4 ธันวาคม 2555 20:01 น.
แก้วประเสริฐ
* แดนพิศวง ๒๑ *
(วิบัติภัยซ้ำสอง)
ภายหลังจากปราบเจ้าสัตว์ประหลาดคางคกหมดสิ้นแล้ว ชายหนุ่มก็
หันไปมองรอบๆ บรรดาต้นไม้ต่างถูกไฟไหม้จนแทบจะราบเรียบหมด
ก็ให้สะท้อนถอนใจ พลางเอื้อนเอ่ยว่า
“สินธุ...นี่ก็บ่ายมากแล้วเห็นที่พวกเราจะกลับกันได้แล้ว อ้อๆๆๆแล้ว
สำรวจหรือเปล่าว่ามีใครบาดเจ็บมากน้อยเท่าไหร่กันนะ???...”
“นายท่าน พวกชาวบ้านก็ได้รับบาดเจ็บกันไม่มากนักหรอก เกิดจาก
ควันพิษที่เจ้าคางคกพ่นใส่ เพียงแต่เป็นรอยไหม้ มากบ้างน้อยบ้าง ข้าก็
นำเอารากว่านฝนกับน้ำทาให้แล้วค่อยทุเลามากแล้ว แล้วต่อไปนายจะ
ให้ทำอย่างไรดีล่ะ???”
“ข้าว่าเห็นทีเราต้องกลับกันได้แล้วล่ะ บอกให้พวกเราออกเดินทางกลับกันได้ในเมื่อไม่เป็นอะไรมากนัก”
“ได้นาย ข้าจะสั่งให้ออกเดินทางกลับกันเดี๋ยวนี้แหละ ขอโทษนาย
ด้วยที่ข้าได้เอ่ยถึงเจ้าสดายุเพราะความแปลกใจ ด้วยทุกๆครั้งมักจะออก
มาช่วยพวกเราเสมอ”
“อ้อๆๆๆเพราะว่าข้าได้กำชับไว้ก็เท่านั้นแหละ ที่ไม่อยากให้ใครรู้
เพราะไม่อยากให้พวกเราตกใจเท่านั้นเอง”
“อ้อๆเช่นนั้นเองหรืองั้นข้าจะไม่กล่าวอะไรอีกแล้ว”
แล้วสินธุก็หันไปบอกให้ทุกๆคนออกเดินทางกลับถ้ำกันได้แล้ว
ดังนั้นทุกๆคนจึงออกเดินทางผ่านป่าไม้ที่ไหม้แต่ยังมีควันครุกรุ่นอยู่
เดินลดเลี้ยวหลีกเลี่ยง หันเดินทางไปอีกด้านหนึ่งที่อยู่เหนือลมที่ยังมี
ต้นไม้เขียวชะอุ่ม แม้บางต้นจะออกใบสีเหลืองก็ตามที ทั้งหมดเดิน
ทางด้วยความสบายใจ เพราะเสร็จสิ้นภาระกิจที่สร้างความเดือดร้อน
แก่พวกเรา จึงได้ปล่อยตัวตามสบายใจ พอผ่านป่าไม้ชะอุ่มผ่านเนิน
เขาลดเลี้ยวไปตามซอกเขา เพราะหาทางเข้าไปยังถ้ำที่อาศัยอยู่ พอ
เข้าไปยังป่าอีกด้านหนึ่งก็ต้องสะดุ้งกันทั้งหมด เพราะได้ยินเสียง
กิ่งไม้หักดังลั่นมาตามทางที่จะผ่าน บังเกิดเสียงอู้ๆกร๊อบแกร๊บๆๆดัง
พุ่งมาทางเขา ทั้งหมดด้วยสัญชาติฌานของพวกนักล่าสัตว์ป่าก็ต่างแยก
ย้ายกันออกจากกลุ่ม ต่างเพ่งตามองไปยังที่ปรากฏสุ่มเสียง เสียงดัง
เพี๊ยะพ๊ะดังมาก อะไรหรือมันใกล้เข้ามาแล้ว ดังนั้นบรรดาชาวบ้านก็
ต่างพุ่งตัวเข้าหาโคนต้นไม้ใหญ่ทันทีพร้อมชักอาวุธประจำตัวออกมา
ชายหนุ่มยืนตะลึงไปพักใหญ่ ปรากฏว่าภาคีคียะต่างรีบเข้ามา
ประกบด้านซ้ายขวา ส่วนกุลาก็ออกบังหน้าชายหนุ่ม ด้านหลังเป็นสินธุ
“เสียงอะไรหรือกุลา???...”
“มันเป็นสัตว์ใหญ่ชนิดหนึ่งนายยังไม่รู้ว่าอะไร นายคอยเดี๋ยวนะ”
ว่าแล้วเจ้ากุลาก็ทิ้งตัวนาบลงดินเอาหูติดดิน สลับทั้งซ้ายและขวา
สักครู่หนึ่ง พลางรีบลุกขึ้นกล่าวว่า
“นายตามฝีเท้าของมัน เข้าใจว่าเป็นสัตว์ใหญ่สงสัยจะเป็นหมูป่านะ
นาย เพราะเสียงมันหนักแน่นมากๆ”
“แล้วเราจะหาทางหลีกเลี่ยงมันได้หรือไม่ล่ะ???
“ช้าไปเสียแล้วนาย มันใกล้จะถึงตัวพ้นป่าไม้แล้วล่ะ??”
“งั้นให้ทุกๆคนเตรียมตัวรับมือกันได้นะ แล้วกุลามันมีสักกี่ตัวล่ะ?”
“จากฟังเสียงแล้วข้าว่าคงไม่เกิน สามตัวแหละนาย”
เสียงเจ้ากุลารายงาน
“แล้วเราจะหาทางหลบมันได้หรือไม่ เพราะไม่ยากจะฆ่ามันเพราะว่า
คงจะเป็นครอบครัวมัน สงสัยจะหนึไฟมาทางนี้กระมัง”
“คงจะเป็นอย่างที่นายบอกแหละ เพราะไฟไหม้ป่าด้านโน้นมันถึงได้
หลบมาทางด้านนี้ แต่คงจะหนียากหรอกนายเพราะกลิ่นของพวกเราอยู่
ทางเหนือลมเสียด้วย มันคงได้กลิ่นแล้วพุ่งเข้ามาหาแล้ว หลบๆๆนาย”
ยังไม่ทันขาดคำ ร่างทะมืนของหมูป่า สามตัวก็พ้นแนวป่า มันเป็น
ฝูง พ่อ แม่และลูก แต่ให้ตายเถอะทำไมร่างกายมันถึงใหญ่โตนัก
ตัวพ่อใหญ่กว่าตัวแม่และลูก ขนาดมันประมาณเท่าตุ่มน้ำได้ แต่เขี้ยว
ขาวคมที่งอกออกจากปากทั้งสองริมฝีปากมันโง้วเลยจมูกมัน ทั้งสาม
ตัว ตัวลูกค่อนข้างจะเป็นหนุ่มแล้ว ต่างส่ายหัวก้มจรดพื้นพุ่งมาหาพวก
เขาอย่างรวดเร็วปานพายุ
เสียงต้นไม้ดังแคว๊กๆยามที่มันปะทะกับต้นไม้ มันขวัดเปลือกต้นไม้
ใหญ่กระจุยกระจายไปทันที ส่วนชาวบ้านที่แอบอยู่โคนต้นต่างรีบ
ตาลีตาเหลือกปีนขึ้นไปบนยอดไม้สูงใหญ่ไปอยู่ที่คาคบที่แยกของต้นไม้นั้น พร้อมทั้งง้างธนูที่สายบรรจุลูกธนูหาจังหวะจะยิงมัน เมื่อ
เห็นร่างกายของเจ้าหมูป่าทั้งสามตัวก็ต่างตกตะลึงกันไปตามๆกัน
“เฮ้ยๆๆๆทำไมมันใหญ่โตเช่นนี้นะ”
เสียงตะโกนร้องบอกต่อกัน ส่วนชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็รีบลอยตัวขึ้น
พร้อมคว้าแขน ภาคี คียะ ขึ้นไปบนคบไม้แล้วตะโกนบอกให้กุลาและ
สินธุรีบหลบขึ้นมาก่อนที่สัตว์ร้ายจะพุ่งมาทำลายเสียก่อน เมื่อยามแล
เห็นทั้งสองชักอาวุธออกมาเตรียมป้องกันตัว
“ไม่หรอกนาย ข้ากับกุลาและพวกจะล่าพวกมันเอาไปทำอาหารมื้อ
นี้ให้ได้นะนาย ไม่ต้องห่วงหรอกเพราะข้าผ่านการล่าสัตว์มามากแล้ว”
“โอ้ยๆๆๆช่วยด้วยโอ้ยๆๆๆ”
เสียงร้องของเหล่านักรบลูกบ้านที่หลบหนีขึ้นต้นไม้ใหญ่ไม่ทันถูกเขี้ยว
เจ้าหมูป่าขวิดเข้าชายโครง เลือดสาดกระจายแผลเหวะหวะล่วงตกมา
จากต้นไม้ แต่เจ้าหมูป่าเมื่อขวิดแล้วก็เลยไปพุ่งเข้าหาชาวบ้านอีกคน
หนึ่งและไล่ขวิดจนเลือดออกได้แผลไปตามๆกัน ทำให้ชาวบ้านบ้าง
ขึ้นต้นไม้ไม่ทันต่างวิ่งหนีกันกระเจิง บรรดาหมูป่าทั้งสามต่างแยก
ย้ายกันเที่ยวไล่ขวิดเหล่าชาวบ้านได้รับบาดเจ็บไปตามๆกัน ส่วน
พวกที่หนีขึ้นต้นไม้ทันก็พยายามลงมาช่วยเพื่อนที่บาดเจ็บลากให้ขึ้น
ไปยังต้นไม้ได้ และช่วยกันทำบาดแผลโดยใช้ว่านเป็นหลัก
ชายหนุ่มเป็นเช่นนั้นก็เอ่ยเตือนภาคี คียะทันที
“แต่อย่างไรเจ้าก็ระวังตัวไว้ด้วยนะ อ้าวภาคีและคียะไม่ไปช่วยพวก
เขาหรือ”
“ไม่หรอกเจ้าค่ะนาย ข้าต้องคอยระวังนายทั้งสองคนนี้แหละ เรื่อง
แค่นี้คงจะไม่พอมือกุลาและพวกหรอกนาย”
“เจ้าเชื่อมันขนาดนี้เชียวหรือ คียะ”
“ใช่นาย เพราะทั้งสองเคยล่ากระทิงโทนมาแล้วใหญ่กว่าเจ้าสามตัวนี้
เสียอีกนาย นายคอยดูก็แล้วกันไม่ต้องไปช่วยพวกเขาหรอก”
เจ้าคียะตอบพร้อมดึงแขนเสื้อหนุ่มนิรุทธิ์ไว้เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มจะลง
ไปช่วย เสียงเจ้ากุลาและสินธุตะโกนโหวกเหวกสั่งพวกลูกบ้านทันที
ลูกบ้านทั้งหมดต่างก็ลงมาจากต้นไม้พร้อมอาวุธส่วนตัว พลางตีเสียง
จากอาวุธให้ดัง แยกย้ายกันเป็นวงกลม เจ้าหมูป่าต่างหยุดชะงักเมื่อ
แลเห็นคนจำนวนมากรายล้อมมันไว้ ต่างก็แยกย้ายกันออกหันหน้าเข้าสู้
ตั้งหลักหันหน้าเขาใส่ยังเหล่าชาวบ้านทันที อาการดุร้ายเมื่อตะกี้นี้
หายไป ด้วยสัณชาติฌานมันทำให้รู้ว่ายากจะต่อกรได้ จึงตะกุยเท้าหน้า
ทั้งสองลงบนพื้นดินกระจุย แรงของเศษดินพุ่งเข้าหาชาวบ้านที่ล้อมมัน
ไว้ ตัวใหญ่ที่เป็นพ่อไม่รอช้าวิ่งเข้าชาร์ต ชาวบ้านคนหนึ่งที่แยกตัวออก
มาล่อพวกมัน ความปราดเปรียวของมันรวดเร็วปานพายุ แต่แล้วบรรดา
หอกและลูกธนูต่างยิงใส่มันทั้งสาม ลูกธนูติดไปตามลำตัวมัน
เสียงร้องอย่างโหยหวนดังก้องเลือดสดๆไหลเป็นทางตามคมธนูที่ฝัง
ลึกไปครึ่งหนึ่งหยดลงสู้พื้นทั้งสามตัว แต่ความอดทนเพื่อรักษาชีวิตมัน
ซึ่งตอนแรกเป็นฝ่ายคิดจะล่า แต่บัดนี้มันทั้งสามรู้ตัวว่ากลับตกไปเป็น
ฝ่ายถูกล่าเสียแล้ว ดังนั้นจึงแยกตัวกันออกพุ่งเข้าหาชาวบ้านที่อยู่ใกล้
มันที่สุด เสียงคว๊ากๆขวับๆดังขึ้น เปลือกไม้ใหญ่ถูกขวัดกระจายเป็น
ฝอยๆไปทันที เสียงตะโกนของชาวบ้านดังโหวกเหวกสลับกับเสียง
ร้องด้วยความเจ็บปวดของหมูป่าและชาวบ้านที่โดนขวัดเข้าอย่างจัง
เพียงไม่ช้านานหมูป่าทั้งสามตัวก็แปรสภาพประดุจเม่นด้วยผิวหนังมัน
เต็มไปด้วยลูกธนูนับไม่ถ้วน
ความอ่อนแรงเกิดขึ้นแล้วกับหมูทั้งสาม ความเร็วค่อยๆช้าลงเกิด
อาการส่ายไปส่ายมา เจ้ากุลาก็พุ่งร่างไปยังเบื้องหน้าเจ้าหมูป่าตัวพ่อ
พลางซัดหอกใบพายเข้าปักยังแสกหน้า เสียงร้องคำรามอย่างโหย
หวนดังลั่น ร่างหมูป่าตัวพ่อก็ทรุดคุกเขาลง แต่มันยังคงความดุร้ายหัว
มันส่ายเขี้ยวไปๆมาๆตลอดเวลา เจ้ากุลาก็ชักดาบออกทะยานเข้าใส่
ร่างหมูป่านแล้วตวัดดาบฟาดจากลงขึ้นบน เสียงร้องโอ๊กๆๆๆดังสาย
เลือดพุ่งเป็นน้ำพุสาดกระจายไปตัว ร่างหมูป่าตัวพ่อก็ล้มครืนร่างมัน
กระตุกไปๆมาสักครูเดียวก็สงบเงียบ ทางด้านข้างร่างแม่หมูป่าและลูก
ต่างก็ทะยอยกันล้มลง ดิ้นพราดๆเนื่องจากสินธุควงมีดสีดำมะเมื่อมเข้า
ใส่ร่างแม่หมูทั้งร่างกายและคอ ส่วนลูกมันถูกชาวบ้านช่วยกันระดม
แทงด้วยหอกเข้าไปยังร่างกายมัน จนทั้งสามตัวเงียบสงบนิ่ง
บรรดาชาวบ้านที่ได้รับการฝึกปรือมาอย่างโชกโชนก็ต่างส่งเสียง
เฮฮากันระงมไปตัว บ้างบางคนต่างก็หาเถาวัลย์มาผูกยังขาทั้งสี่มันทั้ง
สามตัว ส่วนตัวลูกชาวบ้านก็หาไม้มาสอดเข้าหามร่างเพราะรูปร่างหมู
ตัวลูกเล็กกว่าตัวพ่อแม่มันมาก แต่เจ้าหมูตัวพ่อแม่มันเข้าคานหาม
ไม่ได้เพราะรูปร่างมันใหญ่ ดังนั้นจึงใช้เถาวัลย์ผูกลากไป
เมื่อทั้งหมดรวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งก็เริ่มออกเดินทางลัดเลาะไปตามไหล่เขาผ่านป่าอีกสักพักก็เห็นทางไปสู่ถ้ำที่ชายหนุ่มนิรุทธิ์เคยเข้ามา
ครั้งแรก สักครู่มีชาวบ้านประมาณสองสามคนก็ออกวิ่งนำหน้าไปยัง
ถ้ำที่อาศัยเพื่อจะแจ้งข่าวดี พวกมันหายไปสักพักหนึ่ง ก็เห็นชาวบ้าน
คนหนึ่งรีบกลับมาทันที วิ่งอย่างรวดเร็วใบหน้าแตกตื่นตกใจพลางไป
รายงานต่อสินธุด้วยใบหน้าซีด พูดจาติดๆขัดๆ
“เกิดเรื่องอะไรแก่พวกเราหรือ เจ้ามัวอ้ำอ่ำอึ้งๆๆจะรู้เรื่องหรือ”
“นายสินธุ อ้าๆๆ...พวกเรา...ตกตายกันไปแยะจ้านาย ปากถ้ำก็ปิดแต่
มีไฟสว่างเล็ดรอดออกมา เกิดเหตุร้ายแก่พวกเราเสียแล้ว????”
“ฮ้าอะไรนะหาๆๆๆ...พวกเราตกตายกันแยะหรือ???
“ใช่แล้วนาย ศพกระจุยกระจายทั้งชายหญิงมากมายไม่รู้ใครมาทำ
หลังจากเราได้ออกมานะนาย”
“จริงๆหรือว่าไอ้สักกะ???....พวกเราตกตายกันได้อย่างไรกัน”
“เรื่องนี้ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรก็พวกเราติดตามนายใหญ่ออกมา ไม่ได้
ทิ้งพวกที่ฝึกปรือวิชาไว้ด้วย ต้องไปถามท่านผู้เฒ่าศิลากับผู้เท่าวารี ข้า
คิดว่าคงจะอยู่รอดได้กระมังเพราะท่านมีฝีมือพอตัวนะนาย”
“นั้นเจ้ารีบไปแจ้งแก่พวกเราที่ไปกับเจ้าหาทางติดต่อพวกเราที่รอด
คงจะมีบ้างนะ”
“ได้นายข้าจะรีบไปด้วยนี้แหละนาย”
ว่าแล้วร่างมันก็คว้าอาวุธวิ่งกลับไปยังถ้ำอีกครั้งหนึ่ง ส่วนสินธุก็ได้
แจ้งให้พวกชาวบ้านที่ติดตามมาทราบ ทุกๆคนต่างตกตลึง แล้วไปแจ้ง
ให้นายนิรุทธิ์ทราบ ชายหนุ่มได้รับฟังก็งง เขาคิดไม่ถึงว่าจะเกิด
เหตุร้ายซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก นึกว่าจะหมดเพียงแค่นี้ จึงสั่งให้ทุกๆคนรีบ
ออกเดินทางโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เสียเวลาชายหนุ่มจึงให้กุลาและสินธุคอย
คุมพวกตามไปอีกทีหลัง ส่วนเขาก็คว้าร่างภาคี คียะเหินลอยไปอย่าง
รวดเร็วไม่ช้าไม่นานก็ถึงบริเวณลานถ้ำที่เต็มไปด้วยเลือดคาวและร่าง
คนที่เสียชีวิตตกตายกระจุยกระจายไปเป็นที่อเน็จอนาถนัก เขาจึงสั่งให้
พวกชาวบ้านรวมทั้งภาคีและคียะ รีบจัดการเก็บซากศพชาวบ้านไปกอง
ไว้อีกมุมหนึ่ง แล้วก็ตรงไปยังปากถ้ำพลางเรียกท่านผู้เฒ่าทั้งสองทันที
“พ่อเฒ่าๆๆๆยังอยู่หรือเปล่านี่ข้านิรุทธิ์นะ”
เสียงตะโกนเสียงก็เงียบหายไป เจ้าภาคี และคียะตลอดชาวบ้านอีก
สามคนก็ช่วยกันตะโกนเรียก อากาศก็เริ่มสลัวมากขึ้นจนเวลาผ่านไป
สักครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาร้องตอบออกมา ประตูปากถ้ำก็ค่อยๆ
แง้มเปิดออกพร้อมทั้งคบไฟส่องมา เป็นร่างของหญิงสาวกับผู้เฒ่า เมื่อ
ทั้งสองเห็นร่างของภาคี คียะ ก็อุทานพากันร้องไห้แล้วก็เล่าเรื่องให้ฟัง
“คียะเอ๋ยหมดแล้ว พวกเราตายเกือบหมดแล้วเหลือหญิงชายและคน
ชราประมาณ ยี่สิบคนเท่านั้นเอง นอกนั้นตายหมดเพราะไปต่อสู้กับ
สัตว์ร้าย ฮือๆๆๆๆ”
“เอาไว้ก่อนท่านผู้เฒ่าไว้ให้นายใหญ่พร้อมแล้วค่อยเล่าก็ได้ให้พวก
เราไปช่วยกันลำเลียงศพพวกเราไปเผากันเถอะ และทำความสะอาด
ลานหน้าถ้ำเสียก่อนเถอะพ่อเฒ่า”
“ได้ๆๆๆเจ้าคียะ”
พลางหันไปตะโกนเรียกพวกในถ้ำ พลันก็เห็นใบหน้าต่างๆค่อยๆ
โผล่ออกมาจากหลีบหินน้อยใหญ่ เมื่อได้รับคำสั่งก็รีบออกไปช่วย
กันทำความสะอาดที่หน้าลาน พอดีพวกกุลาและสินธุกลับมาเมื่อทราบ
ก็รีบช่วยกันทำความสะอาดและจัดการศพเผากัน
จวบท้องฟ้ามืดสนิทแต่ปราศจากดวงจันทร์คงมีแต่ดวงดาว
ระยิบระยับพร่างพราวเห็นเป็นแค่สลัวๆประกอบกับคบไฟได้ถูกจุดขึ้น
สว่างพอจะทำงานกันได้ เพียงไม่นานนักงานก็เรียบร้อย แล้วต่าง
ทะยอยกันเข้ามายังถ้ำแต่ไม่วายที่จะชำแหละร่างเจ้าหมูป่าทั้งสามตัว
ทะยอยกันเข้าไปในถ้ำให้พวกผู้หญิงได้ไปจัดการเพื่อเป็นอาหารใน
คราวต่อไป ครั้นเมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วบรรดาชาวบ้านที่ไปทำหน้าที่
ในการปราบสัตว์ร้ายคางคกก็ต่างทะยอยกันไปอาบน้ำชำระเนื้อตัวแล้ว
ก็ออกมานั่งล้อมวงในบริเวณห้องโถงใหญ่ในถ้ำเพื่อฟังคำรายงานของ
ท่านผุ้เฒ่าเรื่องที่เกิดเหตุร้ายในครั้งนี้
เมื่อเหล่าชนชั้นหัวหน้านั่งเรียบร้อยแล้ว เฒ่าศิลาก็ก็รายงานเรื่อง
ต่างๆให้นายใหญ่และนายเล็กตลอดจนคนอื่นๆได้รับฟัง
หลังจากที่นายทั้งสองจากไปแล้ว ทางเราก็เตรียมตัวทำตามคำสั่งนาย
ใหญ่ทุกอย่าง นึกว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกแล้ว แต่ที่ไหนได้ก็ได้รับ
แจ้งจากชาวบ้านคนหนึ่งที่ออกไปหาอาหารในป่า เหลือรอดกลับมา
คนเดียวด้วยอาการสาหัสนักมันแจ้งแล้วก็ตายไป ยังไม่ทันรู้เรื่องอะไร
ดีว่ามันไปพบนั้นคืออะไร ก็ได้ยินเสียงฟู่ๆๆฟ๊อดๆๆดังแรงหายใจมัน
ทำให้ต้นไม้ไหวเป็นลู่เอนไป มันขนาดภูเขาลูกย่อมๆทีเดียวนาย มันเลื้อย
เข้ามาแล้วก็ฉกกัดบรรดาชาวบ้านที่หนีเอาตัวไม่รอดต่างรีบหนีเข้าถ้ำ
มันมาเร็วเหลือกิน ลำตัวมันก็ปิดบังปากถ้ำหมดแล้ว มันเลื่อยมามีขา
เป็นอันมากเขี้ยวมันทั้งสี่ดำมะเหมื่อมปนน้ำตาล มันเข้าตรงกัดกินพวก
เราทั้งหญิงชายและเด็ก ส่วนผู้ชายก็รีบออกมาป้องกันพวกเราแต่ไม่
สามารถทำอันตรายมันได้ ได้แต่พยายามป้องกันพวกที่เหลือให้เข้าถ้ำ
แล้วก็สุมไฟปิดปากถ้ำไว้ นั่นแหละถึงได้รอดมา ส่วนเฒ่าวารีเข้าต่อสู้
จนตัวตายไปกับการกระทำของสัตว์ร้ายนี้
“แล้วตัวอะไรหรือพ่อเฒ่า???...” ชายหนุ่มถาม
“หากมันตัวเล็กๆก็คงเรียกว่าตะขาบนะนาย แต่นี่มันตัวใหญ่เกือบ
เท่าภูเขาแน๊ะ หรือน้องๆเนินเขาเล็กๆแหละ สีมันดำปนน้ำตาล เขี้ยว
มันน่ากลัวมาก จมูกมันพ่นควันขาวออกมาแรงของลมทำให้ต้นไม้
เล็กๆหักสะบั้นไปเลยนาย”
“แล้วมันมีอะไรผิดกับตะขาบไหมล่ะ???ท่านผู้เฒ่า”
“ไม่มีอะไรผิดหรอกนาย จะเรียกว่า ตะขาบยักษ์ก็ได้นาย”
“อืมๆๆหากเป็นตะขาบมันเป็นสัตว์มีพิษมากเสียด้วย หรือว่าลมที่
มันพวยพุ่งออกมาจะมีพิษด้วยก็ไม่รู้” ชายหนุ่มพรึมพรำเบาๆ
พลางนึกหาวิธีการต่อสู้กับสัตว์ตะขาบยักษ์ แต่ก็ยังคิดไม่ออก จึง
หันไปปรึกษา ภาคี คียะ กุลาและสินธุว่าจะหาวิธีใดบ้างจะได้กำจัด
เจ้าสัตว์ร้ายนี้ได้อย่างไร
“นายข้าเห็นว่านอกจากธนูเท่านั้นที่จะกำจัดมันได้นะนาย เพราะ
หากจะล่อมันให้ตกหลุมสัตว์ก็ไม่ได้อีกเพราะมันใหญ่โตมากๆ”
เจ้าคียะ เอ่ยขึ้น
“ข้าว่าให้นายเอาดวงแก้ววิเศษของนายปราบไม่ได้หรือ???”
เจ้าภาคี เสนอขึ้นบ้าง
“แล้วหอกล่ะจะกำจัดมันได้ไหมนาย”
“ข้าว่าหาวิธีอื่นดีกว่านาย เพราะรูปร่างมันใหญ่กว่าเจ้าคางคก
มากมายนักน้องๆภูเขาเชียวนา” เจ้าสินธุเอ่ยขึ้นบ้าง
“แต่ว่าพวกสัตว์ตะขาบมันแพ้พวกไก่นะนาย แต่เราจะไปหาไก่
ที่มีรูปร่างใหญ่โตมโหฬารนี้ได้ที่ใดหรือ???” เฒ่าศิลาเอ่ยขึ้น
“จริงซินายข้าเองก็เคยได้ยินอาจารย์เอ่ยเช่นผู้เฒ่าเหมือนกัน แต่ว่า
เราจะไปหาสัตว์ประเภทนี้ได้ที่ใด หากหามาได้มันจะไม่ทำร้ายพวก
เราหรือ น่าคิดนะนาย”
ชายหนุ่มนิรุทธิ์เอามือท้าวคางพลางครุ่นคิดก็คิดไม่ออก ตามที่คนทั้ง
หลายเสนอมานั้นก็ดีหรอก หรือว่าจะทำหน้าไม้ให้ใหญ่โตหรือก็ย่อม
เป็นไปไม่ได้ หรือจะทำหน้าไม้ยักษ์แล้วใช้หอกแทนอาวุธในการใช้ยิง
ก็ย่อมเป็นไปได้ยาก เพราะอุปกรณ์ต่างๆก็ไม่อำนวยให้เสียด้วย ยิ่งไป
หาไก่ที่เป็นคู่อาฆาตกับพวกสัตว์ตะขาบเล่าจะไปหาได้ที่ใดและต้อง
ให้มันเชื่องไม่สามารถทำอันตรายแก่คนของเขาก็ย่อมไม่มีทาง
อีกประการหนึ่งต้องใช้เวลารวดเร็ว ด้วยนิสัยสัตว์ร้ายเมื่อมันได้รับ
กลิ่นคาวเลือดคนและลิ้มรสเนื้อคนแล้วย่อมจะต้องหาทางหวนกลับมา
อีกแน่นอน ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดศีรษะมาก แว๊ปหนึ่งในสมองก็พลันให้นึก
ถึงนกสดายุขึ้นมาได้ว่าคงจะกำหราบมันได้ เพราะเจ้าสดายุนั้นปากมัน
เป็นจงอยคล้ายกับปากไก่ ที่สำคัญมันสามารถแปลงกายได้ให้ใหญ่เล็ก
ได้ตามใจมันอีกด้วย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็เป่าลมออกจากปากทอดถอนหายใจเหมือนจะ
โล่งอก ใช่แล้วนอกจากเจ้าสดายุก็ไม่เห็นมีทางอื่นใดที่จะกำหราบ
สัตว์นี้ได้ พลอยให้เขาคิดไปถึงการติดตามดวงแก้วมรกตสีทองก็
ยิ่งทอดถอนใจใหญ่ สิ่งที่สินธุกล่าวนั้นจะใช่แก้วมรกตสีทองหรือ
ไม่ก็ไม่อาจทราบได้ แต่อย่างไรก็ต้องทดลองดู หากไปค้นหาตาม
ที่สินธุบอกที่ภูเขาใกล้ๆกับภูเขาไฟติดกับด้านที่เป็นภูเขาน้ำแข็งแล้ว
หากเขาจะนำคนเหล่านี้ไปหรือก็จะสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้าน
เพราะตอนนี้เหล่าชาวบ้านก็เหลือคนไม่มากนัก หากจะนำเอาสินธุ
กุลา ภาคี คียะไปด้วยก็ทำให้ทางนี้ขาดผู้นำไปหากวันใดเจอสัตว์ร้าย
อีกก็จะทำให้เหล่าชาวบ้านต้องตกตายสิ้น เห็นทีเราจะต้องหนีไปคน
เดียวเสียกระมังพร้อมกับเจ้าสดายุก็คงเพียงพอจะได้ไม่เป็นภาระใดๆ
แก่เราได้ เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วก็หันไปกล่าวกับเหล่าชาวบ้านว่า
“เรื่องนี้เราพอจะหาทางกำจัดมันได้อยู่หรอก แต่เราจะบอกให้พวก
เจ้ารู้ตอนนี้ก็หาได้ไม่ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้ให้พวกเราไปหาไม้
ไผ่ที่แข็งแรงทนทานพร้อมกับเถาวัลย์ที่เหนียวมาทำคันธนูยักษ์ล่วน
ลูกธนูก็ให้ใช้หอกนี่แหละเพียงแต่ที่ใช้ยิงให้หาขนนกมาทำแพนไว้
เพื่อให้ลูกธนูวิ่งตรงเป้า พร้อมด้วยทำหน้าไม้ขึ้นอีกอันหาจุดที่คิดว่า
พอเหมาะจะยิงเจ้าสัตว์ร้ายนี้ได้ พวกท่านเป็นเป็นประการใดเล่า”
“หากนายจะทำอาวุธที่กล่าวมานี้ก็ไม่ยากเท่าไหร่นักหากกำลังพล
เราเหมือนเดิม แต่นี่มีกำลังพลไม่เท่าไหร่แต่ก็จะพยายามทำให้ทันนะ
นายเรื่องนี้เฉพาะหน้าไม้ ข้ากุลาขอรับอาสาเองนายเพราะข้าชำนาญ
เรื่องหน้าไม้นี้อยู่แล้ว”
“ส่วนคันธนูข้ากับคียะจะรับเอาสาเองให้ได้เร็วที่สุดนาย “
เจ้าภาคีเอ่ยขึ้นบ้าง
“ส่วนเรื่องดาบและอาวุธอื่นๆข้ารับอาสานายตามจะสั่งเถิด”
สินธุเอ่ย
“ส่วนข้าศิลาแม้จะแก่ก็ตามแต่ข้ามีวิชาเรื่องค่ายกลประตูหอรบ
ก็จะนำกำลังพลน้อยนิดไปนำหินต่างๆมาวางเรียงตามหลักค่ายคู
ประตูกล อาจจะทำให้สัตว์นี้มันงวยงง แม้ว่าจะเพียงแค่มายาภาพ
ก็ตามนาย”
“เอาล่ะเมื่อทุกๆคนพร้อมใจกันเช่นนี้ เห็นทีคงจะทำการสำเร็จ
เป็นแน่นอน งั้นทุกๆคนไปพักผ่อนได้ พรุ่งนี้ค่อยจัดการตามที่
กล่าวไว้แล้วกันเถิด”
ดังนั้นทุกๆคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนคงเหลือชายหนุ่มและ
ภาคี คียะ กุลา สินธุ คอยนั่งเป็นเพื่อนชายหนุ่มที่นั่งใช้ความคิดอยู่
แต่ทั้งสี่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากสอบถามแต่อย่างไร...............
*แก้วประเสริฐ.*
14 พฤศจิกายน 2555 22:50 น.
แก้วประเสริฐ
แดนพิศวง ๒๐
(เดชสุริยันต์จันทรา)
ริมหน้าผาลานกว้างหน้าบริเวณถ้ำ อากาศตอนเช้ายังสลัวแต่เต็มไป
ด้วยหมอกไหวเลี่ยรายทางไปตามต้นหญ้ายามที่สายลมพัดผ่าน
ค่อนข้างรุนแรง ดวงอาทิตย์โผล่ยังริมซอกเขาที่ตัดกันไปๆมาแสง
อ่อนสีแดงกระจายไปทั่วบริเวณนั้น อากาศบริสุทธิ์ นัก......
ชายหนุ่มยืนสงบนิ่งมองชมทิวทัศน์ที่งามตระการตา เบื้องหน้าอัน
ไกลลิบหมอกควันปลิวไปตามกระแสลมของภูเขาไฟ เป็นทางวกลง
เบื้องต่ำล้วนมวลแมกไม้ทั้งสูงใหญ่และเตี้ยตัดกัน สลับไปมาลมพัด
ทำให้ชายเสื้อของชายหนุ่มปลิวพลิ้วไสว กลิ่นหอมจางๆของดอกไม้
ป่าล่องลอยมาตามลม เป็นระยะๆ บรรยากาศสร้างความสดชื่นรื่นรมย์แก่ชายหนุ่ม
ความคิดในเรื่องของคางคกประหลาดวกกลับมาสู่ในห้วงอีกครั้ง
หนึ่ง ใช่แล้วเขาจะวางแผนจัดการกับพวกมันอย่างไรดี หากความคิด
ที่วางไว้ไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ในความเชื่อมั่นนั่นเองทำให้ชาย
หนุ่มผายลมออกทางปาก ครั้งแล้วครั้งเล่า แน่ละมันเป็นการต่อลอง
ระหว่างชีวิตต่อชีวิต ลำพังเขาเองย่อมจะเอาตัวรอดได้แต่ชาวบ้าน
ล่ะ??...จะมีทางป้องกันได้อย่างไร เนื่องจากพวกสัตว์เหล่านี้ทั้งใหญ่
โตและมีพิษจำนวนมากมาย เพียงคำนวนเท่านั้นคงไม่ต่ำกว่าพันขึ้น
ไป นี่ซิทำให้เขาลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง
เอาเถอะนะอย่างไรก็ต้องทดลองดู แต่หากการต่อสู้ของชาวบ้านนั้น
หากไม่ได้รับการฝึกฝนเพิ่มเติมคิดว่าคงจะรักษาตัวได้ยาก แล้วจะทำ
อย่างไรดีล่ะชายหนุ่มยืนคิดอย่างกลัดกลุ้ม แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งตื่น
จากความคิดอ่านนั้นทันที เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่ง
แว่วเข้ามา ดังนั้นจึงหันหลังไปมอง ก็แลเห็นสองสาวกับสองหนุ่ม
กำลังทะยานร่างมาทางเขาอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่ช้าก็มาถึงร่างเขาเสียแล้ว เสียงหนึ่งพลันเอ่ยถาม
“นายพวกข้าตื่นมาไม่แลเห็นนายก็ตกใจ จึงได้ชวนกันออกตามหา
ก็พบว่านายมายืนชมวิวภูมิประเทศที่นี่ วันนี้ใช่ไหม???ที่นายจะออก
เดินทางไปปราบเจ้าสัตว์ร้าย????” ชายกลางคนเอ่ยถาม
“สินธุอันที่จริงข้าก็คิดว่าจะออกเดินทางไปวันนี้แต่แล้ว มาคิดว่า
เราต้องมาวางแผนการไว้ก่อนเห็นจะดี”
“แล้วนายจะให้พวกเราจัดการอย่างไรล่ะบอกมาได้เลย พวกเรารอ
ฟังอยู่แล้วล่ะ”
ดังนั้นชายหนุ่มจึงบอกให้ทั้งหมดนั่งลง พลางนำเศษไม้แห้งหักที่
กระจายเอามาเขียนแผนการต่อสู้ให้แก่ทั้งหมดทราบ
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องจัดกำลังออกเป็นสี่หน่วยนะซิ” เจ้ากุลาถาม
“ถูกต้องแล้วกุลา ข้าคิดว่าลำพังพวกเจ้าข้าไม่ห่วงเท่าไหร่หรอก
เพียงแต่ห่วงพวกชาวบ้านเท่านั้นเอง จึงจัดไว้หน่วยล่ะ 10 คน”
“นายจะให้ทำอย่างไรบอกได้เลยทางเราพร้อมแล้ว” สินธุเสนอ
ในฐานะเป็นหัวหน้าของชนชาวนี้
“ข้าคิดว่าจะให้ สินธุ กุลา คียะ ภาคี ต่างคัดเลือกชายฉกรรจ์ที่พอมี
ฝีมือแล้วมาฝึกหัดตามแต่ละท่านจะถนัดในการใช้อาวุธ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นปัญหาหรอกนาย เรายังมีชายฉกรรจ์ที่รู้เรื่อง
การต่อสู้อยู่แล้ว เพราะผ่านการออกล่าสัตว์มาเป็นอาหารอยู่”
“แต่การครั้งนี้หาใช่การล่าสัตว์ธรรมดาไม่ ต้องมีความเชี่ยวชาญใน
อาวุธอย่างแท้จริงไว้คอยช่วยเหลือกันและกัน ส่วนการวางแผนใน
การเข้าโจมตีข้าจะกล่าวให้ฟังภายหลัง”
“อ้อๆอีกอย่างหนึ่งข้าจะแนะนำการต่อสู้ให้ทุกๆคนตามตำราวิชา
ที่ข้าร่ำเรียนมาอีกทางหนึงด้วย ฉะนั้นตอนสายวันนี้ขอให้พวกเจ้า
ทุกๆคนต่างไปคัดเลือกชายฉกรรจ์ดังกล่าว ไว้ตอนบ่ายๆข้าจะออก
มาแนะนำเพิ่มเติมให้ คิดว่าคงจะใช้เวลาไม่เกิน 3 วันหวังว่าพวกเจ้า
คงจะถ่ายทอดวิชาการต่างๆให้แก่พวกเขา พอต่อสู้ไว้ป้องกันตัวได้
บ้างนะ ส่วนข้านั้นจะแนะนำเสริมให้ควบคู่กันไป”
“ถ้าอย่างนั้นตามใจนายเถอะ พวกข้าจะรีบไปคัดเลือกบุคคล
ดังกล่าวไว้รอนายก็แล้วกัน คิดว่าพวกนี้มีฝีมือและต่างร่ำเรียนมาจาก
ที่เดียวกัน คงจะไม่สร้างความผิดหวังให้แก่นายหรอก”
สาวคียะและภาคีกล่าวตอบ พร้อมยิ้มแย้มให้ด้วยอย่างชะมดชะม้อย
“แล้วสินธุเห็นเป็นประการใดอีกเล่า???”
“ไม่หรอกนาย คงเป็นไปตามนายสั่งนั่นแหละ ข้าคิดว่าคงไม่เป็น
ปัญหาแก่นายอย่างแน่นอน”
“เอาล่ะ???...ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับถ้ำเถอะ ข้าจะได้วางแผนอีก”
“จ๊ะนายทั้งหมดรับคำ”
แล้วทั้งหมดเดินตามหลังชายหนุ่มกลับเข้าไปยังถ้ำ และต่างแยก
ย้ายกันไปเที่ยวค้นหาชายฉกรรจ์ที่มีฝือมือจัดการให้ได้ครบ
ดังนั้นในช่วงบ่ายนั้นเองทั้งหมดก็มาพร้อมกันหน้าลานถ้ำ ชาย
หนุ่มก็ให้ สินธุ กุลา คียะและภาคี ต่างไปฝึกวิชาที่แต่ละคนถนัด
อันประกอบด้วย ดาบ หน้าไม้ ธนู ตลอดจนหอกและหลาว
เมื่อทั้งหมดนำชายฉกรรจ์อย่างล่ะ 10 ออกไปฝึก ชายหนุ่มก็คอย
ออกไปตามกลุ่มต่างพลางแนะนำวิชาที่จดบันทึกไว้ในตำราทั้งสาม
ตลอดจนวิชาทางโลกปัจจุบันเสริมให้อีกทางหนึ่ง
สองวันผ่านไปทุกๆคนต่างขมักเขม้นฝึกปรือเนื่องจากพวกนี้มี
วิชาที่ถ่ายทอดมาจากชนรุ่นก่อนอยู่แล้วจึงไม่ยากที่จะหาความ
เชี่ยวชาญ ชำนาญในวิชาเคล็ดลับต่างๆจากคนทั้งสี่ จนเกิด
ความเชี่ยวชาญชำนาญ ดังนั้นในวันที่สามถัดมาชายหนุ่มก็เริ่ม
ฝึกสอนในเรื่องพลังโทรจิตแก่คนทั้งหมดอีกด้วย จนคนทั้งหมด
เกือบทุกๆคนสามารถเรียกพลังในอากาศมาใช้งานได้อีกทางหนึ่ง
อีกด้วย แต่คนทั้งสี่กลับรุดก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วจนเป็นที่พอใจ
ของชายหนุ่มเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นในเวลากลางคืนชายหนุ่มจะเรียก
คนทั้งสี่เข้ามารับการถ่ายทอดพลังแห่งจักรวาลและพลังงานไฟฟ้า
จากเขาเพิ่มเติมอีกด้านหนึ่ง เมื่อถ่ายทอดวิชากฏแห่งพลังงานต่างๆ
ให้ทั้งสี่คนไปดำเนินการฝึกให้ชำนาญ และสามารถแสดงพลังงาน
ต่างๆได้จนเป็นที่พอใจแก่ชายหนุ่มยิ่งนัก
ในคืนวันที่สามนั่นเอง ชายหนุ่มได้เรียกทั้งสี่มาปรึกษากันและ
ได้วางแผนให้ เขาจะเป็นหน่วยหน้า คียะเป็นหน่วยซ้าย ภาคีเป็น
หน่วยขวา ส่วนสินธุและกุลาเป็นหน่วยป้องกันหลัง
โดยเดินทัพแบบรูปดาวห้าแฉก หมุนเวียนไปตามวงกลมภายในและ
ให้สลับสับเปลี่ยนไปทุกๆครั้งที่มีการต่อสู้ ดาวจะหมุนไปรอบๆ
วงกลม ส่วนเขาจะทำหน้าที่เป็นวงกลมอีกทางหนึ่งด้วย ด้วยคนน้อย
จึงจัดทัพไว้แบบนี้ และใน10คนให้แต่งตั้งรองหัวหน้าหน่วยไว้คอย
เป็นตัวหลักส่วนหัวหน้าหน่วยก็ต้องหมุนเวียนไปตามวงกลมอีกทาง
หนึ่งด้วย โดยขีดลากการเดินหมุนของดวงดาวพุ่งทะยานใส่ข้าศึก ซึ่ง
เขากล่าวว่าไม่ใช่เฉพาะต่อสู้กับสัตว์ร้ายนี้เท่านั้น ในอนาคตต่อไปใช้
สำหรับป้องกันชุมชนหมู่บ้านได้อีกทางหนึ่งด้วย
ทั้งหมดรับทราบแล้วรีบออกไปจัดตั้งรองหัวหน้าหน่วยทันที ใน
คืนนั้นเองทั้งหมดก็ออกไปที่หน้าลาน ทำการฝึกการเดินทางของดวง
ดาวที่หมุนเวียนไปรอบตัวเอง จนสร้างความพึงพอใจแก่ชายหนุ่มจน
กระทั้งผ่านเที่ยงคืนไป จึงให้ทั้งหมดไปพักผ่อนกล่าวว่าจะออกเดิน
ทางไปปราบสัตว์ร้ายในเพลาพลบค่ำ เขาคำนวณดินฟ้าอากาศแล้ว
เห็นว่าตกค่ำๆคงจะมีฝนตกลงมา เป็นเวลาที่เจ้าคางคกประหลาดนั้น
ชอบออกล่าเหยื่อ เมื่อจัดการเป็นที่พอใจเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มก็ขอ
ลาไปพักผ่อน ดังนั้นทั้งหมดจึงไม่ได้กล่าวล้อเล่นอะไรเพราะเห็น
ชายหนุ่มหน้าเคร่งขรึมอย่างเอาจริงเอาจังในงานนี้
ครั้นเวลาบ่ายแก่ๆฝนก็ตกลงมาอย่างหนักพร้อมด้วยเสียงคำราม
ของสายฟ้าอย่างน่ากลัว ชายหนุ่มและคนทั้งหมดต่างเตรียมตัวใน
การเดินทาง ชายหนุ่มสั่งสินธุงานด้านรักษาความปลอดภัยนี้มอบ
ให้ท่านผู้เฒ่าทั้งสองคอยป้องกันโดยใช้เพลิงเป็นหลักตามวิธีที่ใช้
มาก่อน จนกว่าพวกเขาจะกลับมา กลัวจะถูกย้อนรอยเหมือนคราว
ที่แล้ว ครั้นได้เวลาทั้งหมดก็ออกเดินทางเป็นขบวนยาว ลัดเลาะไป
ตามแมกไม้ที่ปกคลุมหนทางทำให้อากาศมึดคลื้ม ดังนั้นไต้ชุดไฟ
จึงถูกจุดขึ้นส่องนำทาง ขึ้นเนินเขาลูกแล้วลูกเล่าอ้อมไปตามไหล่
เขาจนกระทั่งมาถึงบึงสระใหญ่ ชายหนุ่มจึงสั่งให้ทั้งหมดหยุดและ
คอยอยู่ ส่วนเขาก็เดินทางออกไปคนเดียวลอยเลี่ยๆไปตามทางค้นหา
ภูมิประเทศในการทำการครั้งนี้ จนเขาล่องลอยไปใกล้ๆโพรงหินที่
เป็นถ้ำที่เสียงร้องของเจ้าสัตว์ประหลาดดังก้องในโพรงหินระงมไป
ทั่ว บางตัวและจำนวนไม่ต้องออกจากโพรงถ้ำและมีบ้างกระโดดลง
ไปยังบึงสระใหญ่มุดดำว่าย บางกลุ่มชะงักมองไปทางกลุ่มของเขา
แต่เนื่องจากชายหนุ่มได้วางกลุ่มอยู่ใต้ลม กลิ่นจึงไม่สร้างความสนใจ
แก่พวกมันมากนัก เว้นแต่กระแสลมจะพัดย้อนไปๆมาๆ จึงทำให้มัน
เกิดความสงสัย ต่างชะงักและหันมาทางเขาและทางกลุ่มของเขาทันที
ชายหนุ่มรีบออกหันหลังกลับมายังกลุ่มเขา เมื่อเห็นเสียงร้องของ
พวกมันเงียบ และก็ดังเซ็งแซ่ร่างพวกมันทั้งหมดต่างกระโดดทะยาน
มาทางใต้ลมไปยังกลุ่มพวกเขาทันที เมื่อชายหนุ่มกลับมายังกลุ่ม
แล้วก็สั่งให้กระจายกำลังออกในรูปลักษณะดวงดาวทันที บอกทุกๆ
คนให้เตรียมตัวไว้พวกมันรู้แล้วว่าพวกเราอยู่ทิศทางใด ทันใดนั้นใน
สภาพแห่งความมืดนอกจากอาศัยแสงดาวที่ระยิบระยับพอเห็นทาง
อยู่บ้าง แต่บัดนี้รอบๆเรียงรายไปด้วยดวงตากลมโตสีเขียวปัด
พร้อมกับส่งเสียงร้องระงมไปทั่ว ชายหนุ่มกะประมาณไม่ต่ำกว่า
หลายร้อยตัวเป็นแน่ หากอาศัยความมืดเข้าต่อสู้แล้วเห็นทีคนของ
เขาจะต้องถึงกาลอวสานเป็นแน่ จึงบอกให้ทุกๆคนเปลี่ยนวิธีใหม่
ให้ทุกๆคนมารวมตัวอยู่ทางเบื้องหลังของเขา มิรอช้าชายหนุ่มรีบ
ชักดาบแก้วกริชออกมาเพิ่มพลังงานลงไปในตัวแก้วดาบกริชบังเกิด
เป็นสีฟ้าอมส้มพลางกรีดเข้าใส่ยังดวงตาของเข้าสัตว์ร้าย เสียงร้อง
อย่างเจ็บปวดดังขึ้นและแล้วทุกๆดวงตาต่างพุ่งมาทางเขา การต่อสู้
ก็เริ่มต้น เสียงร้องเสียงดาบเสียงหน้าไม้และลูกธนูดังหวิวๆถูกระดม
ออกเข้าไปยังเหล่าสัตว์ร้ายแต่หาได้ทำอะไรมันได้ไม้ เสียงร้องของ
มันกลับได้รับการขานรับจากพวกมันที่อยู่ในโพรงและบึงน้ำต่างออก
มาช่วยพวกมันที่ต่างกระจัดกระจายล้อมรอบเข้ามา
การต่อสู้ผ่านไปแม้จะไม่สามารถทำให้มันตายแล้วแต่บรรดา
อาวุธก็ทำให้มันเจ็บปวดชะงักไปได้ ชายหนุ่มเห็นไม่ได้การหาก
ปล่อยเป็นเช่นนี้เวลาผ่านไป พวกเขาต้องเสียชีวิตหมดสิ้นดังนั้นชาย
หนุ่มนึกถึงแผนการณ์สุดท้าย พลางเก็บดาบกริชไว้แต่ก็ยังผลักพลัง
งานและกระแสไฟฟ้าไปรอบๆป้องกันพวกพ้องของตนไว้ แต่เพียง
แค่หยุดยั้งได้ไม่นาน แม้มันจะเสียชีวิตไปแต่มากเสียจนกลุ่มพลังงาน
ไม่สามารถจะจัดการให้เสร็จเด็ดขาด ดังนั้นชายหนุ่มจึงร้องบอกให้
ทุกๆคนต่างรีบมาอยู่เบื้องหลังเขา พร้อมเอื้อมมือไปด้านหลังที่ไหล่
ซ้ายและขวา นำลูกแก้วที่ส่องแสงกระจายไปทั่วจนสว่างสามารถแล
เห็นบรรดาสัตว์ร้าย ร่างทะมึนเรียงรายล้อมรอบกลิ่นคาวเหม็นฟุ้งไป
ทั่วบริเวณ จนคนของเขาต่างพากันปิดจมูกด้วยทนกลิ่นคาวเหม็นไม่
ไหว ชายหนุ่มรีบสั่งคนทั้งสี่ทันที
“สินธุ กุลาภาคี คียะ ให้คุมพรรคพวกอย่าไปออกไปไกลจาก
บริเวณเบื้องหลังข้านะ ข้าจะเร่งพลังงานไฟฟ้าปราบมันเดี๋ยวนี้”
“แล้วนายเอาอะไรไปปราบมันล่ะ????”
“นี่ยังไง แก้วสุริยันต์จันทรานี้แหละ จึงบอกให้เจ้าพวกอยู่ข้างหลัง
ของข้า อำนาจของแก้วสุริยันต์มีฤทธิ์เดชเปรียบดังดวงอาทิตย์ ส่วน
แก้วจันทรามีความเย็นดุจหิมะน้ำแข็ง ข้าจะให้แก้วจันทราส่ง
ประกายไปป้องกันแสงแห่งความร้อนจากแก้วสุริยันต์ ฉะนั้นอย่าให้
ใครออกไปให้รวมตัวอยู่ภายในความเย็นจะมีหิมะโปรยมาช่วยมิให้
เกิดการเผาไหม้จากดวงแก้วสุริยันต์ อย่าลืมล่ะ”
ดังนั้นคนที่สี่เมื่อได้ยินเช่นนั้นต่างสั่งลูกน้องทั้งหมดให้จับกลุ่ม
รวมตัวหันหน้าออกสู่สัตว์ร้ายเพื่อป้องกันอีกทางหนึ่งด้วย ครั้นเมื่อ
เห็นคนทั้งหมดทำตามที่เขาสั่งแล้ว ชายหนุ่มจึงหยิบดวงแก้วสอง
ดวงชูขึ้นเหนือหัวพลางเร่งพลังความร้อนและเย็นประสานกับดวง
แก้วทั้งสองทันที ทันใดนั้นดวงแก้วสุริยันต์กับดวงแก้วจันทราก็
ส่งประกายเจิดจ้า ชายหนุ่มเร่งเร้าพลังงานแก้วจันทราให้มาปกป้อง
คนด้านหลังเขาและตัวเขาบัดดลอากาศก็เริ่มเปลี่ยนแปลงทันทีพลัง
แห่งไอเย็นจากน้อยก็มาสู่มาก ทำให้พลพรรคพวกถึงกับปากสั่นขา
สั่นด้วยความหนาวเหน็บด้วยมีหิมะโปรยเป็นละอองฝอยโปรยลง
มาจากอากาศทางด้านหลังชายหนุ่ม
ทางด้านชายหนุ่มก็รีบโยนแก้วสุริยันต์ขึ้นไปในอากาศบัดดล
แก้วสุริยันต์ก็เปล่งประกายความร้อนแดงฉานดุจไฟลาวามวลเพลิง
พุ่งเข้าไปยังเหล่าสัตว์ร้ายความร้อนที่พวยพุ่งออกมาดุจแสงอาทิตย์
ที่ขยายตัวใหญ่โตของดวงแก้วแสงต่างพุ่งไปยังบริเวณนั้นจนทั่ว
ทำให้ต้นไม้บางต้นเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นมา บรรดาสัตว์คางคก
ประหลาดที่กำลังกระโดดเข้าใส่ยังตัวเขาและพรรคพวกต่างมอดไหม้
ดำเกรียม แสงแห่งดวงแก้วประดุจพระอาทิตย์ดวงโตได้แผ่แยกตัว
ออกล่องลอยไปเผาไหมบรรดาสัตว์ร้ายต่างกระโดดหนีจ้าละหวัน
บ้างก็พุ่งร่างลงไปยังบึงสระใหญ่ที่ไหลไปยังที่ต่ำ ส่วนดวงไฟอีก
ดวงได้ลอยไปยังโพรงอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ร้ายหายเข้าไปในโพรง
เสียงร้องอย่างโหยหวนของบรรดาสัตว์ที่อาศัยในโพรงต่างพรวด
ออกมาจนหมดสิ้น ที่หนีไฟได้ก็รีบทะยานลงสู่บึงน้ำใหญ่ทันทีหวัง
อาศัยความเย็นของน้ำช่วยบรรเทา จนหมดสิ้นไม่เหลือสักตัวเดียว
บ้างก็เสียชีวิตมอดไหมเกรียมไปมากมาย ที่หนีได้ก็ต่างลงน้ำหมด
สิ้น แม้แต่ที่ออกมาก่อนก็ต่างพาตกตายในไฟแห่งดวงแก้วและหนีพุ่ง
ตัวไปอาศัยความเย็นในน้ำหมดทุกตัว
ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นพลางนึกสั่งดวงแก้วให้เพิ่มพลังงานความร้อน
พุ่งเข้าสู่บึงใหญ่ทันที บัดดลน้ำในบึงก็เกิดควันพวยพุ่งลอยตัวขึ้นมา
แรงน้ำพุ่งเป็นลำสูง แสงแห่งอาทิตย์ของดวงแก้วก็เปล่งประกายเจิด
จ้ายิ่งขึ้น น้ำในสระก็พลันเดือดพล่าน บรรดาสัตว์คางคกก็ต่างพากัน
กระโดดขึ้นจากสระแต่ถูกเพลิงความร้อนมอดไหม้ตกตายลงไปใน
สระอีก เวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่บรรดาสัตว์ร้ายเหมือนกับถูกต้มด้วย
น้ำร้อนเดือดพล่าน ต่างหงายท้องตกตายกันเป็นแถวไม่เหลือแม้แต่
สักตัวเดียว ชายหนุ่มปล่อยให้เวลาผ่านไปจนแน่แก่ใจแล้วจึงเรียก
ดวงแก้วสุริยันต์กลับคืนสู่อุ้งมืออีกครั้ง แล้วชายหนุ่มก็โยนดวงแก้ว
จันทราขึ้นไปในอากาศ แสงสีนวลเย็นก็แผ่กระจายรังสีแห่งแสงก็
ส่งประกายความเยือกเย็นแผ่ไปทั่วบริเวณเกิดหิมะโปรยปรายไปตาม
ต้นไม้ต่างๆที่ถูกไฟเผาไหม้ก็ดับสิ้น แสงแห่งแก้วจันทราก็พุ่งแผ่ไป
ยังสระน้ำเกิดประกายเย็นแผ่ไปยังบริเวณสระเกิดน้ำแข็งจับเป็นฝ้า
แล้วก็พวยพุ่งเป็นลำใหญ่โตกระจายแตกออกเป็นน้ำอันเยือกเย็นเข้า
เติมยังน้ำในสระที่แห้งขอดลงมาก เกิดแรงไหลของน้ำลงยังเบื้องต่ำ
นำเอาซากของสัตว์คางคกประหลาดหล่นไหลไปตามกระแสน้ำลง
ไปยังที่ราบต่ำเบื้องล่าง เพียงไม่นานทุกอย่างก็คืนเข้าสู่ปกติ
ชายหนุ่มจึงนำแก้วสองดวงที่บัดนี้กลับกลายเท่าเดิมนำไปวางยัง
ที่อยู่บนไหล่เบื้องหลังเขาจมหายไปกับเนื้อประสานกันเป็นอย่างเก่า
แล้วหันหลังกลับไปมองยังบุคคลทั้งหลายต่างยังไม่หายหนาวสั่น
ด้วยกระแสลมพัดเอาความเย็นของหิมะที่ละลายจนหายไปแต่ความ
เย็นยังแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ พลางเอ่ยขึ้น
“หากข้าไม่วางแผนไว้ก่อนเห็นทีพวกเราจะต้องตกตายไปหมดสิ้น
แน่เชียว แม้จะฝึกปรือมาอย่างดีก็จะไร้ประโยชน์ ไว้สำหรับป้องกัน
ภัยในคราวต่อไปก็แล้วกัน”
“โอ๊ะๆๆ!!!!....น่ากลัวมากจริงๆนาย หากไม่ได้แก้วไฟและแก้ว
หิมะเห็นทีพวกเราจะต้องตกตายแทบหมดสิ้นแน่นาย”
เสียงกล่าวของกุลาและพวกต่างกล่าวอย่างเซ็งแซ่ไปทั่ว”
“ข้าเองไม่คิดว่านายจะมีอาวุธร้ายกาจเช่นนี้ก่อนข้าก็ไม่เคยเห็น”
สินธุเอ่ยขึ้นบ้าง
“แล้วดวงแก้วสองดวงหายไปไหนหรือ ข้ามัวหนาวไม่ได้มอง???”
เสียภาคี คียะ ถามขึ้นบ้าง พลางหันมองอย่างสงสัยเพราะไม่เห็นชาย
หนุ่มถือดวงแก้วแต่อย่างใด
“นั่นนะซิข้าก็ไม่เห็นมัวตะลึงต่อแสงอาทิตย์และพวกสัตว์ร้ายอยู่”
เสียงสินธุและกุลาเอ่ยเช่นเดียวกัน
“เขาเสร็จหน้าที่ก็กลับไปที่อยู่เขานะซิ”
แล้วชายหนุ่มหัวร่อ พลางตัดบทว่าเมื่อเสร็จสิ้นทางนี้ก็เห็จะกลับกัน
ได้แล้วนะ ที่ข้านำพวกเรามาเพื่อจะฝึกกำลังจิตใจแก่พวกมันนั่นเอง
ให้รับรู้การต่อสู้ที่ร้ายกาจ และต่อไปข้าคิดว่าไม่เพียงเท่านี้คงจะมีอีก
มากมายนักในดินแดนแถบนี้”
“ปกติแล้วดินแดนแถบนี้ ไม่มีอะไรน่าแปลกหรอกนาย ตั้งแต่มี
ภูเขาไฟผุดขึ้นมา ส่วนข้าก็ไปคอยรับนายอยู่จึงไม่รู้ถามผู้เฒ่าที่อยู่
บอกว่าก่อนเกิดภูเขาไฟโผล่ขึ้นมา เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงแทบ
จะเอาชีวิตไม่รอดแล้วอากาศก็เริ่มเปลี่ยนแปลง สัตว์ต่างๆทำไมมัน
เกิดใหญ่โตขึ้นมาได้ก็ไม่รู้นะ”
สินธุรายงานให้ชายหนุ่มทราบ
“นั่นซินะตอนที่สดายุพามานั้นข้าก็แปลกใจเหมือนกัน ที่ไม่ให้เจ้า
สดายุออกมาช่วยเพราะไม่มีประโยชน์พวกมันมากเหลือเกิน สู้ให้
สดายุเก็บรักษาพลังไว้ดีกว่า”
“อะไรหรือเจ้าสดายุ นายสินธุเป็นอะไรหรือ?????...????..”
“อ้อเจ้าสดายุก็คือ??!!!???....”
แต่แล้วมันต้องชะงักเมื่อเห็นชายหนุ่มมองมาเหมือนจะไม่ให้เขาตอบสิ่งที่กุลา คียะและภาคีต้องการรู้..........................
* แก้วประเสริฐ. *
17 ตุลาคม 2555 18:16 น.
แก้วประเสริฐ
แดนพิศวง ๑๙
(เภทภัยคุกคาม)
เสียงหวีดร้องโหยหวนดังก้องแนวป่าข้างหน้า พร้อมกับเสียงคำราม
ของสัตว์ดังกึกก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณนั้นๆ
อากาศเยือกเย็นหมอกปกคลุมไปทั่วตามเนินเขาและป่าไม้ริมทาง ความ
มืดได้แผ่ขยายอย่างรวดเร็ว แสงของตะวันเริ่มหม่นริบหรี่เป็นอากาศ
โพล้เพล้ที่ย่างกรายเข้ามา
ร่างทั้งสองสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงร้องเบื้องหน้า ที่เขาทั้งสองจะไป
กุลาหันหน้ามาทางหนุ่มนิรุทธิ์ทันที
“นายๆได้ยินเสียงร้องนั้นไหมนาย???”
“ได้ยินซิกุลา เป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือ พวกเราหรือเปล่า???”
“นั่นซิข้าว่า มันยังไงๆไม่รู้นะนาย หรือว่า????....”
“ใช่ข้าก็คิดเช่นเดียวกับเจ้านั่นแหละ มันคงย้อนไปเล่นงานพวกเรานะ”
“หากมันไปเล่นงานพวกเรา พวกผู้หญิงเด็กๆคงจะแย่ รีบไปเถอะนาย”
“แต่ตอนนี้มันเงียบเสียงไป ทางโน้นคงจะจัดการได้กระมัง???”
“นายข้ายังได้ยินเสียงร้องและเสียงคำรามของเจ้าสัตว์ร้ายอยู่นะ”
“ไปเถอะกุลา เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์”
ทั้งสองรีบเร่งฝีเท้าเดินลัดเลาะไปทางเบื้องหน้า ไม่นานนักเนิน
เขาก็โผล่แต่ไกลๆ สูงขึ้นไปเป็นอีกยังเนินเขาอีกลูกก่อนที่จะไปยังถ่ำที่
เหล่าชาวบ้านใช้พำนักอยู่ เป็นแสงว๊อบๆแวมๆ
ทั้งสองมองไปเบื้องหน้า ก็เห็นกองไฟและคบไฟกระจายเรียงรายไป
ทั่วๆบริเวณ เสียงหวีดหวิวของเหล่าธนูที่ปลายเป็นคบไฟพุ่งเข้าไปยัง
เงาตะคุ่มๆ เสียงร้องคำรามลั่นร่างของสัตว์ร้ายก็กระโดดเข้าใส่ผู้ที่ยิง
มันทันที กรี๊ดๆๆโหยหวนดังขึ้น เมื่อเขาแลเห็นร่างเจ้าสัตว์ร้ายกำลัง
คาบร่างของชาวบ้านไว้ในปาก มันสะบัดร่างไปๆมาๆ ก่อนจะกลืนลงไป
เขาเห็นร่างของสินธุ คียะและภาคีตลอดจนชาวบ้านที่เป็นชายต่าง
ทะยานเข้าใส่ฝูงสัตว์ร้ายอย่างไม่เกรงกลัว ธนูได้ถูกยิงออกไปเห็นได้
จากดวงไฟที่วิ่งเป็นสาย
เข้าสู่ฝูงสัตว์ร้าย และเสียงดาบดังเฟี้ยวๆๆยามแกว่งไกว
ไปๆมาๆใส่ร่างของเหล่าสัตว์ทั้งปวง แต่กระนั้นมองเห็นได้ชัดว่าร่าของ
ฝ่ายมนุษย์จะสู้ทางเจ้าสัตว์ร้ายไม่ได้ เพราะมันเริ่มชินกับดวงไฟเล็กๆไม่
ทำอันตรายแก่มันมากนัก เสียงร้องคร่ำครวญ หวนโหยแผ่กระจายไปทั่ว
บริเวณหน้าถ้ำ เสียงสั่งการให้เหล่านักสู้ชาวบ้านรีบถอยเข้าถ้ำทันทีแว่ว
มาเป็นระยะๆตามสายลมที่พัดมาทางคนทั้งสอง
“เร็วๆพวกเราสู้ไปหนีไปรีบเข้าไปยังถ้ำก่อกองฟ้าให้ใหญ่ๆปิดบริเวณ
ปากถ้ำ”
เสียงร้องของคียะ สาวผู้มีเรือนร่างงดงามบึกบืนได้สัดส่วนตะโกนร้อง
สั่งประสานเสียงกับภาคีและสินธุ ต่างเร่งเร้าชาวบ้านนักสู้เหล่านี้ให้รีบ
หนีเข้าถ้ำโดยเร็ว
“คียะๆๆระวังมันพ่นควันใส่เจ้าแล้ว ข้างหลังซ้ายมือโน่น”
เสียงร้องของภาคี ตะโกนบอกแก่คียะเมื่อแลเห็นเจ้าสัตว์คางคกกระโดด
ใส่คียะพร้อมพ่นควันสีขาวๆเข้าใส่ร่างเจ้าหล่อน พร้อมร่างของภาคีได้
ทะยานควงดาบเป็นจักรผันเข้าป้องกันช่วยเหลือคียะทันที ส่วนทางสินธุ
ก็เกณฑ์ชาวบ้านที่ออกสู้รบ ให้รีบๆถอยเข้าถ้ำอย่างเร่งด่วน พร้อมยิงธนู
เพลิงเข้าใส่ร่างเจ้าสัตว์ร้ายไม่ขาดสาย เหล่าอาวุธหาได้ทำลายมันได้ใน
ทันทีทันใด นอกจากโดนที่สำคัญและจำนวนมากจึงจะหยุดมันได้ชั่วคราวเท่านั้น แต่มันก็กระจายดาหน้าเข้าหาชาวบ้าน
ชายหนุ่มเห็นว่าหากเดินด้วยเท้าคงจะไปช่วยเหลือชาวบ้านไม่ทันการณ์
ดังนั้นเขาจึงเอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อของเจ้ากุลา พร้อมร่างทั้งสองก็ลอย
ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ร่างทั้งสองก็พุ่งจากเนินเขาที่ห่างไกลชั่วพริบตา
ร่างทั้งสองก็มาถึงที่เกิดเหตุ ชายหนุ่มวางร่างเจ้ากุลาพร้อมกลับชักมีดกริช
ที่สร้างจากผลึกของแก้วคริสตัลที่หล่อหล่อมพลังงานธรรมชาติออกมา
กวัดแกว่งมีดกริชลอยตัวเข้าหาสัตว์ร้ายทันที ถึงตัวใดก็ฟาดฟันดาบใส่
ร่างทำให้มันแยกกระจายเลือดไหลหลั่งออกมา บางตัวสิ้นใจตายไป
ร่างพวกสัตว์ร้ายที่มีประมาณ สิบยี่สิบตัวเห็นจะได้แต่ละตัวใหญ่โตดัง
กระด้งลูกย่อมๆกระจัดกระจายออกตะปปร่างชาวบ้านฉีกกิน เลือดไหล
นองไปทั่วบริเวณ กลิ่นคาวเลือดกระจายฟุ้งชายหนุ่มไม่รีรออะไรอีกแล้ว
หากเขาช้าไปสักนิดเดียว เหล่าชาวบ้านเห็นทีจะต้องตกตายไปตามๆกัน
มือหนึ่งควงดาบที่ส่งประกายสีเจ็ดสีพุ่งเข้าใส่ร่างของเหล่าคางคกตัว
ประหลาด ตัวใดที่โดนต่างไหม้เกรียมแม้ไม่ทำให้มันตกตายไปได้ทันที
ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้น อีกมือหนึ่งก็รีบรวบรวมพลังงานตระหวัดมือเป็น
วงกลม ผลักไปสู่เจ้าสัตว์ร้ายทันที
เสียงดังกึกก้องระเบิดติดต่อกันพร้อมเสียงดัง ฉี่ๆๆของการไหม้จากสัตว์
ตัวใดที่โดนพลังงานประหนึ่งดั่งสายวิชชุผ่าลงมายังร่างเหล่าสัตว์ เสียง
มันร้องโหยหวน ส่วนเจ้ากุลาก็ทะยานร่างหลังจากร่างถูกวางแล้วโผนเข้า
ไปทาง สินธุ คียะและภาคีช่วยกันต่อต้านสัตว์ที่พุ่งร่างเข้าหาคนเหล่านี้
และพวกชาวบ้าน
หน้าไม้ที่นายมันกำกับลูกให้ด้วยพลังงานประจุไฟฟ้าจำนวนมากก็
ปรากฏแสงสีฟ้านวลจ้าที่ปลายหน้าไม้ทันที รีบปลดออกจากกระบอก
ที่มันใช้แขวนเบื้องหลัง การบรรจุพลังงานชายหนุ่มทำให้ระหว่างทาง
หลังจากหนีจากเหล่าสัตว์จากบึงใหญ่ ลูกดอกที่ประกอบด้วยพลังงาน
ไฟฟ้าได้พุ่งเข้าเสียบยังร่างเจ้าคางคกยักษ์ที่กำลังพ่นควันออกมา
ลูกดอกได้พุ่งเข้าไปใส่ปาก เสียงระเบิดดังกึกก้องร่างของเจ้าสัตว์นั้นก็
แตกกระจายเป็นชิ้นต่างๆกัน
“เฮ้ๆๆๆกุลา ทำไมอาวุธเอ็งมีแสงด้วย เอ๊ะร้ายกาจจริงๆ????”
เสียงคียะร้องตะโกนพร้อมกับควงดาบฟาดฟันไปยังร่างเจ้าคากคกยักษ์
เหมือนกับเอาเศษไม้ไปแหย่ร่างมัน
“ถอยๆๆพวกเราถอย อาวุธธรรมดาไม่อาจทำร้ายพวกมันได้ เร็วๆๆ”
เร็วหน่อยมันหันหน้ามาทางนี้แล้ว”
เสียงภาคีตะโกนเร่งพรรคพวกทันที แล้วหล่อนก็ต้องตะลึงเมื่อแลเห็น
เหล่าเจ้าสัตว์ร้ายต่างหันหลังกลับไป เพื่อช่วยเหลือพวกมัน ก็แลเห็น
ร่างๆหนึ่งซึ่งกำลังฟาดฟันดาบแก้วเข้าใส่ร่างของพวกมันเลือดสาด
กระจาย ซึ่งเลือดเป็นสีขาวข้นผสมแดงจึงออกเป็นชมพูไป ทุกตัวต่างหัน
หลังเข้าไปรุมร่างที่เห็นเลือนลางนั้นทันที
ควันสีขาวกระจายฟุ้งไปทั่วบริเวณปิดกั้นบริเวณแถบนั้น ล้วนบังกั้น
สายตาเหล่าชาวบ้าน แต่ก็ทำให้โอกาสหนีของชาวบ้านเป็นไปได้อย่าง
สะดวก ต่างทะยอยกันหนีเข้าถ้ำในโอกาสนี้และช่วยกันสุมไฟกองใหญ่
สะกัดกั้นพร้อมยกหินทะยอยกันปิดปากถ้ำ ให้เหลือเนื้อที่พอสำหรับ
สุมไฟให้ลุกตลอดเวลา
ชายหนุ่มเมื่อแลเห็นเหล่าชาวบ้านต่างหนีกันเข้าไปยังถ้ำหมดแล้ว ก็รีบ
ลอยตัวเข้าฟาดฟันและใช้พลังงานเข้าทำลายสัตว์ร้ายเหล่านี้ เพียงไม่นาน
ร่างของพวกสัตว์ก็ต่างตกตายไหม้เกรียมไป เหลือไม่กี่ตัวต่างพากันหลบ
หนีหายไปตามแนวป่า พวกมันกระโดดได้สูงและไกลทำให้การหนีของ
มันเป็นไปด้วยความรวดเร็ว
เพียงชั่วไม่นานบริเวณลานหน้าถ้ำก็เงียบสงบเหลือแต่เศษอวัยวะชิ้น
เล็กๆน้อยๆของชาวบ้านที่ตกตายเป็นเครื่องสังเวยในการต่อสู้ครั้งนี้
หลังจากสัตว์ร้ายหนีไปแล้ว ร่างชายหนุ่มก็ค่อยๆเดินฝ่ากองเลือดที่
ส่งกลิ่นคาวฟุ้งไปทั่ว ครั้นเมื่อใกล้ปากถ้ำก็แลเห็น สินธุ คียะ ภาคี
และกุลาเดินออกมาต้อนรับพร้อมด้วยเหล่าชายฉกรรจ์ชาวบ้าน
เข้ามาต้อนรับเขา พร้อมส่งเสียงร้องไชโยด้วยความดีใจที่พวก
สัตว์ร้ายตกตายและได้หนีไปจนหมดสิ้น
เสียงเจ้าสินธุต่างบัญชาการให้ลูกบ้านไปทำความสะอาดบริเวณ
หน้าถ้ำให้เรียบร้อย ด้วยกันช่วยกันชำระล้างบริเวณให้สะอาดพร้อม
จุดคบเพลิงปักไว้เป็นรายทางสว่างไสวไปทั่ว ขณะที่ชาวบ้านกำลัง
ทำความสะอาดนั้น ชายหนุ่มก็เดินไปทักทายบรรดาหัวหน้าชาวบ้าน
และกล่าวให้กำลังใจชมเชยความกล้าหาญของนักสู้เหล่านี้
“ข้าเสียใจด้วยที่มาช้าไป” ชายหนุ่มกล่าว
“หามิได้นาย พวกเราเองก็พึ่งจะรู้เมื่อไม่นานมานี้แหละ ปกติแล้ว
พวกนี้มันจะไม่มาถึงที่นี่หรอก แต่แปลกจริงๆทำไมมันถึงมารุกราน
ทางนี้ได้????”
เสียงสินธุรายงานและอุทานออกมา
“สงสัยมันจะมาจัดการด้วยความอาฆาตที่นายและเจ้ากุลาไปทำร้าย
มันก่อนกระมัง???”
“คงจะจริง สินธุเพราะในขณะที่เราและกุลาต่อสู้นั้นมันคงแยกกัน
ออกมาทางนี้ แสดงว่าพวกมันรู้จักคิดว่าควรจะทำอย่างไร ก็แปลกนะ
ปกติดสัตว์ทั้งหลายจะไม่มีความคิดแบบนี้”
“นั่นซินาย แล้วทางโน้นละเป็นอย่างไร ถามเจ้ากุลามันให้การวกวน
เวียนไปๆมาๆไม่ค่อยได้ใจความนัก”
เสียงคียะและภาคีถามขึ้นทันที พร้อมส่งประกายยิ้มหวานมาทางเขา
ชายหนุ่มหันไปมองดูแล้วอมยิ้ม อันที่จริงสาวสองนางนี้หาใช่ขี้เหร่แต่
อย่างไรร่างกายอวบอัดเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อได้สัดส่วนเปล่งความงาม
ของวัยสาวออกมาได้อย่างน่ามหัศจรรย์ หล่อนทั้งสองนับเป็นผู้ที่งดงาม
ได้ทีเดียวชายหนุ่มคิด แล้วเอ่ยขึ้น
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันจะแบ่งพวกมาทางนี้ เพราะกำลังรบติดพันกับพวก
มันอยู่ เมื่อเห็นว่าพวกมันมากมายนัก อีกทั้งยังห่วงทางนี้ตลอดจนอากาศ
ก็จวนจะมืดค่ำแล้ว จึงรีบหนีพวกมันมาไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ทางนี้”
“อันที่จริงพวกข้าก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ เพราะไม่ใช่วิสัยของพวก
สัตว์ที่จะรู้จักการแบ่งพวกพ้อง” เสียงภาคีเงยหน้าตอบ
“นั่นซิมันร้ายกาจมากๆอาวุธเราไม่สามารถทำอันตรายมันได้เลย หาก
นายและกุลามาไม่ทันสงสัยคงจะแย่กว่านี้” สินธุกล่าวให้ชายหนุ่มฟัง
“แต่แปลกนะนาย ทำไมหน้าไม้ของเจ้ากุลามันถึงมีแสงประกายส่ง
ออกมาได้ก็ไม่รู้ ซ้ำยังร้ายแรงทำให้สัตว์ร้ายนี้ตกตายได้” ภาคีรำพึงเบาๆ
“ก็ข้าบอกแล้วพวกเจ้าไม่เชื่อข้านี้ ว่านายได้ส่งกระแสอะไรก็ไม่รู้มา
ยังลูกดอกและดาบของข้า มันถีงได้มีประกายนี้แหละ”
เจ้ากุลากล่าวด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะพอใจนัก ด้วยคนทั้งหลายไม่เชื่อมัน
“หากเป็นดังที่เจ้ากุลาว่า ข้าคิดว่านายช่วยพวกข้าให้อาวุธข้าและพวก
เป็นดังอาวุธเจ้ากุลาด้วยก็จะดี เวลาต่อสู้กับพวกมันจะได้มีกำลังใจมาก
ยิ่งขึ้น ที่อาวุธสามารถทำร้ายพวกสัตว์เหล่านี้ได้นาย”
สินธุกล่าวแกมขอร้องชายหนุ่ม ทันใดคียะก็กล่าวตัดบทว่า
“เรื่องนี้แล้วแต่นายตัดสินใจเถอะ ควรให้นายไปพักผ่อนได้นี่กลับมา
ก็ต้องต่อสู้ช่วยเหลือพวกเรา คงจะเหนื่อยแย่ ดูซิตัวนายเปอะเปื้อนเมือก
ของสัตว์ร้ายผสมเลือดมันเต็มใบหน้าและเสื้อผ้าหมดแล้ว”
“ข้าเองเอ็งไม่เห็นเป็นห่วงเลยนะ คียะ???”
“เอ็งมันรูปร่างใหญ่โตปานยักษ์ปักหลั่น คงจะไม่เหนื่อยอะไรหรอกแค่
นี้เองเห็นเอ็งคุยว่าเคยผจญการต่อสุ้มาห้าหกสิบคนไม่เคยกลัวและต้านเอ็ง
ไม่อยู่ แค่นี้ยังบ่นอะไรอยู่อีกหรือ?????...”
“เฮ้ยคียะๆมันไม่เหมือนกันโว้ยนั่นมันคนและสัตว์ไม่มีพิษเช่นพวกนี้
นี่หว่า หรือเอ็งกลัวว่านายเอ็งจะระบมเพราะต่อสู้ไปหรือว๊ะ ฮ่าๆๆๆ”
“พูดจาดีๆๅนะโว้ยกุลา ข้าก็เป็นห่วงทุกๆคนแหละ ยังห่วงเอ็งว่าทำไม
ไม่ตายไปในที่บึงนั้นแหละแผ่นดินจะสูงขึ้นกว่านี้”
“อ้าวๆๆไหงเป็นเช่นนี้ไปเล่าคียะ หรือว่าก็ข้าไม่หล่อเหลาเหมือนนายนี่
หว่า จริงไหมภาคี ฮ่าๆๆๆถึงไม่มีคนคอยเป็นห่วงมากนัก ทีนายละก็
ฮ่าๆๆตาเล็กตาน้อยหวานเสียนี่กระไร”
“จริงไหมาว๊ะภาคี” แล้วร่างมันก็รีบกระโดดหนีไปไกลๆทันที
“ไม่รู้ว๊ะกุลา ไหงมึงเอากูเข้าร่วมด้วยว๊ะ จริงไหมจ๊ะนาย”
“พอๆๆๆเลิกกันได้แล้วรีบพานายไปอาบน้ำอาบท่าหาอาหารมาให้
นายกินเถอะ นี่ก็ค่ำแล้ว เออๆๆอย่าลืมสุมไฟทั้งคืนหน้าถ้ำด้วยนะโว้ย”
สินธุกล่าวทางนี้หันไปสั่งทางลูกบ้านทางโน้นทันที
ชายหนุ่มได้ยินการล้อหยอกเย้าของหนุ่มสาว ก็ทำให้เขินบ้างแต่เขาทำ
เป็นไม่รู้ไม่ชี้พลางรีบเดินผละไปเข้าถ้ำทันที นั่นแหละการหยอกเย้าจึงได้
ยุติลงเมื่อแลเห็นร่างชายหนุ่มกำลังเดินจะเข้าถ้ำไปนั่นแหละทั้งหมดรีกุลีกุจอตามไปไม่ห่างจากชายหนุ่มทันที สองสาวก็นำชายหนุ่มไปอาบน้ำ
ยังหลีบถ้ำ ซึ่งด้านหลังในถ้ำนั้นปลายถ้ำสุด ได้ยินเสียงน้ำไหลตกแว่วมา
มีธารน้ำตกไหลเตี้ยๆแผ่กระจายไปเป็นธารเล็กไหลหายไปตามหลีบ
ถ้ำ แสงสว่างก็ลอดมาจากปล่องยอดเขาที่มองสูงขึ้นไปปกคลุมไปด้วยไม้
หลากพันธุ์ แถวธารน้ำตกมีต้นเฟรินล์เกาะเต็มก้อนหินน้อยใหญ่
ซ้ำยังมีต้นไม้เตี้ยๆออกดอกหลากสี กลิ่นหอมเย็นยิ่งนักทำให้ชายหนุ่ม
ที่ลงเล่นน้ำในธารไม่เล็กไม่ใหญ่นัก น้ำใสสะอาดมองเห็นก้นลำธารได้
อย่างชัดเจน ด้วยแสงแค่เล็กน้อยกระทบกับเกล็ดหินย้อยภายในถ้ำทำให้
สว่างกว่าภายนอก ชายหนุ่มนุ่งผ้าอาบน้ำไม่กล้าแก้เพราะที่ริมก้อนหิน
ใหญ่มีร่างของสองสาวที่นั่งมองดูเขาเล่นน้ำอยู่ เวลาผ่านไปไม่นานนักชาย
หนุ่มก็เสร็จจากการอาบน้ำ
หญิงสาวทั้งสองรีบเข้าไปช่วยเช็ดเนื้อตามตัวอย่างทะมัดทะแมง
อีกคนหนึ่งคอยหวีผมให้ด้วยแปรงที่ทำด้วยหินหลากสีสวย
สดงดงามยิ่ง เมื่อเสร็จหมดแล้วเขาก็กล่าวขึ้น
“ขอบใจแม่นางทั้งสองมากนะ ที่ช่วยเป็นธุระให้แก่เรา”
“หามิได้นาย มันเป็นหน้าที่ของพวกเราที่นายสินธุมอบหมายมา”
“อันที่จริงไม่ต้องถึงขนาดนี้ก็ได้นะ ภาคีคียะเรามาอาศัยพวกเจ้าอยู่”
“ในหมู่บ้านนี้นายสินธุรับตกทอดมาจากบรรพชนเป็นผู้ควบคุมดูแล
ฉะนั้นเมื่อนายสินธุเป็นบ่าวนาย พวกข้าทุกๆคนก็ต้องเป็นบ่าวไปด้วย”
“อืมๆๆๆ!!!....แต่ข้าเห็นความรักสามัคคีเช่นนี้ไม่เหมือนชาวหมู่บ้าน
ที่ไหนจะมี คิดว่าการปกครองคงมีกฏเกณฑ์ให้ชาวบ้านปฏิบัติกันนะ”
“ถูกต้องแล้วนาย ทุกๆคนจะขัดขืนไม่ได้ต้องทำตามกฏที่ผู้เฒ่าวางไว้
หากผู้ใดขัดขืนจะต้องถูกเนรเทศออกไปทันที และเราปกครองกันแบบ
พี่ๆน้องๆตลอดมา”
“นั่นซินะ เราก็เห็นเช่นนั้นทุกๆคนต่างอาวรณ์ต่อกันและกันยิ่งนักจะว่า
ไม่ใช่การปกครองแบบพี่ๆน้องๆก็ไม่ถูกต้องนัก”
“ไปเถอะไปโต๊ะอาหารแล้วข้าจะบอกวิธีการต่อสู้กับสัตว์ร้ายนี้
วางแผนว่าจะทำอย่างไรดี”
“นายมีแผนการณ์แล้วหรือ” ภาคีถามด้วยความสงสัย
“อันที่จริงจะเป็นแผนก็ไม่ถูกต้องนัก แต่ข้าคิดว่าเมื่อกำลังของพวกเรา
มีเพียงเท่านี้จะไปสู้รบกับพวกสัตว์ร้ายเห็นทีจะชนะยาก เพราะอาวุธเรา
หรือก็ไม่สามาถจะทำอันตรายมัน นอกเสียจาก????”
“อะไรหรือนาย???...”
“เห็นว่าข้าจะใช้พลังงานที่ข้ามีอยู่เสริมสร้างพลังงานไว้ในอาวุธแก่
พวกเรา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอาวุธแต่คนเราน้อยเกินไปพวกมันมีที่
ข้าคำนวณราวประมาณพันหรือสองพันตัวเห็นจะได้ นี่เราก็เสียคนไป
มากเหมือนกัน ข้าสังเกตุดูจากอวัยวะที่เรี่ยราดต่างเป็นของพวกเราหา
ใช่สัตว์ร้ายนั้นเลย”
“ถูกต้องแล้วนาย พวกเราเสียคนไปประมาณ สิบกว่าคนล้วนเป็นหญิง
และชายฉกรรจ์ที่มีฝีมือไป คนของเรามียังไม่ถึงร้อยคนเลยตอนนี้นะรวม
ทั้งหญิงและเด็กด้วย ที่จะออกต่อสู้ต่อไปก็ตกราวๆห้าสิบคนเห็นจะได้”
“นั่นซิคียะ ดังนั้นเรากำลังคิดวางแผนล่อลวงมันให้ไปรวมกันที่
สระบึงใหญ่นั่น อีกอย่างมันก็ใกล้ๆกับรังที่มันอาศัยอยู่ด้วย เราคิดว่า
จะทำลายมันให้สิ้นซากทีเดียวทั้งหมดเลย”
“แล้วนายจะให้พวกเราไปฆ่าพวกมันจะหมดหรือนาย”
“ไม่หรอกภาคี คียะ ลำพังพวกเรายังไม่อาจจะต่อสู้และฆ่ามันได้หมด
ข้าคิดว่าเราจะไปเพียงไม่กี่คนเท่านั้น”
คราวนี้เล่นเอาหญิงสาวทั้งสองถึงกับอ้าปากค้าง งวยงง ไปทันที ต่าง
หันมามองหน้ากันและกัน หล่อนนึกขนาดเราไปกันมากมายก็ยังฆ่ามัน
ไม่ได้หมด แล้วนี่เราไปแค่เพียงนิดเดียวไหนเลยจะไปชนะมันได้ ยิ่งคิด
ก็ยิ่งไม่เข้าใจกันใหญ่
ชายหนุ่มหัวร่อที่เห็นใบหน้าหญิงสาวทั้งสองที่แสดงอาการแปลกใจนัก
แม้แต่เขาเองที่คิดไว้ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะทำการคราวนี้ได้สำเร็จตามความ
คิดหวังเท่าใดนัก ดังนั้นชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้น
“ไปเถอะนะคียะภาคี เดี๋ยวคนจะรอพวกเราอยู่ แต่เอ๊ะทั้งสองท่านยัง
มิได้อาบน้ำชำระกายเลย เอาล่ะไปอาบน้ำที่ลำธารก็แล้วกันเราจะคอย
เฝ้าทางนี้ให้”
“อ้าๆๆๆนายท่านจะดีหรือ” ทั้งสองต่างอุทานพร้อมๆกัน
“ไม่เป็นไรน่า แต่เรารับรองว่าไม่แอบดูเจ้าอาบน้ำหรอก ฮ่าๆๆ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนาย เพียงว่าจะเหมาะควรหรือไม่เท่านั้นเอง หากนาย
คอยช่วยดูต้นทางให้ก็ทำให้เราทั้งสองอบอุ่นใจได้เป็นอย่างดี”
“หรือว่าเจ้าจะให้เรากลับก่อนแล้วพวกเจ้าจะได้อาบน้ำ เพราะอายเขิน
เรากระมัง???...”
“หามิได้หรอกนายท่าน เดี๋ยวข้าไปเตรียมเสื้อผ้ามาผลัดเปลี่ยนก่อนนะ”
“ตามใจท่านจะให้เราคอยดูต้นทางให้หรือไม่ล่ะ??”
“ตามใจนายท่านเถอะจ้า แต่พวกข้าว่าก็ดีเหมือนกัน อิอิ มีผู้พิทักษ์”
“ถ้าอย่างนั้นนายรอเดี๋ยวนะ พวกข้าจะรีบไปเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยน”
ว่าแล้วนางทั้งสองก็เดินหายไปในหลีบถ้ำสักพักเดียว นางก็ออกมา
พร้อมเสื้อผ้าที่ใช้เปลี่ยนแล้วก็เดินนำหน้าชายหนุ่มย้อนกลับไปยังลำธาร
ที่พึ่งกลับมา แล้วทั้งสองก็รีบจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าชายหนุ่มพร้อม
ทั้งทำตาชะมดชะม้อยชะม้ายตามายังชายหนุ่ม ทำให้ชายหนุ่มมีอาการ
หน้าแดงด้วยความเขิน จะออกไปก็ใช่ที่เพราะรับปากพวกหล่อนไว้แล้ว
ดังนั้นจึงแสร้งกล่าวว่า
“แม่นางทั้งสองรีบอาบเถอะ เพราะเราต้องเข้าร่วมวางแผนกันอีกนะ”
“จ๊ะนาย หรือว่านายจะไปก่อนก็ได้นะเดี๋ยวนายสินธุจะเป็นห่วงออก
ติดตามาจ๊ะ”
“อืมม!!!???...ดีเหมือนกันนะ งั้นขอโทษที่รับปากแต่แรกแล้วไม่ได้
ทำตามคำพูด”
“ไม่เป็นไรหรอกนาย ประเดี๋ยวเดียวข้าและภาคีจะตามไปจ๊ะ”
แล้วทั้งสองก็แยกทางกันหนึ่งไปอาบน้ำอีกหนึ่งเดินเข้าไปยังลานใน
ถ้ำเพื่อรอรับทานอาหารและระหว่างนั้นจะได้ปรึกษาหารือในการรับมือ
กับสัตว์ร้าย ระหว่างที่มาพร้อมเสร็จสรรพแล้วทุกๆคนนั่งฟังว่าชายหนุ่ม
จะมีแผนการอย่างไรดี สินธุก็เอ่ยขึ้น
“ที่นายคิดจะวางแผนคิดทำลายมันทั้งหมดก็ดี ข้าสังเกตุว่ามันเป็น
สัตว์ที่มีความอาฆาตมาก แต่เราจะเอากำลังคนที่ไหนไปจัดการมันเล่า
อีกอาวุธหรือที่ใช้ก็ยากที่จะกระทบผิวหนังมันได้”
“ก็อย่างนั้นซิสินธุ หากเราไม่กำจัดมันให้หมดสิ้นไปในครั้งนี้อีกหน่อย
มันก็จะมารุกรานเราไม่มีวันสิ้นสุด”
“แล้วนายมีแผนการณ์ทำอย่างไร นายบอกมาได้เลย”
“ข้าคิดว่าก่อนอื่นให้เจ้ารวมรวมอาวุธของพวกเราทั้งหมดมาไว้ที่ลานนี้
เพื่อข้าเองจะได้บรรจุพลังกระแสไฟฟ้าลงไปในอาวุธ แม้ว่าจะไม่ทำให้
มันตายในครั้งเดียวได้ แต่ก็สามารถทำอันตรายมันได้หากโดนที่เดิมซ้ำๅๆ
ไปก็ทำร้ายมันได้ หากเราสามารถพุ่งใส่ดวงตามันหรือให้เข้าไปในปาก
มันก็ยิ่งดี เพราะกระแสไฟฟ้าที่มากด้วยพลังจะเกิดการระเบิดทำให้มันตก
ตายไปได้ อย่างเช่นหน้าไม้ของเจ้ากุลาเป็นต้น”
“แต่พวกเรามีน้อยจะไปฆ่ามันได้หมดหรือนาย????...”
“ลำพังอาวุธที่เราจะบรรจุพลังงานนั้นไม่เพียงพอหรอก แต่ก็สร้างไว้
ใช้ป้องกันตนเองได้อยู่ แต่เราคิดวิธีการหนึ่งได้แล้วแต่ยังไม่แน่ใจว่าสิ่ง
นี้จะได้ผลมากน้อยเพียงใด”
“อาวุธอะไรหรือ???นาย??????”
คนทั้งหมดอุทานขึ้นด้วยสีหน้าดีใจที่ยังมีความหวังในการสู้รบครั้งนี้
“ดวงแก้วสุริยันต์และจันทรา”
“ดวงแก้วสุริยันต์และจันทรา?????....”
ทั้งหมดอุทานขึ้นพร้อมๆกัน............................
* แก้วประเสริฐ. *
30 กันยายน 2555 21:15 น.
แก้วประเสริฐ
แดนพิศวง ๑๘
(แผนสู้ศึกสัตว์ประหลาด)
เวลาสายของวันรุ่งขึ้น หลังจากที่นิรุทธ์ชายหนุ่มได้รับฟังเรื่อง
สัตว์ประหลาดที่ มีรูปร่างเหมือนคางคกจากเหล่าชาวบ้านที่เจอะ
เจอและหนีรอดออกมาได้ เขาได้ซักถามรายละเอียดบางอย่างจน
แน่แก่ใจว่าสัตว์เหล่านี้ มักจะออกมาตอนพลบค่ำอาศัยอยู่ภูเขาที่
ถัดออกไป ซึ่งมีแหล่งน้ำเป็นสระกว้างอยู่ท่ามกลางเขาล้อมรอบ
ออกมาหากินแถวๆริมสร้างเป็นส่วนมาก นอกจากฝนที่ตกปรอยๆ
จึงจะออกมาเกินกว่าบริเวณนั้น
เพื่อความไม่ประมาทดังนั้นชายหนุ่มคิด ตั้งใจจะไปดูทำเลชัยภูมิ
ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นจะได้หาทางตั้งรับ หลังจากที่ประชุมแล้ว
จึงเอ่ยขึ้นว่า
“สินธุ ข้าได้รับฟังแล้วเห็นว่า ข้ากับเจ้ากุลาจะออกไปดูลาดเลา
เสียก่อน เพราะวันนี้รู้สึกอากาศช่างร้อนอบอ้าวมาก ท่าทีว่าจะมีฝน
อีกประการหนึ่ง สัตว์พวกนี้เมื่อได้กลิ่นมนุษย์และลิ้มรสแล้วย่อมจะ
ติดใจและจะคงออกหาพวกเรา เห็นทีว่าจะไปหาทำเลเสียก่อนนะ”
“ให้ข้าไปด้วยนะนาย” คียะเอ่ยขึ้น
“ข้าด้วยนาย” ภาคีก็เอ่ยเช่นเดียวกัน
“แต่ข้าคิดว่าจะเอาแค่กุลาไป เพราะเพียงไปดูทำเลเท่านั้นส่วน
ทางนี้จะให้พวกเจ้า สินธุและผู้เฒ่าคอยควบคุมพวกเราซึ่งมีไม่มาก
หากไปจะไม่สะดวกนะ ขอบใจที่อุตส่าห์ไปป้องกันภัยแก่ข้า”
ชายหนุ่มตอบพร้อมหันไปยิ้มแก่คนทั้งสอง ซึ่งมองมาทางเขาด้วย
สายตาละห้อย
“สินธุได้ยินแล้วไม่ใช่หรือ อย่าลืมเกณฑ์คนไปหาครั่งและยาง
หรือไม้ที่ใช้ในการติดไฟยิ่งได้มามากเท่าไหร่ยิ่งดี ส่วนคนที่อยู่ให้
เร่งจัดทำคบเพลิงเพื่อจะนำมาชุบยางและลูกธนูเอาไว้ปลายผูกกับ
สิ่งที่ใช้เป็นเชื้อไฟด้วยนะ”
“ข้าจะเกณฑ์คนไปทำตามที่นายสั่งนะ” สินธุตอบ
“ดีแล้วล่ะ เมื่อไปหากำชับด้วยว่า หากมีฝนมาให้รีบกลับถ่ำ
ทันที และสุมไฟไว้ปิดปากถ่ำด้วยล่ะ อย่าให้ฝนตกก่อนล่ะ หากไม่
มีฝนให้รีบกลับก่อนพลบค่ำอีกด้วย”
“ข้าทราบแล้วนาย พลางหันไปทางเจ้ากุลา เอ็งติดตามนายไป
แล้วคอยป้องกันนายด้วยนะเจ้ากุลา”
“นายสินธุไม่ต้องห่วงหรอกด้วยชีวิตข้านี่แหละ” หนุ่มร่างยักษ์
ตอบ และยกแขนที่เป็นกล้ามมัด พร้อมหันหน้าไปทางชายหนุ่มทันที
“แล้วนายใหญ่จะออกเดินทางเมื่อใดล่ะข้าพร้อมแล้ว”
“เห็นทีว่าเราควรจะออกเดินทางไปได้แล้วล่ะกุลา เพราะนี้ก็สาย
มากแล้วเราต้องเดินทางไปถิ่นที่อยู่ของพวกมันก่อน เจ้ารู้ทางดีใช่ไหม???
“ข้าไปมาหลายครั้งแล้วล่ะนายเรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอก”
“ดีล่ะ???....งั้นเจ้าออกเดินทางได้แล้ว
“สินธุอยู่ทางนี้อย่าลืมล่ะ คียะและภาคีด้วย รีบช่วยๆกันจะได้
มีทางป้องกันมันไว้”
“จ๊ะนายคียะพร้อมแล้วล่ะ”
“ขอให้นายเดินทางระวังตัวด้วยนะทางมันลำบากมาก”
“ขอบใจทั้งสองมากไม่ต้องห่วงหรอก อย่างไรก็จะรีบกลับมา”
ชายหนุ่มพลางลุกขึ้นและตบไหล่เจ้ากุลาหันไปทางทุกๆคน
เห็นทุกๆคนต่างมีท่าทีกระเหี้ยนกระหือมาก เขาคิดว่าศึกครั้งนี้เห็น
ทีจะไม่เป็นไปตามความคิดเสียแล้ว ด้วยแต่ละคนแม้จะมีจิตใจ
กล้าหาญก็จริง แต่สายตาบ่งบอกออกมาชัดว่าเกรงกลัวต่อสิ่งเหล่านี้
มากๆเสียด้วย
ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินนำหน้าไปยังที่ปากถ่ำพร้อมกับกุลาทาง
ด้านหลังมีคนมาคอยส่งจำนวนไม่มากนักที่เป็นชาย นอกนั้นเป็น
หญิงและเด็กผู้เฒ่า เขาคำนวนจำนวนพอๆกันแหละ การวางแผนไว้
ให้เขากลับมาก่อนจะต้องวางกำลังคนใหม่เสียแล้ว
เมื่อเลยปากถ่ำมาเขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า อากาศที่นี้มีหมอก
เมฆปกคลุมทำให้อากาศชุ่มชื้นตลอดเวลา อันเป็นแหล่งที่เจ้าคางคก
ประหลาดชอบมาก เขาคิดในระหว่างเดินทางกับกุลาผู้เฒ่าบอกว่า
เจ้าสัตว์ประหลาดนี้เกรงกลัวความร้อนมาก หากมันมาเป็นพันๆตัว
ทางนี้จะป้องกันอย่างไร ชายหนุ่มรู้สึกมึนหัวตืบทันที พลาสะบัด
หัว คิดไปทำไม ไว้ให้เกิดเหตุการณ์ก่อนค่อยคิด พลางสลัดความ
คิดแล้วรีบเดินตามเจ้ากุลาร่างยักษ์ไปทันที
ทางเดินเป็นทางแคบๆเต็มไปด้วยต้นไม้อันสูงใหญ่ปกคลุมไป
ทำให้พื้นดินแฉะและเต็มไปด้วย ทากและปลิง แต่ละตัวขนาดใหญ่
เท่ากับท่อนไม้เท่าข้อมือเห็นจะได้ เจ้ากุลาพลางหันมาเอ่ยขึ้นว่า
“นายๆที่นี่มัสัตว์พวกทากและปลิงที่ชอบดูดเลือดมาก
ให้นายเอาไอ้นี่เสียบไว้ที่ใบหู
กลิ่นมันจะป้องกันสัตว์พวกนี้ได้ รีบทำเข้านาย”
“อะไรหรือกุลา” เมื่อเขายื่นมือไปรับแล้วมาพิจารณาดูเห็นเป็น
ท่อนไม้สีดำๆแต่มีกลิ่นฉุนมากๆ
“ว่านยานะนายพวกนี้มันกลัว หากมีว่านนี้เกิดที่ใดพวกสัตว์ดูด
เลือดนี้จะไม่มีแม้แต่ตัวเดียว พวกข้าใช้เวลาเข้าป่าไปหาอาหารนะ
จึงพบและแปลกใจ ได้ทดลองโยนใส่มัน ปรากฏว่ามันทิ้งตัวห่อ
ทันที หากมันกระทบจะดิ้นแล้วตายตายและที่ไม่โดนจะรีบหนีไป”
“เอาเถอะ กุลารีบๆหน่อยต้องลัดเลาะเขาไปอีกไกล ไหมเดี๋ยวจไม่มีเวลากลับมาไม่ทันก่อนพลบค่ำนะ”
ทั้งสองต่างแหวกต้นไม้ด้วยมีดที่นำติดตัวมา และออกเดินทาง
ลัดเลาะไปฝ่าพงไม้แปลกประหลาดเพราะไม่ได้เดินไปตามทางเดิน
ที่ใช้สัญจรไปมา สักครู่ก็ถึงเนิน ชายหนุ่มมองดูบนเนินเป็น
ทัศนียภาพอันสวยงามมาก ไหนเลยจะเป็นดินแดนแห่งอันตรายไป
ได้หากเขาไม่รู้คงจะเพลิดเพลินไปกับทัวทัศน์เหล่านี้ เป็นภาพที่มอง
ลงไปยังหุบผามีพืชที่ออกดอกตามคาคบ และบริเวณตามต้น ดอกแต่
ละดอกช่างใหญ่โต และหลากสีสรร ไกลๆโน้นเป็นสายธารน้ำตก
ไหลลงมายังแอ่งน้ำอันกว้างใหญ่มาก ริมๆสระน้ำเป็นหินหลากสี
ตระการตาไปหมด เขามองไปยังเท้าก็มีหินสวยๆเหล่านี้จึงก้มหยิบ
เอามาดู ใช่แล้วมันเป็นหินพลอยต่างๆที่ยังไม่ได้เจียรนัยเป็นก้อนๆ
เขามองไปยังเบื้องหลังเขาที่จะไปเป็นภูเขาสูงใหญ่ไกลลิบๆ
เขาสะดุ้งในใจ อะไรนี่นั่นเป็นปลายปล่องของภูเขาไฟนี่นา
เอ๊ะแต่ทำไมบริเวณนี้จะมีภูเขาไฟหรือ
นี่เป็นดินแดนอะไรกันคงจะไม่ใช่เนปาลแน่ๆ
เขาสะดุ้งเมื่อแขนถูกกระตุกเบาๆ จึงหันไปมองเป็นเจ้ากุลากำลัง
ชี้มือไปยังภูเขาอีกลูก พร้อมเอ่ยขึ้นว่า
“นายๆที่นั่นแหละคือที่ไอ้พวกคางคกประหลาดมันซ่อนตาม
โพรงหินอาศัยอยู่”
“ที่นั่นข้ามองดูแล้วมันผนังสลับกันไปๆมาคงจะเป็นถ่ำใหญ่น้อย
กระมัง”
“ใช่แล้วนายข้าเคยหลงไป กว่าจะหนีออกมาได้แทบตายเชียวนาย
และกว่าจะรักษาตัวได้ใช้เวลานานๆเป็นเดือนเชียวล่ะนาย
เพราะกว่าจะรู้ตัวมันมาเป็นร้อยๆ มันกระโดดทีไกลมากเสียด้วย ดี
นะที่ข้าคงยังไม่ถึงที่ตาย นึกถึงคำผู้เฒ่าได้นี่แหละถึงรอดมาได้มัน
กลัวมากๆเสียด้วย หากมันมากันแยะเราจะทำอย่างไรล่ะนาย ลำพัง
แต่ละตัวมันใหญ่ๆกว่าคนเราเสียอีก”
คำพูดของเจ้ากุลาทำให้เขานิ่งอึ้งไป จริงซินะหากมันมาเป็นร้อยๆ
พันๆล่ะ พวกเขาก็มีกันไม่ถึงร้อยคนเลย แต่แล้วแว๊ปหนึ่งผุดขึ้นมา
ในสมองเขาชั่วประเดี๋ยวเดียว เขายิ้มกับตัวเองใช่ล่ะเห็นทีต้องอาศัย
สิ่งนี้แหละถึงจะกำจัดมันได้หมด หากการต่อสู้กันตัวต่อตัวยากยิ่ง
นักที่จะเข่นฆ่ามันหมดได้
“นายยิ้มอะไรหรือ????....”
“ไม่มีอะไรหรอกกุลา ข้าดูเห็นทิวทัศน์สวยงามมาก มันช่างสวย
จริงๆนะ” เขาต้องรีบปัดคำพูดที่จะเอ่ยบอก
“นั่นซิข้านึกว่านายหาหนทางได้แล้วเสียอีก”
“รีบไปเถอะกุลา ข้าจะมองดูบริเวณรอบๆสักหน่อย”
แล้วทั้งสองก็รีบลงจากเนินสูงลัดเลาะไปตามไหล่เขา สักครู่ใหญ่
ก็มาถึงบริเวณสระน้ำ น้ำช่างนิ่งสนิทใสมองเห็นก้อนสล้างที่ลึกได้
แต่ประหลาดใจที่หากมีน้ำต้องมีปลา แต่นี่จะหาปลาสักตัวไม่ได้เลย
ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม หรือว่าเจ้าสัตว์นี้จะมากินเสียหมด
อืมๆๆอาจจะเป็นไปได้นะ เขาคิดพลางสาดสายตาไปทั่วๆบริเวณนั้น
ดังนั้นทั้งสองจึงเดินลัดเลาะไปตามสระใหญ่กว้างขวางมากไป
จนถึงบริเวณภูเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เห็นเจ้ากุลาหยุดชะงักพรืดพร้อม
ทั้งชี้ไปตามผนังภูเขาทันที
“โน่นนายนี่แหละไอ้พวกนี้มันอยู่แต่กลางวันมันจะไม่ออกมา
หรอก จะออกหาอาหารตอนพลบค่ำเท่านั้น”
“อ้าวๆๆ???...เราก็เดินไปดูใกล้ๆมันซิ” คราวนี้ไอ้กุลามันมี
อาการทันที
“ข้าว่านายดูที่นี่ก็ได้ข้าแลเห็นตามผนังที่มืดๆคล้ายมีตาหลาย
ดวงกำลังจ้องมองมาทางเราอยู่นะนาย”
คราวนี้ชายหนุ่มตั้งสมาธิหันไปมองดูตามผนังอย่างละเอียดที่
เป็นมุมค่อนข้างมืด จริงๆสินะมันมีลักษณะดวงตาสัตว์สีเขียวกำลัง
สายไปมา บางครั้งก็ดับวูบไปใหม่มาเรื่อยๆ เห็นดังนี้แล้วเขาก็วาง
แผนการณ์ในใจ ทันทีรู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไรดี หากเขาคิดไว้เป็น
ผลแน่ล่ะจะต้องไม่ต้องเสียจำนวนคนเข้าต่อสู้เป็นจำนวนมากเลย แต่
ทว่าจะหาทางล่อหลอกมันได้อย่างไรเล่าเท่านั้นเอง
“นายรีบถอยด่วนบางตัวมันออกมาแล้วนาย รีบกลับกันเถอะ????
เดี๋ยวจะไม่ทันนะมันกระโดดได้ไกลและเร็วด้วย”
ใช่ซิบางตัวมันออกมาจากถ้ำประมาณเกือบสิบตัว เพราะท้องฟ้า
มืดคลึ้มเนื่องจากเมฆบังแสงอาทิตย์อีกต้นไม้รอบๆใบใหญ่ปกคลุม
ทำให้บริเวณที่เขายืนอากาศสลัวๆทันที
“ถอยกุลารีบกลับทางเก่า ให้เจ้าอยู่ข้างหลังข้านะอย่าแยกเป็น
อันขาดจำไว้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
“นายจะสู้กับมันหรือ ข้าว่าอย่าดีกว่าเราไม่ได้เอาไฟมาด้วยนาย”
“เถอะนะข้าจะทดลองดูสักตั้งหนึ่ง เพื่อจะได้ช่องทางกำจัดมันได้
ไม่ต้องเสียคนมากมายนะ เร็วๆเข้ากุลามันกระโดดได้ไกลและเร็วด้วย อย่าชักช้าจะไม่ทันการณ์นะ”
ว่าแล้วเขาก็ดึงเจ้ากุลาให้ลอยจากฟื้นแล้วเหินเหนือพื้นดินหลอก
ล่อมัน เจ้าสัตว์ร้ายเมื่อกระโดดไม่กี่ทีก็มาถึงเบื้องหน้าชายทั้งสอง
มีประมาณ ห้าหกตัว แต่ละตัวมันใหญ่มาก หนังมันเป็นตะปุ่มตะป่ำ
แต่หัวมันใหญ่โตอ้าปากมาคล้ายฟันของกิ่งก่าไม่ผิดเพี้ยนเลย
ชายหนุ่มรีบดึงร่างเจ้ากุลาเหินละลิ่วไปอย่างรวดเร็ว เจ้าสัตว์นี้ก็ติด
ตามมาอย่างไม่ลดละ กลิ่นเหม็นเขียวกระจายฟุ้งคละเคล้าบริเวณนั้น
ไปทั่ว เมื่อขึ้นมายังเนินได้แล้วชายหนุ่มก็วางเจ้ากุลาลง เจ้ากุลาก็รีบ
ดึงหน้าไม้ออกมาพร้อมลูกขึ้นสายพาดทันที เมื่อได้ระยะมันก็ปล่อย
หน้าไม้ออกไปถูกยังเจ้าสัตว์นี้ตัวแรก แต่หน้าไม้ดอกแรกหาได้ทำ
อะไรมันได้ไม่ มันพรวดทีเดียวก็จะถึงตัวเจ้ากุลาและเขาแล้ว แม้เจ้า
กุลาขึ้นหน้าไม้ได้อย่างรวดเร็ว และยิงออกไปถี่ยิบก็ตาม ตัวแรก
ถูกลูกดอกประมาณสี่ห้าดอกถึงจะทรุดตัวลง แล้วค่อยๆหงายท้อง
เสียงร้อยก้องของมันก็ดังกังวานไปทั่วบริเวณหุบเขา
“แอ๊บๆๆๆๆ.....ๆๆๆๆ....ๆๆๆๆๆ...” ระงมไปทั่วตัวที่ได้ยิน
ก็พุ่งร่างเข้ามาทันที ชายหนุ่มก็รวบรวมพลังงานตะหวัดมือเป็นรูป
วงกลม บัดดลก็บังเกิดเป็นลูกไฟสีฟ้าขนาดใหญ่หมุนวนไปมาในฝ่า
ของเขา ชายหนุ่มผลักลูกไฟที่ประกอบด้วยกระแสไฟฟ้าเสียง
กึกก้องคำรามปานประหนึ่งสายฟ้าคำรามทันที แสงของรูปทรงกลม
ก็พุ่งไปยังสัตว์ประหลาดตัวแล้วตัวเล่า วิ่งจากตัวนี้ไปยังตัวโน้น
ตัวใดที่โดนประจุไฟฟ้าก็ถึงกับร่างมันดำเป็นตอตะโกทันที พร้อม
ด้วยเสียงคำรามกึกก้องของสายฟ้าที่วิ่งไปๆมา ชายหนุ่มรีบสร้างลูก
กลมไปอีกหลายๆลูกผลักไปยังเหล่าสัตว์ร้ายทันที เสียงร้องของ
มันกระจายไปทั่วหุบเขา พร้อมกับมีเสียงร้องตอบรับดังใกล้เข้ามาอีก
ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเองเขารู้แล้วว่าจะปราบเจ้าสัตว์ร้ายนี้ได้อย่างไร
หากเขาสามารถล่อมันให้มารวมตัวกันได้ ทันใดนั้นเขาต้องอ้าปาก
ค้างไปทันที เพราะเหมือนเจ้าสัตว์ร้ายจะรู้ทันความคิดเขา เพราะมัน
หาได้รวมตัวกันมาเป็นฝูงๆต่างแยกย้ายกระจายดาหน้าเข้ามาทันที
ทันใดนั้นเหล่าสัตว์เหล่านี้ต่างพ่นควันสีขาวๆเทาๆออกมาจากปาก
ยางมันก็ไหลซึมออกมาจากตะปุ่มตะป่ำ ไหลชะโลมทั่วร่างมันเพื่อจะ
ป้องกันตัวมันไว้ แต่ทว่าอำนาจของกระแสไฟฟ้ามันมิอาจต้านทาน
ได้ เพราะไม่ใช่ไฟธรรมดาดังนั้นพวกมันต่างล้มตาย และก็เข้ามา
เสริมอีกเป็นจำนวนมาก ลำพังเขาเองนั้นเรื่องการหนีคงจะไม่เท่าไหร่
แต่เขาห่วงเจ้ากุลานั่นเอง ต้องคอยปัดปกป้องให้มัน แม้ว่าเจ้ากุลาจะ
ยิงลูกดอกออกไปปะทะมัน แต่ก็เหมือนเอาไม้จิ้มฟันไปกระทบตัว
มันและหาได้เกรงกลัวลูกดอกของเจ้ากุลาก็หาไม่แม้ลูกดอกแต่ละ
ลูกจะฉาบไปด้วยยาพิษก็ตาม แต่กับสัตว์อื่นคงพอจะทำเนาแต่กับเจ้า
สัตว์เหล่านี้พิษหาได้ทำอันตรายแก่มันได้เลย นอกจาก ตัวใดที่ถูกเข้า
ในส่วนสำคัญจังๆและหลายๆดอกเท่านั้นเองถึงจะหยุดมันได้ หาก
ลำพังเข้ากุลาเห็นจะต้องเสียทีแก่มันแน่นอน เจ้ากุลายิงลูกดอกไป
จนหมด แล้วรีบชักดาบออกมาเขารู้ทันทีว่าเจ้ากุลาคงจะหมดลูกดอก
เสียแล้ว จึงชักดาบออกมาเช่นนี้
“นายๆๆต้านไม่ไหวแล้วหาทางหนีดีกว่านาย” เสียงเจ้ากุลาปาก
คอสั่น หน้าตาเหลิกหลักมองหาทางจะหนี
“ไปๆๆๆกุลาเกาะข้าไว้ให้ดีๆนะอย่าปล่อยมือจากข้าเสียล่ะ”
“นายจะฝ่ามันไปได้อย่างไร มันมากันเต็มไปหมด”
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เองแหละน่า เฉยๆไว้ไม่ต้องพูดอะไรเดี๋ยวควันของ
มันจะเข้าปากเสียก่อน”
เขาคิดว่าเจ้ากุลาคงคิดไม่ถึงเพราะตอนแรกเขาลากมันเหนือพื้น
ดินเล็กน้อย ระหว่างหนีมันคงไม่สังเกตุว่าเขาทำกับมันอย่างไร เขา
รีบจับร่างเจ้ากุลาแล้วดึงขึ้น เสียงร้องแอ๊บๆๆๆดังก้องไปทั่วบริเวณ
นั้น มันคงมามากมาย หากเขาจะจัดการแบบเก่าคงจะไม่ได้ผลแล้ว
เพราะมันมีมากๆเสียด้วย ลำพังเขาคนเดียวก็เอาตัวรอดได้หรอก แต่
นี่มีเจ้ากุลามาด้วย หนีอย่างเดียวเขาคิดแล้วค่อยตั้งหลักใหม่ เมื่อคิด
ได้เช่นนี้แล้ว เขาก็ดึงเจ้ากุลาเหินไปบนฟ้าทันที มีร่างเจ้ากุลาห้อย
ต๊องแต่งๆๆ เจ้ากุลาตาเหลือกถลนเมื่อรู้ตัวว่านายมันทำอะไรกับมัน
มันคิดไม่ถึงว่านายมันจะมีฤทธิ์ได้ถึงเพียงนี้ ตอนแรกก็คิดนึกสบ
ประมาทอยู่ในที ด้วยเห็นร่างนายมันเล็กกว่ามันมากถึงจะมีร่างกาย
กำยำด้วยกล้ามเนื้อก็ตามที บัดนี้มันรู้แล้วว่านายมันไม่ธรรมดา
ความจงรักภักดีก็ทวีขึ้นเป็นเงาตามตัว
ร่างของชายหนุ่มก็ลอยขึ้นเหนือควันพิษที่เจ้าสัตว์ร้ายพ่นออกมา
แต่มันดุร้ายไม่ยอมง่ายๆ บางตัวกระโดดใส่ร่างของเขาดังนั้นเขาจึง
ใช้มือข้างเดียว รวบรวมพลังได้เป็นวงกลมเล็กๆผลักใส่พวกมันที่ต่าง
กระโดดใส่เขาทันที เสียงฟ้าคำรามพร้อมกับวงกลมสายฟ้าได้พุ่งเข้า
ใส่ร่างมันกระเด็นตกลงไปไหม้เกรียมเหมือนกับฟ้าผ่าไม่ผิดดำเป็น
ตอตะโกไป แต่หาทำให้พวกมันเกรงกลัวก็หาไม่
กลับกระโดดใส่เขาอีก ดังนั้นเขาจึงรีบเหินฟ้า
พร้อมด้วยร่างของกุลาขึ้นสูงลอยละล่องหนีไปทันที
มุ่งหน้าหนีเจ้าสัตว์ร้ายเหนือยอดไม้ไปตามทางเดิมที่มา
สักครู่ใหญ่เสียงของสัตว์ร้ายก็หายลับไปกับสายตาพร้อมทั้งเสียง
ร้องของมัน ชายหนุ่มก้มหน้าไปมองไม่เห็นร่องลอยของสัตว์เหล่านี้
ก็รีบเหินลงยังพื้นดินทันที พอร่างทั้งสองสู่พื้นดินแล้วเจ้ากุลาก็หงาย
ร่างมันมันทิ้งตัวลงบนต้นหญ้าพร้อมทั้งพ่นเป่าลมออก มันลืมตา
โพลงพลางขยี้นัยน์ตามัน แทบจะไม่เชื่อเลยว่านี่เป็นความจริงที่มัน
เห็นมา หากมันไม่ได้นายนี้เห็นทีมันต้องตกตายไปให้กับสัตว์ร้าย
นี้อย่างแน่นอน
“นายๆๆหนีพ้นมันแล้วหรือนาย???...” เสียงมันสั่นพร่าทันที
“อืมมๆๆๆพ้นแล้วกุลา” แล้วชายหนุ่มก็รีบทรุดกายลงนั่งแล้ว
เริ่มสร้างพลังรวบรวมพลังขึ้นเสริมใหม่ทันที
สักครู่หนึ่งชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นเห็นเจ้ากุลา จ้องมองเขาเขม็งด้วย
อาการประหลาดใจ เขาก็หัวร่อเบาๆแล้วเอื้อมมือตบไปบนไหล่อัน
เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ กล่าวขึ้นว่า
“รีบไปเถอะกุลา เดี๋ยวพวกเราจะเป็นห่วงนี่ก็บ่ายมากแล้วล่ะ”
“อ้อๆๆที่เจ้ารู้นะอย่าปริปากบอกใครเด็ดขาดล่ะ รู้ไหมกุลา”
“ขอรับนาย แม้แต่นายสินธุ์ด้วยหรือ????”
“ถูกแล้วไม่ว่าใครๆทั้งสิ้นห้ามเจ้าพูดออกไปเด็ดขาด”
“ทำไมหรือนาย?????”
“ข้าไม่ต้องการให้ใครรู้ หากเจ้าพูดออกไปเขาก็ไม่เชื่อเจ้าด้วยอีก
อย่างจะทำให้พวกเราเสียขวัญไปหมด อย่าลืมล่ะ”
“ขอรับนาย รับรองว่าไอ้กุลาจะไม่พูดเด็ดขาด แต่ทว่า????”
“อะไรหรือกุลา ทำหน้าขมวดเช่นนี้เล่า”
“อ่าๆๆๆนาย.....เหลือเชื่อเหลือเกิน....หากข้าไม่สบด้วยตัวเอง
ข้าเป็นวันไม่เชื่อเด็ดขาด ว่านายเหาะเหินบนอากาศได้ ซ้ำยังมีฤทธิ์
สร้างอะไร???ก็ไม่รู้เวลานายปล่อยไปคล้ายๆสายฟ้าวิ่งๆไปๆมาๆได้
อีกด้วย เมื่อมันโดนไปไหม้ดำเป็นตอตะโกไป เขาเรียกอะไรหรือนาย??”
ชายหนุ่มมองหน้าเจ้ากุลาเขม็ง จนเจ้ากุลาต้องหลบตาแล้วเอ่ยว่า
“หากลำบากแก่นายไม่ต้องบอกก็ได้นาย”
“ไม่ใช่อย่างนั้นกุลา หากข้าบอกเจ้าไปเจ้าจะรู้หรือเปล่าเท่านั้น”
“หากเป็นเช่นนั้นไม่ต้องก็ได้นาย เพียงข้าอยากรู้ไว้เท่านั้นเอง”
“อืมม???...ก็ได้กุลาเขาเรียกว่ารังสีครอสมิคฟิสิกซ์ ซึ่งเป็นที่รวม
ของพวกอะตอมโมเลกุลนิวเครียสทั้งหลายมีอานุภาพด้วยประกอบ
กับใช้เวทย์มนต์เข้าหล่อหลอมเป็นพลังงานชนิดหนึ่งสามารถนำมา
ใช้ได้ ทุกๆคนหรือสัตว์ต่างๆย่อมมีประจุกระแสไฟฟ้าในตัวเอง หาก
รู้จักนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ก็กลายเป็นพลังงานอันทรงอานุภาพ
มากมาย แต่ต้องประกอบด้วยวิธีการหลายๆอย่างจึงสามารถทำได้
ข้าเพียงบอกให้เจ้ารู้คร่าวๆเท่านั้นเอง”
“รังสีครอสๆๆๆๆ???....?????” มันอุทานออกมา
“ขนาดนายบอกมานี่ข้าก็งงเป็นไก่ตาแตกไปแล้วนาย ไม่ต้อง
บอกอีก ถึงบอกข้าก็ไม่รู้”
ชายหนุ่มหัวร่อเบาๆๆ พลางตบไหลมันกระตุ้นขึ้นว่า
“ไปเถอะกุลาเดี๋ยวพวกเราเป็นห่วง อย่าลืมที่ข้าสั่งไว้เสียล่ะ”
“ไม่ลืมหรอกนาย ข้าเป็นคนมีสัตย์รับปากใครแล้วต้องทำให้
ได้นาย ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ออกเดินทางกันเถอะนาย”
“อืมมๆๆไปเถอะกุลา”
แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้นแล้วย้อนเดินทางกลับไปยังถ่ำที่พวกเขาอาศัย
อยู่เพื่อหลบภัยจากสัตว์ร้ายนี้ ทั้งสองเดินไปอย่างรวดเร็วจนพ้นแนว
ทะลุพ้นป่าเข้าสู่ทางเดินปกติธรรมดา....................
* แก้วประเสริฐ. *
26 กันยายน 2555 19:00 น.
แก้วประเสริฐ
น้ำตาไอ้หนุ่มลูกทุ่ง
ตะวันรอนท้องฟ้าสีแดงสลัวของสายัณห์ที่ทอดเข้ามา
อากาศค่อนข้างเยือกเย็น เป็นฤดูของเปลี่ยนแปรตามกาล
ท้องฟ้าเริ่มมืดคลึ้ม สายลมพัดค่อนข้างรุนแรง
ขอบฟ้าเริ่มทมึนปกคลุมไปด้วยเมฆจำนวนมากที่ลอยละล่อง
หมุนสลับไปๆมา ปลายแห่งขอบฟ้ามีสายวิชชุแปลบปลาบ
เป็นบางครั้ง แล้วค่อยๆทะยอยปกคลุมไปทั่ว
ท้องฟ้าเริ่มมีเสียงคำรามกึกก้องประปราย ใบไม้เริ่มลู่ลม
มากยิ่งขึ้น พร้อมกับมีสายฝนโปรยเป็นระยะๆ ใบข้าวที่กำลัง
ตกเขียวชะอุ่มเริ่มลู่ไปตามกระแสลม
ร่างของชายคนหนึ่งนุ่งผ้าขาก๊วยที่เอวรัดไปกับผ้าขะม้าเป็น
ปมชายย้อย แต่ก็ปลิวไหวไปๆมาๆตามสายลมที่กระโชก ตอนนี้
เริ่มรุนแรงยิ่งขึ้น
เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า ซึ่งเริ่มโปรยละอองฝนลงมาเปียก
ตามใบหน้าและร่างกายที่ไม่ได้ใส่เสื้อ อกเป็นกล้ามมัดๆสมบูรณ์ยิ่ง
ยืนกอดอก รู้สึกว่าจะไม่ยี่หระต่อสายฝนที่เริ่มโปรยมาอย่างหนัก
“ไอ้โชติโว้ยๆ ไอ้โชติมึงยังไม่กลับบ้านหรือนี่ฝนก็เริ่มจะตก
อย่างแรงแล้วนะว๊ะ”
เสียงร้องตะโกนมาจากแปลงนาอีกผืนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆกัน
ชายหนุ่มรูปร่างทะมัดทะแมง หันไปมองพร้อมตะโกนตอบ
“ยังหรอกน้าแจ่ม ข้าว่าจะรอให้ฝนตกมากกว่านี้ค่อยกลับ
อากาศมันร้อนมากๆเสียด้วยวันนี้ มีฝนตกก็ดีนาจะได้รับน้ำไปเลี้ยง
ต้นข้าว ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนนานี่แหละน้า”
“เออๆๆๆใช่ว๊ะ ไม่รู้มันร้อนผิดปกติมาตั้งแต่เช้าแล้ว ข้าว่า
ฝนตกก็ดี มันแล้งมาหลายวันแล้ว แล้วมึงไม่ออกไปหาเขียด หากบ
ปลาเก็บไว้หรือ เพราะน้ำใหม่ปลาและสัตว์มักจะออกมาเล่น
น้ำใหม่ จะได้เก็บไว้ขายและกินวันหลังว๊ะ”
“นี่ข้าก็คอยดูแหละน้า เพราะยังไม่รู้ว่าฝนจะตกนานหรือ
เปล่าเพราะว่าเป็นฝนทิ้งช่วงเสียด้วย”
“แต่ข้าว่ามันเอาแน่นะโว้ย มันอั้นมานานแล้ว”
เสียงร้องตะโกนข้ามนา แต่ไม่ห่างไกลมากนัก
“แล้วน้าว่ามันจะนานไหมล่ะ???”
“ข้าว่านะคงจะนาน เพราะว่าเอ็งดูเมฆซิมันมาทุกๆด้านเลย
อีกอย่างหนึ่ง มันอั้นทิ้งช่วงแล้งมานานแล้ว”
“ข้าก็คิดอย่างน้าแหละ แต่ขอดูและอาบน้ำใหม่ให้ชื่นใจ
สักหน่อย แล้วค่อยเข้าบ้าน ไปลองน้ำฝนเก็บไว้ก่อนจะออกหาปลา
ด้วยต้องปล่อยให้ฝนล้างหลังคาเสียก่อน สิ่งสกปรกจะได้ออกมา”
“ตามใจเอ็งว๊ะ ข้าไปก่อนนะโว้ยว่าเดี๋ยวให้ยายม่อมมัน
เตรียมเครื่องแกงสำหรับต้มปลา สักหน่อย แล้งปากมานานแล้ว”
“อ้าวแล้วมึงล่ะ ข่าวว่าอีเรียมมันหายหัวไปกรุงเทพฯนะ
มีวี่แววจะกลับมาหรือเปล่าล่ะ????”
คราวนี้คำพูดของชายกลางคนทำให้หนุ่มถึงกับสะอึก อึกอักไป
ก่อนจะตอบว่า
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันน้า เขาคงจะได้ดิบได้ดีแล้วล่ะ จึง
ลืมท้องทุ่งไป แต่ช่างเถอะน้าจะให้ข้าไปตามหรือ ข้าก็ไปไม่ถูกเขา
ว่ากรุงเทพฯมันใหญ่โตกว้างขวางเสียด้วย มีรถราเยอะแยะเดี๋ยวทำ
ให้ข้าเวียนหัวเปล่าๆ”
“นั่นซิข้าก็ได้ยินไอ้จ้อยมันเล่าให้ฟังเพราะมันพึงจะกลับ
มาเยี่ยมว๊ะ”
“แล้วมันไปทำงานอะไรที่กรุงเทพฯหรือน้า”
“เห็นมันบอกว่าเป็นลูกมือจ้างของอู่ซ่อมรถยนต์ว๊ะ แต่
บอกเหมือนกัน แต่ข้าไม่รู้จัก ว่าแต่ว่าเถอะว๊ะ อีเรียมมันก็ใจดำนัก
นะมันทิ้งผัวไปไม่ใยดีเอาเสียเลย ปล่อยมันไปเถอะว่าไอ้โชติ
ผู้หญิงส่วนมาก็แบบนี้แหละว่า อีดาปลายโค้งโน้นก็หนีผัวไป
เหมือนกันเขาว่าไปเป็นหางเครื่องวงอะไรข้าก็ไม่รู้ว่า มันชอบเพลง
ลูกทุ่ง หากทำงานอื่นมันก็ทำไม่ได้หรอกไม่มีความรู้อะไร แต่มัน
เชื่อเพื่อนมัน มันชอบเต้นๆรำๆ เฮ่อๆๆๆแม่มันบ่นเสมอเวลาข้าไป
เยี่ยมนะ ว่าไอ้แดงอีดามันทิ้งไปไม่ยอมส่งเงินทองมาให้เลย นางแม่
มันกล่าวปรึกษาข้า ไอ้ข้าหรือก็ไม่รู้จะช่วยมันอย่างไรนอกจากแบ่ง
ข้าวที่ทำได้ให้มันหุงกินและหาปลาได้ก็แบ่งให้เพราะสงสารว๊ะ”
“นั่นซิน้า นางเรียมมันก็ไม่มีความรู้แต่มันไปเชื่อเพื่อน
ข้าเองก็ทัดทานมันแล้วมันไม่ฟัง มันเปลี่ยนไปมากตั้งแต่หลงวิทยุ
ที่มันโฆษณาและหนีข้าไปเมื่อไหร่ข้าก็ไม่รู้ไม่ได้บอกกล่าวอะไรเลย
ตื่นนอนมามันหายไป เขียนจม.บอกว่าจะไปหาเงินที่กรุงเทพฯแล้ว
จะส่งเงินมาให้เหมือนกันนับแต่มันหายไป ไม่ได้ข่าวคราวมันเลยไม่
รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร ตอนแรกข้าเองก็ทำใจไม่ได้ บอกแก่น้าตรงๆ
ไม่อายหรอก ข้าร้องไห้ทุกๆคืนเลย ยามอยู่คนเดียวแบบนี้ มันเหงา
จริงๆ นึกว่าเวรกรรมของข้าจะหาใหม่หรือมันยังรักอยู่เลยทำใจไม่ได้
ทั้งๆทีอีสาวบ้านคุ้งโน้นมันก็ให้ท่าให้ทางแก่ข้าจ๊ะน้า”
“นั่นซิไอ้โชติเอ๋ย ความรักนี้นี่แหละทำให้คนตาบอดดัง
พระท่านเทศน์ไม่ผิดเลยว๊ะ เอ็งทำใจได้แล้วมันอาจจะไปมีผัวใหม่
ก็ได้มันลืมเอ็งเสียแล้วว๊ะไอ้โชติ”
“คงจะเป็นอย่างนั้นนะน้า นี่ก็หลายปีดีดักแล้วล่ะ”
กล่าวเสร็จไอ้หนุ่มลูกทุ่งโชติ ก็ยกมือเสยผมที่เปียกปอนไปด้วย
หยาดน้ำฝน จริงซินะฝนมันซื่อสัตย์ต่อท้องนาจริงๆ แม้ว่าจะห่าง
หายไปบ้างแต่ก็ยังกลับมา เมียกูล่ะหายเงียบไปตอนรักกันใหม่ๆ
ก็จู๋จี๋ดีให้สัญยกสัญญากันว่าจะสู้กับท้องทุ่งจวบจนวันตาย ฮึๆๆๆ
ชายหนุ่มระบายออกทางจมูก พลางหันไปทางน้าแจ่มเพื่อจะถาม
อะไรบ้างอย่าง เห่อๆๆน้าหายไปแล้ว แต่มันยังยืนแหงนมองฟ้าที่
ฝนเริ่มจะรุนแรงกว่าเดิมมาก ท้องฟ้าก็คำรามสายฟ้าวิ่งไปวิ่งมาเป็น
แปลบๆ ไอ้หนุ่มลูกทุ่งหาได้เกรงกลัวเพราะมันชินเพราะพบมา
ตั้งแต่เล็กๆแล้ว บัดนี้มันเป็นหนุ่มมีเมียแล้วแต่ไม่มีลูก อยู่สองคน
ในกระท่อมกับอีเรียม โถเรียมนะเรียมไม่น่าทำกับกูได้เลย มัน
เปรยเบาๆท่ามกลางฝนฟ้าที่คะนอง เสียงฟ้าผ่ามันมองเห็นต้นไม้
ที่ไกลออกไป เสียงดังสะท้านก้องไปทั่วทุ่ง มันรีบนั่งยองๆทันที
น่าจะผ่ามายังข้านะจะได้หมดเรื่องหมดราวเสียทีไอ้หนุ่มนึก พลัน
นึกย้อนอดีตไปในท่ามกลางฝนที่ตกอย่างหนัก
“พี่โชติจ๋า ปีนี้พี่คงจะเก็บเกี่ยวได้ดีนะ เห็นพี่ตั้งแต่พ่อแม่พี่
เสียไปก็ไม่มีใครนอกจากพี่ทำอยู่คนเดียวไม่หาใครมาช่วยหรือ”
“เรียมเอ๋ยใครล่ะ???ที่จะมาช่วยเหลือพี่เงินทองหรือก็มี
ไม่มากนัก แค่พออยู่พอใช้กับท้องนานี่แหละ เออๆๆปีนี้ได้มาก
หน่อยกำไรหลายเกวียนจ๊ะเรียม”
“แล้วพี่มองหาใครหรือยังล่ะ???”
พลางทำตาชะม้อย เหลือบมามองมาทางหนุ่มรุ่นกระทงอย่าง
มีเลสนัย
“ก็มองเหมือนกันแหละเรียม แต่ว่าพี่มันบุญน้อยใครเขา
จะมาสน ได้ข่าวว่าคนที่ข้าหลงมองมันไปสนใจลูกกำนันอยู่”
“เอ๊ะๆๆใครหรือพี่โชติ ที่พี่มองนะแหม๋คงมีบุญมาก
หากได้พี่โชติเป็นคู่”
“เรื่องนี้พี่ไม่กล้าบอกหรอกจ๊ะ เขาว่าขุนเขาที่อยู่ห่างไกล
นั้นนะ บางทีอาจจะไกล้ก็ได้ หากเราพยายามแต่ความพยายามพี่
มันไร้ผลเสียแล้ว”
“อะไรเรื่องคนมันเกี่ยวกับขุนเขาเชียวหรือ???”
“ข้าเพียงยกตัวอย่างให้ฟังเท่านั้นแหละเรียม”
“แล้วใครล่ะพี่ บอกเรียมไม่ได้หรือ อิอิ หรือว่าเขิน”
พลางอีสาวก็เข้ามาเกาะแขน พร้อมทั้งเขย่าไปๆมาๆ
ไอ้หนุ่มโชติมองตาเป็นประกาย จริงซินะหากไม่บอกตอนนี้
เห็นทีไม่มีโอกาสแน่ พลางเอ่ยขึ้นว่า
“แล้วเรียมมีใครสนใจหรือเปล่าล่ะ???”
“ใครจะมาสนใจเด็กบ้านนอกอย่างฉันล่ะพี่โชติ”
“เออๆหากมีคนเกิดสนใจล่ะเอ็งจะว่าอย่างไร”
เสียงอีสาวหัวร่อลั่น
“พี่นี่ช่างเย้าจริงๆนะ เรียม เองยังนึกไม่ออกเลย ทั้งๆที่มีไอ้
หนุ่มบ้านเราและหมู่บ้านอื่นมาติดพันแต่ ข้าไม่สนใจหรอกพี่
เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆนะ ส่วนไอ้หนุ่มบ้านอื่นพ่อก็ไม่ตกลง
เคยมาขอเหมือนกัน มันเป็นนักเลงหัวไม้พ่อไม่ชอบ”
“ถ้าอย่างนั้น พี่ว่าเรียมเอ็งต้องแก่ขึ้นคานแน่เลย ฮ่าๆๆๆ”
ว่าแล้วไอ้หนุ่มก็ต้องสะดุ้งโหยง แล้วถอยออกมา เพราเจ้าหล่อน
เล่นหยอกด้วยการหยิกและข่วน
“เฮ้ยยๆๆเจ็บนะโว้ยเรียม เล็บเอ็งยิ่งคมแหลมไม่รู้จะไว้
ทำไม ไว้เสียจนยาวแบบนี้”
“ไว้ข่วนพี่นี่แหละเวลาเจ้าชู้และขัดใจเรียม”
พูดแล้วก็ค้อนควักๆ ตามประสาหญิงสาว
“หากพี่จะไปขอเอ็งกับพ่อเอ็ง พ่อเอ็งจะว่าหรือเปล่าว๊ะ
เรียม”
“ฮั่นแน่ๆพี่โชติไม่ได้เชียวนะพอเปิดทางให้ ก็พรวดมา
แทบตั้งตัวไม่ทันเชียว”
“เฮ้ยๆๆถามจริงๆว่า ถ้าข้าคิดแบบนี้เอ็งจะรังเกียจข้าหรือ
เปล่าว๊ะเรียม”
“ให้มันจริงดังคำพูดเถอะพี่โชติ รับรองว่าข้าจะรับใช้พี่
จวบจนวันตายไม่มีวันเป็นอื่นไปเด็ดขาด”
“จริงๆนะเรียม เอ็งพูดอย่าทำให้ข้าต้องผิดหวังนะโว้ย”
“สาบานจ๊ะสาบาน ข้าขอสาบานต่อหน้าเจ้าทุ่งนี่แหละพี่
หากเราสองอยู่ด้วยกัน ข้าจะรับใช้พี่จวบจนวันตายไม่เป็นอื่น
เด็ดขาด แล้วพี่ล่ะ”
“ข้าก็เหมือนเอ็งแหละว๊ะเรียม หากผิดสัญญาขอให้ฟ้าผ่า
ข้าตายในทุ่งนี้แหละ”
ทั้งสองหยอกเย้ากันไปตามประสาความรักขอหนุ่มลูกทุ่ง
ทั้งหลายแต่ไม่ได้ผิดผีประเพณีแต่อย่างไร
ชายหนุ่มหลับตาพริ้มนึกถึงอดีตทำให้เขาอดหลั่งน้ำตาเสีย
ไม่ได้ ใช่แล้วหลังจากนั้นเขาก็เริ่มขยันหมั่นเพียร ซ้ำยังไปช่วยเหลือ
พ่อของเรียมในการเกี่ยวข้าวและงานอื่นๆ จนเป็นที่รักใคร่ของพ่อ
เรียม ดังนั้นเวลาผ่านไปไม่นานเขาก็ไปขอร้องผู้ใหญ่บ้านให้มาช่วย
เป็นพ่อสื่อสู่ขอเรียม พ่อเรียมหรือก็เมตตาสงสารและยอมยกลูกสาว
ให้อยู่กินกับเขามา เป็นเวลาหลายๆปีจวบจนบัดนี้
เรียมเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปตามกระแสสังคมที่เริ่มจะ
เจริญรุกเข้ามาในที่ คนบางคนขายแต่เขาไม่ยอมขายสู้กับกระแส
ความกดดันรอบข้าง จนได้ชัยชนะจะมีก็ไม่เท่าไหร่นักที่ไม่ยินยอม
ขายที่ของปู่ย่าตาทวด ความเปลียนแปรมีสิ่งทันสมัยเข้ามานี่แหละ
ทำให้เรียมเปลี่ยนแปลง และหายไปจากเขามารู้ก็สายไปเสียแล้ว
ฝนแม้จะตกหนักขนาดไหนแต่ก็ไม่ทำให้ ไอ้หนุ่มโชติ
ต้องเดินกลับบ้าน มันยืนแหงนหน้าพร้อมภาวนาให้ฟ้าผ่ามันจะ
ได้หมดทุกข์โศกจากความคิดถึงเสียที แต่ฟ้าไม่ปราณีต่อมันเลย
หยาดน้ำไหลย้อยพร้อมน้ำตารินไหลเป็นทางสู่หน้าอกของมัน
ใช่ซินะความรักย่อมไม่ปราณีใคร แม้แต่มันเองที่มอบ
ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างด้วยความรัก แต่ความรักกลับกลั่นแกล้งมัน
ไอ้หนุ่มโชติรำพึง
มันยืนกอดอกใต้สายฝนรำพึงความหลัง ครั้งในอดีต
มันและเรียมต่างช่วยกันทำมาหากิน บนผืนนาน้อยแห่งนี้แต่
เหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง ปีนั้นนาล่มเสียหายหมด ข้าวก็ถูกเพลี้ยเข้า
ทำลาย น้ำหรือก็แล้ง ผืนนาแตกระแหง มันแทบหมดเนื้อหมด
ตัว แต่มิใช่แค่สิ่งนี้เท่านั้น มันเสียสิ่งที่มันรักไปด้วย เรียมหายไป
พร้อมกับความแห้งแล้งและความหมดตัวของมัน
ยิ่งคิดมันยิ่งเศร้าใจ ยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าพร้อมกับเสยผม
แม้ว่าพ่อตามันจะมาปลอบโยน แต่เขาพ่อลูกกันย่อมไม่เห็นใครดี
ไปกว่าลูกของตน ดังนั้นพ่อตาแม่ยายจึงทำเป็นเหินห่าง เขาไปบ้าน
ต้อนรับแบบเสียไม่ได้
ไอ้หนุ่มโชติคิดๆหรือว่าทุกๆอย่างมันจบสิ้นหมดแล้ว ความ
หลังสะท้อนใจอย่างรุนแรง มันแทบจะฆ่าตัวตายแต่ด้วยความเป็น
นักต่อสู้ของมันทำให้มัน เริ่มต้นสร้างฐานะใหม่อาศัยพ่อผู้ใหญ่บ้าน
ที่เป็นพ่อสื่อให้มัน คอยปลอบใจมันจนบัดนี้มันเป็นคนที่มีหน้ามีตา
จัดว่าเป็นคนมีเงินทองคนหนึ่งด้วยความอุตสาหะพากเพียรของมัน
และเหมือนฟ้าเมื่อกลั่นแกล้งมันจนพอใจและกลับมาสร้างเชิดชูมัน
ข้าวมันขายได้เป็นล่ำเป็นสันราคาดีจนมันสามารถซื้อผืนนาขยายออก
ไปได้อีกหลายสิบไร่
ความเป็นคนที่เอางานเอาการ สาวทั้งหลายต่างพุ่งเป้ามาหามัน
แต่มันกลับกลัวสาวๆเหล่านี้ ยามใดที่มันคิดถึงเรียมสาวแรกรัก มัน
ต้องแอบร้องไห้ เช่นวันนี้มันให้น้ำฝนช่วยชะล้างหยาดน้ำตาของมัน
ที่ไหลย้อยหลั่งรินลงบนผืนนาอันเป็นสุดที่รักของมัน
“เรียมเอ๋ยข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน ข้าพร้อมที่จะอ้าแขนข้ารับเจ้า
เข้าสู่อ้อมกอดข้าอีกไม่ว่า เอ็งจะผ่านสิ่งใดมา “
เสียงมันตะโกนฝ่าสายฝนไปยังฟากฟ้าท่ามกลางเสียงคำราม
ของสายฟ้าที่วิ่งไปวิ่งมาอย่างน่ากลัว แต่มันหาได้เกรงกลัวมันพร่ำ
รำพันถึงหญิงที่มันรักอย่างไม่อายหวาดหวั่นใดๆ
“เรียมๆๆๆเมื่อไหร่เจ้าจะกลับมา ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน เอ็ง
ไม่คิดถึงข้าบ้างเชียวหรือเรียม”
เสียงพร่ำคร่ำครวญจวบจนฟ้าฝนหยุดโปรยปราย นั่นแหละมัน
ถึงลุกขึ้นด้วยท่าทางอันอ่อนล้าเหน็จเหนื่อยเหมือนทำงานหนักมา
นาน เดินเอียงซ้ายเอียงขวาหายลับไปกับความมืด นอกจากได้
ยินเสียงคร่ำครวญทอดเป็นระยะๆ ไปจนเสียงนั้นขาดหายไปพอจับ
ได้ความว่า
“เรียมเอ๋ยพี่รักเอ็งมากๆนะ พี่คอยเจ้าหวังเจ้าจะมาช่วยเช็ด
หยาดน้ำตาข้าเป็นเวลานาน เรียมอันเป็นสุดที่รักข้าเอย.”
เสียงนี้ขาดหายไปพร้อมกลับความมืดเข้าปกคลุมอาณาเขตนั้น
ตราบนิรันดร์กาล.
* แก้วประเสริฐ. *