5 กันยายน 2554 01:22 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๑๐๒
ข่าวการตายของกำนันมั่นกระจายไปทั่วบรรดาพวกพ่อค้ายา
เสพย์ติดทั้งหลาย เสี่ยเม้งงุนงงสงสัยจนกระทั่งเมื่อเสี่ยเล้งมา
พบและได้สนทนากันถึงรู้สาเหตุการตายของกำนัน แต่ส่วน
เรื่องลูกชายนั้นกำนันเล้งบอกว่า คนของเขาไม่ได้ทำแต่ไม่รู้สาเหตุ
การตายของลูกกำนันและพวกเกิดขึ้นได้อย่างไรของก็ถูกทำลายไป
หมดแล้วด้วย พบแต่รอยระเบิดและบรรดาศพเท่านั้นเอง
“อั้วสงสัยตอนที่มันมาแจ้งแล้วว๊ะไอ้เม้ง กูอ่านคนไม่ผิดหรอกว่า
หากกูจะนำไปแล้วมันจะเอาของมาขายให้ลูกค้ามันได้อย่างไร กูผ่าน
เรื่องนี้มามากต่อมากแล้วว๊ะ”
“แล้วไอ้กำนันมันเอาไปเก็บซ่อนที่ไหนล่ะก็มันถูกยึดไปหมดแล้ว
นี่นา กูบอกว่าให้มันเหลือไว้เพียงจำหน่ายเท่านั้นเอง แต่ในหนังสือ
มันบอกว่าพวกใครก็ไม่รู้ขนไปหมดแล้ว ก็เลยไม่สงสัยอะไรกำนัน
มันว๊ะ แล้วเอ็งให้ใครไปทำงานล่ะ???...”
ไอ้เล้งไม่ตอบพลางยกเหล้าขึ้นกระดกจนหมดแก้ว สาวๆก็เข้ามา
เติมให้จนเต็มอีก พลางคีบอาหารใส่ปาก แล้วแหกปากหัวร่อลั่น
“ก็มึงมันทำงานแบบนี้นี่หว่า ไว้ใจคนจนเกินไป ไอ้ห่ารากทำงาน
มาจนหัวหงอกแล้วไม่รู้เล่ห์เหลี่ยมคนบ้างเลยหรือว๊ะ”
“กูกับกำนันมันก็ทำงานมาจนไว้เนื้อเชื่อใจได้แล้วจึงไม่สังหรณ์
ใจว๊ะ ว่ามันจะคิดหักหลังกู”
“อันที่จริงกูก็ไม่สงสัยอะไรมันหรอก แต่เห็นอาการลุกรี้ลุกรนของ
มันนี่แหละ จึงลอบใช้คนไปสังเกตุการณ์เท่านั้นหากมันปกติก็ให้
กลับมา แต่หากสงสัยก็ให้เก็บเสียก็เท่านั้นเองว๊ะ”
“แล้วเรื่องที่มึงจะไปนำของมามึงคิดแผนการณ์ไว้หรือยังล่ะ”
“กูวางแผนไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ โดยกูจะแบ่งกำลังฝ่ายกูออกเป็น
สี่ส่วน เป็นคนที่กูไว้วางใจได้ ส่วนมึงก็สั่งให้คนของมึงนำทางไป
ก็แล้วกัน เราไม่ต้องไปดูมันคอยฟังข่าวที่นี่ก็พอว๊ะ มึงเห็นว่าเป็น
อย่างไรว๊ะไอ้เม้ง”
“อืมม!!!!!!....ก็ดีเหมือนกันว๊ะ กูได้ข่าวมาจากคนของผบก.ว่า
คนที่เคยร่วมทำงานกับกูถูกคำสั่งย้ายด่วนว๊ะทั้งสองคนเลย ฝ่ายปราบ
ปรามและฝ่ายสอบสวนภายใน 3 วัน แต่ว่ากูได้ข่าวว่าทางกรุงเทพฯ
กำลังมีเรื่องวุ่นวายจริงหรือว๊ะไอ้เล้ง???...”
“อือ???...กูก็ได้ข่าวจากเด็กเหมือนกันว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่
หมดว๊ะ ตอนนี้ให้ระวังการขนของเอาไว้ด้วย เห็นว่าจะมาทั้งสอง
ทางโว้ย แล้วค่อยลำเลียงเข้ากรุงเทพฯแถบชานเมืองว๊ะ”
“นี่ก็ใกล้ๆจะเกษียณอายุท่านรองผู้กำกับการแล้วคงจะได้รู้
เหมือนกันว่า เป็นใคร อ้อๆๆๆกูเองก็สงสัยยังไม่ถึงฤดูย้ายหรือ
แต่งตั้งตำแหน่งเหตุใดจึงทำได้ว๊ะ”
“อันนี้กูก็ไม่รู้เหมือนกันแหละ ถึงแม้ว่าทางการเมืองกูจะเส้นไว้
ก็ตามแต่ลึกๆนั้นมันไม่ได้บอกกับพวกกูว๊ะ ทางกลุ่มกูก็ยังสงสัย
เหมือนกันว๊ะ”
เมื่อไอ้เล้งตอบไอ้เม้งก็ไม่รู้จะถามอะไรดีอีก ต่างคนต่างนั่งดื่มกัน
คุยกันเรื่องสัพเรเหระไป ไอ้เม้งก็เอ่ยขึ้นว่า
“ทางศาลออกหมายศาลประกาศยึดบ้านที่ดินเป็นของหลวงไปว๊ะ
ด้วยไม่มีญาติคนใดมารับสมอ้างเลยสักคนเดียว หรือว่าจะกลัวก็ไม่รู้
เพราะไอ้กำนันมันทำสัญญากู้เงินและยึดโฉนดล้วนแล้วแต่ไม่ถูกต้อง
ทั้งสิ้นเลย เห็นทางนายอำเภอจะให้คนที่จำนองไว้นำใบสัญญามารับ
โฉนดที่ดินคืนไป ส่วนที่ขายไม่ถูกกฏหมายก็จะทำการทำการ
แบ่งแยกกันให้คนที่ไม่มีที่ทำกินแบ่งกันต่อไป”
“เออ????...เรื่องของมัน มึงไม่ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวหรอกเพราะมันมีข่าว
ว่ามีอาวุธร้ายแรงไว้มากมายพร้อมถุงยาเสพย์ติดอีกด้วย ช่างมันเถอะ
เอ็งมาพูดเรื่องของเราดีกว่า ก็ชักไม่ไว้วางใจถิ่นแถบนี้เสียแล้วว๊ะ”
“ทำไมหรือว๊ะไอ้เล้ง กูก็เห็นไม่มีอะไรนี่นา”
“ไอ้ห่าเอ๋ย!!!!!.....มึงไม่สังเกตุบ้างหรือว่า กำนันที่ตั้งขึ้นมา
ใหม่ๆนั้น ล้วนแล้วเป็นคนของทางการทั้งนั้น แล้วอย่าเสือกไป
ติดต่อกับพวกมันล่ะ มันจะเข้าตัวมึงและพวกว๊ะ”
เมื่อไอ้เล้งกล่าวเช่นนี้ทำเอาไอ้เม้งถึงกับอ้าปากตาค้างไปทั้งๆที่มัน
คุมในบริเวณแถบนี้เรียกได้ว่าเกือบทั้งหมด ไอ้ห่าเล้งมาไม่เท่าไหร่
กับรู้เหตุการณ์มากกว่ามันเสียอีก สมแล้วที่มันเป็นเจ้าพ่อที่ทรง
อิทธิพลทางกรุงเทพฯ
“เออ???...กูจะทำตามคำสั่งและสั่งให้ลูกน้องกูระวังตัวไว้ด้วยนะ
แล้วมึงจะเอาคนไปกลุ่มล่ะเท่าไหร่ล่ะ???....”
“กูคิดว่าทั้งฝ่ายจนและป้องกันคงกลุ่มล่ะ 50 คนก็พอว๊ะ ต้อง
กระจายกันไปตรวจสถานที่อีกด้วย ทำงานทั้งที่อย่าไว้วางใจอีกไม่ใช่
ถิ่นของกูเสียด้วย ขนาดถิ่นของมึงยังพลาดได้นี่นา”
คราวนี้ไอ้เม้งเงียบกริบทันที ไม่อาจจะโต้เถียงไอ้เล้งได้อีกจริงของ
มันที่ถูกจริงๆ พลางยกเหล้าขึ้นจิบแล้วก็ได้ยินไอ้เล้งกล่าวว่า
“แล้วคนของมีล่ะจะไปกลุ่มล่ะกี่คนล่ะ สถานที่นั้นให้ทำแผนที่มา
ให้กูด้วยนะอาณาเขตรอบๆไว้ด้วยตลอดเส้นทางทั้งหมดด้วยนะ เผื่อ
เหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น ยิ่งกูเห็นหนังสือลายเซ็นต์ด้วยแล้วยิ่งไม่ค่อย
ไว้วางใจเท่าใดนักว๊ะ”
“เรื่องนี้เดี๋ยวกูเขียนให้ก็ได้ทางหนีทีไล่นะ แถบนี้กูชำนาญด้วยซิ
เพราะหัวหน้ากลุ่มกูมันทำไว้ให้กูเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวเพื่อไม่ให้เสีย
เวลากูจะให้คนของกูไปนำมาให้นะ”
“เออ????...ก็ดีว๊ะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลามากนัก เอามาให้กูตอนนี้
เลยก็ยิ่งดีว๊ะไอ้เม้ง”
เมื่อไอ้เม้งได้ยินเช่นนั้นก็หันไปเรียกเด็กที่ยืนอยู่ข้างหลังมันมา
พร้อมกระซิบสั่ง พลางล้วงกุญแจส่งให้มัน บอกให้รีบไปรีบกลับ
เด็กของไอ้เม้งก็พยักหน้า พลางรับกุญแจมาแล้วก็ออกไปพร้อมคน
อีกคนที่เฝ้าหน้าห้องไว้
ครั้นเมื่อเด็กไปแล้วทั้งสองก็หาความสนุกสนานกับบรรดาสาวๆ
ไอ้เล้งมันเป็นคนมากราคะดังนั้นมันจึงบอกไอ้เม้งว่า
“งั้นเดี๋ยวกูเอาเด็กสาวมึงสองคนนี่แหละว๊ะไปห้องทำธุระหน่อย
นะโว้ย แล้วอย่าเสือกแอบดูเสียล่ะ มึงติดกล้องไว้หรือเปล่าแต่กูว่า
มึงติดแน่นอน ให้มึงสั่งให้ปิดกล้องวงจรไว้ด้วยนะ”
ไอ้เม้งพลางแหกปากหัวร่อลั่น พร้อมร้องว่า
“ไอ้ห่าเรื่องของมึงกูไม่อยากดูหรอกว๊ะ”
พลางเรียกเด็กหน้าห้องมากระซิบสั่งไว้แล้ว แล้วหันมาบอกไอ้เล้ง
ว่า มึงต้องการเลือกเอาว๊ะใครก็ได้หรือมากกว่านี้ก็ได้ว๊ะตามสบาย
โว้ย กูไม่ไม่ยุ่งหรอกว๊ะไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเรื่องนี้นะ”
“เออ???...ขอบใจว่าวีดีโอก็ห้ามด้วยนะโว้ย หากวันหลังกูรู้มึงเอ๋ย
อย่าหาว่ากูใจร้ายก็แล้วกันนะไอ้เม้ง”
“เออนะมึงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก กูไม่ชอบดูใคร หากต้องการกู
แสดงเองดีกว่าว๊ะ แต่ไม่ใช่ที่นี่ว๊ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ......”
“กูรู้ว่าอย่างไรมึงก็ต้องมีแน่นอนเพราะกูก็ทำเหมือนกันว๊ะ”
แล้วไอ้เล้งก็ดึงมือสองสาวที่คอยปรนนิบัติมันเดินออกไปนอก
ห้อง หล่อนทั้งสองรู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นและที่ไหนจึงนำหน้าเสี่ยเล้ง
เดินออกไปทันที
ครั้นไอ้เล้งหายไปพร้อมกับบรรดาสาวๆแล้ว ก็ยกมือถือส่ง
สัญญาณไปให้ ไอ้เซี๊ยะ ไอ้เช้ง ไอ้มุ้ย และไอ้สุย เตรียมคนไว้ว่า
ไอ้เล้งจะส่งคนไปสมทบเพื่อขนของตามที่ได้เคยบอกไว้แล้วล่ะ
เวลาผ่านไปสักชั่วโมงกว่าๆเด็กของไอ้เม้งก็นำเอกสารทั้งหมดมา
มอบให้ทันที
“แล้วมึงยุ่งกับเซฟหรือเปล่าว๊ะ ไอ้หว่า ไอ้เจียง”
“โถๆๆๆเสี่ยก็รู้นิสัยผมแล้วนี่มีหรือจะกล้า สู้ขอเสี่ยไม่ดีกว่าหรือ”
“เออ????กูก็ถามไปอย่างนั้นแหละว๊ะ มึงนั่งกินเป็นเพื่อนกูหน่อย
ไม่รู้ไอ้ห่าเล้งมันเกิดคึกอะไรขึ้นมา มันพาเด็กๆไปล่อเสียแล้วล่ะโว้ย
ป่านนี้ยังไม่เห็นลงมาเลยว๊ะ”
เสี่ยเม้งพูดไม่ทันขาดคำเท่าใด ร่างเสี่ยเล้งก็เดินเข้ามาคนเดียวแล้ว
มานั่งข้างเสี่ยเม้ง มันมองไปที่บริเวณโต๊ะอาหารเห็น ไอ้หว่า ไอ้เจียง
ซึ่งกำลังลุกขึ้น จะเดินออกไป แต่ไอ้เสี่ยเล้งยกมือห้ามไว้
“พวกมึงนั่งกินตามสบายเถอะว๊ะไม่ต้องลุกไปแล้วล่ะ เรียกอีกสอง
คนมานั่งกินเป็นเพื่อนก็ได้ว๊ะกูไม่ถือหรอกโว้ย”
ดังนั้นไอ้หว่าจึงหันไปเรียก ไอ้เม้งจ่าย กับไอ้ใช้มาร่วมกินกันด้วย
คงปล่อยให้ลูกน้องทั้งสี่คอยดูแลแทน
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเสี่ยเม้งก็ยืนหนังสือแผนที่ทั้งหมดที่
ลูกน้องมันทำไว้ให้ส่งให้ไอ้เล้งทันที ไอ้เล้งนำมาดูทีละแผ่นๆก็เก็บ
ไว้ในกระเป๋าเอกสารมันทันที พลางกล่าวขึ้นว่า
“อย่างนั้นพรุ่งนี้ใกล้ค่ำๆหน่อยสักทุ่มกว่าๆให้ไปรอพบกันนอก
เมืองก็แล้วกันะ ให้หัวหน้ากลุ่มมึงนำทางไปส่งเด็กกูจะแยกออก
กลุ่มล่ะสองพวก คอยระวังหลังให้ด้วย”
“อย่างนั้นตามใจมึง กูโทรฯไปบอกพวกมันให้เตรียมตัวไว้แล้วว๊ะ
เดี๋ยวจะโทรฯไปกำชับเวลามันอีกทีหนึ่ง”
“เออ????...ดีว๊ะ งั้นเท่านี้กูรบกวนมึงเท่านี้แหละว๊ะจะได้ให้
หัวหน้ากลุ่มกูดูแผนที่แต่ละแห่งของใครของมันว๊ะจะได้เตรียม
ตัวและรถไว้พร้อมจะได้ไม่หลงกัน อย่างนั้นกูไปก่อนล่ะอ้อๆๆ
ขอบใจเด็กมึงเจ็งจริงๆว๊ะ เยี่ยมโว้ย”
ไอ้เล้งกล่าวพลางลุกขึ้นไปพยักหน้ากับเด็กที่อยู่ด้านหลังสี่คน
ต่างก็เดินกันออกไปจากร้านอาหาร คงเหลือไอ้เม้งและพวกเท่านั้น
ไอ้เม้งก็โทรฯไปย้ำหัวหน้ากลุ่มมันทันที จวบจนดึกๆดื่นๆมันจึงได้
ออกเดินทางกลับบ้านพร้อมด้วยมือปืนทั้งสี่คนไป
ที่สถานีตำรวจหลังจากที่ พตต.อำนวยและ พตต. วิเชียรย้าย
ไปประจำการพ้นจากหน้าที่แล้ว การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นภายใน
สถานีนั้น พตต. สังวาลย์หัวหน้าธุรการซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น
พตท.แต่ยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายธุรการตามเดิม ส่วนผู้กอง
จำลองและผู้กองจรัสก็ได้เลื่อนยศขึ้นเป็นสารวัตรพร้อมๆกันด้วย
ส่วนสารวัตรชัชวาลย์ก็เลื่อนขึ้นเป็น พตอ.พร้อมด้วยข้าราขการ
ตำรวจบางนายที่ได้เลื่อนยศขึ้นไปด้วย จากจ่าก็เป็นนายร้อยไปด้วย
ที่มีผลงานจากการปราบปรามป่าไม้เถื่อนและยาเสพย์ติดที่จับได้มา
เป็นจำนวนมาก ตำรวจทั้งหมดต่างได้เลื่อนยศทั้งสิ้น
ดังนั้นจึงได้มีงานฉลองยศและเป็นการอำลาท่านรองวาสนาที่
รักษาการณ์แทน พล.ต.ต. วีระโชติ ที่ลานบริเวณหน้าสถานีได้ถูกจัด
งานขึ้นอย่างเรียบง่ายๆ ไม่ครึกครื้นแต่อย่างไรแต่เหล่าร้านค้าต่างๆก็
เข้ามาร่วมแสดงความยินดีและงานเลี้ยงส่งที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้ ซึ่ง
คิดว่าจะทำแบบเรียบๆง่ายๆ บรรดาพ่อค้าในเมืองต่างช่วยกันหาสิ่ง
ต่างๆมาอำนวจความสะดวกโดยจัดมีการเลี้ยงค่อนข้างจะยิ่งใหญ่
เพราะจะมีเวทีปราศัยและวงดนตรีลูกทุ่ง พร้อมอาหารโต๊ะจีนจาก
บรรดาพ่อค้าที่ต่างเสนอหน้าออกมารับหน้าที่แทน ครั้นเวลาตก
บ่ายๆจวนจะใกล้ค่ำ บริเวณงานก็เต็มไปด้วยแสงไฟสีต่างๆเต็มไป
หมดหลายหลากสี บนเวทีก็เริ่มมีการแสดงร้องเพลงดนตรีลูกทุ่ง
เหตุนี้บริเวณหน้าสถานีก็เต็มไปด้วยโต๊ะต่างๆจนล้นออกมาบน
ถนนบริเวณหน้าเวทีก็ประกอบไปด้วยตำรวจชั้นผู้ใหญ่ต่างนั่งบน
โต๊ะคุยกัน และบรรดาพ่อค้าที่มาช่วยงานก็เข้ามานั่งสนทนากันด้วย
ความสนุกสนานครึกครื้น เสี่ยเม้งก็นำของขวัญเข้ามามอบให้แก่
ท่านรองวาสนาที่จะพ้นอายุราชการในวันสองวันนี้และก็เข้ามานั่ง
คุยด้วย เหตุที่มาเพราะได้ข่าวว่าจะหัวหน้าผู้กำกับสถานีมาแสดงตน
ด้วย ดังนั้นเสี่ยเม้งจึงเหลียวซ้ายแลขวาตลอดคล้ายจะค้นหาใครคน
หนึ่ง มีชาวบ้านบางคนก็เข้ามาแสดงความยินดีกับท่านรองด้วยสิ่ง
เล็กๆน้อยๆที่หามาได้ตามอัธยาศัยเท่านั้น แต่ท่านรองยิ้มพลาง
ขอบคุณผู้ที่นำมามอบให้ด้วยสีหน้าแย้มยิ้มตลอดเวลา
จนกระทั่งเวลางานใกล้ที่จะได้เวลาที่ท่านรองผู้กำกับจะขึ้นไป
กล่าวคำอำลาชีวิตราชการนั้น แต่หามีใครสนใจชายสามคนไม่เพราะ
แอบเข้ามานั่งอยู่ทางด้านหลัง การแต่งตัวเรียบง่าย หนึ่งในนั้นไว้
หนวดครึ้มนั่งกระขนาบข้างด้วยชายสองคน ทั้งหมดได้แต่ดื่มน้ำส้ม
เท่านั้น บรรดาคนที่นั่งร่วมโต๊ะต่างมองหน้ากันเพราะไม่รู้จักว่าใคร
เป็นใคร ชายทั้งสามนั่งเงียบไม่สนทนากับใครๆเพียงแต่ตาจ้องไปดู
การละเล่นของวงดนตรีเท่านั้นเอง
ครั้นได้เวลาพิธีกรก็ขึ้นไปจับไมค์โครโฟนแสดงถึงงานในวันนี้
เป็นการอารัมบทต่างๆนาๆ ขอบใจผู้ที่มาช่วยเหลืองานนี้ทั้งสิ้น
ครั้นกล่าวอารัมบทเรียบร้อยแล้ว ก็เชิญท่านรองผู้กำกับการมากล่าว
คำเปิดงานแล้วกล่าวคำอำลาหน้าที่ราชการทันที
“ด้วยบัดนี้เป็นเวลาอันสมควรแล้วที่จะขอเรียนเชิญท่านรองผู้
กำกับมากล่าวเปิดงานและเป็นการอำลาชีวิตราชการตำรวจ ข้าพเจ้า
ขอเรียนเชิญ ท่านพล.ต.ต.วาสนา เอี่ยมละออ มาเปิดงานด้วยขอรับ
ท่านตลอดจนจะมีผู้มามอบของที่ระลึกแก่ท่านด้วยครับ”
ท่านรองหันไปทางสารวัตรชัชวาลย์ทันทีพร้อมกล่าวว่า
“เห็นคุณบอกว่า ท่านหัวหน้าจะมาป่านนี้ยังไม่เห็นท่านเลยผม
อยากจะพบหน้าท่านสักหน่อยจริงๆนะคุณ”
“ท่านเรียนว่าท่านมาแน่ๆครับท่านรองไม่ต้องห่วง ผมคิดว่าท่าน
คงจะมาแล้วแต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนครับท่าน”
“หากขณะผมกล่าวผมพยายามจะพึงคำพูดไว้ หากท่านมาขอให้
สารวัตรช่วยนำขึ้นมาพบผมด้วยนะ”
“ครับผ๊ม ผมคิดว่าท่านคงจะมาแล้วล่ะครับเดี๋ยวผมจะให้สารวัตร
จำลองกับสารวัตรจรัส ออกค้นหาดูครับ”
“ขอบใจมากครับ ช่วยผมด้วยนะครับ อย่างไรก็ตามก่อนวันเกษียณ
ผมตั้งใจมากอยากจะพบหน้าท่านสักครั้ง มิฉะนั้นหากไม่ได้ท่านผม
คงไม่มีโอกาสเช่นนี้หรอก คุณช่วยเหลือผมด้วยนะครับ”
“ครับผ๊มท่านไม่ต้องห่วงหรอกครับ”
แล้วสารวัตรชัชวาลย์ก็หันไปทางสารวัตรจำลองและสารวัตรจรัส
ให้ช่วยออกตรวจตามโต๊ะต่างๆทันที เมื่อสารวัตรทั้งสองได้ยิน
เช่นนั้นก็ต่างรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมออกเดินค้นหาทันที
เมื่อท่านรองเห็นสารวัตร จำลอง จรัส ออกค้นหา ก็ค่อยๆเดินขึ้นไป
บนเวที พลางของคุณพิธีกร แล้วหันไปทางหน้าเวที พลางทำความ
เคารพแขกผู้มาในงานทุกๆคน แล้วก็ค่อยๆกล่าวอารัมบทตั้งแต่รับ
ราชการมาจนมาถึงตำแหน่งนี้ หากสิ่งใดผิดบกพร่องก็กล่าวขออภัย
ทุกๆคนด้วย เสียงปรบมือกันลั่นไปทั่วบริเวณงาน ด้วยงานนี้ทุกๆ
คนไม่ได้แต่ยศเครื่องแบบ แต่ทุกๆคนอยู่ในชุดไปรเวททั้งสิ้น ท่าน
รองพยายามดึงโน้มน้าวงานในหน้าที่การงานและอารัมบทต่างๆ
เวลาไม่นานนัก สารวัตรทั้งสองก็มาพบชายหนุ่มนั่งแอบอยู่ในแนว
มืดๆแต่ สารวัตรจรัสจำเจ้าแสงสีได้ ก็ ทำเป็นเดินเลี่ยงไปแล้วไปหา
สารวัตรจำลองทันทีว่าพบแล้วหัวหน้าเรา ดังนั้นทั้งสองรีบมายังที่
โต๊ะนั้นทันที แต่เขามิอาจจำหน้าชายหนุ่มได้เนื่องจากไว้หนวดเครา
ครื้มและอยู่ในที่ค่อนข้างสว่างน้อยที่สุด ดังนั้นสารวัตรทั้งสองจึงไป
ตบไหล่เจ้าแสงสี สินชัยทันที ทั้งสองสะดุ้งพลางเหลียวมามองดูครั้น
เห็นสารวัตรทั้งสองก็ยกมือไหว้ ส่วนชายหนุ่มนั้นก็เงยหน้าขึ้นยิ้มกับ
สารวัตรทั้งสอง ทำเอาสารวัตรทั้งสองตลึงทันที ที่ใบหน้าของ
หัวหน้าได้เปลี่ยนไป พลางยกมือขึ้นไหว้แล้วร้องด้วยความดีใจ
“หัวหน้าครับทำไมมารูปแบบนี้ล่ะครับ ผมแทบจำไม่ได้เลยล่ะ”
“ผมไม่อยากให้เป็นที่เอิกเกริกไปนะซิสารวัตร สบายดีอยู่หรือ”
“ครับหัวหน้าท่านรองท่านอยากพบหน้าหัวหน้าอยู่ท่านพยายามดึง
เวลาให้ช้าๆครับ หากพบให้พาหัวหน้าไปพบด้วยครับ”
ชายหนุ่มหันมายิ้มพลางลุกขึ้นติดตามด้วยเจ้าแสงสีสินชัย ก็ออก
เดินตามสารวัตรทั้งสองไป แต่อยู่ทางด้านหลัง ทำเอาบรรดาตำรวจที่
นั่งสนทนากันต่างมองดูกันเป็นแถวด้วยความแปลกใจเสียงสนทนา
กันเงียบกริบทันที สารวัตรจำลองก็ชี้ไปยังโต๊ะของสารรวัตร
ชัชวาลย์ทันที แล้วถอยออกมา ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินไปหาสารวัตร
ชัชวาลย์ทันที ครั้นสารวัตรชัชวาลย์เห็นชายหนุ่มเดินเคียงข้างมากับ
สารวัตรจำลองและจรัสก็รู้ทันที ด้วยความเผลอตัวทั้งๆที่แต่ง
ไปรเวทอยู่ก็ตะเบ๊ะพรืบ พลางกระพริบตาถี่เหมือนจะไม่เชื่อสายตา
ตัวเอง ด้วยลักษณะการแต่งกายของชายหนุ่มผิดปกติไปมากทีเดียว
“คุณชัชวาลย์นี่นอกเครื่องแบบนะ”
เสียงชายหนุ่มกล่าวพลางหัวร่อ ดังนั้นสารวัตรชัชวาลย์รีบเข้าไป
สวมกอดชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มรีบกระซิบให้สารวัตรชัชวาลย์
ทราบอีกว่าหลังผ่าน กตร.จะมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งของคุณด้วย
แต่ยังไม่บอก ด้วยผมไม่ไว้วางใจ จะให้คุณเป็นรองผมจึงจำเป็นต้อง
ปรับแผนการณ์ใหม่ มิฉนั้นหากตำแหน่งท่านรองว่างลง ทาง
กรุงเทพฯจะส่งคนมาใหม่ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรจำเป็นต้องเสนอ
คุณไว้ก่อน ซึ่งท่านก็รับปากไว้แล้วเสนอไปยังนายกฯท่านแล้วด้วย
คุณอาจจะโชคดีสองชั้น ขอให้เก็บเป็นความลับไว้ด้วยนะ ทำเอา
สารวัตรชัชวาลย์ถึงกับปากอ้าตาค้างไปทันที
ส่วนบนเวทีท่านรองกำลังรอรับของขวัญอย่างเชื่องช้า จนกระทั่ง
สารวัตรจรัสไปข้างหน้าเวทีบอกว่า หัวหน้ามาแล้ว นั่นแหละท่าน
รองจึงรีบรับของขวัญ ซึ่งมีคนมารับต่ออย่างรวดเร็ว พลาง ก้มลงถาม
สารวัตรจำลองทันทีว่า
“สารวัตรแน่นใจนะว่าหัวหน้าเรา”
“ไม่ผิดหรอกครับท่านรอง ท่านมานานแล้วล่ะแต่ไปนั่งแอบๆที่
มืดๆไม่ได้เข้ามาครับ”
“อย่างนั้นเชิญท่านขึ้นมาบนเวทีได้เลย ผมจะได้รีบกล่าวสรุปเสีย
ทีจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปนาน”
“ครับท่านรอง ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
แล้วท่านรองก็ไปยังไมโครโฟนกล่าวสรุปผลงานของท่านจนจบ
แล้วกล่าวขึ้นว่า
“แขกผู้มีเกียรติทั้งหลายและบรรดาตำรวจทั้งหลาย บัดนี้หัวหน้า
สถานีของเราท่านได้มาปรากฏตัวแล้วเพื่อจะได้ทำหน้าที่จากผม
ต่อไป และจะขอแนะนำให้ท่านรู้จักกับ พล.ต.ท. วีระโชติ วิเชียรเข็ม
สกุล ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสถานีนี้และให้ผมรักษาการณ์แทนเสีย
เป็นเวลานาน บัดนี้สมควรที่ท่านทั้งหลายจะได้รู้จักหัวหน้าสถานีที่
แท้จริงเสียที”
บรรดาแขกและตำรวจทั้งหลายต่างเงียบกริบไม่มีเสียงใดๆเกิดขึ้น
เลยทุกๆคนต่างมองดูว่าหัวหน้าของสถานีตำรวจที่แท้จริงคือใครกัน
แน่ แม้แต่เสี่ยเม้งเองก็พลอยตื่นเต้นไปด้วยที่จะได้รู้จักเสียทีว่าเป็น
ใครกันแน่ แตทว่าการแต่งตัวหนวดเคราบดบังใบหน้า
อันเท้จริงทำให้เสี่ยงเม้ง ฉงนมันนึกในใจว่านี่หรือหัวหน้าสถานี
ตำรวจไหงดูไปคล้ายๆมหาโจรดีๆนี้เอง ใช่หรือว๊ะมันนึกในใจ
แต่เมื่อท่านรองผู้กำกับการสถานีรับรองเช่นนี้มันถึงแน่ใจ
“ข้าพเจ้าขอเรียนเชิญท่านหัวหน้าขึ้นมากล่าวกับบรรดาแขกผู้มี
เกียรติและผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยครับท่าน”
ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจากโต๊ะของสารวัตรชัชวาลย์พลางเดินขึ้นไปบน
เวทีอากัปกิริยาเปลี่ยนไปทันที ร่างที่งองุ้มกับผึ่งผายทันที ทั้งสาม
สารวัตรก็เดินตามหลังก้าวขึ้นไปบนเวทีด้วย ส่วนเจ้าแสงสีสินชัยก็
รีบเข้าไปประกบเสียเม้งมิให้รอดสายตา ด้วยเจ้าเม้งนั้นมีคนนั่งอยู่
ด้วยสี่คน กระจายกันมันรู้ด้วยฌานทันทีว่าย่อมไม่ดีแน่จึงไม่วางใจ
เมื่อชายหนุ่มก้าวขึ้นไปบนเวทีแล้วก็ตรงเข้าไปยกมือไหวท่านรอง
ทันที ทำเอาท่านรองทรุดตัวลงทันทีพร้อมทั้งกราบไปยังชายหนุ่ม
จนชายหนุ่มต้องรีบพยุงร่างท่านรองให้ขึ้นมา บนใบหน้าท่านรองนั้น
เต็มไปด้วยคราบน้ำตาแห่งลูกผู้ชายด้วยความปิติยินดียิ่ง นึกว่าจะไม่
มีโอกาสพบผู้มีพระคุณอีกแล้ว แล้วดึงร่างชายหนุ่มเข้ามาสวมกอด
“หากผมไม่ได้หัวหน้าผมคงคิดว่าจะไม่ได้นายพลกับเขาแล้ว ท่าน
หัวหน้ามีเมตตาบุญคุณกับผมมากครับ ขอบคุณอย่างสูงครับท่าน”
ชายหนุ่มหัวร่อเบาๆแล้วกล่าวขออภัยท่านรองที่ทำให้ต้องลำบากมา
นานแสนนาน แล้วชายหนุ่มก็ก้าวไปที่ไมโครโฟนพลางกล่าวขึ้นว่า
“ก่อนอื่นข้าพเจ้าต้องขออภัยต่อพี่น้องทุกๆคนที่ให้เกียรติสร้างงาน
นี้เป็นการไว้อาลัยแก่ท่านรองที่จะพ้นหน้าที่จากการเป็นตำรวจตาม
วาระไป ทำให้นึกเสียดายนายตำรวจดีๆหายากยิ่ง ในยุคนี้ น้อยคน
นักที่จะทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตไม่เห็นแก่อามิสสินจ้างใดๆ
นับได้ว่าเป็นนายตำรวจ่ที่ดีเด่นคนหนึ่งทำหน้าที่สมกับคำว่า
ผู้พิทักษณ์สันติราษฎร์ ปกป้องกำหราบคนชั่วปกป้องคนดีไม่ถือว่า
มีอำนาจกฏหมายอยู่ในมือจะใช้ในทางอันมิชอบ คอยช่วยเหลือชาว
ประชาให้ร่มเย็นเป็นสุข จนเมืองนี้ลดน้อยถอยพวกมิจฉาชีพลงไป
มาก มิได้เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อยด้วยคิดเสมอว่ากินเงินเดือนจากชาว
ประชาชนทั้งหลาย และข้าพเจ้าขอฝากไปถึงพวกตำรวจทั้งหลาย
ด้วยว่า หลังจากนี้เป็นต้นไปที่ข้าพเจ้าเข้ามารับหน้าที่โดยตรง ซึ่ง
ข้าพเจ้ารู้ว่ายังมีตำรวจบางคนยังขูดรีดประชาชนอยู่ หากข้าพเจ้าเข้า
มาแล้ว สิ่งใดทำไปก็ขอให้หยุดเลิกเสีย ข้าพเจ้าจะไม่ไว้แม้หน้า
อินทร์หน้าพรหมใดๆทั้งสิ้น ให้ตำรวจทุกๆนายที่อยู่ ณ ที่นี้ทราบด้วย
ว่าเราเป็นคนของประชาชนก่อนมาเป็นตำรวจก็เป็นประชาชนมา
ก่อนเพียงแต่เรามีหน้าที่รักษากฏหมายไว้ อย่าคิดว่าตัวเองอยู่เหนือ
ประชาชน กินเงินเดือนเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียก็เงินของประชาชน จงคิด
เสมอว่าเราคือประชาชนคนหนึ่ง ไม่ได้เหนือไปกว่าประชาชนใดๆ
ทั้งสิ้นเพียงแต่เราเขามอบให้มาทำหน้าที่รักษากฏหมายเพื่อปกป้อง
เขาไว้เท่านั้น หากวันใดข้าพเจ้าทราบว่ายังมีการรับส่วยจากบ่อน
การพนันหรือพวกผิดกฏหมายใดๆทั้งสิ้นอย่ามาหาว่าข้าพเจ้าใจร้าย
เพราะข้าพเจ้าคือประชาชนคนหนึ่ง ย่อมต้องปกป้องคนดีคอยช่วย
เหลือประชาชน หากตำรวจคนใดที่ทำไว้ก็จงเลิกเสียประพฤติตน
ใหม่ ข้าพเจ้าขอกล่าวไว้เพียงเท่านี้ และขออวยพรให้ท่านรองท่าน
จงมีชีวิตยั่งยืนสุขภาพแข็งแรงเป็นมิ่งขวัญของครอบครัวต่อไป”
แก้วประเสริฐ.
26 สิงหาคม 2554 17:48 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๑๐๑
ในระหว่างที่สารวัตรและนายอำเภอกำลังสาระวนอยู่กับการตรวจ
สอบอาวุธต่างๆเหล่านั้นอยู่พร้อม ตำรวจทั้งหลายที่นำมาวางเรียงไว้
บนโต๊ะยาว พร้อมยาเสพย์ติด หนึ่งห่อรวมอยู่ด้วย สารวัตรก็ให้ถ่าย
รูปไว้เป็นหลักฐานในทำคดีต่อไป
ทันใดเสียงรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งก็แล่นเข้ามาภายในบ้านเสียง
ตะโกนลั่นก่อนรถจะจอดเสียอีก
“ไอ้เบิ้ม ไอ้เชื่อม ไอ้เปี๊ยกโว้ย เมียมึงให้มาตามกลับบ้านว๊ะ”
แต่แล้วมันก็ชะงักเสียงทันที ด้วยมันไม่ทันสังเกตุว่าภายในบ้าน
นั้นเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย มันรีบหันหลังหมายจะขับรถ
กลับไปแต่ถูก ตำรวจสองนายเข้าขวางไว้ พร้อมสั่งให้หยุดรถทันที
พร้อมตำรวจนายหนึ่งก็เข้าไปดึงกุญแจรถมาเก็บไว้ ทั้งสองควบคุม
ตัวมาให้สารวัตรทันที
“ใครหรือจ่า???...”
“ไม่ทราบครับเห็นมันตะโกนเรียกพวกมันในบ้านครับ คงจะมาหา
เพื่อนมันแหละครับท่านสารวัตร”
“อย่างนั้นมันเข้ามาได้เลยจ่าน้อมอาจจะได้ข่าวอะไรๆบ้าง”
“ครับผ๊ม”
สักครูหนึ่ง ร่างชายฉกรรจ์ก็ถูกนำมายังเบื้องหน้าสารวัตร หน้าตา
มันซีดด้วยนึกไม่ถึง พลางหันไปมองรอบๆ ครั้นเห็นอาวุธต่างๆวาง
อยู่บนโต๊ะยาวก็ตกใจหน้าซึดเผือด เหงือกแตกซิก
“เราชื่อไรหรือ แล้วามาด้วยสาเหตุใดล่ะ”
“ผมชื่อย้อยครับ เป็นเพื่อนไอ้เบิ้ม เชื่อมและเปี๊ยกครับ เมียมันวาน
ให้มาตามตัวกลับบ้านเพราะหายไปทั้งคืนครับ เมียมันบอกว่าคน
กำนันให้มาตามตัวมาครับท่าน มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือครับ”
“แล้วเรารู้จักกำนันมั่นดีไหมล่ะ เคยเข้าออกภายในบ้านนี้หรือเปล่า
กำนันและเพื่อนคุณยังไม่เห็นหน้า พอจะรู้อะไรบ้างไหมว่าจะไป
ไหนกันนะ ไหนๆช่วยตอบให้ฟังหน่อยซิ”
“ผมทำงานในไร่ของกำนันมั่นครับ เคยเข้าออกเสมอๆเพราะจะ
เป็นคนนำของในไร่รับเงินจากผู้มารับของครับท่าน”
“แล้วนายเบิ้ม เชื่อมและเปี๊ยกล่ะเป็นคนงานเหมือนกันหรือ”
“ไอ้เบิ้ม ไอ้เชื่อมและไอ้เปี๊ยก มันมีหน้าที่คุมไร่นาสวนอยู่ครับ
แล้วนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาล่ะครับ ผมไม่รู้เรื่องอะไรหรอก แล้ว
อาวุธต่างๆนี้มาจากที่นี่หรือครับท่าน”
สารวัตรชัชวาลย์ทราบทันทีว่านายย้อยคงจะไม่รู้เรื่องอะไรแน่นอน
แต่ด้วยความเป็นตำรวจมานาน สังเกตุใบหน้าของเจ้าย้อยก็พอจะรู้
อะไรๆบ้างเป็นแน่ จึงเอ่ยขึ้นว่า
“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไปแต่ขอถามอีกหน่อยนะ นายย้อยจะตอบแต่
ความจริงเท่านั้นนะอย่าโกหกเด็ดขาด มิฉะนั้นผมจะจับคุณในข้อหา
ร่วมมือกันนะ”
“ผมไม่รู้เรื่องจริงๆครับ มีหน้าที่คอยดูแลคนงานในไร่เท่านั้นเอง
และนำเงินที่พวกมาซื้อมาให้กำนันเท่านั้น ผมไม่ชอบมีเรื่อง
นอกจากจะทำงานเท่านั้นเองครับท่าน”
“แล้วเคยได้ยิน เพื่อนๆพูดอะไ/รให้ฟังบ้าง แล้วคนกำนันไปตาม
ตัวมานั่นพวกนี้กำลังทำอะไรอยู่หรือย้อย”
“มันกำลังกินเหล้ากันอยู่ครับ เรียกผมแต่ผมไม่กินเหล้าจึงไม่รู้ว่า
มันจะไปไหน แต่เมียมันทั้งสามบอกว่ามาบ้านกำนันแล้วก็หายไปยัง
ไม่กลับ ขอร้องให้ผมมาช่วยตามตัว ด้วยเกรงว่าจะมาเมาที่นี่เสียก่อน
เพราะว่ามีญาติทางกรุงเทพฯมาหาครับท่าน นอกนั้นผมไม่รู้เรื่อง
อะไรทั้งสิ้นครับ เพราะกำนันไม่เคยใช้ผมในเรื่องอื่นๆจึงไม่รู้ครับ”
“แล้วพอจะรู้ว่ามีใครบ้างไหมล่ะที่สนิทสนมกับคนในบ้านนี้มาก
คงจะทราบดีในการหายไปของกำนันมั่นนะ”
ไอ้ย้อยพลันหันไปชี้ตัวพวกสาวๆทั้งหลายที่นั่งรวมตัวกันอยู่พร้อม
บอกว่า เห็นจะมีพวกสาวๆเหล่านี้แหละครับที่มาที่นี่บ่อยที่สุด ท่าน
ลองสอบถามดูซิครับ”
สารวัตรหันขวับไปทางบรรดาสาวๆอันมี นางสร้อยและพวกทันที
ทำเอาบรรดาสาวๆทั้งหลายตัวสั่นเทาทันตาเห็น ก็รู้แน่ว่าได้การล่ะ
พวกนี้นี่เองคงจะทราบว่ากำนันและพวกไปไหน จึงหันไปสั่งจ่า
น้อมทันทีว่า
“จ่า ให้แยกตัวสาวๆเหล่านี้ไปสอบปากคำ แยกตัวกันสอบนะ
เดี๋ยวคงจะรู้หรอกว่าอะไรเป็นอะเไร”
“ครับท่านสารวัตรผมจะทำการสอบสวนโดยเร็วครับ”
พลางจ่าน้อมก็หันไปเรียกตำรวจมาอีก เจ็ดนาย มาต่างนำตัว
สาวๆทั้งหลายไปแยกกันสอบสวนทันที สารวัตรก็หันหน้ามาทาง
เจ้าย้อยพร้อมถามว่า
“แล้วเอ็งทำงานให้กำนันมั่นนั้นได้ค่าแรงเท่าไหร่หรือ”
“ได้บ้างไม่ได้บ้างครับ เพราะกำนันหักเป็นค่าดอกเบี้ยโฉนดที่ดิน
ที่พ่อแม่ผมนำไปจำนองไว้กับกำนันครับ”
“เป็นอย่างนั้นหรือ เรื่องนี้ไม่เป็นไรหรอกน๊ะจะได้รับโฉนดคืนไม่
ต้องเสียเงินอะไรทั้งสิ้น แต่ต้องรอเวลาหน่อยนะ”
“หรือครับท่านสารวัตร”
ทางนายอำเภอก็เข้ามาตบไหล่เจ้าย้อยพลางบอกว่า
“ที่สารวัตรพูดนะถูกต้องแล้วล่ะ อีกไม่ช้าคอยศาลสั่งก่อนนะ
เพราะตรวจสอบหลักฐานแล้วเป็นการทำสัญญาโกงกัน คงจะได้คืน
ในไม่ช้าแหละ ไปบอกพ่อแม่ย้อยได้แล้วล่ะไม่ต้องห่วงหรอก”
พอเจ้าย้อยและบรรดาสาวๆทั้งหลายได้ยินต่างหันหน้ามามองท่าน
ทั้งสองทันทีด้วยความลิงโลดดีใจทั้งๆที่กำลังถูกสอบสวนอยู่ และ
พากันก้มลงกราบสารวัตรและนายอำเภอทันที
ดังนั้นการสอบปากคำจึงง่ายดายยิ่งขึ้น นางสร้อย นางชบา นางลัดา
นางช้อย นางพลอย นางน้อยและนางแจ๋วมีอะไรก็รายงานให้ตำรวจ
ทราบทั้งหมดไม่ปิดบังอะไรเลย เมื่อได้ยินว่าจะเป็นไทตัวเองแล้ว
เมื่อทราบว่านายอำเภอจะคืนโฉนดที่ดินคืนให้ไม่ต้องเสียเงินทองอีก
ส่วนเจ้าย้อยทางสารวัตรก็อนุญาติให้กลับบ้านได้ มันก็ก้มลงกราบ
อีก ด้วยความดีใจพร้อมจะรีบกลับบ้านไปบอกพ่อแม่เมียมันอีกด้วย
การสอบสวนทั้งหมดของสาวๆถูกบันทึกพร้อมให้สาวๆทั้งหลาย
ลงนามไว้เป็นหลักฐานพร้อมพยานทางอำเภออีกด้วย ท่านสารวัตร
ก็หันหน้าไปสั่งผู้กองที่ได้รับการเลื่อนยศขึ้นมาใหม่คือจ่าโฉมให้นำ
กำลังตำรวจนำโดยนางชบาและนางสร้อยออกเดินทางไปยังที่กำนัน
มั่นทันทีพร้อมรถบันทุกขนาดกลางไปด้วย พร้อมทั้งหน่วยชัณ
พิสูจน์ศพ เพราะสารวัตรแน่ใจว่าคงจะต้องตายหมดสิ้นแล้ว
เมื่อผู้กองโฉมได้รับคำสั่งดังนั้นก็นำตำรวจและคนทางอำเภอส่วน
หนึ่งออกเดินทางไปทันที สารวัตรไปเปิดดูห่อพร้อมกับนายอำเภอ
เปิดออกดูก็พบว่าเป็นยาเสพย์ติด ต่างหันหน้ามามองกันเพราะทุก
คนเชื่อแล้วว่าเบื้องหลังกำนันมั่นและพวกค้าขายยาเสพย์ในหมู่บ้านนี้
อย่างแน่นอน ระหว่างการรอคอยผู้กองนั้นต่างก็พากันเดินสำรวจ
ไปยังบริเวณเนื้อที่ต่างๆโดยมีพวกสาวๆเป็นคนคอยชี้แนะนำทางให้
แต่ไม่พบสิ่งใดผิดปกติอะไรทั้งสิ้น ก็กลับมานั่งยังระเบียงพร้อม
พวกที่ต่างหาที่พักกัน เพื่อรอคอยผู้กองกลับมา
ครั้นสารวัตรตำรวจและพวกอำเภอนั่งสนทนากันบนระเบียงสักพัก
หนึ่งรอคอยนั้น ทางนายอำเภอก็สั่งให้ปลัดนำเจ้าหน้าที่ไปศาลพร้อม
ด้วยเอกสารโฉนดที่ดินทั้งหมดไปที่อำเภอถ่ายสำเนาทำหนังสือไป
ขออนุญาติศาลเพื่อปิดบ้านหลังนี้ทันที ดังนั้นทางปลัดก็นำ
เจ้าหน้าที่ออกไปเพื่อไม่ให้เสียเวลาล่าช้า เพียงเวลาผ่านไปไม่นานนัก
หมายศาลก็ออกมาพร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ศาลนำไปติดยังหน้าบ้านและ
ตัวบ้านทันที แล้วเจ้าหน้าที่ศาลก็เดินทางกลับไปคงเหลือพวก
นายอำเภอเและเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้นเองที่กำลังรอคอยการออก
ไปตรวจสอบ เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงรถบันทุกที่นำโดยผู้กองโฉม
ก็แล่นเข้ามาภายในบริเวณบ้าน ส่วนจ่าก็รีบมารายงานทันที
เบื้องหลังเต็มไปด้วยศพต่างๆสารวัตรและนายอำเภอก็
เดินไปตรวจสอบสภาพ ซึ่งอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ คงมีเพียงร่าง
กำนันมั่นเท่านั้นยังพอจะจำหน้าได้ สักครู่เจ้าหน้าที่ชัณพิสูจน์ศพก็
นำหลักฐานมามอบให้สารวัตร ท่านสารวัตรก็ให้นายอำเภอรับรอง
ไว้อีกทางหนึ่งด้วย สารวัตรสั่งให้ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐารน ผู้กอง
โฉมแจังว่าได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นให้ไปจัดการเรื่องรูปให้
เรียบร้อย เพื่อทำเรื่องเสนอไปยังท่านรองผู้กำกับทันที แล้วทั้ง
สารวัตรและนายอำเภอก็หันมาปรึกษากัน เพราะศพทั้งหลายไม่มี
ญาติ นอกจากศพของนายเบิ้ม นายเชื่อม และนายเปี๊ยกเท่านั้นก็ให้
ตำรวจไปแจ้งแก้เจ้าย้อยให้แจ้งไปยังครอบครัวทั้งหมด เพื่อมารับศพ
ไปจัดการตามประเพณี ส่วนผู้ที่ไม่มีญาติก็ให้นำไปยังวัดที่ใกล้ๆ
หมู่บ้านเพื่อจะดำเนินการฌาปนกิจต่อไปทันที จวบจนเจ้าย้อยนำ
ครอบครัวของทั้งสามคนมานำศพไป ทุกๆอย่างก็เรียบร้อย
ท่านสารวัตรก็แจ้งไปยังสาวๆทั้งหลายว่าพรุ่งนี้ให้ไปที่สำนักงาน
ตำรวจเพื่อให้ปากคำอีกครั้งหนึ่ง และถามว่าใครมีบ้านอยู่หรือไม่
สาวๆทั้งหมดแจ้งว่ามี ดังนั้นสารวัตรก็บอกว่าให้กลับไปบ้านได้
แล้วห้ามเข้ามาในบ้านนี้โดยเด็ดขาด เพราะศาลได้สั่งปิดบ้านหลังนี้
เรียบร้อยแล้ว แล้วทุกๆคนก็ออกจากบ้านกำนันมั่นเดินทางกลับไป
ทำหน้าที่ต่อไป ระหว่างการเดินทางกลับต้องผ่านบ้านพ่อเชียรแม่
เข็ม สารวัตรก็ขอตัวลงพร้อมเจ้าหน้าที่สองสามคนพร้อมรถที่นำมา
แล้วเข้าไปรายงานตัวแก่หัวหน้าเขา หลังจากนั้นก็ออกเดินทางกลับ
ไปยังโรงพักทันที
ในระหว่างที่สารวัตรชัชวาลย์ออกไปปฏิบัติหน้าที่ ทางโรงพักก็
เกิดการปั่นป่วน ด้วยเสียงเอะอะโวยวายด้วยเมื่อสารวัตรอำนวยและ
สารวัตรวิเชียรได้รับคำสั่งโยกย้ายอย่างกระทันหันจากท่านรอง เมื่อ
เห็นคำสั่งก็ต่างหน้าซีดเอะอะทันที พลางถามท่านรองว่า
“ผมผิดอะไรถึงได้มีคำสั่งย้ายผมไปครับท่าน”
ท่านรองกล่าวแก่สารวัตรทั้งสองว่า
“ผมไม่รู้เพราะเป็นคำสั่งมาจากท่านผู้กำกับและจากทางกรุงเทพฯ
ที่คุณก็ได้อ่านไปแล้ว ผมจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะทำหน้าที่แค่
รักษาการณ์แทนชั่วคราวเท่านั้น
สารวัตรทั้งสองถามท่านรองพอจะรู้ไหมว่าผู้กำกับเป็นใครหรือ
“ผมเองก็ไม่เคยเห็นหน้าเหมือนกันเหมือนคุณทั้งสองนี่แหละคุณรู้
ไหมว่าท่านผู้กำกับนั้นเป็นใครเคยเห็นหน้าไหม รู้เพียงแต่ว่าชื่อ
พล.ต.ท.วีระโชติเท่านั้นเอง ผมเองก็รู้พอๆกับคุณนั่นแหละ”
เล่นเอาสารวัตรทั้งสองอึ้งไปทันทีเพราะเขาทั้งสองก็ไม่ทราบ
เหมือนกันว่าหน้าตาเป็นอย่างไร เสียงเอะอะก็เงียบหายไป ต่างทำ
ความเคารพแล้วก็ออกมา ผ่านตำรวจที่ทำความเคารพทั้งสองก็ไม่
สนใจจนทำให้ตำรวจทั้งหลายแหลกใจเมื่อเห็นสารวัตรฝ่าย
ปราบปรามและฝ่ายสืบสวนต่างหน้าบึ้งตึงเครียดไปตามๆกัน พลาง
ร้องเสียงดังๆว่า
“เออ????....ไม่ถึงทีกูบ้างก็แล้วไปว๊ะ เดี๋ยวเห็นทีจะต้องไปพบ
ผู้ใหญ่ทางกรุงเทพฯบ้างล่ะ”
เสียงสารวัตรอำนวยต่างบอกกับสารวัตรวิเชียรด้วยน้ำเสียดุดัน
“ผมก็เหมือนกันคุณย้ายไปที่ไหนล่ะ ผมถูกย้ายไปทางใต้”
“ผมเองก็ไปทางเหนือตอนล่างแถวพรหมพิรามโน่นแน๊ะกันดาร
ด้วย แล้วคุณล่ะไปจังหวัดใดล่ะ”
“ผมเองไปอยู่พัทลุงติดกับชายแดนมาเลเซียโน่นกันดาร
เหมือนกัน”
เสียงสารวัตรวิเชียรกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นเดือนแล้ว คราวนี้แหละจะได้เห็นไอ้คนที่ย้าย
เราได้ก็คราวนี้แหละ”
“คงไม่ทันกระมังเสียแล้วเพราะเขาสั่งให้เราย้ายภายใน สามวันนี้
เองแหละ”
คราวนี้ทำให้สารวัตรอำนวยอึ้งไปทันทีหรือว่าจะลาออกเสียก่อน
มิดีหรือคุณวิเชียร
“ไม่หรอกว๊ะออกให้โง่หรือเราก็มีเส้นทางกรุงเทพฯเหมือนกันนี่
นาคงไม่เท่าไหร่ก็คงจะได้ย้ายเข้ากรุงเทพฯบ้าง ด้วยตอนนี้กำลังมี
เหตุการณ์ไม่ดีขึ้นทางกรุงเทพฯ รอให้เพลาๆก่อน ผมไม่ลืมคุณ
หรอกครับ ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอก”
ทั้งสองค่อยผ่อนคลายความเครียดแล้วรีบเดินทางไปเพื่อเตรียมตัว
จะออกเดินทางต่อไป
ส่วนทางด้านเสี่ยเล้งหลังจากได้รับรายงานผลจากลูกน้องก็หัวร่อ
ลั่นพลางกล่าวว่า อั้วเห็นหน้ามันก็ชักสัยเหมือนกันถึงใช้พวกมึงไป
ดูเหตุการณ์ดีแล้วล่ะ เอาๆนี้ไปกินกันพลางล้วงเงินส่งให้คนละปึก
หนึ่งแต่ค่อนข้างใหญ่ ทั้งสี่ยิ้มยกมือไหว้พลางกล่าวว่า
“หากเสี่ยต้องการจะใช้อะไรพวกผมบอกมาได้เลยครับ อย่างนั้น
ผมลาเสี่ยก่อนนะครับ”
“เออๆๆๆไปเที่ยวให้สนุกกันเถอะนะ ร้านไอ้เม้งก็ได้ไม่ต้อง
จ่ายเงินมันหรอกบอกว่าเป็นคนของกูเท่านั้นเองแหละ”
“ครับๆเสี่ยผมจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ “
พลางยกมือไหว้ลาเสี่ยเล้งแล้วก็รีบออกเดินทางออกไปทันที
แก้วประเสริฐ.
14 สิงหาคม 2554 00:11 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๑๐๐
ครั้นแล้วรถกำนั่นมั่นก็แล่นออก อากาศเริ่มขมุกขมัวมากแล้ว
ไอ้น้อยก็ขับรถไปตามทางที่มันเคยมา แต่ทั้งหมดไม่ได้เฉลียว
ใจอะไรนักเพราะเป็นเขตพื้นที่ของกำนันมั่นนั่นเอง เมื่อเสียง
ของรถมอเตอร์ไซค์ดังค่อนข้างห่างๆ พวกมันคิดว่าคงจะเป็น
คนในหมู่บ้านนั่นเอง
อีกระยะทางก็ห่างๆกันมากๆด้วย ครั้นถึงปากทางเข้าไป
ยังสถานที่เก็บของ ก็เลี้ยวรถเข้าไปในทางที่เต็มไปด้วยไม้ต่างๆ
จึงได้เปิดไฟหน้ารถ แล่นคดไปเคี้ยวมาในเวลาไม่นานนัก รถก็
ถึงที่จัดหมาย สิ่งที่กำนันมองเห็นมันผิดปกติเพราะที่นั่นล้วน
แล้วเต็มไปด้วยพวกสัตว์กินเนื้อ พากันทึ้งร่างต่างๆกันอย่างชุลมุน
ดังนั้นกำนันจึงคว้าปืนออกมายิงขึ้นฟ้าเพื่อไล่สัตว์ พอสัตว์เหล่า
นั้นได้ยินเสียงปืนก็ตกใจ ต่างเผ่นหนีกันไปแทบหมดสิ้นแต่มิวาย
ลากชิ้นส่วนบางอย่างเอาไปด้วย
กำนันเดินลงจากรถพร้อมด้วย ไอ้น้อย ไอ้เบิ้ม ไอ้เชื่อม ไอ้เปี๊ยก
ต่างมุ่งหน้าไปดูร่างที่กระจัดกระจาย พลางร้องลั่นว่า
“พ่อกำนัน นี่มันพวกเราทั้งหมดนี่นา หรือว่า?????....”
“อะไรว๊ะ???...ไอ้เชื่อมเอ็งแน่ใจหรือว๊ะ”
“แน่ใจซิพ่อกำนัน นี่มันร่างของพี่แม้นเพราะใบหน้ายังไม่ได้ถูก
สัตว์มันแทะกินเลย ใช่หรือเปล่า??? พ่อกำนันมาดูหน่อยซิ”
กำนันเดินไปตรงที่ไอ้เชื่อมยืนชี้มือให้ดู พอกำนันเห็นดังนั้นก็
ร้องไห้โฮทันที พลางทรุดร่างลงกอดศพที่เหลือเพียงท่อนบนเท่านั้น
ส่วนท่อนร่างหายไป พลางยกหัวลูกชายคนเดียวขึ้นมากอดร่ำไห้ลั่น
แต่ไม่วาย หันไปสั่งพวกให้ไปตรวจสอบดูว่าจะมีใครรอดอีกหรือ
ไม่บ้าง ได้ยินสียงตะโกนบอกว่ามันตายหมดบางศพแทบจำร่างไม่
ได้จ๊ะพ่อกำนัน ข้าว่าคงจะตายหมดแล้วล่ะคงไม่มีใครรอดไปได้
หรอก และบางศพจำสภาพไม่ได้ด้วยสัตว์มันแทะกินกันแทบจะไม่
มีเหลือเลยก็มี ดังนั้นกำนันจึงร้องตะโกนบอกทันที
“ไอ้เปี๊ยกมึงลองไปดูในถ่ำซิของที่เก็บซ่อนไว้ยังอยู่ครบหรือ
เปล่า?ว๊ะข้าชักสงสัยเสียแล้วซิ”
ร่างไอ้เปี๊ยกก็เดินขึ้นเขาเอาไฟฉายส่องนำทางไปในถ่ำค้นหาของที่
เก็บไว้ เห็นเพียงแต่รอยระเบิดและของบางอย่างที่ถูกไฟไหม้หมดจึง
รีบกลับมารายงานทันที”
“ของมันถูกระเบิดและเผาหมดแล้วล่ะพ่อกำนัน ไม่มีของเหลือไว้
เลยสักกล่องเดียว จะทำอย่างไรดีล่ะ???”
“ฉิบหาย!!!!.....หมดแล้วซิ แล้วข่าวนี้มันรู้ได้อย่างไรกันว๊ะว่ากู
ซ่อนของไว้ที่นี่ เฮ้ยๆๆๆๆพวกมึงระวังตัวเอาอาวุธออกมาเตรียมตัว
ไว้กูคิดว่ามันคงจะซุ่มซ่อนอยู่แถวนี้แหละว๊ะ”
ดังนั้นทุกๆคนจึงชักปืนสั้นออกมา ส่วนกำนันก็วางร่างลูกชายมัน
ลงคิดว่า หากไม่มีเหตุการณ์ก็จะนำศพและพวกนี้ไปทำการทาง
ศาสนาต่อไป แต่ทั้งหมดหาได้พ้นไปจากสายตาของพวกที่ติดตาม
มาไม่ เมื่อทราบว่ากำนันยังแอบซ่อนของไว้คิดจะฮุบไว้ตามที่เสี่ยเล้ง
แจ้งให้แอบมาสอดแนม และสั่งไว้ว่าหากกำนันเล่นไม่ซื่อให้เก็บให้
หมดอย่าเอาไว้สักคนเดียว เมื่อชายทั้งสี่คนที่ได้รับการฝึกฝนมา
อย่างดี ต่างก็พยักหน้ากัน แยกย้ายกันหามุมที่เหมาะพร้อมนำปืนที่
สพายบนไหล่ออกมา มันเป็นปืน เอ็ม16 พร้อมกระสุนเต็มอัตรา
คอยจังหวะ ในการจะลงมือเพียงหัวหน้าเริ่มต้นเท่านั้นเอง
ครั้นเมื่อร่างกำนันและพวกมารวมตัวกันพร้อมทั้งลาก
บรรดาศพทั้งหลายมารวมกองกันไว้ ก็ยืนมองนัยน์ตากำนันแดงกร่ำ
พลางทุกๆคนชักปืนออกมองไปรอบๆบริเวณนั้นทันที และแล้วเสียง
ปืนก็ถูกระดมยิงออกมาทั้งสี่ด้าน มันเป็นการที่ได้รับการฝึกฝนมา
อย่างเดียว ดังนั้นพวกกำนันยังไม่ทันจะทิ้งตัวหลบ ร่างทั้งสี่ก็ผงะด้วย
โดนกระสุนปืนเข้าที่บริเวณหน้าอกเบื้องซ้าย ต่างล้มลงขาดใจตาย
ทำเอา กำนันที่โดนยิงด้วยผวาฟุบกายลงข้างกองศพที่นำมากองไว้
พร้อมทั้งยิงกระสุนปืนสั้นโต้ตอบทันที แต่แล้วร่างกำนันก็ต้องสดุ้ง
สุดตัว เมื่อกระสุนที่รั่วมาเป็นห่าฝนเข้าไปยังใบหน้ากำนันอย่างจัง
ทำให้กำนันมั่นถึงแก่สิ้นใจตายทับบนกองศพลูกชายทันที
บรรดาชายฉกรรจ์สี่คน ต่างก็เดินออกมาจากต้นไม้ทั้งสี่ด้าน
พร้อมทั้ง ต่างส่งกระสุนปืนใส่ไปยังร่างที่ตายแล้วอีกครั้งเพื่อความ
แน่ใจ เมื่อมันตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่มีใครรอดเหลือสักคนเดียว
ต่างก็พยักหน้า ตลอดเวลาที่มันทำงานนั้นมันไม่เคยกล่าวหรือพูดกัน
สักคำเดียว ตัวหัวหน้าก็พยักหน้าแก่คนทั้งสามต่างเดินกลับไปยัง
ทิศทางที่จอดรถ เสียงรถจักรยานยนต์ดั่งอีกครั้งแล้วเสียงก็ค่อยๆ
เบาลงหายไปในความมืด เสียงสัตว์หากินกลางคืนก็ส่งเสียงระงม
ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง บรรดาจิ้งหรีดเรไรต่างๆก็ส่งเสียงพร้อมสัตว์ที่
หากินเนื้อต่างๆก็มุ่งมาสู่ยังศพทั้งหลาย เพื่อแทะกัดกินต่อไป
จวบจนรุ่งเช้าที่บ้านกำนันนางชบาและบรรดาสาวๆทั้งหลายต่าง
ก็เข้ามานั่งบ้าง ยืนบ้างพูดคุยกันถึงเรื่องกำนันก็หายไปยังไม่กลับมา
“พ่อกำนันจะเป็นอย่างไรไปหรือเปล่าว๊ะ อีนวลหายไปเหมือนพี่
แม้นและพวกไม่ผิดกันเลย มันยังไงกันแน่โว้ย???...กูชักสงสัยแล้ว
และแล้วอีสร้อยและอีสาวๆทั้งหลายโว้ย”
“นั่นซิว๊ะมันดูชักแปลกๆนะโว้ย ไปสองเที่ยวหายไปหมดไม่มี
ข่าวอะไรออกมาเลย อย่างน้อยก็ต้องมีคนหลงเหลือมาบ้างนะ”
นางช้อย นางลัดดา นางนวล และนางพลอยเอ่ยขึ้นเหมือนๆกัน
“อย่างงั้นกูว่าพวกเราคอยดูก่อนว๊ะใครขับรถเป็นไหมว๊ะ”
อีกชบาเอ่ยขึ้น หันไปถามทุกๆคน แต่ทุกๆคนพลางสั่นหน้าหมด
“เป็นเกือบทุกๆคนแหละว๊ะ แต่มึงจะไปตามหรือไง กูว่าเรื่องนี้
มึงอย่าไปยุ่งจะดีกว่าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้นี่แหละดี คอยเฝ้าบ้านเอาไว้
ก็คงจะพอนะ เพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวกับยาเสพย์ติดด้วยดีไม่ดีเกิด
เขาจับได้จะติดคุกกันเป็นแถวๆว๊ะ”
นางพลอยเอ่ยขึ้น ทำเอาพวกสาวๆต่างพยักหน้าเห็นชอบด้วย
“งั้นหากวันนี้ไม่มีใครกลับมา พวกเราก็มานอนเฝ้าบ้านที่นี่ก็
แล้วกันะโว้ย พวกมึงจะว่าไงล่ะ”
“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอกว๊ะ เป็นอันว่าให้รอคอยที่นี่ไม่ต้องกลับ
ไปบ้านหรอก เพื่ออาจจะมีข่าวมาบ้างนะ งั้นพวกเราไปทำอาหาร
กินกันเถอะว๊ะ ยังไม่รู้ว่าจะมีอะไรเหลืออีกหรือเปล่านะ”
“เออๆๆๆดีเหมือนกันว๊ะให้ไปสำรวจดูหรือถามอีกแจ๋วกับอีกน้อย
ว่ามีของอะไรเหลือบ้าง หากขาดพวกเราใครสองคนจะได้ไปซื้อมา
ตุนไว้ ด้วยยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะต้องคอยอีกนานเท่าใดว๊ะ”
“นางแจ๋ว นางน้อยเอ็งอยู่หรือเปล่าว๊ะ”
เสียงนางชบาถามตะโกนทันที
“มีอะไรหรือพี่ชบา จะใช้ข้าเรื่องอะไรหรือ???...”
เสียงนางแจ๋วออกมาพลางเดินเข้ามาหาร้องถามทันที
“เออๆๆเอ็งสำรวจว่าจะมีอาหารตุนไว้หรือเปล่าเพราะว่าพวกเราจะ
อยู่พักที่นี่หากไม่มีใครมาว๊ะ”
“ของนั้นมีเพี๊ยบเลยล่ะพี่ ที่ตู้เย็นตุนของไว้แยะ”
“เออๆๆๆงั้นก็แล้วไปว๊ะ นึกว่าไม่มีพวกข้าจะได้ไปซื้อมาตุนไว้
เพื่อทำอาหารกินกันกับพวกเรา”
“นี่ก็สายมากแล้วพ่อกำนันกับพวกน่าจะมากันได้แล้วนี่นาแปลก
นะพี่ ข้าก็คอยมองดูเหมือนกัน”
“เออๆๆๆแล้วใครรู้ที่ซ่อนกุญแจเก็บเงินของพ่อกำนันบ้างล่ะเซฟ
นะ ด้วยพ่อกำนันไม่ค่อยไว้วางใจใครหรอก”
“กุญแจทั้งหมดอยู่ที่ข้าเองแหละ หากพี่จะเอาเงินก็บอกได้เลยก่อน
พ่อกำนันไปได้ฝากกุญแจทั้งหมดไว้ให้ข้าแล้วล่ะ”
นางแจ๋วบอกแก่บรรดาสาวๆทั้งหมดให้ทราบพลางล้วงกุญแจมา
โชว์ไว้ แล้วก็เก็บพลางบอกว่ากำนันสั่งไว้เท่านี้แหละ
“อย่างนั้นก็แล้วไปว๊ะ พวกข้าก็ไม่มีเงินเสียด้วยหากขาดของจะได้
ไปเปิดเอาเงินมา เอ๊ะแปลกๆนะปกติพ่อกำนันจะนำติดตัวไปเสมอๆ
นี่นาแต่ทำไมถึงฝากเอ็งไว้ล่ะ???...”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนลางสังหรณ์ที่ข้านึกเหมือนกันจ๊ะพี่”
เสียงนางแจ๋วตอบทำให้ทุกๆคนมองหน้ากัน ต่างคิ้วขมวดหรือว่า
ต่างคนต่างนึกกันไปต่างๆนาๆ
การรอคอยจวบจนค่ำมืดก็ยังไม่มีวี่แววว่ากำนันกับพวกจะกลับมา
ดังนั้น บรรดาสาวๆต่างวิจารณ์กันต่างๆนาๆ
“หากพ่อกำนันไม่กลับมา ข้าว่าเราไปแจ้งความที่อำเภอดีกว่านะ
พวกเอ็งจะเห็นว่าไงดีล่ะ”
อี่ช้อย อีนวล อีลัดดาเอ่ยขึ้น ไม่แน่ใจว่าจะเป็นอย่างไรหากช้าไปก็
จะไม่ดีแก่พวกเราด้วยนา พวกข้าปรึกษากันแล้วล่ะ
“จริงของมึงว่าอีสร้อย หากคืนนี้ไม่กลับมา พรุ่งนี้พวกเราไปแจ้ง
ความกับนายอำเภอเรื่องกำนันหายไปดีกว่านะ”
“จริงของมึงว๊ะหากปล่อยไว้นานๆแล้วไม่กลับมาจริงๆเราจะอยู่
ในร่างแหกับเขาด้วยนา”
“นั่นซิงั้นคอยดูคืนนี้ก่อนก็แล้วกันนะ บางทีพ่อกำนันอาจจะมา
ตอนดึกๆก็ได้ หากไม่มาจริงๆค่อยๆไปแต่เช้าๆหน่อยนะ”
“อย่างนั้นตกลง งั้นนี่ก็มืดแล้วหาที่นอนกันเอาเองก็แล้วกันนะ
เพราะสังหรณ์ใจเหลือเกินว๊ะ พ่อกำนันกับพวกจะประสบเคราะห์
เสียแล้วล่ะว๊ะ หากไม่เช่นนั้นก็คงจะกลับมาหรือให้ใครมาบอก”
อีกช้อยกล่าวพลางหันไปทางพวกเพื่อขอคำแนะนำ แต่ทุกๆคนก็
พยักหน้า ต่างทำอาหารกันกิน แต่คราวนี้ไม่ได้ไปกินที่ใต้ต้นมะขาม
อีกจึงกินกันบนเรือนและไปนำเหล้าที่ห้องไอ้แม้นซึ่งเก็บไว้ออกมา
นั่งร่วมวง พร้อมเรียกอีแจ๋วอีน้อยให้มาร่วมกินกันด้วย จวบเวลาผ่าน
ไปจนเที่ยงคืนก็แล้วยังไม่มีวี่แววเลยว่า พวกที่ไปจะกลับมาก็เลยต่าง
พากันหาที่นอนแถววงเหล้านั่นแหละ บ้างก็แยกย้ายกันไปหาที่นอน
ของตนเองอย่างอีกแจ๋วและอีน้อย นอกนั้นต่างหาที่นอนกัน เพราะ
ต่างคนก็ต่างเมาเหล้ากันหมดสิ้น บ้างล้มตัวหงายหลังนอนลง
เวลาผ่านไปจวบจนเช้า ทุกๆคนตื่นขึ้นมาพ่อกำนันและพวกหาย
เงียบไปไม่มีวีแววจะกลับมาเลย
“ข้าว่าเห็นจะไม่ดีแน่ๆแล้วล่ะว๊ะพวกเรา ควรไปแจ้งนายอำเภอ
ดีกว่านะ อย่าได้ชักช้าเลยเดี๋ยวเรื่องจะมาถึงพวกเราอีกด้วยที่อยู่และ
คนส่วนมากก็รู้ด้วยว่าพวกเราสนิทสนมที่นี้มาก
“นั่นซิอีชบาจะให้ใครไปแจ้งความดีล่ะ แต่พวกข้าเห็นว่ามีแต่
อีนางสร้อยและอีนางลัดดาเท่านั้นที่ไปทำธุระที่อำเภอให้แก่กำนัน
อยู่เป็นประจำ คงจะรู้เรื่องทางนี้ดีว๊ะ”
ดังนั้นนางชบาจึงใช้ให้อีสร้อยและนางลัดดา เอารถกะบะไปแจ้ง
ความที่อำเภอถึงการหายสาปสูญของกำนันและพวก ครั้นนายอำเภอ
รับทราบก็วิทยุไปยังสำนักงานตำรวจในเมืองทันที ในเวลาไม่นาน
นัก รถของตำรวจและนายอำเภอก็แล่นเข้ามาในบริเวณบ้าน
ตำรวจสารวัตรชัชวาลย์ก็เริ่มสอบสวนเรียงตัวทุกๆคน ถึงเรื่องราว
ความเป็นมาอย่างไรถึงการหายตัวไปของกำนันและพวก
นางชบาก็รายงานว่า กำนันจะออกไปตามลูกชายที่ภูเขาอีแป้นที่อยู่
ไม่ห่างไกลหมู่บ้านนะ สารวัตรหันไปถามนายอำเภอทันทีว่ารู้จัก
ภูเขาอีแป้นหรือไม่ นายอำเภอก็หันไปสอบถามปลัดอีกทีและได้
ใจความว่ามีคนในอำเภอรู้จักดี
ตำรวจและนายอำเภอก็ออกเดินทางไปยังเขาอีแป้นทันที ครั้นไป
ถึงต่างก็พบศพต่างๆนอนเรียงราย บ้างก็กองสุมไว้ นายอำเภอจึงให้
เจ้าหน้าที่ชัณสูตรพลิกศพทันที ด้วยสัตว์นั้นยังกินไม่หมด จนพบ
ร่างของกำนันมั่น จึงให้เจ้าหน้าที่นำศพทั้งหมดใส่ในรถเก๋งที่จอด
ทิ้งไว้เพื่อนำกลับไป รพ.พิสูจน์หลักฐานทันที ส่วนนายอำเภอและ
สารวัตรก็กลับมายังบ้านกำนันมั่นอีกครั้งหนึ่งพร้อมกำลังส่วนหนึ่ง
ส่วนศพนั้นให้เจ้าหน้าที่นำไปยังรพ. เมื่อขึ้นไปบนบ้านก็พบบรรดา
หญิงสาวทั้งหลายกำลังรออยู่ พลางแจ้งให้ทราบว่ากำนันและพวก
ได้ตายหมดสิ้นแล้วและถูกส่งไปชัณพิสูจน์ศพในเมือง
ทางด้านสารวัตรชัชวาลย์และนายอำเภอสอบถามไปยังบรรดา
สาวๆว่า กำนันมั่นมีใครเป็นญาติพี่น้องบ้างหรือไม่พวกสาวๆกล่าว
ว่าเท่าที่ทราบไม่เคยได้ยินว่ากำนันมีญาติพี่น้อง ส่วนเมียได้ตายไป
นานแล้ว เหลือเพียงลูกชายคนเดียวก็มาตายด้วย ดังนั้นทางสารวัตร
จึงหันไปถามว่า ใครดูแลบ้านหลังนี้และกุญแจที่ใช้เก็บเซฟมีหรือไม่
“อยู่นี่เจ้าค่ะ ก่อนไปกำนันมอบให้ข้าเก็บรักษาไว้”
นางแจ๋วรายงานให้ตำรวจและนายอำเภอฟัง นายอำเภอจึงเข้าไปรับ
ลูกกุญแจมา แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าหากเป็นเซฟก็ต้องมีรหัส จึงหันไป
ทางนางแจ๋วอีกที พร้อมหันไปถามทุกๆคนด้วยว่าใครรู้รหัสเซฟหรือ
ไม่เพราะการเปิดเซฟนั้นต้องมีรหัสจึงสามารถเปิดได้เท่านั้น
“นางน้อยก็แจ้งว่าจำได้เจ้าค่ะเพราะกำนันใช้ไปเปิดเสมอๆ พร้อม
ทั้งบอกเลขรหัสตู้เซฟให้นายอำเภอฟังด้วย”
“ดีมากขอบใจมากนะ หากไม่ได้รหัสมาก็ไม่ทราบว่ากำนันมีใคร
เป็นญาติบ้าง เห็นทีจะยุ่งยากมากๆเสียด้วยซิ”
พลางนึกในใจว่ากำนันนั้นฉลาดมากที่ไว้ใจคนแต่แบ่งแยกกัน
ทำงาน เมื่อได้รหัสกุญแจมาแล้วก็หันไปทางสารวัตรเอ่ยขึ้นว่า
“ขอท่านสารวัตรและพวกมาเป็นพยานในการเปิดเซฟด้วยนะจะ
ได้ทำการบันทึกไว้ด้วยกัน”
“ครับท่านนายอำเภอ พร้อมหันไปสั่งปลัดที่ติดตามมาให้มาคอย
จดบันทึกรายการทั้งหมดอย่างละเอียด”
ส่วนนายอำเภอก็ให้ปลัดคอยจดรายการไว้อีกทางหนึ่ง พร้อมสั่งว่า
“ท่านปลัดให้คนไปนำโซ่มาพร้อมหมายครั่งมาตีตราไว้หลัง
สำรวจเสร็จสิ้นอีกด้วยนะตลอดห้องทุกๆห้อง ยกเว้นห้องคนใช้
หรือพวกที่อาศัยที่นี่เท่านั้น เพราะเราต้องสืบพยานกันอีก”
“ครับท่านนายอำเภอ พร้อมทั้งหันไปทางเจ้าหน้าที่ทุกๆคนให้
ไปปฏิบัติตามคำสั่งนายอำเภอทุกประการ”
ส่วนด้านสารวัตรชัชวาลย์ก็หันไปสั่งผู้กองคนใหม่ทันที
“ผู้กองให้จัดเจ้าหน้าที่ตำรวจสักห้าหกนายมาเฝ้าบ้านนี้ไว้ด้วยนะ
จนกว่าทุกๆอย่างจะเรียบร้อย เพราะเราต้องมีการสืบพยาน
สิ่งแวดล้อมจากพวกชาวบ้านแถบนี้อีกจำนวนมากอีกด้วย ทุกอย่าง
จะประสานกับทางนายอำเภอเขาอีกด้วย”
“ครับผ๊ม พร้อมทั้งวิทยุสั่งงานไปยังโรงพักทันที”
สารวัตรชัชวาลย์ก็หันไปสั่งนายตำรวจทันที ให้วิทยุไปแจ้งขอ
กำลังมาเสริมไว้ด้วย
“ครับสารวัตรผมจะจัดเจ้าหน้าที่มาผลัดเปลี่ยนเวรเฝ้าไว้ครับ”
เมื่อทุกอย่างครบเรียบร้อยแล้ว นายอำเภอและสารวัตรก็ให้นาง
แจ๋วและนางน้อย เดินนำหน้าไปห้องกำนันทันที พลางเปิดเซฟค่อน
ข้างใหญ่ออก ต่างช่วยกันค้นและตรวจสอบหลักฐานทุกๆอย่างต่าง
ฉงนสงสัยในการกระทำของกำนันทันที ต่างหันหน้าปรึกษากันว่า
บรรดาเอกสารที่พบเป็นโฉนดสัญญาที่ดินจำนวนมากแต่ดำเนินการ
ผิดกฏหมายทั้งสิ้น เพราะเอกสารนั้นทำไม่ถูกต้องเป็นการเอารัดเอา
เปรียบชาวบ้านและเป็นสัญญาโกงไม่ติดอากรแสตมป์อีกทั้งจำนวน
เงินก็ไม่ได้ลงไว้ก็มี พยานก็ไม่มีเป็นจำนวนมาก ทั้งนายอำเภอและ
สารวัตรจึงตกลงว่าจะส่งเรื่องนี้ให้ศาลท่านพิสูจน์อีกที และควรที่จะ
คืนโฉนดจริงทั้ง นส.3 ให้แก่เจ้าของเดิมเขา ตรวจพบเงินจำนวนมาก
ทั้งที่ฝากในธนาคารหลายแห่งและเงินสดอีกมากมาย ต่างช่วยกันนับ
ลงบันทึกประจำวัน ขอหมายศาลอายัตสิ่งของเหล่านี้ ส่วนโฉนดขอ
อาศัยอำนาจศาลสั่งเป็นของหลวงแล้วหาเจ้าของมอบคืนให้แก่
เจ้าของต่อไป สารวัตรและนายอำเภอพลางหันมาปรึกษากันแล้ว
ก็ลงความเห็นกันแล้ว ครั้นตรวจทะเบียนบ้านก็ไม่ปรากฏว่าจะมี
ญาติใดๆทั้งสิ้นนอกจากลูกชายชื่อแม้นคนเดียว แต่เพื่อความไม่
ประมาทต้องส่งให้ศาลท่านพิจารณาอีกทางหนึ่งเพื่อสั่งการมา
เมื่อจัดการตรวจสอบเรียบร้อยแล้วก็ต่างเซ็นต์ชื่อรับรองพร้อม
พยานในการตรวจค้นทั้งสองทางเป็นหลักฐาน ด้านสารวัตรรู้ว่า
กำนันนั้นค้าของผิดกฏหมายจำพวกยาเสพย์ติดจึงให้ตำรวจเข้าทำ
การตรวจค้นภายในบ้านและข้างเคียงอย่างละเอียด พบปืนผิด
กฏหมายอีกจำนวนมากจึงยึดมารวมกันไว้ล้วนแล้วเป็นอาวุธร้ายแรง
ทั้งสิ้นพร้อมถ่ายรูปเป็นหลักฐานยึดกลับไปโรงพักทันที
ทำให้นายอำเภอถึงกับงุนงงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยนึกไม่ถึง
ว่ากำนันมั่นนั้นจะร้ายกาจเพียงนี้ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรทั้งสิ้น........
แก้วประเสริฐ.
2 สิงหาคม 2554 21:05 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๙๙
เสี่ยเล้งยื่นมือไปรับเอกสารทั้งสามฉบับมาอ่านดู แต่สีหน้ามันยัง
เคร่งขรึมเหมือนเดิน มันอ่านอย่างพินิจพิจารณา ที่มันมองคือลาย
เซ็นต์ชื่อที่ตรวจสอบอย่างละเอียด สร้างความงุนงงแก่มันมากที่
เอกสารทั้งสองฉบับช่างเหมือนกันราวกับแกะ ส่วนอีกใบหนึ่งนั้น
มันไม่รู้ ด้วยไม่มีสิ่งประกอบยืนยัน
ดังนั้นมันจึงเงยหน้าเอ่ยปากขึ้นทันที
“แปลกๆโว้ย แปลกจริงๆเสียด้วยซิ เอาอย่างนี้เพื่อความแน่ใจกูว๊ะ
ให้เสี่ยเม้งกับไอ้มุ้ยเซ็นต์ชื่อมาให้กูดูหน่อยซิว๊ะ”
“ได้ๆๆเดี๋ยวข้าจะเซ็นต์ชื่อให้เสี่ยดูอีกครั้งนะ”
เสี่ยเม้งเอ่ย พลางหันไปทางลูกน้องที่เฝ้าประตูอยู่ว่าให้ไปหาปากกา
และกระดาษเปล่าๆมาสามใบทันที ไอ้หว่านี่แหละรีบไปนำมานะโว้ย
เพื่อให้เสี่ยเล้งเขาแน่ใจว๊ะ”
“ได้นายเดี๋ยวข้าจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้นะ”
แล้วไอ้หว่าก็เดินออกหายไปพักหนึ่งก็เข้ามา พร้อมนำกระดาษมา
หลายใบพร้อมปากกาด้วย พลางนำมาส่งมอบให้แก่เสี่ยเม้ง
ครั้นมันได้กระดาษมาแล้วเสี่ยเม้งก็เซ็นต์ชื่อมัน สองชื่อ พร้อมหัน
ไปทางไอ้มุ้ยเอ่ยขึ้น
“ไอ้มุ้ยมึงก็เหมือนกัน ให้เซ็นต์ชื่อไว้ด้วยกันสองชื่อนะโว้ยจะให้
เสี่ยเล้งเขาพิสูจน์ว๊ะ”
ไอ้มุ้ยนั่งอยู่ปลายโต๊ะดังนั้นไอ้เซี๊ยะจึงรับกระดาษพร้อมปากกายื่น
ส่งให้ไอ้มุ้ยทันที ไอ้มุ้ยรับมาแล้วก็รีบเซ็นต์ชื่อมันสองแห่งไว้แล้วยื่น
ส่งให้ไอ้เซี๊ยะมอบให้แก่เสี่ยเม้งทันที ครั้นเสี่ยได้รับลายเซ็นต์ครบ
แล้วก็รีบยื่นให้เสี่ยเล้งไปตรวจสอบอีกที เมื่อเสี่ยเล้งเห็นลายเซ็นต์
โดยนำมาเปรียบเทียบกัน ก็ตลึงตาเบิกโพลง อุทานว่า
“เฮ้ย!!!!ๆๆๆๆทำไมมันเหมือนกันยังกับแกะเชียวว๊ะ แล้วไอ้เม้ง
กับไอ้มุ้ยมึงทำเครื่องหมายพิเศษไว้ในลายเซ็นต์ด้วยหรือเปล่าว๊ะ”
มันหันไปถามทั้งสองคน กูจะได้รู้ไว้เพราะว่าทุกๆครั้งกูก็ต้องทำ
เครื่องหมายพิเศษไว้เสมอๆกันปลอมว๊ะ
เสี่ยเม้งและไอ้มุ้ยก็ตอบเสียงเกือบใกล้เคียงกันว่า
“ข้าทำทุกๆครั้งแหละเสี่ย แอบซ่อนทำไว้ในอีกทีเสมอๆแหละเสี่ย
เพราะข้าก็กลัวปลอมเหมือนกัน เพราะต้องออกเป็นเช็คเสีย
ส่วนมาก”
“งั้นดีแล้วให้พวกมึงมาชี้ที่ซุกซ่อนเครื่องหมายพิเศษให้กูดูหน่อย
ว๊ะ เพื่อจะนำไปเปรียบเทียบกับสามฉบับแรกว๊ะ”
ดังนั้นเสี่ยเม้งกับไอ้มุ้ยก็ลุกขึ้นแล้วไปชี้เครื่องหมายพิเศษให้เสี่ย
เล้งดูในฉบับที่มันพึ่งเซ็นต์ไว้ดูถึงที่ซ่อนลายเซ็นต์
ครั้นเสี่ยเล้งพบแหล่งที่ซุกซ่อนไว้ก็นำเอกสารอีกสามฉบับออกมา
ตรวจสอบทันที พลางร้องลั่นว่า
“ไอ้หย่าๆมันทำไมมีเหมือนกันด้วยว๊ะ เฮ้ยๆแถวนี้มีใครที่ปลอม
แปลงลายเซ็นต์เก่งไหมว๊ะ มันสอบถามยังกับเป็นนักสืบไม่ปาน”
“ไม่แน่ใจว๊ะเสี่ย เพราะว่าลายเซ็นต์ข้านั้นส่วนใหญ่มอบให้แก่
ลูกค้าที่ไว้ใจได้ทั้งนั้นนี่นา เสี่ยก็เคยเห็นลายเซ็นต์ข้าเวลาส่งมอบ
ของแล้วไม่ใช่หรือ????...”
เสี่ยเล้งเอ่ยขึ้นบ้าง พร้อมหันหน้าไปมองเสี่ยเม้งทันที
เออมีนะมีหรอกแต่ข้าไม่สนใจ สนใจเฉพาะของเท่านั้นเมื่อครบก็
แล้วกันว๊ะไอ้เม้ง แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะโว้ย???.....
จะเอาผิดกำนันมันก็ไม่ได้อีกด้วยซิ ด้วยมันคงจำลายเซ็นต์เอ็งได้
เรื่องนี้ทำให้กูเป็นงงเอามากๆว๊ะ”
เสี่ยเม้งหันไปทางกำนันมั่นว่า
“ เอ็งไม่สงสัยอะไรบ้างหรือว๊ะกำนัน”
“ใครจะไปสงสัยเล่าเสี่ย รถและเวลามันก็ตรงกันหมดพอดีและ
ก็มีหนังสือจากเสี่ยมาข้าจำลายเซ็นต์เสี่ยได้ดีนี่นา ยังจำไอ้มุ้ยได้ที่
เสี่ยนำมาหาข้าทั้งสี่คน ข้าจำได้หมด”
พลางหันไปชี้ตัวไอ้เซี๊ยะ ไอ้เช้ง ไอ้สุยและไอ้มุ้ย พร้อมเอ่ยชื่อให้
ฟังอีกด้วย ล้วนแล้วไม่ผิดตัวทั้งสิ้น ตลอดระยะเวลาเสี่ยเล้งก็คอย
มองดู พลางหันไปทางเสี่ยเม้งเอ่ยว่า แต่อากัปกิริยาบางอย่างทำให้
เสี่ยเล้งชักสงสัยอาการที่แสดงอย่างเผลอตัวของกำนัน เพราะชีวิต
ผ่านการทำงานด้านผิดกฏหมายมาตลอดชีวิตของมันแต่มันไม่พูด
“ถ้าอย่างนั้นมึงให้กำนันกลับไปได้แล้วว๊ะ ข้าจะมีเรื่องปรึกษา
อีกไม่อยากให้ใครๆรู้ว๊ะ ขนาดนี้มันยังทำได้ไม่ผิดเพี้ยนเลย”
ดังนั้นเสี่ยเม้งจึงหันหน้าไปทางกำนันสั่งให้เดินทางกลับบ้านได้
แล้ว กำนันมั่นจึงลุกขึ้นยืนแล้วยกมือไหว้เสี่ยเล้งและเสี่ยเม้งหัน
หลังกลับทันใด เพราะมันนึกในใจว่าลูกมันจะทำงานสำเร็จแล้ว
หรือยัง อีกอย่างหนึ่งก็ไม่อยากอยู่นานนัก ด้วยมันสังเกตุว่าไอ้เล้ง
นั้นเป็นคนขี้ระแวงอาศัยประสบการณ์มันจึงอ่านคนออก
หลังจากกำนันมั่นออกไปแล้ว คนในห้องทั้งหมดก็เงียบกริบ
ต่างคนมองหน้ากันไปๆมาๆ
“กูว่าเรื่องนี้มันชอบกลอย่างไรไม่รู้ว๊ะ ไอ้เม้งมึงดูซิหนังสือก็เป็น
ลายมือมึงพร้อมลายเซ็นต์ด้วย ส่วนไอ้มุ้ยก็เหมือนกัน เรื่องของนั้น
กูชักจะไม่ไว้ใจเสียแล้วซิว๊ะ เห็นทีกูจะไปร่วมรับของกับพวกมึงด้วย
เพื่อความสบายใจกูว๊ะ”
“เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาหรอกเสี่ย แล้วจะเริ่มเมื่อไหร่ดีล่ะ”
เสี่ยเม้งและพวกได้ทีเอ่ยขึ้น
“กูว่ามะรืนนี้ดีหรือไม่ พวกมึงพร้อมหรือเปล่าล่ะ กูก็จะให้คน
ของกูซึ่งนำมาด้วยไปรับของเสียเลยไม่ต้องเสียเวลามาถ่ายเทของกัน
แล้วเรื่องตำรวจล่ะมึงแน่ใจหรือเปล่าล่ะ”
“เรื่องตำรวจนั้นยกเว้นท่านรองเป็นคนตรงแต่แก่แล้วไม่ค่อย
ออกมายุ่งยากมากหรอก จะปลดเกษียณในสิ้นเดือนนี้ แต่หัวหน้า
สำนักงานตำรวจนี่ซิข้ายังไม่เคยเห็นหน้าเลย ส่วนฝ่ายสืบสวนและ
ฝ่ายปราบปรามพวกเราทั้งนั้นคงไม่เป็นปัญหาหรอก”
“แต่อย่างไรกูก็ไม่กลัวหรอกว๊ะเพียงแค่ถามเท่านั้นเอง เพราะไม่
อยากให้เกิดเรื่องยิงกันเอง ที่กูนำมานะพวกทหารปลอมตัวมาทั้งนั้น
และคอยกูอยู่ในร้านอาหาร และที่อื่นๆนับร้อยคนได้กระมังเพราะ
ของมันมากพร้อมด้วยรถทหารคงจะไม่เป็นปัญหาระหว่างเดินทาง
กลับกรุงเทพว๊ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีซิเสี่ย งานจะได้สะดวกงั้นขนไปให้หมดเลยนะ
ข้าเพียงจะนำคนที่เก็บของทะยอยไปรับเพราะเก็บไว้สี่แห่งด้วยกัน
ล้วนเป็นหุบเขาทั้งสิ้นแหละ ข้าไปดูมาแล้วล่ะเสี่ย”
แล้วเสี่ยเม้งก็หันหน้าไปทางพวกลูกน้องมือขวามันพลางเอ่ยว่า
“แล้วทางมึงล่ะโว้ยให้จัดเตรียมคนพร้อมอาวุธไว้ด้วยนะ เมื่อถึง
ที่ใดก็ช่วยกันขนของเสร็จแล้วก็กลับกันได้ แต่ว่าข้าจะไปทางด้าน
ไอ้มุ้ยก่อนเพราะมันเป็นทางยากลำบาก กูยังนึกถึงพวกทากไม่หาย
เลยว๊ะ”
“แล้วจะเริ่มลงมือเมื่อไหร่ล่ะเสี่ย”
ไอ้มุ้ยถามขึ้น
เสี่ยเม้งก็หันไปทางเสี่ยเล้งเอ่ยว่า
“เสี่ยเล้งล่ะจะเริ่มเวลาเท่าไหร่ดีนะ ข้าจะสั่งให้มันเตรียมตัวกันเลย
ไม่ต้องเสียเวลา เพราะต้องมีงานทำอีกคือต้องไปรับของจากฝั่งโน้น
อีกทีหนึ่ง หากทางนี้เรียบร้อยแล้วต้องวางแผนการณ์ใหม่”
“เอาเป็นวันมะรืนนี้ ข้าคิดว่าให้มันมืดๆสักหน่อยจะได้ไม่เอิกเกริก
ไป เอ็งเห็นว่าอย่างไรล่ะไอ้เม้ง”
“อืมมๆๆๆๆ...ก็ดีเหมือนกันจะได้เตรียมไฟไปด้วย พวกข้านั้นไม่
สำคัญเพราะชำนาญทาง ส่วนทางเสี่ยล่ะต้องคอยติดตามให้ดีๆนะ
เพราะทางไปลำบากมากๆด้วยล่ะ”
“เรื่องนี้เอ็งไม่ต้องห่วงเพราะพวกข้าไม่ใช่ตำรวจก็แล้วกันและดี
กว่าตำรวจทั้งสิ้นว๊ะมีตำรวจปะปนมาตำรวจท้องที่ทำอะไรไม่ได้ว๊ะ”
“ถ้าอย่างงั้นตกลงเวลา ห้าโมงเย็นก็เริ่มออกเดินทางได้แล้วล่ะกว่า
จะไปถึงก็คงจะค่ำๆพอดี”
“เอาอย่างมึงว่าก็ดีว๊ะ งั้นตกลงตามนี้นะ”
เสี่ยเล้งเอ่ยขึ้นพร้อมยกมือให้พวกมันดื่มกินได้ตามสบาย เสี่ยเม้งก็
หันไปบอกลูกน้องหน้าประตูให้นำเด็กๆมาคอยเสริฟพวกข้างใน
ดังนั้นบรรยากาศจึงคลายเครียดลง ต่างสนุกสนานกับสุรานารีไป
ส่งเสียงหัวร่อต่อกระซิกกัน ส่วนไอ้เล้งนั้นมีหญิงคอยปรนนิบัติ
สี่คนต่างพากันเอาใจ จนทำให้ไอ้เล้งหัวร่อลั่นพอเมามาก็ควักเงิน
ออกมาแจกจ่ายอย่างไม่อั้น พร้อมทั้งหญิงคนอื่นเห็นดังนั้นก็ต่าง
พากันเข้ามาออดอ้อนบ้างและได้รับส่วนแบ่งไปมากบ้างน้อยบ้าง
สาวบางรายถึงกับใจกล้าเปลือยกายท่อนบนโชว์เสี่ยเสียอีกยิ่งทำ
ให้เกิดความครึกครื้นกันมาก จวบเวลาผ่านจนเที่ยงคืนจึงได้เลิกลา
กันต่างคนต่างกลับ แต่ไอ้เสี่ยเล้งก็ยังมิวายอดสั่งเสี่ยเม้งไม่ได้ว่าอย่า
ได้ลืมงานเสียล่ะ เสี่ยเม้งรับคำพลางพยุงร่างเสี่ยเล้งออกมาส่งที่รถ
เพื่อให้เดินทางกลับที่พักต่อไป
ภายหลังจากเสี่ยเม้งกลับไปแล้ว อาการเมาที่เสี่ยเล้งแสดงไว้เมื่อกี้
นี้หายไปดังปลิดทิ้ง พลางหันไปเรียกผู้คุ้มกันมามาสี่คน พลาง
กระซิบบอกอะไรบางอย่าง ร่างชายฉกรรจ์ทั้งสี่พยักหน้ารับพร้อม
แยกออกไปทันที ที่ทำเช่นนี้ด้วยเสี่ยเล้งเป็นคนระแวงสงสัยในบาง
อย่างของกำนันมั่น มันเป็นคนที่ไม่ค่อยจะเชื่อใครง่ายๆนักอีกทั้ง
ประสบการณ์ผ่านชีวิตด้านนักเลงทางด้านนี้ เพียงแค่อากัปกิริยา
ต่างๆของกำนันมั่น มันก็สามารถอ่านรู้สิ่งบางสิ่งบางอย่างได้ดี
จึงได้ใช้ลูกน้องของมันออกติดตามกำนันมั่นไปทันที
ครั้นกำนันมั่นออกจากร้านอาหารแล้วก็สั่งให้เจ้าน้อยรีบกลับไป
ยังบ้านทันใด เพราะมันกำลังคิดว่าไอ้แม้นลูกชายมันนั้นจะทำงาน
ได้เรียบร้อยหรือไม่ จึงสั่งให้เจ้าน้อยขับรถโดยเร็วผ่านทางลัดไป
แต่มันหาได้สงสัยระแวงสิ่งใดนึกว่างานนี้คงจะเรียบร้อยแล้วจึงนั่ง
หลับตาลงพักผ่อน หากมันไม่หลับตาลงอย่างใช้ความคิดอยู่นั้นมัน
ก็จะรู้ว่าเบื้องหล้งรถมัน ในระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่นักจะมีรถติด
ตามหลังมันมาตลอดเวลา ล้วนแล้วเป็นรถมอเตอร์ไซค์ทั้งสองคัน
แต่ทิ้งระยะห่างกันไม่เท่าไหร่ ฉนั้นเสียงรถยนต์จึงไม่ทำให้คนภาย
ในรถรู้เลยว่ามีคนติดตามมันมา หากไม่มองกระจกมองไปด้านหลัง
มันในระยะห่างไกลที่สามารถมองเห็นได้
ในไม่ช้ารถกำนันมั่นก็วิ่งเข้ามาในบ้าน แต่มันก็แปลกใจยิ่งนักด้วย
ภายในบ้านเงียบ ปกติแล้วจะเห็นร่างไอ้แม้นและพวกและบรรดา
สาวๆจะส่งเสียงดังเฮฮากันลั่น ครั้นมองไปที่ใต้ต้นมะขามใหญ่ก็
ปราศจากสิ่งใดๆนอกจากแคร่เท่านั้น ร่างกำนันมั่นชะงักสร้างความ
ส่งสัยจึงรีบวิ่งไปยังบันไดบ้าน แต่ไม่วายหันหลังมาสั่งไอ้น้อยว่า
“เฮ้ยๆๆๆไอ้น้อย มึงอย่าพึ่งเอารถไปเก็บนะกูชักสงสัย เออแล้ว
มึงรู้ที่ซ่อนของหรือไม่ล่ะ”
“รู้ครับกำนันเพราะผมเคยไปกับพี่แม้นเขา จำถนนหนทางได้ครับ
แต่ทางมันไปลำบากมากๆนะครับ หากกำนันจะไปก็ต้องเตรียมไฟ
ไปด้วยนะ ถ้าจะไป”
“งั้นมึงคอยเดี๋ยวก็แล้วกัน กูจะขึ้นไปดูบนบ้านก่อนว๊ะ”
กำนันไม่รอคำตอบรีบขึ้นบันไดบ้านไปทันที แต่กำนันคงเป็น
ห่วงเรื่องนี้มากจึงไม่ทราบว่า มีร่างคนสี่คนคลานเข้ามาภายในบ้าน
ลักษณะการเหมือนกับการฝึกฝนมาอย่างดี เพราะมันจะคลานเลื้อย
ไปเลื้อยๆมาตลอดเวลา และเข้าแอบยังพุ่มไม้เพื่อรอดูเหตุการณ์ของ
กำนันเสียก่อน เมื่อกำนันขึ้นไปบนบ้านก็เงียบกริบ จึงตะโกนเรียก
พวกที่อยู่ภายในบ้านทันที
“อีแจ๋วโว้ยมึงอยู่หรือเปล่า???...”
“อยู่จ๋าพ่อกำนัน มีอะไรหรือ???......”
“ทำไมมันหายหัวไปไหนกันหมดว๊ะกูชักสงสัย แล้วในบ้านมีใคร
อยู่บ้างล่ะ???... แล้วไอ้แม้นกับพวกกลับมาหรือยังล่ะ???...เห็นเงียบ
ผิดสังเกตุโว้ย มึงตอบให้กูรู้ด้วย เฮ้ยๆๆๆไอ้แม้นอยู่หรือเปล่าว๊ะ
ออกมาพบกูหน่อยโว้ย”
“มีข้ากับคนสองสามคนเท่านั้นจ้าพ่อกำนัน ส่วนพี่แม้นและพวก
ยังไม่เห็นมีใครกลับเข้ามาบ้านเลยสักคนเดียว”
“งั้นมึงไปเรียกมาให้หมด กูชักสังหรณ์ใจว๊ะ”
ครั้นแล้วสาวแจ๋วก็หายไปออกมาพร้อมด้วยบรรดาสาวๆสี่ห้าคน
จึงได้ถามว่า
“อีสร้อย อีช้อย อีนวล อีลัดดา และอีนวล มันหายหัวไป
ไหนกันหมดว๊ะ”
สาวชบาก็เอ่ยขึ้นว่า
“พี่แม้นสั่งให้ทำอาหารไว้ ข้าก็ไปนั่งคอยกินอยู่รอการกลับมาจน
ป่านนี้ยังไม่เห็นกลับมาสักคนเลย จึงได้เลิก ส่วนพวกนางนั้นมันได้
กลับไปบ้านกันแล้วล่ะพ่อกำนัน พวกข้าเองก็เห็นผิดสังเกตุแต่ไม่รู้
จะทำอย่างไรก็คอยจนดึกๆดื่นๆจึงได้แยกย้ายกัน ส่วนพวกมันให้ข้า
อยู่เพื่อคอยแจ้งให้กำนันรู้จ๊ะ”
“เออๆๆๆ....เดี๋ยวมึงไปปลุกคนที่อยู่ใกล้ๆไร่พวกเราให้มาสักสาม
สี่คนด้วยนะ ข้าจะไปดูว่ามันเป็นอะไรไปหรือเปล่าชักจะไม่ดีโว้ย”
“จ๊ะพ่อกำนัน เดี๋ยวข้าเอารถมอเตอร์ไซค์ไปนะ”
“เออๆๆๆ.....รีบไปรีบมานะข้าใจร้อนว๊ะ ปกติไอ้แม้นไม่เคยพลาด
เลยนี่นา อีบัวมึงไปหยิบเหล้ามาให้กูหน่อยแล้วถั่วหนึ่งจานก็พอกู
จะได้กินรออีก อีชบาก็มากินกับกูก็แล้วกันพวกอื่นๆไปพักผ่อนได้
แล้วล่ะโว้ย หากกูไปก็ให้ออกมาเฝ้าบ้านไว้ด้วยนะ พวกมึงยิงปืน
เป็นหรือเปล่าล่ะ???”
“เป็นจ้าพ่อกำนันไม่ต้องห่วงหรอก แล้วปืนอยู่ที่ไหนล่ะ???...”
“มันเก็บไว้ที่ห้องข้างๆบ้านนี่แหละว๊ะ มึงเลือกเอาที่ถนัดก็แล้วกัน
และข้าคิดว่าคงจะไม่เป็นไรหรอก”
เวลาผ่านไปสักราวชั่วโมงกว่าๆ ก็มีเสียงเดินขึ้นมาบนบ้าน กำนัน
หันไปมองแล้วถามว่า
“อีชบา มึงได้มาแค่สามคนเท่านั้นหรือว๊ะ”
“คนอื่นเขานอนกันหมดแล้ว เหลือไอ้สามคนนี่แหละกำลังนั่งแดก
เหล้าอยู่จ๊ะพ่อกำนัน”
“เออๆๆๆ...คงพอแหละว๊ะ แล้วไอ้เชื่อม ไอ้เบิ้ม ไอ้เปี๊ยกล่ะมึงใช้
ปืนเป็นหรือเปล่าว๊ะ”
“ปืนสั้นนะเป็นหรอกจ้าพ่อกำนัน ส่วนปืนอื่นข้าไม่ได้ฝึกมา”
“เท่านี้ก็พอ แต่คงไม่มีอะไรหรอกว๊ะ เพียงข้าจะไปดูเท่านั้นเอง
ไปๆๆกันได้แล้วล่ะว๊ะ มึงมีปืนหรือเปล่าล่ะ”
“พวกข้าพกปืนประจำเสมอแหละพ่อกำนัน”
“เออๆๆดีๆ...จะได้ถนัดมือมึง ไปกันได้แล้วล่ะ อ้อๆๆๆอีชบา
มึงไปเตรียมไฟฉายมาให้ครบทุกๆคนนะโว้ยเอาเผื่อไอ้น้อยด้วย”
“จ้าพ่อกำนัน ไม่ต้องห่วงหรอกข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
แล้วอีชบาก็รีบไปแล้วกลับมาพร้อมไฟฉายขนาดสี่ท่อนมามอบ
ให้กำนัน กำนันก็เอามาแจกแก่พวกที่จะไป พลางดื่มเหล้าเสียหมด
แล้วแล้วก็รินส่งให้พวกที่จะไปทุกๆคนอีกด้วย ครั้นได้เวลาก็ลง
บันไดไป แต่อดหันไปสั่งอีชบาไม่ได้ว่า
“อีชบามึงก็เป็นหัวหน้าคอยดูแลเฝ้าบ้านด้วยนะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกพ่อกำนัน ข้ารับอาสาดูแลให้เอง”
แล้วทั้งหมดก็ออกเดินทางระหว่างการเดินทางไปนั้นไอ้เบิ้มก็ถาม
กำนันซึ่งเดินไปใกล้ๆรถที่ไอ้น้อยนั่งคอยอยู่ ว่า”
“กำนันจะไปไหนหรือนี่ก็ดึกมากๆแล้วนะสำคัญมากหรือพ่อ
กำนัน ทำให้พวกข้าสงสัยนัก”
“หรือพวกมึงกลัวหรือว๊ะ จึงมาถามหากไม่สำคัญกูจะให้ไปเรียก
พวกมึงมาหรอก เพราะไอ้แม้นกับพวกมันไปย้ายของ ป่านนี้ตั้งแต่
เช้ายังไม่กลับมาเลยว๊ะ พวกมันจะประสบเหตุอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ทั้งสามเห็นน้ำเสียงกำนันมั่นเครียดมากเลยหยุดนิ่งไม่ถาม แต่เสียง
กำนันกลับได้ยินไปถึงพวกที่ซุ่มอยู่ เพราะกำนันไม่คิดว่าจะมีใครอีก
ครั้นทั้งหมดขึ้นรถ ไอ้น้อยก็ขับรถออกไปทันที บรรดาชายฉกรรจ์
สี่คนก็คลานกลับไปยังรถของมัน ออกติดตามไปทันที.........
แก้วประเสริฐ.
23 กรกฎาคม 2554 18:59 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๙๘
ครั้นเจ้าเปล่งระหว่างหัวร่อไปนั้น ก็มองหน้าบรรดาพรรคพวกแล้ว
ก็ให้อดเวทนาไม่ได้ จึงเอ่ยขึ้นว่า
“พวกเอ็งอย่าไปกลัวอะไรเลย ถึงอย่างไรพวกที่เจ้าเคล้าคลอนั้น
ล้วนแล้วแต่การฝึกฝนจากข้ามาทั้งสิ้น ดังนั้นแม้นว่าจะหาใช่คนนั้น
ก็จริงอยู่ แต่ทุกๆอย่างจะมีส่วนล้วนเหมือนคนทั้งสิ้น หากใครที่ไม่
มีภรรยาก็จะเลือกไปเลี้ยงเป็นภรรยาได้เหมือนดั่งคนนั่นแหละ เพียง
แต่ว่าจะไม่สามารถมีลูกกับหล่อนเหล่านั้นได้ จึงเบาใจได้เพราะนาง
ทั้งหลายนั้นต่างก็ล้วนจะเป็นคนเข้าไปทุกขณะแล้วล่ะ แต่ถ้าหากวัน
ใดที่เรียนสำเร็จก็จะไปอาศัยร่างที่ตายแล้วใหม่ๆเข้าอยู่ก็สามารถมีลูก
ได้นะ ด้วยจิตวิญญาณของคนที่ตายนั้นจากไปแล้วคงเหลือซากไว้จึง
จะกลายร่างเป็นคนก็สามารถสืบตระกูลได้แหละเพียงแต่ผิดกันที่
รูปร่างหน้าตาเท่านั้นเอง”
“จริงๆหรือเปล่ง เฮ้ย!!!???....อาจารย์เปล่ง ที่สามารถจะรับไปเป็น
เมียได้นะเพียงแต่ไม่มีลูกเท่านั้นหรือว่า?????.....”
เสียงเจ้าวาสเอ่ยขึ้นทันที เพราะถึงอย่างไรมันหาสนใจในเรื่องเชื้อ
สายไม่ เพราะบัดนี้มันหลงรักแม่นางไม้มณฑาเข้าไปแล้วจึงได้เอ่ย
ถามเจ้าเปล่งเพื่อให้แน่แก่ใจมันเองเท่านั้น
“จริงซิว๊ะเจ้าวาส เอ็งคบกับข้ามาเคยเห็นข้าโกหกเอ็งหรือไม่ไหม
ล่ะ???...ข้าพูดอะไรมักจะกล่าวด้วยความจริงทั้งนั้น”
ข้อนี้พวกมันทราบกันทุกๆคนดีว่าคนอย่างไอ้เปล่งนอกจากไม่ชอบ
พูดแล้วยังเป็นคนตรงไปตรงมาอีกด้วย
“นั่นซิข้าถามก็เพื่อให้แน่แก่ใจเท่านั้นเอง ถ้าอย่างงั้นข้าจะขออะไร
เอ็งสักอย่างจะได้หรือไม่ว๊ะไอ้อาจารย์เปล่ง”
เจ้าเปล่งรู้ความนัยของเจ้าวาสแล้วอมยิ้มพลางเอื้อนเอ่ยขึ้นว่า
“ได้นะได้หรอกวาส เพียงแต่ว่าแม้ว่านางจะเป็นครึ่งผีครึ่งคนก็
จริงอยู่นั้นนะ แต่ความหึงหวงร้ายกาจนักนะ เขาจะร้ายกาจยิ่งกว่า
คนเสียอีกล่ะ หากแม้นวันใดเอ็งผิดคำมั่นสัญญาต่อนาง ข้าเองไม่
อาจจะช่วยเหลือเอ็งได้ จะมีก็เพียงนายเท่านั้นเองแหละที่จะช่วยเอ็ง
ได้แต่ทว่าอาจจะไม่ทันการณ์เท่านั้นเอง นางจะฆ่าเอ็งทันทีอย่าลืมว่า
นางนั้นหาใช่คนไม่นะ เอ็งต้องจำไว้ให้ขึ้นใจให้ได้นะอย่าลืมที่ข้า
กล่าวไว้นี้เป็นอันขาดเสียล่ะ
ทางที่ดีบอกพี่ชวนไว้ก่อนแล้วมาอยู่กับข้าที่นี่เพื่อจะไม่เป็นห่วง
และไม่กังวลใจทำให้ได้สะดวกและเอ็งคิดดีแล้วหรือต้องพูดด้วยใจ
จริงๆนะไอ้วาส มันไม่ใช่สิ่งล้อเล่นกันนะมึงก็เคยเห็นฤทธิ์มาแล้ว”
“เรื่องนี้ข้ารับรองแต่ว่าจะทำอย่างไรดีล่ะที่จะได้แม่มณฑามาเป็น
เมียข้านะ ข้าให้สัญญาแก่อาจารย์เปล่งไว้ด้วยต่อหน้าพวกเราทั้งหมด
ไว้ว่าข้าจะไม่คิดนอกใจแม่นางมณฑาหรอก อ้อๆๆๆอีกเรื่องหนึ่งคือ
ว่าแม่นางมณฑาจะขอตามข้าไปช่วยทำงานด้วยล่ะจะว่าอย่างไร???”
“เรื่องนี้ไม่ยากหรอกว๊ะวาส เดี๋ยวข้าจะเรียกแม่มณฑามากล่าวให้
เจ้าเองแหละ เรื่องนี้ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรอยู่กันกันได้เลยล่ะ”
“จริงๆหรือว่าอาจารย์เปล่ง งั้นข้าก็โล่งอกไปเสียทีข้าคิดมาหลาย
วันแล้วตั้งแต่พบนางครั้งแรกนั่นแหละ ตอนแรกข้ากลัวมากๆจริงๆ
แต่เมื่อคืนนี้ ต่างพูดกันเข้าใจกันแล้วนางบอกว่านางเป็นสาว
บริสุทธิ์ยังไม่เคยต้องมือชายใดๆเลย แต่มาตายเสียก่อนด้วยโรค
ระบาด เร่ร่อนมาจนมาพบที่นี่และได้ขออาศัยอยู่ ทั้งได้รับการ
อบรมสั่งสอนวิทยาคมอีกด้วย เออๆๆแล้วเอ็งช่วยสอนข้าบ้างซินะ”
“ได้ซิเจ้าวาส หากเจ้าตัดใจได้แล้วก็ไม่เป็นปัญหาหรอก ยิ่งมาอยู่
ที่นี้ข้าจะนำวิชาที่นายอบรมสั่งสอนมาสอนแก่เจ้าให้หมดนะ”
“งั้นข้าตั้งแต่นี้ไปจะเรียกว่าอาจารย์ก็แล้วกันนะ”
เจ้าเปล่งห้วร่อเล็กน้อย แล้วพลางหันไปกระซิบแก่เด็กสาวที่คอย
ปรนนิบัติอยู่ให้ไปตามแม่มณฑามาพบด่วน ดังนั้นเด็กสาวก็รีบไป
สักครู่หนึ่ง นางมณฑาก็เดินมาพลางย่อตัวทำความเคารพเจ้าเปล่ง
ทันที พร้อมหันไปส่งยิ้มให้เจ้าวาสอีกด้วย แล้วนั่งลงข้างๆเจ้าวาส
ทำเอาเจ้าตี๋ใหญ่ ตี๋เล็ก เจ้ากุ๋น และเจ้าชื่นต่างมองหน้ากันไปๆมาๆ
แต่มันจะทำอย่างเจ้าวาสไม่ได้ ด้วยเหตุว่ามันถึงจะยังเป็นโสดอยู่ก็
จริง แต่ว่าพ่อแม่มันยังมีไม่เหมือนกับเจ้าวาสที่ตัวคนเดียว หากได้
นางพรายเหล่านี้เป็นเมียก็ย่อมไม่สามารถมีหลานให้พ่อแม่มันได้จึง
ต่างพากันหวั่นไหวไป และถึงแม้ว่ามันจะหลงเสน่ห์นางพราย
ทั้งหลายก็ตามแต่มันก็ต้องฝืนใจ ต่างมองหน้ากันและเงียบกริบ
เจ้าเปล่งก็หันมาทางพวกมันทันที พลางเอ่ยว่า
“แล้วมีใครอีกไหมล่ะที่จะคิดแบบเจ้าวาสนะ บอกข้ามาได้เลยล่ะ”
“เรื่องนี้พวกข้าปรึกษาคิดกันแล้วไม่อาจจะทำได้ เพราะมีพ่อแม่ข้า
ที่จะต้องการมีหลานสืบสกุล ทั้งๆที่ข้าจะรักสักปานใดหากติดพ่อแม่
เท่านั้นแหละว๊ะ นางทั้งหลายคงจะไม่ว่าพวกข้ากระมัง”
“เรื่องนี้พวกเอ็งไม่ต้องห่วงหรอก แต่มีใครล่วงเกินกว่าธรรมดาไป
หรือเปล่าล่ะ????.....”
“ไม่มีใครกล้าล่วงเกินหรอกเปล่ง เพราะพวกข้าเคยเจอพวกนาง
มาแล้วล่ะ แต่ด้วยอำนาจเสน่ห์อย่างใดไม่รู้ทำให้หลงใหลไปชั่วขณะ
หนึ่งว๊ะ จึงได้เพียงเย้าหยอกเล้าโลมภายนอกเท่านั้นเองแหละ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นปัญหาหรอกนะ เพราะพวกนางรู้ว่าข้าให้เขา
มาปรนนิบัติพวกเอ็งย่อมจะต้องมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น พวกนางไม่ถือสา
พวกเอ็งอะไรหรอก ไม่เหมือนเจ้าวาสที่ล่วงเกินข้างในไปแต่มันเป็น
ผู้ชายที่รับผิดชอบจึงยอมทำ พวกเอ็งสบายใจได้ แต่อย่างไรงานก็
อย่าให้เสียไปล่ะเพราะเป็นเรื่องสำคัญที่นายสั่งให้รีบทำโดยเร็วที่สุด
กลัวจะไม่ทันการณ์ เพราะเหตุการณ์บังคับมาด้วยล่ะ”
แล้วเจ้าเปล่งก็หันไปทางนางไม้มณฑาพลางเอ่ยขึ้นว่า
“มณฑาเอ๋ย!!!!....เจ้าคงจะรู้เรื่องแล้วซินะเจ้าวาสจะมาขอเจ้าไป
เป็นภรรยา เจ้าวาสเป็นคนซื่อตรงน้ำใจสัตย์ซื่อนัก ข้าได้บอกเขาแล้ว
เขาบอกว่า ไม่เป็นปัญหา ทางเจ้าจะว่าอย่างไรไม่ต้องกลัวหรอกหาก
ไม่ก็บอกว่าไม่ หากยอมรับก็บอกได้เลยนะ”
ครั้นนางไม้มณฑาได้ฟังก็หันไปทางเจ้าวาสพลางพิจารณาใบหน้า
สบตาแล้ว จึงเอ่ยกับเจ้าวาสว่า
“พี่วาสคิดดีแล้วหรือที่จะรับข้าไปเป็นเมียนะ ถึงแม้ว่าข้าจะเป็น
คนกึ่งผีกึ่งคนก็จริงแต่ไม่สามารถจะมีสายเลือดสืบพันธุ์มีลูกมีหลาน
กับพี่ได้นะ ขอให้พี่มั่นใจให้แน่นอนก่อนอาจารย์คงจะบอกนิสัยข้า
ให้พี่ทราบแล้วว่าเป็นอย่างไร ก่อนตัดสินใจรับข้าไปเป็นเมียนะ
ให้พี่วาสทบทวนให้ดีๆนะ ยังมีเวลาหรือว่าจะดูใจข้าไปก่อนก็ได้นะ
เผื่อว่าจะได้ไม่ต้องเสียใจในภายหลัง ข้าเป็นคนรักเดียวใจเดียวและ
ไม่ต้องการสาวๆใดๆจะมายุ่งเกี่ยวกับพี่อีกด้วย ขอให้พี่รีบบอกมา
เถอะข้าไม่โกรธพี่หรอกจ้า”
“มณฑาเอ๋ยข้าถึงแม้ว่าจะไม่ดีนักเป็นคนเกรกมะเหรกเกเรก็จริงแต่
เรื่องน้ำใจนั้นข้าสัตย์ซื่อถือมั่นนัก หากสิ่งที่ข้าคิดแล้วย่อมจะไม่ผิด
คำมั่นสัญญาหรอก ข้าขอให้แม่นางไว้ใจข้าได้เลย ข้าเองก็ไม่ใช่คน
เจ้าชู้ประตูดินแต่อย่างไร ทำอย่างไรข้าต้องรับผิดชอบเสมอๆ”
เมื่อนางไม้มณฑาได้ยินเช่นนั้นก็หันหน้าไปทางอาจารย์เปล่งพลาง
เอ่ยว่า
“หากพี่วาสยอมทำตามคำมั่นสัญญาแล้วศิษย์ก็จะยินยอมและจะทำ
หน้าที่แม่บ้านให้ดีที่สุดจ้าอาจารย์”
เจ้าเปล่งได้ยินเช่นนั้นก็หัวร่อ พลางเอ่ยว่า
“เห็นเจ้าวาสบอกว่าเจ้าจะขอติดตามไปในงานครั้งนี้ด้วยใช่หรือ
เปล่าล่ะมณฑา ก็ดีเหมือนกันนะอีกไม่เท่าไหร่ก็จะได้เป็นผัวเมียกัน
แล้วย่อมต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน คอยช่วยเหลือกัน อีกอย่างการมี
ครอบครัวนั้นหาใช่ว่าจะมีกันแค่ความใคร่ไม่ ควรจะรักเชื่อใจซึ่งกัน
และกัน หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยกันอย่าเอาแต่อารมณ์ของตนเป็น
ใหญ่ หากต่อไปเจ้าเป็นคนจริงๆก็จะได้ไม่มีปัญหา แต่นี่เจ้ายังเป็นกึ่ง
หนึ่งยังมีฤทธานุภาพอยู่ก็อย่าได้ใช้ให้เกียรติซึ่งกันและกันด้วย ทั้ง
เจ้าและเจ้าวาสด้วยก็เหมือนกันนะ ทำอะไรให้คิดไตร่ตรองเสียก่อน
หากไม่พอใจก็ควรหลีกเลี่ยงหนีกันไปก่อนแล้วค่อยมาพูดจาหา
เหตุผลกันและกันด้วย เพราะเจ้าทั้งสองยังหนุ่มสาวย่อมต้องมีเรื่อง
ที่จะตามมาอีกแยะๆนะ”
ทั้งเจ้าเปล่งและนางไม้มณฑาก็พากันไปกราบเจ้าเปล่งทันทีพร้อม
ให้คำมั่นสัญญา ดังนั้นเจ้าเปล่งจึงกล่าวแก่นางมณฑาอีกว่า
“ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรหรอกให้เจ้าทั้งสองต่างหัน
หน้ากราบกันขออภัยกันก็เพียงพอแล้ว แล้วให้เจ้านำพวกไปปลูก
กระต๊อบที่ ด้านข้างเขาซ้ายมือ จะมีหุบเขากำบังไว้ใช้เป็นเรือนหอ
ก็แล้วกันนะ หลังจากเสร็จงานแล้วก็ให้เจ้าทั้งสองไปอยู่ด้วยกัน
อ้อๆ เจ้าตี๋เล็ก ตี๋ใหญ่ ชื่นและกุ๋นก็ไปบอกพี่ชวนว่า ข้าจะให้เจ้า
วาสมาช่วยงานข้าทางนี้นะคงจะไม่เป็นปัญหาหรอก”
ครั้นพรรคพวกเจ้าเปล่งได้ยืนเช่นนั้นและเห็นทั้งสองต่างกราบกัน
แล้วหันไปกราบเจ้าเปล่ง ก็ต่างเข้ามาแสดงความยินดีแก่เจ้าวาสและ
นางไม้ด้วย พร้อมรับคำเจ้าเปล่งว่าจะไปแจ้งให้พี่ชวนทราบเรื่องนี้
ด้วย เจ้าเปล่งได้ยินเช่นนั้นก็อวยพรให้ทั้งหมดประสบชัยชนะในการ
ไปทำงานครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วง พร้อมบอกว่า พวกที่ไปล้วนแล้วแต่
เป็นหุ่นพยนต์ทั้งสิ้น เรื่องอาวุธต่างๆไม่อาจจะระคายเคืองได้ แต่ถ้า
หากมัน ปรากฏร่างเป็นผีที่น่ากลัวเจ้าก็อย่าได้หวาดหวั่นเพราะมันจะ
ไม่ทำให้เจ้าเห็นหรอก แต่ฝ่ายตรงกันข้ามจะเห็นเท่านั้น เมื่อทำลาย
แล้วให้เข้าไปตรวจให้แน่ใจเสียก่อน ถึงจะกลับมารายงานแก่ข้าเพื่อ
ข้าจะได้แจ้งให้นายทราบ อ้อๆๆๆส่วนหัวหน้าหน่วยฝึกและหน่วย
ลับไม่สนใจพวกผู้หญิงเหล่านี้บ้างหรือไงล่ะ????....”
เมื่อบรรดาพวกหัวหน้าฝึกและฝ่ายลับได้ยินถามเช่นนั้นต่างก็พา
กันส่ายหน้าไปๆมาๆ เจ้าเปล่งก็หัวร่อ พลางบอกให้ทุกๆคนไป
พักผ่อนได้แล้ว เพราะเวลาใกล้เข้ามาแล้วต้องออกเดินทางให้ทัน
ตามกำหนดนัดหมาย ดังนั้นทุกๆคนต่างก็ไปพักผ่อนเพื่อจะได้ออก
เดินทางกลับยังที่พักต่อไป
เสียงรถเก๋งดังปริ๊นๆๆกังวานขึ้นที่หน้าบ้านเสี่ยเม้ง บรรดาเด็กๆ
ต่างวิ่งกันออกมา กำนันมั่นก็ก้าวลงจากรถเก๋งพลางสอบถามว่าเสี่ย
อยู่หรือเปล่า???.... เด็กๆบอกว่าเสี่ยไม่อยู่ไปข้างนอก
“อ้าว!!!!!ๆๆๆๆแล้วเสี่ยไปไหนเสียล่ะ”
“เห็นเสี่ยบอกว่าจะไปที่ร้านอาหารจิตรโภชนาของเสี่ยเองแหละ
กำนัน เสี่ยสั่งว่าหากมีอะไรก็ให้กำนันไปหาที่นั่นนะ”
“เออ!!!????....ขอบใจว๊ะ”
แล้วกำนันมั่นก็ก้าวขึ้นรถ พร้อมสั่งเจ้าน้อยให้ขับรถไปร้านอาหาร
จิตรโภชนาทันที
ภายในห้องอาหารลับของร้านอาหารจิตรโภชนาจัดไว้ด้วยโต๊ะ
ขนาดยาวผืนผ้ามีอาหารเต็มพร้อมเหล้ายาบริบูรณ์ ต่างนั่งกันกำลังคุย
กันกับบรรดาลูกน้องตัวยงทั้งหลาย แต่ข้างๆเสี่ยเม้งกับเพิ่มด้วยชาย
ฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ไว้หนวดเรียวเหนือริมฝีปาก รู้สึกว่าเสี่ยจะเอาใจ
คนๆนี้มาก พลางกล่าวว่า
“งานที่ให้ไอ้มุ้ยไปทำมันชักชอบกลยังไงๆนะเสี่ย เพราะคนๆนี้ข้า
ไว้ใจมากที่สุดและทำงานกันมาหลายๆปีแล้ว มันบอกว่ามีคนปลอม
ตัวมารับของไปก่อน มันจึงไปคอยดักรอและเกิดยิงกันขึ้นลูกน้อง
มันตายหมด คงเหลือแต่มันที่โดนยิงคนเดียวเท่านั้นที่มันรายงานตัว
มา มันบอกว่าเอกสารเหมือนกันเปี๊ยบเลยทั้งรถทั้งคน ข้าจึงสงสัย
นักนี่ เดี๋ยวไอ้กำนันมั่นก็คงจะมาหรอก เพราะข้าสั่งให้เด็กบอกว่าข้า
อยู่ที่นี่ หากหนังสือสองฉบับเหมือนกันล่ะจะทำอย่างไรดีเสี่ยเล้ง”
“เรื่องนี้ข้าว่าต้องดูหลักฐานก่อนโว้ยไอ้เม้ง ข้าก็ได้ยินมาว่าไอ้
กำนันคนนี้มันก็ทำงานมาดีตลอดไม่เคยบิดเบี้ยวสักครั้งเลยนี่นา”
“นั่นซิเสี่ยข้าจึงคอยมันอยู่ที่นี่จะเอาหลักฐานมันมาให้เสี่ยดูด้วยเผื่อ
จะพบข้อพิรุธใดบ้าง ไอ้มุ้ยบอกว่ามันเป็นลายเมือเหมือนข้าไม่ผิด”
“แล้วของที่เด็กของเสี่ยล่ะยังอยู่ครบไหมล่ะ????...”
“ของที่ให้เก็บซ่อนไว้เมื่อวานนี้ข้าก็ไปตรวจดูแล้วว่ายังอยู่ครบ
และยังมีคนคอยเฝ้าอยู่ ตลอดแนวทางเลยล่ะ เพราะข้าได้สั่งให้แยก
ออกเป็นสี่ทางคนละทิศไว้เก็บไว้ในถ่ำภูเขาที่รกร้างยากที่จะหา
ค้นพบ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีไป แต่ว่าข้าคิดว่าจะให้รีบขนมาให้หมดก่อนที่
อะไรๆจะเหมือนกับที่คนของเอ็งพบมานะ ข้าจะได้ให้คนของข้า
ที่นำมานำไปให้หมด ด้วยทางกรุงเทพฯนั้นไม่พอจำหน่าย และที่
สร้างใหม่นั้นก็ยังไม่เพียงพอ เพราะต้องส่งไปหลายๆจังหวัดด้วยยิ่ง
ทางใต้ด้วยแล้ว มีความต้องการสูงด้วยซิ”
“แล้วจะไปขนเมื่อไหร่ดีล่ะเสียข้าจะได้ให้ ไอ้เซี๊ยะ ไอ้เช้ง ไอ้สุย
และไอ้มุ้ยนำพวกเสี่ยไปขนของเสียเลย อ้อๆๆได้ข่าวว่าทางเราจะมา
ผลิตเองจริงหรือเปล่าล่ะเสี่ย???...”
“ใช่แล้วไอ้เม้ง ตอนนี้ข้าได้ติดต่อไปทางพม่าและลาวไว้ตลอดจน
จีนด้วย ให้ส่งน้ำยาผสม และบางส่วนมาประกอบกันแถวๆชานเมือง
นี้แหละ เอ็งนับว่าหูตาไม่เบาเลยนะ”
“ทำไงได้ล่ะเสี่ยเล้ง เพราะเราทำงานด้านนี้ต้องหูตาไวๆหน่อย
อ้อๆ เดือนหน้าท่านรองตำรวจก็จะปลดแล้ว ได้ข่าวว่าตัวจริงจะเข้า
มาทำงานเอง ข้าเองพยายามสืบเสาะหาว่าใครเป็นหัวหน้าที่แท้จริง
จนบัดนี้ยังไม่รู้เลย คงจะรู้ตอนมอบกันนั่นแหละ ถึงจะรู้ว่าใครเป็น
ใครกันก็ ต้องนำของขวัญไปแสดงความยินดีกับเขาด้วยเพื่อสืบอีก
ทางหนึ่ง จะได้รู้สักทีว่าเป็นใครกัน”
“เออ????...ดีแล้วล่ะแต่ตอนนี้ให้ไปนำของมาก่อนนะเพราะข้า
รู้สึกว่าจะไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ทำไมมันรู้ได้อย่างไรว่าไอ้กำนันมั่น
มันไปซ่อนยังภูเขามันยังรู้ได้เลย ข้าก็เลยสงสัยว่าแล้วที่ซ่อนไว้ตาม
ที่ต่างๆมันจะรู้หรือเปล่า???????......”
เมื่อได้ยินเสี่ยเล้งกล่าวเช่นนั้น จึงหันไปสั่งกับลูกสมุนมันทันที
ขณะกำลังคุยกันไปฟังกันไปอยู่ เสี่ยเม้งก็เอ่ยว่า
“ไอ้เซี๊ยะ ไอ้มุ้ย ไอ้เช้ง ไอ้สุย มะรืนนี้มึงนำคนไปขนของที่ซ่อน
ไว้มาไว้ที่นี้เพื่อมอบให้เสี่ยเล้งเขาลำเลียงเข้ากรุงเทพฯนะ”
“ไม่ต้องต้องห่วงหรอกข้าจะนำคนไปขนของมาให้ทั้งหมดเลยล่ะ
เสี่ยอย่าได้เป็นห่วง เพราะคนที่ข้าส่งไปเฝ้านั้นล้วนแล้วแต่พระกาฬ
ไว้ใจได้ เพราะเป็นทหารที่ได้ปลดประจำการมาย่อมเชี่ยวชาญด้านนี้
ดีอีกทั้งตำรวจตะเวณชายแดนอีกด้วยที่ถูกปลดมา”
คนทั้งหมดกล่าวกับเสี่ยงเม้งและเสี่ยเล้ง จึงทำให้ทั้งสองยิ้มออกมา
สักครู่ใหญ่ๆ ก็มีเด็กเข้ามากระซิบกับเสี่ยเม้งทันที เสี่ยเม้งพยักหน้า
แล้วหันไปมองหน้าเสี่ยเล้งพลางเสมือนส่งสัญญาณให้รู้ แล้วเอ่ยว่า
“ให้มันเข้ามาได้ว๊ะ แล้วมึงคอยไปเฝ้าประตูไว้ ส่วนภายนอกให้
จัดเด็กคอยสังเกตุคนแปลกหน้าไว้ด้วยนะหากสงสัยจัดการได้เลย”
“ครับผมจะสั่งพนักงานทุกๆคนไว้ให้ครับ งั้นขอตัวออกไปก่อน
เพื่อทำงานให้เสี่ยครับ”
“เออ???...ดีแล้วไปได้แล้วล่ะ”
ครั้นเด็กออกไปเรียกกำนันมั่นให้เข้ามาได้ กำนันก็เดินเข้ามา
พร้อมกระเป๋าเอกสาร พลางวางกระเป๋าลงแล้วยกมือไหว้เสี่ยเม้ง
ทันที เสี่ยเม้งก็หันไปแนะนำให้กำนันมั่นได้รู้จักกับเสี่ยเล้งเจ้าพ่อ
อิทธิพลในกรุงเทพฯ ทำให้กำนันมองไปเห็นสภาพร่างกายก็ให้นึก
เกรงขามนัก เพราะไว้หนวดใบหน้าอูบอวมหน้าตาทมึงแต่ดวงตา
กลับกลมโตผิดกับชาวจีนทั่วๆไปให้นึกสงสัย แต่เพียงเก็บไว้ในใจ
เท่านั้น แล้วยกมือไหว้เสี่ยเล้ง
เสี่ยเม้งพลันก็เอ่ยขึ้นว่า
“นั่งก่อนซิ หรือว่าจะกินอะไรก่อนก็ได้นะ นั่งข้างๆข้านี่แหละว๊ะ
กำนันมั่นไหนๆขอดูหลักฐานด้วยนะ”
พลางสาวๆที่คอยเสริฟอยู่ก็รินเหล้าผสมเสร็จส่งมาให้ พร้อมนำ
ถ้วยตะเกียบมาตั้งไว้เสร็จก็ถอยหลังไปยืนคอยต้อนรับ กำนันครั้นยก
แก้วเหล้าดื่มจนหมดแก้ว แล้วก็เปิดกระเป๋านำเอกสารสามฉบับยื่น
ส่งให้เสี่ยเม้งทันที เสี่ยเม้งมองที่ลายเซ็นต์ทั้งสองฉบับถึงกับตก
ตลึงไป เพราะมันเป็นลายเซ็นต์ของมันไม่ผิด ดังนั้นจึงยื่นเอกสารทั้ง
สามฉบับให้เสี่ยงเล้งทันที...................
แก้วประเสริฐ.
(ขอโทษด้วยที่แต่งให้ช้าเพราะผมแต่งสดๆไว้ ตอนนี้ค่อยยังชั่วก็รีบเขียนส่งกลัวว่า จะทำให้เรื่องขาดตอนไปครับ อภัยด้วยครับ.....แก้วประเสริฐ.)