้นต่อไปข้า
จะทำโทษเจ้าอีก “
พร้อมสั่งให้ทหารทั้งหมดซึ่งล้วนเป็นทหารม้าล่วงหน้าไปข้างหน้า โดยนายกองที่ควบคุมทหารมาก็ออก
นำหน้าเดินทางเข้าหุบเขาทันที เมื่อเข้าไปยังค่ายกลแรกก็พบร่างทหารทั้งหลายต่างฆ่ากันเองล้มตายลงหมดสิ้น
ก็ให้แปลกใจ จึงให้ทหารทั้งหมดผ่านเลยไป ลุล่วงไปข้างหน้าขบวนทหารก็ติดตามนายกองผู้นั้นพร้อมทหาร
เดินเท้าก็เข้าสู่ค่ายกลที่สองทันที ครั้นนายกองพอลุล่วงเข้าสู่ค่ายกลที่สองก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดๆทั้งสิ้น
พลันบังเกิดเปลวไฟลุกโชติช่วงพุ่งเข้าสู่ร่างเขา ดังนั้นจึงชักดาบออกฟันไปยังดวงไฟที่แลเห็น ปรากฏเสียง
ร้องก้องแล้วดวงไฟก็หายวับไปทันที เกิดประกายไฟขึ้นมาอีก
บรรดาทหารทั้งหลายก็เห็นเช่นเดียวกับนายกองผู้นั้นต่างก็ใช้อาวุธฟาดฟันดวงไฟเหล่านั้น
เสียงร้องก้องระงมไปทั่วๆบริเวณ ดวงไฟที่มันแลเห็นก็คือบรรดาทหารของพวกมันนั่นเอง
ต่างก็เข่นฆ่ากันจนกระทั่งเหลือนายกองที่มีฝีมือเพียงคนเดียวเมื่อเหล่าทหารต่างล้มตายมันจึงแลเห็น
สภาพภายในค่ายกลได้ จึงทราบว่าดวงไฟที่มัน ฟาดฟันนั้นที่แท้ก็คือเหล่าทหารพวกมันกันเองก็ให้แปลกใจนัก
จึงชักม้าถอยหลังกลับแต่ก็ไม่สามารถออกจากค่ายกลได้ด้วยมีเปลวไฟล้อมรอบบริเวณกว้างมันชักม้าวนเวียน
เพื่อหาทางออกก็ไม่สามารถออกไปได้
ดังนั้นชายหนุ่มเห็นจึงให้ทหารที่ตนเองฝึกมากับมือใช้ธนูทดลองยิงนายกองนั้นทันที ทหารที่ผ่านการฝึกจากเขาก็ หยิบคันธนูพร้อมลูกธนูน้าวแล้วยิ่งออกไป ปรากฏร่างนายกองนั้นถึงกับผงะตกกับหลังม้าสิ้นใจตาย
เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้เฒ่าและแม่นางเห็นอานุภาพของค่ายกลที่ทำลายล้างข้าศึกโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อฝ่ายตนเอง
แต่ประการใดไม่ ก็ให้นึกชมชายหนุ่มหากแม้นเขาเป็นฝ่ายตรงกันข้ามเห็นทีพวกเราจะตายสิ้นสมแล้วที่สายตาของ
ท่านแม่ทัพมองได้ลึกซึ้งยิ่งนัก ครั้นเห็นชายหนุ่มนำทหารพวกหนึ่งลงไปข้างล่างเดินฝ่าค่ายกลไปพร้อมทหาร
ทั้งหลายแล้วก็จัดระเบียบค่ายกลใหม่พร้อมนำอาวุธยุทโธปกรณ์ของฝ่ายตรงข้ามพร้อมม้ากลับออกมา
เพื่อใช้ในโอกาสต่อไป แล้วเขาสั่งให้นายกองที่เขาฝึกฝนนำทหารนำร่างศพข้าศึกออกมาไปจัดการฝังยังชายป่า
ไม่ให้อุจาดนัยน์ตาต่อไป พร้อมทั้งให้กลบเกลื่อนร่องรอยหมดสิ้น หลังจากนั้นเขาก็ขึ้นมาหาแม่นางและผู้เฒ่ากล่าวขึ้นว่า
“กำลังของมันที่ยังตกค้างอยู่เหลือไม่มากนัก คงจะสงสัยและอาจจะยกเข้ามาอีก ทางด้านนี้ปล่อยไว้ได้แล้ว
ข้าเองได้กำชับแก่นายกองของเราไว้แล้วหากเข้ามาให้จัดการแบบเดิมอีก ไม่ต้องเข้าต่อสู้กับพวกมันจนกว่ามันจะ
ตกตายไปเองแล้วเก็บอาวุธและม้ากลับมาสะสมไว้เพื่อเป็นขุมกำลังเราต่อไปนะ
ท่านผู้เฒ่า”
“หากไม่ได้ท่านมาช่วยเหลือการครั้งนี้เห็นทีว่าหุบผาเราจะต้องเสียแก่มันเป็นแม้นมั่นด้วยฝ่ายของกำลังทหารเรานั้น
น้อยนิดเท่านั้นมิอาจต้านทานได้หรอก” ชายชราแม่ทัพใหญ่กล่าว
“อ้อๆ???....ข้าเองก็ยังไม่ทราบจำนวนทหารของฝ่ายเราว่ามีสักประมาณสักเท่าไหร่เลย” ชายหนุ่มกล่าว
“ตกราวๆหมื่นกว่าคนแหละพ่อหนุ่ม ส่วนในเมืองก็มีไม่กี่ร้อยคนเท่านั้นเอง แต่ได้ข่าวว่าทหารที่ทนต่อ
เหตุการณ์ของไอ้อำมาตย์ไม่ได้ต่างแปรพักตร์แอบหนีมาจะเข้ามาสมทบกับเราแต่เราไม่กล้ารับไว้ พ่อหนุ่มมี
ความคิดเห็นเป็นประการใดล่ะ” ชายชรากล่าว
“คนเรานั้นรู้หน้าไม่รู้ใจแต่ทว่าในเมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้เห็นควรจะตรวจสอบให้แน่ใจก่อน โดยเรารับ
พวกมันไว้แล้วค่อยๆมา จำแนกออกทีละคนๆก็จะทราบเอง หากมีพิรุธสงสัยก็
ให้ฆ่ามันทิ้งเสีย ส่วนที่นำครอบครัวมาด้วยนั้นไม่จำเป็นหรอกด้วย
พวกนี้มีความตั้งใจแน่วแน่จึงนำครอบครัวมาด้วย ไส้ศึกนี้สำคัญนักให้แจ้งแก่ทหารหน่วยราชการลับคอยสอด
ส่องผู้คนมาใหม่ทุกๆย่างก้าวก็แล้วกันนะ” ชายหนุ่มกล่าว
“ได้ซิพ่อหนุ่ม เราจะทำตามที่ท่านกล่าวมานี้ทั้งหมด งั้นเรากลับก่อนทหารข้าศึกเพียงไม่เท่าไหร่นี้ข้า
คิดว่ามันคงไม่กล้าเข้ามาในหุบเขาเราหรอก คงจะตั้งมั่นอยู่นอกหุบเขาสร้างค่ายไว้ ค่อยค่ำคืนจึงจะนำทหาร
ออกไปโจมตี ป่านนี้มันคงส่งรายงานกลับไปเมืองหลวงแน่แล้วท่านผู้เฒ่า” ชายชรากล่าวด้วยสันทัดยิ่งนักเกี่ยวกับ
สงคราม ซึ่งมีประสบการณ์มากกว่าชายหนุ่มมากมายนัก
แล้วทั้งหมดก็เดินทางกลับไปยังที่พักเพื่อปรึกษากันถึงแนวทางที่จะเข้าโจมตีค่ายทหารในค่ำคืนนี้ต่อไป.....
* แก้วประเสริฐ. *
27 กุมภาพันธ์ 2553 14:16 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 32
“หามิได้ท่านผู้เฒ่า ข้าเองเพียงแต่ไม่อาจจะนิ่งดูดายได้ ดังสุภาษิตยุคข้าเองกล่าวไว้ว่า
“หากอยู่บ้านใคร อย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกเขาเล่น” ซึ่งเป็นความหมายในเมื่อ
ข้าเองก็มาอาศัยพวกท่านอยู่จึงคิดใคร่จะทำประโยชน์เล็กๆน้อยๆให้พวกท่านเท่านั้นเอง”
“ นี่ขนาดช่วยพวกข้าเล็กน้อยๆนะหรือ แต่ข้าถึงแม้ว่าจะเป็นแม่ทัพใหญ่ก็หาได้คิด
คำนึงถึงว่า การกระทำของท่านนี้จะแม้นดูๆง่ายดายนัก แต่ผลลัพธ์มันช่างมหาศาลยิ่งนัก
ข้าเองทดลองให้คนของข้า ทดลองเข้าไปในค่ายกลของท่านแล้ว ผลออกมาว่าพวกนั้นไม่
สามารถจะออกมาได้ มันเต็มไปด้วยเมฆหมอกควันไฟร้อนระอุยิ่งนัก จนข้าเองที่ได้รับ
การถ่ายทอดจากท่านมา จึงต้องออกไปรับมันออกมาถึงจะออกมาได้
หากแม้นว่าเพียงดูแค่ผิวเผินแล้วก็เหมือนสภาพปกติธรรมดา หากหลงพลัดเข้าไป
ยากจะแลเห็นตัวเองได้นับได้ว่าเป็นค่ายกลที่แปลกประหลาดมาก ส่วนค่ายกลอื่นๆนั้น
ข้าเองยังไม่ได้ทดสอบนี่เพียงค่ายกลเดียวเท่านั้นข้าเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดนะท่าน”
ชายชรากล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสยิ่งนัก” ชายชราซึ่งอดีตเป็นแม่ทัพใหญ่กล่าว
“มาๆขอให้ท่านไปร่วมประชุมกับนายหญิงเราเถอะเพื่อวางแผนต่อไป”
ครั้นชายชรากล่าวแล้วก็จูงมือชายหนุ่มเดินเข้าไปข้างใน ซึ้งประกอบด้วยโต๊ะยาวด้านหลัง
มีหนังสือต่างๆวางเรียงกันไว้ บนหัวโต๊ะนั่งด้วยเจ้าหญิงแห่งอิสราวดีนั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว
ส่วนอีกด้านหนึ่งมีโต๊ะเพียบพร้อมด้วยอาหารผลไม้ต่างๆตั้งคอยอยู่ก่อนแล้ว
ครั้นทั้งสามเข้าไปนั่งสนทนาเพื่อวางแผนการในการดำเนินการกู้แผ่นดินต่อไป มีอยู่
ตอนหนึ่งที่ชายหนุ่มกล่าวกับชายชราขึ้นว่า
“ในเมื่อท่านนายกองทำหน้าที่พ่อค้าสอดแทรกซึมในเมืองอยู่นั้น ท่านจะให้เขาหาของ
แก่ข้าได้หรือไม่ก็ไม่รู้ ด้วยของเหล่านี้จะมีอยู่ในแคว้นเมืองจีนโน่นแหละท่าน”
“ขอให้พ่อหนุ่มบอกมาเถิดว่าต้องการสิ่งใด เราก็จะพยายามให้เขาหามาให้ท่านอาจจะ
ต้องใช้เวลานานเพราะอยู่ที่แคว้นจีนโน่นแนะหรือเป็นในเมืองหลวงของเขาหรือเปล่าล่ะ”
“ของที่ข้าต้องการนี้อยู่ติดกับแว่นแคว้นของเราคือ รัฐฉางอานแห่งแคว้นจีนไม่ถึงเมืองหลวง
หรอกท่านผู้เฒ่า” ชายหนุ่มกล่าวขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่เป็นปัญหาหรอก ไหนๆท่านบอกมาซิว่าต้องการสิ่งใดบ้าง”
“อ้อที่ข้าต้องการมีแค่สามสี่อย่างเท่านั้นเองแหละท่านผู้เฒ่า คือมี ดินประสิว กำมะถัน
และเศษเหล็กส่วนเศษเหล็กสร้างเป็นรูปกลมๆก็คงไม่ต้องไปหาที่อื่นก็ได้ในแคว้นเรา
คงอาจจะมี เพียงแค่สองอย่างเท่านั้นเอามามากเท่าจะมากได้ ให้แยกกันมานะท่านผู้เฒ่า”
เหตุที่ชายหนุ่มกล่าวเช่นนี้ด้วยนึกถึงสมัยตอนเด็กๆเขาชอบทำพลุเล่นโดยนำส่วนประกอบ
มาทำเองคือพวกดินดำนั่นเอง มานึกได้ว่าหากนำมาใช้ในด้านการทหารด้วยก็จะยิ่งประกอบให้
กองทัพน้อยๆนี้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เขานึกถึงงานบ้องไฟที่มหาสารคามขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน
“ได้ซิพ่อหนุ่มเราจะให้ทหารรีบไปจัดการแจ้งแก่นายกองเพื่อจัดหาสิ่งที่ต้องการเหล่านี้ให้”
“อ้อๆ...อีกประการหนึ่งข้าอยากได้ต้นพริกที่แห้งๆมาจำนวนมาก ซึ่งข้าเห็นพวกเราปลูกไว้
มากมายแล้ว มาตากแดดให้แห้งแล้วนำมาเผาให้เป็นถ่านแล้วบดให้ละเอียดเก็บให้แก่ข้าเป็นจำนวน
มากๆไว้ด้วยนะท่านผู้เฒ่า” ชายหนุ่มกล่าว
“อ้อเรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาหรอกพ่อหนุ่มข้าจะให้เขารีบปลูกพริกไว้ให้มากมายแล้วนำต้นมา คง
จะทันกับของสองสิ่งที่ท่านต้องการ ส่วนเศษเหล็กนั้นทางเราก็มีช่างตีดาบและหล่อหลอมอาวุธอยู่
แล้วทางด้านหลังเขานี่เอง กำลังเร่งจัดทำอาวุธต่างๆอยู่” ชายชรากล่าว
“หากเป็นเช่นนั้นขอให้ข้าได้ไปดูการทำงานของเขาด้วยได้ไหมล่ะท่านผู้เฒ่า”
“ได้ซิพ่อหนุ่ม เดี๋ยวเราเสร็จจากการวางแผนแล้วทานอาหารกันแล้วข้าจะนำท่านไปดูการทำงาน
ของพวกช่างที่กำลังประกอบอาวุธต่างๆไว้นะ”
ชายหนุ่มยิ้มแล้วทั้งสามก็จัดการวางแผนการโดยคิดว่าหากได้ฝึกทหารจนเชี่ยวชาญ พร้อมกับ
สร้างกองทัพม้าขึ้นมาได้แล้วก็จะนำกำลังเข้ายึดเมืองเล็กๆที่อยู่ใกล้เมืองอิสราวดีไว้เป็นกำลัง
แล้วค่อยทยอยขจายตีเมืองต่างๆโอบล้อมเมืองไว้
แต่ต้องคอยเจ้าสีเทาจะนำบริวารมันมาได้หรือไม่ก่อน หากฝึกม้าป่าเหล่านี้ได้
จากคนของที่นี่ที่ชำนาญเรื่องนี้อยู่แล้ว ก็นับได้ว่าเป็นกองกำลังที่มีประสิทธิภาพประกอบกับด้วยตัวเขาเอง
จะใช้เวทย์มนต์ช่วยเหลืออีกทางหนึ่งด้วยเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่เหล่าทหารทั้งหลาย ชายหนุ่มอธิบายแผน
การต่างๆให้แก่ชายชราและหญิงสาวฟัง พร้อมกับแจ้งว่าที่ท่านเห็นหาได้ทราบไม่ว่าเขาเองมีนางพรายสองนาง
เคียงข้างอยู่ด้วย ทำให้หญิงสาวที่กำลังก้มอ่านแผนที่ต่างๆอยู่ถึงกับเงยหน้าขึ้นทันที ด้วยนางเองนั้นเป็นคู่หมั้น
ของท่านอุปราชซึ่งนางเชื่อว่าคือชายหนุ่มคนนี้นี่เอง ความอิจฉาริษยาย่อมเกิดขึ้นกับผู้หญิงไม่มากก็น้อยจึงถาม
ขึ้นว่า
“ท่านผู้กล้าหาญท่านกล่าวว่ามีนางพรายอยู่ด้วยใยฤา”
“ใช่แล้วแม่นาง ที่ข้าต้องกล่าวเช่นนี้ด้วยจะทำให้ท่านทั้งสองเกิดความสงสัยหากนางปรากฏกายขึ้น ด้วยเขา
เป็นทั้งพี่น้องที่ข้ารักดุจร่วมเป็นร่วมตายกันมาในป่าใหญ่นั่นเอง” ชายหนุ่มกล่าว
แล้วก็เล่าถึงเหตุได้นางพรายทั้งสองให้แก่คนทั้งสองฟัง ทำให้นางซึ่งเป็นถึงกษัตริย์
ค่อยคลายใจได้ใคร่อยากจะเห็นนางพรายทั้งสองทันที จึงถามไปว่า
“ท่านผู้กล้าหาญ หากข้าน้อยอยากจะพบกับแม่นางจะทำอย่างไรหรือท่าน”
“อ้อ ไม่ยากหรอกแม่นาง เพียงพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว หากข้าจะให้แม่นางทั้งสองปรากฏกายก็ย่อมจะได้
เห็นหรอกจ้า ที่นางพรายเมื่อปรากฏกายนั้นนางไม่ต้องการให้พวกท่านเห็น ดังนั้นท่านจึงมิอาจจะเห็น
พวกแม่นางได้ งั้นคืนนี้ท่านทั้งสองมาในห้องพักข้าเถิดก็จะเห็นนางทั้งสองที่พวกท่านไม่เห็นนั้นด้วย
ข้าเองกำชับไว้เท่านั้น” ชายหนุ่มกล่าว
“ตกลงหลังค่ำแล้วพวกข้าทั้งสองจะไปพบแม่นางเพื่อได้รู้จักกันไว้นะท่าน” แม่นางกษัตริย์กล่าว
“หาเป็นใดไม่หรอกแม่นาง ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน แต่ขอให้ข้าได้ออกไปตรวจดูการทำงานของพวกช่างก่อน
เถอะนะ” แล้วชายหนุ่มก็ขอตัวแก่แม่นางเจ้าหลังจากปรึกษากันเสร็จ แม่นางชวนให้ทานอาหารก่อนแต่เขา
บอกว่าหากตรวจการทำงานเสร็จก็จะมาร่วมรับทานอาหารพร้อมกันและให้แม่นางพรายมาร่วมด้วย
ทำนางกษัตริย์ยินดียิ่งนัก ว่าแม่นางพรายที่ชายกล่าวไว้จะมีความสวยงามมากน้อยเพียงใด
หลังจากนั้นชายหนุ่มและอดีตแม่ทัพใหญ่ก็ออกเดินทางลัดเลาะไปตามเขาเบื้องหลังที่พัก ก็เห็นโรงงาน
หล่อหลอมเหล็กทำอาวุธต่างๆ ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาตรวจสภาพดูแล้วลองใช้ฟันไปยังกองท่อนเหล็กที่เรียงรายไว้
ดาบเหล่านั้นเกิดประกายไฟแต่ไม่สามารถทำให้ท่อนเหล็กเหล่านั้นขาดจากกันได้ จึงได้เอ่ยขึ้นว่า
“ท่านผู้เฒ่าดาบและอาวุธเหล่านี้ถึงแม้ว่าจะทำได้ดีก็ตามแต่หากไปเจอดาบที่แข็งแกร่งกว่าย่อมจะถูกทำลายได้
โดยง่าย จะเป็นอันตรายแก่ทหารของเราเอง เอาอย่างนี้ดีกว่าข้าจะทดลองให้ช่างหลอมดาบขึ้นเดี๋ยวนี้สักเล่ม
ก่อนโดยช้าจะคอยควบคุมด้วยตัวเองนะ”
“ได้ซิพ่อหนุ่ม” พลางหันไปสั่งยังหัวหน้าหมวดช่างที่คอยยืนฟังต้อนรับอยู่ พลางหันไปสั่งให้รีบจัดทำการ
หลอมเหล็กใหม่เดี๋ยวนี้ ชายดังกล่าวก็รีบไปสั่งยังลูกน้องให้รีบดำเนินการโดยด่วน ในขณะที่ช่างกำลังหลอม
เหล็กกล้าอยู่นั่น ชายหนุ่มล้วงไปในย่ามของเขาแล้วนำก้อนหินสีแดงซึ่งบัดนี้กลายเป็นแก้วใสๆสีแดงขึ้นมาก้อน
หนึ่งแล้ว เดินเข้าไปยังเบ้าหลอมเหล็กที่กำลังละลายอยู่พลางโยนก้อนหินแก้วสีแดงใสลงไปในเบ้าหลอมทันที
พลันปรากฏประกายหลากสีขึ้นจากปากเบ้าหลอมทันใด ทำความประหลาดใจแก่ชายชราและหัวหน้าช่างยิ่งนัก
เมื่อเสร็จแล้วก็นำมาเทยังแบบพิมพ์ครั้นได้ทีแล้วช่างก็เริ่มตีดาบ โดยชายหัวหน้าช่างเป็นคนลงมือเอง
เขาตีไปชุบน้ำไปครั้นตีจนได้ที่แล้ว จึงนำไปลับดาบให้คมพร้อมนำมาชุบในน้ำ เขาคิดว่าคงจะเป็นน้ำยาด้วยไม่
เหมือนน้ำทั่วๆไป ครั้นเย็นลงจึงนำมาส่งมอบให้แก่ชายชรา ชายชราก็นำมาส่งให้ชายหนุ่ม
ชายหนุ่มจึงกล่าวแก่ชายชราว่า
“ท่านผู้เฒ่าโปรดทดลองดาบเล่มนี้ด้วยตนเองเถอะ แล้วนำไปทดลองกับกองท่อนเหล็ก
ที่ข้าเองกระทำเมื่อสักครู่นี้เถิด”
เมื่อชายชราฟังเช่นนั้นแล้วก็เดินถือดาบที่สร้างเสร็จใหม่ๆมาเดินไปทางด้านกองเหล็ก
แล้วยกดาบขึ้นฟันไปทันทีผลปรากฏว่าท่อนเหล็กทั้งหลายที่เรียงกองไว้
ขาดสะบั้นไปเกือบหมดสิ้น ทำให้ชายชราถึงกับอุทานออกมาตลึงต่อดาบเล่มนี้ทันที
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หันมากล่าวกับชายหนุ่มว่า
“โอ้ๆ...พ่อหนุ่มมันช่างพิสดารจริงๆนะแล้วสิ่งที่พ่อหนุ่มใส่ลงไปในเบ้าหลอมเป็นก้อนแก้วสีแดงนั้นคือ
อะไรหรือจึงทำให้ดาบเหล่านี้คมกล้ายิ่งนักสามารถตัดเหล็กกล้าขาดกระจุยได้ล่ะ”
ชายหนุ่มหัวร่อเบาๆแล้วเล่าเรื่องความเป็นมาเกี่ยวกับก้อนแก้วสีแดงใสๆ ซึ่งเขาก็พึงสังเกตเห็นว่าก้อนหิน
เลือดของพญางูนี้บัดนี้กลายเป็นก้อนแก้วใสๆสีแดงไปแล้ว ให้แก่ชายชราฟัง ทำให้ชายชราถึงกับอุทานขึ้น
อีกครา พร้อมขอชายหนุ่มพิจารณาดูอีกครั้งหนึ่ง เขาจึงล้วงหยิบมาให้ชายชราดูมันเป็นแก้วสีแดงสวยสดใส
มากๆ แล้วจึงส่งคืนให้ถามว่า
“แล้วพ่อหนุ่มพกมามากมายนักไม่หนักหรือ”
“ท่านผู้เฒ่าก็ดูแล้วนี่นาว่าก้อนแก้วนี้เบายิ่งนัก ข้าเอามาย่ามหนึ่ง เดี๋ยวจะแบ่งให้นายช่างใช้ในการทำ
อาวุธต่างๆไว้ให้แก่เหล่าทหารทั้งหลาย ให้ท่านเรียกนายช่างมาข้าจะอธิบายให้เขาฟัง”
เมื่อชายชราได้รับฟังเช่นนั้น ก็หันไปเรียกนายช่างที่ยังยืนอ้าปากค้างอยู่เมื่อเห็นการทดลองดาบที่เขาเอง
ทำขึ้น แทบไม่เชื่อสายตามว่ามันจะมีอานุภาพมากมายเช่นนี้ เมื่อเขาเข้ามาแล้วชายหนุ่มก็กล่าวกับนายช่างทันที
“นี่แน๊ะ...นายช่างข้าจะมอบสิ่งของให้ท่านไว้ใช้ในการหล่อเหล็กแต่ให้เอาอาวุธที่ทำไว้แล้วนำมาหลอมใหม่
ด้วยพร้อมทำก้อนเหล็กกลมๆจำนวนมากไว้ เมื่อใส่เหล็กในเบ้าต่างๆแต่ละเบ้าใช้ทำอาวุธต่างๆ
ให้ท่านนำก้อนแก้วนี้ใส่ไปในเบ้าล่ะหนึ่งเม็ดด้วยนะ ส่วนเหลือจากเทเหล็กแล้วให้เหลือไว้ไม่ต้องหมด
ให้ใส่เหล็กเติมไปเรื่อยๆจนครบ แล้วถึงจะมาทำเป็นอาวุธด้วยล่ะ หากหมดประกายแสงก็ให้เติมก้อนแก้วนี้ลงไป”
“ขอรับท่านพ่อหนุ่ม” นายช่างซึ่งมีอายุค่อนข้างจะชราน้อมกายกล่าว
แล้วชายหนุ่มก็ล้วงในย่ามหยิบก้อนแก้วสีแดงออกมาจำนวนหนึ่งมอบให้แก่นายช่างไว้กำชับว่าเริ่มทำโดย
ให้สักเกตุว่าหากเบ้าใดที่มีแสงประกายเกิดขึ้นคือเบ้าที่ใส่ก้อนแก้วลงไปแล้วถือว่าใช่ได้แล้วจึงนำมาทำอาวุธต่างๆ
ได้ เราจะกลับแล้วล่ะอย่าลืมคำเตือนของเราเสียล่ะ
ว่าแล้วชายหนุ่มก็ชวนชายชรากลับยังที่พัก ส่วนชายชรานั้นก็ไม่ลืมที่จะนำดาบเล่มที่ทดลองนี้ติดตัวไปด้วย
เพราะเชื่อมั่นในคมดาบนี้ยิ่งนักซึ่งดีกว่าดาบประจำตัวเสียอีกเห็นทีคงจะใช้เป็นอาวุธคู่กายกระมัง
ชายหนุ่มคิด แล้วพลางเดินสนทนากันไปเรื่องราวต่างๆนานาเกี่ยวกับการสร้างทหารให้มีความแข็งแกร่ง
จนถึงที่พัก แล้วพลันพบเจ้าพบเจ้าหญิงที่ยืนคอยอยู่หน้าประตูถ้ำอยู่ก่อนแล้วทั้งสามก็เดินเข้าไปข้างใน
ชายชราเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้แก่เจ้าหญิงฟังทุกประการ ทำให้หญิงสาวถึงกับตาโตและขอดูดาบพลาง
ทดลองกับหินย้อยที่ส่งประกายงดงามทันที ผลหินย้อยได้ขาดหล่นตกลงมาทันที หล่อนจึงหันไปกล่าวขึ้นว่า
หากมีดาบเช่นนี้สักเล่มหรือมีดเล็กก็จะดี ชายชราจึงกล่าวว่าหากต้องการเช่นนี้
จะสั่งให้ไปจัดการสร้างมีดเล็กให้แก่หล่อนด้วยตอนนี้กำลังสร้างกันอยู่ทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆไว้
คงจะมีการสร้างไว้แล้วด้วยชายหนุ่มได้มอบของสิ่งหนึ่งให้แล้วล่ะ หญิงสาวครั้นทราบ
รายละเอียดก็ขอชายหนุ่มดูแก้วสีแดงใสๆ ชายหนุ่มก็ล้วงหยิบมาให้ก้อนหนึ่ง นางนำมาพิจารณาดูแล้วเอ่ย
ปากขอต่อชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มยิ้มพร้อมทั้งเลือกในยามที่มีลักษณะสวยงดงามที่สุดส่งให้แก่หญิงสาวทันที
หญิงสาวก็มอบก้อนเดิมคืนให้รับของใหม่มาพร้อมทั้งซุกไปไว้ในอกเสื้อชั้นใน พลางถามว่า
“ท่านผู้กล้าหาญทำไมถึงพกมามากมายนักล่ะ”
“อ้อๆแม่นางข้าพเจ้าใช้เป็นอาวุธของข้าเองแหละในการขว้างปาไปยังศัตรูเองแหละแม่นาง” ชายหนุ่มตอบ
“แหม...น่าเสียดายนักนะด้วยมีความสวยงามเช่นนี้” หญิงสาวกล่าวขึ้น
“ก่อนนั้นมันแค่ก้อนหินสีแดงธรรมดาเท่านั้นหรอกแม่นาง แต่บัดนี้เหตุใดจึงกลายเป็นหินสีแดงสดใสข้าเอง
ก็ไม่อาจจะทราบได้ พึ่งจะรู้ก็ตอนที่นำให้ช่างใส่ลงไปในเบ้าหลอมเหล็กนั่นแหละ” ชายหนุ่มกล่าวขึ้น
“นอกจากเป็นอาวุธท่านแล้วจะมีประโยชน์อะไรหรือไม่ล่ะท่านผู้กล้าหาญ” หญิงสาวถามหินสวยงามนี้
“ จากที่ข้าเองรู้จากท่านผู้เฒ่ากล่าว่าสามารถป้องกันสิ่งร้ายๆได้ด้วยนะแม่นาง” ชายหนุ่มกล่าว
พร้อมทั้งล้วงในยามหยิบมาอีกก้อนหนึ่งส่งมอบให้ชายชราแม่ทัพใหญ่ทันที กล่าวบอกให้เก็บเอาไว้อาจจะเป็น
ประโยชน์ในกาลเบื้องหน้าก็เป็นไปได้
ทันใดนั้นเสียงกึกก้องแว่วเข้ามาพร้อมร้องเอะอะของเหล่าทหารทั้งหลาย ทำให้ทั้งหมดสงสัยจึงรีบออกไป
จากถ้ำมองทันที ทหารคนหนึ่งเข้ามารายงานว่ามีฝูงม้าป่าจำนวนมากมายนักกำลังมุ่งมาทางหุบเขานี้ เมื่อเป็น
เช่นนั้นชายชราทราบดีว่าเป็นอะไร จึงสั่งบอกให้ทหารนั้นรีบไปแจ้งแก่บรรดาทหารทั้งหลายที่เฝ้าปากทางปล่อย
ให้ฝูงมาทั้งหลายผ่านเข้ามาอย่าทำอันตรายโดยเด็ดขาด
บัดดลยังมิทันทีทหารจะออกไปก็ปรากกฎร่างเจ้าสีเทานำฝูงม้ามาจำนวนมากมายนัก เจ้าสีเทาวิ่งเข้ามาพร้อม
ยกขามันขึ้นร้องก้องแล้วเข้าคลอเคลียชายหนุ่มทันที ที่ได้ห่างหายกันไปหลายวันชายหนุ่มก็ลูบไล้จูบไปบนหน้า
มัน พร้อมกับมองไปด้านหลังเห็นฝูงม้านั้นมากกว่าบริวารเจ้าสีเทามากนัก ก็ให้สงสัยแต่ด้วยปฏิภาณเขาจึงพอจะ
เดาได้ว่าเจ้าสีเทามันคงจะไปชักชวนบรรดาฝูงม้าป่าทั้งหลายให้มาร่วมกับมัน ด้วยการเข้าต่อสู้กับจ่าฝูงจนได้รับ
ชัยชนะแก่ฝูงม้าทั้งหลายแล้วนำมันมาที่นี่ ดังนั้นจึงได้มีจำนวนมาป่ามากมายนัก
ชายชราอดีตแม่ทัพใหญ่ก็หันไปสั่งการให้ทหารช่วยกันสร้างที่พักให้แก่เหล่าม้าป่าแล้วเรียกผู้ฝึกม้ามาพร้อม
กับสั่งให้ค่อยๆฝึกม้าทั้งหลายให้คุ้นและใช้ในการศึกต่อไป ทหารเหล่านั้นก็รับคำแล้วไปจัดการหาอาหารน้ำให้
แก่เหล่าม้าทั้งหลาย ซึ่งบัดนี้เจ้าสีเทาส่งเสียงร้องกู่ก้องขึ้นทำให้บรรดาฝูงม้าป่าที่แตกตื่นจะเข้าทำร้ายทหารที่จะ
เข้าไปหยุดชะงักทันที และยินยอมให้ทหารเหล่านี้เข้าไปจับต้องตัวมันได้มันคงได้รับการกำชับของเจ้าสีเทา
นั่นเอง ดังนั้นจึงไม่ยากนักเมื่อเหล่าทหารสร้างคอกที่พักให้แก่ม้าทั้งหลายนับหลายๆหลังเพราะมีจำนวน
ประมาณเกือบกว่าสามร้อยตัวได้เข้าอาศัยยังคอกแต่โดยดีและลงมือกินอาหารน้ำที่ทหารนำไปมอบให้................
* แก้วประเสริฐ. *
26 กุมภาพันธ์ 2553 14:36 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 31
“อ้า???.... แล้วข้าหรือจะช่วยเหลือแม่นางได้อย่างไรกันล่ะ ในเมื่อข้าเองก็มีเพียง
แค่หนึ่งคนสามสัตว์เท่านั้นเอง” ชายหนุ่มตอบ
ครั้นแม่นางได้ยินชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น พลางเอ่ยขึ้น
“แต่ข้าน้อยพิจารณาแล้วว่า ในเมื่อท่านสามารถผ่านป่าทึบอันอุดมไปด้วยสัตว์น้อย
ใหญ่และล้วนแต่อันตราย พวกเรายังไม่กล้าล่วงล้ำเข้าไปอาศัยอยู่ได้ ด้วยบรรดาสัตว์
ทั้งหลายหาใช่เหมือนกับแถบบริเวณแถวนี้ไม่ ล้วนแต่ดุร้ายและร่างกายใหญ่โต ก่อนนั้น
ข้าน้อยก็เคยนำพวกหลบหนีไปเป็นจำนวนมาก แต่ต้องพ่ายแพ้แก่สัตว์ที่อาศัยอยู่ในที่นั่น
จนเหลือผู้คนรอดกลับมาได้ไม่มากนัก เจ้าค่ะ”
“อ้อๆๆ??ด้วยเหตุนี้เองหรือ ข้าเองก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอดนับ ตั้งแต่หลงพลัดเข้าไป
ในนั้นและหาทางออกแทบไม่เจอ ต้องอาศัยหนทางของลำธารเป็นหลักมุ่งหน้ามาจึงจะ
สามารถออกมาได้เหมือนกัน แต่ก็ต้องใช้เวลาเนิ่นนานจนเจ้าลิงขนทองยังเล็กๆนักจนกระทั่ง
มันเป็นหนุ่มไปเสียแล้วล่ะ อันที่จริงที่นั่นล้วนแล้วแต่สัตว์ประหลาดๆร่างกายใหญ่โตยังกับ
ภูเขาลูกย่อมๆเลยทีเดียวไม่ใช่ดินแดนของมนุษย์อาศัยอยู่ แต่คงจะยังไม่ถึงฆาตของข้ากระมัง
จึงสามารถพยุงชีวิตรอดออกมากได้นะแม่นาง” ชายหนุ่มกล่าวขึ้น
“ นั่นซิท่านผู้กล้าหาญ เราถึงได้เรียกท่านเช่นนั้นด้วยเราและพวกก็เผชิญภัยจากสัตว์เหล่านี้
มาแล้วขนาดตัวเดียวนะ ยังเหลือทหารรอดกลับมาได้น้อยส่วนคนฝีมืออ่อนๆก็สิ้นชีวิตเป็น
อาหารแก่พวกมันเสียสิ้นจ๊ะ” องค์หญิงตอบแก่ชายหนุ่มพร้อมใบหน้าละห้อยยิ่งนัก
“เอาอย่างนี้ดีกว่า ไหนๆข้าก็ตัวคนเดียวไร้ที่อยู่อาศัยหากได้พักพิงกับแม่นางและช่วยเหลือได้
เท่าที่จะช่วยได้ ข้าเองหาใช่เก่งกาจอะไรไม่เพียงแต่โชควาสนาค้ำจุนแก่เราหรือว่าดวงยังไม่ถึงที่
ตายก็อาจจะเป็นไปได้ ถ้าหากแม่นางจะให้เราอยู่เราก็ไม่ขอปฏิเสธแม่นางหรอกแต่แม่นางจะให้
เราทำอะไรได้บ้างล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นกับองค์หญิง
“ข้าน้อยดูจากอาวุธของท่านที่เปล่งประกายเจิดจ้ายิ่งนัก และท่าทางองอาจสง่างามการสะพาย
อาวุธก็หาใช่บุคคลไร้ฝีมือก็หาไม่ กลับบ่งบอกถึงลักษณะที่ซ่อนเร้นของท่านผู้กล้าหาญเอาไว้ดุจ
ประกายอัญมณีที่ยังไม่กระทบแสงฉันท์ใดฉันท์นั้นแหละ แม้แต่ท่านผู้เฒ่าเองก็ยังตลึงต่อท่านนัก
หากไม่เป็นดังที่ข้าน้อยกล่าวไว้ ท่านผู้เฒ่านี้ยากจะพยายามให้ท่านอยู่ด้วยท่านเป็นถึงแม่ทัพใหญ่
แห่งนครอิสราวดี มีความรอบรู้วิชาการต่างๆมากมายรอบด้านทีเดียว
แต่ท่านหากจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอันใหญ่โตก็ได้ไม่ยากนัก แต่ท่านเป็นคนที่ถ่อมตัวรัก
แคว้นยิ่งกว่าชีวิตหาได้ทะเยอทะยานต่อลาภยศชื่อเสียงแต่ประการใด เพียงขอแค่รับใช้พวกเรา
และขอแค่เพียงแม่ทัพใหญ่ไว้เพื่อคอยปกป้องเมืองเท่านั้นอื่นๆใดหาได้ต้องการไม่
เสด็จพ่อเรามิอาจขัดใจท่านผู้เฒ่าได้ด้วยทราบถึงเจตนารมณ์แต่ก็ดีไป เหตุการณ์สงบและยังสามารถ
ทำทุกๆคนเกรงกลัวควบคุมอำนาจที่พวกข้าราชการทั้งหลายไว้ นี่หากเราไม่ให้ท่านผู้เฒ่า
ไปติดตามหาคนๆหนึ่งแล้ว เราเองก็หาได้เป็นดั่งเช่นนี้ไม่หรอกท่าน”
พระนางกล่าวด้วยน้ำเสียงสลดใจเศร้าสร้อยยิ่งนัก พร้อมกับหยาดน้ำตารินหลั่งไหลออกมา
เปื้อนทั้งสองแก้มรินหยดลงบนเสื้อ จนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสงสารครั้นจะไปช่วยเช็ดหยาดน้ำตา
ให้แก้ไม่สมควรยิ่งนัก จึงเอ่ยปากว่า
“ก่อนที่ข้าจะมาหาได้มีฝีมือแต่ประการใดไม่ จนกระทั่งข้าเองพลัดเข้าไปยังป่าทึบนั้นข้าได้
พบสถานที่แห่งหนึ่ง จะด้วยโชควาสนาของข้าก็ไม่รู้จึงได้พบของอันเป็นตำรับตำราใช้ในการ
ฝึกสอน ตลอดจนค่ายกลต่างๆจากผู้ใดก็มิอาจจะทราบได้ จึงได้ร่ำเรียนและฝึกฝนจนใช้วิชาการ
ต่างๆผ่านพ้นมาได้ หากแม้นว่าข้าเองได้อยู่กับท่านก็คิดจะจัดการด้านทหารเสียใหม่และฝึกฝนเขา
ให้เป็นตามหลักวิชาการในตำรา ถึงมาดแม้นว่าคนจะน้อยก็ตามทีหาใช่ว่าจะไร้ประโยชน์อันใดก็
หาไม่ หากประกอบด้วยการวางค่ายกลด้วยแล้ว แม้นข้าศึกมาด้วยจำนวนหมื่นแสนก็มิอาจจะทำ
อันตรายใดๆแก่เหล่าทหารที่น้อยนิดนี้ได้ ตามตำราที่บ่งบอกและข้าเองก็เชื่อมั่นเช่นกัน ตลอดจน
วิทยาคมต่างๆซึ่งยากจะฝึกสอนได้ ข้าคิดว่าหากไม่ขัดใจแม่นางกับท่านผู้เฒ่าแล้ว ข้าเองก็จะขอ
อนุญาตควบคุมสถานการณ์เหล่านี้ด้วยตนเอง และใช้ในการฝึกสอนวิชาการต่างๆซึ่งอาจจะผิดกับ
หลักการฝึกดั่งเดิมด้วยล่ะแม่นาง” ชายหนุ่มเกิดความสงสารและคิดจะช่วยเหลือแม่นาง
เมื่อแม่นางแห่งอิสราวดีและท่านแม่ทัพใหญ่ได้ยินคำกล่าวของชายหนุ่มเช่นนี้ ต่างก็พากัน
ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ถึงกลับน้อมกายลงคาราวะแก่ชายหนุ่มทันทีพร้อมๆกัน พร้อมกับท่านผู้เฒ่าเอ่ยว่า
“หากมาดแม้นได้ท่านมาช่วยเหลือและช่วยอบรมวางระบบการปกครองใหม่ก็ถือได้ว่าเป็นบุญ
วาสนาต่อพวกเรามาก ตกลงข้าพเจ้าจะเรียกมวลทหารที่นี่ทั้งหมดมาให้ท่านฝึกฝนรับรู้วิชาการต่างๆ
จากท่าน เพื่อใช้ในการปกป้องข้าศึกที่ข้าได้รับรายงานมาว่า เรื่องของที่นี่ได้ถูกรายงานไปในเมือง
ที่ไอ้มหาอำมาตย์ตอนนี้มันเพียงแค่รักษาการณ์อยู่ แต่คงไม่นานหรอกมันก็จะเถลิงตัวเองเป็นกษัตริย์
แทนเพื่อครอบครองอาณาเขตเมืองขึ้นทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วยเจ็ดแคว้นหรืออาจจะเป็นแปดแคว้น
ก็อาจจะเป็นไปได้ในไม่ช้าไม่นานนี้ ซึ่งลุ่มน้ำอิรวดีเป็นแม่น้ำใหญ่ใช้หล่อเลี้ยงเหล่าแคว้นต่างๆไว้
ตลอดจนเมืองอิสราวดีด้วย แต่ด้วยบารมีของเจ้าเหนือหัวองค์ก่อนจึงได้รวบรวมปกครองไว้ อันได้แก่
แคว้น กะฉิ่น แคว้นกะยา แคว้น กะเหรี่ยง แคว้นฉาน แค้วนรัฐชิน แคว้นรัฐมอญ แคว้นยะไข่
ซึ่งเราทราบว่าเมืองตองอูซึ่งอยู่ในแคว้นดังกล่าวกำลังคิดแยกตัวออกมา หากไอ้มหาอำมาตย์มันขึ้น
เป็นกษัตริย์ได้ก็ย่อมจะมี พลานุภาพอำนาจการเมืองยิ่งขึ้น แต่ไม่ทราบเหตุผลกลใดถึงยังไม่กล้าขึ้น
ดำรงตำแหน่งก็ไม่อาจจะรู้ได้ท่านผู้กล้าหาญ” ชายชรากล่าวขึ้น
“ โอ้โฮ???.....สามารถปกครองได้มากมายเช่นนี้นับว่าย่อมมีทหารที่เก่งกล้าสามารถตลอดจน
เชี่ยวชาญการศึกยิ่งนัก นั่นนะซิท่านเองมองการไกลถึงขอควบคุมเหล่าทหารไว้ทั้งหมดนี่เอง”
ชายหนุ่มอุทานแล้วกล่าวขึ้น
“ถูกแล้วพ่อหนุ่มหากเราไม่ทำแบบนี้ป่านนี้บรรดาแคว้นต่างๆซึ่งตลอดเวลา
พร้อมจะแยกตัวออกไปกัน แต่เนื่องจากมันเกรงใจเรานั่นเองจึงยังคงมิกล้าที่จะทำการ
ใดๆขึ้นมา แต่ตอนนี้เมื่อข้าพเจ้าไม่อยู่เสียแล้ว ข้าคิดว่าอีกไม่นานนักหรอกบรรดาแว่นแคว้นต่างๆ
ก็จะแยกตัวออกจากเมืองอิสราวดีแน่นอนพ่อหนุ่ม” ชายชรากล่าวตอบชายหนุ่ม
“ช่างเถอะท่านผู้เฒ่าแม่นางเอย เราไม่ต้องคำนึงถึงกาลนี้หรอก เพียงแต่เรารับปากพวกท่าน
เมื่อรวบรวมเหล่าทหารและนำกำลังเข้ายึดเมืองอิสราวดีคืน
ให้แก่แม่นางได้ก็เพียงพอแล้ว ส่วนแว่นแคว้นอื่นค่อยๆปราบปรามไป
ตั้งแต่เล็กไปหาใหญ่ก็คงไม่ยากเท่าไหร่นัก หากเราได้เมืองมาแล้วจัดฝึกฝนยุทโธปกรณ์ให้แก่เหล่าทหาร
จนแก่กล้าก่อน ตลอดไพร่ฟ้าประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุขเรียบร้อยแล้วนั่นแหละถึง จะไปรวบรวมกันใหม่
อีกครั้งหนึ่ง ท่านผู้เฒ่าและแม่นางเห็นเป็นประการใดเล่า” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยความกระตือรือร้นยิ่งนัก
“พวกเราเชื่อมั่นว่าท่านเองสามารถจัดการได้ ด้วยหากไม่มีความสามารถคงไม่ผ่านด่านป่าทึบอันร้ายกาจ
นี้ออกมาได้หรอก และยิ่งได้ฟังท่านกล่าวถึงวิชาการต่างๆอีกตลอดจนรับหน้าที่ช่วยในการฝึกสอนก็ยิ่งทำให้
พวกเราเกิดกำลังใจมากยิ่งขึ้น เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เช้าเราจะเรียกทหารทั้งหมดให้มาสลับผลัดเปลี่ยนการฝึกอาวุธ
และจะนำท่านไปตรวจดูภูมิประเทศต่างๆก่อนเพื่อจะได้หาทางวางค่ายกลตามที่ท่านกล่าวไว้” แม่นางกล่าว
“ตอนนี้ขอเชิญท่านเข้าไปพักผ่อนและรับทานอาหารก่อนเถิด แต่บอกก่อนว่าเสบียงอาหารเรามีไม่มาก
นักพอแค่ประทังท้องไปวันๆหนึ่งเท่านั้นเอง” ท่านผู้เฒ่ากล่าว
“หามิได้เรื่องอาหารนั้นเราทานแค่ผลไม้หาได้แตะต้องเนื้อสัตว์ใดๆไม่ จึงไม่ต้องรบกวนท่านทั้งหลาย
หรอก เพียงเราจะให้เจ้าลิงทั้งสองไปค้นหาผลไม้เอาเองแหละท่าน” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นบ้าง
“อ้าวๆ????....ท่านไม่ทานเนื้อสัตว์เลยหรือ” ทั้งหมดถามด้วยความสงสัย
“ใช่แล้วท่านผู้เฒ่าแม่นางเราเว้นจากเนื้อสัตว์มานานเสียนานแล้ว ด้วยอยู่ในป่าลึกทานแต่ผลไม้จนเคย
ชิน ครั้นเราทำลายบรรดาสัตว์มีเนื้อเราก็หาได้ทานมันไม่ ท้องข้าจึงเคยชินแต่ผลไม้เท่านั้นเอง” ชายหนุ่มกล่าว
“ถ้าอย่างงั้นเราจะให้ทหารไปเก็บผลไม้มาให้เองไม่ต้องให้ลิงทั้งสองท่านต้องเหนื่อยยากหรอก”
ผู้เฒ่ากล่าว ขึ้นและ ณ ที่นี้ข้าขอแต่งตั้งท่านขึ้นบัญชาการทหารทั้งหมดมอบให้แก่ท่านดูแลก็แล้วกัน ตลอดจน
จะแจ้งข่าวให้ท่านเหมี่ยวนรธานายกองที่แฝงตัวอยู่ในเมืองปลอมตัวเป็นพ่อค้าและมีสาขาอีกมากมายด้วย อ้อๆๆ
เราขอมอบตราประจำตัวให้ท่านรับไว้เสียเลย หากมาดแม้นท่านเดินทางไปในเมืองบรรดาทหารที่ปลอมตัวหาก
เห็นดวงตรานี้ก็จะยินยอมอยู่ในอำนาจท่านทั้งสิ้น “ พร้อมๆชายชราก็ปลดสายสร้อยออกมาจากคอมอบให้แก่
ชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มเมื่อยินยอมรับหน้าทีแล้วก็ยื่นมือขึ้นไปรับ แล้วกล่าวว่า
“ในระหว่างที่ก่อนเราจะออกจากป่านี้มาเราได้พบชายชราอาศัยอยู่ในปราสาทแห่งหนึ่งท่านซึ่งเป็นเจ้าของ
ลิงขาวนั้นได้มองข้าเองและหลับตา ครั้นลืมตาขึ้นมาจึงได้มอบสร้อยดวงตราให้แก่ข้าไว้ว่าเป็นของประจำตัวข้า
แต่ข้าเองก็งุนงง เพียงกล่าวเป็นนัยๆไว้เท่านั้นเองแล้วจากมา ต่อมาได้เดินทางมาอีกและพบกับเจ้าชายชรา
โฉดชั่วยิ่งนักมันคิดทำร้ายข้า แต่ก็พ่ายแพ้ไปหนีไปแต่มันได้เสียแขนไปข้างหนึ่ง ข้าจึงได้ทำลายปราสาม
หรือบ้านก็ไม่เชิงแต่เราได้ค้นพบของสิ่งหนึ่งเป็นดวงตรากับกระบองสีดำจะว่าดำก็ไม่เชิงนัก แต่เรามอบให้
แก่เจ้าขนทองเป็นอาวุธประจำตัวมันไว้ เราจึงมีดวงตราสองดวงเราจะมอบให้ ท่านลองพิจารณาดู
ซิว่าเป็นของอะไรเราเองก็ไม่รู้เพียงแต่ติดตัวมาเท่านั้น ท่านเป็นผู้ใหญ่ทีกว้างขวางในบรรดา
แคว้นทั้งหมดอาจจะล่วงรู้ความเป็นมาเป็นได้ก็ได้ “ ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับปลดสายสร้อยทั้งสอง
ส่งให้แก่ชายชราพิจารณาดูทันที มอบตราดวงแรกให้ชายชราก่อน
“ผู้ที่บอกให้ข้าไปเอาบอกว่าเป็นของประจำราชวงศ์มานมนานแล้ว และไม่ใช่ของประจำตัวดังชายชรา
คนแรกกล่าวหรอก หากมีคนที่รู้จักเห็นก็จะแจ้งให้แก่ข้าทราบเองได้แหละ”
ครั้นชายชราและแม่นางกษัตริย์เห็นดวงตรานั้นก็ถึงกับตลึงทั้งหมด
พลางทรุดกายลงนั่งทันทีพร้อมยกมือพนม กล่าวอุทานเสียงขึ้นพร้อมกันเกือบเป็นเสียงเดียวกันว่า
“ท่านมหาอุปราชพระเจ้าข้า นี่คือตราประจำตัวของท่านมหาอุปราบแห่งแคว้น “ศิระสุริยันต์” ก่อนนั้นเป็น
เมืองที่ควบคุมอำนาจแถบนี้ทั้งหมดดังที่กล่าวรวมทั้งแคว้นอิสราวดีด้วยพระเจ้าข้า ไม่คิดเลยว่าข้าติดตามหามา
นานแสนนาน เวลาจะพบก็พบได้โดยมิได้คาดฝัน” ชายชรากล่าว พร้อมกับผายมือมาทางแม่หญิงที่ก็ยกมือไหว้
อยู่ กลางกล่าวว่า
“นี่คือแม่นาง “ อิสรวดีนารี” อันเป็นคู่หมั้นหมายของพระองค์พระเจ้าข้า” ผู้เฒ่ากล่าวด้วยความยินดีดีใจ
เป็นที่สุด ส่วนแม่นางนั้นก็ก้มหน้าเขินอายไปมิอาจจะกล่าวใดๆทั้งสิ้น ส่วนอีกดวงตราหนึ่งเป็นดวงตราแผ่นดิน
ประจำเมืองอิสราวดีที่หายสาบสูญไปหลังจากพระเจ้าแผ่นดินสิ้นพระชนม์ชีพ เราได้ติดตามค้นหาเช่นเดียวกัน”
ชายหนุ่มตกตลึงทันทีหรือว่าเราอาจจะเป็นเหมือนคำเหล่านี้ หรือว่าเราหลงมาในมิติลี้ลับขึ้นมาแล้วกระมัง
เราเองนั้น สมัยก่อนแค่สามัญชนธรรมดาเท่านั้นนี่นา หรือว่า?????....เอาเถอะเข้าเมืองตาหลิ่วแล้วก็หลิ่วตาตาม
ก็แล้วกันชายหนุ่มคิด ด้วยเหตุการณ์มันก็แตกต่างกันสิ้นเชิงอยู่แล้วนี่นา พลางชายหนุ่มอุปโหลกขึ้นกล่าวทันที
“นี่หรือดวงตราท่านมหาอุปราชแห่งแคว้นศิระสุริยันต์นคร แต่หาใช่ของเรามาก่อนไม่ เพียงแต่มีคนเขาบอก
เราไว้อีกทีหนึ่งนะ ท่านลองทบทวนใหม่ซิท่าน”
“คงไม่ผิดหรอกพระเจ้าข้า ด้วยใบหน้าตลอดลักษณะท่าทางรูปร่างเสมือนเป็นบุคคลเดียวกัน จึงเชื่อมั่น
ยิ่งนัก ตอนที่เห็นพระองค์ครั้งแรกแล้วก็ให้นึกฉงนจนตกตลึงไป” พลางหันมาทางแม่นางเคียงข้างพลันกล่าว
แก่แม่นางกษัตริย์ทันที
“พระองค์ทรงทอดพระเนตรเหมือนข้าพเจ้าคิดหรือไม่พระเจ้าข้า”
“ไม่ผิดหรอกท่านแม่ทัพใหญ่ เราเองก็ตกใจแต่แรกที่เห็นใบหน้าเขาเต็มๆแล้วล่ะ คงไม่ผิดหรอก” แม่นาง
กษัตริย์ตรัสขึ้น
“เอาล่ะๆ??.... จะเป็นมหาอุปราชหรือไม่ก็ตามทีแต่ตอนนี้ การเรียกของพวกท่านทำให้ข้าเขินใจยิ่งนัก
ขอให้พวกเราเรียกกันแบบธรรมดาดีกว่า ท่านเรียกข้าว่าหลานชายก็ได้ ส่วนแม่นางก็คือลูกสาวท่านก็แล้วกัน
ต่อไปนี้ มิควรจะใช้คำเหล่านี้เพราะจะทำให้เป็นที่สงสัยแก่ศัตรูเราได้ และอย่าได้ลืมตัวไปเสียล่ะ”
ชายหนุ่มตัดบทความเสีย
ครั้นเวลารุ่งเช้าของวันใหม่ ชายชราก็พาชายหนุ่มออกตรวจดูบริเวณทั่วๆไป พร้อมสั่งให้
ทหารใกล้ชิดไปแจ้งแก่บรรดาทหารทั้งหลายให้มารวมตัวกัน
ที่ลานหน้าถ้ำทั้งหมด เพียงให้เหลือไว้คอยดูแลต้นทางบางทีเท่านั้น ดังนั้นเมื่อทหารทั้งหมด
ที่แต่งกายแบบชาวบ้านมารวมตัวขึ้นยืนแบบอย่างทหาร จัดเป็นหมวดหมู่ตามระเบียบทหารแล้ว
ชายชราก็ประกาศเสียงดังลั่นแก่เหล่าๆทหารทั้งหลายว่า
“บัดนี้เราขอมอบอำนาจสั่งการทั้งหมดให้แก่ ชายหนุ่มหลานเราคนนี้ที่พึ่งมาถึงเพื่อช่วยเหลือในการกอบกู้
เอกราชกลับคืนมา ฉะนั้นทุกๆคนจงเชื่อฟังคำสั่งเขาประดุจคำสั่งเราเช่นกัน หากคนใดฝ่าฝืนจะถูกลงโทษตาม
กฎของทหารไม่ยกเว้นทั้งสิ้น” กล่าวจบก็หันมาทางชายหนุ่มพร้อมให้ชายหนุ่มกล่าวแก่มวลทหารทั้งปวงด้วย
“เอาล่ะทหารอันเป็นที่รักของข้าทั้งหลาย มาดแม้นว่าข้าเองพึ่งจะมาถึงก็ตามทีแต่หากผิดพลาดอะไรไปบ้าง
ก็ขอท่านที่ปกครองบรรดาทหารตามชั้นๆช่วยบ่งบอกชี้แจงแนะแก่ข้าได้ ข้าถือเสมือนว่าพวกท่านทั้งหลายหาใช่
ใครอื่นใดไม่ ข้าคิดว่าเรามาเป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกันจะดีกว่าช่วยกันรักษาบ้านเรือนเราให้เรียบร้อย ถึงแม้
ว่าจะต้องอยู่ในระเบียบกฎข้อบังคับบ้าง ก็อย่าได้คิดอะไรมากผิดกันก็ต้องว่าเป็นผิด ถูกก็ว่าเป็นถูก อภัยให้กัน
ได้ก็อภัยให้แก่กัน ฉะนั้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปให้หัวหน้าหมู่ นายกองทั้งหลายคัดพี่น้องเราออกมาฝ่ายละ
ยี่สิบคน ข้าเองจะทำการฝึกสอนด้วยตัวข้าเองเมื่อสำเร็จแล้วพวกเราก็จะผลัดเปลี่ยนกันไปจนครบกันทุกๆคน
ท่านหัวหน้ากอง หัวหน้าหมู่หรือว่าพี่น้องคนใดจะคัดค้านหรือแสดงความคิดเป็นอย่างอื่นใด
ก็ให้แสดงออกมาได้ไม่ต้องเกรงใจเรา” ชายหนุ่มกล่าวแก่มวลทหารทั้งปวง
เสียงไชโยโห่ร้องดังกังวานป่า เสียงทหารทั้งหมดกล่าวพร้อมเพรียงกันว่าจะเคารพเชื่อฟังชายหนุ่ม ต่างก็
ไม่มีปัญหาจะสอบถาม บรรดานายกองนายหมู่ต่างก็เข้าไปคัดเลือกเหล่าทหารตามที่ชายหนุ่มสั่งทั้งสิ้น โดย
แยกออกมาต่างหาก เป็นกลุ่มใหญ่ๆทีเดียว ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงกล่าวให้นายกองและหัวน้าหมู่แจ้งแก่ทหาร
ที่เหลือกลับไปทำหน้าที่ต่อไปได้ และยังกำชับให้หัวหน้ากองและหัวหน้าหมู่ไม่ต้องกลับให้ฝึกฝนกับชายหนุ่ม
อีกด้วย ดังนั้นเมื่อทหารกลับไปหมดแล้วชายหนุ่มก็เริ่มฝึกสอนวิชาการต่างๆให้แก่เหล่าทหารฝึกซ้อมกัน
โดยมิชักช้าทันที ด้วยเขาคิดว่าเวลาคงจะไม่มีมากนัก ส่วนการขว้างก้อนหินเขาก็ให้ลิงทั้งสองช่วยฝึกฝนทำเป็น
ตัวอย่างให้ดูอีกทางหนึ่งด้วย โดยแยกหมวดออกเป็นหน่วยขว้างปา หน่วยใช้ดาบ หน่วยใช้หอก ใช้ธนู ตาม
ลำดับไป หมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ
ระหว่างนั้นผู้เฒ่ากับแม่นางยืนมองดูการฝึกฝนของชายหนุ่มก็ให้แปลกใจยิ่งนัก ด้วยท่าร่างการฝึกฝนช่าง
แตกต่างไปกับเหล่าทหารหาญในแว่นแคว้นทั้งปวงเกือบจะหมดสิ้น เป็นท่าร่างแปลกๆใหม่ๆผสมผสานความ
รวดเร็วเป็นหลัก การหลบหลีกการเข้ากระทำช่างแปลกประหลาดมากนัก ทำให้ผู้เฒ่าถึงกับสะอึกระทึกใจนัก
นี่เองที่ทำให้ชายหนุ่มคนนี้รอดพ้นจากป่าดิบที่ร้ายกาจยิ่งนักมาได้ หากมาดแม้นว่าเหล่าทหารทั้งหมดนี้
สามารถฝึกจนเชี่ยวชาญก็ยิ่งง่ายต่อการสู้รบกับบรรดาเมืองแว่นแคว้นต่างๆได้อย่างง่ายดาย
เวลาผ่านไปๆในไม่ช้าเหล่าทหารทั้งมวลที่สับเปลี่ยนมาฝึกฝนก็เชี่ยวชาญการฝึกใหม่ๆและต่างสำนึกในบุญ
คุณของชายหนุ่ม ต่างพากันเรียกว่าท่านอาจารย์ทุกๆนายไปหมด เกิดความรักใคร่สามัคคีกลมเกลียวกันยิ่งขึ้น
ชายหนุ่มในยามว่างๆ ก็พาบรรดาเหล่าทหารที่ฝึกจนเชี่ยวชาญแล้วมาจัดตั้งกระบวนค่ายกลต่างๆ โดยเรียงราย
ทั้งภายนอกและภายในจนเป็นค่ายกลหลายๆค่าย แต่ที่สำคัญนักคือเหล่าทหารที่ชายหนุ่มคิดคือเรื่องม้าที่จะจัด
ตั้งกองกำลังไว้เป็นพิเศษ
ดังนั้นชายหนุ่มจึงไปหาเจ้าสีเทาและกล่าวกับมันพร้อมทำมือประกอบ เจ้าสีเทาเสมือนมันจะรู้ความหมาย
ของชายหนุ่มพร้อมๆกับร้องขึ้นยกขาหน้าทั้งสอง แล้วก้มหัวมาหาชายหนุ่มเลียไปตามใบหน้าเขาแล้วก็วิ่งออก
จากหุบผาเขาทันที ชายหนุ่มทราบว่ามันจะไปที่ใด แต่ท่านผู้เฒ่าและแม่นางมิทราบเจตนาของชายหนุ่มนี้
จึงกล่าวขึ้นว่า
“พ่อหนุ่มท่านใช้ม้าของท่านไปที่ใดหรือ”
“อ้อๆ...พ่อเฒ่าเราให้มันไปเรียกพวกพ้องของมันที่อยู่ในป่าดงดิบกลับมาเพื่อใช้ในสงครามข้างหน้าซึ่งเรา
จำเป็นต้องมีกองกำลังม้า บรรดาม้าที่เป็นลูกน้องของเจ้าสีเทาล้วนแต่เป็นม้าที่ดีและวิ่งรวดเร็วมากคะนองดุร้าย
มิเกรงกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น หากได้มาฝึกและมีเจ้าสีเทากำกับด้วยเห็นทีเราจะได้กองกำลังม้าหลายร้อยตัวไว้เป็น
กำลังสำคัญจ๊ะท่านพ่อเฒ่า”
“ด้วยเหตุนี้หรือ โอ้วๆๆ...ข้าเห็นการฝึกปรือทหารและเปลี่ยนแปลงวิธีการแล้วก็ให้ซาบซึ้งใจยิ่งนักผิดแผก
จากเหล่าทหารทั้งหลายในภูมิภาคนี้ไปเสียสิ้นเชิง..............
* แก้วประเสริฐ. *
25 กุมภาพันธ์ 2553 13:30 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 30
สงสัยเจ้าสีเทามันจะชำนาญทางแถบนี้ยิ่งนัก มันพาวิ่งไปตามทางที่เป็นทางใช้สำหรับ
เดินทางโดยเฉพาะ มันวิ่งได้รวดเร็วปานพายุมิมีผิดประเดี๋ยวเดียวทั้งหมดก็ห่างขุนเขามา
เขาหันไปมองด้านหลังเห็นอยู่ห่างไกลมากๆ แสดงถึงฝีเท้าของเจ้าสีเทาสมกับเป็นจ่าฝูง
ของม้าป่าทั้งปวง เขาคิดฝูงม้าป่าที่มันคุมอยู่มันอาจจะปล่อยวางได้ด้วยพ้นภัยคงจะมีตัว
อื่นควบคุมแทนมันแน่นอน เมื่อมันมารับใช้เขาแล้วถึงกับทิ้งฝูงไปทีเดียว
ดังนั้นเขาจึงยิ่งมอบความรักให้แก่มันมากแสดงถึงว่ามันคงจะรักซื่อสัตย์เจ้านายมันนั่นเอง
พอวิ่งทิ้งขุนเขาไปจนมองดูลิบๆ เขาเห็นเส้นทางวกไปเวียนมาจวบมาจนเขาอีกลูกหนึ่งแต่
ต้นไม้นั้นมีไม่มากนักเหมือนที่เขาผ่านมาเลย เหตุนี้เขาจึงชะลอดึงร่างเจ้าสีเทาให้ผ่อนช้าๆลง
แล้วเดินเหยาะย่างชมดูว่า จะมีคนอาศัยอยู่หรือไม่ตามปกติตั้งแต่เขาผ่านมาจะหาผู้คนไม่พบ
เลยนอกจากฝูงคนที่ไล่ล่าเจ้าฝูงม้าป่ามาเท่านั้น แล้วพวกนั้นหายไปไหนหมดเขาสงสัยยิ่งนัก
พอเหยาะย่างม้าไปแบบช้าๆ เสียงโห่ร้องก้องดังออกมาจากเหลี่ยมเขามีคนประมาณสัก
ห้าหรือหกคนที่ขี่ม้ามุ่งมาทางเขา เขาหยุดม้าลงจ้องมองดูคนเหล่านั้นเพื่อดูว่ามันจะทำอย่างไร
กับเขา สักพักมันก็เข้ามารายล้อมรอบตัวเขา มีเสียงหนึ่งตวาดสอบถามเขาด้วยเสียงดังลั่น
“เอ็ง???....เป็นใครมาจากเมืองไหนว๊ะ!!!!....”
ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงราบเรียบทันทีว่า
“เราหาใช่คนในเมืองเหล่านี้ทั้งสิ้น เพียงเราออกจากป่าด้านโน้น พลางชี้มือให้มันดู เราหลง
ป่ามานาน พึ่งหลุดพ้นป่าและมาทางนี้ เราที่นี่เรียกว่าอะไรหรือท่าน” ชายหนุ่มตอบแบบสุภาพ
อาการดุดันของชายร่างกลางคนแต่กำยำยิ่งนักค่อยทุเลา เมื่อเห็นชายหนุ่มที่สวมเสื้อประหลาด
และเบื้องหลังยังมีลิงสีต่างกันสองตัวร่วมอยู่บนหลังม้านี้ มันเพ่งมองไปยังม้าที่เขาขี่อยู่ทันทีแล้ว
กล่าวขึ้นว่า
“แปลกจริงๆพ่อหนุ่ม???... ม้าตัวนี้เป็นม้าที่พวกเราพยายามจะจับมันมานานใช้เวลาเป็นปีๆก็ไม่
สามารถจับมันได้ มันเป็นจ้าวลมกรดที่มีความเร็วสูงทางด้านนายเรามีความต้องการนัก พ่อหนุ่มจะ
ขายให้เราได้หรือไม่ล่ะ หากไม่แพงมากนักนะ”
“ คงจะไม่หรอกท่าน ด้วยมันเปรียบเสมือนเพื่อนตายของเราไปเสียแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวเบาๆด้วย
ถ้อยคำสุภาพนัก
“ข้าเองยังสงสัยอยู่ไม่หาย ขนาดพวกเราที่มานี้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญการฝึกม้าจับม้า
คลุกคลีมากับพวกม้าทั้งหลายมาตั้งแต่เด็กๆจนอายุปูนนี้
ยังไม่เคยเจอม้าที่ร้ายกาจเช่นนี้เลย และเคยจับม้าป่ามามากต่อมากนัก
แต่สำหรับเจ้าตัวนี้กับฝูงมันกลับไม่สามารถจับได้ ม้าพวกเราต่างก็เป็นม้าที่มีความเร็วสูงเช่นกัน
หากไปเทียบกับพวกมันแล้ว ช่างห่างไกลกันยิ่งนัก ถ้าหากพ่อหนุ่มไม่ขายให้เรา
เราจะขอเชิญท่านไปพบกับหัวหน้าเราหน่อยได้ไหม หากเราไปเจรจาเองเขาก็จะโกรธเรามากยิ่งนัก
และอาจจะทำร้ายพวกเราได้” ชายกลางคนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ปราศจากความดุดันดังแต่แรก เมื่อ
เขาเห็นว่า ชายหนุ่มไม่ได้เป็นพวกเมืองใดๆ
ทำให้ชายหนุ่มคิดว่า พวกมันพวกนี้อาจจะมีเรื่องกันระหว่างเมืองต่อเมืองกันแน่นอน ดังนั้นเขาซึ่ง
ไม่รู้เรื่องราวอะไรทั้งสิ้น คิดว่าเมื่อพบผู้คนแล้วก็จะหาทางแก้ไขในการต่อไปดีกว่า เมื่อคิดได้เช่นนั้น
ก็เอ่ยขึ้นว่า
“ถ้าหากเรื่องนี้ทำความลำบากใจแก่ท่านนัก ก็ได้ข้าจะไปพบหัวหน้าท่านเองก็ได้ ให้ท่านนำทางไปเถิด”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าเองขอขอบใจเจ้านัก มิเช่นนั้นพวกเราคงจะแย่แน่ๆ ขอเชิญพ่อหนุ่มตามเรามาเถิด”
ชายกลางคนหัวหน้ากลุ่มคนเหล่านั้นตอบ เขามองไปยังร่างคนทั้งหลายล้วนแล้วแต่พกดาบธนูและบ่วงบาศ
กันทุกๆคน จึงเชื่อว่าเป็นพวกจับม้าและต่างก็คงจะมีฝีมือถึงได้มีอาวุธประจำกายทุกๆคน เมื่อคิดเช่นนั้น
ก็ติดตามพวกจับม้าไป
เมื่อสามารถเข้าใจกันได้ หัวหน้าพวกจับม้าก็ควบม้านำหน้าออกไป ยังซอกเหลี่ยมเขาแต่เจ้าสีเทาเสมือน
ไม่ยอมติดตามอยู่ด้านหลังมันจะพุ่งทะยานออกนำหน้าฝูงม้าทั้งหลาย แต่เขาต้องตบคอมันเบาๆแล้วชะลอร่าง
เจ้าสีเทาไว้นั่นแหละมันถึงยินยอม เขาออกติดตามไปด้านหลัง พอพ้นเหลี่ยมเขาก็เป็นทางคดเคี้ยวแต่บนเขา
นั้นเขาสังเกตเห็นมีคนอยู่เรียงรายเป็นระยะๆไป
ชายกลางคนหัวหน้าก็ส่งสัญญาณไปยังเหล่าคนที่อยู่ตามซอกบนภูเขาตลอดระยะทาง
จนลุล่วงขึ้นไปยังเขาซึ่งเป็นเนินสูงบ้างต่ำบ้างจวบเข้าสู่กลางภูเขาที่ล้อมรอบ
เป็นลานกว้างขนาดใหญ่ แต่หาได้มีบ้านสักหลังหนึ่งก็หาไม่เขาสงสัยในใจพวกมันพักยังที่ใดกันแน่
เมื่อเจ้าหัวหน้าที่นำพวกมาลงจากหลังม้า แต่ชายหนุ่มไม่ยอมลงและกล่าวขึ้นว่า
“ขอท่านหัวหน้าเข้าไปรายงานว่าข้าและม้ามาแล้ว ก็แล้วกันนะ”
ชายที่เป็นหัวหน้าหัวร่อ พลางกล่าวว่าเจ้ายังกริ่งเกรงอะไรอยู่อีกหรือ
“มิได้หรอกท่าน เราเพียงแต่คิดว่าทางที่ดีควรจะอยู่ที่นี่จะดีกว่านะท่าน”
“ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้ามาข้าก็ดีใจแล้วจะได้กล่าวรายงานให้รู้เรื่องไป” ว่าแล้วชายกลางคนพร้อม
พวกที่ลงจากหลังม้า ทยอยเข้าไปคงเหลือทิ้งไว้เพียงแค่สองคนเท่านั้น
สักครู่หนึ่งชายชราพร้อมกับหญิงสาวและชายฉกรรจ์ต่างๆก็ทยอยออกมามาก ชายหนุ่มพึ่งและเห็นว่าพวก
เหล่านี้ล้วนพักอาศัยตามโพรงถ้ำ ครั้นเหลือบไปมองรอบๆภูเขา ก็เห็นโพรงแต่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้นาๆชนิด
หากมองแต่ไกลหรือใกล้ๆไม่สักเกตุก็ยากที่จะค้นหาถ้ำเหล่านี้ได้ ครั้นชายชราพร้อมหญิงสาวก้าวเดินออกมา
ชายหนุ่มรีบลงจากหลังม้าเจ้าสีเทาทันที พร้อมกับก้มกายน้อมคาราวะชายชรานั้นทันที
ชายชราเพ่งมองดูชายหนุ่มเมื่อเห็นสภาพร่างกายของเขาก็ตะลึง และจ้องเพ่งมองอย่างเหมือนจะใช้ความ
คิดอะไรบางอย่าง ซึ่งชายหนุ่มไม่รู้ว่าชายชราคนนั้นซึ่งมีร่างกายกำยำยิ่งนักแม้วัยจะดูชราภาพมาก แต่ร่างกาย
หาได้ชราไปตามใบหน้า ร่างกายกับประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ
เมื่อชายชราแลเห็นอย่างชัดเจนก็ถึงกับอุทานออกมาอย่างลืมตัว
“โอ้ๆๆๆ???....ท่านมหาอุปราชใช่หรือเปล่าพระเจ้าข้า”
ครั้นเป็นเช่นนี้ชายหนุ่มก็รำลึกนึกถึงชื่อนี้มาจากชายชราที่เฝ้าปราสาทหลังหนึ่งทันที ด้วยคำๆนี้ก็เคยเอ่ย
กล่าวขึ้นเหมือนกัน ดังนั้นจึงตอบว่า
“ข้าพเจ้าหาใช่อุปราชอะไรๆนั่นไม่หรอกท่านผู้เฒ่า ด้วยข้าพเจ้าพลัดมาในถิ่นเหล่านี้ได้อย่างไรก็ไม่รู้
ด้วยกาลก่อนข้าพเจ้านอนดูดวงจันทร์ที่ริมฝั่งแม่น้ำอิรวดีจนกระทั่งหลับไป แล้วก็เล่าเหตุการณ์ที่พบที่ชาย
ฝั่งให้แก่ชายชราฟัง”
ชายชราที่มีลักษณะราศีผ่องใสนัก เขาคิดว่าคงจะไม่ใช่บุคคลชาวบ้านธรรมดาเป็นแน่แท้
จึงได้เอ่ยขึ้นแจ้งให้ทราบ
เสียงชายชราอุทานออกมาอีก
“โอ้แปลกๆๆมากๆจริงๆนะ ช่างเหมือนกันราวกับแกะเชียวแหละ แล้วท่านพลัดมายังบริเวณเหล่านี้
ได้อย่างไรกันล่ะพ่อหนุ่ม”
“อันที่จริงข้าพเจ้าก็ออกเดินทางมาเรื่อยๆพร้อมสหายคู่ใจข้าพเจ้า พอพ้นแนวเขาจากป่าทึบก็พบฝูงม้า
ฝูงนี้ เห็นเจ้าจ่าฝูงมันท่วงท่าสง่างามยิ่งนักถูกใจข้าพเจ้ายิ่ง จึงได้จับมันมาฝึกและเป็นพาหนะของข้าพเจ้า
ขอรับท่านผู้เฒ่า” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม
“อืมมๆๆๆ.??.... สงสัยม้ามันจะเลือกนายของมันเอง ข้าให้คนของข้าที่เชี่ยวชาญเรื่องม้าศึกไปจับตั้ง
หลายปีก็ยังไม่สำเร็จ ข้าพบมันครั้งแรกก็ทราบว่ามันคือจ้าวแห่งม้าทั้งปวง หากแม้นม้าตัวใดก็ตามหากพบ
มันก็จะตื่นตระหนกตกใจหมด ด้วยมันมีอำนาจในตัวของมันเองแหละ หรือว่าจะเป็นม้าคู่บุญของท่านกระมัง”
ชายชรารำพึงกับตัวเอง
“ข้าไม่สงสัยอะไรเจ้าอีกแล้ว เนื่องจากการแต่งตัวของเจ้าไม่เหมือนใครๆเลย เสื้อหรือก็ช่างแปลกประหลาด
เป็นยิ่งนัก คันธนูเจ้าและลูกธนูคล้ายๆมีรังสีแสงแวววับออกมา คนในบริเวณเมืองเหล่านี้หาได้มีเช่นดังท่านไม่
ถ้าหากท่านจะให้เกียรติแก่ข้าขอให้ได้ชมม้าจ้าวลมกลดอย่างใกล้ชิดได้หรือไม่พ่อหนุ่ม” ชายชรากล่าว
“ได้ซิท่านผู้เฒ่า เดี๋ยวข้าจะเรียกมันมาให้ท่านดูนะ” พลางส่งเสียงเรียกเจ้าสีเทาทันที
“เจ้าสีเทา มาใกล้ๆซิและอย่าทำร้ายท่านผู้เฒ่านะเขาเป็นคนดี” ชายหนุ่มกล่าว
ครั้นม้าสีเทาได้ฟังชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น มันก็ยกขาหน้าสองขาขึ้นแล้วก้มตัวเดินเข้ามาหาชายหนุ่มทันที
เมื่อชายชราเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งแน่แก่ใจตัวเองว่าดูไม่ผิด มันเป็นม้าคู่บุญของชายหนุ่มคนนี้จึงสามารถบ่งการมัน
ได้น้อยคนนักที่จะฝึกฝนม้าป่าได้รู้เรื่องราวดี หากไม่ใช่ม้าคู่บุญบารมีแล้วยากยิ่งนัก เมื่อชายชรารำพึงก็เดินไป
ใกล้ๆมัน เจ้าสีเทาส่งเสียคำรามทันทีจนชายหนุ่มต้องกำชับอีกแล้วตบหลังมันเบาๆนั่นแหละมันถึงยอมสยบให้
ชายชราเข้าลูบคลำร่างกายของมันได้ ชายชรารู้สึกพึงพอใจแล้วเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มพักที่นี่สักคืนก่อน
ด้วยเวลาก็ใกล้จะมืดค่ำแล้ว ชายหนุ่มแลไปยังท้องฟ้าก็เห็นจริงตามชายชรากล่าวจึงหันไปทางเจ้าขนทอง
และขนขาวบอกแก่มันว่าจะพักที่นี้ก่อนค่อยจะเดินทาง เจ้าลิงทั้งสองตีลังกาจากหลังม้ามายืนกระหนาบข้าง
ชายหนุ่มทันที ทำเอาชายชราถึงกับประหลาดใจกว่าเดิมอีกด้วยเจ้าลิงทั้งสองมันช่างใหญ่โตเกือบเท่าคนๆหนึ่ง
แต่เหตุใดมันจึงคล่องแคล่วผิดกับร่างกายมัน ซ้ำยังเชื่อฟังชายหนุ่มแปลกหน้าอีก พลางคิดว่าคนๆนี้มิใช่ธรรมดา
ไปเสียแล้วหากได้เป็นพวกพ้องด้วยก็จะเห็นทีจะช่วยเหลือได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นจึงถามชายหนุ่มว่า
“พ่อหนุ่มล่ะมีชื่อว่าอะไรหรือ คุยกันมาตั้งนานยังไม่รู้ชื่อกันเลยส่วนข้านี้มีนามว่า “เหมี่ยวสุรินทราบดี” และ
เจ้าล่ะนามใดล่ะ”
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็นึกถึงเรื่องราวที่ริมฝั่งแม่น้ำอิรวดีขึ้นมาได้ หรือว่าท่านผู้เฒ่านี้คือแม่ทัพใหญ่แม่เมืองอิสราวดี
กระมัง แต่เพื่อให้แน่แก่ใจตัวเองจึงย้อนถามไปทันทีว่า
“งั้นท่านก็คือแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองอิสราวดี ใช่ไหมขอรับ”
“เอ๊ะๆๆ....เจ้ารู้ได้อย่างไรล่ะข้าคือแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองอิสราวดี
ครั้นจะเล่าให้ฟังเรื่องมันยาวจึงสรุปเพียงสั้นๆว่า
“ ข้าพเจ้าเองเห็นกองทัพท่านขณะชมจันทร์อยู่และแอบซ่อนตัวไว้ ได้ยินนายกองท่านกล่าวชื่อท่านขอรับ”
เมื่อกล่าวจบ เขาเองหากจะบอกชื่อจริงไปก็ไม่ดี
ชายหนุ่มคิดคำนึงและไม่สอดคล้องกลับพวกเหล่านี้ จึงตั้งชื่อขึ้นมาใหม่ว่า
“อ้อๆ.....ข้าพเจ้าหรือชื่อ “ มังสุริยะชัย” ขอรับท่านผู้เฒ่า
“เอะ???.... แปลกเหตุใดชื่อจึงสอดคล้องกับท่านมหาอุปราชแห่งเมือง “ศิระสุริยันต์” ที่ล่มสลายไปหลายๆปี
แล้ว อันที่จริงเมือง ศิระสุริยันต์ กับเมือง อิสราวดี นั้นเปรียบเสมือนเมืองพี่เมืองน้องกันเชียว แปลกจริงๆ”
ชายชรากล่าวขึ้น ซึ่งชายหนุ่มหัวร่อในใจนี่เพียงชื่อที่เขาตั้งขึ้นมาเองใยจึงไปสอดคล้องได้ เออเห็นว่าเราอาจ
จะหลงเข้ามาในอดีตกาลเสียแล้วกระมัง ชายหนุ่มรำพึงกับตนเอง
แล้วชายชราก็กล่าวขึ้นอีกว่า อันเมือง ศิระสุริยันต์ กับเมืองอิสราวดีนั้นต่างมีข้อผูกพันกันลึกซึ้งยิ่งนัก ด้วยเจ้า
แม่แห่งแคว้นอิสราวดีนั้นเป็นคู่หมั้นคู่หมายกับท่านอุปราชแห่งแคว้นศิระสุริยันต์กัน แต่เมืองมาล่มสลายไปก่อน
ด้วยการทำลายของเจ้าแห่งเมืองศิระสุริยันต์เอง ส่วนท่านมหาอุปราชได้หายไปตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏ พวกเรา
ได้ออกติดตามจนกระทั่งบัดนี้ เมืองอิสราวดีตกอยู่ในเงื้อมมือของอำมาตย์ชาติชั่วพร้อมทั้งพวกพ้องมันหาได้นึก
ถึง ความไว้วางพระราชหฤทัยของพระองค์ก็หาไม่ พวกมันคิดขบถต่อราชบัลลังก์ยึดครองอำนาจจนพระแม่เจ้า
ต้องเสด็จหนีออกมา
เมื่อชายหนุ่มกล่าวเช่นนี้ ชายชราคิดเพื่อต้องการเรียกร้องความเห็นใจแก่ชายหนุ่มเพื่อหวังที่จะได้ให้เป็นพวกพ้องในการกอบกู้ราชบัลลังก์คืน ด้วยลักษณะท่าทางของชายหนุ่มผู้นี้ผิดกับสามัญชนทั่วๆไปยิ่งนัก
“ดังนั้นจึงกล่าวว่า นี่แน๊ะพ่อหนุ่ม นี่คือเจ้าแม่แห่งอิสราวดี ทรงพระนามว่า
พระแม่เจ้า “อิสรวชิรบดินทร์เดชา” ที่ข้าได้ค้นหาจนเจอและนำมาถวายอารักขาไว้”
เมื่อกล่าวเสร็จเช่นนั้นพลางชายชราก็ ย่อกายลงยังหญิงสาวที่แต่งตัวแบบชาวบ้านธรรมดาแล้วที่ยืนเคียงข้าง
ผายมือแจ้งแก่ชายหนุ่มทันที
“พระแม่เจ้าจะเห็นเป็นประการใดพระเจ้าข้า หากจะชักชวนเขามาร่วมเป็นพวกเดียวกับเรา”
หญิงสาวที่อยู่ข้างกายผู้เฒ่าก็เอ่ยขึ้นว่า
“ เราบอกแก่ท่านแล้วไม่ต้องเอ่ยคำราชาศัพท์ ให้เพียงแสดงตัวว่าเราเป็นลูกสาวท่านก็พอต่อไปอย่าได้
กล่าวคำเช่นนี้อีกนะท่านผู้เฒ่า”
“พระเจ้าข้า???....โอ๊ะ??... จ๊ะๆๆๆลูกเรา” ชายชรารีบยืนขึ้นทันที
ชายหนุ่มเหลือบตามองหญิงสาวที่สูงศักดิ์ทันที นับได้ว่าหล่อนถึงแม้ไม่แต่งกาย
ด้วยเสื้อผ้าอันสวยงามก็ตาม เพียงแค่แต่งกายธรรมดาดุจชาวบ้านทั่วๆไปก็ตามที
แต่สง่าราศีพร้อมกับความสวยงามหาได้น้อยไปกว่านางพรายทั้งสองเสียอีก
แม่นางนั้นพลางหันมายิ้มกับชายหนุ่ม ยามเมื่อมองหน้าเต็มตาก็ตกตลึงไปทันที อะไรจะมีเหตุการณ์เช่นนี้
เกิดขึ้นได้หรือ นางคิดในใจทำไมใบหน้าและรูปร่างองอาจช่างละม้ายคล้ายหรือว่านับว่าเหมือนก็เป็นไปได้
กับท่านมหาอุปราชคู่หมั้นหมายเรายิ่งนัก จึงก้มหน้าลงพลางกล่าวว่า
“ท่านผู้กล้าหาญเราเองนี้ช่างอาภัพนัก ใคร่อยากจะขอร้องแก่ท่านผู้กล้าหาญประการหนึ่งขอท่านผู้กล้าหาญอย่าได้
นึกรังเกียจเดียดฉันท์แก่เราเลย “ ครั้นกล่าวเสร็จนางก็ย่อกายแล้วพนมมือไหว้ชายหนุ่มทันที
ชายหนุ่มถึงกับตกตะลึงรีบยกมือขึ้นรับไหว้ทันที แล้วกล่าวว่า
“อันคำพูดของแม่นางนั้นใยเล่าช่างมีความหมายและเชื่อมั่นแก่ตัวข้ามากนักเจียวหรือ”
“ ใช่แล้วท่านผู้กล้าหาญเราเองตอนนี้นอกจากท่านผู้เฒ่าและเหล่าทหารจำนวนน้อยนิดนี้ ยากยิ่งนักที่จะกลับคืนยัง
เมืองอิสราวดีได้ หากได้ท่านผู้กล้าหาญช่วยเหลือข้าพเจ้าคิดว่าก็จะเป็นกำลังสำคัญยิ่งนัก จึงใคร่หวังในความ
กรุณาแก่ข้าน้อยด้วย ข้าพเจ้าคิดว่าคงจะไม่รังเกียจเดียดฉันท์แก่ข้าน้อยนี้หรอกนะ” หญิงสาวในร่างของ
เจ้าแม่แห่งอิสราวดีกล่าว พร้อมกับก้มน้อมกายลงคาราวะชายหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง
จนทำให้ชายหนุ่มถึงกับอ้ำๆอึ้งๆไปในทันที
“อ้าๆๆ????.....แล้วข้าหรือจะ........
* แก้วประเสริฐ. *
24 กุมภาพันธ์ 2553 13:24 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 29
ภายหลังจากค้นพบสิ่งที่ต้องการแล้ว ชายหนุ่มก็จูงลิงทั้งสองออกมาจากนอกบริเวณนั้น
หมายออกเดินทางต่อไป แต่แล้วต้องชะงักด้วยคิดว่าหากจะปล่อยให้ปราสาทนี้อยู่ต่อไป
เจ้าเฒ่าโฉดชั่วอาจจะหวนย้อนกลับมาอีกก็ได้ จึงหยิบกระบองนาคราชออกมาบริกรรม
แล้วยกขึ้น พลันหัวพญานาคราชก็ปรากฏลำแสงพวยพุ่งออกมาไปยังปราสาททันที กลาย
เป็นแสงไฟลุกโชติช่วงยามที่ชายหนุ่มวาดหัวกระบองไปทางใด ไฟก็ลุกเผาผลาญไปทาง
นั้นจน ปราสาทกลายเป็นเถ้าถ่านกองฝอยหินไปหมดสิ้น ครั้นจัดการเรียบร้อยแล้วก็
ออกเดินทางต่อไปลัดเลาะเลียบชายลำธารจนกลายเป็นน้ำตกไปสู่เบื้องล่าง ครั้นจะทำ
เหมือนก่อนก็ไม่ได้ด้วยไม่มีที่หยั่งเท้าเอาเสียเลย จำเป็นต้องปีนเขาที่อุดมไปด้วยพืชพันธุ์
ต่างๆ ทั้งหมดก็ปีนเขาส่วนเจ้าลิงทั้งสองมันล่วงหน้าไปก่อนด้วยความชำนาญในการปีนป่าย
ส่วนเขานั้นถึงแม้จะเลียนแบบมันได้บ้าง แต่ฝ่ามือมันไม่เหมือนกับมันจึงเกิดลื่นไหลแต่ก็
สามารถทำได้บ้างแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ยังรวดเร็วกว่าธรรมดาที่ไม่ได้ผ่านการฝึกเลียนแบบมัน
ดังนั้นอีกไม่นานเขาก็บรรลุถึงยอดเขา
ซึ่งเจ้าลิงมันไปรอคอยอยู่ก่อนแล้วเขามองไปอีกด้านหนึ่งเห็นเป็นท้องทุ่งกว้างใหญ่
ยาวเหยียดสุดสายตาแต่ก็ไม่ใช่ทุ่งโล่งปราศจากอะไร มีพืชเล็กๆขึ้นและต้นไม้ขนาดต้นสน
ซึ่งผิดกับที่เขาผ่านมาในป่าลึกไม่ มันเป็นต้นสนป่าสลับกับต้นไม้ใหญ่แต่ไม่ใหญ่มากนัก
กลับกลายเป็นอีกโลกๆหนึ่งทันทีเขาหันกลับไปมองด้านหลัง มันช่างแตกต่างกันสิ้นเชิง
ทำให้เขาเกิดสงสัยว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้แค่เพียงผ่านภูเขาลูกนี้เท่านั้นอะไรๆก็เปลี่ยนไปหมด
หรือว่าอาจจะเป็นทางไปสู่หนทางที่เขาก้าวล่วงเข้ามาก็อาจจะเป็นไปได้กระมัง แต่เขามิได้
หวังอะไรมากนัก การผจญภัยแทบจะเอาชีวิตไม่รอดนี้เป็นบทเรียนอันล้ำค่าของเขามากมาย
ทำให้ร่างกายเขาแข็งแกร่งขึ้นและเรียนรู้อะไรซึ่งพิสดารในการต่อสู้ เขาคิดหากได้กลับไป
สู่สถานที่ที่เขาก่อนเข้ามายังไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะติดตามเขาไปอีกหรือเปล่าเขาแค่เพียงสงสัยเท่านั้น
ทันใดนั้นเขาแลไปเห็นกลุ่มควันพวยพุ่งลู่ไปตามสายลมในระยะไกลเขาจ้องมองดู ควันเหล่านี้
มันมุ่งหน้ามาทางภูเขาที่เขายืนดูอยู่บนยอด เหตุนี้จึงทำให้เขารีบหาทางลงไปยังตีนเขาทันทีแต่
ไม่นานนักด้วยอาศัยต้นไม้ที่เรียงรายและก้อนหินเป็นทางลงไปไม่สูงชันแต่เป็นเนินค่อยๆเป็นขั้นๆ
ลงไป ดังนั้นเขาจึงอาศัยสิ่งเหล่านี้ทะยานตัวค่อยๆผ่านไปตามต้นไม้ที่ทอดไปสู่เบื้องล่างได้
ในเวลาไม่นานนัก
จึงเดินค้นหาลำธารซึ่งบัดนี้มันกลายเป็นลำธารสายใหญ่จวบมองเลยไปข้างหน้ากลายเป็นแม่น้ำ
คั่นระหว่างทางสองฟากฝั่งและไหลคดเคี้ยวไปตามเขาต่างๆจนลับสายตา เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาคิดว่า
นี่คือต้นน้ำจากน้ำตกที่เขาผ่านมา และยืนคอยมองกลุ่มควันซึ่งเขาคิดว่าคงจะเป็นกลุ่มคนที่กำลังควบ
ม้าเข้ามาทางนี้กระมัง แต่ความคิดเขาผิดคาดเมื่อแลเห็นชัดเจนว่าเป็นกลุ่มม้าป่าที่ต่างวิ่งคล้ายจะหนี
อะไรมาสักอย่างหนึ่ง แต่สิ่งที่เขาสนใจที่สุดคือม้าตัวแรกที่มีรูปร่างช่างสวยงามยิ่งนักมันสูงใหญ่กว่า
ม้าอื่นๆมันวิ่งได้รวดเร็วนำหน้าทิ้งพวกมันไว้เบื้องหลัง
แต่มันได้หยุดรอพวกๆก่อนแล้วถึงจะวิ่งนำหน้าต่อไปเป็นเช่นนี้เป็นระยะๆ ทำให้เขานึกถึง
การฝึกฝนการขี่ม้าในอดีตก่อนที่เขายังไม่มาสถานที่นี้เขาเป็นทหารม้ารักษาพระองค์มีหน้าที่
ควบคุมฝึกหัดม้าในพระราชพิธีต่างๆ แม้ยามอยู่ต่างประเทศเขาก็เคยแข่งขันม้าวิบากต่างๆ
มาก็เคยได้รับรางวัลในการแข่งม้ายามศึกษายังต่างประเทศมาแล้ว มันมีลักษณะถูกต้องตามตำรา
การดูม้าว่าเป็นม้าที่อุดมไปด้วยเกียรติยศโภคทรัพย์เป็นม้าศึกที่ใช้ในการสู้รบ วิ่งได้เร็วปานพายุ
ในระยะไกลๆก็หาเหนื่อยเมื่อยล้าไม่ มันจะรักและซื่อสัตย์ต่อผู้ที่มันรักและเป็นเจ้าของมันด้วยชีวิต
ถ้าหากใครได้เป็นเจ้าของถือได้ว่าเป็นคนที่ต้องมีวาสนาเสมือนได้ของวิเศษชนิดหนึ่งทีเดียว
ดังนั้นชายหนุ่มคิดจะจับเจ้าม้าตัวนี้ไว้ หากมาดแม้นว่าเขามีวาสนาต่อมันก็คงจะสามารถจับมันได้
ด้วยมันเป็นม้าที่ดุร้ายมากพละกำลังวังชามากมายมหาศาลทีเดียว พอพวกมันวิ่งมาถึงเห็นเขาก็ชะงัก
และมุ่งหน้าเลี่ยงไปยังซอกภูเขาซึ่งเขาเองก็พึ่งจะรู้ว่ามันมีซอกเขาอยู่ พอมันลับหายไปสักครู่หนึ่งก็
มีกลุ่มควันพุ่งตลบฟุ้งติดตามมาด้วยเหล่าชายฉกรรจ์จำนวนไม่ถึงสิบคนมุ่งมาทางนี้เหมือนกัน เขาจึง
จูงเจ้าลิงน้อยหลบไปยังหลังก้อนหินใหญ่ด้วยไม่อยากจะพบกับพวกมัน พอมันมาถึงยังที่ไม่ห่างไกล
จากเขามากนัก มันต่างหยุดม้าลงแล้วส่งเสียงเจรจา บัดนี้เขาฟังภาษามันออกแล้ว มันต่างพูดกันว่าไม่
รู้เจ้าม้าป่าเหล่านี้หายไปไหนกันหมด หาร่อยรอยไม่เจอเลย
พวกมันเที่ยวค้นหากันแต่มันไม่ใกล้เข้ามาหาเขาด้วยคงคิดว่า กำบังที่เขาอาศัยอยู่นี้จะเป็นที่
หลบซ่อนของเหล่าฝูงม้าป่าได้นั่นเอง สักพักใหญ่ๆมันก็หันหลังขี่ม้ากลับไปทางเดิมจนลับหายไป
เมื่อเห็นมันหายไปแล้ว เขาจึงนำเจ้าลิงทั้งสองออกจากที่ซ่อนแล้วมุ่งหน้าไปทางเหลี่ยมซอกเขาเพื่อ
ไปหาเจ้าจ่าฝูงม้าป่าทันที หมายที่จะจับมันมาฝึกใช้งานต่อไป ครั้นลุล่วงผ่านไปได้ไม่นานก็เป็นลาน
เล็กๆที่อุดมไปด้วยต้นหญ้าอ่อนไหว เขาแลเห็นมันกำลังเพลิดเพลินกับการหาอาหารใบหญ้ากินกันอยู่
ดังนั้นเขาจึงตบไหล่เจ้าลิงทั้งสองให้รออยู่ที่นี่ก่อน
เขาค่อยๆย่องๆพร้อมกับนำเถาวัลย์มาทำบ่วงบาศเพื่อใช้จับเจ้าจ่าฝูงทันที ตอนนี้ประสบการณ์
เขามีมากแล้วจึงนำฝุ่นมาโรยในอากาศตรวจทิศทางลมก่อนเมื่อแน่ใจแล้วว่าอยู่ใต้ทิศทางลมก็ค่อยๆ
ย่องไปหาเจ้าจ่าฝูงทันที ทันใดเสมือนมันจะรู้มันเงยหน้าจากการกำลังกินใบหญ้าอ่อน
หูทั้งสองมันตั้งชันส่ายหน้าไปๆมาๆเขาหยุดกับทีก้มตัวหลบยังกลุ่มต้นหญ้า
หลังต้นไม้ค่อนข้างใหญ่ทันที เมื่อมันสอดสายตาจนแน่แก่ใจแล้วก็ก้มหน้ากินอาหารต่อไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาค่อยๆคลานไปหามันทันที จังหวะที่มันเงยหน้าขึ้นเขารีบขว้างบ่วงบาศที่สะบัดเป็น
วงกลมๆแล้วขว้างไป
บ่วงบาศดังกล่าวก็เข้าคล้องคอมันพอดีมันส่งเสียงร้องก้องพร้อมกับยกขาหน้าทั้งสองขึ้น
เสียงมันร้องดังลั่นเหมือนเตือนให้พวกมันหลบหนีไป ทำให้พวกม้าป่าทั้งหลายพลันหยุดการ
กินอาหารแล้วต่างรีบวิ่งเผ่นหนีออกไปจากที่นั้นทันที คงเหลือเจ้าจ่าฝูงเพียงตัวเดียว มันดึงร่างเขา
ซึ่งตอนนี้เขามีพละกำลังมากมายนักยังถึงกับถลาไปข้างหน้าแต่ด้วยปฏิภาณไหวพริบเขา
รีบผ่อนเถาวัลย์แล้วนำปลายไปพันกับต้นไม้ทันที
เจ้าจ่าฝูงมันพยายามดึงเถาวัลย์เพื่อให้ขาดออกจากกัน พร้อมกับตะกรุยดินที่ปนด้วย
หญ้ากระจุยกระจายไปแต่มันหาได้ทำให้เถาวัลย์นี้ขาดจากกันได้ มันยกขาหน้าทั้งสองร้องเสียง
ดังกึกก้อง หากเขาเข้าไปตอนนี้ยากนักจะเข้าใกล้มันได้จึงรอเวลาสักพัก จนเห็นมันเหนื่อยอ่อน
มากแล้วเวลาผ่านไปนานแสนนาน จนมันยืนสงบนิ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงนึกถึงตำราที่บันทึกไว้ จึงยกมือขึ้นหยิบไปยังกอต้นหญ้าพลางยกขึ้นจรด
หน้าผากแล้วบริกรรมพระเวทย์ทันที เขาเป่าไปยังกอหญ้าที่ถอนมาไว้ แล้วก็ร่ายพระเวทย์เป่าไป
ยังร่างเจ้าจ่าฝูงม้าป่าทันที บัดดลเจ้าม้าป่าตัวนั้นก็มีอาการซึมเซาทันทีมันยืนนิ่ง เพียงแค่สะบัดหาง
ของมันไล่พวกแมลงเท่านั้น เขาค่อยๆเดินเข้าไปหามันอย่างช้าๆ เมื่อไปใกล้ตัวมันก็ร่ายพระเวทย์
เป่าไปต้องร่างมันอีกสามคาบ ผลปรากฏว่ามันหายจากความดุร้ายทันทีแล้วหันหน้ามามองเขาด้วย
สายตาที่บ่งบอกถึงความปราศจากความดุร้าย เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็นำต้นหญ้าที่ผ่านการปลุกเสกแล้ว
ส่งให้มันกิน มันก็กินต้นหญ้าจากเงื้อมมือเขาทันทีหลังจากกินจนหมดสิ้นอาการพยศของมันก็หายไป
เพื่อความแน่ใจเขาจึงเข้าไปลูบที่หัวมันสามครั้งพร้อมตบไปยังหัวของมันด้วยพระเวทย์ที่บันทึกไว้
มันยินยอมให้เขาลูบไล้ไปทั่วตัว พลางส่งเสียงร้องเบาๆจนแน่แก่ใจเช่นนี้เขาจึงค่อยๆไปปลดบ่วงบาศ
ออกจากคอมันเพื่อทดลองดูว่ามันจะอยู่ในคำสั่งเขาอีกหรือไม่ เมื่อมันได้รับอิสระเช่นนี้มันก็โผนทะยาน
วิ่งออกไปทันที ชายหนุ่มนึกว่าคราวนี้เห็นทีจะไม่สำเร็จสมปรารถนาเสียแล้วกระมังเขาจึงเดินไปม้วน
เถาวัลย์ไปปลดยังต้นไม้แล้วนำมาคล้องไหล่ พร้อมทั้งเดินเพื่อไปหาเจ้าลิงทั้งสองเพื่อจะหาทางออกเดิน
ทางต่อไป
ทันใดนั้นเองเสียงควบของม้าดังขึ้นใกล้เข้ามาอีกเขาเบี่ยงร่างกายหลบพร้อมกับเจ้าลิงทั้งสองเข้าบัง
ต้นไม้ทันที ปรากฏว่าเป็นเจ้าจ่าฝูงมันวิ่งกลับมาหาเขาแล้วมายื่นอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมทั้งแลบลิ้นเลียไปตาม
ใบหน้าเขา ชายหนุ่มดีใจมากว่าการครั้งนี้คงจะสมฤทธิ์ผลเป็นแน่นอนจึงค่อยลูบและจูบไปตรงหน้าฝากมัน
ทันทีเพื่อบ่งบอกถึงความรักที่มีต่อมัน เจ้าจ่าฝูงม้าป่าร้องเบาๆแล้วก็เลียสูดกลิ่นของเขาไปพร้อมๆกันพลาง
คลอเคลียกับร่างเขา มันหันไปมองเจ้าลิงทั้งสองแต่มันหาได้มีความดุร้ายแต่ประการใดไม่ แล้วก็หันมาหา
ชายหนุ่มคลอเคลียเสมือนยินยอมสยบต่อเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงเอาเถาวัลย์มาทำเป็นห่วงร้อยรัดตามที่เคย
ปฏิบัติแก่ม้าที่เขาเคยฝึกมา แล้วนำเอาหนังเสือมาพาดบนหลังเจ้าจ่าฝูงเพื่อใช้แทนอานสำหรับขับขี่ทันที
เจ้าจ่าฝูงซึ่งมีรูปร่างใหญ่โตพู่มันออกสีขาว ลำตัวมันออกสีเทาๆแต่ปลายพวงหางมันกับเป็นสีขาว
ส่วนเท้าทั้งสี่ตั้งแต่ข้อเข่าลงมาเป็นสีขาวทั้งสิ้น นับได้ว่าเป็นสีแปลกประหลาดผิดกับม้าทั่วๆไปซึ่งมักจะ
มีลักษณะเช่นน้อยๆมากทีเดียว เมื่อเขาจัดการเรียบร้อยแล้วจึงทดลองฝึกมันดูโดยวิธีผิวปากเรียกมัน ปรากฏว่า
มันก็วิ่งมาหาเขาหลังจากที่เขาได้จัดผูกหนังสัตว์และทำเชือกด้วยเถาวัลย์เรียบร้อยแล้ว มันได้วิ่งออกไปเสมือน
จะรำคาญต่อสิ่งที่มันต้องรองรับ วิ่งหายไปสักพักเขาก็ผิวปากเรียกมันทันทีครั้นเจ้าจ่าฝูงม้าป่าได้ยินเสียงเรียกจาก
ชายหนุ่มมันก็วิ่งเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วแล้วมาคลอเคลีย
นับได้ว่ามันเป็นสัตว์ที่ชาญฉลาดมาก ส่วนเจ้าลิงทั้งสองก็เข้าไปแสดงตัวสนิทสนมกับมัน เวลาผ่านไป
นานพอควรทั้งสามก็สามารถเข้าใจกันได้ดี
ชายหนุ่มมองท้องฟ้าเห็นพระอาทิตย์คล้อยต่ำลงมากแล้วแสดงว่าจวนจะค่ำจึงไม่คิดจะออกเดินทางต่อไป
ยังทุ่งกว้างเบื้องหน้า สู้หาทางพักผ่อนที่นี่ก่อนสักคืนหนึ่งแล้วรุ่งขึ้นค่อยจะออกเดินทางไปสู่ยังโลกใหม่
ดังนั้นเขาจึงหาที่พักผ่อน ส่วนเจ้าจ่าฝูงนั้นเขาตั้งชื่อใหม่ให้มันทันทีว่า ” สีเทา” ด้วยร่างมันออกสีค่อนข้างจะเทา
และทดลองเรียกชื่อมันแทนการผิวปาก ปรากฏว่ามันสามารถจำชื่อมันได้อย่างรวดเร็วไม่จำเป็นต้องผิวปากเรียก
มันก็วิ่งมาหาเขาทันที เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เขาก็ปล่อยให้มันหากินตามสบาย ส่วนเขาและลิงได้ไปแอบพัก
ยังเหลี่ยมเชิงเขาที่สามารถกำบังลมและฝนน้ำค้างได้ คืนนี้มันมืดสลัวมากด้วยปราศจากพระจันทร์คงมีแต่
ดวงดาวส่งแสงประกายระยิบระยับเท่านั้น จวบแม่นางพรายทั้งสองปรากฏร่างขึ้นมา
นางพรายแสดงความยินดีต่อชายหนุ่มที่สามารถได้พาหนะคู่ใจที่ยากแก่การบังคับได้ และให้ชายหนุ่มพัก
ผ่อนได้ พวกนางจะคอยเฝ้าระวังภัยให้เอง ชายหนุ่มก็บังเกิดความหยอกล้อต่อแม่นางทั้งสองว่า
“อ้าว???...แล้วน้องพี่ไม่เข้ามานอนข้างพี่เช่นเคยอีกหรือ”
“อ้าๆ???....เห็นจะไม่แล้วล่ะจ๊ะ” นางตอบด้วยความเอียงอาย
“ทำไมล่ะน้องพี่.....อย่าคิดมากอะไรเลย พี่คิดว่าที่นี่คงจะไม่มีเหตุการณ์ร้ายอะไรหรอก อ้อๆๆขอขอบใจ
น้องพี่มากนะจ๊ะที่ช่วยพี่ไว้จากหลุมนั้น” ชายหนุ่มกล่าว
“ก็เป็นหน้าที่ของน้องอยู่แล้วนี่ค่ะ ที่ต้องช่วยเหลือท่านพี่เสมอๆจ๊ะ” หญิงสาวทั้งสองเอ่ยขึ้น
“ หากไม่ได้น้องพี่ทั้งสองช่วย เห็นทีพี่คงจะจบสิ้นไปเสียแล้วล่ะ” ชายหนุ่มกล่าว
“ คนมีบุญวาสนาเช่นพี่ท่าน ฟ้าดินย่อมคุ้มครองเสมอๆแหละจ้า” หญิงสาวกล่าว
“คำๆนี้พี่ฟังดูมันแสยงหัวใจชอบกล ขอน้องพี่อย่างได้กล่าวเช่นนี้อีกเลยนะจ๊ะ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
“ก็เป็นความจริงนี่จ๊ะท่านพี่ มิฉะนั้นท่านพี่ไม่สามารถอยู่มาถึงตอนนี้ได้หรอก” หญิงสาวคัดค้าน
“เอาเถอะๆ....พี่เองไม่อยากได้ยินก็แล้วกันนะจ๊ะ”
“จ๊ะๆ...หากท่านพี่มีความประสงค์เช่นนี้”
“งั้นมานอนข้างๆพี่ได้แล้วจ๊ะ” ชายหนุ่มเย้าอีก
ทำให้หญิงสาวทั้งสองขวยเขินเอียงอาย แต่ไม่อาจขัดใจชายหนุ่มได้ จึงได้เข้าไปแนบข้างทั้งสองชายหนุ่ม
ทันที กลิ่นหอมกายสาวตลอดจนกลิ่นคล้ายบุปผาชาติโรยรินเข้าจมูกชายหนุ่ม จนเคลิบเคลิ้มไปทันทีแต่ก็
พยายามอดกลั้นสิ่งเร่าร้อนในกายไว้อย่างยากเย็น จนกระทั่งหลับไป
ครั้นตะวันรุ่งเช้าย่างกรายเข้ามาเมื่อจัดการชำระล้างใบหน้าและทำความสะอาดเรือนร่างแล้วเขาก็เดินออกมา
พร้อมกับเจ้าลิงทั้งสอง พลางร้องเรียกเจ้าสีเทาทันที เจ้าม้าแสนรู้มันรีบวิ่งมาหาชายหนุ่มแล้วเข้าคลอเคลีย
ประจบเขา ชายหนุ่มพร้อมสัมภาระก็กระโดดขึ้นบนหลังมันทันทีพร้อมกับเข้าลิงทั้งสองที่เกาะกันอยู่
เบื้องหลัง เขาควบเจ้าสีเทาออกไปยังซอกไหล่เขาสู่ท้องทุ่งที่มองเห็นไกลลิบๆทันที..........
* แก้วประเสริฐ. *