25 สิงหาคม 2550 12:02 น.
แก้วประเสริฐ
** โธ่เธอ **
ท่ามกลางฝนโปรยปรายละอองสัมผัสใบหน้าแทบจะทั่วเรือนร่างที่ยืนเหม่อมองสายตาผ่านทิวไม้
ไปสู่ปลายขอบฟ้าไกลแสนไกล หาได้แยแสต่อสายฝนที่สัมผัสแม้จะมีเสียงดังอย่างน่ากลัวของสายฟ้า
ที่แปลบปลาบตลอดเวลา
ลมพัดกระโชกเป็นบางครั้ง สายลมพัดทำให้รวงข้าวลู่ไหวเอนไปๆมาๆ แม้นเวลาใกล้ๆจะพลบค่ำ
แล้วก็ตาม ร่างที่ยืนกอดอกมิไหวพลิ้วตามลม บางครั้งเพียงแต่แหงนหน้ามองท้องฟ้า ละอองน้ำหยาดริน
จากเส้นผมลงสู่ใบหน้าที่กร้านของเนื้อสองสีร่างที่สูงใหญ่ล้ำสัน อะไรหรือที่ทำให้เขาเป็นไปได้ฉะนี้มิ
ใยต่อฟ้าฝนที่คะนองมิคำนึงถึงความปลอดภัย ประดุจไร้สิ่งใดๆทั้งสิ้นมากั้นขวางต่อการกระทำนี้ได้
เสียงพึมพรำเบาๆลอดออกมาจากปากที่ได้รูปรอยมิกว้างใหญ่หรือเล็กเกินไปจัดได้ว่าสวยงามสมกับ
ร่างกายที่สง่าของชายลูกทุ่ง เสียงร้องมอๆๆของเจ้าทุยที่ได้ยินเป็นบางครั้งมิห่างไกลนักของกระท่อม
หลังคาจาก เสมือนจะเรียกนายมันให้กลับเข้ามาบ้านเสียที เสียงนั้นเบาๆเคล้ากับสายฝนที่โปรยปราย
จนกระทั่งร่างนั้นสั่นสะท้านเบาๆ เสียงนั้นจึงหันหลังกลับเข้ามายังคอกควายที่ปลูกไว้ใต้บ้านที่ยกสูง
เว้นช่วง ห่างจากคันไถที่แขวนไว้ใกล้ๆกับฟองฟอนหญ้าและกาบมะพร้าววางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย
เขาเดินไปที่เตาที่ก่อขึ้นไว้เพื่อสุมไฟจากกาบมะพร้าวเพื่อไล่ริ้นยุงที่คอยตอมเจ้าทุยในคอกที่เบิ่งตา
จ้องมองเขาเสมือนจะพูดคุยกับเขาด้วย แต่เสียงที่พูดเพียงเป็นแค่เสียง มอๆๆ มอๆๆ เท่านั้น เขายิ้ม
พลางเดินไปลูบไล้บนหัวมัน พลางกล่าวเบาๆว่า
“ ดำ...เห็นจะมีเอ็งเท่านั้นแหละที่ยังรักภักดีต่อข้า เป็นเพื่อนข้าเสมอๆๆ” เสียงนั้นหยุดชะงักหายไป
“มาดแม้นว่าเขายังเหมือนเจ้า ข้าคงจะไม่โดดเดี่ยวเดียวดายเช่นนี้หรอก มีเราสองเท่านั้นที่ยังต้อง
ทนต่อไป ข้าคิดจะไปตามหรือก็ให้เป็นห่วงเอ็ง มิมีผู้ใดจะคอยดูแลเอ็งกับเจ้าด่าง”
เจ้าด่างคือหมาตัวผู้ที่นอนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ส่งสายตาจ้องมองดูเขา ร่างนั้นผละจากเจ้าทุยเดินก้าวขึ้น
กระไดที่พาดไว้ชั้นบน สักครู่หนึ่งจึงก้าวลงมาพร้อมนำอาหารเท่าที่มีมานำใส่ในอ่างดินเผา เหมือนจะรู้
เจ้าด่างพลันกระโดดลงมาเคลียคลอส่งเสียงร้องอึ๊งๆๆ เขาเคาะอาหารใส่ลงเพื่อให้เจ้าด่างมันกิน เมื่อเสร็จ
กิจธุระ พลางเปลี่ยนเสื้อผ้านุ่งผ้าขาวม้าแล้วนำขันเดินไปนอกชายคาซึ่งบัดนี้ฝนเริ่มตกหนักมากๆ
พลางแหงนหน้ารองรับน้ำฝนที่ไหลรินจากหลังคาจากเพื่อชำระล้างร่างกายพร้อมกับถูสบู่ไปพึมพรำไป
เมื่อจัดการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว จึงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ก้าวขึ้นบันไดที่พาดไว้ พร้อมชักบันได
ขึ้นวางไว้บนชานเรือน นั่งมองฝนที่กำลังตกหนักย้อนกลับถึงอดีตที่ผ่านมา
“พี่เมฆอย่าทิ้งนวลนะจ๊ะ” เสียงนี้ยังแผ่วก้องกังวานประสานกับสายฝน ณ ริมต้นไม้ใหญ่ที่ปกคลุมใบหนา
“จ๊ะพี่ให้สัญญากับนวล แต่พี่สังหรณ์เหลือเกิน นวลจ๋าว่าความจนของพี่จะทำให้นวลอยู่กับพี่ไม่ได้ซิน๊ะ”
“ไม่หรอกพี่ พี่ก็รู้ว่านวลเป็นคนอย่างไร นิสัยเช่นไรมิใช่หรือ”
“ถูกล่ะถึงแม้พี่จะเชื่อคำของนวล แต่ฐานะล่ะนวลมันแตกต่างกันมากนะ พ่อแม่นวลเป็นคนมีเงินทองทั้ง
ยังเป็นถึงผู้ใหญ่บ้าน จะมานับอะไรกับพี่เล่าที่ไร้ญาติพี่น้องมีเพียงตัวคนเดียว จึงทำให้พี่สังหรณ์ใจเสมอๆจ๊ะ”
“ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างไรก็ช่างเถอะ คนที่นวลรัก นวลย่อมรัก แม้ว่าจะยากจนอย่างไรพี่ นวลจะอยู่กับพี่
ไปจนวันตายจ๊ะ”
“ สาธุๆๆ...ขอให้เจ้าทุ่งเป็นพยานด้วยเถิด “ ชายหนุ่มยกมือขึ้นไหว้เหนือหน้าผาก
วันคืนผ่านไป การคบหาสมาคมระหว่างเขากับนวลยังสัมพันธ์แนบแน่นกันดีตลอด แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ผัน
เปลี่ยนไปเมื่อ ปรากฏคณะที่มาจากกรุงมาเยี่ยมเยียนพ่อผู้ใหญ่บ้านพร้อมชายหนุ่มรูปงามทั้งหมดคุยกันอย่าง
สนุกสนาน เขาจับความได้ว่าเคยเป็นเพื่อนรักกันมาแต่เก่าก่อนและมาแยกกันไปทำมาหากัน ต่างก็มีฐานะร่ำรวย
ซึ่งกันและกัน และแล้วยามเมื่อเขากลับไป นวลก็ติดตามคณะกรุงไปด้วย จนบัดนี้เวลาผ่านมาหลายๆปี หล่อน
จากไปไม่หวนกลับมา เสียงคำสัญญายังแว่วในความทรงจำเขาตลอดมา เขานั่งซึมทำได้เพียงแค่ส่งสายตาส่งใจ
ไปกลับสายฝนและลมที่กระโชกผ่านต้องร่างเป็นบางครั้งเท่านั้น ครั้นจะติดตามไปค้นหาพยายามเลียบเลียงเสาะ
ค้นหาจากคนในบ้านพ่อผู้ใหญ่ เพียงแค่ทราบว่าเขาไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ
โอ้กรุงเทพฯ ชั่วชีวิตนี้เขาเพียงแค่ได้ยินแต่มิเคยจะย่างก้าวไปแม้แต่สักครั้งเดียว นอกจากผืนนาท้องทุ่งและป่าเขาลำเนาไพรเท่านั้น หากไปก็แสนที่จะห่วงใยเจ้าทุยควายตัวเดียว
และเจ้าด่างหมาผู้ซื่อสัตย์คอยติดตามเขา
ตลอดมา
“นี่หรือคือคำสัญญาว่ารัก นี่หรือคำมั่นที่ให้ไว้ว่าความยากจนหาใช่เหตุให้ความรักต้องแปรผัน โอ้น้ำใจหนอ
น้ำใจ” เขาอุทานออกมาท่ามกลางฝนเริ่มซาลงแทบเกือบจะหมดไปพร้อมกับความมืดที่ย่างกรายเข้ามา เขาปล่อย
ให้มืดคลอบคลุม เพียงแต่สะบัดผ้าขาวม้าไล่ยุงเป็นบางครั้ง
เสียงกบเขียดร้องระงมหากเป็นปกติแล้วเขาจะต้องออกหาปลากบเพื่อกักตุนไว้เป็นอาหารต่อไปแต่ทว่าวันนี้
เขารู้สึกหงอยเหงาละเหี่ยใจยิ่งนัก โอ้เมื่อไหร่หนอจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเหมือนเดิมอีกหนอ เขาเฝ้ารำพันเบาๆ
คนเดียว ป่านฉะนี้เจ้าหล่อนจะเป็นอย่างไรบ้าง จะคิดถึงเขาอยู่อีกหรือเปล่าได้ยินว่าเมืองหลวงนั้นศิวิไลซ์ยิ่งนัก
บางที่ความรักที่เขามีอยู่อาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ ความเจริญรุ่งเรืองย่อมเปลี่ยนจิตใจคนเราได้ เพราะเขาได้ยินมา
ว่า อีนางแจ๋วบ้านคุ้งน้ำโน้นหายไปกรุงเทพฯพอกลับมาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนทำตัวลืมท้องทุ่งหมดเดิน
กรีดกรายอย่างนางพญาเห็นชาวบ้านแล้วทำหน้าเบ้ เสมือนหนึ่งมิเคยเห็น แล้วนวลของเขาล่ะหากหล่อนกลับมา
จะเหมือนนางแจ๋วไหมหนอ ยิ่งคิดเขายิ่งฟุ้งซ่านจนลืมความหิวไปเสียสิ้น
วันจะออกพรรษาย่างกรายมาถึงทางวัดตาลตะโนดมีงานทำบุญเทศน์มหาชาติและทำบุญตักบาตรเทโวกัน
เขาก็เข้ามาร่วมช่วยเหลือทางวัดและใส่บาตร เขารีบตื่นแต่เช้าหุงข้าวพร้อมปลาย่างที่หามาตากแดดไว้เพื่อไปใส่
เท่านั้นอย่างอื่นไปมี เป็นงานบุญที่ทุกๆคนในหมู่บ้านต้องร่วมมือร่วมใจเขาเพียงตัวคนเดียวย่อมจะช่วยเหลือ
ทางวัดด้วยกำลังเท่าที่จะมีได้ ใครมีเงินทองมากก็ทำบุญกันมากส่วนตัวเขาเล่ามีแค่เพียงเล็กๆน้อยพอประทัง
ชีวิตไปวันๆหนึ่งจะมีเก็บบ้างก็เพียงเล็กน้อยเผื่อยามเจ็บไข้ได้ป่วยเพื่อหาหมอเท่านั้นเอง ขณะที่เขากำลังช่วย
พระดูแลเก็บของคนที่มีติดกัณฑ์เทศน์นำไปส่งยังกุฎีท่าน ต้องรอญาติโยมมาร่วมทำบุญซึ่งส่วนใหญ่ประกอบ
ด้วยผลไม้และเครื่องอัฐถบริขารเพื่อถวายพระในกัณฑ์ต่อไปเขาทราบว่าเป็นกัณฑ์มัทรีซึ่งผู้ใหญ่บ้านเป็นเจ้า
ของกันเทศน์กันนั้น เขายืนจ้องเพื่อจะได้ช่วยเหลือในกรณีจำเป็น คณะผู้ใหญ่บ้านมีมามากรวมทั้งคนกรุงด้วย
เขายืนตะลึงเมื่อแลเห็นสาวหนึ่งจำไม่ผิดว่าคือนวลนั่นเองแต่ทว่าผิดกับนวลคนเดิมไปเสียสิ้นแต่งกาย
ทันสมัยผิดชาวบ้านทั่วๆไปกำลังกระจุ๋งกระจิ๋งกับหนุ่มชาวกรุงอย่างออกหน้าออกตาทีเดียว หล่อนหันมามอง
ไปรอบๆพอสบตากับเขา หล่อนเพียงแค่ยิ้มแล้วหันกลับ เขายืนตัวชาดิกแทบจะไม่เชื่อสายตาตนเอง เขาอยาก
จะเข้าไปไถ่ถามทุกข์สุขดิบแต่สภาพเขาช่างแตกต่างกันสิ้นดี หล่อนเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจริงๆเสียด้วยเปลี่ยน
อย่างที่เขาคิดไม่ถึง ย้อนรำลึกถึงวันเก่าๆใต้ร่มไม้ที่เราสองพลอดรักกัน เขาเพียงยืนจดจ้องๆคอยหาโอกาสเพียง
แค่คุยสักหน่อยเท่านั้น
จนเมื่อพระเทศน์เสร็จ เขามีหน้าที่คือเข้าไปเก็บของกัณฑ์เทศน์เพื่อนำไปส่งพระ ในระหว่างนั้นคือโอกาส
ที่ใกล้ชิดกัน เขาเอ่ยปากถามนวลทันที
“นวลๆๆ สบายดีหรือ “
หล่อนหันมาจ้องหน้าเขาแล้วตอบว่า
“สบายดี มีอะไรหรือเมฆ” แล้วสะบัดหน้ากลับไป แหนะยังจำชื่อเขาได้ เขาอึ้งไปจะพูดต่อแต่คำพูดติดอยู่แค่ลำคอตัวชาดิก หน้าชาทันทีพร้อมทั้งยกมือขึ้นลูบหน้าและขยี้หู เผื่อหูจะฝาดไปเป็นไปไม่ได้แต่ก็เป็นไปแล้ว
โธ่เธอหนอเธอ ช่างเปลี่ยนไปจริงๆ นี่หรือคำว่ารักมีมอบให้กันและกัน นี่หรือสิ่งที่เคยออดอ้อนรำพันตลอดมา
ที่อยู่ร่วมกัน นี่หรือความสัมพันธ์ทั้งกายและใจ หมดสิ้นแล้ว หมดสิ้นจริงๆเขาอึ้ง ด้วยทิฐิของความเป็นชาย
ทำให้เขาต้องทำใจ
“ขอโทษครับ ไม่มีอะไรหรอก เพียงเห็นว่าเคยรู้จักกันเท่านั้นเอง” เขาเพียงกล่าวได้เท่านั้นรีบขนของพระ
เพื่อนำไปส่งยังกุฎีท่านทันที เมื่อเสร็จกิจธุระเขาเดินกลับอย่างละโหยโรยแรงเดินไปคิดไปต่างๆนาๆ ขาแข้ง
รู้สึกจะหมดเรี่ยวแรง นี่หรือความรักที่เขามอบไว้ให้แก่สาวนวลบัดนี้มันหมดไปแล้วหมดไปจริงๆความศิวิไลซ์
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เขาเดินกลับถึงบ้านเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว น้ำตารินหลั่งหมดไปเท่าไหร่มิอาจจะรู้
รู้แต่เพียงว่าเขาอยากจะร้องไห้ยิ่งนัก สิ้นแล้วสิ่งที่รอคอย สิ้นแล้วความหวังที่มอบไว้ให้ สิ้นแล้วความหมาย
ที่มีต่อกัน โธ่เธอหนอเธอ.
*** แก้วประเสริฐ. ***