30 ตุลาคม 2549 20:16 น.

** ทัศยุราชันย์ (อลังการ) **

แก้วประเสริฐ


                                                     บทที่ ๔
                                                    อลังการ

เพียงแต่ว่าข้าพเจ้าอยากท่องเที่ยวนครของท่านสักพักหนึ่งก่อน ที่จะเข้าสู่พิธีกรรมดังที่ท่านว่าไว้ฉะนี้จะเป็น
ประการใดได้หรือไม่ท่านพ่อปู่ราชครู”
       “อีกประการหนึ่งหากมาดแม้นว่าข้าพเจ้าได้ขึ้นเถลิงแผ่นดินนี้แล้วไซร้ การกระทำสิ่งใดหากผิดพลาด
ประการใดขอความเมตตาท่านพ่อครูกรุณาชี้แนะติเตียนถึงผลร้ายฤามิดีแก่ข้าพเจ้า ต้องคอยหมั่นบอกกล่าว
ตักเตือนย้ำข้าพเจ้าว่า “ท่านเป็นมนุษย์” ในทุกวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงด้วยจะขาดเสียมิได้สักกรณีหนึ่ง และ
หาทางนำคำพุทธพจน์ของพระสัมมา-สัมพุทธะเจ้ามาปาฐกกถาอธิบายธรรมนั้นๆแก่ข้าพเจ้าด้วย
เพื่อที่จะได้มิบังเกิดความปรามาสแต่ประการใดอันมิชอบธรรม
ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้เพราะข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ย่อมมีผิดพลาด
เสมอๆให้ท่านต้องคอยชี้แนะในทางปฏิบัติข้อวัติต่างๆอีกทั้งราชสำนักตลอดจนเหตุการณ์ต่างๆให้ทราบอย่าง
กระจ่างแจ้ง  เพื่อข้าพเจ้าจะได้ยึดถือมิบกพร่องในสิ่งอันมิควรซึ่งอาจจะบังเกิดขึ้นในกาลข้างหน้าโดยละเอียด
ไม่มีการปิดบังซ่อนเร้นแต่ประการใด  มาดว่ามิเป็นดังที่ข้าพเจ้ากล่าวก็ขอปฏิเสธเหตุการณ์เหล่านี้ของท่านด้วย”
    ชายหนุ่มคิดว่าที่กล่าวไว้ดีแล้วเหมาะสมแก่ฐานะของตนให้แก่ท่านพ่อปู่ราชครู
        ครั้นพ่อปู่ราชครูและดาริกาได้ฟังคำขอร้อง ก็ให้บังเกิด-ยินดีลืมตัวพากันก้มลงกราบชายหนุ่มอย่างหมดหัวใจ
จนทำให้ชายหนุ่มตกตะลึงพึงเพริศรีบจับมือท่านพ่อปู่ราชครูแล้วก้มลงกราบตอบ พลางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงตะหนกว่า
       “ท่านพ่อปู่...จะทำให้ข้าพเจ้าอายุสั้นเสียแล้ว” เขารีบกล่าวอย่างระล่ำระลัก
         “ส่วนมหาศาสตราอาวุธ ๕ ประการนั้นมีอะไรบ้าง ท่านพ่อปู่พอจะทราบไหมขอรับ”
         “อ๋อ...มหาศาสตราอาวุธ ๕ ประการนั้น มีคันศรพร้อมลูกธนู  ๕ ดอก จักร ตรีเพชร ดาบและบ่วงนาคราช
  ซึ่งเก็บไว้ในภูเขาหลังศาลาที่เราอาศัยอยู่นี่แหละท่าน  หากจะไปชมดูก่อนก็ได้ ดีเสียอีกอาจบางทีจะทำ
ให้มหาศาสตราอาวุธเจิดจ้าขึ้นได้เมื่อหากได้พบเจ้าของของเขา” ชายชรากล่าวด้วยสำเนียงอ่อนโยนแฝงชื่นชม
          “เอ๊ะ..ทำไมถึงมีเพียงแค่ ๕ ดอกล่ะท่านพ่อปู่ราชครู”  ชายหนุ่มสงสัย
          “ท่านทัศยุราชันย์เคยกล่าวให้ฟังว่า ใช้ปราบศัตรูที่มีรูปและไม่มีรูป ดอกหนึ่ง  ปราบเสียงและไม่มีเสียง
ดอกหนึ่ง  ปราบบุคคลที่ยังติดในรสดอกหนึ่ง ปราบผู้ที่ยังติดในกลิ่นนานาประการดอกหนึ่งและปราบผู้ที่ยัง
ข้องแวะกามรมย์โดยการสัมผัสทั้งกายและจิตใจชั่วร้ายดอกหนึ่ง จึงรวมเป็น ๕ ดอกดังนี้ท่าน  หากมาดแม้นว่า
ผู้ใดพ้นจากลักษณะดังกล่าวแล้ว  คันศรและดอกธนูก็ไม่สามารถทำอันตรายได้”  ชายชราบรรยาย
         “แล้ว จักร ตรีเพชร ดาบและบ่วงนาคราชล่ะท่านพ่อปู่ราชครู”  
         “จักรนั้นหากผู้เป็นเจ้าของใช้กงจักรจะหมุนเป็นไฟกรดลุกไหม้เมื่อส่งออกไปจะทำลายทุกสิ่งให้เป็นจุล
ยากจะหาผู้ใดต้านทานได้ แม้แต่สามภพยังต้องเกรงขาม   ซ้ำยังเป็นพาหนะนำท่องเที่ยวไปทั้งสามภพได้อีกด้วย
 ตรีเพชรนั้นปลายทั้งสามจะปรากฏเป็นวิชชุสายฟ้าพุ่งเข้าบดทำลายข้าศึกหากใช้ในการทิ่มแทงถึงแม้ว่า
จะอยู่ยงคงกระพันชาตรีทนต่อศาสตราอาวุธทั้งปวงสักเพียงไหนก็ไม่อาจต้านทานอำนาจตรีเพชรได้ 
 ดาบนั้นใช้ปราบพวกอสูร ยักษ์ เทวดา ที่มีฤทธิ์มากซึ่งได้ทานน้ำอมฤตอุทกไว้จึงเห่อเหิมทะเยอทะยาน
คอยรังควาญมนุษย์เทวดาอวดเก่งในฤทธิ์ของตนเองเสมอจนมีร่างกายที่คงทนไม่เกรงกลัวต่ออำนาจทั้งปวง
ให้พินาศย่อยยับดับสิ้นสูญไป   ต้องแล้วแต่อำนาจในการกระทำนั้นๆ     ส่วนบ่วงนาคราชเมื่อยามใช้
ขว้างออกไปจะเป็นพญานาคราชจำนวนมากเขาห้ำหั่นกับศัตรูและทำลายล้างด้วยพิษไฟหรือมัดร่างกายให้อ่อน
เปลี้ยเพลียแรงใช้ในการจับกุมข้าศึก  มหาศาสตราอาวุธนี้ได้ถูกประทานจากจอมเทพต่างๆกัน 
 คันศรและลูกศรนั้นได้รับพระราชทานจากองค์พระพรหมผู้เป็นจ้าวแห่งพรหมทั้งปวง
   จักรนั้นได้รับประทานจากองค์พระนารายณ์แห่งมหาสมุทรใต้บาดาล
  ตรีเพชรนั้นได้รับพระราชทานจากองค์พระแม่เจ้าอุมามหาเทวีแห่งจอมเขาไกรลาส
  ดาบนั้นได้รับพระราชทานจากองค์อินทร์ธิราชเจ้าร่วมกับท่านท้าวจตุรโลกบาลทั้ง ๔ 
ที่ร่วมจัดทำขึ้นเฉพาะกาลนี้   ส่วน บ่วงนาคราชนั้นได้รับพระราชทานจากองค์พระอิศวรมหาเทพแห่งเขาไกรลาส
 ฉะนั้นจึงมีอิทธิฤทธิ์เดชานุภาพมากเหลือคณา  ยากจะหาศาสตราอาวุธใดๆเปรียบได้ต้องมีมนต์ใช้กำกับอาวุธนี้
มหาศาสตราอาวุธ ๕ ประการนี้     จะมีแสงประกายดุจสายรุ้งที่แวววาวระยิบระยับวนล่องลอยอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งประกอบด้วยธาตุบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ของสามภพมารวมไว้ในมหาศาสตราอาวุธนี้ การเก็บรักษาต้องใช้ธาตุ
บริสุทธิ์อันศักดิ์สิทธิ์หล่อเลี้ยงไว้หากมิได้พกติดตัวเจ้าของเฉพาะโดยตรง” ชายชราเล่าอธิบาย
        “อืมม...ๆๆนับได้ว่าร้ายแรงยิ่งนักที่ทรงอิทธิฤทธิ์ประการหนึ่ง” ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง??????.......
        “แล้วท่านพ่อปู่ราชครูมีอะไรจะให้ข้าพเจ้ารับใช้อีกเล่านอกจากที่กล่าวมาแล้ว”  ชายหนุ่มกล่าวถาม
        “ไม่หรอกท่านทัศยุ  ไปพักผ่อนเถอะเมื่อจันทร์เพ็ญขึ้นเต็มดวงเมื่อใด เราจะให้หญิงดาริกาไปตามท่าน
อ้อ...เป็นภาระท่านหญิงด้วยช่วยนำท่านทัศยุไปพักผ่อนยังปราสาทเถอะ และท่านช่วยปรนนิบัติดูแลด้วย
งานนี้ปู่ขอมอบให้เจ้านะ”   ชายชรากล่าวแล้วหันไปสั่งกับหญิงดาริกา ซึ่งน้อมรับและพาเขาเดินออกไป......
            ทั้งสองเดินอ้อมผ่านวิหารเล็กที่ท่านพ่อปู่ราชครูอาศัย  ตามทางทั้งสองข้างปลูกดอกไม้นานาพันธุ์
ส่งกลิ่นหอมโรยรินตลอดทางตรงไปยังภูเขาที่มีแสงสว่างพุ่งรุ่งโรจน์สว่างไสวเป็นพิเศษ
            พลันภูเขาก็เปิดเป็นทางเล็กๆหินต่างๆทอแสงประกายระยิบระยับประหนึ่งโรยด้วยเพชรนิลจินดาหลากสี
แพรวพราวไปทั่วตามแนวทางที่ทั้งสองเดิน  พอพ้นทางก็บังเกิดทัศนียภาพแปลกใหม่สว่างไสวรุ่งโรจน์ชัชวาล
ในรูปอีกแบบหนึ่งประกอบด้วยปราสาทราชมณเฑียรสูงระฟ้าที่ห่อหุ้มด้วยเมฆน้อยใหญ่ลอยละล่องดุจประหนึ่ง
เป็นสวรรค์ชั้นฟ้าในภาพวาดก็มิปานที่เคยเห็นตามปฏิทินที่เคยชอบมองอยู่เสมอๆ  
            รายล้อมด้วยกำแพงจะว่าเป็นหินผาก็ไม่เชิงซึ่งมีหลากหลายสีน่าจะเรียกว่ากำแพงแก้วมากว่าแบ่งเป็นชั้นๆ
จนถึงปราสาทใหญ่หลังหนึ่งที่ยอดประดับประดาด้วยแก้วกลมสีขาวใหญ่ดังไข่มุกที่แวววาวส่องส่งแสงเป็นนวล
ประกายพร่างพราวพรรณราย  นอกกำแพงแก้วตรงประตูผ่านเข้าทั้งสองข้างมีทหารหญิงและชายตั้งแถวรอรับโดย
แบ่งออกสลับเป็นหมวดหมู่แต่งกายหลากสีไม่เหมือนกัน ทหารชายแต่งกายด้วยชุดสีเขียวเข้มตัดกับกางเกงสีดำ
ส่วนทหารหญิงนั้นแต่งกายด้วยชุดสีชมพูกางเกงรัดรูปสีน้ำตาลเข้ม ต่าง ถือโล่ เขน หอก ดาบ ทวนและอาวุธอีก
นานาชนิดแบ่งเป็นหมู่ๆ ทหารหญิงทุกคนสวมที่คาดด้วยมงกุฎสลับสีแพรวพราว  ส่วนทหารชายนั้นคาดด้วยผ้า
สลับสีเป็นตารางตรงกลางตารางนั้นประดับด้วยหินสีต่างๆกันและทอแสงแวววับ   แต่ทุกๆคนต่างสวมกำไลแขน
ขาที่ทำด้วยหินสี  หน้าสุดของแถวทหารชายหญิงมีขบวนนางรำถือพานดอกไม้ต่างสีนานาพันธุ์ยืนคอยอยู่    พอ
ทั้งสองเดินถึงต้นขบวนนางรำที่ถือพานต่างก็โปรยดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมแตกต่างกันไป  เมื่อทั้งสองเดินย่ำบน
 กลีบดอกไม้   เสียงทหารทั้งชายและหญิงต่างก็เปล่งเสียงด้วยถ้อยคำแตกต่างกันเป็นเสียงสูงต่ำไม่เท่ากันโดยต่าง
ผลัดกันเปล่งเสียงทำนองดั่งระนาดที่ใช้บรรเลง
          ด้านทางทหารหญิงจะเปล่งเสียงร้อง   “ พระมเหสีดาริกา จงทรงพระเจริญ”    แล้วก็มาทหารฝ่ายชายส่ง
เสียงขานรับเป็น  “มหาราชทัศยุราชันย์ จงทรงพระเจริญ ” สลับกันไปแต่ละหมู่กองจนสิ้นสุดที่หน้าประตูกำแพง
แล้วย้อนกลับมาเริ่มต้นใหม่ที่ต้นแถวเป็นดังนี้ในระหว่างทั้งสองกำลังเดินบนระหว่างกลีบดอกไม้เหล่านั้น
การร้องในทำนองนี้ทำให้ชายหนุ่มต้องหยุดชะงักหลายครั้งซึ่งก็ไม่ได้สอบถามหญิงดาริกาเลยทำไมถึงเป็นเช่นนี้
เพราะเขาพอจะทราบดีอยู่ว่า ทุกอย่างนั้นล้วนแล้วด้วยอิทธิฤทธิ์ทั้งสิ้น กระแสข่าวย่อมสื่อได้รวดเร็วเสมอคงจะ
เป็นการสื่อด้วยอำนาจของจิตที่ถ่ายทอดรับสู่กันของชาวเมืองนาครินทนาครนี้ เพียงแต่เขาทึ่งต่อการต้อนรับและ
เสียงเสนาะไพเราะจับใจของเหล่าทหารหาญทั้งหลายสุดจะพรรณนาได้
         แต่ชายหนุ่มมิได้ลุ่มหลงต่อสิ่งที่เขาได้รับนี้กลับคิดยิ่งกังวลว่าจะสามารถทำตามที่รับการร้องขอของท่านพ่อ
ปู่หรือไม่เท่านั้น  จิตใจจึงไม่ใยดีเท่าที่ควรรีบเดินตามหญิงดาริกาไป แต่เหมือนหญิงน้อยจะรู้ใจหรือว่าจะ
กลั่นแกล้งเขาก็ไม่รู้กลับเดินเอื่อยทอดน่องวางมาดราวกับนางพญาที่เฝ้าเดินชมสถานที่สวยงามฉะนี้ เขาคิดว่า
พิธีการคงจะสิ้นสุดเพียงเท่านี้ จึงได้เข้าไปสะกิดหญิงดาริกาเสมือนเร่งให้รีบเดินจะรีบไปพักผ่อนเสียแต่หาเป็น
เช่นนั้นไม่ หญิงดาราเพียงแค่หันมายิ้มกับเขาแล้วก็ยังคงเดินนำหน้าต่อไปจนสิ้นสุดถึงหน้าประตูกำแพงเข้าวัง
          เมื่อเขาก้าวเข้าประตูหน้ากำแพงวังก็ต้องผิดหวังอีกเพราะภายในประตูกำแพงนั้นกลับมีอีกขบวนที่รอคอย
ต้อนรับแต่กลับเป็นเสลี่ยงทั้งสองเป็นเสลี่ยงเล็กมีวอและใหญ่มีวอ ขบวนทหารชายหญิงสลับกับเหล่ามโหรีต่างๆ
ทางด้านหญิงดาริกาหันไปสั่งกับทหารเหล่าละสี่รูปร่างทะมัดทะแมงกำยำทั้งชายและหญิงที่ยืนคอยรับคำสั่งว่า
         “อัสนีและวารุณี   จงนำเราไปที่วังหลวง และจัดเวรยามขอมอบให้เป็นหน้าที่ของเหล่าทั้งสอง”  
หล่อนกล่าวกับนายทหารหญิงและชาย
         “อย่าได้บกพร่องต่อหน้าที่ผลัดเปลี่ยนเหล่าละสองท่าน”  หญิงกำชับอีกที
         “ พะยะค่ะ”  ทั้งอัสนีและวารุณีน้อมตัวขานรับบัญชา
         “ส่วนแต่ละชั้นให้  วายุ  พินทุ  พิรุณ  กับ  ศันสนีย์  วิรดี  และ นาฏฤดีจับคู่กันแบ่งรับผิดชอบสลับเหล่านำ
ทหารท่านผลัดเปลี่ยนเวรยามระมัดระวังคนเข้าออกด้วย”
         “พะยะค่ะ” หัวหน้ากลุ่มต่างขานรับพร้อมเพียงกัน 
   ซึ่งหัวหน้าทั้งหมดมีแปดนาย นายทหารชายสี่นายทหารหญิงสี่นาย   ทำหน้าที่สลับแต่ละหมวดหมู่กันและกัน
ชายหนุ่มรู้สึกทึ่งต่อการแบ่งหน้าที่ของหญิงดาริกาเพราะการที่เป็นเช่นนี้ย่อมสะดวกต่อเหล่าทหารหาญยิ่งนัก
ป้องกันการตรวจสอบไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายย่อมสามารถตรวจสอบได้ง่ายดายไร้ข้อครหานินทาภายหลัง
แสดงถึงนางต้องรอบรู้ตำหรับพิชัยสงครามกลศึกระเบียบต่างๆอย่างกระจ่างแน่แท้เหมือนดังที่เคยฟังวิทยุยามว่าง
ในเรื่องของสามก๊กต่อการจัดการทั้งหลายเป็นแน่เชียว  ชายหนุ่มคิดและได้แต่ยิ้มกับนางเท่านั้นที่หันมามองเขา
        “เชิญท่านพี่ทัศยุขึ้นเสลี่ยงได้แล้วค่ะ” หล่อนหันมายิ้มกล่าวกับเขา
        “อ้าวๆ..เราไปด้วยกันไม่ใช่หรือหญิง”  ชายหนุ่มถามพร้อมทั้งดีใจที่หล่อนปรับสถานการณ์เข้ากับเขาได้ดียิ่ง
เลยโมเมเรียกหล่อนว่าหญิงเสียเลยเพื่อจะได้สะดวกใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับสาวน้อยคนสวยนี้ เขาคิดกระหยิ่มในใจ
        “ไม่หรอกท่านพี่  หญิงไปกับวอเสลี่ยงคันเล็กค่ะ”  หล่อนตอบ
        “อ้าวๆเดี๋ยวเกิดทหารพาพี่หลงล่ะจะทำอย่างไรรึ?” เขาแกล้งถาม
 หล่อนหัวร่อก่อนตอบเขาว่า
         “ถ้าหลงสงสัยพาไปหาสาวๆในวังกระมังค่ะ”  หล่อนทิ้งท้ายพร้อมหัวร่อยกใหญ่
         “นั่นซิๆ  พี่ไม่เคยคบหาสมาคมกับสาวใดเลย แล้วทำฉันท์ใดดีล่ะน้องหญิง”  เขาแสร้งทำหน้าขึงขัง
          “ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิดค่ะ หญิงกลัวว่าจะงมงายจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้นเสียอีก”  หล่อนกระเซ้าบ้าง
          “ถ้าเป็นอย่างน้องหญิงว่า เห็นทีพี่ต้องวิ่งไปหาน้องให้ช่วยแล้วล่ะ”  เขาทิ้งท้ายอีกที
          “เอาเถอะๆตอนนี้ท่านพี่ขึ้นเสลี่ยงไปก่อนแล้วเรื่องอื่นว่าทีหลัง “ หล่อนตัดบทเขาดื้อดื้อๆ
           “อ๋อ...ท่านอัสนีและวารุณี พาท่านพี่เราตระเวนรอบๆนาครก่อนก็ได้สิ้นสุดพารอบวังต่างๆแล้วค่อยไปยัง
วังหลวงเพื่อให้ท่านพี่ที่จากไปนานจะได้รู้เห็นสิ่งต่างๆบ้าง ลางทีอาจจะย้อนระลึกความหลังได้นะ” หล่อนสั่ง
             “พะย่ะค่ะ”  พร้อมทั้งสั่งทหารให้เคลื่อนขบวนเพื่อนำเสด็จประพาสน์ทอดพระเนตรตามที่รับสั่งมา
       ขบวนได้เริ่มเคลื่อนวนจากซ้ายไปขวาผ่านถนนต่างๆบ้างเป็นที่อยู่อาศัยของชาวนคร บ้างเป็นสถานที่พักผ่อน
หย่อนใจ บ้างเป็นสถานที่ใช้ในการฝึกทหารหาญ บ้างเป็นธรรมสถานขนาดใหญ่ทราบว่าใช้เป็นที่อบรมศีลธรรม
ของชาวเมืองและทหารหาญ ทุกสถานที่ผ่านหากมีชาวนครนาครินทนาครก็จะมีชาวประชาออกมาต้อนรับและ
โปรยปรายกลีบดอกไม้พร้อมเปล่งเสียงต้อนรับอย่างเนืองแน่น  ข่าวกระแสคงทราบไปทั่งนครนครินทนาครแล้ว
จึงมีฝูงชนเนืองแน่นเพื่อเข้าชมพระบารมีของมหาราชทัศยุจอมราชันย์  วงมโหรีที่นำขบวนบรรเลงเพลงฟังดู
ช่างไพเราะจับใจยิ่งนักแต่ไม่เหมือนกับเขาได้เคยฟังเพลงต่างๆเลยหรือแม้แต่วงไทยเดิมก็เพียงมีส่วนคล้ายๆ
      เสียงทำนองอ้อยอิ่งหวานสั่นระริกดุจดั่งนกร้องประสานเสียงกับเสียงของระฆังแก้วที่ก้องกังวาน  ยามพัดผ่าน
เข้าโสตถิจนเกิดอาการทำให้สุดจะเคลิบเคลิ้มไปกับท่วงทำนองล่องลอยพลิ้วแผ่วอ่อนไหวไปๆมาๆเสมือนดัง
ล่องลอยตามไปในอากาศก็มิปาน  แต่สิ่งที่แปลกตาของเหล่าชาวนครนี้ซึ่งตบแต่งประดับประดาเสื้อผ้าที่มีแสง
ระยิบระยับแพรวพรายคล้ายมีละอองสีลอยล่องตามตัวแทบทุกตัวคนมากบ้างน้อยบ้าง
         ครั้นเพ่งก็ยิ่งตลึงเท้าของชาวนาครนี้คล้ายล่องลอยไปในอากาศแทบจะไม่ได้ติดพื้นก็ว่าได้ ครั้นสังเกตดูพบ
 เหล่าทหารที่แบกเสลี่ยงเขาที่ใช้ถึงแปดนายทุกนายก็เหมือนกับชาวนครทั้งหลายคือคล้ายลอยละล่องไป
และเป็นไปเกือบทุกๆคน เขาพึ่งจะมาสังเกตเห็นคราวนี้เอง    แต่ละชั้นนั้นชาวนาครมักจะแต่งตัวไม่เหมือนกัน
คือการโพกผ้าคาดของหญิงและชายมักจะเป็นสีเดียวกันของแต่ละชั้นกำแพงตลอด  พอเปลี่ยนชั้นกำแพงก็จะเป็น
อีกสีหนึ่งรวมทั้งผ้าคาดเอวปล่อยชายของแต่ละชั้นด้วยเป็นแบบนี้สลับกันไปจนครบสี่ชั้น  แต่พอเข้าสู่ประตูของ
วังแต่ละวังจะมีกำแพงแบ่งแยกวังเอาไว้  เสื้อผ้า ผ้าคาดผมและคาดเอวก็แตกกันไปอีกไม่เหมือนนอกวัง
          วังแต่ละวังจะใช้ผ้าโพกศีรษะกับผ้าคาดเอวแม้ต่างสีกันระหว่างผ้าโพกกับผ้าคาดเอวแต่ก็เหมือนๆกันที่ใช้
ตลอดทั้งวัง  การใช้ผ้ามิได้ปะปนเฉพาะของแต่ละวังส่วนวังหลวงซึ่งเป็นวังใหญ่เมื่อล่วงเลยเข้ากำแพงแล้วผ้าคาด
และคาดเอวจะเป็นสีทองสีเดียวกันหมด   ในแต่ละวังนี้ชายหนุ่มสังเกตเห็นการแบ่งชั้นของทหารและเหล่าบริพาร
จะมีหินสีประดับไว้ที่หน้าผากของผ้าคาดศีรษะบอกถึงตำแหน่งยศศักดิ์ของแต่ละนายกำกับไว้ว่าสูงต่ำเพียงใด
และประกายของสีจะสว่างไสวไม่เท่ากันต้องแล้วแต่ละบุคคลด้วย   เปรียบเสมือนฤทธิ์เดชของธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่ชาว
นาครนี้ได้อาบและดื่มกินกันยามเมื่ออุบัติขึ้นมาย่อมแตกต่างกันแต่ละบารมีของคนนั้นๆเหมือนอย่างที่ท่านพ่อปู่
ราชครูเล่าไว้ให้ฟังอีกทั้งอิทธิฤทธิ์ของศาสตราอาวุธที่คอยควบคุมปกป้องรักษาไว้ด้วย
        จนกระทั่งสิ้นสุดการนำเสด็จประพาสน์เข้าสู่กำแพงวังหลวงของนาครินทนาครจนถึงประตูวัง นายทหาร
ทั้งแปดต่างแยกย้ายกันเข้าน้อมอัญเชิญชายหนุ่มและหญิงดาริกาลงจากเสลี่ยงวอเพื่อนำเสด็จไปยังปากประตูวัง
แล้วก้าวตามหลังหญิงดาริกากับชายหนุ่ม   เมื่อก้าวเข้าสู่ประตูชั้นในวังหลวงเข้าไปภายในทำให้เขาต้องยิ่งตก
ตะลึงยิ่งกว่าเก่า ด้วยภายในห้องโถงอันกว้างใหญ่นั้นประดับด้วยที่ประทับเศวตฉัตรสามชั้นม่านฟ้าซึ่งทำด้วยผ้า
แพรบางเบาหลากสีคล้ายปีกของแมลงทับบินส่องไสวจะมีประกายระยิบลอยละล่องไปมาบนม่านชั้นๆทั่วห้อง
         ข้างประทับเศวตฉัตรจัดตั้งด้วยเก้าอี้แก้วพร้อมฉัตรหนึ่งชั้น  สองพระที่ลวดลายงดงามตระการตายิ่งนัก
เข้าใจว่าคงเป็นของพระมเหสีของกษัตริย์จอมราชันย์  ถัดลงมาลดหลั่นลงถูกจัดวางเรียงด้วยเก้าอี้หินสลับสีสัน
ต่างๆ เขาคิดว่าคงเป็นตามลำดับตำแหน่งต่างๆกันคงจะเป็นพวกราชวงศ์หรือคนใน ตำแหน่งที่ปรึกษาทางทหาร
และเหล่าอำมาตย์ที่มียศสำคัญใหญ่โต   ถัดจากชั้นดังกล่าวก็จะเป็นพื้นห้องบริเวณกว้างถูกจัดแบ่งเป็นวงกลมรูป
ดวงดาวกระจายรายล้อมเรียงรายแบบรัศมีเป็นไปตามลำดับนับที่ประทับเศวตฉัตรเป็นศูนย์กลางรัศมี  คงจะถูก
เป็นที่พักของบรรดาเหล่าขุนนางทั้งทหารและพลเรือนทั้งสิ้น  ตามประตูหน้าต่างแต่ละช่องถูกจัดยืนไว้ด้วยทหาร
ทั้งหญิงและชายสลับอย่างล่ะคู่  หลังพระที่นั่งเศวตฉัตรถูกกั้นด้วยม่านบางเบาไม่สามารถมองและเห็นสิ่ง
ภายในได้  พื้นผนังภายในห้องถูกทำเป็นลายละเหลื่อมคล้ายๆพลิ้วไปพลิ้วมาดั่งเมฆที่ล่องลอยได้ฉะนี้
         หญิงดาริกาคงเดินนำหน้าพาชายหนุ่มก้าวล่วงผ่านแนวกลางห้องโถงขึ้นไปยังแนวชั้นของพระที่นั่ง
เศวตฉัตรพร้อมทั้งชี้ให้ชายหนุ่มดูกล่าวว่า
				
29 ตุลาคม 2549 20:17 น.

** ทัศยุราชันย์ (วังวน) **

แก้วประเสริฐ


                                                                  บทที่ ๓
                                                                   วังวน

       ชราชราทำท่าจะลุกขึ้นต้อนรับแล้วก็กลับนั่งลงอีก เพียงแต่น้อมตัวลงทำท่าเสมือนจะเชื้อเชิญเพียงแค่ส่งยิ้มแต่ประกายตากับเพ่ง
มองเสมือนตรวจสอบอะไรบางอย่าง  สักครู่จึงเอ่ยปากชวน
    “ ขอเชิญประทับก่อนมหาราชันย์”   พร้อมผายมือไปทางอาสนะที่วางบนตั่งแก้วรูปลายแกะสลักขวามือ
         เขารู้สึกแปลกใจต่อคำพูดและสิ่งที่เกิดขึ้นกะทันหัน  เมื่อก่อนเข้ามาก็มองไม่เห็นตั่งดังกล่าวเพียงแต่ชายชรา
กล่าวจบเท่านั้นก็บังเกิดสิ่งนี้เกิดขึ้นอย่างช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก จนตัวเองต้องลังเลใจไม่กล้าปฏิบัติตามคำกล่าวเชิญ
แต่สิ่งพิเศษเหล่านี้เขาได้ผ่านพบมาบ้างแล้วตั้งแต่เริ่มรู้สึกตัว
จึงไม่ค่อยจะแปลกใจมากเท่าใดนัก เพียงแต่มืนงง
ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ พลางหันมามองชายชราอีกครั้งด้วยความสงสัย
       “ อ้อๆ...ลืมไปเพราะท่านจากมานานแสนนาน นานมากแล้วคงจะลืมอดีตไปเสียหมดสิ้นนะ” ชายชรา
กล่าวลอยๆขึ้นมา  พร้อมทั้งหันมาทางหญิงสาวดาริกา
        “ท่านหญิงดาริกา...เชิญนำท่านทัศยุประทับยังราชอาสน์เถอะ”
        “เจ้าค่ะท่านปู่ราชครู” หญิงสาวน้อมรับคำ
     กระตุกชายเสื้อดึงแขนชายหนุ่มให้เดินตาม  แต่เขากับดึงดันยื้อยุดกับหญิงสาวจนสะบัดหลุดจากมือหญิงสาว
พร้อมก้มตัวลงเดินก้าวล้ำหน้าตรงไปยังชายชราที่หล่อนเรียกว่าปู่ราชครู ทรุดกายลงก้มกราบชายชราอย่างนอบ
น้อมแล้วกล่าวขึ้นว่า
         “อดีตกับปัจจุบันแตกต่างกันเสียแล้วพ่อปู่ราชครูขอรับ  แม้กาลเวลานั้นๆอาจจะใช่แต่ก็ล่วงเลยมานานแสน
นาน  นานเสียจนข้าพเจ้าไม่เข้าใจสาเหตุอันใดเกิดขึ้น จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจเลยถึง
สถานะที่เข้ามายังสถานที่นี้ด้วยได้อย่างไรขอรับ” ชายหนุ่มกล่าว
    ชายชราอึ้งต่อคำพูดของชายหนุ่ม  ซึ่งเป็นความจริงร่างของทัศยุจอมราชันย์ในอดีตต่างกับปัจจุบัน  ถึงแม้ว่า
รูปลักษณ์จะมีส่วนคล้ายคลึงกันก็ตาม แต่สัญญาได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปทำให้ลืมอดีตไปเสียหมดสิ้น  เราจะทำ
อย่างไรดีหนอ ถึงจะทำให้ทัศยุราชันย์ระลึกถึงอดีตได้ มีทางเดียวคือต้องอาศัยธาตุศักดิ์สิทธิ์และน้ำอมฤตอุทก
ผสมผสานกับฌานแห่งการระลึกชาตินั่นแหละถึงจะสมฤทธิ์ผล หากใช้สิ่งทั้งสองอย่างบวกกับฌานซึ่งอดีต
ท่านทัศยุก็เคยเข้าถึงจนเกือบหลุดพ้นโลกียฌานบารมีเก่าในอดีต
เข้าฝึกปรือใหม่คงสำเร็จเป็นแน่  ชายชรารำพึง
แล้วหันมากล่าวสำเนียงอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นสะท้านก้องไปทั่ว
        “จริงซินะกาลเก่าทำให้เรานึกถึงอดีตยังคิดว่าปัจจุบัน แต่อย่างไรมหาราชก็ยังคงเป็นมหาราชเช่นเดิมแม้กาล
นั้นจะผันเปลี่ยนมาหลายศตวรรษแล้วก็ตาม   เราจึงรอคอยเวลากลับมาของท่านอยู่เสมอเพราะดาวบนฟ้าลิขิต
เส้นทางของท่านไว้แล้วมิมีกาลแปรเปลี่ยนไปได้   จึงได้จัดคนสับเปลี่ยนรออยู่ปากทางเข้าเสมอมา ถึงแม้ว่าท่าน
จะกลับมาเพียงชั่วคราวหรือไม่ก็ตาม   ตามแต่ฟ้าจะลิขิตในภายหลังเราก็ยังเชื่อ เชื่อในบุญบารมีที่ท่านเคยมี
ย่อมจะแผ่ไพศาลครอบคลุมสิ่งเลวร้ายได้   หากไม่มีท่านซิ “นาครินทนาคร”จะเป็นฉันท์ใดยากหยั่งทราบได้”
       ชายหนุ่มอ้าปาค้าง งุนงง ต่อคำพูดของชายชราซึ่งมีศักดิ์ถึงท่านราชครูแห่งนาครินทนาคร และดูแลปกครอง
นครจนถึงปัจจุบันนี้ ได้กล่าวอ้างอิงถึงลิขิตของดวงดาวบนฟ้า  นัยคำพูดนี้คงหมายถึงเขาแล้วเขาล่ะซึ่งช่วยอะไร
ได้ในเมื่อเป็นเพียงแค่มนุษย์เดินดินธรรมดาเท่านั้น  เราเพียงแค่ชาวบ้านธรรมดาอาชีพหาของป่าเลี้ยงชีพไป
วันๆหนึ่ง    อีกทั้งการศึกษาก็สำเร็จไม่สูงนักด้วยเหตุจำเป็นจึงต้องละทิ้งมาดูแลพ่อแม่   ชายหนุ่มรำพึงคิด
       ชายชราเหมือนจะหยั่งรู้ความคิดอ่านภายในใจของเขาจึงได้กล่าวขึ้นอีกว่า
       “ขอเพียงท่านทัศยุรับปากเราว่าจะอยู่ช่วยเหลือนาครินทนาครให้พ้นจากภัยพิบัต
ิที่กำลังล่วงก้าวเข้าสู่มานั้น
เพียงเท่านี้ และได้เข้าไปสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของมหานครแห่งนี้โดยถือศีลพรตที่กำหนดไว้ราตรีกาลชำระร่างกาย
ด้วยธาตุบริสุทธิ์ก็สามารถเปล่งอิทธิฤทธิ์บารมีเก่าเข้าเสริมปัจจุบันของท่านแปรเปลี่ยนสภาพกลาย
เป็นทัศยุจอมราชันย์ดั่งเดิมได้ไม่ผิดเพี้ยนแต่ประการใดหรอก”   ชายชราราชครูกล่าว
     “และจะขอบอกกับท่านอีกสักอย่างคือว่า  “นาครินทนาคร”นี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในการเก็บรักษา
น้ำอมฤตธาตุของจอมเทพเทวาทั้งหลายมอบให้ทัศยุราชันย์และเราตลอดจนถึง
ชาวนครนี้เป็นผู้ดูแลรักษาไว้
ซึ่งน้ำอมฤตอันศักดิ์สิทธิ์นี้หากผู้ใดได้อาบดื่มกินดวงวิญญาณจะเป็นอมตะ ถึงแม้จะดับด้วยของวิเศษใดๆก็ตาม
วิญญาณก็จะกลับไปสู่ธาตุแล้วฟื้นคืนกลับได้อีกนอกเสียจากตั้งสัตยาบันอธิษฐานไว้เท่านั้น เป็นสิ่งหมายปอง
ของเทพยดา ยักษ์ อสูรและมวลส่ำสัตว์ทั้งหลาย จึงได้คัดเลือกผู้ที่จะเข้ามาปกครองนครแห่งนี้อย่างระมัดระวัง
ท่านและเราตลอดจนผู้อยู่ทั้งปวงเป็นพิเศษได้ถูกคัดเลือกมา   โดยได้รับพระบัญชาจากจอมเทพแห่งสรวงสวรรค์
ปีหนึ่งๆจะมีผู้มาคอยตรวจสอบและรายงานแด่จอมเทพถึงความเป็นไปของธาตุอย่างสม่ำเสมอ  สถานะของ
ชนชาวนครนี้จึงพิเศษแปลกแตกต่างไปว่าวิญญาณทั้งหลาย  สถานที่นี้จึงมีความเป็นอยู่กึ่งเทพแลมนุษย์จุดอยู่
ระหว่างกลางรอยต่อของภพแบ่งแยกจากสวรรค์และมนุษย์ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเกี่ยวกับธาตุอมฤตศักดิ์สิทธิ์
ต้องอาศัยแรงดึงดูดพละกำลังของทั้งสามภพเข้ามารวมประสานกันเป็นจุดเดียว อันหมายถึงนรกภูมิอีกด้วย
 การที่ท่านได้วนเวียนและต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ของสวรรค์ดังกล่าว มิอาจสามารถหลบเลี่ยงต่อคำบัญชานี้ได้จึง
ต้องย้อนกลับมาอีกเพราะก่อนที่ท่านจะสละสังขารทิพย์นั่นได้อธิษฐาน
ลงไว้ในธาตุถึงการกลับมาอีกครั้งของท่าน
การจากไปของท่าน  จอมเทพพระองค์ทรงทราบได้มีบัญชาลิขิตดวงดาวให้สร้างมุมกลับแก่ดวงวิญญาณท่านไว้
 ท่านจึงไม่อาจจะหลีกเลี่ยงชาตาชีวิตท่านได้”   ชายชรากล่าวแจ้งปัญหาสวรรค์แก่ชายหนุ่มให้ทราบ
       “แล้วคนอื่นๆทำไมท่านพ่อปู่ราชครูไม่จัดทำแทนข้าพเจ้าเพื่อปกป้องมหานครนี้ล่ะท่าน”  ชายหนุ่มต่อลอง
       “หากมีคนที่สามารถทดแทนท่านได้ดวงดาวคงไม่ลิขิตกำหนดไว้เช่นนี้หรอกท่าน”
       “อีกประการหนึ่งหากมีคนสามารถถือศีลอาบน้ำธาตุศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถจะบังคับใช้
มหาศาสตราอาวุธฤทธิ์เดชอันเกรียงไกร  ๕ ประการได้ ก็เป็นแค่เพียงคงทนต่อศาสตราอาวุธต่างๆ  เหาะเหิรเดินดำดินท่องไปในธาตุต่างๆได้เท่านั้น เพราะศาสตราอาวุธนี้เป็นกำเนิดคู่กับธาตุที่สะสมบารมีเฉพาะท่านไว้
เพราะได้รับการประทานจากจอมเทพทั้งหลายไว้ปกป้องนครคู่กับท่านโดยเฉพาะแม้แต่เราก็ไม่กล้าบังอาจ”
        “อ้อๆเกือบลืมบอกหากผู้ใดมิมีวาสนาบารมีพอเข้าอาบน้ำธาตุศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวแล้วก็จะต้องตกตายไปแม้แต่
วิญญาณธาตุก็พลอยต้องถูกกักขังชั่วนาตาปีจนกว่าจะพบกับพุทธทันดรจึงจะหลุดพ้นอำนาจนี้ได้ เราจึงมิอาจเสาะ
ค้นหาผู้หนึ่งผู้ใดได้นอกจากคอยท่านตามฟ้าลิขิตกำหนดเท่านั้น”  ชายชราสาธยายสิ่งต่างๆให้ฟัง
        “แล้วท่านแน่ใจหรือว่า ข้าพเจ้าเป็นบุคคลที่ท่านเสาะหา” ชายหนุ่มท้วงติง
        “ฮ่าๆๆๆมีใครในภพนี้หรือที่จะทราบชะตาที่ดินฟ้ากำหนดได้เที่ยงแท้แม่นยำกว่าเรา”  ชายชราหัวร่อร่วน
   ชายหนุ่มหันหน้าไปมองหญิงสาวที่นั่งลงข้างๆเขาที่คอยฟังการสนทนาอยู่ เห็นหล่อนยิ้มๆและพยักหน้าให้รับ
เหมือนจะขอร้องเขาให้ทำตามชายชราพ่อปู่ราชครูกล่าวไว้
     ชายหนุ่มอึ้งต่อลักษณะท่าทางของหญิงสาว   หากเขาทำตามคำขอร้องและไม่เป็นผู้มีบารมีดังที่กล่าวไว้ล่ะ
เพียงแค่คำพูดของชายชราก็ทำให้เขาเสียววูบเข้าไปยังหัวใจแล้วหากประสบจริงจะเป็นอย่างไรหนอ ชายหนุ่มคิด
แต่สิ่งต่างๆตั้งแต่เข้ามามันเสมือนเป็นอิทธิฤทธิ์ทั้งนั้น แม้ภายในกายเขาตั้งแต่ทานผลไม้ประหลาดนั้นถึงตอนนี้
รู้สึกว่าจะเร่งเร้าภายในเขาเสียจริงๆ และก็เป็นสิ่งที่น่าทดลองจริงๆเพราะตอนนี้เขาไม่เหลืออะไรอีกแล้วและไม่
รู้ว่าจะได้กลับออกไปพบโลกที่เคยอาศัยอยู่ได้หรือเปล่า จึงได้กล่าวต่อรองกับชายชราว่า
        “หากมาดแม้นว่าข้าพเจ้าทำตามท่านพ่อครูแล้ว    หากยังจะคิดจะกลับไปสู่โลกปัจจุบันของข้าพเจ้าคงจะ
ไม่เป็นปัญหานะท่านพ่อปู่ขอรับ”
      “ เราให้สัญญาท่านทัศยุ  หลังจากท่านช่วยเหลือนาครินทนาครนี้พ้นภัยและยังคิดจะกลับที่เดิมเราจะจัดการ
ให้ท่านกลับโดยไม่มีข้อแม้แต่ประการใด  แต่ๆต้องได้รับบัญชาจากจอมเทพด้วย”   ชายชราให้สัญญา
       “อ้อๆ..ขอถามท่านอีกอย่าง  ทำไมพวกท่านตลอดจนท่านเองทำไมมีอายุเป็นกัลป์กาลไม่มีวันศูนย์ดับดังพวก
ข้าพเจ้าล่ะพ่อท่านราชครู”  ชายหนุ่มถามสิ่งสงสัย
       “เป็นเพราะธาตุบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ประการหนึ่ง   เพราะอิทธิฤทธิ์ของศาสตราอาวุธ ๕ประการประการหนึ่ง
พรจากจอมเทพทั้งหลายประการหนึ่งความมีสัจจะยึดมั่นในคุณธรรมพร้อมที่ยอมพลีเพื่อปกป้องธาตุประการหนึ่ง
อีกในวันธรรมสวนะเราทั้งหมดตั้งมั่นในศีลประการหนึ่ง  และผลไม้ที่บรรจุธาตุอมตะอีกประการหนึ่ง
ตลอดจนได้ชำระร่างกายจากธาตุอมฤตประการหนึ่ง  รวมเจ็ดประการตามกำลังวันของดวงดาวที่คอยหมุนเวียนไว้
จึงทำให้ร่างกายนี้เป็นอมตะไปแต่ไม่ทุกๆคนหรอกนะท่าน    จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนประชาชาวนครต้อง
อาศัยบุญบารมีสะสมก่อนที่จะเข้ามากำเนิดในภพภูมินี้อีกด้วยนะท่าน”ชายชราตอบ
       “แล้วเหตุใดเมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าเป็นทัศยุจอมราชันย์นั้นทำไมต้องดับสังขารลงล่ะท่านราชครู” ชายหนุ่มย้อน
       “อ้อ...เพราะท่านไม่หลุดพ้นวังวนของกามารมณ์ที่ผูกพันจากเจ้าหญิงต่างๆที่พารุมเข้ามาและไม่สามารถ
แก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ จนทำให้ท่านเกิดความเบื่อหน่ายแล้วตั้งจิตอธิษฐานต่อธาตุศักดิ์สิทธิ์ในระหว่างกำลังชำระ
ร่างกายของทุกเพ็ญ ๑๕ ค่ำทำต่อหน้าศาสตราอาวุธทั้งหลาย  โดยมอบหมายภารกิจทั้งปวงแก่ข้าพเจ้าซึ่งเป็นทั้ง
พระสหายร่วมอาจารย์ท่านตลอดฝากศาสตราอาวุธให้ช่วยปกป้องคุ้มครองนาครินทนาครทั้งผู้คนทั้งมวลที่มีความ
จงรักภักดีอยู่เสมอมา จะมีบ้างที่ดับไปตามวาระกรรมก็มี สิ้นไปด้วยอำนาจฤทธิ์ของศาสตราก็มี  ดับไปเพราะ
ผิดศีลธรรมก็มี ส่วนพวกที่ดับไปตามวาระนั้นเนื่องเหตุขาดความเชื่อมั่นต่ออำนาจสิ่งศักดิสิทธิ์ของธาตุจนกระทั่ง
ศาสตราอาวุธของท่านไม่สามารถคุ้มครองได้จึงต้องสิ้นสลายไปตามกฎแห่งกรรมนั้นๆหรอกท่าน”
       ชายชราเล่าถึงความเป็นอมตะของผู้ที่อยู่ในช่วงปัจจุบันของชาวประชานาครินทนาคร
       “ตอนนี้อีกประการหนึ่ง มหาศาสตราอาวุธคงคิดถึงจ้าวนายทำให้แสงที่เคยเจิดจ้ากลับจางลงทุกๆขณะลง
คงเหลือเพียงแค่พอทำให้รู้ว่ายังคงมีแสงอยู่เท่านั้น  หากกาลต่อไปข้างหน้าถ้าปราศจากท่านเข้าไปปลุกมหาศาสตรา
คงจะหวนกลับไปสู่ท่านจอมเทพทั้งหลายด้วยเหตุดังนี้มหาศาสตราอาวุธจึงทอแสงอ่อนลง  
อาจจะถึงกาลสิ้นอำนาจฤทธิ์ไม่อาจคุ้มครองนครนี้  อีกประการหนึ่ง เหล่าภพนาครต่างๆเคยยกทัพมาเพื่อ
จะแย่งชิงน้ำอมฤตธาตุอุทกนั้นก็จะยกรี้พลมารุกรานเรา  ฝ่ายคิดรุกรานแย่งชิงหากทราบข่าวถึงมหาศาสตราอาวุธ
นี้เพียงเลาๆจึงได้ตระเตรียมขุมกำลังไว้เพื่อคอยโอกาสเข้ารุกรานนาครินทนาครนี้ซึ่งจำเป็นที่เราต้องพยายาม
หาทางให้ท่านกลับคืนมา จึงต้องคอยตรวจดูฟ้าแทบจะมิได้หลับนอนเลย  ยิ่งกังวลมากขึ้น เพราะมีผู้แจ้งแก่เราว่า 
มีผู้ที่คอยสอดส่องสอดแนมในแสงที่ปกคลุมมหานครนี้อยู่อย่างสม่ำเสมอๆ” ชายชราเล่า
      “หากมาดแม้นข้าพเจ้ายินยอมรับขอตกลงท่าน ในเมื่อข้าพเจ้ามิใช่ราชันย์ทัศยุคนเดิม เพียงแค่อายุอานาม
แล้วท่านก็มีมากกว่าข้าพเจ้ามากมายนัก ครั้นท่านจักบอกข้าพเจ้าว่าเป็นพระสหายในอดีตแต่ปัจจุบันนี้หาใช่ไม่
จึงขอเรียกท่านตามหญิงดาริกาดีกว่า  เรียกท่านว่าพ่อปู่ราชครูก็แสนจะไพเราะถูกใจข้าพเจ้าเสียนักหนา หวังว่า
ท่านคงจะไม่ขัดข้องนะขอรับ  อีกอย่างหนึ่งคำราชาศัพท์ทั้งหลายข้าพเจ้าเป็นชาวบ้านป่าธรรมดาย่อมจะไม่รู้ซึ้ง
เท่าที่ควรจึงอยากจะให้ใช้คำเรียบง่ายธรรมดาเพื่อข้าพเจ้าจะได้เข้าใจรู้ตามหวังว่าท่านจะตกลงและกำชับบริวาร
ของท่านด้วยก็จะเป็นการดียิ่งนะท่านพ่อปู่ราชครู ส่วนเรื่องทำตามข้อตกลงนั้นรู้สึกเห็นใจในการรอคอยของท่าน
และชาวนาครินทนาครยิ่งนัก ข้าพเจ้าเป็นคนอ่อนแออ่อนไหวง่ายบางครั้งอาจจะทำการมิสมควรอยู่แต่ก็มีความ
รู้สึกเห็นอกเห็นใจตามที่ท่านเล่ามานี้ เหตุดังนี้จึงมิเป็นการขัดข้องแต่ประการใด
				
27 ตุลาคม 2549 13:25 น.

** ทัศยุราชันย์ (แปลกถิ่น) **

แก้วประเสริฐ


                                              ** ทัศยุราชันย์**
                                                     บทที่  ๒
                                                    แปลกถิ่น

        “ ตื่นเถอะคุณ...ๆ”  เสียงเรียกเบาๆดังขึ้นริมหู    
          “ นี่เกือบเที่ยงแล้วล่ะน๊ะ “  
          “รีบแต่งตัวเถอะเดี๋ยวต้องไปพบ “ท่านพ่อปู่ ”ท่านกำลังคอย อย่าช้านะจ๊ะ ” เสียงหญิงสาวเรียกรีบเร่ง
   ชายหนุ่มลืมตาขึ้นแล้วขยี้นัยน์ตาพลางหันมอง พบใบหน้าของหญิงสาวที่เคยพบกำลังถือเสื้อผ้าเรียกอยู่
พร้อมก้มมองตัวเองซึ่งมีเพียงแค่กางเกงขาก๊วยและผ้าขาวม้าผืนเดียวเท่านั้น ส่วนมีดและเชือกเถาวัลย์ไม่รู้
อยู่ตรงไหนหรือหล่นหายไปพร้อมกับสายน้ำคราวหนีน้ำหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน กระพริบตาถี่ๆแล้ว
ค่อยๆลุกขึ้นนั่งมองอย่างงวยงง พ่อปู่ไหนหรือเขาคิด  ก็พบเพียงหล่อนคนเดียวเท่านั้นยังมีใครอีกหรือ
แต่ไม่ได้ถามอะไรมากมาย เพราะปกตินิสัยเขาก็ไม่ค่อยชอบพูดจาวิสาสะกับใครๆอยู่แล้ว เมื่อรำคาญชาวบ้าน
ก็จะรีบแต่งตัวเข้าป่าทันทีเพื่อให้พ้นๆไปเสียจากการพูดจาต่างๆนานา มักจะชอบวิจารณ์เรื่องไม่ใช่เรื่องของตน
แต่กับไปวิจารณ์เรื่องของคนอื่น บางครั้งก็จะเกิดการทะเลาะวิวาทกันอยู่เสมอๆ เขาอยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่พ่อแม่
ได้ทิ้งเขาไปเมื่อเริ่มวัยหนุ่ม เขาก็มิได้ติดพันใครๆทั้งสิ้น ญาติพี่น้องรึก็ไม่มี
               พ่อแม่ก็นิสัยเหมือนเขาคือไม่ค่อยชอบพบปะมักจี่กับใครๆนอกจากทำหน้าที่ภายในบ้านเท่านั้น 
จะมีบ้างก็เป็นงานประจำหมู่บ้านเท่านั้นหรือประชุมบางครั้งบางคราว ต่างคนต่างหากินกันไปตามอัตภาพ
ฉะนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มแล้วยืนมองหล่อน พร้อมทั้งกล่าวขึ้นว่า
         “ จะไปล้างหน้าและอาบน้ำที่ไหนล่ะจ๊ะ  ไม่เห็นมีน้ำที่ไหนเลยนอกจากแก้วหินเหล่านี้ ” ชายหนุ่มถาม
หล่อนยิ้ม   จนเขาต้องอดชมในใจเสียมิได้ว่าหล่อนช่างงามอะไรเช่นนี้ ผิดกับหญิงชาวบ้านป่าทั่วๆไปราว
ฟ้ากับดินทีเดียว  ใบหน้าเรียวกลมรับกับคิ้วจมูกปากราวกับถูกปั้นจากเทวดาตามที่เห็นจากปฏิทินรูปนางฟ้าจัง
เออ...แต่นี่อะไรๆก็ดูแปลกตาแปลกใจไปเสียทั้งหมดหรือว่าเป็นถิ่นสถานของเทวดาจริงๆน๊ะ เขาคิดรำพึง
        “เร็วๆเถอะจ๊ะ ท่านพ่อปู่คอยนานไม่ได้ ” หล่อนเร่งเขา
          “ เดี๋ยวก่อนจ๊ะ...เออๆ!!...ท่านมีชื่ออะไรหรือ...ตั้งแต่มายังไม่ทราบชื่อท่านเลยล่ะ” 
          “ อ้าๆๆ...ผมเองชื่อทัดจ๊ะ ทัดบ้านป่า...”  ชายหนุ่มถามพร้อมแจ้งชื่อให้หล่อนทราบ
          “ จะรู้ไปทำไมจ๊ะ เพราะเราก็ต้องจากกันอีกแล้วน๊ะ”  หล่อนติง
          “ อ้อ..เพื่อฉันจะได้จดจำผู้มีคุณแก่ฉัน ก็เท่านั้นเองแหละจ๊ะ” 
          “ สักวันหนึ่งแวะมาแถวๆนี้จะได้มาเยี่ยมเยียนจ้า”  ชายหนุ่มอ้อนพร้อมเผยยิ้มที่คิดว่าตัวเองจะยิ้มได้งาม
          “ ช่างเถอะ...เดี๋ยวคุณก็รู้เองแหละน่า”  หญิงสาวก้มหน้าตอบเพื่อหลบสายตาของชายหนุ่ม
          “ หากไม่ทราบชื่อคุณ ผมว่าไม่ไปดีกว่านะ เพราะเดี๋ยวท่านพ่อปู่ถามก็ไม่รู้ว่าใครช่วยเหลือผมซิ” เขาตอบ
    พร้อมทั้งทำท่าจะเอนตัวลงนอนต่อ หากไม่ได้รับคำตอบจากหญิงสาว  ทำให้หญิงสาวลังเลใจไปสักครู่
          “ อันที่จริงไม่สำคัญอะไรหรอกนะ แต่ว่าเฮอะๆๆช่างเถอะ  ฉันชื่อ “ดาริกา”  อย่ามัวโอ้เอ้เลยเร็วๆเข้า”
          “เพราะท่านพ่อปู่จะต้องรีบไป ให้มาเร่งก่อนท่านจะไปน๊ะ” หล่อนก้มหน้าตอบเขา
          “ แค่นี้แหละ..ทำหวงชื่อไปได้ ไม่เห็นจะน่าหวงเลยชื่อก็ไพเราะเหมือนดวงดาว ไม่เห็นเหมือนตัวตุ่นเลย”
     เจ้าหล่อนทำตาโต คิดจะพูดแต่ก็นิ่งเสียพร้อมวางเสื้อผ้าไว้ที่โต๊ะหินข้างๆ เดินหลบไปพร้อมเสียงกำชับ
          “แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยด้วยล่ะ  อ๋อ...น้ำอยู่หลีบหินโน้นแน๊ะ”  พร้อมชี้มือบอกทางเขา แล้วก็เดิน
หนีไปยังหลีบหินอีกด้านหนึ่ง คอยให้ชายหนุ่มชำระร่างกายแต่งตัวเสร็จจะมารับ
           “ อ้าวๆๆแล้ว ดาว จะไปไหนล่ะ ไม่รอก่อนรึ” เมื่อเห็นหล่อนเดินจะเข้าหลีบหินข้างหน้า
         “ ฉันชื่อดาริกาย๊ะ...มิใช่ ดาว น๊ะ...ฮึๆๆๆดาว ดาว เอ๊ะก็ไพเราะดีนี่นา “ หล่อนท้วงพร้อมอมยิ้มเหมือน
จะรู้สึกพึงพอใจต่อคำว่า “ดาว” เสียจริงๆ พร้อมทั้งรีบเดินหนีไปไม่ฟังคำท้วงติงใดๆจากชายหนุ่มอีก
         เขารีบลุกขึ้นเดินไปยังที่หลีบหินที่หล่อนบอกทางให้เมื่อพ้นหลีบหินก็เห็นเป็นลานกว้างพอประมาณ
ตรงกลางเป็นแอ่งน้ำใสสะอาดไม่ใหญ่และกว้างนักประมาณสองสามวาเห็นจะได้ มีหินย้อยหลากสีส่งประกาย
ระยิบระยับแพรวพรายส่งสะท้อนแสงแวววับช่างงดงามอะไรเช่นนั้น แต่แต่น้ำในแอ่งก็ยังส่งประกายหลากสี
เช่นกัน เรียกได้ว่าตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยได้พบเห็นอะไรจะงามเท่าสถานที่นี้อีกเลย
        “ แล้วเราจะปลดทุกข์หนักได้อย่างไรเล่าหว่า” ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง แต่ทว่าเหมือนจะมีอะไรมาดลใจ
ทำให้ต้องเหลือบไปมองตรงหลีบหินตรงมุมสุดของลานหินเห็นเป็นหินเหลื่อมซ้อน  เขาจึงเดินไปสถานที่
ดังกล่าวจะเป็นตามที่เสมือนมีอะไรดลใจหรือไม่  ก็ต้องแปลกใจที่ความคิดอ่านช่างตรงกันเสียเหลือเกิน
เพราะสถานที่นี้ก็เป็นสถานที่ใช้สำหรับปล่อยทุกข์จริงๆด้วย   เขาจึงรีบจัดการทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ
พร้อมทั้งชำระร่างกายไปด้วย แล้วเดินออกมาเพื่อล้างหน้าอาบน้ำ แต่ทว่าพอหันหลังกลับไปมองอีกครั้ง
ก็ต้องสะดุ้งในใจเพราะบริเวณเมื่อกี้นี้หายไปกลับเป็นเพียงหินย้อยที่ย้อยลงไปจัดเป็นม่านเล็กๆเท่านั้นเอง
        “ ฮึๆๆหรือว่าพวกเทวดาไม่ต้องปล่อยทุกข์หนักดังเช่นเรา”  เขาคิดคำนึง เพราะที่นี้อะไรๆก็แปลกๆ
อยู่แล้วล่ะ
        “ มันเป็นวาสนาหรือเคราะห์แน่โว้ย” เขารำพึงกับตัวเอง พร้อมรีบจัดการกับตัวเองลงอาบน้ำในแอ่งน้ำ
        “ อ้าวๆๆไม่มีอะไรถูตัวหรือ เอ๊ะก้อนหินสีนี้มีกลิ่น เอาล่ะเอาไอ้นี่แทนก็ได้” เขาคิดพร้อมทั้งนำหินสี
นั้นมาทำความสะอาดร่างกาย  แล้วก็ต้องสะดุ้งในใจเพราะปรากฏว่าใช้ชำระร่างกายได้ดีกว่าสบู่ที่เขาทำขึ้น
ใช้เสียอีก ความรู้สึกว่าร่างกายช่างสะอาดสะอ้านกว่ากัน พร้อมทั้งเร่งตัวเองแล้วขึ้นจากแอ่งน้ำ
         “ตายล่ะหว่า  เสื้อผ้าที่เขาเอามาให้อยู่ข้างนอกโน่น จะเดินไปเอาก็กลัวสาวเจ้าจะมาเห็น ทำไงดีล่ะ”
แต่แล้วความคิดก็นึกถึงผ้าขาวม้าได้จึงรีบนำมาคาดนุ่ง พร้อมทั้งหยิบกางเกงเดินออกไปบริเวณลานถ้ำนั้น
        พร้อมทั้งจัดการรีบผลัดเปลี่ยน พอหยิบขึ้นมาเห็นเป็นกางเกงเช่นขาก๊วยก็ค่อยโล่งอกไป เพราะเขา
คิดว่าจะเป็นผ้าถุงหรือผ้าสำหรับนุ่งโจงกระเบนเช่นคนแก่ๆในหมู่บ้านเขาใช้นุ่งกันเสียอีก เพียงแต่ว่ากางเกง
นั้นเป็นสีลายแปลกตา ตรงขอบทั้งด้านล่างบนเป็นขลิบลายทองริมขากางเกง ส่วนด้านบนเป็นรูปคล้ายดอกไม้
กำลังบานช่างเถอะรูปอะไรก็ช่าง   แล้วหยิบเสื้อขึ้นมาดูเป็นเสื้อไร้แขนบางเบาใสมีขอบทองทั้งปกและขอบเสื้อ
        “จะใส่ไปทำไม  ใส่หรือไม่ใส่ก็คงเหมือนกันแหละบางอย่างนี้” เขาคิด  แต่พอสวมเสื้อดังกล่าวแล้วมองตัว
เองก็พบว่าไม่สามารถแลเห็นเนื้อตัวเองเลยซ้ำยังอบอุ่นเย็นๆอย่างประหลาด รู้สึกตัวชักเบาๆอย่างไรชอบกล
        “ช่างเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้วอะไรจะเกิดให้มันเกิดไป” เขารำพึงตัวเอง พร้อมทั้งหันมองหาหญิงสาวคนนั้น
ก็เห็นเจ้าหล่อนเดินยิ้มออกมา แล้วยืนตะลึงจ้องมองดูเขาแต่งตัว รู้สึกตัวเจ้าหล่อนจะเบิกตากว้างเป็นพิเศษ
เหมือนจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง
        “เหมือนผิดกันเป็นคนละคน”  หล่อนยืนรำพึง
        “ เรียบร้อยแล้วหรือ  ทีแรกนึกว่าเต่าใส่เสื้อเสียอีก ผิดคาดจริงๆ ฮึๆๆ”  สาวเจ้ากล่าวหัวเราะเบาๆ
พร้อมทั้งเดินมาดึงแขนเขาเพื่อนำเขาออกไป
        “เดี๋ยวก่อนๆ ”  
        “ อะไรอีกล่ะ “
        “เปล่าหรอก....!!!.... ฉันคงหล่อนะซิ ฮิๆๆ” เขากระเซ้าหล่อน
        “จะบ้าหรือ...คนอะไรหลงตัวเอง รีบไปเถอะ” หล่อนปล่อยแขนเขา พร้อมก้มหน้าสะเทิ้นอาย
        “ บอกตรงๆนะเธอ...ตั้งแต่ผมเกิดมาเป็นหนุ่มนี่ยังไม่เคยเห็นใครสวยเท่าเธอเลยล่ะ”  เขายืนอมยิ้ม
        “ ช่างเถอะๆ  เธอก็หล่อจริงๆนี่  อุ๊ย บ้าบอเหมือนคุณไม่มีหรอก  ไปๆๆๆรีบไปเถอะพ่อปู่จะคอยนาน”
   หล่อนหันมาตอบพร้อมรีบเดินนำทางเข้าไปยังหลีบหินด้านที่หล่อนเดินออกมา   เขารีบเดินตามหลังหล่อน
ก่อนนั้นเคยมาสำรวจเห็นเป็นโพรงใหญ่พอประมาณมืดสนิท แต่พอเธอเดินผ่านพลันก็ปรากฏแสงเรืองรอง
กระจายไปทั่วบริเวณนั้นเป็นบริเวณกว้างพอประมาณใช้สำหรับเดินได้สักสามสี่คนเห็นจะได้ เป็นทางราบ
แต่คดเคี้ยวไปมา ข้างฝาผนังถ้ำส่งประกายสีขาวนวลอมแดงชมพูตลอดแนวทางเห็นสองข้างทางปูไปด้วยหิน
หลากสีเล็กๆส่งประกายใสสดแวววาวไปทั่วราวกับมณีที่ต้องแสงอาทิตย์ก็มิปานระยิบระยังพร่างพราวไปหมด
          สักพักหนึ่งก็แลเห็นปากทางออกเป็นแสงสว่างสีเขียวขจีสดใส    หล่อนและเขายืนหยุดตรงนั้นเห็นหล่อน
ยกมือแล้วทำปากขมุบขมิบเหมือนจะท่องอะไรสักอย่างหนึ่ง เขายืนมองอย่างสงสัยแต่มิได้กล่าวถามอะไรหล่อน
คงยืนดูหล่อนเฉยๆ  สักครู่ปรากฏตรงกลางแสงสว่างสีเขียวนั้นคล้ายมีบานประตูเปิดออก  หล่อนหันมามองเขา
พร้อมเร่งให้รีบเดินตามหล่อนอย่าได้ห่างไกลนัก  ทั้งสองเดินผ่านประตูนั้นเข้าไปแต่เขาอดเสียมิได้ที่ต้องหันหลัง
กลับไปมองทางออกอีกปรากฏว่าทั้งแสงและประตูนั้นหายไป เป็นเพียงผนังหินกั้นธรรมดาเท่านั้นเอง
         แล้วหันหน้ากลับแต่อนิจจา  เขาต้องตกตลึงพึงเพริศต่อภาพต่างๆอีกครั้งเพราะบริเวณที่เขาแหละหล่อน
ยืนอยู่เป็นบริเวณกว้างเต็มไปด้วยไม้นาๆพันธุ์ชนิด ทั้งสองด้านเป็นภูเขาขึ้นกั้นทางไว้แต่แปลกกว่าภูเขาทั่วๆไป
เพราะเขาแต่ละลูกมีประกายแสงส่องออกมาจากด้านหลังเป็นแสงสะท้อนขึ้นไปในอากาศส่วนด้านหน้านั้น
แพรวพราวหลากสีกระจายคล้ายแสงหิงห้อยที่กลับบินว่อนในอากาศก็มิปาน รอบบริเวณดังกล่าวมีดอกไม้สะพรั่ง
กำลังเบ่งบานส่งกลิ่นหอมโชยอ่อนๆล่องลอยมาจะว่ากลิ่นคล้ายดอกกุหลาบก็มิใช่เป็นกลิ่นนมแมวก็มิเชิง
ครั้นสูดเข้าไปทำให้ร่างกายสดชื่นสมองรู้สึกปลอดโปร่งเป็นพิเศษ แต่ละช่อละดอกมีแสงสีทองส่องลอยประกาย
รอบล้อมดอกไม้นั้นๆระยิบระยับวนพราวไปทั่วทุกๆช่อดอกไม้นั้น 
          เบื้องหน้าเป็นทางเดินเล็กๆแต่โรยด้วยหินสีประหลาดต่างๆส่งแสงแพรวพราวไปทั่ว     สองข้างทางเป็นต้นไม้เตี้ยดอกเล็กๆระยิบระยับพร้อมกลิ่นโชยมาแต่กลิ่นแตกต่างกันของระยะเส้นทางที่เดินเข้าไป   
 เขาเดินตามเจ้าหล่อนซึ่งเดินนำหน้ามุ่งตรงไปยังภูเขาลูกกลาง   ที่แลเห็นไม่ใกล้ไม่ไกลนัก  
พอเข้าระยะใกล้ก็แลเห็นวิหารเล็กๆตั้งอยู่โดดเด่นเดี่ยวหลังเดียวรายล้อมด้วยดอกไม้
หน้าวิหารเป็นลานกว้างเล็กน้อยสองข้างเป็นสระน้ำที่ปลูกดอกบัวกำลังเบ่งบาน  บริเวณรอบวิหารเห็นเป็นแสง
สว่างครอบคลุมเป็นแนววงโค้งครอบไว้หลากสี  หล่อนพาเขาเดินมาจนถึงปลายสุดของวงโค้งแสง  ก็ดึงเขาให้
ทรุดตัวลงนั่งกึ่งคุกเข่าพนมมือ   พลางหล่อนก็น้อมตัวกล่าวคำออกไป
         “ ท่านพ่อปู่...ข้าพเจ้านำท่าน “ทัศยุ”มาพบแล้วเจ้าค่ะ ”
    เสียงเงียบไร้สุ่มเสียงตอบรับ เพียงแต่แสงโค้งนั้นเปิดเป็นทางพอทีจะเดินผ่านไปได้ พลางหล่อนหันมากล่าว
กับชายหนุ่มเบาๆ
         “ ท่านระวังกิริยาไว้บ้าง กล่าวคำใดควรระมัดระวังคิดก่อนพูดนะ”  หล่อนหันมาเตือนเขา 
   เหมือนกึ่งได้ยินซึ่งเป็นช่วงที่เขางุนงงต่อคำที่หล่อนกล่าวกับพ่อปู่ของหล่อน  “ทัศยุๆ”  แต่ เราชื่อ “ทัด” นี่หว่า
ไหงเป็น “ทัศยุ”ไปได้ ก็ไม่เห็นมีใครอีกนอกจากเรา  จนกระทั่งหล่อนกระตุกชายเสื้อเขานั่นแหละถึงจะรู้ตัว
ทั้งสองเดินผ่านแสงเข้าไปยังประตูวิหารเล็กๆนั้นแล้วก้าวข้ามพ้นธรณีประตู  ก็แลเห็นชายชรานุ่งขาวห่มขาวนั่ง
อยู่ตรงกลางใกล้ๆริมผนังด้านหลัง อากาศภายในเย็นฉ่ำกำลังพอดีๆ ลืมตามองมายังเขาทั้งสอง ด้วยใบหน้าเฉยเมย
ปราศจากอาการใดๆทั้งสิ้นดั่งผู้ทรงศีล  ใบหน้าเต็มไปด้วยผมเครายาวขาวโพลงดุจดังใยหิมะ........ “ ทัศยุ ท่าน ”

				
26 ตุลาคม 2549 22:23 น.

** ทัศยุราชันย์ (เธออยู่ไหน) **

แก้วประเสริฐ


                                    ** ทัศยุราชันย์  **

                                         บทที่  ๑
                                        ภัยพิบัติ
                                               
         สายลมที่กรรโชกอย่างรุนแรง   พัดเอากิ่งไม้แห้งเล็กๆหมุนวนพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
กระแสเสียงกระหึ่มปานฟ้าจะถล่มทลายดังกึกก้องจากไกลค่อยๆใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา
พร้อมทั้งสำเนียงอสุนิบาศก์คำราม  ฝนที่โปรยลงมาค่อยๆเพิ่มความรุนแรงขึ้นตามลำดับ
         ชายหนุ่มร่างสันทัดนุ่งกางเกงขาก๊วยผ้าขาวม้าคาดพุงไม่ได้สวมเสื้อผ้า มองให้เห็น
ร่างที่กำยำเต็มไปด้วยก้อนเนื้อเป็นมัดๆสีค่อนข้างแดงอมดำ แหงนมองท้องฟ้าดูหมู่เมฆที่
มืดทะมึนครึ้มกำลังล่องลอยผ่านภูเขาที่แห้งผากอย่างรวดเร็วพัดต้นไม้เชิงเขาเอนลู่เป็นทาง
พร้อมทั้งเสียงไหลอู้กระหึ่มแว่วเข้ามาเป็นระยะๆตรงเข้ามายังทิศทางที่เขายืนอยู่....
         “ สงสัยน้ำป่าจะมา ”   ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง
   เขารีบกระวีกระวาดหยิบมีดตัดไม้ขึ้นเหน็บด้านหลัง พร้อมทั้งแบกกิ่งไม้แห้งที่ตัดไว้เป็น
ท่อนๆขึ้นพาดสู่บ่าพร้อมหิ้วของป่าที่หาได้  รีบออกเดินลัดเลาะตามทางเล็กๆที่ทอดคดเคี้ยว
ไปยังเบื้องล่างของตีนเขาผ่านลำธารเล็กๆที่ทอดยาวไกล กึ่งวิ่งกึ่งเดินอย่างเร่งด่วน
 มุ่งสู่ที่อยู่อาศัยที่มองเห็นลิบๆสุดสายตาเบื้องล่างใต้แนวเนินหินเป็นชั้นๆออกไป
        “ ฮึ ๆ!!...สงสัยจะไม่ทันเสียแล้วเรา”  ใบหน้าปรากฏรอยกังวล ขมวดคิ้วจนเห็นได้ชัด 
รำพึงเบาๆดังมาจากปากชายหนุ่มร่างสันทัด  พลางหันสายตาแลขวาหาหนทางหนีภัยที่กำลังมา
การหนีน้ำป่าไม่ใช่สิ่งง่ายดายนัก ทั้งพายุฝนที่พัดกระหน่ำอย่างรุนแรงบริเวณที่ปราศจากต้นไม้
ยืนต้นพอจะกำบังหลบหรือชะง่อนหินที่สูงๆด้วยเป็นแนวต้นไม้ขนาดย่อมๆคละด้วยต้นไม้เล็กๆ
ไม่มีที่สูงพอจะขึ้นไปหลบพายุฝนและน้ำป่าได้เลยด้วยเป็นเชิงเนินเขาเล็กๆที่อุดมด้วยพืชสมุนไพร
        ทำให้ย้อนนึกถึงครั้งหนึ่งเมื่อสมัยเด็กๆตามพ่อมาหาของป่าและฟืนตลอดจนสมุนไพรยา
พ่อและเขาตลอดจนเพื่อนๆของพ่อเกือบจะเสียชีวิตไปเพราะน้ำป่าที่ไหลพัดมาหลายๆทิศทาง
ต่างหนีกระเซิงหลงพัดกันคนละทิศละทาง แต่ด้วยความเป็นผู้มีประสบการณ์และชำนาญของพ่อ
ทำให้เขารอดจากอุทกภัยในครั้งนั้นได้แต่ทว่ามันก็ยังฝังจำไม่มีวันจะลืมสิ่งสยองพองขนต่อภัยใน
ครั้งนั้นและเป็นที่เล่าขานมาจนทุกวันนี้       ชาวชนบทเยี่ยงพวกเขา และทุกๆคนจึงได้รับการ
ถ่ายทอดสิ่งต่างๆนาๆตลอดจนการตรวจดูดิน ฟ้า ลม ฝนในวาระต่างๆกันเสมอๆจากบรรพบุรุษ
        เขารีบวางท่อนไม้แล้วหันไปหาเถาวัลย์  นำมาตัดเป็นท่อนยาวพอประมาณพร้อมทั้งตัดต้นไม้
เลาะกิ่งเป็นท่อนๆวางขนานจัดการผูกมัดทำแพชั่วคราวพร้อมทั้งเสาไม้เพื่อใช้ในการค้ำแพ
และนำเถาวัลย์ตัดให้ยาวผูกขมวดเป็นเส้นยาวม้วนพาดสู่ไหล่ทั้งสองข้าง รอเสียงดังที่ค่อย
ได้ยินชัดขึ้นพร้อมเสียงน้ำไหลบ่ากังวานอย่างรุนแรง  เสียงซู่ๆแรงขึ้น แรงขึ้นจนมองเห็นน้ำที่ไหล
เป็นละลอกสีหม่นปูนแห้งคละสีดำ ไหลทะลักลงมาจากเขาดั่งน้ำที่ถูกเทจากกระบอกก็มิปาน
เต็มไปทั่วบริเวณอย่างบ้าคลั่ง มันกระจายแยกแยะไปตามแนวไม้ ทำให้ไม้หักระเนระนาดไปตามกัน
          ชายหนุ่มรีบขึ้นไปนั่งแพชั่วคราวพร้อมทั้งจับหลักที่ทำไว้ตรงกลางแพทั้งสี่หลักผูก
ผูกเถาวัลย์เป็นห่วงใช้สำหรับยึดเหนี่ยวมิให้พลัดหล่นจากแพยามกระแสน้ำเชี่ยวที่แพถูกไหลพาไปเข้า
กระทบกับกิ่งไม้หรือโขดหินซึ่งเขาเองยังไม่รู้เหตุการณ์จะเกิดออกมาในรูปแบบใด
          ยังไม่ทันจะคิดถึงสิ่งอื่นๆกระแสน้ำได้พัดมาถึงพร้อมทั้งพาเขาและแพลอยละลิ่วลงสู่
เบื้องล่างท่ามกลางกระแสน้ำที่ปั่นป่วน  ลมและฝนที่ตกลงมาอย่างหนักอากาศที่มืดครึ้ม
มองเห็นทั้งสองข้างอย่างเลือนราง แพกระทบกิ่งไม้และโขดหิน  ดีที่เขาได้รับประสบการณ์
จากพ่อที่สอนไว้   มิฉะนั้นป่านนี้เขาคงจะม้วนต่วนลอยไปตามกระแสน้ำที่เชี่ยวคลั่งเสียแล้ว
           มือทั้งสองข้างจับหลักที่ผูกเถาวัลย์ไว้อย่างเหนี่ยวแน่น ทาบลำตัวราบกับแพเท้าทั้งสอง
ข้างเกี่ยวเข้ากับหลักที่คล้องด้วยเถาวัลย์ปล่อยตัวตามสบายเพียงเกร็งข้อมือและเท้าเท่านั้น
กระแสน้ำป่วนพาร่างเขาและแพละล่องสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็วสองข้างเจิ่งนองไปด้วยน้ำ
ม้วนกระแทกกับต้นไม้ที่ถอนต้นถอนโคนลอยละลิ่ว บางครั้งกระทบกับแง่หินตามร่องทางน้ำ
ร่างกายถูกเกี่ยวเลือดไหลซิบๆไปเกือบทั้งตัว เขาคงปล่อยให้กระแสน้ำพาไปตามยถากรรม
         จวบจนกระทั่งแสงอาทิตย์ลับหายขอบฟ้า   ความมืดเข้ามาแทนที่น้ำก็ยังไหลเชี่ยวพา
ร่างเขาพร้อมแพบางครั้งพลิกคว่ำและหงายไปตามคลื่นที่เกิดกระทบจากแนวไม้และหินต่างๆ
เขาพยายามใช้กำลังเท่าที่มีอยู่เกาะเชือกเถาวัลย์อย่างเหนี่ยวแน่นทำตัวให้แนบกับแพเท่าที่ทำได้
ความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียเข้ามาแทนที  แต่ก็ต้องฝืนอย่างสุดชีวิตเพื่อรักษาชีวิตมิให้ตกตายไป
จนกระทั่งหลุดลอดเข้าสู่ช่องผาผ่านช่องถ้ำแห่งหนึ่งแพสะดุดค้างปลายทางซึ่งเป็นถ้ำลอดเล็กๆ
ให้กระแสน้ำที่อ่อนตัวบ้างไหลผ่าน  เขาติดอยู่ในช่องเล็กนั้นซึ่งแพขวางทางเดินของน้ำไว้
        ด้วยสัญชาติญาณแจ้งเขาว่าต้องหาทางหลีกหนีให้พ้นจากวิกฤติกาลนี้เสียก่อนหาทางแก้ไข
ทางอื่นต่อไปก่อนที่หายนะจะตามมาภายหลัง   ชายหนุ่มรีบสอดส่ายสายตามองหาทางที่จะหลบ
ภัยทางอื่น      อาศัยแสงประกายของหินเพชรหน้าทั่งที่ส่องระยิบระยับแพรวพรายไปทั่วถ้ำนั้น
อย่างเลือนรางเห็นที่สามารถพออาศัยหลบภัยเป็นเนินหินเหนือธารน้ำที่ไหลอย่างบ้าคลั่ง ซ้ำยังมี
โพรงขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่อยู่เหนือโขดหินสูงกว่าระดับน้ำที่ไหลอยู่   เขาไม่คิดอะไรอื่นอีกแล้ว
จึงได้ละแพพร้อมทั้งอาศัยพละกำลังค่อยๆว่ายฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวจนสามารถเกาะชะง่อนหิน
ที่ยื่นออกมา ตะวัดตัวขึ้นไปนอนพักเพื่อหายเหนื่อย  ความอ่อนล้าสารพางค์กาย ที่ฝ่าฟันมาทั้งวัน
ทำให้ชายหนุ่มผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว  พร้อมทั้งความมืดมิดที่แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ
        ความรู้สึกเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งความเย็นซ่านปกคลุมไปตามใบหน้าประกอบด้วยความหิวโหย
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างช้าๆค่อนข้างลำบาก  สายตาที่พร่าฟางพลันสะดุ้งเมื่อแลเห็นร่างของหญิงสาว
กำลังง่วนอยู่กับผ้าผืนเล็กๆที่บิดน้ำขึ้นจากขันลงหินใบค่อนข้างใหญ่พอประมาณห่างจากเขาไป
ไม่มากนัก     เขารีบผุดตัวนั่งอย่างรวดเร็วด้วยความตะหนักแปลกใจระคนกันด้วยบริเวณเหล่านี้เขา
เคยท่องเที่ยวหาของป่าและเรียกได้ว่าชำนาญภูมิประเทศบริเวณเหล่านี้เป็นอย่างดี  และท่าทางของ
หญิงสาวนี้ก็ไม่เหมือนกับชาวบ้านป่าทั่วๆไป เขาหันไปมองรอบๆแสงสว่างของแสงแดดที่ลอดจาก
ปล่องเหนือถ้ำสาดมายังบริเวณที่เขากำลังนั่งอยู่นี้ที่ใดแน่  อากาศภายในหรือก็เย็นฉ่ำแล้วสายน้ำที่ไหล
อย่างบ้าคลั่งมันหายไปไหนหรือทำไมไม่มีร่อยรอยของน้ำไว้ให้เขาเห็นเลย   นอกจากแสงที่ระยิบระยับ
จากหินที่ไหลย้อยตามผนังถ้ำเป็นแสงสีต่างๆดูสวยสดงดงามยิ่งนัก  หลังม่านหินย้อยเป็นเนินชั้นๆวาง
ด้วยเครื่องใช้สอยต่างๆดูแปลกตาไปจากของคนธรรมดาเสียจริงๆ
            เขาตายไปแล้วหรือ?!!!.....ถึงมาอยู่ที่สวยงามเช่นนี้ได้ภาพแสงสะท้อนภาพวิจิตรด้วยสีต่างๆนาๆ
ภาพหญิงสาวที่ไม่ธรรมดา ภาพเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆซึ่งไม่เหมือนกับพวกคนเช่นเราเขาใช้อยู่
         “โอ้ย?ๆๆๆ.....เรา”  พร้อมยกมือขึ้นกุมหัวและเขกที่หัวหนักๆ
         “ โอ้ย...เจ็บ”  อุทานออกมาดังๆ  หันซ้ายหันขวากรอกตาไปมา
         “ เรายังไม่ตายนี่หว่า ”  ชายหนุ่มอุทานเบาๆ
       เสียงร้องของชายหนุ่มทำให้ หญิงสาวเจ้าของที่หันมามองท่าทางแปลกใจในอากัปกิริยาของเขา
         “ ยังไม่หายดี พักผ่อนก่อนก็ได้ ถ้าหิวก็โน่นผลไม้ที่วางบนโต๊ะหินนั้นรับทานได้จ๊ะ” หญิงสาวกล่าว
          “ ที่นี่ที่ไหนหรือคุณ ฉันมาแถวนี้บ่อยๆไม่เคยเจอเลย....อ้อ...ขอบใจมากนะจ๊ะที่ช่วยฉันไว้”
ชายหนุ่มถามและกล่าวคำขอบคุณเบา พร้อมส่ายสายตามองค้นหาสิ่งรอบข้าง
       “ อย่ารู้เลยให้หายดีก่อนแล้วค่อยไปหรือจะพักอีกสักสองวันก็ได้จ๊ะ” หญิงสาวหันมายิ้มตอบ
       “ ขอบใจจ๊ะ  อ้อๆ  แล้วน้ำป่ามันหายไปไหนหมดนะ ไม่เห็นมีร่องรอยเลยนี่นา ” ชายหนุ่มสงสัย
         หญิงสาวยิ้มแต่ไม่ตอบพร้อมทั้งยกขันลงหินเดินหลบเข้าหลีบหินหลังม่านหินย้อยเข้าไปข้างใน
ชายหนุ่มจะเรียกก็ไม่ทันเสียแล้ว  ความหิวเข้ามาเรียกร้องจึงค่อยๆลุกเดินไปยังโต๊ะหินที่วางผลไม้ไว้
เมื่อมองไปที่ถาดลงหินที่ใส่ผลไม้ก็ตกตะลึงพรึงเพริศด้วยความแปลกใจ เพราะผลไม้เหล่านี้เขาไม่เคย
ได้พบเห็นที่ใดๆในป่านี้เลยจะว่าเป็นมะม่วงป่าสุกก็ไม่ใช่หรือจะเป็นมังคุดก็ไม่เชิงมันส่งกลิ่นหอมๆ
เย็นๆโชยออกมาลูกกลมๆคล้ายลูกจันทร์สุก ซึ่งลูกจันทร์จะมีลักษณะแบนๆแต่แปลกที่มันกลมคล้าย
ลูกมังคุดแต่กลิ่นหอมคล้ายมะม่วงสุกแต่หอมเย็นกว่า และอีกหลายๆชนิดวางปะปนซึ่งเขาไม่รู้จักทั้งสิ้น
         จึงทดลองหยิบลูกกลมๆขึ้นใส่ปากเพื่อกัด แต่พอฟันกระทบกับผิวผลไม้ก็ปรากฏเป็นน้ำเย็นๆ
ไหลลงสู่ลำคอละลายไปพร้อมกับเปลือกนั้นๆ ความหอมเย็นช่างซาบซ่านกระไรยิ่งนัก เกิดความร้อน
แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายเกิดความอิ่มเอิบสดชื่นทันที  จึงรีบหยิบผลไม้อื่นๆทดลองกินบ้างก็เป็น
ลักษณะเดียวกัน คือเมื่อกระทบฟันก็เป็นน้ำไปหมดแต่ทว่ารสชาติต่างๆกันไม่เหมือนกัน  มีทั้งรสหวาน 
เปรี้ยวอมหวาน  รสซ่าๆแปลกประหลาดยิ่งนัก  แต่ที่ยิ่งแปลกยิ่งกว่าก็คือรู้สึกเหมือนความร้อน
วิ่งวนไปวนมาจากล่างไปหาสูงจากสูงลงต่ำทั้งหัวปลายแขนและปลายเท้า ยิ่งกินมากความร้อน
ก็ยิ่งมาก ความหิวทำให้เขากินไปมากพอดูและเมื่อหันมามองในถาดอีกผลไม้ก็ไม่พร่องหายไปไหน
เหมือนจะเกิดขึ้นแทนที่ก็ไม่ปาน  ข้างๆถาดลงหินมีแก้วน้ำลงหินทำด้วยหินหลากสีแพรวพราว
ภายในบรรจุน้ำไว้เต็ม  เขาจึงยกขึ้นดื่มจนหมดถ้วย  
             รู้สึกตัวเบาๆคล้ายปุยนุ่นความร้อนที่วกวนเวียนรู้สึกจะค่อยทุเลาแล้วหายไป หนังตาเริ่ม
จะต่ำลงๆทุกที      เหมือนอย่างที่เขาพูดกันว่า  พอหนังท้องตึงหนังตาหย่อนเห็นจะจริง
อย่างเขาว่านั่นแหละ   ชายหนุ่มพยายามลุกขึ้นเดินตรวจดูรอบๆบริเวณนั้นตามหลังม่านหิน
ที่ย้อยลงมา พบว่ามีถ้ำเล็กๆเป็นคล้ายๆโพรงใหญ่ภายในมืดมิดคงเป็นทางที่หญิงสาวเดินหายเข้าไป  
ขณะลังเลอยู่นั้นความง่วงก็รู้สึกว่าจะมากขึ้นเขาคิดว่านอนพักสักตื่นก่อนดีกว่าแล้วค่อยค้นหาต่อไป 
      จึงเดินไปตามชั้นหลีบหินมองคล้ายๆจะเป็นเตียงก็ไม่เชิงแต่มีหินเป็นรูปสี่เหลี่ยมวางไว้
มีผ้าลายแปลกๆวางข้างบนอีกชั้นหนึ่งข้างๆมีผ้าลายแปลกขลิบทองคิดว่าเป็นผ้าสำหรับใช้ห่มวางอยู่
แต่พอนั่งลงบนเตียงซึ่งเห็นเป็นหินก็ต้องสะดุ้งสุดตัวผวาลงมามองอย่างตกใจ  เพราะพื้นที่เห็นเป็นหิน
กลับนุ่มอย่างประหลาดไม่แข็งกระด้างเลย จึงยืนมองพิจารณาด้วยความสงสัย ค่อยๆเอานิ้วจิ้มๆดูก็นิ่ม
บุ๋มลงไปพอวางเอานิ้วออกก็พองแข็งเหมือนเดิมดูลักษณะคล้ายหินดีๆนี่เอง 
        “ ช่างเถอะขอนอนพักหน่อยนะ ง่วงเหลือเกินแล้ว ” เขารำพึงกับตัวเอง พร้อมเอนกายลงนอนทันที
โดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดๆทั้งสิ้น   คิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาจนถึงที่นี่จนกระทั่งผล็อยหลับไปเมื้อไหร่ไม่รู้ตัว............
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ