อทิสมานกาย ๕๙ เสี่ยเม้งมองไปทางเบื้องหน้าก่อนจะสู่ภูเขาไปยังถ้ำนั้น ตลอดระยะทางแคบๆตลอดริมทางทั้งสองด้านเต็มไปด้วยพุ่มไม้ สูงๆต่ำแต่พื้นดินนั้นเต็มไปด้วยใบไม้แห้งๆ พื้นดินหรือก็ชุ่มๆแฉะๆ ไอ้มุ้ยมันบอกว่าให้ระวังพวกทาก พวกปลิง โดยเฉพาะปลิงกระโดด มันเคยได้ยินมาว่าตัวของปลิงนั้นมันดีดตัวใส่สิ่งมีชีวิตเพื่อดูดเลือดกิน และจะมาเป็นจำนวนมากๆอีกด้วย มันนึกถึงสภาพของตัวปลิงที่มันเคยเห็นมันก็ขยะแขยงผิวกายมัน ครั้นจะกลับด้วยกลัวปลิงเดี๋ยวพวกลูกน้องมันจะหัวร่อเยาะเย้นเอา ครั้นของหรือก็เป็นห่วงที่มีราคานับมหาศาล จะเข้าไปหรือก็นึกขึ้นมา ก็ให้รู้สึกขยะแขยงจนขนมันลุกชัน ฉับพลันสมองของมันก็พลันนึกขึ้นได้ จึงหันไปเรียกพวกทันที “เฮ้ยๆๆๆ ไอ้เซี๊ยะ ไอ้เช้ง ไอ้สุย และพวกมึงอีกสี่คน ไอ้หว่า ไอ้เม่งจ่าย ไอ้เจียงกับไอ้ใช้มาล้อมตัวกูไว้นะโว้ย ส่วนไอ้มุ้ยออกเดินนำหน้าพา พวกนำกูไปดูของได้แล้ว” “เฮียพร้อมแล้วหรือ คิดดีแล้วหรือเสี่ย???...” ไอ้มุ้ยเอ่ยถาม “ไอ้ห่า!!!!...มึงอย่าพูดมากโว้ย มึงนำหน้าไปได้แล้ว” เสี่ยเม้งกล่าวขึ้น “เมื่อทุกๆคนพร้อมกันแล้วไป ข้าจะนำทางเอง” ไอ้มุ่ยตัดบททันที ก่อนจะเดินทางไอ้มุ้ยเดินไปหาพวกทันที พร้อมส่งของบางให้แล้ว เอ่ยปากแนะนำวิธีการใช้แก่พวกมัน ไอ้สุยมองเห็นเป็นก้อนกลมๆดำๆ แดงๆ จึงยกขึ้นดม พลางเอ่ยปากเบาๆว่า “ไอ้มุ้ย...???.....นี้มันยาฉุนใช้ม้วนสูบบุหรี่นี่นา” แล้วมันก็ยื่นชิมในปาก “นี่มันรสปูนแดงที่กินกับหมากนี่หว่า ใช่ไหมว๊ะ???...ไอ้มุ้ย” “จุ๊ๆๆๆอย่าเสือกพูดดังเดี๋ยวก็ถีบให้เสียนี่ อุตส่าห์เอามาให้แล้วไอ้เหี้ย มึงไม่เอาก็เอาคืนมาไอ้สุย” ไอ้มุ้ยชักโมโห “อ้าวแล้วมึงไม่เอาให้เสี่ยเม้งมันหรือ ไอ้มุ้ย???...” ไอ้เซี๊ยะถามสงสัย “ตอนแรกกูก็คิดจะให้เสี่ยหรอก แต่เห็นเต๊ะท่ามาก ไว้คอยช่วยทีหลังว๊ะ เวลาปลิงมันโดดใส่มึง มึงก็เอายานี่ ผสมน้ำพอนิดๆหน่อยๆให้แค่แฉะๆแล้ว โปะตัวมัน มันก็จะหลุดไม่ทันแดกเลือดมึงหรอกว่ะ เขี้ยวมันคมเสียด้วยนา พวกมึงระวังตัวด้วยแต่ทางที่ดีมึง แล้วหันหันไปกระซิบบอกวิธี ทุกคนก็พยักหน้าหงึกๆ “หากมันกัดก็เอานี่แหละคอยโปะมัน อาการปวดแสบก็จะหายไปว๊ะ กูว่าก่อนไปมึงไปที่รถหาน้ำมาผสมเอ๊าๆๆๆ เอาเพิ่มไปอีกคนละเม็ด ไปที่รถหาน้ำมาผสมแล้วมึงทาไว้แถวขาแขนแล้วเอากางเกงมึงสวมทับไว้ เสื้อมึงก็ปิดไว้ด้วย ให้กลิ่นยามาระเหยออกมา “ ไอ้มุ้ยสั่งกลัวพวกจะลืม “กลิ่นยามันพวกนี้จะไม่กล้ากระโดดมาหาพวกมึงหรอก แล้วอย่าเสือกปากมากล่ะ” ว่าแล้วมันก็ยื่นให้อีกคนละเม็ด ทั้งสามเมื่อได้รับยาแล้วก็ซ่อนเอาไว้ พลางหันไปเอ่ยกับเสี่ยเม้งว่า “เออๆๆเสี่ย เดี๋ยวข้าขอตัวไปเอาน้ำเก็บไว้กินอากาศมัน ร้อนมากๆเสียด้วย”ไอ้เซี๊ยะเอ่ยขึ้น “เฮ้ยๆๆไอ้เซี๊ยะกูไปด้วยคนว๊ะ กูปวดท้องเยี่ยวด้วยโว้ย ไอ้ห่าเดี๋ยวทากปลิงมันกัดกู จะดัดเสือกเยี่ยวไหลราดกางเกงว๊ะ” ไอ้สุยเอ่ย “ กูก็เหมือนกันไอ้เหี้ยมุ้ยดันพูดเสียด้วย แล้วเสี่ยไม่ไปเยี่ยวก่อนหรือไงล่ะ???” ไอ้เช้งกล่าวบ้าง แต่มันไม่ต้องการให้เสี่ยเม้งรู้จึงทำเสแสร้งชักชวนเสี่ยเม้ง “ไอ้ห่าพวกนี้???....มึงก็กลัวเหมือนกันหรือว๊ะ แต่กูไม่ปวดว๊ะแต่กูไม่ กลัวเหมือนพวกๆมึงแหละโว้ย มึงก็เร็วๆด้วยเพราะต้องเดินทางไปดูงานที่อื่นอีก” แล้วก็ยึดอกเบ่งว่าข้าไม่กลัว เสี่ยเม้งกล่าวเตือนพวกมัน ทั้งสามอมย ิ้มแล้วแสร้งรีบวิ่งไปที่รถ หาที่กำบังได้แล้วก็เข้าไปหยิบน้ำออกมาทำ ตามไอ้มุ้ย ครั้นเรียบร้อยแล้วก็ออกมาเดินไปหาเสี่ยเม้งทันที ทั้งสามก็เอ่ยขึ้นทันที “เสร็จแล้วเสี่ย ไอ้มุ้ยเสือกพูดเรื่องนี้ได้ ข้าก็กลัวพวกทากกับปลิงด้วยไปยังล่ะเสี่ย” “แล้วดันเสือกพูดทำไมล่ะว๊ะ กูก็กลัวว๊ะ มาๆพวกมึงมาล้อมกูเอาไว้นะโว้ย” เสี่ยเม้งกล่าวแล้วก็เข้าไปจูงมือพวกมันทั้งหมดให้มาล้อมตัวมันไว้ แล้วค่อยๆเดินไป มันคิดว่าจะเอาพวกเหล่านี้ห้อมล้อมมัน หากถูกทากหรือปลิงดีดมา ก็จะถูกไอ้พวกนี้เสียก่อน ตัวมันก็จะปลอดภัยคงจะไม่ถูกสัตว์เหล่านี้ดูด เลือดมันได้แน่ๆ ความกลัวก็ค่อยๆลดลง ครั้นทั้งหมดเดินทางไปได้ประมาณครึ่งทาง เสียงร้องของพวกคุมกันทั้งสี่คนกับ เสี่ยเม้งก็ร้องเอะอะโวยวายกันลั่นสนั่นไปทั่วบริเวณ “เฮ้ยๆๆๆ...โอ้ยๆ....ไอ้มุ้ย ไอ้เช้ง ไอ้สุย ไอ้เซี๊ยะ มาช่วยกูดึงปลิงออกหน่อยว๊ะ มันยุบยับขาแขนกูไปหมด” พลางมันเต้นเร่าๆทั้งห้าคน ต่างช่วยกันดึงตัวปลิงและทากออกจากตัว เมื่อดึงตัวมันแล้วแล้วแขนขามันต่าง บวมทันตาเห็น เลือดไหลออกมาจากตัวมันทั้งห้า เป็นรอยจ้ำๆกันไปทั่ว แต่ก็ไม่ หมดสักที “ไอ้ห่าพวกมึงยืนมองหาห่าอะไรว๊ะมาช่วยกูด้วยโว้ย” เสี่ยเม้งร้องลั่น “อ้าวๆๆๆ!!!!....แล้วพวกมันทำไมไม่กัดพวกมึงหรือว๊ะ???” มันถามด้วยความสงสัย “ไม่รู้ซิเสี่ย ตัวพวกข้าคงไม่หอมเหมือนตัวเสี่ยนี่นา ฉีดน้ำหอมมาด้วยหรือว่า มันคงจะชอบกระมัง???” ไอ้สุยเอ่ยขึ้น เวลาผ่านไปสักประมาณเกือบสิบนาที ไอ้มุ้ยนึกได้ว่าหากแกล้งเสี่ยงานคงจะ ล่าช้าไม่เสร็จวันนี้แน่ ด้วยมันจะต้องไปตรวจให้ครบ ก็เลยเดินถือขวดน้ำเข้าไป พวกทั้งห้าทันที แล้วก็หยิบก้อนยามาผสมน้ำละเลงไปบนตัวทากตัวปลิง เมื่อ บรรดาสัตว์พวกนี้ครั้นโดนน้ำยาก็ต่างร่วงผล๊อยๆจากตัวเสี่ยเม้งและคนทั้งสี่ทันที มันก็เอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำยาป้ายลงบนตัวเสี่ยที่ถูกกัดและพวกมือปืนทั้งสี่ทันที พอเสี่ยทุเลาจากเจ็บๆคันๆปวดนิดๆ ก็หันมาถามไอ้มุ้ยทันที “ยาอะไรของมึงว๊ะ ได้ผลดีเสียด้วย พวกมันต่างหนีกันไปหมดแล้วว๊ะ” “อ้อๆๆยาวิเศษเสี่ย ราคาแพงเป็นหมื่นๆเชียวนะ” ไอ้มุ้ยทำหน้าตายเอ่ยขึ้น “ถึงว่าซิพวกมึงถึงไม่เป็นอะไรเลยสักคน เฮ้ยเอามาขายกูบ้างซิว๊ะ คราวหลัง มาจะได้ไม่ต้องกลัวพวกมัน” เสี่ยเอ่ย ตอนนี้อารมณ์มันดีขึ้นมากแล้ว “ยากเสี่ย ด้วยต้องเดินทางไปซื้อ อย่าสนใจอะไรมันเลย หายแล้วก็รีบๆไป ดูงานเถอะนี่ก็เสียเวลามามากแล้วล่ะเสี่ย” “เออ??ดีเหมือนกัน เสร็จการตรวจงานนี้มึงเอาไปขายกูด้วยนะโว้ย” มันไม่ลืม หันไปกำชับไอ้มุ้ยทันที พลันสมองไอ้มุ้ยก็วาดแผนการณ์หลอกเสี่ยทันที “เขาขายเม็ดละร้อยนาเสีย แพงเสียด้วยซิ” ไอ้มุ้ยทำหน้าตาขึงขัง “ เออๆๆๆเท่าไหร่กูก็สู้ว๊ะ มันเห็นผลเสียด้วยหากไม่ทดลองไม่รู้ว๊ะ” “ไว้ให้ข้าไปติดต่อมันก่อนว่าจะพอมีขายหรือไม่เสี่ย” ไอ้มุ้ยแสร้งให้เรื่องง่าย เป็นเรื่องยากทันที “กลับไปคราวนี้ มึงรีบไปติดต่อมันด้วยนะโว้ย แล้วมึงไปเบิกเงินกับกูแสนหนึ่ง พอไหมว๊ะ ไปซื้อมันให้หมดเลยว๊ะ ยามันได้ผลเสียด้วย กูยิ่งกลัวพวกนี้ต่อไป จะได้ไม่ต้องกลัวมันอีกแล้ว นี่ดีนะที่กูโดนเอง หากใครมาบอกกู กูไม่เชื่อหรอก” “อืมๆๆๆ...หากแสนหนึ่งพอจะพูดกันได้เสี่ย ตกลงตามนี้ก็แล้วกันนะกลับไป ข้าก็จะไปติดต่อเขาก่อนแล้วเบิกเงินเสี่ยไปก็แล้วกัน” ไอ้มุ้ยตอบ “เออๆๆๆให้ได้มาก็แล้วกันว๊ะ ไปๆๆรีบหน่อยเวลาไม่คอยท่าแล้วล่ะว๊ะ” เสี่ยเม้งตอบ ด้วยมันคิดว่าหากซื้อยาพวกนี้มาได้ต่อไปเมื่อมันมาที่นี่อีกก็จะได้ ไม่ต้องกลัว ความกลัวทำให้ลืมสังเกตุตัวยาไปสิ้น เพียงขอให้พ้นๆพวกทากและ พวกปลิงกระโดดเท่านั้นเอง แล้วทั้งหมดก็ออกเดินทาง เพียงลัดเลาะไปอีกไม่กี่ที ก็แลเห็นปากถ้ำ หาก ไม่สังเกตุก็จะไม่เห็นด้วยมีพุ่มไม้และเถาวัลย์พันจนปิดปากถ้ำไปหมด เมื่อจะ เข้าไปต้องช่วยกันแหวกทางเข้าไป ดีที่คนของไอ้มุ้ยมันรออยู่ก่อนแล้วออกมา ช่วยแหวกทางเดินให้ เมื่อทางสะดวกทุกๆคนก็ทะยอยเดินเข้าไปในถ้ำ ภายในถ้ำมีแสงสว่างสาด เข้ามาทางยอดเพดานถ้ำ มองเห็นภายในได้เป็นอย่างดี ไอ้มุ้ยพาเสี่ยเม้งเดินแยก ไปแยกมาวนไปๆมาๆ ทุกๆที่มีหินย้อย ยามกระทบกับแสงตะวัน ก็ทอส่งประกาย สว่างเหมือนกระจกสะท้อนแสงมิปาน เป็นแสงนำทางให้ แล้วทั้งหมดก็มาถึง กล่องที่ปิดฝาวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไอ้มุ้ยก็สั่งให้คนมันเปิดฝาออก ภายในเห็นถุงพลาสติกหลายสิบห่อในกล่อง ที่ทำด้วยไม้ เสี่ยเม้งเดินไปชะโงกมองแล้วเอามือมันล้วงไปแกะถุงออกแล้วหยิบ ขึ้นมาแตะปากแล้วดม สักพักก็พยักหน้ากับไอ้มุ้ยและพวก “เออๆๆดีว๊ะของชั้นหนึ่งทั้งนั้น มึงเก่งไอ้มุ้ย” มันหันไปชมไอ้มุ้ยทันที “แล้วจะเปิดทุกกล่องไหมเสี่ย???...” ไอ้มุ้ยถาม “ไม่หรอกว๊ะเสียเวลา กูลองสุ่มดูแล้วล่ะ เฮ้ยๆพวกเรากลับกันได้แล้วล่ะ เดี๋ยวต้องไปดูของไอ้เช้ง ไอ้เซี๊ยะ และไอ้สุยกันได้แล้วโว้ย” มันสั่งทันที ระหว่างเดินทางกลับไอ้สี่เสือพยายามเดินตามหลัง พอห่างตัวเสี่ยเม้งพอสมควร ไอ้ทั้งสามหันไปหาไอ้มุ้ยทันที “ไอ้มุ้ยหาญอีกสามนะโว้ยเพื่อน มึงหลอกเสี่ยตั้งแสนแนะโว้ย” ทั้งสามเอ่ยเบาๆมิให้เสี่ยได้ยิน “เออน่าๆๆ มึงนะมึงไอ้สัตว์ หากมันจับได้โดนกูคนเดียว เอาไปคนละหกสิบ เปอร์เซ็นต์พอโว้ยแค่สนับสนุน” ไอ้มุ้ยกล่าว “เออได้ว๊ะ หกสิบก็หกสิบ ดีกว่าได้ห้าสิบว๊ะ???...แล้วพวกกูจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หากมีโอกาสก็จะสนันสนุนมึงขึ้นอีก ช่วยโปรโมทมึงอีกทางหนึ่งว๊ะ” “เออๆๆๆมันต้องอย่างนี้ซิว๊ะถึงจะเพื่อนตายกัน” แล้วไอ้มุ้ยก็หัวร่อฮึๆๆๆ เมื่อมันมองเห็นเงินแสนลอยอยู่แค่เบื้องหน้ามันไหวๆไปๆมาๆ แล้วมันก็เดิน ไปหาชายคนหนึ่ง ท่าทางจะเป็นหัวหน้าควบคุมที่นี่แล้วกระซิบบอกมันในเรื่อง ให้พวกไปทำยารอไว้เพื่อจะหลอกขายให้เสี่ยเม้ง ชายคนนั้นก็อมยิ้มพยักหน้า รับงานทันที ไอ้มุ้ยก็กระซิบเบาๆว่า “หากงานนี้สำเร็จพวกมึงมีเอี่ยวทุกๆคนว๊ะ แต่อย่าให้ใครเสือกปากหมาไปเสียล่ะ” “เชื่อได้เลยเฮีย” กล่าวเสร็จก็รีบเดินไปบอกพรรคพวกให้ส่งข่าวเรื่องนี้ไปบอกต่อๆ อย่าเสือกให้ใครปากมากอวดรู้อวดดีล่ะ มิฉะนั้นอาจจะได้แดกลูกปืนกันบ้างล่ะว๊ะ การตรวจงานด้านไอ้มุ้ยก็สิ้นสุดลง ทุกๆคนเดินผ่านทางเดิม แต่บัดนี้บรรดาพวกทาก และปลิงกระโดด ไม่กระโดดหรือเข้ามาหาอีกเหมือนตอนขามา พอถึงรถก็เริ่มออก เดินทางต่อไป ที่ร้านอาหารภายในเมือง ทั้งสี่ก็มานั่งในห้องพิเศษแล้วต่างดื่มกินไอ้เซี๊ยะก็ถามไอ้มุ้ย ทันทีว่า “แล้วมึงไม่กลัวเสี่ยมันจะรู้ภายหลังหรือว๊ะไอ้มุ้ย” “กูจะไปกลัวหาห่าอะไรว๊ะ หากโดนก็โดนกันทั้งสี่นี่แหละว๊ะ ใครปากหมาพูดไปก็ มีหวังโดนเสียแน่ๆเลยว๊ะคราวนี้ ตัวใครตัวมันแหละโว้ย” ไอ้มุ้ยยกเหล้าดื่มพร้อมคีบกับแกล้มพลางเอ่ยพูดทันที ทั้งสามเมื่อได้ยินไอ้มุ้ยกล่าวเช่นนี้ ต่างสะดุ้งเฮือกไปตามๆกันหันหน้าขวับไปทางไอ้มุ้ย “ไอ้ห่าแล้วมึงโยนขี้อะไรให้พวกกูว๊ะ” ทั้งหมดร้องลั่น “หรือมึงไม่เอาเงินก็ถอนตัวได้นะโว้ย” ไอ้มุ้ยพูดพลางล้วงเงินก้อนใหญ่ๆพอสมควร ออกมายื่นไปยังจมูกพวกมันทั้งสามทันที เล่นเอาทั้งสามเงียบเสียงทันที คนที่จะเอ่ย เลยหยุดพูดอะไรอีก “แต่มึงถอนก็ไม่ทันเสียแล้วล่ะว๊ะ กูบอกเสี่ยมันแล้วว่า ยานี้ได้มาจากไอ้เซี๊ยะ ถาม ไอ้เซี๊ยะมันบอกว่าได้มาจากไอ้เช้งไอ้สุยอีกทีหนึ่ง ทั้งสองต่างหามาให้กูว๊ะ เท่านี้กูก็ รอดตัวแล้ว คราวนี้แหละโว้ยถึงพวกมึงแน่ๆยาที่ซื้อหรือกูบอกเสี่ยมันว่ามึงทั้งสาม หามาให้กูทั้งหมด แล้วกูค่อยเอาให้เสี่ยอีกที ทางกูไม่มีปัญญาหาเองได้นอกจากพวก มึงทั้งสามนั่นแหละ หากเสี่ยเล่นมันต้องพุ่งเป้ามาทางมึงแน่นอนเชื่อกูไหมว๊ะ???” “เสี่ยมันเชื่อกูจะหันไปเล่นถึงพวกมึงก่อนแล้วค่อยลงมาเล่นกูอีกทีหนึ่งล่ะโว้ย” ไอ้มุ้ยหัวร่อก๊ากทั้งๆที่ในปากมันยังเคี้ยวอาหารอยู่จ๊วบๆๆๆ คราวนี้เล่นเอา ไอ้เซียะ ไอ้เช้ง และไอ้สุย ต่างอ้าปากตาค้างไปทันที ต่างงงไปสักพัก ก็รู้ว่าเพื่อนมันเป็นคนอย่างไร มิฉะนั้นมันไหนเลยจะคงปกครองคนมากไม่ได้หรอก ทั้งพื้นที่หรือก็กว้างไกลกว่าพวกมันมากนัก อีกอย่างหนึ่งคนของมันล้วนแล้วแต่สั่งได้กันทุกๆคน ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย มันเป็นทั้งคนมีน้ำใจและโหดเหี้ยมในตัวมันเสร็จ จนลูกน้องมันสามารถจะตายแทน มันได้เลย แม้แต่ลูกน้องของพวกมันยังมิกล้ายุ่งเกี่ยวในเขตที่มันปกครองเลย ยามใช้ มันมาหาไอ้มุ้ย มักจะอีดๆออดๆเสมอมา และมาพบกับตัวมันเอาอีกมันถึงได้รู้เล่ห์เหลี่ยม ไอ้มุ้ยแพรวพราวจริงๆ จนพวกมันทั้งสามอดชื่นชมไม่ได้ที่ได้เป็นเพื่อนกับมันแทบจะ เรียกว่าเป็นเพื่อนตายก็อาจจะว่าได้ แล้วไอ้สุยก็ถามทันที “แล้วมึงไม่แบ่งให้ไอ้พวกทำยาบ้างหรือว๊ะไอ้มุ้ย” “ไอ้ห่านี่มึงนะมึงแค่นี้มึงยังคิดไม่ออกหรือ งานเดินเงินไป หากไม่มีเงินใช้มันไหนเลย จะได้ของมาว๊ะ โถๆๆๆไอ้พวกควายนั่งเก๋ง???...” การด่าของไอ้มุ้ยคราวนี้มันแสบทรวงยิ่งกว่ากินพริกขี้หนูไปอีก มันทั้งสามมองตาหน้ากัน ไอ้ห่านี่แอบด่ากู ทั้งสามคิด แต่ไม่เอ่ยกลัวจะโดนอีกลูกหนึ่งที่ไอ้มุ้ยด่ามันด้วยแบบคำคม “เออๆๆๆไหนส่วนแบ่งกูล่ะว๊ะ???...” ไอ้เช้งถาม “แล้วมึงสมควรได้เท่าไหร่ดีว่า ไอ้เซี๊ยะ ไอ้สุย” มันเแสร้งหันไปถามเพื่อนมัน “เออไอ้ส้นตีนเอ๋ย???...เท่าไหร่ก็แบ่งๆมาเถอะกูรู้ว่าพูดอย่างไรก็ไม่ทันมึงหรอกว๊ะ ด้วยมึงถือเงินนี่หว่า???...” ไอ้เซี๊ยะเอ่ยขึ้น “ทำใจน้อยไปได้เพื่อนกูนี่ คนอื่นกูทำได้โว้ยแต่กับมึงทั้งสามบอกตรงๆว่ากูไม่เคยคิด ในสมองเลยว๊ะ” ไอ้มุ้ยเอ่ยแล้วล้วงเงินออกมาสามปึก ยื่นส่งให้พวกมันทันที “เฮ้ยๆๆๆ???....ทำไมเหลือแค่นี้ละว๊ะไอ้มุ้ย มึงอมกูหรือ” ไอ้สุยโวยวายขึ้น “ไอ้ห่าสุย มึงนะมึงไม่สมกับปกครองดินแดนนี้เลยว๊ะ ก็มึงคิดซิว๊ะหักค่าใช้จ่ายคนงาน ที่ทำยาให้ โสหุ้ยอื่นๆจิปาะถะไม่ใช้มันเหมือนมึงนี่หว่า รับเงินมาสิบให้มันแค่บาทเดียว พอมันเอ่ยก็วางอำนาจตบหน้ามันอีก แล้วพวกกับแกล้มและเหล้าที่มึงแดกๆๆลงอีกล่ะตลอด หญิงมานั่งให้มึงคลำเล่นๆอีก มึงไม่คิดเลยหรืออีกค่าอาหารที่พวกมึงแดกไปไม่คิดกันเลยหรือว๊ะ นี่มันฟรีๆนะโว้ย!!!...ถ้าหากกูไม่รักพวกมึงแล้วอมไว้คนเดียวพวกมึงจะทำอะไรกูได้ว๊ะ???... ไม่ใช่กูอวดเบ่งนะโว้ยเพื่อน ทุกอย่างกูวางแผนการณ์เรียบร้อยแล้วล่ะว๊ะ มึงเชื่อเถอะกูไม่โกง มึงหรอกกับไอ้เงินแค่นี้ มึงเอาเครื่องคิดเลขมาคิดซิว่ามึงได้หกสิบเปอร์เซ็นต์หรือไม่แล้วมา ลบด้วยค่าใช้จ่ายอื่นๆดังเช่นคนของมึงด้วยแล้วมาหักค่าผู้หญิงอาหารนี้ว๊ะ อีกอย่างหนึ่งงานนี้ หากกูไม่คิดแล้วพวกมึงจะได้หรือ ลองเอาส้นตีนมากรองให้เข้าไปในหัวมึงเถอะ หากผิดแล้ว ค่อยมาว่ากูโว้ยไอ้เหี้ย??.....”ไอ้มุ้ยกล่าวไปยิ้มไปพร้อมลอยหน้าใส่พวกมันอีก คราวนี้ทั้งสามเงียบกริบทันที ต่างคิดจริงของมันว๊ะที่หลุดรอดออกจากดงทากและปลิงมา ได้ก็เพราะมันแท้ๆ เงินฟรีหรือก็เพราะมันที่วางแผนการณ์อีกหลอกเสี่ยเม้งได้พวกมันแทบจะ ไม่ได้ช่วยอะไรมันเลย ดีแต่มานั่งรับเงินเท่านั้น เมื่อมันคิดได้ก็หันไปขอบใจไอ้มุ้ยด้วยสีหน้า ยิ้มแย้มแจ่มใสทันที ไอ้เซี้ยะพลันหันไปรินเหล้าส่งให้ไอ้มุ้ยอีกเอาใจมัน ส่วนไอ้เช้งไอ้สุยก็ หยิบช้อนตักกับข้าวแย่งกันส่งให้กับไอ้มุ้ย แล้วยิ้มอย่างเอาใจเพื่อให้คลายโมโหไม่ต้องพูดอีก “เออๆๆดีมากๆ...ให้มีมันสมองเสียบ้างก็ดีทำงานกันแบบนี้นะโว้ยหากซื่อก็ควายละว๊ะเพื่อน เอ๊ามาแดกๆนี่ก็ใกล้ร้านมันจะเลิกเสียด้วยซิ” ไอ้มุ้ยเอ่ยเตือน แล้วทั้งหมดก็ร่วมกันกินแล้วเลิกพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป ต่างส่งเสียงหัวร่อต่อกระซิกกัน อย่างสนุกสนานกันอย่างรื่นเริงกันลั่นห้อง.......... * แก้วประเสริฐ. *
* อทิสมานกาย ๕๘ * หลังจากที่ทั้งสี่กินอาหารได้เวลาสมควรแล้ว ก็ไปเบิกเงินกับเสี่ยเม้ง ในการทำงานครั้งนี้ก่อนจะแยกย้ายกันกลับนั้น เจ้าเซี๊ยะ ก็หันไปถามพวกทั้งสามทันที “ไอ้มุ้ย....งานนี้คงไม่ยากเย็นอะไรหรอกว๊ะ แล้วมึงจะนำของ ที่มึงเก็บไว้ไปที่ไหนหรือ” “กูคิดว่าจะไปทางด้านเขานอกเมืองทางทิศเหนือ เด็กมันบอกว่ามีถ้ำ ลึกลับซับซ้อนอยู่ ภายในถ้ำยังมีหลีบซอกแยกแยะกันมากมายนัก ยากแก่การค้นหาว๊ะ.. “ดีนะที่กูนั้นได้ไปดูสถานทีก่อนที่จะมาแล้ว เมื่อได้รับข่าวว่า ไอ้เสี่ยหว่างมันตายแล้ว เรื่องนี้มันจะบานปลายว๊ะไม่คิดว่าจะมาใช้ใน คราวนี้นี่เอง” ไอ้มุ้ยเอ่ยอีก “กูจึงเสียเวลาหน่อยไปกับลูกน้องดูแล้วมันก็จริงที่กูคิดไว้จึงไม่ลำบาก อะไรนักหรอก แต่ว่าระยะทางมันไกลนี้ซิกลัวอย่างเดียวจะเป็นปัญหา ในการขนย้ายนี่แหละ” ไอ้มุ้ยรำพึง “อ้อๆๆๆ...แล้วมึงไอ้เซียะมีคิดวางแผนหรือยังล่ะ???...” ไอ้มุ้ยหันหน้ามาถามบ้าง??.. “กูเองยังไม่ได้วางแผนอะไรเลยว๊ะ???...ไอ้มุ้ย เอๆๆๆ... แต่แผนมึงเข้าท่านี่หว่าซ้ำมึงยังไปดูสถานที่อีกด้วย แล้วมึงล่ะไอ้เช้ง ไอ้สุย มึงคิดวางแผนเหมือนไอ้มุ้ยหรือเปล่า???....” ไอ้เซี๊ยะเอ่ยถาม “กูเองก็เหมือนมึงนั่นแหละ ไอ้ห่าเสี่ยมันสั่งกระทันหันเสียด้วยว่า มะรืนนี้จะสอบถามเด็กๆมันดู” ไอ้สุยตอบ แล้วมันหันไปมองหน้าไอ้เช้ง เห็นไอ้เช้งเอามือลูบหัวมันที่ล้าน เข้าไปครึ่งกะบาลแล้ว “ไอ้ห่าเช้ง มึงไม่ต้องลูบหัวมึงหรอกโว้ย หัวมึงล้านเข้าไปครึ่งหนึ่งแล้วล่ะว๊ะ” “เรื่องของกูโว้ย ไอ้ห่านี้ไม่รู้หรือเวลานักปราชญ์เขาใช้ความคิด เขาทำอย่างไรบ้าง ไอ้โง่ ไอ้ส้นตีน???..” “นั่นมันนักปราชญ์โว้ยแต่มึงมันแค่ส้นตีนปราชญ์ว๊ะ” เมื่อกล่าวจบก็รีบดึงร่างไอ้เซี๊ยะออกมาบังร่างมันทันที เมื่อแลเห็นส้นตีนมันถีบเข้ามาหามันทันใด แล้วมันก็หัวร่อลั่นเมื่อส้นตีนมันถูกไอ้เซี๊ยะเข้าเต็มเปา จนไอ้เซี๊ยะเซแซดๆๆ “คนละชั้นโว้ย???....ไอ้เช้ง” ไอ้สุยล้อเพื่อนมันเล่น “ไอ้เห้!!!!....เล่นกันเหมือนเด็กๆอยู่ได้ งานสำคัญนะโว้ย หยุดๆๆๆ” เสียงไอ้เซี๊ยะห้ามทันที “แล้วมึงคิดอย่างไรว๊ะไอ้เช้ง???...มึงยังไม่ได้พูดเลยนี่หว่า” ไอ้เซี๊ยะถามเพื่อมันจะได้วางแผนตามบ้าง “กูเหมือนมึงแหละว้าไอ้เซี๊ยะ ไม่ได้วางวงวางแผนอะไรหรอก” ไอ้เช้งเอ่ยขึ้น “สรุปได้ว่ามีไอ้มุ้ยคนเดียวเท่านั้นที่วางแผนล่วงหน้าไว้ เอาอย่างนี้ดีกว่าว๊ะ ไม่รู้ว่าพวกมึงจะเห็นเป็นอย่างไรกันบ้าง เมื่อไอ้มุ้ยไปทางเหนือ กูก็จะลงใต้ แล้วมึงไอ้สุยกับไอ้เช้งล่ะ ไปทิศไหนโว้ย???..... กูคิดว่าให้พวกเราต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศทาง หากตำรวจมันตรวจค้นก็จับไม่ได้ทั้งหมดหรอกว๊ะ” ไอ้เซี๊ยะเอ่ยแนะคนทั้งสอง ในแผนการขนย้ายของไปหลบตำรวจคราวนี้ “ที่จริงมันก็ดีเหมือนกันว๊ะไอ้สุย ต่างคนไปคนละทาง เอาล่ะว๊ะกูเห็นด้วย แล้วค่อยกลับมารายเสี่ยมัน บางทีมันอาจจะไปดูงานเมื่อพวกเราทำกันสำเร็จ” ไอ้เช้งเอ่ยขึ้น “นั่นซิกูก็เห็นด้วยกับไอ้เซี๊ยะมัน แล้วมึงจะไปทางไหนล่ะ ไอ้มุ้ยไปทิศเหนือ ไอ้เซี๊ยะไป ทิศใต้เหลืออีกสองทิศ มึงจะทิศไหนบอกมา ที่เหลือเป็นของกูว๊ะไอ้เช้ง???...” ไอ้สุยเอ่ยขึ้น “งั้นกูเอาทิศตะวันตกก็แล้วกันมันใกล้ถิ่นกูหน่อยว๊ะ ส่วนทิศตะวันออกเป็นของมึงไอ้เช้ง” “เมื่อพวกมึงตกลงกันได้ แล้วงานจะเริ่มเมื่อไหร่ล่ะว๊ะ???.. กูว่าจะเริ่มพรุ่งนี้เลยอันดับแรกไปดูสถานที่ก่อน เรื่องไอ้เสี่ยเม้งไม่มาตรวจ กูคิดว่าไม่มีหรอกว๊ะ อย่างไรมันก็ต้องไปตรวจดูแน่ๆ” “ตกลงกูทิศตะวันออก เหมือนมึงจะรู้นะไอ้เวร???... ก็มันถิ่นกูนี่หว่า ส่วนไอ้มุ้ยนั้นแน่นอน มันต้องเลือกใกล้ถิ่นมันแหละว๊ะ ไอ้เห้...เซี๊ยะก็เหมือนกันเอาถิ่นมัน เหมือนพวกเราแหละว้า??.” “เออๆๆๆ....เมื่อตกลงกันได้แบบนี้ งั้นแยกกันนะโว้ย งานใครงานมัน” ไอ้เซี้ยะสรุปทันที แล้วพวกมันทั้งสี่ก็แยกย้ายจากกันทันที เสียงรถยนต์ส่วนตัวเริ่มส่งเสียงเมื่อ สตาร์ทเครื่องต่างคนต่างกลับ ส่วนไอ้มุ้ยมันรำพึงขึ้นในรถว่า “ดีนะที่กูสังหรณ์ใจตั้งแต่ไอ้เสี่ยหว่างตายห่าไปแล้ว ยิ่งไอ้เสี่ยเล้งถูกจับอีก คราวนี้ต้องถึงเราแน่ๆ” “เฮียๆๆๆ...จะแวะไปที่ไหนอีกหรือเปล่าล่ะเฮีย???...” คนขับรถถาม “ไม่หรอกว๊ะไอ้เปี๊ยะไปบ้านเราดีกว่ากูต้องไปนอนวางแผนก่อน เออๆแล้วเหล้าในรถมีหรือเปล่าว๊ะ?????.......” ไอ้มุ้ยถามขึ้น “มีเฮีย...ยังเหลือแปล๊คอยู่อีกสามขวด” ไอ้เปี๊ยะตอบ “เออๆๆดีแล้ว งั้นคืนนี้มึงเอาไปขวด แต่อย่าแดกให้เมาก่อนเสียล่ะ พรุ่งนี้มึงสั่งเป๋งไปหาพวกมาอีกสักเจ็ดแปดคนแต่ให้มันคัดคนด้วยนะโว้ย เดี๋ยวมันเสือกเอาขี้ยามาเหมือนงานคราวที่แล้ว ทำให้งานเกือบจะต้อง วุ่นวายฉิบหายไปจะเสียงานไปแล้วล่ะ???” “ครับเฮีย...ส่งเฮียเสร็จข้าก็จะไปสั่งไอ้เป๋งทันที” “เออๆๆดีแล้วล่ะงานคืองานนะโว้ย นี่มึงเอาเงินไปใช้เล่นๆ สักหน่อยก็แล้วกันว๊ะ” พลางล้วงหยิบเงินอย่างไม่ต้องนับส่ง ให้ลูกน้องมัน ปึกหนึ่ง เล่นเอาไอ้เปี๊ยะยิ้มแก้มแทบแตก “ก็เงินดีแบบนี้นี่เฮียใครบ้างล่ะไม่ทำก็โง่ฉิบหายเลย???...” ไอ้เปี๊ยะเอ่ยเบาๆ แต่ไอ้มุ้ยได้ยิน “เดี๋ยวกูก็ถีบหรอกว๊ะ เร็วๆๆโว้ย เฮ้ยๆๆแบ่งให้ไอ้เป๋งมันบ้างนะโว้ย ไม่ใช่ของมึงคนเดียว ให้มึงไปแบ่งพวกๆด้วยนะ ที่กูส่งให้ก็หลายกูไม่ได้ นับหรอก เพิ่งจะเบิกจากเสี่ยมันมาว๊ะ ส่วนคนดูแลของและขนของนั้น เดี๋ยวเสร็จงานกูก็จะให้พวกมันอีก แต่นี่เป็นของมึงกับไอ้เป๋งก่อน” ไอ้มุ้ยสั่ง หากมันไม่สั่งแบบนี้ไอ้เปี๊ยะอุบหมดคนเดียว สักครู่หนึ่งรถก็แล่นลับเหลี่ยมมุมตึกหายไป เพียงแค่ได้ยินเสียงรถเบาๆ ส่วน ไอ้เซี๊ยะ ไอ้เช้ง ไอ้สุย เมื่อแยกกันแล้วไอ้เช้งก็ให้คนขับรถไปตรวจ ดูที่เก็บของเพื่อจะเริ่มย้ายในวันมะรืนนี้ตามที่มันคิด ต้องการให้งานเสร็จเร็วๆ อีกราวก่อนใกล้วันอาทิตย์ทั้งสี่ก็เข้ามาพบเสี่ยเม้งรายงานผลงาน ของพวกมันว่าได้สำเร็จเรียบร้อยกันหมดทุกๆคน พร้อมรายงานผลต่างๆให้รู้ เพื่อให้เสี่ยไม่ต้องเป็นห่วงเกี่ยวกับงานขนของหาที่ซ่อนใหม่ เสี่ยมันก็เอ่ยว่า “เออๆดีว๊ะ งั้นเดี๋ยววันอาทิตย์กูจะไปตรวจดูของเสียหน่อย” ทำให้ทั้งสี่หันมามองหน้ากันด้วยพวกมันคาดการณ์ล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว “แล้วมึงจะว่าอย่างไร ไอ้เซี๊ยะ ไอ้สุย ไอ้เช้ง ไอ้มุ้ย???...” เสี่ยถาม “ไม่เป็นปัญหาหรอกเสี่ยเมื่อไหร่ก็ได้นะ” ทั้งสี่ตอบทันที “ตกลงว๊ะ ถ้าอย่างงั้นวันอาทิตย์ถึงนี้มึงทั้งหมดมาพบกูที่นี่ก่อน เก้าโมงเช้านะโว้ย กูจะไปดูงานใช้เวลาวันเดียวก็คงทัน หรือพวกมึงเห็นเป็นอย่างไรว๊ะ???...” เสี่ยเม้งเอ่ยถาม “ข้าคิดว่าคงจะทันหรอกเพราะถิ่นที่อยู่ของพวกเราก็ในเขตเมือง เพียงแค่ออกไปนอกเมืองเท่านั้นแต่ว่าล้วนแล้วแต่เป็นภูเขา สลับซับซ้อนนะเสี่ย???...” ทั้งหมดเอ่ยเกือบพร้อมๆกัน “แล้วพวกมึงไม่นั่งกันก่อนหรือว๊ะ กูเห็นเดินไปเดินกันมา ไอ้ห่า???...” “ไม่หรอกเสี่ย รายงานเสร็จก็จะไปสืบร่องรอยดูว่า ไอ้พวกตำรวจมันจะมีสายรู้หรือเปล่า??”ไอ้สุยเอ่ยขึ้น “พวกข้าก็เหมือนกันเสี่ย พอรายงานเสร็จก็จะรีบไปดูทางลูกน้อง ด้วย งานมันใหญ่นะเสี่ย”ทั้งสามที่เหลือกล่าวบ้าง “เออๆๆ....ดีว๊ะ กูใช้พวกมึงมาไม่เคยพลาดเลยนี่นา พวกมึงเหมือนมือตีนกูทั้งสี่แหละโว้ย กูขอบใจมากว๊ะ หากสถานะการณ์ปกติก็จะนำมันกลับมาอีก พวกมึงก็มีรายได้พิเศษอีก” เสี่ยเม้งกล่าวให้กำลังใจแก่พวกมัน “นั่นซิพวกข้าถึงไม่ได้นิ่งนอนใจกัน งานคืองาน กินคือกิน เที่ยวคือเที่ยวเสี่ย” ไอ้เช้งเอ่ยบ้าง “เอาล่ะโว้ย งั้นมึงจะกลับก็กลับกันได้โว้ย เดี๋ยวกูจะโทรทางไกล ไปในกรุงเทพฯหน่อยว่าทางไอ้เล้งเป็นอย่างไรบ้าง???...” เสี่ยเม้งเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นพวกข้าไปแล้วล่ะเสี่ย” ไอ้เซี๊ยะกล่าวแทนพวกมัน “อาทิตย์นี้เจอกันอีกนะโว้ย ให้ตรงต่อเวลาด้วยล่ะ” “ไม่ต้องห่วงหรอกเสี่ย” ทั้งหมดกล่าว แล้วทั้งหมดก็ออกจากห้องของเสี่ยเม้ง แล้วต่างก็แยกย้ายกันจากไป เพียงแค่โบกมือลากันเท่านั้น ครั้นรุ่งเช้าวันอาทิตย์ทั้งหมดก็ออกมาพบกันที่ลานจอดรถของบ้าน เสี่ยเม้ง เมื่อครบกันเรียบร้อยเสี่ยเม้งหันมามองยังรถทั้งหมด มันคิดว่า หากจะไปด้วยกันทั้งสี่คัน คงจะไม่ดีแน่จะเป็นที่สงสัยแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงหันไปปรึกษากันใหม่ทันที “ ข้าว่าหากพวกเราไปกันทั้งหมดนี้ก็จะอิกเกริกไม่น้อยเลยว๊ะ หรือถ้า หากแยกย้ายกันไป ก็จะรวมกันยากเอาอย่างนี้ดีกว่า พลางหันไปสั่งทันที “ไอ้มุ้ย กูว่าจะไปทางมึงก่อนดีกว่า ด้วยจากบ้านกูไปยังที่เก็บของๆมึง มันจะใกล้กว่ากัน ส่วนไอ้เซี้ยะ ไอ้เช้ง ไอ้สุยให้คอยทางนี้ไว้ก่อน หากไปพร้อมๆกัน มันจะเป็นจุดสนใจของตำรวจว๊ะ หรือพวกมึงจะเห็นอย่างไร???...กันว๊ะ ลองให้ความเห็นแก่กูหน่อย” “ก็ดีเหมือนกันเสี่ยด้วยว่าหากนั่งไปด้วยกันคนคุ้มกันตั้งสี่คนนั้นที่นั่ง ก็คงจะไม่พอ หรือว่าเสี่ยจะเอารถตู้ไปก็คงดีนะ จะได้ไปกันหมดดีกว่า เอารถส่วนตัวไป จริงไหมว๊ะพวก??..” พลางหันมาทางพวกมันทั้งสาม “จริงของไอ้สุยมันว่า พวกเราจะได้ไปกันหมดและไม่ต้องเสียเวลาด้วย” ไอ้มุ้ยเอ่ยขึ้น หันหน้าไปทางเสี่ยเพื่อขอความคิดเห็น “นั่นซิเสี่ย หากเอารถตู้ไปก็ดีเหมือนกันนะ ไปทางทิศเหนือแล้ววกย้อน ไปทางทิศตะวันตกแล้ววกลงมาทางทิศใต้แล้วย้อนไปทางตะวันออกก็คง จะดี ทางนั้นมันออกมาหน่อยก็จะมีทางไปเสี่ย” ไอ้เซี้ยะออกความเห็น “แล้วมึงล่ะไอ้เช้ง???...เห็นว่าอย่างไร???...” “ก็ตามไอ้เซี๊ยะบอกก็ดีเหมือนกันด้วยถนนมันเชื่อมกันอยู่แล้วคนรถเสี่ย คงจะรู้ทางหรอกเดี่ยวนี้รถมันมีแผนที่คอมฯอยู่แล้วนา” ไอ้เช้งตอบ “อืมๆๆ...จริงของมึงว๊ะ” พลางหันหน้าไปถามคนคุ้มกันที่ทำหน้าที่ขับรถ ไปด้วย “มึงล่ะไอ้หว่า???...จะมีปัญหาเกี่ยวกับทางไหมว๊ะ???...” เสี่ยถาม “ไม่มีปัญหาเรื่องทางหรอกเสี่ยคนขับรถที่หน้าตามันเคร่งขริมค่อนข้างดุเอ่ย” “ถ้าพวกเอ็งเห็นกันแบบนี้ก็ตกลง ไอ้หว่ามึงไปรถตู้ที่โรงเก็บออกมาได้แล้วว๊ะ” ไอ้หว่าไม่พูดมากมันขับรถส่วนตัวไปเก็บ สักพักหนึ่งก็เอารถตู้ขนาดใหญ่ ขับออกมา เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทาง ด้านหน้าไอ้มุ้ยนั่งคู่กับไอ้หว่า ถัดมาก็เป็นเสี่ยเม้งและมือปืนมันนั่งกระหนาบข้างซ้ายขวา ด้านหลังก็นั่งด้วย ไอ้เซี้ยะ ไอ้สุย ไอ้เช้ง และมือปืนอีกคนนั่งอยู่ด้านข้างๆประตูรถ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยรถก็ขับออกจากบ้านเสี่ยมุ่งออกจากตัวเมืองแล่นไปตาม ทางภูเขาด้านทิศเหนือทันที ครั้นรถออกนอกเมืองแล้ว ไอ้หว่าก็เร่งความเร็วไป ตามทางที่ไอ้มุ้ยบอกทันที รถขับไปถนนว่างด้วยเป็นตอนเช้าจะมีสวนกันมาบ้างก็นานๆจะมีสักคันเมื่อ แล่นคดเคี้ยวไปคดเคี้ยวมา ไอ้มุ้ยก็บอกให้ไอ้หว่าชะลอเครื่อง “มึงเลี้ยวรถทางแยกซ้ายมือของหน้านี้แหละว๊ะ” มันกล่าวกับไอ้หว่า พอรถมาถึงทางเลี้ยวซ้าย ไอ้หว่าก็ขับรถเข้าซอยทันทีที่ล้วนแล้วแต่ทางขรุขระ แต่ต้องหยุดชะงักทันรถ ด้วยข้างหน้ามันมีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาโบกรถอยู่ เป็นชายประมาณห้าหกคนทั้งหมดล้วนขี่รถมอเตอร์ไซค์กันทั้งสิ้น มันทั้งหมดจอดรถรอคอยอยู่แล้ว รูปร่างหน้าตาแต่ละคนล้วนเป็นคนท่าทางเอาเรื่อง เมื่อรถจอดสนิท ข้างๆรถมอเตอร์ไซค์ ไอ้มุ้ยก็ลงไปคุยกับคนกลุ่มนั้นทันที แล้ว ก็ย้อนมาขึ้นรถ หันไปกล่าวกับไอ้หว่าทันที “เดี๋ยวพวกกูจะนำทางไปคอยป้องกันให้ด้วยทั้งข้างหน้าข้างหลัง มึงขับตามมันไป ก็แล้วกัน” ไอ้มุ้ยบอก ไอ้หว่าพยักหน้าไม่พูดอะไรก็ขับรถตามมอเตอร์ไซค์สามคันที่ออกนำหน้าไปก่อน ส่วนด้านหลังประกบอีกสามคัน พอพ้นถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นแดง ข้างหน้ามีทาง เลี้ยวอีกไอ้หว่าเห็นมอเตอร์ไซค์สามคันเลี้ยวไปในถนนแคบๆ ถนนที่ขรุขระนั้นก็เป็น ทางลาดลงไปยังเบื้องล่าง คดเคี้ยวไปๆมาๆไปตามทางเลียบแนวเขา แลเห็นรถทั้งสาม เลี้ยวเข้าไปในป่าข้างทางทันที แต่ก็พอให้รถตู้เข้าไปพอดีแต่ช้าๆด้วยถนนไม่ดี ได้ยินเสียงเสี่ยเม้งพำพรำออกมาพอได้ยินเล็ดรอดออกจากปากมัน “ไอ้มุ้ยมันช่างหาสถานที่จริงๆว๊ะ ไปมาลำบากฉิบหาย แล้วทางมึงล่ะไอ้เซี้ยะ ไอ้เช้ง ไอ้สุย ทางแบบนี้หรือเปล่าว๊ะ” “เดี่ยวเสร็จจากดูของไอ้มุ้ยแล้วเสี่ยก็รู้เองแหละ คงไม่แตกต่างกันเท่าไหร่หรอก” ไอ้เซี้ยะบอก “ส่วนทางข้างนั้นก่อนจะถึงที่ต้องเดินทางด้วยเท้า รถเข้าไปไม่ได้หรอกนอกจาก รถมอเตอร์ไซค์เท่านั้น” ไอ้มุ้ยหันมาเอ่ยให้ฟัง “ไอห่า??...สมกับเป็นเพื่อนกันเลยว๊ะ ทำงานยังคล้ายๆกันอีก เหมือนทางนี้แหละเสี่ย” ไอ้สุยรายงานหนทางไปตรวจของของมันให้เสี่ยฟัง พร้อมชี้มือไปทางข้างหน้าด้วย “ส่วนของข้าก็คงจะเหมือนไอ้สุยแหละเสี่ยต้องเดินทางด้วยเท้าด้วย” ไอ้เช้งกล่าว คนทั้งสี่กล่าวยังไม่ทันจบดีนัก รถที่ไอ้มุ้ยบอกทางไอ้หว่าก็ต้องจอดรถข้างๆด้วย ทางมันตันไปไม่ได้ “เสี่ยสิ้นสุดทางแล้วล่ะ ต้องเดินไปอีกเกือบร้อยเมตรก็จะถึงถ้ำแล้วล่ะ” กล่าวจบ ไอ้มุ้ยก็ก้าวลงจากรถ หันไปเลื่อนประตู้รถให้เสี่ยเม้งทันที “ไอ้หย๊า!!!!เฮ้ย???....ทางมันช่างลึกลับจริงๆว๊ะ เฮ้ยๆๆ...กูต้องลงเดินอีกหรือโว้ย??.” “อ้าวๆๆๆ...ถ้าไม่เป็นแบบนี้ง่ายๆพ่อมันก็มาหาได้ง่ายๆนี่เสี่ย น่าเดินอีกไม่เท่าไหร่ แต่ระวังพวกทากกับปลิงด้วยนะ มันชุมเสียด้วยซิ” ไอ้มุ้ยเอ่ย ร่างที่ขาวอ้วนคล้ายหมูของเสี่ยต้องสะดุ้ง เมื่อไอ้มุ้ยบอกว่ามีพวกทากกับปลิงชุกชุม..... * แก้วประเสริฐ. *
* ตำหรับยาสมุนไพรกลางบ้าน ๙ * แต่ละอย่างนั้นมีการรักษาโรคภายใน ภายนอก และอื่นๆซึ่งเป็นการสอดแทรก ของหมอต่างๆ แต่การใช้ควรจะใช้เป็นเบื้องต้นแห่งการรักษา การรักษาด้วยยา สมุนไพรนี้ ถ้าหากคนถูกกับตัวยาจะหายขาดเลยแล้วมักจะไม่ย้อนกลับเป็นอีก ซึ่งตัวยาเหล่านี้อยู่ใกล้ๆกับตัวเรา หากเป็นไร่นาสวนจะมีมากเป็นพิเศษ ส่วนใน เมืองนั้นค่อนข้างหายากด้วยเป็นคอนกรีตไปหมดแล้วครับ พอจะประทังไปได้ หรอก แต่การใช้ควรจะอยู่ในดุลยพินิจของท่านโดยใช้วิจารณาญานท่านเองครับ (ที่พิมพ์ว่า “เหล้า” นั้นหมายถึงเหล้าขาวนะครับ คนโบราณทานแต่เหล้าขาวกัน หากหาไม่ได้ใช้เหล้าแดงแทนก็ได้ เช่นแม่โขงฯลฯเป็นต้น) *แก้วประเสริฐ.* ยาแก้โรคบิด ขนานที่ ๑ ท่านให้เอา ใบฝรั่งสด กับ เกลือทะเล (เกลือใส่แกง) ด้วยตัวยาทั้ง ๒ ชนิด นี้เอาอย่างละเท่าๆกัน นำมาตำให้ละเอียด ผสมกับ น้ำต้มสุก ครั้นเอาน้ำยา รับประทานประมาณ ๑ ถ้วยชา โรคบิดจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง มีสรรพคุณชะงัดนักแลฯ (รตอ. เปี่ยม บุญยะโชติ กรุงเทพมหานครฯ) ขนานที่ ๒ ท่านให้เอา ส้มมะขาเปียก ๑ ปูนแดง (ปูนแดงกินกับหมาก) ๑ น้ำตาลโตนด ๑ ตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้เอาอย่างละพอสมควร นำเอาปูนแดง กับ น้ำตาลโตนด มาผสมกัน ปั้นเป็นลูกกลอน เอาส้มมะขามเปียกห่อหุ้ม ขนาดเม็ดยาพอกลืนได้สะดวก ใช้รับประทาน ครั้งละ ๓-๕ เม็ด จะปรากฏผลดีภายใน ๓๐ นาที เจ้าของยาขนานนี้ใช้รักษาอยู่เป็นประจำ มีสรรพคุณชะงัดนักแลฯ (พระใบฎีกาสำเริง พอธมฺโม วัดธารน้ำร้อน อ.ทองผาภูมิ กาญจนบุรี) ขนานที่ ๓ ท่านให้เอา เนื้อมะขามเปียก กับ ปูนแดง (ปูนแดงกินกับหมาก) ตัวยาทั้ง ๒ อย่างนี้ เอาอย่างละพอสมควร นำมาตำผสมกันให้ละเอียด ปั้นเป็นลูกกลอน ใช้รับประทานวันละ ๓เวลา โรคบิดจะหายขาด มีสรรพคุณชะงัดนักแลฯ (รตอ.เปี่ยม บุญยะโชติ กรุงเทพมหานครฯ) ขนานที่ ๔ ท่านให้เอา ใบกะทกรก ๑ กำมือ นำมาล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด ผสมกับ น้ำต้มสุกครึ่งแก้วกาแฟ ใช้ผ้าขาวบางกรองเอาเฉพาะน้ำยา ผสมกับ น้ำผึ้งแท้ ๑ ช้อนคาว กวนให้เข้าากัน ใช้รับประทาน โรคบิดจะหายขาด มีสรรพคุณชะงัดนักแลฯ (วิทยาทานสงวนนาม) ขนานที่ ๕ ท่านให้เอา ผลกล้วยดิบๆดิบๆ นำมาปอกเปลือกภายนอกออกแล้ว ฝนกับผาละมี หม้อดิน ผสมกับ เหล้า ใช้น้ำยารับประทาน ประมาณ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณ แก้โรคบิดให้หาย ไปได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูรัตนานุรักษ์ วัดปงสนุกใต้ ลำปาง) (กล้วยดิบ มีลักษณะคล้ายกล้วยตานี แต่ใบและลูกเป็นสีเหลืองๆคล้ายต้นที่จะตาย เครือหนึ่ง มีประมาณ ๑-๒ หวี มีอยู่ตามชายแดนภาคเหนือ และ ที่อื่นๆทั่วไป) ขนานที่ ๖ ท่านให้กลั้นใจ ใช้มือเด็ดยอดสะแก ๗ ยอด นำมาใส่ปากเคี้ยวแล้วกลืนเฉพาะน้ำ ลงท้อง คายกากทิ้งเสีย มีสรรพคุณแก้โรคบิดได้อย่างดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระอธิการใจคำ ติกฺขปณฺโญ วัดหนองบัวหิ่ง อ.โคกสำโรง ลพบุรี) ขนานที่ ๗ ท่านให้เอา ใบขี้เหล็ก ๑ กำมือ นำมาล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำ ปูนใส(น้ำปูนแดงกินกับหมาก) คั้นเอาเฉพาะน้ำยา รับประทานประมาณ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณ แก้โรคบิด ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล เคยใช้รักษาได้ผลดีมามากแล้วฯ (พระอธิการแสงจันทร์ กมโล วัดหนองกลางด่าน อ.บ้านโป่ง ราชบุรี) ขนานที่ ๘ ท่านให้เอา หัวมันเทศ หนักครึ่งกิโลกรัม นำมาล้างน้ำให้สะอาด ต้มกับน้ำ ใส่เกลือทะเล พอสมควร ใช้หัวมันเทศที่ต้มสุกแล้วนั้น นำมารับประทานให้อิ่มเต็มที่ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น โรคบิดจะพลันหายไปอย่างเด็ดขาด มีสรรพคุณชะงัดนักแลฯ (พระอธิการวิเชียร ฐตสิโล วัดราษฎร์บำรุง อ.หนองแค สระบุรี) ขนานที่ ๙ ท่านให้เอา หัวข่า นำมาล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด ผสมกับ สุรา คั้นเอาเฉพาะน้ำยาประมาณ ๑ ถ้วยชา ใช้รับประทานเพียงครั้งเดียว มีสรรพคุณ แก้โรคบิดได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระรักษ์ พุทฺธปญฺโญ วัดจุฬามณี อ.บางบาลอยุธยา) ขนานที่ ๑๐ ท่านให้เอา เเมล็ดแมงลัก มากพอสมควร นำมาวนกับน้ำให้พอตัวเต็มที่แล้ว ผสมกับ น้ำผึ้งแท้ พอสมควรใช้รับประทานให้อิ่มเต็มที่ เพียงครั้งเดียว มีสรรพคุณแก้ โรคบิดชนิดตกมูกเลือด ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูปัญญาวชิราภรณ์ วัดศรีปุณณาวาส อ.เมือง กำแพงเพชร) ขนานที่ ๑๑ ท่านให้เอามะนาว ๑ ผล (ปอกเปลือกออกเสีย) นำมาบีบน้ำ ผสมกับน้ำผึ้งแท้ และ เกลือทะเล (เกลือใส่แกง) พอสมควร กวนให้เข้ากัน ใช้รับประทาน มีสรรพคุณแก้ โรคบิดตกมูกเลือด ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูปัญญาวชิราภรณ์ วัดศรีปุณณาวาส อ.เมืองกำแพงเพชร) ขนานที่ ๑๒ ท่านให้เอา ผงก้นเชี่ยนหมาก(ห่อผ้าขาว) ๑ ขี้ใต้(สำหรับจุดไฟ) ก้อนนิ้วหัวแม่มือ ๑ ก้อน ตัวยาทั้งสองอย่างนี้นำมาใส่หม้อดินต้มกับ น้ำปูนใส (น้ำปูนแดงกินกับหมาก) ๓ ส่วน ต้มเคี่ยวให้เหลือ ๑ ส่วน ใช้รับประทานเพียงครั้งเดียว มีสรรพคุณ แก้โรคบิดได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ เมื่อโรคหายแล้ว ให้ทำบุญใส่บาตร ด้วยข้าวปากหม้อ ใข่ต้ม ๑ ฟอง กล้วยน้ำว้า ๑ หวี แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของยานี้ฯ (นายเชื้อ ช่างภู่ อ.ปากเกร็ด นนทบุรี) ขนานที่ ๑๓ ท่านให้เอา สารส้ม ๑ ไพล ๑ ฝักราชพฤกษ์ ๑ มะขามเปียก ๑ ดีเกลือ ๑ ตัวยาทั้ง ๕ อย่างนี้เอาหนักอย่างละ ๑ บาทเท่ากัน นำมาตำให้แหลก ผสมกับ น้ำสะอาด คั้นเอาน้ำยา ๑ ถ้วยชา ใช้รับประทาน มีสรรพคุณ แก้โรคบิดได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูอัมพวันพิทักษ์ วัดอัมพวัน อ.สองพี่น้อง สุพรรณบุรี) ขนานที่ ๑๔ ท่านให้เอา หัวกระชาย ๑ หัว นำมาทุบพอแตก ใส่หม้อดินต้มกับ น้ำปูนใส (น้ำปูนแดงกินกับหมาก) ใช้น้ำยารับประทาน มีสรรพคุณแก้โรคบิดได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูกิตติธรรมากร วัดหินปักใหญ่ อ.บ้านหมี่ ลพบุรี) ขนานที่ ๑๕ ท่านให้เอา น้ำมะนาว ๑ น้ำปูนใส(น้ำปูนแดงกินกับหมาก) ๑ น้ำผึ้งแท้ ๑ ตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้เอาอย่างละเท่าๆกัน กวนให้เข้ากัน ใช้รับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยตะไล เพียง ๒-๓ ครั้ง มีสรรพคุณแก้โรคบิดได้ผลดี อย่างชะงัดนักแลฯ (อาจารย์เจือ ขจรมาลี) ขนานที่ ๑๖ ท่านให้เอา ผักต้นเสี้ยนผีทั้ง ๕ (เอาต้นตลอดถึงราก) ๑ ใบต้นโคนทิสอ ๑ ดีปลี ๑ ผลมะตูมอ่อน ๑ ว่านน้ำ ๑ เกลือทะเล ๑ พริกไทยร่อน ๑ บอระเพ็ด ๑ หัวกระเทียม ๑ ตัวยาทั้ง ๙ อย่างนี้ เอาหนักอย่างละ ๑ บาทเท่ากันนำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำ พอสมควร ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณแก้โรคบิดได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูอัมพวันพิทักษ์ วัดอัมพวัน อ.สองพี่น้อง สุพรรณบุรี) ขนานที่ ๑๗ ท่านให้เอา หญ้างวงช้าง ๑ ต้นกะเม็ง ๑ หญ้าแพรก ๑ ตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้ เอาอย่างละเท่าๆกัน นำมาล้างน้ำให้สะอาด ตำให้แหลก ผสมกับ สุรา กรองเอาน้ำยาประมาณ ครึ่งแก้วกาแฟ ใช้น้ำยารับประทาน ๒-๓ ครั้ง มีสรรพคุณแก้โรคบิดได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูวิชัยวรคุณ วัดทุ่งพิชัย อ.ดอนตูม นครปฐม) ขนานที่ ๑๘ ท่านให้เอา หัวกระชาย ๒-๓ หัว นำมาล้างน้ำให้สะอาด ตำให้แหลก ผสมกับ น้ำปูนใส (น้ำปูนแดงกินกับหมาก) ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณ แก้โรคถ่ายท้อง ปวดท้อง ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูบรรพประชาวสัย วัดหนองหญ้าปล้อง เพชรบุรี) ขนานที่ ๑๙ ท่านให้เอา หัวกระชาย (ล้างน้ำให้สะอาด) กับ กะปิ (เผาไฟให้ไหม้) ตัวยา ทั้ง ๒ อย่างนี้เอาอย่างละพอสมควร ตำผสมกันให้ละเอียด ผสมกับ น้ำผึ้งแท้ ปั้นเป็นลูกกลอน ขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย ใช้รับประทานครั้งละ ๑ เม็ด รับประทาน ๓ ครั้ง ระยะห่างกัน ประมาณ ๖ ชั่วโมง มีสรรพคุณแก้โรคบิด มูกเลือด ให้หายไปได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูสุกิจจาทร วัดดอนตาล อ.เดิมบางนางบวช สุพรรณบุรี) ขนานที่ ๒๐ ท่านให้เอา ยอดต้นฝรั่งอ่อนๆ ๗ ยอด กับ เกลือตัวผู้(เกลือที่เม็ดยาวๆ) ๗ เม็ด นำมาเคี้ยวรับประทาน มีสรรพคุณ แก้โรคบิดชนิดถ่ายเป็นมูกเลือดได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระอธิการเรียน ลชฺชิโต วัดพิหารแดง อ.เมือง สุพรรณบุรี) ขนานที่ ๒๑ ท่านให้เอา หัวข่าสดๆ นำมาเผาไฟให้ไหม้ ผสมกับ น้ำปูนใส(น้ำปูนแดงกินกับหมาก) ประมาณน้ำยาครึ่งแก้วกาแฟ ใช้รับประทาน มีสรรพคุณ แก้โรคบิดชนิดถ่ายเป็นมูกเลือด ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระอธิการเรียน ลชฺชิโต วัดพิหารแดง อ.เมือง สุพรรณบุรี) ขนานที่ ๒๒ ท่านให้เอา หนังควาย นำมาเผาไฟ ผสมกับน้ำปูนใส (น้ำปูนแดงกินกับหมาก) ประมาณ น้ำยาครึ่งแก้วกาแฟ ใช้รับประทาน มีสรรพคุณ แก้โรคบิด ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระอธิการเรียน ลชฺชิโต วิดพิหารแดง อ.เมือง สุพรรณบุรี) ขนานที่ ๒๓ ท่านให้เอา ท่อนเหล็กที่เป็นสนิมมากๆ นำมาเผาไฟให้แดง แล้ว จุ่มลงในน้ำปูนใส (น้ำปูนแดงกินกับหมาก) ใช้ น้ำยาประมาณครึ่งแก้วกาแฟ รับประทาน มีสรรพคุณ แก้โรคบิด ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล) (พระอธิการเรียน ลชฺชิโต วัดพิหารแดง อ.เมือง สุพรรณบุรี) ขนานที่ ๒๔ ท่านให้เอา หัวข่า กับ หัวกระชาย ตัวยาทั้ง ๒ อย่างนี้ เอาอย่างละพอสมควร นำมาเผาไฟให้ไหม้แล้ว นำมาฝนกับฝาละมีหม้อดิน กับ น้ำปูนใส (น้ำปูนแดงกินกับหมาก) ประมาณน้ำยา ๓ ถ้วยชา เอาท่อนเหล็กที่เป็นสนิมมากๆ นำมาเผาไฟให้แดงแล้ว นำเอาท่อนเหล็กนั้นจุ่มลงในน้ำยานั้น รอให้น้ำยานั้นอุ่นๆ ใช้รับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา ใช้รับประทาน ๓ ครั้ง ระยะเวลาห่างกันครั้งละ ๓๐ นาที มีสรรพคุณ แก้โรคบิดเรื้อรัง ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูอดุลธรรมธาดา วัดบางแขม อ.เมือง นครปฐม) ขนานที่ ๒๕ ท่านให้เอา หัวข่า นำมาเผาไฟให้ไหม้ ใส่หม้อดินต้มกับน้ำปูนใส (น้ำปูนแดงกินกับหมาก) พอสมควร ใช้น้ำยารับประทานประมาณครึ่งแก้วกาแฟ เพียงครั้งเดียว มีสรรพคุณ แก้โรคบิดรากสาด ซึ่งมีอาการปวดท้อง ถ่ายท้องอย่างหนัก ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูวิบูลย์กิตติวัฒน์ วัดวิมลโภคาราม อ.สามชุก สุพรรณบุรี) ขนานที่ ๒๖ ท่านให้เอา ลูกทับทิม ๑ ลูก ผ่าเป็น ๔ ชิ้น เอา ๓ ชิ้น (ทิ้งเสีย ๑ ชิ้น) กับ ดอกบุนนาค ๕ ดอก ตัวยาทั้ง ๒ อย่างนี้ นำมาใส่หม้อดินต้ม กับ น้ำปูนใส (น้ำปูนแดงกินกับหมาก) ใช้นำยารับประทาน ประมาณ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณ แก้โรคบิดรากสาด ซึ่งมีอาการท้องเสีย ถ่ายอุจาระออกกระปริบกระปรอย มีกลิ่นเหม็นคล้ายหัวกุ้งเน่าๆ ถ้าอาการโรคไม่หนัก ให้ใช้ต้มกับ น้ำปูนใสครึ่งหนึ่ง น้ำธรรมดาครึ่งหนึ่ง ใช้รักษาทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เคยใช้รักษาได้ผลดีมามากแล้วฯ (พระอธิการนิพนธ์ อตฺถกาโม วัดจั่นเจริญศรี อ.สรรคบุรี ชัยนาท ) ยาแก้โรคบิดหัวลูก ขนานที่ ๑ ท่านให้เอา ต้นฝิ่น ๑ กำมือ นำมาล้างน้ำให้สะอาด ใส่หม้อดินต้มกับน้ำปูนใส (น้ำปูนกินกับหมากแดง) ใช้น้ำยารับประทาน เพียงครั้งเดียว มีสรรพคุณ แก้โรคบิดหัวลูก คือ โรคบิดที่เกิดกับผู้ใหญ่ท้องแก่ ใกล้จะคลอดลูก ใช้ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระปลัดแจ่ม ปญฺญาธโร วัดสนามชัย อ.สรรคบุรี ชัยนาท) ขนานที่ ๒ ท่านให้เอา สารส้ม ๑ พริกไทยร่อน ๑ ฝาง ๑ ขันทศกร ๑ ตัวยาทั้ง ๔ อย่างนี้ เอาอย่างละเท่าๆกัน นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำ ๓ ส่วน ต้มเคี่ยวให้เหลือน้ำ ๑ ส่วน ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณ แก้โรคบิดหัวลูก แก้ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด แก้โรคบิดหัวเบ่ง ขณะที่หญิงมีครรภ์ ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (วิทยาทานสงวนนาม) ยาแก้โรคถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ท่านให้เอา ฝักข้าวโพดสด ๑ ฝัก กับขมิ้นชัน ๓ แง่ง (ทุบให้แตก) ตัวยาทั้ง ๒ อย่างนี้ นำมาล้างน้ำให้สะอาด ใช้หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ต้มเคี่ยวนานประมาณ ๑๕ นาที ใช้น้ำยารับประทาน ๓ ครั้งๆละ ๑ ถ้วยชา ระยะเวลาห่างกัน ประมาณ ๑ ชั่วโมง มีสรรพคุณ แก้โรคถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระบุญเลิศ จนฺทสโร วัดบ้านลาด อ.หนองแค สระบุรี) ยาแก้โรคเด็กถ่ายเป็นมูกเลือด ท่านให้เอา ลำอ้อยสด ๓ ลำ (คั้นเอาน้ำอ้อย หรือ ใช้น้ำอ้อยงบ ละลายน้ำ แทนก็ได้) (อ้อยนี้ข้าพเจ้าเข้าใจว่า น่าจะเป็นต้นอ้อยลำขาไก่ ด้วยอ้อยชนิดนี้มักจะใช้ทำยาเสมอๆ .....แก้วประเสริฐ.) กับ ลูกใต้ใบทั้ง ๕ (เอาต้นตลอดถึงราก) ล้างน้ำให้สะอาด ตากแดดพอเหี่ยวๆ ใช้เชือก มัดเป็น ๓ เปลาะ นำมาใส่หม้ออลูมิเนียม ต้มเคี่ยวให้น้ำงวดลงพอสมควร ใช้น้ำยา ให้เด็กรับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา วันละ ๒ เวลา ก่อนอาหารเช้า-เย็น เพียง ๓ วันเท่านั้น โรคเด็กถ่ายเป็นมูกเลือดจะหายไป มีสรรพคุณชะงัดนักแลฯ (พระครูไพธานุรักษ์ วัดโพธิ์เผือก อ.ผักไห่ อยุธยา) วันนี้แค่นี้พอก่อนนะครับ เรื่องโรคจู๊ดๆๆๆตอนนี้ก็เอวังเพียงเท่านี้ จะต่อด้วยโรคอื่นๆ ในคราวหน้า แต่การใช้ทุกๆครั้งควรใช้วิจารณาญานนะครับ บ๊าย บาย สวัสดี * แก้วประเสริฐ. *
อทิสมานกาย ๕๗ ระหว่างการกินอาหารร่วมกันโดยมีสาวชบาร่วมด้วย กำนันหวนและแม่เย็น ต่างก็ชมสาวชบาว่า ช่างสวยจริงนะ มีสง่าราษีอีกด้วย แล้วหันไปถามพ่อเชียรว่า “ลูกสาวน้องออกเรือนหรือยังล่ะ???...แล้วอายุเท่าไหร่ล่ะ??....” “ยังหรอกพี่ พึ่งจะย่างเข้ายี่สิบเก้า กระมัง ใช่ไหมล่ะ??...” พ่อเชียรพลางหันไปถามสาวชบาพร้อมตอบคำถามกำนันหวนไปด้วย “จ๊ะพ่อ พึ่งจะเต็ม ยี่สิบเก้าเดือนนี้เอง???...” หญิงสาวชบากล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัยยิ่งนัก “ไม่มีอะไรหรอกหนู ที่ถามนี่ว่าจะอายุไล่เลี่ยกับลูกสาวลุงหรือเปล่านะ” กำนันหวนกล่าวขึ้น “เอ๊ะๆๆแปลกนะพี่หวน คนบ้านนี้ทำไมมีอายุกันแต่ร่างกายกับไม่สม กับวัยเสียเลย???” แม่เย็นแทรกขึ้นมา พร้อมหันไปจ้องใบหน้าหญิงสาวชบา “ดูซิพ่อโชติหรือก็ปาเข้าไป สี่สิบห้า แล้วก็ยังเหมือนพึ่งจะขึ้นเลขสาม เท่านั้นนะ ไม่มีแววว่าจะมีอายุมากขนาดนี้ ข้ามองไปดูคนทั้งหมด อีกทั้งแม่เข็มพ่อเชียรเล่าหรือก็ดูไม่แก่เอาเสียเลย” แม่เย็นย้ำขึ้นอีก “ก็ไม่ได้คิดมากอะไรนี่นาแม่เย็น ทุกๆคนเมื่อไม่คิดมากก็ย่อม ต้องไม่แก่จริงไหมพี่หวน???. ด้วยทุกๆอย่างมีเพียบพร้อมกันอยู่แล้ว เพียงแค่คอยระวังรักษากันเอาเอง เท่านั้นแหละ ผลเก็บเกี่ยวหรือก็ไม่ต้องไปส่งให้เขา มีคนมาถึงไร่สวน นา หรือก็แค่ทำกินไปปีๆหนึ่งเท่านั้นเอง” พ่อเชียรเอ่ยขึ้นบ้าง “นั่นซิแม่เย็น น้องเชียรกล่าวไว้ถูกต้องแล้วล่ะ??...อย่างหลวงพ่อก็เคยกล่าว กับข้าว่าอย่าไปคร่ำเคร่งกับงานให้มากนัก หามามากก็อันตรายซ้ำยังให้เราคิดมาก อีกด้วย ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่างเดียว” กำนันหวนเอ่ย “ก็จริงอย่างพี่ว่าแหละจ้า แต่พี่ดิ้นรนหาเรื่องเองนี่นาจะมาบ่นอะไรอีกล่ะ???...” แม่เย็นได้โอกาสเสริมขึ้นทันที “อืมมๆๆ...ก็จริงอย่างแม่เย็นพูดก็ถูก ข้ามันหาเรื่องไปเองทั้งๆที่เราก็มีกิน อยู่สมบูรณ์แล้วมาตัดใจได้ก็ตอนใกล้จะตายนี่แหละ จึงปลงตกได้และจะเข้าวัด ถือศีลแต่มาคิดอีกที การถือศีลอย่างเดียวคงไม่พอแก้ไขได้หรอก นอกจากบวชแล้วไม่สึกนั่นแหละถึงจะช่วยเหลือได้” กำนันหวน กล่าวพลางสีหน้าสลด “ช่างเถอะน่าพี่...ไหนๆเรื่องมันก็ผ่านไปแล้วมาคิดให้เปลืองสมองทำไม มันเป็นอดีตไปนี่แล้วนา เริ่มต้นใหม่ก็ยังไม่สาย และข้าเองก็ขออนุโมทนาด้วยคนหนึ่งล่ะ” พ่อเชียรเอ่ยตัดบท “จริงอย่างพ่อเชียรพูดจริงๆจ๊ะ คนเราทุกๆคนย่อมพลาดกันได้ แต่พลาดแล้วรู้สึกตัวกลับตัวเองก่อนอะไรๆมันจะสายก็ยังดีกว่าไปหลงงมงาย มันอีก ใช่ไหมแม่เข็ม???...” แม่เย็นพลางไปผู้ช่วยสนับลนุนทันที “ที่แม่เย็นพูดมานี้ก็ถูกอีกล่ะ เห็นทีแม่เย็นจะทำใจได้แล้วกระมัง???....” “ทุกๆอย่างฉันไม่เคยขัดวางเขาหรอกแม่เข็ม เคยเตือนเหมือนกัน คนเราเมื่อโตๆกันแล้วทำไมจะต้องพูดกันมากนัก ผิดชอบชั่วดีย่อมรู้แก่ใจ เองแหละ อายุหรือต่างก็มากๆกันแล้วนาจะคอบพร่ำสอนเหมือนเด็กได้อย่างไร” แม่เย็นตอบพลางหันไปพยักหน้ากับแม่เข็ม “แล้วพ่อเชียรเห็นว่าอย่างไรล่ะ ไหนๆมันเรื่องก็ผ่านไปแล้ว แต่ไม่รู้ซินะ ทำไมเรื่องนี้จึงมาคุยกันได้ที่นี่ได้นา หรือว่าเราทั้งสองครอบครัวคง จะเคยทำบุญร่วมกันมานา” “ที่แม่เย็นกล่าวก็มีเหตุผลเหมือนกัน พี่หวนเองก็ทำใจได้เถอะนะทุกอย่าง ปล่อยให้เวรกรรม เขาตัดสินใจกันก็แล้วกันจะได้สบายใจ อย่าไปคิดอะไรอีกเลยทุกๆอย่างมัน ก็เลยไปแล้ว นี่พี่ก็จะหันหลังให้ทางโลกแล้ว คงอีกไม่นานก็จะเกิดพุทธบุตรอีก การเกิดคราวนี้จะถาวรเสียด้วยซิ ด้วยผ่านเหตุการณ์ต่างไปกันมาแล้ว แสดงถึงว่าบุญยังคุ้มครองพี่หวนอยู่น๊ะ????” “ข้าเองได้ยินคำของน้องเชียรแม่เข็มและแม่เย็นก็ให้รู้สึกคลายใจได้มากโข เอาล่ะต่อไปนี้ข้าจะไม่คิดอะไรอีกแล้ว นอกจากจะเคร่งครัดในธรรมวินัย อย่างเดียวเท่านั้น” “สาธุๆๆๆอนุโมทนาด้วยกันจ้า” เสียงของพ่อเชียรแม่เข็มและแม่เย็น ต่างยกมือไหว้เหนือหัว “ข้าให้สัญญาไว้ต่อพวกเรานี่แหละว่าจะอาศัยร่มผ้ากาวพัตรเป็นเรือนตาย ไม่ออกมาอีกแล้วด้วยสัจจะวาจาของลูกผู้ชายชื่อไอ้หวนนะ ทุกๆคนสบายใจได้แล้ว งั้นพวกข้าจะขอลากลับเสียเลยนี่เวลาก็บ่ายโขแล้ว เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน แล้วน้องเชียรน้องเข็มพาเด็กๆไปเยี่ยมพวกข้าบ้าง ด้วยนะ ข้ามานั่งคิดดูที่นี่แหละก็เห็นว่าที่นี่เท่านั้นจะเป็นที่พึงพิง ของครอบครัวข้าได้เสียแล้ว” “เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาหรอกพี่หวน โอกาสว่างๆจะต้องไปเยี่ยม ครอบครัวพี่หวนและจะคอยเอาใจใส่ให้ด้วย ให้ไปบวชให้สบายใจได้เถอะพี่” “ข้ายิ่งมาได้รับคำรับรองจากน้องเชียรและแม่เข็มทำให้จิตใจข้าที่กังวลหายไป เกือบหมดเชียวล่ะ เอาล่ะๆๆแม่เย็น เจ้าชวน บงกช ไปลาพ่อเชียรแม่เข็มและพี่ๆน้องๆได้แล้วล่ะ สมควรแก่เวลาแล้วน้องๆจะได้พักผ่อนบ้าง” กำนันหวนเอ่ยขึ้น แล้วทั้งหมดก็เข้าไปร่ำลากันตามอาวุโส ระหว่างที่กำนันหวนและพ่อเชียร และแม่บ้านคุยกันนั้นชายหนุ่มได้แต่นั่งอมยิ้มฟังการสนทนาของทั้งหมดนั้น ใจของชายหนุ่มวาดไปถึงอดีตของกำนันหวน คงมีแต่เขาเท่านั้นที่จะช่วยได้ และเมื่อเห็นพ่อแม่และน้องๆต่างก็ให้ความรักสนิทสนมกัน เขาจึงอดอมยิ้มไม่ได้ พลันก็เอ่ยขึ้นว่า “ถ้าลุงและน้าและน้องๆจะกลับ คอยข้าเดี๋ยวนะ ข้านึกสังหรณ์อย่างไร ชอบกลนักจึงอยากจะให้ของไว้ป้องกันตัวในยามค่ำๆคืนบ้าง อาจจะช่วยลุงและน้าตลอดน้องๆได้ครับ” “มีอะไรหรือลูก????....” พ่อเชียรแม่เข็มถามขึ้นด้วยความสงสัย “ไม่มีอะไรหรอกครับ เพียงแต่ผมสังเกตุใบหน้าทุกๆคนอาจจะมีเคราะห์ ที่ซ่อนเร้นบางอย่างอยู่” ชายหนุ่มกล่าว เมื่อได้รับฟังคำเอ่ยของลูกทำให้พ่อเชียรชักเอะใจด้วยรู้ว่าลูกนั้นเป็นอย่างไร ก็นั่งหลับตาสักครู่ พลันเข้าใจเหตุการณ์ที่ลูกกล่าวดังนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ดีแล้วล่ะลูก รีบๆหน่อยนะด้วยจะมืดค่ำเสียก่อน” พ่อเชียรเอ่ย “ครับคุณพ่อ” กล่าวเสร็จชายหนุ่มก็หันไปยิ้มให้กับทุกๆคนทางบ้านบางโค แล้วก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้อง “มีอะไรหรือน้องเชียร ” กำนันหวนถามด้วยความสงสัย “เดี๋ยวก็รู้หรอกพี่ ไม่มีอะไรมากนักหรอก” พ่อเชียรกล่าวพลางหัวร่อเบาๆ สักครู่หนึ่งชายหนุ่มก็ก้าวออกมาจากห้อง เขาถือสายร่มพร้อมสิ่งของ เดินเข้ามาหาแล้วก็กล่าวขึ้นว่า “ให้ลุงและน้าน้องๆนำเอาสิ่งนี้ไปห้อยคอไว้ในระยะนี้ อย่าได้ถอดออก เป็นเด็ดขาดแม้จะเข้าห้องน้ำก็ไม่เป็นปัญหาหรอกครับ” พลางยืนสิ่งของในมือให้แก่พวกบางโคทันที “พ่อว่าให้แกสวมพระให้แก่ทุกๆคนแหละดีนะ ด้วยมีอะไรชอบกลๆอยู่ใน บางอย่างบอกพ่อด้วยล่ะ” พ่อเชียรเอ่ยขึ้น “จะดีหรือครับคุณพ่อท่านเป็นผู้ใหญ่นา” ชายหนุ่มกล่าว “เออนาเชื่อพ่อเถอะใครสวมจะสู้ลูกสวมได้หรือ” แล้วหันไปทางกำนันหวนและพวก พลางกล่าวว่า “พี่หวนและแม่เย็นตลอดจนเจ้าชวนแม่บงกชเข้ามาหาเจ้าโชติมันซิ มันจะได้สวมวัตถุมงคลให้ คงจะเป็นหลวงพ่อทองสั่งแก่ลูกโชติไว้กระมัง” ครั้นกำนันและพวกได้ยินพ่อเชียรเอ่ยถึงหลวงพ่อทองในเรื่องนี้ ความสงสัยต่างๆ ก็หายไปหมดสิ้นคงมีแต่เพียงแค่กังขานิดๆเท่านั้น แต่ก็ทำตามคำพูดของพ่อเชียร ต่าง ก้มศีรษะไว้คอยให้ชายหนุ่มสวมวัตถุมงคล เมื่อชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นพลางหลับตาแล้วเขาก็เป่าลงไปในวัตถุมงคล สามคาบทันที แล้วค่อยเข้าไปหายังเบื้องหน้าของกำนันหวนก่อน พลางยกมือขึ้นไหว้ขออภัย แล้วกล่าว “ลุงผมขอโทษนะครับที่ต้องสวมสิ่งนี้บนคอผ่านศีรษะลุงครับ” “ไม่เป็นไรหรอกหลานชาย ทำตามพ่อเขาบอกเถอะ” กำนันหวนตอบ ชายหนุ่มก็ค่อยๆขยับร่างไปหากำนันหวนทันที แล้วบรรจงสวมพระ ที่เลี่ยมไว้กันน้ำในเชือกสายร่มสวมไปคล้องคอกำนันหวน ทันใดร่างของกำนันหวนก็ถึงกับสะดุ้งเฮือกทำความแปลกใจแก่แม่เย็นและเจ้าชวน สาวบงกชเป็นอันมาก ที่เห็นร่างของกำนันหวนสั่นเทาๆเหมือนราวกับเป็นไข้ เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน แลเห็นร่างกำนันสั่นๆไปๆมาๆตลอดเวลาที่ชายหนุ่มเป่าลง บนศีรษะ ของกำนันหวนถึงสามครั้งสามครา ก็ทำความประหลาดใจยิ่งนัก ด้านกำนันหวนเมื่อชายหนุ่มสวมวัตถุมงคลแล้วยามที่กายกระทบกับองค์พระ ร่างกายรู้สึกมีกระแสเยือกเย็นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกายถึงก็หนาวสั่นขึ้นทันที ยิ่งได้สัมผัสกับลมปากจากชายหนุ่มที่เป่าตามไปด้วยก็ยิ่งสะท้านเหมือนถูกราด ด้วยน้ำแช่เย็นจากน้ำแข็งมิปาน เมื่อแม่เย็น เจ้าชวนและสาวบงกช ครั้นได้รับการสวมคล้องคอด้วยพระเครื่อง ที่ชายหนุ่มนำมาสวมให้ก็สัมผัสอาการเช่นเดียวกับพ่อกำนันหวนเช่นเดียวกัน ต่างให้รู้สึกแปลกประหลาดใจอย่างยิ่งนัก สาวบงกชจึงเอ่ยขึ้นว่า “พี่โชติ???...ทำไมเวลาพี่สวมพระให้กชแล้วจึงหนาวอะไรเช่นนี้เล่าพี่???...” “ข้าเองก็เหมือนกันแปลกจริงๆ???...”แม่เย็นเอ่ยขึ้นบ้าง “ผมก็เหมือนกันครับแม่และน้องกช แปลกจริงๆ คราวไปให้พระที่มาท่านเป่า ขม่อมยังไม่รู้สึกอะไรๆเลย ไม่เหมือนพี่โชติเพียงแค่สวมพระเท่านั้นเอง???....” พ่อเชียรแม่เข็มครั้นได้รับฟังเช่นนั้น ไม่กล่าวอะไรเพียงได้แต่หันมามองหน้ากัน แล้วต่างก็อมยิ้มกันไปตามๆกัน เจ้าชัยหรือก็ให้แปลกใจจึงเอ่ยขึ้นว่า “แล้วผมกับพี่ชบาล่ะพี่โชติไม่ได้พระเลยหรือ???...” ชายหนุ่มหันมายิ้มกับน้องชายและสาวชบาพลางเอ่ยว่า “สำหรับเจ้ากับน้องชบาเห็นจะไม่ต้องกระมังด้วยพี่เคยสอนอะไรๆให้แล้วนี่นา” เจ้าชัยและสาวชบาครั้นได้ยินเช่นนั้นต่างก็เข้าใจก็เงียบเสียงไม่เอ่ยแต่ประการใด กำนันหวนนั้นตอนแรกคิดใคร่จะกลับก็อดสงสัยหันไปมองหน้าพ่อเชียรแม่เข็ม “ไม่ต้องสงสัยอะไรหรอกพี่หวน เจ้าโชติมันร่ำเรียนวิชาอาคมจากหลวงพ่อทอง จนสำเร็จทุกๆแขนงแล้วล่ะ พี่ก็รู้ว่าหลวงพ่อท่านเก่งขนาดไหนนี่นา” พ่อเชียรเอ่ยขึ้น “ หากพ่อหนุ่มสำเร็จวิชาจากหลวงพ่อทอง พี่เองก็ไม่สงสัยอะไรอีกแล้ว ทำให้พี่รู้สึก ว่าความกังวลในครอบครัวมันหายไปสิ้น ภายในใจหลังจากสวมพระแล้วให้รู้สึกว่า ช่างปลอดโปร่งภายในเสียเหลือเกิน” กำนันหวนกล่าว “ข้าเองก็เหมือนกัน แล้วนี่เป็นพระของหลวงพ่อทองท่านสร้างในงานสงกรานต์คราว ที่แล้วใช่หรือเปล่าล่ะพ่อโชติ” แม่เย็นถาม “ถูกแล้วล่ะแม่เย็น เป็นพระที่ท่านทำเป็นครั้งแรกหรืออาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้คง จะไม่มีการสร้างวัตถุมงคลใดๆอีกแล้ว ฉนั้นขอพวกเราจงเก็บรักษาให้เป็นอย่างดีด้วยนะ” พ่อเชียรสั่งกำชับไว้แก่ทุกๆคน “เป็นอย่างนี้นี่เองถือว่าพวกข้ายังมีวาสนาได้สัมผัสกับวัตถุมงคลของหลวงพ่อทอง ถึงแม้ข้าจะเคยติดสอยห้อยตามมาตั้งแต่สมัยท่านยังหนุ่มๆรู้ก็รู้ว่าท่านมากมายไปด้วย วิชาต่างๆ เคยรบเร้าท่านให้สร้างเหมือนกัน ท่านเพียงตอบข้าว่า เวลายังมาไม่ถึงน้อง” “ฉะนั้นพี่หวนก็เถอะถึงจะบวชไปแล้วก็ไม่ควรให้พระองค์นี้ห่างตัวเป็นเด็ดขาดนะ” พ่อเชียรเอ่ยกับกำนันหวนทันที “อืมๆๆ...ข้าก็คิดเหมือนกันแหละน้องเชียรถึงแม้ว่าจะบวชสละแล้วก็ตามแต่นี่เป็น พระพุทธรูปขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เก็บเอาไว้เวลาสวดมนต์จะได้นำมาตั้งไว้ แล้วสวดมนต์แทนพระพุทธรูปบูชาก็ได้นา” กำนันหวนเอ่ยลอยๆ “ได้เลยพี่ใช้แทนกันได้และดีเสียด้วย นาพี่ลองเอาพระท่านออกมาดูซิว่าเป็นอย่างไร” เมื่อได้ยินคำพ่อเชียรกล่าวดังนี้ ทั้งหมดต่างนำพระออกมาดูต่างก็สะดุ้งในใจด้วยความ แปลกประหลาดยิ่ง ที่เห็นองค์พระช่างงดงามและยังมีประกายพราวสดใสด้วยสีกระจาย ออกมาจากองค์พระด้วย ยิ่งทำให้บังเกิดความปิติยินดีเป็นล้นพ้น พลางหันไปทางชายหนุ่ม กล่าวขึ้นว่า “ข้าทั้งหมดนี้ขอขอบใจพ่อหนุ่มยิ่งนักที่ไม่หวงแหนในสิ่งนี้อุตส่าห์มอบให้ด้วยความ เป็นห่วงเป็นใจแก่ครอบครัวข้า เป็นยิ่งนัก” พลางเข้าไปสวมกอดชายหนุ่มทันที “ผมเห็นใบหน้าของทุกๆคนปรากฏรอยหมองไหม้ขึ้นครับพ่อกำนันเลยนึกถึงพระนี้ได้ และคิดว่าภายในสองสามวันนี้อาจจะมีเหตุอะไรเกิดขึ้นในบ้าน ฉะนั้นพ่อกำนันไม่ต้อง กลัวหรือห่วงอะไร หากพบสิ่งนั้นให้อาราธนาพระให้อาศัยบารมีช่วยแผ่คุ้มครองด้วยเท่านั้น เภทภัยต่างๆจะทำอะไรพ่อกำนันและครอบครัวไม่ได้หรอกครับ” ชายหนุ่มเอ่ย “ถึงอย่างไรก็ต้องขอขอบใจทุกๆคนที่นี้ด้วยนะ นี่ก็ชักจะเย็นมากแล้วล่ะ งั้นพวกข้าขอ ลากลับบ้านก่อนนะ หากว่างๆก็ไปเยี่ยมบ้างนา” กำนันหวนเอ่ยชักชวน ดังนั้นทั้งหมดก็พากันร่ำลากันแล้วทะยอยก้าวลงจากชานเรือนบ้านเพื่อ ออกเดินทางกลับบ้านบางโคทันที.................. *แก้วประเสริฐ.*
* ตำรายาสมุนไพรกลางบ้าน ๘ * สิ่งที่ข้าพเจ้าได้นำเกี่ยวกับตัวยาสมุนไพรกลางบ้านนั้น มาเผยแพร่ทางนี้ด้วยเวปฯนี้ เป็นเวปฯที่ มีบุคคลมาชมกันมากเวปฯหนึ่ง อีกประการหนึ่งข้าพเจ้ามักจะไม่เปลี่ยน แปลงในการเล่นเวปฯหลากหลายนัก อันการนำมาเผยแพร่ก็เพื่อเป็นวิทยาทานสนอง พระเดชพระคุณให้แก่ พระเทพวิมลโมลี (บุญมา คุณสมฺปนฺโน ป.๙ แห่งวัดเบญจมาบพิตร) เพื่อให้งานของท่านที่อุตสาหะวิริยะได้เผยแพร่ขจรไกล อันเป็นทางหนึ่งของบุญกุศล แก่พระคุณท่านไว้ หากท่านผู้ใดนำไปใช้แล้วได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล้ว ก็พึงรำลึกถึง ความกตัญญุตาของเจ้าของตำรายานี้และท่านพระคุณเจ้าในทางหนึ่งทางใดที่อันพึงแสดง ไว้ในความกตัญญุตา ที่พระคุณท่านทรงได้รวบรวมไว้เพื่อเผยแพร่เกี่ยวกับเรื่องสมุนไพร ให้เป็นที่รู้จักว่า อันสมุนไพรไทยนั้นหาใช่ด้อยคุณค่าไปกว่าประเทศอื่นใดก็หาไม่ มาดแม้นว่าข้าพเจ้าจะเสี่ยงในการนำมาลงก็ตามที จะละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่นั้น ด้วย เจตรารมณ์อันบริสุทธิ์ของข้าพเจ้า หวังจะสานงานนี้ให้แก่พระเดชพระคุณท่านเท่านั้น หาได้กระทำเพื่อผลประโยชน์แก่ตัวเองก็หามิได้ เพียงแต่รักษาไว้ในตำรายาอันยากยิ่งหาสิ่ง ใดเปรียบเทียบได้เท่านั้น จึงเรียนท่านทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ว่า การกระทำของข้าพเจ้านั้นด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์มิได้ หวังผลประโยชน์ในเรื่องการเงินการทองใดๆทั้งสิ้น ด้วยข้าพเจ้าก็เพียบพร้อมอยู่แล้ว แต่ ทว่าหวังให้ทุกๆคนที่เข้ามาอ่านนี้ จะได้ตื่นเต้นว่าอันคนเก่าแก่นับแต่อดีตกาลนั้นก็รอบ รู้ในเรื่องตัวยาสมุนไพรเสมอเหมือนประเทศอื่นๆด้วยว่าคนไทยเราก็รอบรู้เกี่ยวกับด้านนี้ เหมือนกันไม่ด้อยไปกว่าชนชาติใดๆในโลกนี้ ในความคิดส่วนตัวว่าอันคนไทยที่ดำรงไว้ มาได้ตราบทุกวันนี้อาจจะมากกว่าชนชาติใดๆในโลกนี้เสียอีก จนกระทั่งแพทย์แผนปัจจุบัน ก็ยอมรับในเงื่อนไขนี้ และได้รับการบรรจุเป็นคำสอนให้แก้นายแพทย์ต่างๆไว้ด้วย อีกประการหนึ่งอันตัวยาสมุนไพรใช้ในรักษาโรคนั้น ประเทศเราอุดมสมบูรณ์มากหากใช่ ด้อยไปกว่าชนชั้นใดๆทั้งสิ้น บางครั้งสิ่งรอบตัวเราอาจจะไม่รู้ซึ้งถึงคุณค่าของสมุนไพรเรา ได้ อย่างเช่น หัวของแห้วหมู หรือ จำพวก ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ผลมกรูด ผลยอ เป็นต้น ทุกอย่างในโลกนี้ที่มิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ก็คือ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ดับไป อันเป็นไตรลักษณ์ ทั้งสิ้นมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ แต่บางครั้งก็สามารถทุเลาแก้ความเจ็บทุกข์ทรมานได้บ้าง สิ่งนี้ แหละคือผลพวงแห่งความดีในทางกุศลในแนวทางพระพุทธศาสนาของชาวไทยทุกๆหมู่เหล่า ข้าพเจ้าขอเกริ่นเพียงพอหอมปากหอมคอ และเข้าสู่เรื่องราวเกี่ยวกับสมุนไพรได้แล้ว แต่ทว่า เมื่อผู้ใดนำไปใช้รักษาได้ผลดีแล้ว ก็ควรจะทำบุญสุนทานบ้างโดยรำลึกนึกถึงท่านพระ เดชพระคุณพระเทพวิมลโมลี (บุญมา)และเจ้าของตำหรับยาที่ลงไว้ โดยข้าพเจ้ามิได้ตัดทอน ทุกอย่าง แต่อาจจะมีการเสริมขึ้นบ้างตามแต่สติปัญญาที่ได้รับการรอบรู้ตกทอดสืบต่อกันมา เพียงแค่หวังอย่างยิ่งว่าจะรักษาตำรายานี้ไว้ให้แก่อนุชนรุ่นหลังสืบต่อไป ด้วยความเคารพ * แก้วประเสริฐ. * ยาแก้ปวดท้อง - ท้องขึ้น – ท้องเสีย ขนานที่ ๑ ท่านให้เอา ใบสะระแหน่ มากพอสมควร นำมาล้างน้ำให้สะอาด ตำให้แหลก ผสม กับ เหล้า กรองเอาเฉพาะน้ำยา ใช้รับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณ แก้โรค-ท้องขึ้น- ท้องเสีย ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (วิทยาทานสงวนนาม) ขนาน ๒ ท่านให้เอา ผลมะกรูด ๓ ผล นำมาฝานทางด้านจุกออก คว้านเอาเนื้อในออกให้หมด ทั้ง ๓ ผล ใส่หัวกระเทียมบรรจุให้เต็ม ๑ ผล ใส่พริกไทยร่อนบรรจุไว้ให้เต็ม ๑ ผล ใส่เกลือทะเล (เกลือใส่แกง) บรรจุให้เต็ม ๑ ผล แล้วเอาฝาที่ฝานออกนั้นปิดไว้ตามเดิม ใช้ไม้กลัดไว้ให้สนิท นึ่งให้สุก ตำให้ละเอียด ปั้นเป็นลูกกลอน ใช้รับประทาน (ในตำราไม่ได้กล่าวไว้ว่าจะใช้ ลูกกลอน กี่เม็ด ข้าพเจ้าคิดว่า ปั้นลูกกลอนเม็ดเล็กนั้นควร ๓ เม็ด หากเม็ดใหญ่เม็ดเดียวก็คงจะพอ ด้วยยานี้จะออกรสเพ็ดมาก หากใช้น้ำผึ้งแท้เป็นตัวช่วยก็คงจะดี ด้วยน้ำผึ้งนั้นสรรพคุณช่วยในการ ฟื้นฟูกำลัง อ่อนเพลีย ได้อย่างดี ตลอดจนรักษาโรคบางอย่างได้ดียิ่ง.....แก้วประเสริฐ.) ใช้รับประทาน มีสรรพคุณ แก้โรคท้องขึ้นอืดเฟ้อเรอเหม็นเปรี้ยว และเป็นยาอาวุวัฒนะ ได้ผลดี อย่างชะงัดนักแลฯ (พระอธิการจำเนียร อภินนฺโฑ วัดดอนไร่ อ.สามชุก สุพรรณบุรี) ขนานที่ ๓ ท่านให้เอา หัวขิงแก่ๆ นำมาล้างน้ำให้สะอาด ทุบพอแตก ผสมกับ น้ำร้อน หรือ ผสม กับเหล้า กรองเอาเฉพาะน้ำยา ใช้รับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณ แก้โรค ปวดท้อง-ท้องขึ้น-ท้องเฟ้อ-ขับลม ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (วิทยาทานสงวนนาม) ยาแก้โรคท้องอืดเฟ้อ ขนานที่ ๑ ท่านให้เอา อบเชยเทศ ๑ อบเชยญวน ๑ อบเชยไทย ๑ ชะเอมเทศ ๑ ก้านพลู ๑ ตัวยาทั้ง ๕ อย่างนี้ เอาหนักอย่างละ ๑ บาทเท่านั้น การบูร กับเมนธ่อล เอาหนักอย่างละ ๒ สลึงฯ วิธีปรุงยา....... พึงคั่วก้านพลูให้สุกเหลืองเสียก่อนแล้ว นำยาทั้ง ๗ อย่าง นั้นมาตำผสมกันให้ละเอียด ห่อด้วยผ้าขาวบาง ใส่โหลไว้ ต้มน้ำให้เดือดแล้ว ยกลงรอให้น้ำอุ่นๆ แล้วเทลงในโหลนั้น ปิดฝาโหลให้สนิท เก็บไว้ ๓ คืน ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณ แก้โรคท้องอืด-ท้องเสีย-ปวดท้อง-จุกเสียดแน่นท้อง ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูวรกิจจาภิรม วัดท้องคุ้ง อ.บ้านหมี่ ลพบุรี) ขนานที่ ๒ ท่านให้เอา ข่า ๑ ตะไคร้ ๑ ใบมะกรูด ๑ หัวกระชาย ๑ ใบโหระพา ๑ หอมแดง(ผิงไฟ) ๑ ตัวยาทั้ง ๗ อย่างนี้ กำหนดเอาอย่างละพอควร นำมาต้มยำกับปลากะป๋อง ใช้รับประทานเป็นอาหาร ประจำวัน มีสรรพคุณแก้โรคอืด ท้องเฟ้อ ในฤดูร้อน ให้หายไปอย่างชะงัดนักแลฯ (นายสานิต เนตรฤาชา โรงงานน้ำตาลอุตรดิตถ์) ยาแก้โรคจุกเสียดแน่นท้อง ท่านให้เอา ขิงแก่ๆมากพอสมควร นำมาล้างน้ำให้สะอาด ใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำพอควร ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณแก้โรค จุกเสียดแน่นท้องให้หายไป และทำให้นอนหลับสบายดีอีกด้วยฯ (วิทยาทานสงวนนาม) ยาแก้โรคอาหารเป็นพิษ ขนานที่ ๑ ท่านให้เอา รากต้นตะไคร้ (ต้นตะไคร้ใส่แกง) ๑ รากต้นหญ้านาง ๑ รากต้นว่านน้ำ ๑ ตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้ นำมาล้างน้ำให้สะอาด ฝนกับฝาละมีหม้อ ผสมกับ น้ำต้มสุก ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณ แก้โรคอาหารเป็นพิษ เพราะผิดสำแลง ที่เกิดจากการรับประทานอาหารเข้าไปแล้ว ทำให้เกิดอาการปวดท้อง คลื่นเหียนอาเจียน ท้องเสีย ให้หายไปได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระราชวิสุทธิโสภณ วัดศรีโคมคำ พะเยา) ขนานที่ ๒ ท่านให้เอา กะลามะพร้าว นำมาเผาไฟให้ไหม้จนแดงแล้ว ใช้คีมครีบไฟบีป (ที่สะอาด) ปิดฝาปีบเพื่อให้ไฟดับ เอาถ่านกระลามะพร้าวนั้น นำมาบดให้ละเอียด ใช้รับประทานครั้งละ ๑ ช้อนคาว ผสมกับ น้ำสะอาด มีสรรพคุณ แก้โรคท้องเสีย เพราะอาหารเป็นพิษ อาหารไม่ย่อย ให้หายไปได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (วิ่ทยาทานสงวนนาม) ยาแก้โรคท้องขึ้นอยู่ไฟไม่ได้ ท่านให้เอา หัวบัวบก ๑ พริกไทยร่อน ๑ หัวแห้งหมู ๑ กัญชา ๑ ตัวยาทั้ง ๔ อย่างนี้ เอาอย่างละ ๕ ตำลึงเท่ากัน บดให้ละเอียด ผสมกับ น้ำผึ้งแท้ ปั้นเป็นลูกกลอน ขนาดเท่าเมล็ดพุทรา ใช้รับประทานครั้งละ ๑ เม็ด วันละ ๓ เวลา มีสรรพคุณ แก้ท้องขึ้นอืดเฟ้อ หลังการคลอดลูก แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้กระสัยเส้น เป็นยาเจริญอาหาร ทำให้กินได้นอนหลับ แก้ความคิดฟุ้งซ่าน เป็นยาระงับประสาท ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (วิทยาทานสงวนนาม) ยาแก้โรคลงแดง ท่านให้เอา ลูกมะกอก ๑ ใบต้นทับทิม ๑ ใบต้นเทียน ๑ ผลมะตูม ๑ รากต้นแก้ว ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ บอระเพ็ด ๑ ใบมะกา ๑ ตัวยาทั้ง ๘ อย่างนี้ เอาอย่างละเท่าๆกัน นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำพอควร ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณ แก้โรคลงแดง ซึ่งมีอาการถ่ายท้องอย่างแรง ขนาดเข้าชามออกชาม คล้ายลำไส้ตรง ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (วิทยากรสงวนนาม) ยาแก้โรคท้องผูก ขนานที่ ๑ ท่านให้รับประทาน ผลมะละกอสุก บ่อยๆทำให้ท้องไม่ผูก ถ่ายอุจจาระสะดวก จะไม่เป็นโรคริดสีดวงทวารหนัก มีสรรพคุณชะงัดนักแล (วิรัตน์ แซ่แต้ สิงห์บุรี (หมอชาวบ้าน)) ขนานที่ ๒ ท่านให้เอา ผลสมอเทศ ๑ ผลสมอไทย ๑ ผลสมอพิเภก ๑ (ตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้ เอาเฉพาะเนื้อ เอาเม็ดออกเสีย) ผิวมะกรูด ๑ มหาหิงคุ์ ๑ ยาดำ ๑ ตัวยาทั้ง ๖ อย่างนี้ เอาอย่างละ ๑ บาทเท่ากัน นำมาตากแดดให้แห้ง บดให้ละเอียด ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดพุทรา ใช้รับประทานกับ น้ำร้อน ครั้งละ ๒-๓ เม็ด วันละ ๒ เวลา เช้า-เย็น มีสรรพคุณ เป็นยาระบายอ่อนๆ แก้อาการท้องผูก ขับลมในลำไส้ และเป็นยาช่วย เจริญอาหารอีกด้วย ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (วิทยากรสงวนนาม) วันนี้เอาแค่นี้ก่อนนะครับ ต่อไป เป็นยาแก้โรคบิด ซึ่งจะมีมากขนาน ถึง ๒๖ ขนาน ท่านอาจจะงุนงงมาก ต่อตัวยานี้ แล้วจะนำมาลงภายหน้าในโอกาสต่อไป สวัสดี. * แก้วประเสริฐ. *