6 ธันวาคม 2549 12:47 น.
แก้วประเสริฐ
บทที่ ๒๖
ศึกมหาเทพศาสตราอาวุธ
เป็นทางการอีกครั้งหนึ่งด้วย องค์พระยุพราชก็ทรงน้อมพระวรกายถวายความเคารพแล้ว
นำเหล่าทหารกลับสู่ยังฐานทัพแจ้งรายละเอียดให้เสด็จพ่อทราบทุกประการ ท่านท้าวเธอก็ทรง
พระสรวลบอกให้ทุกๆคนเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองปักษินนคร เมื่อพร้อมเสร็จทุกๆสิ่งทุกอย่าง
องค์ท้าวเธอพร้อมพระยุพราชก็นำเหล่าทหารทั้งหมดออกเดินทางกลับสู่ยังปักษินนครทันที
ทางฝ่ายท่านท้าวนิลกาฬเมื่อรับแจ้งว่าทหารว่ากองทัพที่ยกไปตีที่อาศัยของยุพราชทั้งสอง
ประสบความแตกพ่ายยับเยินก็ทรงพระพิโรธยิ่งนัก ที่เหตุการณ์ที่ทรงวางไว้ได้กลับตาลปัดโดยสิ้นเชิง
ครั้นจะถอยทหารกลับก็ให้ละอายใจเป็นยิ่งนัก จึงได้จัดรวบรวมทหารและเมืองต่างๆที่หลงเหลืออยู่
วางกำลังทัพใหม่เพื่อเข้าโจมตีนครนาครินทนาครทันที เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าทางกองทัพปักษินนคร
ยกกองทัพล่าถอยกลับเมืองแล้วมิได้เข้าช่วยรบพุ่งกันอีกก็ทรงพระพิโรธโกรธายิ่งขึ้น และยิ่งได้รับทราบว่า
ทางเมืองอหิงสากะนครก็ถึงกาลพินาศในการศึกครั้งนี้แม้แต่องค์ท้าวสุพพัตสุระก็ถึงกาลตักษัยในสนามรบ
ทำให้เสียกำลังพระทัยเป็นยิ่งนัก แต่ด้วยทิฐิมานะที่ไม่ยินยอมผู้ใดก็มิได้ถอยให้แก่การศึกในครั้งนี้
โดยเด็ดขาด พระองค์ทรงสั่งให้ถอยทัพกลับไปที่มั่นก่อน แล้วตรัสเรียก สหัสสะขันธ์แม่ทัพใหญ่
เข้าปรึกษาข้อราชการ วางกำหนดแผนการขึ้นใหม่ ด้วยขาดพันธมิตรที่จะทำการช่วยเหลืออีกต่อไป
พระองค์ทรงให้ตราพระราชสาสน์ไปยังเมืองอหิงสากะนครแจ้งข่าวการสิ้นพระชนม์ของท่านท้าว
สุพพัตสุระแก่ยุพราชอหิงสากุมารและพระมเหสีอชิรเทวีให้ทรงทราบพร้อมทั้งขอกำลังสนับสนุน
และพระองค์ให้แจ้งไปยังเมืองเมื่อทราบว่าองค์พระยุพราชเสด็จกลับมาแล้ว พระองค์จึงมีรับสั่งให้
องค์พระยุพราชนิละกาสูรย์กรีฑาทัพมาช่วยเหลือโดยเร็วพระองค์จะรอทัพยังบนยอดเขาคิฎชคีรี
หากได้กองทัพครบเมื่อไหร่ก็จะเข้ายึดเมืองนาครินทนาคร เมื่อสหัสสะขันธ์ทรงรับพระบัญชาแล้ว
ก็จัดส่งพระราชสาสน์ให้ม้าเร็วเหาะไปยังเมืองทั้งสองทันที เพื่อแจ้งข่าวแก่ท่านพระยุพราชทั้งสองเมือง
ครั้นกาลเวลาผ่านไปสองวันบรรดาทัพของอหิงสากะนครซึ่งนำโดยพระยุพราชอหิงสากุมาร
และยุพราชนิละกาสูรย์ยกทัพมาถึงพระองค์ก็ทรงวางแผนศึกครั้งนี้ โดยให้สหัสสะขันธ์อสุรเป็นทัพหน้า
เข้าจู่โจมเป็นรูปสามเหลี่ยมพุ่งเข้าประตูเมืองนาครินทนาคร ส่วนทางยุพราชอหิงสากุมารเป็นทัพปีกขวา
และทางด้านยุพราชนิละกาสูรย์เป็นทัพปีกซ้าย พระองค์เองเป็นทัพหลวงตรงกลางพุ่งทะลวงเข้าโจมตี
กำแพงเมืองทางด้านทิศเหนือทันทีในลักษณะรูปปลายธนู ครั้นได้เวลาเช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้นก็ยาตราทัพทันที
ส่วนทางด้านยุพราชสิงหะฤทธา พระยุพราชโกเมศกุมารซึ่งนำโดยเจ้าหญิงเฌอมาลย์ก็นำทัพทั้งหมด
เข้าสู่ยังเมืองนาครินทนาครโดยมีท่านมหาราชครูเป็นผู้เปิดทางเข้า ให้แก่ทัพทั้งสาม ครั้นเขาพัก
เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านมหาราชครูก็ทรงวางแผนการรบครั้งนี้ พลางแจ้งแก่องค์ทัศยุราชันย์
และเหล่ายุพราชเจ้าหญิงทั้งหลายว่า
“มหาราช เราได้ตรวจดูดวงดาวของทางฝ่ายท่านท้าวนิลกาฬแล้วดาวประจำองค์นิลกาฬนี้
ช่างมัวหมองเสียยิ่งนัก เห็นทีว่าการศึกครั้งนี้จะสิ้นสุดลงเป็นแน่แท้พระเจ้าข้า”
“ถึงแม้ว่าจะมีดาวเสริมพระราศีแต่ก็เปล่งประกายผ่องใสมิได้เข้าเสริมแก่ดวงชะตาของท้าวนิลกาฬ
แต่ประการใดไม่ เพียงแค่เปล่งประกายอยู่ห่างๆเท่านั้นเองพระเจ้าข้า”
ท่านมหาราชครูถวายรายงานเสริมต่อ
“แล้วเราจะวางทัพในการต่อสู้ครั้งนี้อย่างไรล่ะท่านพ่อปู่ราชครู”
องค์ราชันย์ทรงดำรัส พลางหันไปทางองค์พระยุพราชทั้งสองเพื่อร่วมทรงปรึกษาในการรบครั้งนี้
“ท่านพระยุพราชมีความเห็นประการใดบ้าง ขอได้โปรดแจ้งให้แก่ข้าพเจ้าด้วย”
“อนึ่งได้รับแจ้งจากเจ้าหญิงปทุมวดีว่าทางทหารสอดแนมที่ส่งออกไปนั้นกลับมารายงานว่า
ท่านองค์ท้าวเธอระดมกำลังครั้งนี้อย่างสุดกำลังมาทั้งเมืองโดยท้าวเธอเองจะเป็นทัพกลางสหัสสะขันธ์เป็นทัพหน้า ส่วนองค์ยุพราชในพระองค์จะเป็นแม่ทัพทางปีกซ้าย ส่วนท่านยุพราชอหิงสากุมารจะเป็น
แม่ทัพคุมปีกขวาจะเข้าโจมตีเราในราตรีกาลพรุ่งนี้นะ” องค์ทัศยุราชันย์ทรงดำรัสขึ้นมา
“หากเป็นดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะขอรับศึกทางปีกขวาพระเจ้าข้า” ยุพราชสิงหะฤทธาทรงตรัส
“ข้าพเจ้าก็ขอรับหน้าที่ทำศึกทางด้านปีกซ้ายพระเจ้าข้า” ยุพราชโกเมศกุมารทรงตรัสขึ้นบ้าง
“เมื่อท่านยุพราชทั้งสองเห็นชอบด้วยประการนี้ ข้าพเจ้ายินดียิ่งและจะขอทำศึกกับทัพหน้าเอง
ส่วนเจ้าหญิงทั้งสี่คงมีหน้าที่จัดการกับทัพหลวงของท่านท้าวเธอและเหล่าทหารของท่านท้าวเธอ
ซึ่งเป็นทัพกลางด้วยท่านท้าวเธอนั้นมิมีใครที่จะเข้าทำร้ายได้ นอกจากอิสตรีเท่านั้นจึงเหมาะแก่การนี้
ส่วนข้าพเจ้านั้นจะนำทัพเข้าสนับสนุนทางด้านพระองค์หญิงทั้งสี่ เพื่อมิให้เกิดการผิดพลาดขึ้นได้
การเข้าทำร้ายแก่องค์ท่านท้าวนิลกาฬขอให้เป็นหน้าที่ขององค์หญิงทั้งสี่และเหล่าทหารหญิงทั้งหมด
ท่านพ่อปู่ราชครูและองค์ยุพราช เจ้าหญิงจะเห็นเป็นประการใดเล่า”
องค์ทัศยุราชันย์ทรงดำรัสพลางหันมาถาม
“เหมาะด้วยประการทั้งปวงแล้ว พระเจ้าข้า” ท่านมหาราชครูเสริมขึ้น
“ พระหม่อมก็เห็นชอบทุกประการด้วยพระเจ้าข้า เพค่ะ” เจ้าชายและเจ้าหญิงทรงตรัสพร้อมเพรียงกัน
“หากมิมีผู้ใดเห็นไปมากกว่านี้อีก เป็นอันว่าแผนการนี้พวกเราตกลงจะทำตาม ข้าพเจ้าขอเชิญทุกๆท่าน
จงตระเตรียมวางกำลังพลเพื่อจะเข้าสู้รบในวันพรุ่งนี้จะได้มิมีการติดขัดแต่ประการใดหรือว่าเรามา
หาความผ่อนคลายอารมณ์กันสักประเดี๋ยวหนึ่งก็จะเป็นการดี ทำให้สมองเราปลอดโปร่งคิดอะไร
จะได้แจ่มใสดีขึ้นกว่าการหมกมุ่นเกินไป”
ทรงตรัสแล้วพระองค์ก็เข้าไปจูงพระหัตถ์เจ้าชายทั้งสองเดินเคียงคู่กันออกไปยังสวนอุทยาน
ภายในพระตำหนัก ทำให้เจ้าชายต่างเมืองทรงปลาบปลื้มพระหฤทัยแก่องค์พระยุพราชทั้งสองยิ่งนัก
ซึ่งทรงมิได้ถือพระองค์แต่ประการใด
ครั้นเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นต่างก็ทรงนำทัพของตนออกจากประตูเมืองเข้าสู่สมรภูมิทันที ต่างพระองค์ทรง
แยกย้ายกันไปตั้งรับศึกตามที่ได้วางแผนกันไว้แต่แรกแล้วต่างแยกออกเข้ารับศึกทันที
ฝ่ายสหัสสะขันธ์ซึ่งนำทัพหน้าด้วยไพร่พลมหาศาลกรีฑาทัพมาถึงกำแพงเมือง ฝ่ายเมืองนาครินทนาคร
ก็จัดทหารออกมายังนอกกำแพงเพื่อรับศึกในครั้งนี้แล้วด้วยเหมือนกัน เมื่อทั้งสองทัพเผชิญหน้าต่อกันต่าง
รีบสั่งแก่ทหารตนรีบเข้าโจมตีทันที องค์ทัศยุราชันย์ที่ทรงประทับบนจักรเพชรที่หมุนลอยละล่อง
นำเข้าสู่ทางทัพหน้าเมืองกาฬคีรีนครทันทีท่ามกลางรายล้อมของเหล่าขุนทหารทั้งปวง
พระองค์ก็ทรงสั่งให้เหล่าทหารของพระองค์เข้าต่อต้านรับศึกการโจมตีของเหล่าบรรดาทัพของ
แม่ทัพหน้าสหัสสะขันธ์ ซึ่งต่างดาหน้าพากันโห่ร้องชักอาวุธต่างๆพุ่งทะยานเข้ามาหารบพุ่งกับทหาร
ของพระองค์ที่กระจายเป็นแถวหน้ากระดาน องค์ทัศยุราชันย์ พระหัตถ์ขวาทรงคันศร
พระหัตถ์ซ้ายทรงดาบวิเศษ กวัดแกว่งพระแสงดาบเข้าฟาดฟันเหล่าทหารอสูร ส่วนพระคันศร
ก็ใช้ตีเหล่าทหารจนแตกพ่ายกระเจิงไปตามกัน จนลุล่วงเข้าไปยังเบื้องหน้าของแม่ทัพสหัสสะขันธ์
ทั้งสองก็เข้าโรมรันพันตูกัน ทางฝ่ายด้านสหัสสะขันธ์ก็ใช้กระบองเพชรเข้ารับรุกต่อสู้กับดาบวิเศษ
จนเกิดประกายไฟแปลบปลาบไปทั่วบริเวณสนามรบที่ต่างรบพุ่งกันอย่างชุลมุนและห้าวหาญ
ท่านแม่ทัพสหัสสะขันธ์ พลันถอยกายหลบไปด้านข้างล้วงหยิบเอาตุ๊กตาที่ปั้นเป็นรูปมังกรเจ็ดหัว
สามตัว พร้อมร่ายพระเวทย์มนต์โยนรูปปั้นนั้นทั้งสามตัวไปยังเบื้องอากาศทันที พลันรูปปั้นก็ได้
กลับกลายเป็นมังกรยักษ์พากันพ่นไฟและรุกไล่ทหารของนาครินทนาครจนแตกเป็นช่อง
ส่วนกระบองเพชรก็กลับกลายเป็นกระบองจำนวนมากเข้ารุกไล่ทหารนาครินทนาครอยู่ตลอดเวลา
ต่างพากันล้มรุกคลุกคลานไปทั่วบริเวณบ้างก็ใช้อาวุธวิเศษของตนเข้าต่อต้านกันเสียงดังสนั่นไปทั่ว
บนฟากฟ้าก็เนื่องแน่นไปด้วยทหารต่างเข้าสับยุทธ์ทั้งทางอากาศและทางพื้นดิน เหล่าทหารนอน
กระจายไปทั่วเต็มไปด้วยศพทหารและเลือดที่รินหลั่งไหลนอง ต่างก็ส่งเสียงร้องโหยหวนระงมไปสิ้น
องค์ทัศยุราชันย์พระองค์ก็ทรงหยิบบ่วงนาคบาศขว้างเข้าใส่ยังมังกรยักษ์พร้อมทั้งตรีเพชร
บ่วงนาคราชก็แยกกันเข้ามัดร่างมังกรยักษ์ที่กำลังโลดแล่นอยู่มิให้ทำการแต่ใดได้ ตรีเพชรก็ส่งประกาย
วูบวาบเป็นวิชชุสายฟ้าเข้าทำลายร่างของมังกรยักษ์ทั้งสามตัวจนถึงแก่แตกสลาย กลายเป็นจุลไปเสียสิ้น
ทั้งบ่วงนาคราชก็กลายเป็นพญานาคพร้อมด้วยตรีเพชร พุ่งเข้าหากระบองเพชรทั้งหลายที่กำลังไล่ตี
เหล่าทหารนาครินทนาครอยู่พร้อมกัน ช่วยเข้าต่อสู้กันเป็นพัลวัน กระบองเพชรมิอาจต้าน
มหาศาสตราอาวุธท่านจอมมหาเทพทั้งหลายได้ก็ถึงแก่กาลอวสานทันที พญานาคราชก็กลับกลายเป็น
บ่วงวงไฟขนาดใหญ่เข้ารัดตัวสหัสสะขันธ์อสูร ส่วนตรีเพชรก็เข้าตัดศีรษะแม่ทันใหญ่
แห่งเมืองกาฬคีรีนครหลุดออกจากคอตกยังพื้นดิน ร่างล้มหงายถึงแก่สิ้นชีวิตทันที เหล่าทหารเอก
ขององค์ทัศยุราชันย์อันได้แก่อัสนี วายุ พินทุและพิรุณซึ่งนำโดยแม่ทัพวีระพิชัย และวิษณุเดชะ
จัดแยกแบ่งกำลังเป็นซ้ายขวานำทหารเข้าต่อสู้กับทหารเอกของสหัสสะขันธ์ด้วยอาวุธวิเศษต่างๆนาๆ
เหล่าอาวุธทั้งหลายก็บินกระจายเต็มไปทั่วทั้งสนามรบบนดินและบนฟากฟ้า ทหารอสูรต่างถอยร่นไป
จนถึงหน้าของทัพหลวงท่านท้าวนิลกาฬที่ทรงพระราชรถเทียมด้วยอาชาล่ำพีทั้งเก้าตัวจนอลหม่าน
ไปทั่วบริเวณทัพทั้งซ้ายและขวาพระองค์ ทางด้านปีกซ้ายซึ่งองค์พระยุพราชนิละกาสูรย์นำทัพ
ก็เข้าปะทะกับองค์พระยุพราชโกเมศกุมารทรงกรีฑาทัพเข้าต่อสู้ประจัญบานกันจนชุลมุนวุ่นวายไปทั่ว
ต่างส่งเสียงร้องระงมแว่วมิขาดสาย ทางด้านปีกขวาทัพของยุพราชอหิงสากุมารก็เข้าปะทะกับ
องค์พระยุพราชสิงหะฤทธาทันทีซึ่งไพร่พลของทั้งสองทัพที่เข้าต่อสู้กับยุพราชนิละกาสูรย์
ยุพราชอหิงสากุมาร การต่อสู้มิแต่เพียงพระยานาคราชกับมนุษย์กึ่งราชสีห์ก็หาไม่ ยังประกอบ
ไปด้วยไพร่พลทหารทโมนไพรและเหล่าอสรพิษทั้งหลายพากันเข้าทุบตีขบกัดกับเหล่าทหาร
เมืองอหิงสากะนครและกาฬคีรีนครจนต้องหลบหลีกสัตว์ร้ายเหล่านี้เป็นพัลวัน ทโมนไพรบ้าง
จับร่างของทหารอสูรฉีกแยกร่างเป็นสองข้าง นำเอาศพทหารมาต่อสีกับฝ่ายอสูรแทนอาวุธที่สูญหาย
บ้างก็ใช้อาวุธคล้ายกระบองสีดำหวดฟาดบรรดาเหล่าทหารอสูรดึงตัวมาขบกัดฉีกร่างขาดกระจาย
ส่วนเหล่าอสรพิษของหาได้น้อยหน้าแต่ประการใด อสรพิษแต่และตัวรูปร่างใหญ่โตเท่าต้นตาลเข้า
รัดร่างทหารอสูรจนขาดใจตาย ด้านส่วนหางก็ฟาดบรรดาทหารกระเด็นไปหากหลบมิได้ก็ถูกหางนั้น
ฟาดจนตกตายไป ส่วนท่อนหัวก็เข้าขบกัดและพ่นฟองพิษใส่เข้าใบหน้าทหารอสูรจนดำลุกไหม้ไป
ส่วนด้านบนอากาศก็เจอกับพวกปักษีร่างยักษ์เที่ยวโฉบเฉี่ยวขยุ้มด้วยกรงเล็บอันแหลมคม ทางด้าน
บนดินก็เจอเหล่าต่อแตนซึ่งมีขนาดใหญ่โตเข้าไล่ต่อยใบหน้าและร่างกายไม่อันเป็นการสู้รบทันที
การต่อสู้ของเหล่าสัตว์ร้ายทั้งหลายเหล่านี้สร้างความปั่นป่วนให้เกิดกับกองทัพอสูรเป็นล้นพ้น
ครั้นทัพหน้าของเมืองกาฬคีรีนครแตกพ่ายร่นถอยไปนั้น ทางองค์ทัศยุราชันย์และพระมเหสี
เจ้าหญิงดาริกา เจ้าหญิงมณีกานต์ เจ้าหญิงปทุมวดีและเจ้าหญิงเฌอมาลย์แห่งนครนิละวานร
ที่ต่างทรงพระราชพาหนะประกอบด้วยเหล่าสัตว์ที่ทรงพะลานุภาพยิ่ง อาทิเช่นพระยาราชสีห์
พระยาคชสีห์ วายุภักดีปักษีและพระยาหงส์ทองทรงนำเหล่าทหารหญิงล้วนในนครนาครินทนาคร
และเมืองรัตนานคร เข้ารบพุ่งกับเหล่าทหารของเมืองกาฬคีรีอย่างดุเดือดมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันไล่รุก
เข้าไปจนล่วงเข้าสู่หน้าพระราชรถของท่านท้าวนิลกาฬที่พระองค์ทรงประทับบนพระราชรถเทียมอาชา
ศึกเก้าตัว ที่รายล้อมไปด้วยเหล่าขุนทหารเอกรูปร่างกำยำทั้งหลายต่างพากันแยกย้ายกระจายกำลังเข้า
ต่อสู้กับเจ้าหญิงทั้งสี่และทหารหญิงทันทีอย่างสุดความสามารถ ปกป้องท่านท้ายนิลกาฬอย่างสุดชีวิต
ส่วนบนแพงเมืองท่านมหาราชครูสิริปัญญา ก็อ่านพระเวทย์มนต์ต่างๆมุกแก้วประจำเมือง
ก็ยิ่งแผ่พะลานุภาพโชติช่วงชัชวาลกระจายแผ่เข้าปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณรายรอบภายในกำแพง
และกระจายออกไปสู่สนามรบทันทีบัดดลนั้นพลันปรากฏเสียงคำรามกึกก้องและเสียงหวีดหวิวแผ่ไป
ทั่วปรากฏเป็นฝูงพยัคฆาลายพาดกลอนที่ปกปักรักษาขุนเขาและเหล่าต่อแตนฝูงใหญ่สีทองอร่ามทั้งตัว
ต่างพากันมาจากยอดเขาต่างๆที่รายล้อมรอบบริเวณอาณาเขตนาครินทนาครพุ่งตรงเข้าไปยังเหล่าทหาร
อสูรที่กำลังรบพุ่งกันนั้น พากันเข้าตบ ขบกัดไล่ต่อยพัลวันด้วยพิษสงอันร้ายกายเข้าร่วมตัวก็พวกต่อแตน
สีดำคาดเหลืองที่ช่วยเข้าต่อสู้รบกันอยู่ก่อนแล้วยิ่งเพิ่มพาลานุภาพของเหล่าตัวต่อแตนขึ้นเป็นทวีคูณ
ส่วนเสือลายพาดกลอนก็มีรูปร่างใหญ่โตกว่าเสือทั่วๆไป แยกย้ายกันเข้าตบกัดเข้าใส่บรรดาทหารอสูร
อย่างมิเกรงกลัว ที่เสียชีวิตไปก็มีมาก ส่วนที่ยังไม่เสียชีวิตก็ไม่กลัวแม้แต่อาวุธวิเศษที่เข้ารุมล้อมแต่อย่างไร
ต่างก็ช่วยประสานงานกับบรรดาทโมนไพรยักษ์เหล่าอสรพิษตัวต่อแตนอย่างสมานสามัคคียิ่ง
5 ธันวาคม 2549 09:23 น.
แก้วประเสริฐ
บทที่ ๒๕
ศึกอหิงสากะนคร
ครั้นขุนทหารวิชชุฆานรับพระราชสาสน์มาเก็บไว้ในอกแล้ว ก็ถดถอยออกมา
ต่างพากันน้อมตัวถวายบังคมลา ได้รับพระราชกระแสรับสั่งเพิ่มเติมว่า
“ลำบากท่านทั้งสองยิ่งนัก ฝากบอกกล่าวแก่ทัศยุราชันย์ด้วยว่าทางเรานั้น
พร้อมจะช่วยเหลือเพียงแต่ให้ระยะเวลาอีกสักระยะหนึ่งนะท่าน” องค์ท้าวเธอดำรัส
“พ่ะย่ะค่ะ เพค่ะ ขอรับสนองพระบัญชาด้วยเกล้าพระเจ้าข้า”ขุนทหารทั้งสองทูลถวาย
เมื่อออกจากห้องพลับพลาก็พากันกำบังกายออกมา เดินทางกลับยังพระนคร
นาครินทนาครทันที
องค์ท้าวเธอวิหะคะยุราชครั้นเห็นขุนทหารชายหญิงทั้งสองกลับไปแล้วก็ทรงตรัส
แก่องค์พระยุพราชทันที
“เห็นทีความคิดอ่านการศึกครั้งนี้ของลูก ลึกซึ้งชาญฉลาดยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นลูกรัก
ของเรา เจ้าทำให้พ่อเปลี่ยนนิสัยได้ เพียงแค่ทหารหญิงชายสองคนนี้ก็ช่างห้าวหาญ
องอาจยิ่งนักสามารถผ่านด่านต่างๆของท่านท้าวและเราเข้ามาได้ถึงยังที่นี่
โดยที่มิรู้ระแคะระคายแต่ประการใด นี่ดีนะที่พ่อเองมีประสบการณ์อยู่บ้างให้สงสัยด้วย
เห็นผ้าม่านนั้นยามไหวกลับปรากฏเป็นรูปร่างรอยคนขึ้นมาขึ้นมาสองรอยตอนแรกคิด
ว่าเป็นรอยผ้าม่านทิ้งชาย มิฉะนั้นหากเป็นคนมาปองร้ายเราทั้งสองเห็นทียากจะระวัง
ตัวเองได้ ขุนทหารทั้งสองนี้มิเพียงมีฤทธิ์แค่นี้เท่านั้น คงประกอบด้วยวิทยาอาคมแก่กล้า
ที่ร้ายกาจอีกมากนะลูก พ่อเองคิดว่าคงจะไม่มีเพียงแค่นี้หรอกอาจจะมีมากกว่านี้มากด้วย
องค์ท้าวนิลกาฬคงเห็นจะถึงซึ่งกาลอวสานในการศึกครั้งนี้เป็นแน่แท้เสียแล้วกระมัง
ด้วยเหตุที่ทหารของนาครินทนาครนั้น มิคงจะมีทหารชายที่เก่งกล้าประกอบด้วยวิทยาอาคม
กลับสร้างกองทหารหญิงที่เก่งกล้าสามารถมากมายไว้รอรับในการศึกนี้โดยเฉพาะเป็นแน่เทียว
และท่านท้าวเธอแม้จะเก่งกล้าสามารถไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดๆก็ตามแต่กลับพ่ายแพ้ให้แก่
เพศสตรีและทรงมีความหวั่นเกรงยิ่งนักซึ่งพรขององค์พระศิวะมหาเทพแห่งขุนเขาไกรลาส
ที่พระองค์ได้ทรงประทานพรไว้ย่อมไม่อาจจะปกป้องคุ้มครองตนได้นะลูกรัก”
องค์ท้าวเธอทรงพระดำรัสพลางทรงพระสรวลเบาๆ ที่พระองค์ไม่วู่วามเปลี่ยนความคิดนี้ได้
“หากเป็นดั่งฉะนี้แล้วเห็นทีความคิดอ่านก็คงจะมิผิดพลาดแต่ประการใด เพราะลูกเองนั้น
ก็ให้สนเท่ห์ยิ่งนัก เมื่อคราวที่ร่วมประชุมกันที่เมืองนิลกาฬแล้ว ลูกได้แลเห็นองค์พระยุพราช
แห่งสิงหะนครและทันทะกะนครทรงพระปรีชาสามารถมากกล่าวอ่อนน้อมถ่อมตนแต่ประกายตา
ซิกลับเหี้ยมหาญดุดันปานประหนึ่งราชสีห์มิผิด และหันไปสบพระเนตรกันเสมอๆ ลูกก็ให้รู้สึก
ฉงนในยิ่ง หรือว่าพระองค์ทั้งสองคงอ่านการเหล่านี้ออกสิ้น พยายามอ่อนน้อมต่อทางเราเป็นพิเศษ
ซึ่งแตกต่างกับเมืองอหิงสากะนครและนิลกาฬนครที่การเจรจากับสายตาไม่ตรงกันพระเจ้าข้า”
องค์ยุพราชวานนรินทร์ทูลถวายสิ่งที่ผิดปกติวิสัยให้พระราชบิดาทรงรับทราบ
“นั่นซิพ่อเองก็สงสัยเหมือนกับลูกนั่นแหละเพียงเห็นยังเป็นเด็กเล็กนักใยจะมีความคิดอ่าน
ที่ลึกซึ้งได้” พระองค์กล่าวเสริมขึ้น หากเป็นการที่เราคิดอ่านถูกต้องแล้วไซร้เห็นที่เรื่องนี้คง
จะพ้นซึ่งปัญหาไปได้นะ แล้วทั้งสองพระองค์ก็ร่วมทรงปรึกษาเพื่อจัดกำลังพลใหม่ให้ประสาน
สอดคล้องกับทางเมืองนาครินทนาครต่อไป
ครั้นเพลาแห่งสองราตรีผ่านไปยังหามิผู้ใดสามารถจะเข้าตีผ่านเข้าไปยังกำแพงเมืองนั้นได้
สร้างความรุ่มร้อนพระวนกระวายในพระราชหฤทัยองค์ท้าวนิลกาฬอย่างยิ่ง ทรงได้วางแผนเพื่อ
นัดหมายให้เข้าตีเมืองอีกครั้ง เพราะกาลเวลาใกล้จะพ้นคืนแห่งวันเพ็ญศิวะราตรีนี้ไปแล้ว ซึ่ง
อำนาจศักดิ์สิทธิ์ในการปกป้องจะกลับคืนมา ย่อมทำให้สร้างความลำบากมากไปกว่านี้
โดยแจ้งไปยังพันธมิตรทั้งหลายว่า ส่วนทางด้านทิศตะวันออกและใต้นั้นจะทรงนำทัพ
เข้าจัดการตีเอง เพียงให้ทางเมืองที่เหลือเข้าตีเมืองอีกครั้ง และทางเมืองสิงหะนคร
และทันทะกะนคร ที่แปรเปลี่ยนไปในครั้งนี้พระองค์จะทรงแบ่งกำลังพลยกเข้าไปตี
กระหนาบเองเพื่อให้แตกสลายไปเพื่อจะได้ไม่ให้เป็นพิษภัยต่อไปได้ เมื่อท่านท้าวเธอ
ทรงปรารมภ์แล้วก็จัดแบ่งกำลังเข้าสู่ด้านทิศดังกล่าวแยกย้ายกันเข้าตีเมืองอย่างดุดัน
กำลังส่วนหนึ่งก็ยกเข้าไปยังยอดเขาที่พักไพร่พลของท่านยุพราชสิงหะฤทธาและยุพราช
โกเมศกุมารที่พักอาศัยอยู่โอบล้อมรุกกระหน่ำโจมตีหวังให้แตกพ่ายยับเยินทั้งสองทัพ
ส่วนทางด้านอหิงสากะนครก็ระดมพลเข้าตีทางทิศที่ได้รับมอบหมายทุ่มกำลังเข้าต่อสู้
อย่างสุดความสามารถ ทรงสั่งให้สุรินทร์อสูรและทหารทั้งหลายหาทางเข้าเมืองให้ได้
การศึกรบติดพัน จนพระองค์หญิงปทุมวดีต้องนำกำลังพลออกจากกำแพงเมืองเข้าต่อสู้
กับสุรินทร์อสูรทันที พระองค์ทรงพาหนะ คชสีห์และนำเหล่าทหารหญิงชายที่ทรงฝึกไว้
เข้าต่อสู้กับทหารของสุรินทร์อสูรทั้งสองฝ่ายเข้าสู้รบกันติดพันชุลมุนวุ่นวายกระจายไปทั่ว
ฝ่ายทางด้านทหารของเจ้าหญิงถึงแม้ว่าจะมีกำลังพลน้อยกว่าแต่ทว่าเต็มไปด้วยความฮึกเหิม
ยิ่งนักและประกอบด้วยวิทยาคมอาศัยฤทธิ์เวทย์มนต์แยกร่างออกจากกันเข้าต่อสู้ทัดเทียมกัน
ทหารทั้งสองฝ่ายต่างมีฤทธิ์เดชเดชาประกายอาวุธต่างกระจายเต็มไปทั่วสนามรบส่งเสียงคำราม
เสียงดังลั่นสะเทือนหวั่นไหวเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ บนฟากฟ้าก็เต็มไปด้วยอาวุธวิเศษ
เข้าหักล้างซึ่งกันและกันทั้งดาบ กระบอง คทา ลูกตุ้ม น้ำเต้าเป็นต้นต่างก็แสดงซึ่งอิทธิฤทธิ์
เฉพาะทางของกันและกัน บ้างก็สลายหายไป บ้างก็หันมาทำลายทหารบนภาคพื้นดิน บ้างก็
ลงมาต่อสู้ป้องกันเหล่าทหารของตนเองเอาไว้ ทำให้เลือดนองกระจายไปทั่วทั้งศพมากมาย
ทางด้านองค์หญิงปทุมวดีก็เข้ารบกับสุรินทร์อสูรต่างใช้อาวุธวิเศษเข้าต่อสู้กันเป็นพันวัน
ทางฝ่ายสุรินทร์อสูรเข้าต่อตีองค์หญิงด้วยกระบองห้าเหลี่ยมปะทะกับขลุ่ยแก้ววิเศษที่แปรสภาพ
เป็นดาบกายสิทธิ์ ทางด้านพระยาคชสีห์ก็เข้าขบกัดเหล่าทหารที่เข้ามารุมล้อมจนตกตายไป
ร่างกายแหลกละเอียดหาชิ้นดีมิได้ บางครั้งก็พ่นน้ำออกจากงวงช้างเป็นน้ำกรดไฟเข้าใส่ทหาร
สุรินทร์อสูรโกรธแค้นอย่างยิ่งตาแดงทั้งสองข้างดั่งเพลิงที่ไม่สามารถทำร้ายแก่องค์หญิงได้
พลางล้วงหยิบบ่วงบาศขว้างเข้าใส่พระยาคชสีห์และเหล่าทหารองค์หญิงทันทีพลันบ่วงบาศ
ก็แยกตัวออกเป็นหลายๆบ่วงซึ่งลุกเป็นไฟพุ่งเข้าใส่ทหารและพระยาคชสีห์ พระยาคชสีห์
ก็อ้าปากพ่นไฟกรดเข้าทลายบ่วงบาศทันที ด้วยอำนาจของพระยาคชสีห์มีมากกว่าก็ทำลายบ่วง
ของสุรินทร์อสูรมอดไหม้ไปมิอาจเข้ามาใกล้ ครั้นองค์หญิงปทุมวดีเห็นดังนี้ ทรงถอดกำไลแก้ว
จากข้อพระหัตถ์ ร่ายพระเวทย์ทรงเหวี่ยงเข้าต้านทานบ่วงบาศ กำไลแก้วก็กลับกลายเป็นสายฟ้า
เข้าทำลายบ่วงบาศของท่านสุรินทร์อสูรจนมอดไหม้เป็นจุลในพริบตา สุรินทร์อสูรเห็นดั่งนั้น
ก็เพิ่มความโกรธพลางถอดกำไลข้อแขนทั้งสองข้างออกเหวี่ยงเข้าสู่ยังกำไลแก้วขององค์หญิง
กลายเป็นไฟพะเนียงต่อสู้กันบนกลางอากาศ ฤทธิ์ของไฟกรดก็สาดเข้าใส่หมู่ทหารทั้งสองฝ่าย
เมื่ออาวุธวิเศษทั้งสองกำลังต่อสู้กัน พระองค์ก็ทรงขับพาหนะ คชสีห์เข้าหาสุรินทร์อสูรฟาดฟัน
ด้วยดาบขลุ่ยแก้ว ยามแหงนหน้ามองดูอาวุธนั้นเข้าปะทะอาวุธอสูร เสียงดังสะท้านสะเทือนไป
ทั่วพื้นดิน การต่อสู้ดำเนินไปยังมิมีผู้ใดแพ้ชนะกัน ด้านประตูเมืองก็เปิดออกองค์ท่านทัศยุราชันย์
เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็ทรงยกกำลังพลออกมาช่วยเหลือเจ้าหญิงปทุมวดีทันทีทรงเสด็จบนอาชาสีขาว
ปลอดเพรียวกำยำขับพุ่งเข้าสู่สุรินทร์อสูร พระองค์กวัดแกว่งพระแสงดาบฟาดพันเหล่าทหารอสูร
จนแตกกระจายเป็นช่องทาง ครั้นทรงเสด็จดำเนินมาถึงก็ตรัสให้เจ้าหญิงทรงถอยห่างออกมา
เมื่อได้โอกาสพระองค์ก็ทรงนำจักรเพชรขว้างเข้าใส่สุรินทร์อสูรด้วยอำนาจของมหาศาสตราอาวุธ
สุรินทร์อสูรมิอาจต้านทานได้ จะรีบหลบหนีไปทันทีแต่ไม่พ้นจักรเพชรที่หมุนเข้าตัดศีรษะ แขนขา
อวัยวะส่วนต่างๆของสุรินทร์อสูรขาดสิ้นตกตายไป ท่านท้าวสุพพัตสุระมองเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว
ที่แม่ทัพใหญ่พระองค์เสียทีต่อจักรเพชรขององค์ทัศยุราชันย์ ก็ทรงพระพิโรธโกรธาเป็นยิ่งนักจึง
ขับทหารเข้ามารายล้อมองค์ทัศยุราชันย์และองค์หญิงปทุมวดีพร้อมเหล่าทหารหญิงทันทีด้วยทรงมี
ไพร่พลมากว่า แต่ก็หาทำให้ทั้งสองพระองค์หวั่นเกรงแต่ประการใดไม่ทรงเข้าต่อสู้กับองค์สุพพัตสุระ
ส่วนเหล่าทหารขององค์หญิงบ้างก็หายตัวไปทำร้ายทหารอสูรที่ต่างตกตะลึงมิเห็นร่างทหารหญิงนี้
บ้างก็แยกร่างกายเป็นหลายๆร่างบ้างก็แปลงกายต่างๆนานาเข้าต่อสู้เข่นฆ่าทหารอสูรที่ตกตลึงงวยงง
ด้วยคาดคิดมิถึงว่าจะพบกับทหารหญิงด้วยสิ่งแปลกๆเช่นนี้ องค์ท่านท้าวอหิงสากะก็ทรงล้วงหยิบ
แว่นแก้วพลางส่องมาทางเจ้าชายและองค์หญิงทันทีปรากฏเป็นเพลิงไฟประลัยกัลป์เข้าใส่ยังพระองค์
ทั้งสองแต่ด้วยฤทธิ์ของน้ำอำมฤตและผลไม้วิเศษหาได้รับอันตรายใดไม่ องค์ชายก็มิได้หวาดหวั่นพรึง
แก่พระองค์ทรงหยิบตรีเพชรออกชี้ไปยังแว่นแก้วทันทีด้วยฤทธิ์อำนาจของมหาศาสตราอาวุธเป็น
ประกายสายฟ้าแปลบปลาบเข้าต่อต้านและทำลายจนแว่นแก้วนั้นก็แตกละเอียดกระจัดกระจายไป
องค์ท้าวสุพพัตสุระเห็นดังนั้นก็ทรงล้วงหยิบเอาประคำพลอยแก้วลักษณะสีดำมะเมื่อมออกสาธยายมนต์
แล้วทรงขว้างใส่ประกายตรีเพชรทันทีเกิดแสงสว่างลุกเป็นไฟเข้าหักล้างอาวุธของตรีเพชรแต่เบื้องอากาศ
ปรากฏจักรเพชรได้กระจายแยกตัวออกจากจากกันแล้วออกพุ่งเข้าหาใส่ยังร่างท้าวสุพพัตสุระทันทีทุกแห่ง
แม้ร่างกายของท่านท้าวสุพพัตสุระจะสามารถคงทนต่ออาวุธนานาประการยามเข้าต่อสู้กับผู้ใดก็ตามที
แต่ก็ไม่อาจจะต่อต้านอิทธิฤทธิ์เดช จักรเพชรของมหาเทพองค์พระนารายได้ ร่างพลันถูกตัดแยกเป็น
ชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปทันที แต่ร่างกายท่านท้าวก็หาถึงซึ่งกาลตักษัยไม่ กลับเข้ารวมตัวกันอีกครั้งทะยาน
เข้าหาองค์ทัศยุราชันย์ พร้อมส่งพระสรวลหัวร่อพระสุระเสียงดังลั่นเยาะเย้ยหมายเข่นฆ่าพิฆาต
ทัศยุราชันย์เห็นดังนี้จึงทรงปลดคันธนูจากพระอังสาน้าวคันศรพร้อมลูกธนูยิงออกไป เสียงลูกศร
แหวกอากาศดังกึกก้องปานกัมปนาทแผ่นดินหวั่นไหวท้องฟ้าแปรเปลี่ยนสีทันทีลูกธนูก็พุ่งเข้าเสียบ
พระอุระท่านท้าวแห่งอหิงสากะ จนมิดลูกธนูด้วยอำนาจลูกศรพรหมเมศร์ของท่านท้าวมหาพรหม
แห่งสรวงสวรรค์ ท่านท้าวสุพพัตสุระก็ถึงกาลตักษัยทันทีมิอาจกลับคืนสู่สภาพดังเดิมได้ พลันร่างล้ม
ทรุดกายลงพื้นดินเกิดประกายไฟเข้าลุกเผาผลาญร่างขององค์ท้าวสุพพัตสุระมอดไหม้สูญหายไป
บรรดาเหล่าอสูรทั้งหลายและทหารเอกครั้นเห็นดั่งนี้ก็พากันแตกกระจายต่างก็พากันหลบหนีไปสิ้น
รีบพากันหนีไม่เป็นขบวนทัพหนีกลับไปยังเมืองอหิงสากะนครทันทีต่างพากันทิ้งอาวุธสิ่งของต่างๆ
ไว้มากมายเต็มสนามรบไปทั่ว องค์ทัศยุราชันย์และเจ้าหญิงปทุมวดีครั้นเห็นดังนั้นพระองค์ทั้งสอง
ก็สั่งทหารมิให้ติดตามเหล่าทหารอหิงสากะเพียงเข้าจัดการกวาดล้างทำความสะอาดบริเวณแล้วยกพล
เข้าเมือง เพื่อเข้าไปช่วยศึกทางด้านทิศเหนือตะวันออกและทางด้านทิศใต้ต่อไป
ทางฝ่ายปักษินนครหลังจากที่ได้มีข้อตกลงกับทางนาครินทนาครแล้วเมื่อเข้าตีเมืองนาครินทนาคร
ก็แสร้งทำเป็นฮึกเหิมอกอาจส่งสำเนียงโห่ร้องดังกึกก้องไปทั่วบริเวณเร่งให้เมืองสินธุนครเข้าโจมตีทันที
ทางฝ่ายสินธุนครมิรู้ในกลอุบายก็ส่งทหารเข้าบุกยังประตูเมืองจนได้รับเสียหายแตกพ่ายทั้งแนวหน้า
เสียไพร่พลล้มตายมากมายต้องพากันร่นถอย แต่ก็ยังถูกทางทหารปักษินนครยั่วเย้าก็มีความโกรธ
เมื่อตั้งหลักได้แล้วก็พากันหันหลังกลับเข้าต่อสู้ใหม่ทางทหารปักษินนครก็มิได้เข้าทำการช่วยเหลือ
ทางทหารของนาครินทนาครก็ไม่ได้พุ่งอาวุธใส่ยังทหารของปักษินนครคงเข้ากวาดล้างทหารของ
สินธุนครเพียงอย่างเดียว เจ้าหญิงดาริกาที่ทรงคุมกำลังพลยกออกมาก็เข้าห้ำหั่นจนทหารเมืองสินธุ
นครแตกพ่ายยับเยินอีกครั้งหนึ่งโดยต้องเสียไพร่พลเกือบหมดกองทัพเหลือรอดกลับไปเพียงน้อยนิด
แล้วเจ้าหญิงดาริกาก็ทรงเผชิญหน้ากับองค์ยุพราชวานนรินทร์ด้วยพระพักตร์แย้มยิ้ม องค์ยุพราช
วานนรินทร์ก็ทรงน้อมพระองค์ถวายบังคมพระองค์หญิงทันที เจ้าหญิงดาริกาทรงส่งยิ้มตอบเอ่ย
พระโอษฐ์ตรัสแก่ยุพราชวานนรินทร์แจ้งให้ถึงทางท่านท้าวสุพพัตสุระพระองค์ได้เสียชีวิตไปแล้ว
พร้อมกับทหารของพระองค์แตกพ่ายยับเยิบหนีกลับไปหมดแล้ว องค์พระยุพราชครั้นพอทรงทราบ
สาเหตุถึงเมืองอหิงสากะนครก็ทรงทูลลาพระองค์หญิงและฝากทูลลาองค์ทัศยุราชันย์ไว้หากเสร็จศึก
วันใดจะเสด็จมาเยี่ยมทั้งสองพระองค์ องค์หญิงดาริกาก็ทรงตรัสขอบพระทัยและฝากอวยพร
แก่องค์ท่านท้าววิหะคะยุราชว่าทรงขอขอบพระทัยยิ่งนัก ต่อไปนี้ทั้งสองเมืองก็จะมีสัมพันธ์ไมตรีที่ดี
ต่อกันหากเสร็จศึกครั้งนี้ก็จะหาทางไปยังเมืองปักษินนครเพราะเยี่ยมคาราวะท่านท้ายวิหะคะยุราช