2 สิงหาคม 2549 00:16 น.
แก้วประเสริฐ
ขอเพียงแค่ฝัน
ค่ำคืนนี้...ทำไมๆหนอทำให้รู้สึกหม่นหมองไปเสียเหลือเกิน
จะว่าเรื่องการงานหรือก็มิใช่
จะเหนื่อยมากเกินไปหรือก็เปล่าเสียอีกล่ะ
จะเป็นเรื่องสุขภาพหรือก็ไม่เชิง เราตรวจสุขภาพสม่ำเสมอนี่นา
จะเกี่ยวด้วยความยากจนก็หาได้ทำให้พะวงต่อสิ่งนั้นก็หาไม่
หรือว่าจะเป็นด้วยความผูกพันในสิ่งที่พึงปรารถนาหรือก็มิเชิง
ทำไมๆหัวใจเราจึงอ่อนไหวเสียมากมายอะไรเช่นนี้ ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย
เกิดความรู้สึกที่ช่างหดหู่ อารมณ์สุดจะเหงาปราศจากสิ่งกระตือรือร้นไปเสียสิ้น.....
แม้แต่คืนเดือนเพ็ญเด่นกระจ่างสดใส ดาวปลายฟากฟ้าทอแสงเป็นประกายงดงามยิ่ง
โธ่เอ๋ย..โธ่ๆ....ใจเอ๋ยใจ..ใยจึงเป็นเช่นนี้ไปเล่า หรือว่าเราพบพานในสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
ใช่แล้ว...อาจเป็นด้วยปัญหานี้ก็ได้นะที่จะทำให้เราเกิดอารมณ์ที่แปรผันไปจากเดิมเสีย
จนเกิดความท้อแท้...เบื่อหน่ายมองสิ่งใดหรือก็คล้ายจะไม่พึงปรารถนา
อารมณ์สดใสที่เคยสัมผัส...มักจะมาพบหาได้เสมอในยามช่วงเวลานี้ตลอดที่ผ่านมา
จันทร์เอ๋ยจันทร์สุดสวย...ช่วยบอกข้าฯทีได้ไหมนะจันทร์ที่รัก...
เหตุใดหนอทำไมเล่า...หัวใจใยจึงได้เปลี่ยนแปลงเป็นไปได้ถึงเพียงนี้....
ดาวเอย...เหตุใดจึงได้จ้องมอง...หรือจะพากันเยาะเย้ยจึงมิได้กระพริบทอประกาย
หากจะมองออกว่าสิ่งที่ได้รับกำลังเศร้าหม่นหมองใจ จริงหรือดาว
ลมนั้นเล่า...เหตุใดช่างใจดำเสียเหลือเกิน..เมื่อก่อนเคยพัดโชยทำให้ผ่อนคลายสร้าง
สิ่งที่ชื่นใจจนเบิกบานหายจากความเหงาที่มักเกิดขึ้นเสมอๆมา....
ใบไม้แลหรีดหริ่งเรไรก็อีกล่ะ...ก่อนนี้เคยร่วมส่งประสานเสียงไพเราะ หวานซึ้ง
เยือกเย็นจับใจยิ่งนัก กล่อมหัวใจจนต้องเข้าร่วมร่ำร้องเพลงแห่งราตรีกาลนี้
เสมือนประหนึ่งช่วยปลอบเตือนให้กำลังใจ ในยามที่โหยหาอารมณ์เหงาเป็นอย่างดี
โอ้...บัดนี้เล่า แม้แต่เสียงก็ขาดหายไป ใบไม้หรือก็หยุดนิ่ง มิได้คำนึงถึงสิ่งที่เคยทำ
ผิดกับคราวที่ออกมาเฝ้ายืนชมจันทร์และดาว เคยเป็นเพื่อนร่วมร่ำร้องเคล้าคลอเพลง
บรรเลงกล่อมราตรีอันสดใสและยาวนานเกือบตลอดทั้งคืน จนต้องอำลากันและกัน
ใยมาบัดนี้..แต่ทำไมเล่าเจ้ากลับไร้ในสิ่งที่เคยร่วมกันสร้างสิ่งอันเร้าใจ ประทับใจ
ในคืนอันที่พึงปรารถนาไปเสียสิ้น แม้แต่สิ่งต่างๆหรือก็พากันเฝ้าหยุดนิ่งไปเสียหมด....
มิดูดีดูดายอีกแล้วล่ะหรือ คงปล่อยให้ต้องยืนเฝ้าสะท้อนอารมณ์เสียจริงๆ....
หรือจะสมน้ำหน้าซินะ ที่ไม่นำพาในสิ่งที่เคยอยู่เคียงคู่คืนกลับมาในฟ้าแห่งค่ำคืนนี้หรือ
โถๆๆ...สิ่งอันเป็นที่รักทั้งหลายเอย ใยใช่ว่าจะละเลยไม่พึงปรารถนาร่วมเคียงก็หาไม่
เพียงแม้นแต่เขายังคำนึงถึงสิ่งที่รอคอย แต่สิ่งที่หวังต้องการยังหาได้พบเพียงแม้แต่เงา
หรือๆว่า...เขาลืมเราไปเสียแล้วกระมัง จึงมิอาจได้เห็นแม้กระทั่งความต้องการที่ผ่านเข้ามา
เพียงแต่หวังลมๆแล้งๆ...ด้วยเราได้เคยตกลงสัญญากันว่าจะพบกันในยามจันทร์เพ็ญกระจ่าง
อาจจะมีเหตุการณ์ผันแปรในเรื่องเหล่านี้ที่คาดคิดมิถึงก็เป็นได้ แต่เนื่องด้วยสองเราต่าง
ก็เข้าใจกันแล้ว ฤาจะมีอะไรอีกเล่าหรือ?...อันเป็นเหตุให้ต้องยืนเฝ้าระทมแต่เดียวดาย
มาดแม้นเพียงสิ่งที่ประสบพบเห็นในช่วงกลางวันนั้นก็ตาม ก็เป็นเพียงธรรมดาที่การคบหา
สมาคมย่อมมีขึ้นในระหว่างหนุ่มสาว มิอาจก้าวก่ายล่วงเข้าสู่วาระแห่งการต้องสูญสิ้นพันธะ
บางทีอาจจะมีสิ่งจำเป็นบางประการที่ไม่สามารถมาร่วมในค่ำคืนนี้ได้กระมัง...
ย้อนกลับสิ่งพบเห็นก็อดที่จะสะทกสะท้อนล่วงลงเข้าส่วนลึกภายในใจมิได้
กระนี้นะหรือจึงเป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวาย ฟุ้งซ่านแห่งอารมณ์ยากที่จะข่มลงไป
แม้กระทั่งก่อนนอนของเราก็ตามที ก็ยังที่จะอดคิดๆนึกถึงอยู่เสมอๆมา
ถึงจะเป็นแค่ในสิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ตามที ก็ยังเฝ้าหลอกหลอนมิยอมจางหาย
จวบจนเราเข้านอนก็ไม่ค่อยจะหลับนัก คอยแต่มัวพะวงเฝ้าคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ
หากแม้สิ่งที่เรานึกคิดนี้เป็นความจริง ดั่งคนที่เราเคยได้พบเห็นเสมอๆล่ะ
แต่ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วเราจะทำฉันท์ใดดีหนอ???.....
โอ้ๆๆๆ..ขอเพียงแค่นึกคิดเท่านั้นนะ อย่าได้เป็นไปตามคิดฝันอีกเลย...
ไม่เป็นไรขอลืมเสียเถิด...ฉันเชื่อใจเธอเสมอมา
เชื่อในคำมั่นสัญญาที่มีไว้ต่อกันในค่ำคืนเพ็ญแจ่มจรัสโดยมีพระจันทร์และดวงดาว
ร่วมเป็นสักขีพยานเรา ในท่ามกลางน้ำค้างที่เฝ้าผูกพันธะใจในครานั้น
พลางสั่นศีรษะเบาๆ...แหงนหน้ามองดูเดือนและดาวคล้ายจะถาม แต่จันทร์ก็ยัง
ทอแสงนวลใยประกายส่องแสงสดใส ดาวหรือก็กระพริบแสงคล้ายดั่งจะบอกเรา
เงียบแม้แต่ลมและใบไม้หรีดหริ่งเรไรที่เคยร้องก็ดูช่างเงียบหายไปเสียหมดสิ้น
สังหรณ์ใจเกิดวูบขึ้นมาในจิตห้วงสำนึก เกิดขึ้นเป็นลางที่คล้ายจะบอกบางสิ่ง
บางอย่างแก่เราแล้วหรือไร จึงทำให้เกิดความวังเวงแทรกเข้ามาแทนที่ภายในใจ
ใช่แล้วเงียบเสียจริงๆ เว้นแต่หัวใจและความคิดเราซิกลับฟุ้งซ่านไปอย่างเร่าร้อน
กระวนกระวายไปเสียทุกๆอย่าง ทำให้ย้อนรำลึกถึงใบหน้าสาวน้อยที่งดงาม รอยยิ้ม
อันหวานฉ่ำ ลักยิ้มข้างแก้มอันขาวผ่องแดงระเรื่อของหล่อนช่างฝังลึกในใจเราเสียจริงๆ
หรือว่า หลง อ๊า..อ๊ะๆ!!???...หึงหวงรึ???...ใช่เราอาจจะหลงจริงๆแหละนะ
หลงในความอ่อนหวาน งดงามในอากัปกิริยาและหึงหวงในความเอาใจดูแลเอาใจใส่
ห่วงหาอาทรเสียจนทำให้เราคะนึงคิดถึงอยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้เคยพบ
โอกาสอย่างที่เราไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อนเลย ช่วงชีวิตผ่านมาจวบจนถึงปัจจุบันนี้
แต่..อนิจจา..สิ่งที่เราพบล่ะ? มันทำให้เราช่างแปลบปวดร้าวเสียจริงๆเสียแล้วหรือ...
คืนนี้กับคืนนั้นมันช่างแตกต่างกันเสียจริงๆ คืนนั้นเป็นคืนที่เราสองสุขสันต์ เบิกบาน
ต่างชวนชี้ชมแสงจันทร์ในคืนเดือนเพ็ญ ออดอ้อนออเซาะรำพัน กระเซ้าเย้าแหย่ ล่วงสิ่ง
สัมผัสทั้งกายและใจ ฝากไว้ในคำสัญญารักในฟ้าแห่งค่ำคืนจันทร์เพ็ญมิ แปรเปลี่ยน
เราสองคนเคียงคู่ พิศเชยชม หยอกเย้าเฝ้า พลอดพร่ำรำพัน รัญจวนใจยิ่งนัก
ยิ่งด้วยน้ำคำเสียงปร่าแฝงไว้ด้วยอารมณ์แห่งเสน่หาซึ่งต่างมอบไว้ให้ ดูช่างเร่าร้อนอาวรณ์
มิมีใดเหมือนรวมทั้งแฝงกระชั้นในสิ่งรัญจวน หวนหาภิรมย์ผูกใจซึ่งกันและกัน
ล้วนแล้วแต่เกิดจากรักที่แนบแน่น ประทับใจ หวานซึ้งตรึงในสิ่งอันพึงปรารถนา
บรรลุถึงสิ่งอันพึงประสงค์ของเราทั้งสองภายใต้แสงจันทร์สกาวที่เป็นสักขีพยานรักเรา
ราวกับจะเสกสรรวิมานชมพูสู่ยังเรือนใจทั้งสอง ถูกกล่อมแวดล้อมมโหรีดนตรีเสนาะ
ไพเราะไปด้วยเสียงหรีดหริ่งเรไรในธรรมชาติราตรี เน้นห้วงพิศวาสให้งามใสกระจ่าง
เริงร่าแจ่มใสประกายรักพุ่งสู่สวรรค์วิมานเมืองแมนฉะนี้ก็มิปาน....
เหตุบัดนี้นี่เล่า...ปมห่วงแห่งการเฝ้ารอคอยของเราจึงเป็นสาเหตุยามที่ไร้นางเคียงข้าง
ทำให้เกิดความหม่นหมองไปเสียแล้วหรือ
ตื่นเถิดลมใบไม้เอย อีกทั้งหรีดหริ่งเรไรทั้งหลายเล่า มาเถิด มาเถิด จงมาช่วยกันร้องรำ
บรรเลงเพลงแห่งรัตติกาลด้วยราตรีอันมีพระจันทร์ดวงดาวที่ต่างช่วยกันส่องแสงนวลใย
สลายความมืดแห่งหัวใจ เป็นสายใยแห่งความใสกระจ่างท่ามกลางแมกไม้
เพื่อไล่สิ่งอันเป็นความหม่นหมองไปเสียให้หมดสิ้นพ้นจากใจของพวกเราทั้งผอง
ขอเป็นเพียงแค่ฝันที่ผ่านมาแล้วก็ย่อมล่วงเลยไป มาร่วมช่วยสร้าง ร่ายรำ ทำนองเพลง
ฝากไว้ในรัตติกาลค่ำคืนนี้ถึงมาดแม้นจะไม่มีนางกลางใจก็ตาม จะใช่ว่าทำให้พวกเราต้อง
เกิดความท้อแท้ หม่นหมองไปโดยเปล่าก็หาไม่ เพื่อฝากไว้ในราตรีอันแช่มชื่นชั่วนิจนิรันดร์
*** แก้วประเสริฐ. ***
25 กรกฎาคม 2549 15:56 น.
แก้วประเสริฐ
** น้ำตานางฟ้า **
หยาดฝนโปรยปรายเป็นละอองเล็กๆถูกกระแสลมพัดสาดต้องหน้าต่าง
ที่เปิดแง้มๆไว้เข้ามาสู่ภายในห้องเล็กๆแคบๆพร้อมด้วยลมกรรโชกเป็นบางครั้ง
ทำให้ภายในห้องชื้นแฉะเปื้อนเปรอะ
ภายในมุมห้องมีเตียงซึ่งห่างจากหน้าต่างเล็กน้อยถูกนอนไว้ด้วยหญิงสาว
ใบหน้าเธอแดงกร่ำ ผ้าห่มที่คลุมร่างเธอสั่นไหว ร่างนั้นสั่นสะท้านเป็นบางครั้ง
เธอลืมตายกศีรษะเผยอขึ้นมองดูสายฝนที่กำลังโปรยปราย ท้องฟ้าที่เกือบจะมืด
ครึ้มแต่มีแสงสลัวๆของเช้าวันใหม่สาดเข้ามาเลือนรางนอกหน้าต่าง พลางถอนใจ
หากเป็นปกติแล้วเธอจะรีบกระวีกระวาดลุกขึ้นปิดหน้าต่างและจัดการภายในให้
สะอาด แต่บัดนี้เธอทราบดีว่าร่างกายเธออ่อนเพลีย เรี่ยวแรงไม่รู้หายไปไหนหมด
ความหนาวสะท้านเข้าสู่ใจหล่อนด้วยอากาศค่อนข้างเย็น
หล่อนนึก...เราคงเป็นไข้ คงจะติดจากการที่ต้องคอยดูแลปฏิบัติชายคนหนึ่ง
ตลอดทั้งคืน และเดินกลับหอพักตากสายฝนที่กระหน่ำอย่างหนัก
เกือบทั้งคืน มาเว้นตอนใกล้ๆจะสว่างสายฝนจึงเพลาๆเป็นละออง
แต่ก็ไม่วายที่ต้องเปียกโชกอีกเมื่อฝนกระหน่ำมาอย่างมากมาย
ด้วยความรีบร้อนเพราะต้องไปเข้าเวรในตอนเที่ยง
จึงเพียงผลัดเปลี่ยน เครื่องแต่งกายแล้วเข้านอนพักผ่อนรอเวลา
ถึงแม้ว่าเธอจะทานยาป้องกันไว้ก็ไม่วายรู้สึกครั่นเนื้อตัวเป็นไข้
หล่อนเหลือบสายตามองนาฬิกาที่วางไว้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง บ่งบอกเวลาจะเกือบ
เก้าโมงเช้า โอ้..เหลือเวลาไม่เท่าไหร่แล้ว เธอพยายามลุกขึ้นทั้งที่ร่างกายหนาว
สะท้านแต่ด้วยความสำนึกในหน้าที่รับผิดชอบที่ได้รับการมอบหมาย จึงสู้อุตส่าห์
พยายามพยุงร่างกายลุกขึ้นเดินไปปิดหน้าต่างเพียงแง้มๆเพื่อให้อากาศได้ถ่ายทอด
เข้าสู่บ้างไม่มากนัก พร้อมเปิดวิทยุเล็กๆหัวเตียงเพื่อฟังเหตุการณ์ต่างๆแล้วเดินไป
เสียบปลั๊กน้ำร้อนตรวจสอบน้ำให้มากพอที่จะนำมาชำระร่างกายตนเอง เพื่อบรรเทา
ความร้อนในร่างกาย
ความสดชื่นเข้ามาหลังจากเธอได้ชำระล้างสิ่งต่างๆร่างกายด้วยน้ำอุ่นๆพร้อมทั้ง
ทานยาแก้ไข้ในเวลาต่อมา แต่งตัวลำลองเพื่อคอยเวลาแม้ว่าอาการจะดีขึ้นเล็กน้อย
ก็ตาม เธอย้อนความคิดถึงคนไข้ที่เธอได้คอยดูแลปฏิบัติซึ่งมีอาการเพ้อตลอดเวลา
เนื่องจากได้รับอุบัติเหตุจากรถยนต์ เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งใบหน้าคมคาย
จะจัดว่าหล่อเหลาก็ไม่เชิง แต่ด้วยสาเหตุใดไม่ทราบทำให้เธอสนใจเป็นพิเศษต่างกับ
คนไข้อื่นๆที่เธอเคยดูแลรักษาพยาบาลมา หรือเพราะความสงสารประกอบกับจิตใจ
เธอที่อ่อนไหวก็ไม่เชิง
ช่างเถอะ หน้าที่คือหน้าที่ หล่อนคิด
อย่าให้สิ่งอื่นใดแทรกซ้อนกว่าหน้าที่เราน๊ะ หล่อนรำพึงกับตนเองพร้อมทั้ง
สะบัดศีรษะเบาๆ
ถึงแม้ว่าใบหน้านั้นยังคงจะวนเวียนหลอกหลอนเธออีกก็ตาม ผิดแผกจากใบหน้า
คนไข้อื่นๆที่เธอประสบมาแล้วก็ลืมหายไป
จะบ้าหรือเรา คิดมากไปได้ หล่อนพร่ำกับตัวเอง
เธอรีบจัดการกับอาหารตอนเช้าจะเรียกว่าสายก็ได้เพื่อเตรียมตัวไปเข้าเวร
ทำหน้าที่ต่อที่เคยกระทำคือไปรับรายงานจากหัวหน้าที่จะสั่งงานให้เธอทำในแต่ละวัน
เมื่อเวลานาฬิกาตีบอกเวลา สิบเอ็ดโมง ทั้งๆที่ร่างนั้นยังซวนเซดุจคลื่นต้องลมก็ตาม
เธอยิ้มให้กับตัวเองที่หน้ากระจกรีบแต่งใบหน้าด้วยความรีบร้อนหาได้สนใจต่อ
ใบหน้าของเธอว่าจะเป็นประการใดไม่ เพียงเพื่อความต้องการให้เรียบร้อย แล้วตรวจ
สอบการแต่งกายชุดพยาบาลที่ขาวให้แลดูขาวสะอาดเสมอๆ
ชุดแต่งกายนี้มันเป็นความภาคภูมิใจต่อเธอยิ่งนัก กว่าจะได้ผ่านการทดสอบต่างๆนาๆ
ผ่านการศึกษาเล่าเรียนและการทดลองอีกนานจึงจะสามารถแต่งกายชุดนี้ได้
ด้วยความภาคภูมิ เธอเรียกชุดนี้ว่า ชุดแห่งนางฟ้า แน่ล่ะนางฟ้าที่แสนสวยตลอดกาล
ใช่แล้วชุดแห่งความสะอาดบริสุทธิ์ยิ่ง ฉะนั้นเราต้องทำตัวเราให้เหมือนชุดที่เรา
ได้แต่ง เสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อผู้อื่นทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจไม่ว่าแม้จะเกิด
อะไรขึ้นแก่เราก็ตาม หล่อนรำพึงด้วยความสุขที่ภาคภูมิใจเสมอมา
นี่เธอแม่วิภาวดี...ทำไม..มาช้าไปเกือบ ห้านาทีละย๊ะ เสียงพยาบาลอาวุโสกล่าว
ฉันบอกเธอเมื่อวานว่าให้มาก่อนเวลาทำงานสัก สิบนาทีนะ สำเนียงกล่าวย้ำดังอีก
ขอโทษค่ะ..แม่...สงสัยนาฬิกาของหนูเป็นเหตุ..ค่ะ หล่อนกล่าวอ้าง ซึ่งอันที่
จริงอาจจะเป็นนาฬิกาก็ได้ มันช้าทำให้พลาดไปผิดเวลาไปเกือบห้านาที
ไม่เป็นไรหรอก...ทีหลังให้เร็วกว่านี้อีกนะ ปกติเธอเป็นคนตรงต่อเวลานี่นา
ไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย...เออ...ทำไมหน้าตาเธอถึงแดงมากล่ะเป็นอะไรหรือ?
หญิงอาวุโสผู้เป็นหัวหน้าถามด้วยความสงสัย
หนูไม่ค่อยสบายค่ะ...ตากฝนเมื่อคืนนี้ แต่ก็ทานยาแล้วค่ะแม่ หล่อนตอบ
แล้วจะทำงานไหวหรือเธอ...ไปพักผ่อนก่อนดีไหมเดี๋ยวจะเป็นมากนา
พยาบาลอาวุโสกล่าว พร้อมทั้งเอามือไปแตะหน้าผากหล่อน
โอ้ว.?..เป็นมากเสียด้วยซิ งั้นไปนอนพักผ่อนเถอะทางนี้ฉันจัดการเอง
หัวหน้าพยาบาลกล่าว
จริงซินะ...พยาบาลภายในการปกครองของท่านทุกๆคนต่างให้ความรักเคารพ
บูชาหัวหน้าพยาบาลคนนี้เทียบเท่า แม่ เธอเป็นแม่พระประจำใจของทุกๆคน
เธอสอนในสิ่งที่เราไม่รู้ เธอปกป้องยามที่ทุกๆคนได้รับความเดือนร้อนโดยไม่คำนึง
ว่าการกระทำของเธอจะต้องทำให้หน้าที่การงานเธอต้องถูกตำหนิจากผู้บังคับบัญชา
แต่ก็พ้นผ่านเหตุการณ์เหล่านี้ได้ทุกๆครั้ง จนเป็นที่กล่าวขานทั่วๆไปของแผนกอื่น
และในการกลับกันก็ได้รับการสรรเสริญจากผู้บังคับบัญชาต่อหน้าเหล่าพยาบาล
ทั้งหลายให้ยึดแนวทางการปฏิบัติเยี่ยงอย่างเธอเป็นตัวอย่างที่ดีได้ เพราะงานของเธอ
ได้รับประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งจากความร่วมมือร่วมใจของผู้ใต้บังคับบัญชา
ของเธอทั้งหลายที่ทุ่มเทแรงกายและแรงใจให้แก่เธอ จนได้รับคำชมสรรเสริญจาก
รัฐมนตรีสาธารณสุขและผู้ใหญ่ในวงราชการให้ความไว้วางใจจะมาเป็นคนไข้ใน
แผนกของเธอ บางครั้งต้องสั่งจองล่วงหน้ากันเลยทีเดียว เธอนึกย้อนหลัง
ขอบคุณค่ะแม่..แต่ว่าหนูคิดว่าพอทำได้ค่ะ หล่อนกล่าวพร้อมมองหน้าหัวหน้า
จริงอีกซินะ บางครั้งแม่ก็มีอารมณ์บ้างแต่ทุกๆอย่างแฝงไว้ด้วยเหตุผล แต่ภายใน
จิตใจทุกๆคนรู้ดีว่า แม่เป็นคนที่มีความเมตตา อารี โอบอ้อมเสมอๆ...ผิดเธอจะขอโทษ
ต่อหน้าทุกๆคนไม่คำนึงว่าจะเป็นหัวหน้าก็ตามที...เรียกว่าผิดว่ากล่าวตักเตือน..
ถูกจะชมและการกระทำของเธอแสดงต่อหน้าเสมอๆทันที..
ไม่มีการนินทาลับหลังเลยสักครั้งหรือใช้ตำแหน่งหน้าที่ของเธอกลั่นแกล้ง
ใครทั้งสิ้นโดยเด็ดขาด หล่อนรำพึงพร้อมทั้งภูมิใจที่เธอเองเรียกหล่อนว่า แม่
ได้เต็มปากเต็มคำ ในส่วนลึกเธอคิดว่าจะดำเนินตามรอยอย่างที่ดีนี้ตลอดไป
ถ้าอย่างนั้นตามใจเธอนะ...เอาอย่างนี้เธอไปเฝ้าไข้ต่อจากเมื่อคืนนี้ก็แล้วกัน หน้าที่
อื่นฉันจะให้คนอื่นเขาไปดูแลแทน อ้อ...แล้วก็พยายามพักผ่อนด้วยนะ อาการจะได้ดีขึ้น
เสียงผู้ที่ได้รับสมนายามว่า แม่ กล่าวขึ้นสั่งงานให้เธอทำในวันนี้ด้วยความห่วงใย
ค่ะแม่ เธอกล่าวรับพร้อมจัดหาเครื่องมือจำเป็นบางอย่างก้มศีรษะออกเดินไป
พร้อมคำนึงคิดถึงใบหน้าอันคมคายของผู้ที่หล่อนต้องไปดูแลรักษา
จะบ้าแล้วหรือเรา.. คิดอะไรบ้าๆไปได้ หล่อนสะบัดศีรษะเบาๆเพื่อผ่อนคลาย
อารมณ์ที่นอกลู่นอกทางของหล่อน พร้อมร่างที่ค่อนข้างจะเซเล็กน้อย
ทุกๆสิ่งทุกอย่างย่อมเป็นไปตามลิขิตของเวรกรรมที่หมุนกระแสนำทางผ่านเข้ามา
ของทุกชีวิตหลายๆคนในโลกใบนี้ จะมีทั้งปวดร้าว สุขสมพูนสุข สิ้นหวังและผิดหวัง
วันคืนผ่านพ้นไปช้าบ้างเร็วบ้างตามสภาวะของบุคคลที่ได้รับผลจากการกระทำของผู้นั้น
หาใช่วาสนาที่บางคนไขว่คว้าเพื่อต้องการโดยไม่คำนึงผลแห่งการกระทำ เพียงหวังแค่
มันจะต้องได้ มันจะต้องประสบความสำเร็จตามคาดหวังหรือตั้งใจโดยตั้งหน้าบูชาในสิ่ง
ที่ไม่ควรบูชาเพื่อเรียกร้อง ขอร้องต่อสิ่งนั้นๆ โดยตนเองไม่ช่วยเหลือตนเองคอยแต่หวัง
ลมๆแล้งๆว่า ต้องได้ในสิ่งที่สร้างสมไว้โดยไม่คำนึงว่าชีวิตนี้เคยทำอะไรบ้างถูกหรือ
ผิดอย่างไรบ้างโดยไม่คำนึงว่าสิ่งนั้นๆเป็น ความดีหรือความชั่ว ที่ควรแยกแยกสิ่งนั้นออก
อย่างไหนจะมากกว่ากัน สิ่งนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ได้ก็ตาม หาใช่เป็นแนวหนทางทางหนึ่ง
ที่จะต่อยอดทอดสู่การเดินทางของชีวิตนั้นๆก็หาไม่ เพียงหลงคิดผิดในตัวเราเองเสมอๆ
ความรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง ความเอาใจใส่ดูแล ความเมตตาปราณีที่หล่อนนำ
ลงสู่ช่วงชีวิตของการทำงานเลียนแบบแม่พระของหล่อนอย่างไม่ย่อท้อแม้จะลำบากยากเข็ญ
ก็ตามโดยไม่คำนึงว่าจะมีฐานะสูงต่ำอย่างไรของผู้ที่หล่อนเข้าทำการรักษาดูแล เพียงปรารถนา
สิ่งเดียวคือการพ้นทุกข์ของผู้ป่วยไข้ที่หล่อนได้รับมอบหมายหรือแม้กระทั่งมิได้รับมอบหมาย
ก็ตามหล่อนพร้อมเสมอที่จะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด ให้พ้นจากภัยพิบัติปลอดภัยทั้งนอกหน้าที่
หรือในหน้า มิคำนึงถึงการมีครอบครัวของหล่อน จนกระทั่งเวลาผ่านพ้นไปหลายๆปีก็ตาม
หาใช่ว่าหล่อนจะปราศจากความรักก็หาไม่ เพียงแต่ความรักของหล่อนนั้นกลับทุ่มเทให้
กับผู้ที่กำลังรอการปลดปล่อยจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายจนลืมถึงความสุขส่วนตัวของตนเอง
จนกระทั่ง...ได้รับการกล่าวขวัญว่า...
สงสัยยายคนนี้จะเป็นโสดแก่ไปจนตาย จากเพื่อนพยาบาลรุ่นพี่และรุ่นน้องที่คอย
สดับเฝ้ามองหล่อน จะว่าหล่อนนั้นมีใบหน้าที่อัปลักษณ์หรือทรวดทรงที่ปราศจากคนสนใจ
หรือก็หาไม่ หล่อนกลับมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส สง่าราศีงามทรวดทรงที่ได้รับการดูแลเอาใจ
ใส่เป็นอย่างดีถนอมพละกำลังไว้เพื่ออุทิศให้แก่งานของหล่อนเท่านั้นอย่างงดงาม ทำให้หล่อน
แลดูเยาว์วัยกว่าวัยที่หล่อนควรได้รับ ด้วยความดีหลายๆประการในการอุทิศตนสร้างความดี
ด้วยผลงานทั้งทางด้านกายและจิตใจ สิ่งที่มิได้หวังคาดหมายใดๆทั้งสิ้นก็บังเกิดขึ้นกับหล่อน
วันนั้นเป็นวันงานประจำปีที่ทางโรงพยาบาลจัดขึ้นเพื่อแสดงน้ำใจแก่เจ้าหน้าที่ภายใน
โรงพยาบาลที่สู้อุตสาหะวิริยะทำมาตลอดทั้งปี ซึ่งนับว่าเป็นงานใหญ่ก็จะกล่าวได้
เพราะได้รับความเมตตาจากท่านรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขพร้อมคณะรัฐมนตรี
ต่างๆได้มาร่วมในพิธีดังกล่าวด้วย
ท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลได้อ่านพิธีการต้อนรับคณะรัฐมนตรีที่มาเยือน
แถลงนโยบายต่างๆที่โรงพยาบาลได้จัดทำขึ้นเพื่อสนองนโยบายของรัฐบาลในช่วง
ที่ผ่านมา และถือเป็นเกียรติสูงสุดที่จะมอบประกาศนียบัตรเกียรติคุณเพื่อมอบให้
แก่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ตลอดจนเลื่อนตำแหน่งต่างๆให้กับเจ้าหน้าที่
โดยท่านรัฐมนตรีประจำกระทรวง จะขอเป็นผู้แจกเองตามหมายกำหนดการและติด
ยศตำแหน่งนั้นๆด้วยตัวท่านเอง
ทุกๆอย่างเป็นที่ทราบแล้วของผู้ที่จะได้รับเกียรติอันนี้ ถึงแม้จะเป็นความลับ
เพราะทางโรงพยาบาลต้องการเซอร์ไพร์ส แต่ก็ไม่วายที่จะแย้มออกมาให้ทราบจากหัวหน้า
เกือบทุกๆคนเพื่อความพร้อมเพรียง ยกเว้นคนบางคนเท่านั้น ทุกคนต่างพากันเตรียมตัวพร้อม
ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แต่ทว่าหล่อนหาได้ทราบร่วมกับเขาไม่แต่หล่อน ก็มีอารมณ์
ยิ้มแย้มเสมอ หล่อนคิดว่า
ความดีนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเราเสมอไป คนอื่นก็เพียบพร้อมดีกว่าเรา
เราต้องพยายามต่อไปวันหนึ่งคงจะเป็นของเราบ้าง ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ยิ่งใหญ่เท่าครั้งนี้ก็ตาม
หลังจากที่ท่านรัฐมนตรีกล่าวรับทราบนโยบายต่างๆจากท่านผู้อำนวยการแล้ว ก็ยืนคอย
เพื่อแจกรางวัลและติดยศให้แก่ผู้ที่ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น สิ่งที่ทุกๆคนแปลกใจอย่างยิ่ง
ก็คือทุกๆคนนึกว่าท่านรัฐมนตรีประจำกระทรวงนั้นคงจะมีอายุมากเลยวัยกลางคนไปแล้ว
กลับความคิดเหล่านี้ไปเสียสิ้น กลับเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามใบหน้าคมคาย จนเป็นที่แอบฮือฮา
ของเหล่าสาวๆพยาบาลตลอดจนเจ้าหน้าที่อื่นๆโดยคาดคิดมิถึง บางคนที่ติดตามผลงานของ
รัฐบาลก็ทราบบางคนก็ไม่ทราบ ซึ่งใบหน้านั้นผิดกับรูปที่ลงในหนังสือพิมพ์โดยสิ้นเชิง
โดยเฉพาะหล่อนนั้นจำได้เพียงคลับคล้ายคลับคลาเท่านั้นอีกอย่างหนึ่งงานในหน้าที่
หล่อนทำให้ขาดการหมกมุ่นสนใจข่าวบ้านเมืองนอกจากได้รับฟังจากวิทยุเล็กๆที่หล่อนใช้
ฟังเหตุการณ์เท่านั้น
หล่อนคิด อืมมๆช่างคล้ายเสียจริงๆนะ ความคิดย้อนกลับไปถึงชายหนุ่มใบหน้าคมคาย
ที่สร้างให้หล่อนต้องหวั่นไหวไปในขณะที่เข้าเฝ้าดูแลพยาบาลคนไข้รายหนึ่ง
ช่างเถอะ...คนเราอาจจะคล้ายๆกันก็ได้...มีแยะไปที่ใบหน้ารูปร่างคล้ายๆกัน... หล่อนรำพึง
แปลกจริงน๊ะ..ที่เราพยายามลืมไปแต่ทำไมใจเรากลับวุ่นวายกังวลไปก็ไม่รู้ แม้เขาผู้นั้นจะกลับ
ไปนานแล้วก็ตาม นี่ก็ผ่านมาหลายๆปีแล้วนา หล่อนอุทานในใจ
การเรียกขานรายชื่อเพื่อเข้ารับการติดยศและมอบใบประกาศนียบัตรเกียรติคุณ ค่อยๆผ่านไป
ทุกๆครั้งจะมีการปรบมือและถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกอย่างเกรียวกราว ใบหน้าที่แสดงความดีใจทั้งผู้รับ
และผู้ที่ร่วมแสดงความยินดีด้วย เวลาผ่านไปจนกระทั่งทุกๆอย่างใกล้จะเรียบร้อยแล้ว
ท่านผู้อำนวยการท่านก็ประกาศต่อทุกๆคนว่า ยังมีอีกผู้หนึ่งที่ทางท่านรัฐมนตรีของสงวนนาม
ไว้เป็นพิเศษจะมอบเครื่องหมายยศพร้อมทั้งเครื่องแต่งกายให้แก่ผู้นี้พร้อมทั้งจะกล่าวคำเป็นพิเศษด้วยตนเอง
แล้วท่านก็เงียบไปพร้อมหันหน้าไปยิ้มกับท่านรัฐมนตรีฯซึ่งก็ยืนยิ้มตื่นเต้นยินดีเช่นกัน
ทุกๆคนรอคอยวาระเหตุการณ์นี้ด้วยหัวใจระทึก ตื่นเต้น ใครหนอที่จะได้รับเกียรติอันยิ่ง
ใหญ่ครั้งนี้จากท่านผู้อำนวยการของโรงพยาบาลที่จะกล่าวขานถึงบุคคลผู้ได้รับให้ก้าวออกมา
กลับผิดคาดของทุกๆคนเมื่อเห็นท่านผู้อำนวยการฯ ส่งหนังสือมอบให้แก่ท่านรัฐมนตรีประจำ
กระทรวงเป็นผู้กล่าวนามผู้ที่ได้รับเกียรตินี้เสียเอง
ข้าพเจ้าในฐานะเป็นผู้เกี่ยวข้องดูแลโรงพยาบาลแห่งนี้ และเครือข่ายต่างๆที่ได้รับมอบหมาย
จากรัฐบาล รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติจากทุกๆท่านที่มาร่วมในงานครั้งนี้โดยเฉพาะจาก
ท่านผู้อำนวยการ...ผู้บริหารและตลอดจนทุกๆคนในที่นี้ ที่ได้ช่วยร่วมแรงร่วมใจ อุตสาหะ
วิริยะ อดทนช่วยเหลือเกื้อกูนไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยด้วยความยากลำบาก รักษาดูแลผู้ป่วยทุกๆคน
ให้พ้นจากโรคาพิบัติทั้งปวง ซึ่งการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นถือได้ว่าเป็นทุกข์อย่างหนึ่งย่อมทำให้
ผู้ที่ได้รับเกิดความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส หากได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีก็จะบรรเทาทุกข์
สิ่งเหล่านั้นได้ จนพ้นความเจ็บปวดทุกข์ทั้งหลายตามแต่เวรานุสากรรมของแต่ละบุคคลนั้นๆ
จากโรงพยาบาลนี้ จนเป็นที่กล่าวขานของบุคคลทั่วๆไปความทราบไปจนถึงรัฐบาล
ลดทอนปัญหาต่างๆให้แก่รัฐบาลได้เป็นอย่างดี จนมีรัฐมนตรีบางท่านและครอบครัวให้
ซึ่งความไว้วางใจมาเข้ารับการรักษาอย่างเนืองแน่น นี่แหละคือคุณงามความดีที่ทุกๆท่าน
ได้อุตสาหะไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยสร้างไว้จนเป็นที่เลืองลือไปไกลแก่ประชาชนทั่วๆไปทั้งหลาย
ซึ่งก็ทำให้งานของพวกท่านต้องเพิ่มภาระมากยิ่งขึ้น แต่ก็สำเร็จไปด้วยดียิ่ง และพร้อมทั้งการ
กล่าวขวัญชมเชยไว้มากมาย เป็นที่น่ายินดียิ่ง
ถือได้ว่าเป็นหน้าเป็นตาของรัฐบาล ตลอดจนโรงพยาบาลต่างๆก็ว่าได้...
ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยเข้าได้รับการรักษาดูแลเนื่องจากได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์ในขณะ
ที่ไปปฏิบัติราชการและได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนฝูงนำมาที่โรงพยาบาลนี้ทั้งๆที่สติข้าพเจ้าลวนเลแต่
ยังดีอยู่ก่อนจะสลบไป
บอกตรงๆข้าพเจ้าไม่รู้จักโรงพยาบาลนี้ดีเท่าไหร่หรอก เพราะ
มิใช่ว่าเป็นแค่โรงพยาบาลเล็ก พอเข้ามาแล้วจึงซึ้งน้ำใจของทุกๆคนช่างยิ่งใหญ่ไพศาลจริงๆ
ซึ่งอาจจะเหนือกว่าโรงพยาบาลแห่งอื่นก็ว่าได้ ความซาบซึ้งครั้งนั้นซึมซาบแก่ข้าพเจ้ามาก คิดว่า
สักวันหนึ่งคงจะได้มาเยี่ยมเยียนสถานที่แห่งนี้ บัดนี้ความคิดของข้าพเจ้าก็สัมฤทธิ์ผลทำให้
ข้าพเจ้าตื่นเต้นมาก สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าคอยเฝ้าติดตามโดยไม่แสดงตัวถึงการทำงานของบุคคลหนึ่ง
ซึ่งเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมทุกประการ ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีถึงแม้ว่าคุณเธอนั้นครั้งหนึ่ง
จะเจ็บไข้ได้ป่วยแต่ก็ยังเฝ้าดูแลข้าพเจ้าเปรียบเสมือนบุคคลที่ปกติธรรมดา
ทั้งๆที่ร่างกายคุณเธอกำลังเจ็บป่วย อุตส่าห์ดูแลจนข้าพเจ้าหายปกติและ
ออกจากโรงพยาบาลไป แต่ข้าพเจ้าก็ยังให้คนสนิทข้าพเจ้าคอยสอดส่องดูแลการกระทำของเธอ
และรายงานต่อข้าพเจ้าอยู่เสมอมามิได้นิ่งนอนใจ ที่ข้าพเจ้าไม่อาจมาเพราะจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่จะทำให้
เกิดความไม่สบายใจแก่หล่อนหรือทำให้ได้รับการครหานินทาต่างๆนาๆอันอาจจะทำให้เธอ
นั้นเกิดความไม่สบายใจในตำแหน่งหน้าที่ของข้าพเจ้า เพียงรอโอกาสที่เหมาะที่ควรเท่านั้น
โดยปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปตามครรลองขั้นตอน จนผู้นั้นได้รับความไว้วางใจจากท่านผู้อำนวยการ
เลื่อนตำแหน่งของคุณเธอขึ้น นั่นแหละข้าพเจ้าจึงได้เวลาทดแทนคุณของเธอผู้ประเสริฐในสายตาของข้าพเจ้า
โดยทั้งนี้ข้าพเจ้าขอรับรองว่ามิได้ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ต่อคุณเธอใดๆทั้งสิ้น ได้กล่าวกับ
ท่านผู้อำนวยการซึ่งเชื้อเชิญข้าพเจ้ามาประกอบพิธีในงานนี้ จึงขอความกรุณาจากท่านว่าจะขอ
ความกรุณาจากท่านเป็นพิเศษอย่างหนึ่งคือ จะมอบเครื่องแต่งกายพร้อมหมวกและประดับยศเอง
และขอร้องท่านช่วยปกปิดเป็นความลับเฉพาะสำหรับคนๆนี้ไว้ด้วย ก็ได้รับความกรุณาจาก
ท่านผู้อำนวยการเป็นไปอย่างดีจนกระทั่งถึงบัดนี้ ด้วยความปลาบปลื้มยินดีหาที่สุดมิได้จึงขอ
เอ่ยประกาศนามต่อไปนี้เพื่อมอบสิ่งที่ข้าพเจ้าตั้งใจไว้ในชั่วชีวิตนี้ว่าจะต้องทำให้สำเร็จ ได้เวลาอันสมควรแล้ว
ข้าพเจ้าขอเรียนเชิญ คุณ วิภาวดี ภิศยโยธิน โปรดกรุณาขึ้นมารับสิ่งของเล็กๆน้อยๆจาก
ข้าพเจ้าด้วยครับ
สิ้นสุดการฟังคำจากท่านรัฐมนตรีประจำกระทรวงกล่าวเรียนเชิญจบลง
ทำให้ทุกๆคนในที่นี้ตลึงไปทั่วบริเวณงาน ต่างเงียบกริบหันหน้ามองหาบุคคลผู้ที่ได้รับกล่าวขานครั้งนี้
ทุกๆคนตื่นเต้น บางคนไม่รู้จัก บางคนรู้จัก สักครู่เสียงร้องเซ็งแซ่ดังไปตามๆกัน แม้กระทั่งหัวหน้า
แผนกต่างๆก็พลอยตื่นเต้นยินดีไปทั่ว ผู้ที่นั่งน้ำตาไหลเข้าสวมกอดหล่อนก็คือ คุณแม่
ซึ่งเป็นทั้งหัวหน้าและได้รับเกียรติด้วยในครั้งนี้ เปรียบเสมือนโคมทองส่องนำทางให้แก่เธอ
ในการใช้ชีวิตตามแนวทางนี้หลังจากที่ได้ทดลองงานและทำงานเต็มตัว โอ้แม่พระของหล่อน
ความสำเร็จของหล่อนนี้ส่วนใหญ่ได้มาจากคุณเธอทั้งสิ้น หล่อนเป็นแค่ตัวจักรเล็กๆที่หมุนไป
โดยมิย่อท้อ อดทน ขยันหมั่นเพียรเพราะได้ตัวจักรนำทางที่ดียิ่ง
หล่อนหันมาจูบคุณเธอ พร้อมน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาด้วยความปลื้มปิติล้น
ใช่แล้วเป็นน้ำตาของนางฟ้าทั้งสององค์ที่ร่วมประสานกันเพื่อแผ่กระจายให้ความชุ่มชื้น
แก่ผืนแผ่นดินที่ยังแห้งโหยรอการหลั่งเพื่อความสุขพ้นทุกข์อันยิ่งล้นของเหล่าประชาทั้งหลาย
หล่อนค่อยๆก้าวขึ้นไปบนเวทีพร้อมด้วยน้ำตาที่พยายามจะกลั้นไว้แต่ก็อดที่จะ
หลั่งไหลเสียมิได้ เข้าน้อมรับ เสื้อผ้าชุดใหม่และถอดหมวกใบเก่าวางลงบนเสื้อผ้านั้น
และได้รับการประดับหมวกใบใหม่ขึ้นยังเหนือศีรษะของหล่อนพร้อมเสียงสะอึกสะอื้นเบาๆ
ที่เปี่ยมไปด้วยความปิติล้น หูอื้อตาลายจนกระทั่งได้ยินเสียงของท่านรัฐมนตรีฯกล่าวขึ้น
เมื่อหลังเสร็จพิธีนี้ผมขอเชิญคุณ วิภาวดี ร่วมรับประทานอาหารด้วยกันนะครับ
เป็นน้ำเสียงที่แผ่ไปด้วยความเมตตาปราณี หล่อนกล่าวขอบคุณ คิดที่จะปฏิเสธแต่
ท่านผู้อำนวยการเดินเข้ามาจับมือแล้วกล่าวด้วยประโยคเชิญด้วย ซึ่งทำให้หล่อนปฏิเสธมิได้
เพียงแค่รับคำเบาๆ
ค่ะ หล่อนพูดได้แค่นั้นไม่มีคำพูดใดจะดีไปกว่านี้ได้
เป็นคำพูดที่แสนจะปิติปลาบปลื้มออกมาจากแก่นแท้จากใจหล่อน จากนางฟ้าที่ได้รับการ
ยกย่องอย่างแท้จริง และจากห้วงจิตใจของผู้เขียนด้วยทุกประการ
นี่แหละคืออานุภาพของคุณงามความดีที่สร้างสมไว้ของหล่อนโดยมิหวังสิ่งตอบแทน
จึงถือเป็นคุณธรรมที่ดีงามยิ่ง เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ยากที่ใครๆจะทำได้ เพียงแค่คิด
จึงสมควรเป็นตัวอย่างที่อนุชนรุ่นหลังควรจดจำจารึกไว้เป็นแบบอย่าง โดยไม่คำนึง
ถึงผลที่เธอกระทำว่าจะเป็นฉันท์ใด จะได้รับอย่างไร คิดว่าคุณเธอคงไม่คิดเช่นนั้นเช่นกัน
นางฟ้าผู้ประกอบด้วยคุณงามความดีทั้งหลายเอย เราเปรียบท่านเสมือนนางฟ้าในนิยาย
เพื่อเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงพืชพันธุ์ใจของมวลมนุษย์ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดตามวัฏฏจักรของโลกเรา
เพียงน้ำตาท่านนั้นซึ่งเป็นน้ำตาแห่งคุณงามความดีที่ประกอบด้วยจรรยาบรรณของท่าน
เสมอต้นเสมอปลาย ก็เพียงพอแล้วต่อการประโลมโลกใบนี้ได้อย่างชั่วนิจนิรันดร์.
*** แก้วประเสริฐ. ***
18 กรกฎาคม 2549 12:29 น.
แก้วประเสริฐ
** กุหลาบแดง **
วันนี้เป็นอะไรไปน๊ะ?....ฉันรู้สึกจึงเหงาๆ...เศร้าๆๆในหัวใจจัง?
ฉันรำพึงกับตัวเอง พร้อมรีบเดินออกจากบ้านเข้าไปในสวน
สวนรึ...ใช่แล้วเป็นเพียงสถานที่จัดไว้แค่แปลงดินเล็กๆ
เพื่อใช้สำหรับพักผ่อนในยามว่างจะงานทั้งปวงหรืออารมณ์ปั่นป่วน
ครั้นจะเรียกว่าสวนก็ไม่ถูกอีกเน๊อะ...ฉันคิด??????.......
แต่ช่างเถอะ...ฉันขอเรียกของฉันคนเดียวก็ได้ ด้วยเป็นสถานที่
ให้ความสุขแก่ฉันยิ่งนัก เพราะเป็นสถานแห่งเดียวที่ฉันใช้ระบาย
สิ่งต่างๆภายในใจ เมื่อยามที่เกิดความขุ่นข้องหมองใจทุกๆครา
ภายในบริเวณนั้นหรือใกล้เคียงภายในบริเวณบ้านฉัน
ถูกประดับประดาด้วยกรงนก บ่อปลาและต้นไม้ยืนต้นเช่น มะม่วงเป็นต้น..........
พร้อมด้วยโต๊ะหมู่หินอ่อนที่ใช้สำหรับนั่ง อีกยังมีเตียงไม้ผ้าใบ
ที่ใช้สำหรับนอนพักผ่อนภายใต้ต้นมะเฟืองหวานที่ออกดอกเล็กๆ
สี่ชมพูอมม่วงน้อยๆตลอดทั้งปี
ภายใต้เสียงนกร้องจากกรงประสานเสียงกับนกต่างๆที่ใช้บริเวณนั้นหา
ความสุขภายใต้ร่มเงามะม่วงบางครั้งฉันก็จะร้องเพลงคลอเคล้าร่วมด้วยกัน
ทำให้อารมณ์อันปวดร้าวภายใน ถูกระบายออกมาทีละนิดๆจนผ่อนคลายไป
พลันสายตาฉันเหลือบไปมองแลเห็นดอกกุหลาบ สีต่างๆ มี ขาว เหลือง
และสีแดงในที่สุด ฉันชะงักในความสวยสด ช่างส่งประกายสดใสของดอกไม้สี
แดงกร่ำเด่นกว่าดอกอื่นๆข่มไม้อื่นที่กำลังผลิดอกออกแข่งขันกันเสียสิ้น
โอ้ๆ...กุหลาบแดง?????.......กุหลาบแห่งความหมายสะท้อนภายในจิตใจ
ของฉันยิ่งนัก...แน่ล่ะกาลครั้งหนึ่งมันทำให้ฉันต้องตื่นเต้นดีใจและในที่สุด
มันก็สร้างความปวดร้าว ขมขื่น ระทม แก่ตัวฉันด้วยหนามอันแหลมคมยิ่ง
ของมัน ในยามขณะอารมณ์อันวิจิตรที่ฉันเพ้อพะวงหลงใหลต่อมัน
จนทำให้เกิดมโนภาพสวยงามวาดลงวางไว้ในอนาคตที่พยายามสรรค์สร้าง
วิมานอันเพริศแพร้วงามตระการยิ่ง.......
และแล้วอนิจจา......เอ๋ย...กุหลาบน้อยสีแดงก็พลันแห้งเหี่ยวลงไป
ในยามที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลโรยรินตราตรึงในสิ่งที่มอบลงในห้วงดวงใจ
และแล้วก็พลันไปเบ่งบานในกระถางอื่นที่อุดมไปด้วยสีสันอันเจิดจ้ากว่า...
เปรียบประดุจคำโบราณกล่าวขานไว้ว่า เมียรัก...หญิงงาม..อย่าไว้วางใจนัก
หลายต่อหลายครั้งฉันเกือบจะถอนเจ้าต้นกุหลาบสีแดงทิ้งไปเสียเพื่อ
ให้พ้นจากบ่วงที่ซ่อนเร้นซุกซ่อนอยู่ภายใน...แต่พอเอื้อมมือไปก็ต้องชะงัก
จิตสำนึกภายใต้คุณธรรมก็เข้าสกัดกั้นการกระทำของฉันเสียสิ้น
........ทุกข์นั้นย่อมขจัดในบ่อเกิดต้นเหตุแห่งทุกข์ หาใช่ขจัดต่อสิ่งแวดล้อม
ซึ่งสมมุติตัวแทนก็จะหาความพ้นจากทุกข์นั้นอันใดไม่....
ฉันยังคงปลูกต่อไปแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งหนึ่งสะท้อนภายในกัดกร่อนอารมณ์
ไปบ้างในบางครั้งก็ตาม แต่ทว่ากุหลาบต้นนี้ก็ให้อะไรๆต่ออะไรหลายๆอย่าง
แก่ฉัน ให้ทั้งอารมณ์ในยามเกิดทุกข์ ให้ทั้งสิ่งที่เป็นอุทาหรณ์สอนใจ
แต่ทว่าในส่วนลึกๆภายในจิตใจฉันก็ยังรักมันอยู่เสมอถึงแม้ว่าจะมีกุหลาบอีก
มากมายหลายๆต้นที่พยายามผลิดอกออกช่อชูก้านเพื่อให้ฉันได้เชยชมก็ตามที.....
สิ่งที่ฉันรักมิได้เป็นรองจากกุหลาบสีแดงเลยก็คือ กุหลาบสีขาว...นามพอร์ตแองเจิล
ที่ส่งกลิ่นหอมหวลยวลใจยิ่งกว่ากุหลาบใดๆทั้งสิ้น ซ้ำยังบริสุทธิ์ผุดผ่องปานประหนึ่ง
แพรขาวสะอาดที่ปราศจากมลทินใดๆ สะท้อนพลิกกลับอารมณ์ในยามที่ฉัน
เกิดความปวดร้าว ทุกข์ระทม อารมณ์ที่แปรปรวนยิ่ง ฉันจึงปลูกไว้เคียงคู่กุหลาบแดง
เพื่อประกอบอุทาหรณ์ประดุจทุกข์แลสุขของฉันภายใน.....
ที่คลุกเคล้าเงียบเหงาเศร้าสร้อยลบล้างกันและกันไว้
ฉันยืนจ้องมองดูเหล่ากุหลาบทั้งหลาย....แล้วเดินไปยังต้นกุหลาบแดงขาวพิจารณา
ย้อนกลับสู่อารมณ์ที่แปรปรวน เสมือนหนึ่งจะสอบถามว่า....กุหลาบเอ๋ย....
ใยเจ้ามีสีแดง...ใยเจ้ามีสีขาว.....ซึ่งข้าอุปมาอุปไมยไว้ในตัวเจ้าราวหนึ่งเป็นทุกข์
อีกหนึ่งเป็นสุข ที่คลุกเคล้าภายในจิตใจเรา.....ฉันจะทำอย่างไรหนอจ๊ะกุหลาบที่รัก
.....เสมือนประหนึ่งแว่วเสียงสะท้อนย้อนกลับสู่ห้วงแห่งสำนึกความคิดว่า....
.....วางเสียเถิดที่รักของฉัน....จงวางให้ห่างๆไปอย่าพยายามไปเกลือกกลั้วมันอีก
มองดูฉันซิที่รัก...สีแดงเปรียบหมายถึงเลือดๆๆ...ที่ใช้หล่อเลี้ยงกลีบดอกใช่ไหมล่ะ???...
แต่ทว่าก็ยังมีสีขาวที่สดใสบริสุทธิ์ผุดผ่องที่คู่อยู่กับฉันหล่อเลี้ยงไว้เช่นใจเธออยู่ใช่ไหม?......
ถึงแม้ว่าฉันจะแปรเปลี่ยนจางลงก็ตามทีแต่ใช่ว่าฉันจะละทิ้งหน้าที่ก็หาไม่.....
เป็นไปตามธรรมชาติที่ต้องปรับปรุงแปรเปลี่ยนไปตามสภาพของสิ่งแวดล้อม
เกิดขึ้น....ตั้งอยู่...และแล้วก็เปลี่ยนแปลงดับไป...ตามธรรมชาติของมัน
ส่วนฉันนั้นก็คงเปรียบเสมือนมายาที่ยั่วยุจนบางครั้งฉันก็เกลียดตัวฉัน
ที่จะต้องหลงยังเข้ากฎแห่งสิ่งนั้นนั่นแหละก่อนวัยอันควรก็มี
เมื่อฉันเจริญเต็มที่ก็ยังเข้ามาหาฉัน เรียกร้องต่อมวลมายานัปประการแล้วก็พา
ส่งฉันให้ต้องเกิดความอยากละเมอเพ้อฝันไปในสิ่งนานาที่สร้างไว้และแล้ว บางครั้งรู้แต่
ก็ต้องหลงระเริงไปก็ตามที...แต่ในครอบครัวของฉันก็ยังมีสีสันต่างๆนาให้เลือกอยู่นะ...
เหลือง ชมพู ม่วง ขาว อื่นๆ มันย่อมหมายถึงสิ่งต่างๆที่แปรปรวนเปลี่ยนไปด้วย
ดุจดังอารมณ์ของเธอที่ได้สะสมสิ่งต่างๆไว้ในตัวเธอเสมอๆใช่ไหมล่ะจ๊ะที่รัก......
ฉันอึ้งต่อคำถามและคำสอนกลายๆ....ยิ้มให้แก่ตัวเอง ใช่แล้วฉันเหงาเปลี่ยวใจ
เศร้าเพราะเหตุใดกันล่ะ.......โอ้ๆๆๆ...กระจ่างแล้วกระจ่างในใจเสียจริงๆ......
ฉันก้มลงจูบไปยังกุหลาบแดงและกุหลาบขาว สูดกลิ่นไอหอมหวนจากเธอ
พร้อมลูบไล้ดอกเสมือนดั่งขอบคุณเธอเหล่านี้เสียจริงๆ....
คลอเสียงเพลงแผ่วเบาๆ...ฉันตั้งใจร้อง....ร้อง....และร้องด้วยใจอันแสนปลอดโปร่ง
เสมือนกล่อมเหล่ากุหลาบทั้งหลายที่ให้แง่คิดปรัชญาชีวิตแก่ฉันเพื่อขอบคุณก็มิปาน....
ตลอดจนเหล่าไม้ดอกที่ฉันบรรจงปลูกไว้ในดินแปลงเล็กๆ...ด้วยศรัทธา
แต่ทว่ามันยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน....ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดๆไม่มีการลวงหลอก แยบยล
โกหกจนฉันต้องไหลหลง ดั่งที่คนทั้งหลายเปรียบเทียบตัวเธอกุหลาบของฉัน
ให้เข้ากับเหล่าสตรีทั้งหลายภายใต้ห้วงแห่งจิตสำนึกทั้งปวงเพื่อประโยชน์บางประการ
“ กุหลาบน้อยปราศเล่ห์จากห้วงรัก
สมานสมัครรักใคร่ใสพิสุทธิ์
ดั่งสาวงามทรามสงวนล้วนนงนุช
ยกเว้นผุดนรกอเวจีพลีสำราญ
ประเทืองกลิ่นรินชาติประหลาดล้ำ
อีกทั้งย้ำปรัชญามาขับขาน
เน้นตัวอย่างวางไว้ในตำนาน
ช่างเสกสรรมัณฑนาโอ้นารี.”
ฉันเดินเวียนไปวนมาในพื้นที่อันน้อย แต่ยิ่งใหญ่ในชีวิตฉัน
พอเมื่อยนักก็ไปนั่งพักยังโต๊ะที่จัดวางไว้ใต้ต้นมะเฟืองทอดสายตา
เหลือบแลดูดอกขาวอมม่วงที่ผลิบาน ลูกหรือก็ห้อยกันต่องแต่ง
แกว่งไกวไปมายามต้องลม จริงซินะผลของมันกลับไม่ถูกใจ
ฉันเมื่อครั้งทดลองทานเพียงหนเดียวเท่านั้น มันจืดชืดเหลือเกิน
จะจืดชืดเหมือนผู้หญิงบางคนไหมหนอ?....ฉันอดคิดเสียมิได้
แต่ที่ฉันชอบกับเป็นดอกของมันเล็กๆสวยๆผิดกลับผลของมัน
ราวฟ้ากับดินก็มิปาน แต่ก็ยังปลูกไว้เพื่อฟังเสียงนกร้องบนต้นไม้
โน่นแน๊ะ..เจ้านกกระจิบตัวน้อย...โอ้แปลกแต่จริงตัวมันนิดเดียว
แต่ทว่าเสียงของมันยิ่งใหญ่ใสกังวานหวานซึ้งจริงๆ
ผิดกันไกลกับตัวของมัน ดูมันช่างขยันหากินและร้องเพลง
ผิดกับคนบางคนที่ไม่สนใจใยดีกับการขนขวายหากิน
กลับอาศัยเบียดเบียนผู้อื่น บางครั้งยังหากินกับเพศที่อ่อนแอกว่า
ช่างน่าละอายยิ่งนัก ทั้งๆที่ตัวใหญ่กว่าสมองคิดอ่านดีกว่า
แต่สิ้นชาติเกิดเสียนี่กระไร ปราศจากความเป็นตัวของตัวเอง
เอาแต่ความขี้เกียจเป็นตัวตั้ง ผิดกับนกกระจิบน้อยๆที่หมกมุ่น
เหลือเกินแต่ในความขยันหากินเพื่อปากท้องและบริวารของมัน
ทั้งๆที่ความลำบากยากแค้นแต่ละทีในการหากินต้องเที่ยวบินไป
บินมาจากต้นไม้หลายๆต่อต้น ต่างท้องถิ่นที่อาศัยพักผ่อน แต่ก็ไม่
เป็นปัญหาอย่างไรของมันและแล้วสภาพมันกลับ...ดูมัน
ก็แสนจะเพลิดเพลินใจ แม้แต่เวลานี้มันก็ยังร้องขับขาน
และดูเหมือนจะกู่เรียกพวกพ้องของมันมาร่วมสังฆกรรมด้วย
รักหมู่พวกพ้อง ไม่มีการอิจฉาริษยา โกรธเคืองในเรื่องไร้สาระต่างๆ
แต่อนิจจา...ฉันเฝ้าพยายามมองหาตัวอื่นๆก็ไม่พบสักตัว
ได้ยินเสียงของแต่มันก็ยังร้องๆๆกู่หาในขณะที่ยังทำหน้าที่หากิน
หรือว่ามันร้องหาอิสรภาพเสรี ความปลอดโปร่งในหัวใจมัน
เหมือนดังเราหรือเปล่าหนอ....ฉันฟังไปพร้อมกับนำมาคิดจนกระทั่ง.....
เสียงกริ๊งดังของโทรศัพท์ภายในบ้านดังขึ้น...ถี่ๆเป็นระยะๆ
ใครโทรฯมาหนอ???...ฉันคิด...แต่ก็ไม่วายลุกขึ้นเดินจากสวนหย่อมๆ
แต่ก็ยังอดมิวายที่จะไปจูบอำลา...กุหลาบแดงของฉันอีกครั้งหนึ่ง
พร้อมกับสูดดมความหอมที่ส่งกลิ่นเย็นชื่นใจจากกุหลาบขาว
แล้วสาวเท้าก้าวเข้าสู่ภายในบ้านด้วยจิตใจที่แสนจะรัญจวนฝากไว้ใน
กุหลาบแดง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกส่งมอบให้จากหญิงสาวคนหนึ่ง
แล้วเธอก็จากไป จากไปอย่างไม่คืนหวนกลับมา....ดังฉันก็จำต้องจาก
ลาจากกุหลาบสีแดงอันเป็นที่รัก....แต่กุหลาบจ๋า...เธอไม่เหมือนเขา
แต่เธอจะเป็นที่รักยิ่งของฉันตลอดชั่วกาลนาน....กุหลาบแดงที่รัก....ยิ่ง....
*** แก้วประเสริฐ. ***
๑๘ กรกฎาคม ๒๕๔๙
7 กรกฎาคม 2549 11:54 น.
แก้วประเสริฐ
** วันที่รอคอย **
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ลมพัดกระโชกค่อนข้างแรงต้นไม้ไหวเอนลู่
ยามต้องลมที่พัดผ่าน เสียงครืนๆดังแผ่วแว่วมาเป็นระยะๆ
อากาศแปรปรวนบนท้องฟ้า ปลายขอบฟ้ามืดทะมึนสลับประกาย
แสงแปลบปลาบน่ากลัวของฟ้าดุจดังพิโรธ เสียงดังใกล้เข้ามาๆ
เพ้อฝัน....สาวบ้านนาในชุดผ้าถุงสลับลายใส่เสื้อคอกระเช้ารัดรูป
รูปร่างค่อนข้างจะออกท้วมเล็กน้อย กำลังยืนเหม่อมองท้องฟ้าที่ห่างไกล
ด้วยใบหน้าที่หม่นหมอง สายตานางเพียรจ้องมองไปยังปลายท้องนา
แลมองเห็นตะคลุ่มๆไกลลิบๆครอบคลุมไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ แต่ทว่า
มีต้นไม้คู่หนึ่งที่ยืนสูงตระหง่านเหนือเหล่าไม้ทั้งปวงอยู่ใกล้เนินภูเขาเตี้ยๆ
ฝนเริ่มโปรยเม็ดตามกระแสลมที่พัดผ่านมาปะทะใบหน้าร่างกายหล่อน
ที่ปล่อยอารมณ์อย่างตั้งใจหาได้สนใจต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง
อย่างกะทันหันของสายลมเริ่มพัดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พัดจนเสื้อผ้า
นางพลิ้วไสวดังจะปลิวหลุดลอยแทบออกจากร่างหล่อนก็มิปาน
ฝนเริ่มหนาหนักขึ้นแต่ก็หาได้ทำให้หล่อนเคลื่อนที่ออกจากที่
หล่อนยืนก็หาไม่จนเสื้อผ้าร่างกายเปียกโชกไปหมด กลับสร้างภาพตระการตายิ่ง
จนกระทั่งเสียงๆหนึ่งดังขึ้นหล่อนจึงหันไปมองเป็นเสียงของเด็กหญิงเล็กๆ
กำลังเรียกหาหล่อนอย่างกระวนกระวาย ถึงแม้จะทำให้หล่อน
เกิดอาการหงุดหงิดขึ้นบ้าง เมื่อหันมามองก็อดที่จะยิ้มเสียมิได้รีบผวาเข้าไป
หาเด็กน้อยกลัวว่าจะวิ่งฝ่าสายฝนมาหาหล่อน
อะไรหรือ...ลูก? หล่อนถาม..พร้อมทั้งดันตัวเด็กน้อยที่กำลังจะออกมา
นูคิกถึงแม๋...เหงแม่เปียกฝง..กัวไม่บาย เด็กน้อยตอบพร้อมจ้องมองหล่อน
ด้วยสายตาแปลกใจ ดวงตาที่กลมโตสายตาที่บริสุทธิ์ปราศจากสิ่งเคลือบแฝงใดๆ
ของเด็กผู้หญิง ใบหน้ากลมรูปร่างออกจากท้วมๆตามประสาการเลี้ยงดูที่ดีๆ
ไม่เป็นไรหรอกลูก..แม่ร้อนอยากตากฝนจ๊ะ หล่อนเสแสร้งตอบเลี่ยงความในใจ
ที่หวนคิดย้อนถึงใครคนหนึ่ง ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมานานแสนนานแล้วก็ตามที
เข้าไปข้างในเถอะลูก ตากฝนเดี๋ยวไม่สบายนะจ๊ะ พร้อมทั้งหล่อนรีบอุ้มเด็กน้อย
เดินเข้าไปในบ้านหลบเลี่ยงฝนที่กำลังสาดมา
หนูทำไมไม่อยู่เป็นเพื่อนพ่อล่ะจ๊ะ พูดถึงพ่อเด็กน้อย...หล่อนเกิดอาการ
ใบหน้าหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด....ช่างเถอะหล่อนนึกในใจ พร้อมสะบัดศีรษะจะว่าการ
สะบัดนี้เพื่อให้คลายจากละอองน้ำก็หาไม่ เพียงเพื่อจะไล่บางสิ่งบางอย่างให้หลุดจาก
ความนึกคิดที่ซุกซ่อนอยู่ภายในเท่านั้น
ทำให้หวนนึกถึงอดีต นับตั้งแต่เหตุการณ์ร้ายๆผ่านพ้นไปถึงแม้ว่าเขาจะทำในสิ่งที่
ไม่ควรทำก็ตาม หล่อนรู้ว่าชายคนนี้รักและเทิดทูนหล่อน เสมอมานับตั้งแต่ครั้งยังเด็กๆ
เขายอมเป็นผู้ตามในทุกๆสิ่งทุกอย่าง ไม่เคยเลยที่จะเอาชนะหล่อน หักหาญน้ำใจหล่อน
จนเราทั้งสองเติบใหญ่เป็นหนุ่มสาว แต่ว่าจิตใจหล่อนเพียงมองเขาเป็นเพื่อนที่หล่อนรัก
มากเท่านั้น หาได้คิดเป็นอย่างอื่นไม่
จนกระทั่งหล่อนมาพบผู้ที่หล่อนปรารถนาในหัวใจ ในงานบ้านเชียงของ เป็นงานที่
ทั้งให้ความสุขและความทุกข์มาจนกระทั่งบัดนี้ ชายที่ค่อนข้างมีอายุมากกว่าหล่อนมาก
แต่ทว่าเหมือนมีสิ่งหนึ่งกระตุ้นภายในใจให้เกิดความสนใจ แปลกใจ และใบหน้าที่จะมี
ประกายการยิ้มที่ทรงพลานุภาพยิ่งนัก นัยน์ตาที่วางเฉยๆราวปราศจากสิ่งใดๆในสายตา
มิได้สนใจต่อสิ่งใดๆ เพียงเดินชมวัตถุโบราณแต่เพียงผู้เดียว สนใจแต่ของโบราณหาได้
สนใจต่อสิ่งแวดล้อม จะมีบ้างที่เฝ้าจ้องมองดูการกระทำของเขาและบ้างก็ยิ้มให้เขา
แต่ทว่าหาได้ทำให้เขาสนใจมากไปกว่านี้หล่อนก็เป็นหนึ่งในกลุ่มสาวๆนั้นที่เฝ้ามองด้วย
ความสงสัย จะเป็นคนแปลกถิ่นต่างภาคก็หาไม่บางครั้งเขาสนทนาสอบถามก็เป็นคนในภาค
เดียวกัน เพียงแต่ว่าหาใช่คนในหมู่บ้านหล่อน
เหมือนจะท้าทายดุจดังฟ้ากำหนดวางขอบเขตเอาไว้ ความดื้อรั้น ความที่เคยเป็น
ผู้ชนะมาตั้งแต่เด็ก ความต้องการในส่วนลึกซึ่งไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรต่อชายหนุ่มคนนี้
สร้างกระแสความกล้าบ้าบิ่นให้หล่อน
กูจะเอาชนะคนๆนี้ให้ได้ พวกมึงดูนะ หล่อนหันไปกล่าวกับเพื่อนสาวที่มาด้วยกัน
จะบ้าหรือเพ้อ....? เพื่อนสาวท้วงติง...เพราะทราบนิสัยใจคอดีว่า
เพื่อนคนนี้บ้าบิ่นเสมอๆ
ปล่อยเขาไปเถอะ...แก่ก็แก่ด้วยโว้ย....มีแต่รูปร่างน่าตาดีเท่านั้น..ไม่เห็นน่าสนใจเลย
กูอยากลองว๊ะ ทำเต๊ะท่าขรึมดีนัก...หล่อนตอบพลางแยกตัวเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม
พร้อมทิ้งตัวชนใส่ร่างที่หล่อนต้องการลองดี
ว้าย...!!!คนผีทะเล หล่อนแสร้งร้องลั่น...พร้อมร่างที่ทรุดลงไป
โอ้ย????....ขอโทษครับๆ...ขอโทษ. เขาอุทานพร้อมทรุดตัวลงไปประคองหญิงสาว
เจ็บไหมครับ...เป็นอะไรหรือเปล่า?... ชายหนุ่มรีบถามด้วยความเป็นห่วงใย
นิดหน่อยค่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก หญิงสาวตอบ พร้อมหันหน้าไปแอบซ่อนยิ้มไว้
โถ..โธ่ๆๆ...ความผิดผมเอง...มัวแต่มองไหโบราณที่เก่าแก่มากครับ...
ขอโทษอีกทีครับ ชายหนุ่มรีบตอบพร้อมทั้งนวดแถวบริเวณหัวไหล่
ที่เขาคิดว่าหล่อนคงเจ็บบริเวณนั้น หญิงสาวรีบปัดมือทันที
นิดหน่อยเท่านั้น....ไม่เป็นไรหรอกค่ะ... หล่อนตอบ
โอ้..ขอบคุณครับ...เอ๊ะนี่เที่ยงแล้ว ผมขอชดใช้ความผิดเลี้ยงอาหารมื้อนี้ได้ไหมครับ
ชายหนุ่มยิ้มและกล่าวคำเชื้อชวน
หล่อนสะอึกในคำพูดของเขา ไม่นึกเลยว่าการแกล้งของหล่อนกลับไม่สร้างปัญหาใดๆ แต่
กลับได้รับความเห็นอกเห็นใจจากเขา ซึ่งผิดแผกแตกต่างกับหนุ่มในบ้านเดียวกันเสียอีก
ดูซิ...การยิ้มและนัยน์ตาของเขา...ช่างละมุนละมัยเสียนี่กระไร...
บ่งบอกถึงความใสซื่อบริสุทธิ์ปราศจากสิ่งแอบแฝงใดๆในร่างหล่อนก็หาไม่
ต่างจากคนบางคนที่หล่อนประสบหวังเพียงแค่ต้องการตีสนิทกับหล่อน
พร้อมด้วยอาการเชิงเจ้าชู้ กระลิ้มกระเรี่ย ว๊อกแวก โลเล
เพียงแค่หวังบางสิ่งบางอย่างในตัวหล่อน
ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...นิดหน่อย...อ้อดิฉันมากับเพื่อนหลายๆคน น๊ะ
หล่อนตอบในเชิงปฏิเสธและไม่ปฏิเสธ
หรือครับ...ไม่เป็นไรครับมาทั้งหมดก็ได้...ดีเสียอีกซิครับจะได้ไม่น่าเกลียด
ใครเขาจะไม่นินทาว่ากล่าว หากเราไปกันแค่สองคน ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ
พร้อมมองสายตาไปรอบๆข้าง เพื่อค้นหาเพื่อนสาวคนนี้
แลเห็นสาวกลุ่มหนึ่งกำลังปิดปากหัวร่อ ยืนจับกลุ่มอยู่ไม่ห่างไกลมากนัก
เชิญเลยครับ...เชิญทุกๆคนด้วย
คงจะเป็นคนกลุ่มนั้นใช่ไหมครับ?.. ชายหนุ่มถาม
ค่ะ หล่อนตอบสั้นๆ...พร้อมชายตาไปพยักพะเยิบกับเพื่อนสาวของหล่อน
อ้าว!!...แล้วคุณไม่ดูของต่อหรือค่ะ หล่อนเลี่ยงถาม
ไม่เป็นไรครับ วันหน้าก็มีอีก แต่ขอชดใช้ความผิดก่อนครับ
พร้อมหรือยังล่ะครับ นี่ก็เลยเที่ยงแล้วนะ เดี๋ยวท้องไส้เสีย ชายหนุ่มรีบเร่ง
ค่ะ..ยินดี..ค่ะ. หล่อนตอบพร้อมกวักมือเรียกเพื่อนสาวๆให้มาร่วมกลุ่มกัน
เพื่อออกเดินทางไปหาร้านอาหารทาน...........ตามร้านต่างๆที่วางขายทั่วไป
เหตุการณ์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเสมือนฟ้าประทานให้โอกาส
แก่ชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสอง เกิดความถูกอัธยาศัยในการสนทนา
พาเข้าสู่ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งตรึงใจ...จวบจนการแปรผัน
ระหว่างความสัมพันธ์อันไม่น่าที่จะเกิดขึ้นได้ จวบจนกระทั่งบัดนี้ ...หล่อนรำพึงเบาๆ
ถึงแม้สิ่งต่างๆนั้นจะผ่านไปนานแสนนาน เหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นล้วน
แต่ความระลึกทรงจำยังมิได้จางหายไปจากหล่อนความรักอันหนักแน่น...
ก็ยังฝังจำไว้เสมอๆ แต่ทว่าหล่อนก็ไม่สามารถปลีกตัวไปหาเขาได้
ความสงสารบุคคลที่เข้ามากีดกั้นแทรกซ้อนชีวิตหล่อนด้วยความซื่อสัตย์และรักของเขา..
ถึงแม้ว่าจะผิดไปในตอนแรกแต่ก็ยังถูกต้องในขนบประเพณีในภายหลัง...
ยินยอมทำทุกๆสิ่งๆทุกอย่างหากด้วยอำนาจรักที่เขามีต่อหล่อนอันฝังลึกตลอดกาล
ถึงแม้กระนั้นหล่อนอาจจะไม่รัก แต่อดีตก็เคยผ่านรักมาเช่นเดียวกัน...
คือรักในความเป็นเพื่อนที่แนบสนิทยิ่ง ผิดแผกกับความรัก
ที่หล่อนมอบให้แก่ชายคนนั้นต่างกันเสียสิ้นเชิงและหมดหัวใจ......
ช่างเถอะเหตุการณ์มันผ่านไปแล้ว ไหนๆก็ควรปล่อยเลยตามเลย
บัดนี้เขาจะรอหล่อนอยู่หรือเปล่าไหมหนอ หล่อนรำพึงภายในใจ
จนกระทั่งได้ยินเสียงพลิกตัวไปมาของชายที่ได้ชื่อว่าสามี
หล่อนจึงรีบเข้าไปผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวให้พ้นจากความเปียกชื้น
แล้วรีบออกมาดูสามีหรือเพื่อนรัก...ที่นอนยาวเหยียดทอดร่าง
จากอาการเป็นอัมพาตด้วยรูปร่างที่ผอมเกร็งปราศจากเนื้อ
ประหนึ่งหนังหุ้มกระดูกเพียงแต่คอยเวลารอที่จะพ้นจากโรคร้ายนี้ไป
ความรักที่แท้จริงของเขานี่เองที่พยายามปกป้องหล่อนให้พ้นจากคนเมา..
ที่ลวนลามหล่อนเพื่อหวังฉุดหล่อนไปข่มขืนของคนกลุ่มหนึ่งต่างหมู่บ้าน
เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นเข้าต่อสู้อย่างสุดฤทธิ์เอาชนะช่วยหล่อนให้พ้นภัยไปได้
แต่สิ่งที่ตอบแทนผลเขาได้รับคือรอยแผลที่ถูกฟัน รอยถูกทุบตีที่ศีรษะ
ใบหน้าและรอยฟกช้ำตามร่างกายหลายต่อหลายแห่งแม้กระนั้นเขายังยิ้ม
บอกว่าไม่เป็นไรจ๊ะเพ้อ....จนกระทั่งเขาผล็อยหลับไปหล่อนและลูกน้องได้รีบ
นำส่งสถานีอนามัยทันที คุณหมออนามัยก็ได้ช่วยเหลือรักษาจนสุดความสามารถ
แต่อนิจจา....ภายหลังการรักษาหายดีมาอยู่บ้านช่วยเหลืองานบ้านอย่างขะมักเขม้น
เพียงไม่เท่าไหร่ต้องล้มป่วยขึ้นอีกและเขาต้องกลายเป็นอัมพาตไป
หล่อนน้ำตาซึมเมื่อนึกถึงความรักอันแท้จริงของสามีที่มิได้ระแวงใดๆทั้งสิ้น
ว่าในหัวใจของหล่อนนั้นมิได้มอบให้แก่เขาเลย แต่กลับไปมอบให้แก่ชายอื่น
สิ่งนี้แหละที่ทำให้หล่อนต้องอยู่เพื่อทำทุกๆสิ่งทุกๆอย่างสนองความรักเขา
ถึงแม้ว่าภายในใจอันแท้จริงจะยังมั่นคงต่อรักนั้น
ด้วยความเป็นหน้าที่ของความเป็นภรรยาตลอดจนลูกน้อยทำให้หล่อน
ต้องเก็บสิ่งที่ซ่อนเร้นภายในมิให้ล้นออกมาได้เกินขอบเขต
ระหว่างความรักกับหน้าที่ของลูกผู้หญิง ที่ได้ขึ้นชื่อว่า....เมีย
แน่ล่ะ..ถึงแม้ว่าหล่อนจะไม่ได้เป็นเมียแก้วที่เลิศประเสริฐดังหนังสือไว้
แต่หล่อนก็สามารถใกล้เคียงสิ่งนั้น ย่อมเป็นเมียที่ดี ปฏิบัติไม่เคยบกพร่อง
ซื่อสัตย์ต่อผัวและลูกเสมอ ทั้งๆที่ความรักภายในเรียกร้องมากก็ตามใน
บางครั้งมันพุ่งขึ้นมาจนหล่อนต้องระงับด้วยการทำสมาธิไหว้พระคุ้มครอง
เพื่อกดสิ่งเหล่านี้มิให้กำเริบจนเป็นสาเหตุทำให้หล่อนกลายเป็นหญิงใจง่าย
เสื่อมเสียความเป็นลูกผู้หญิงไป ถูกตราหน้าให้เสียหายต่างๆนาๆ....จากคนอื่น
เพ้อๆๆๆๆ...ขอน้ำหน่อย...หิวเหลือเกิน. เสียงของชายสามีร้องขอจากร่าง
ที่นอนทอดกายบนเสื่อที่ปูไว้ใกล้หน้าต่างของเรือนที่ถูกปล่อยว่างไว้
จ๊ะ...พี่ หล่อนรีบขานรับปล่อยทิ้งอารมณ์ที่ย้อนความหลังเสียสิ้น
รีบเข้าไปประคองแล้วเอาขันน้ำเล็กๆตักน้ำในโถตุ่มดินเผาสีค่อนข้างแดง
ที่วางไว้ใกล้ เสากลางบ้านใกล้ๆกับสามีวางจ่อตรงริมผีปากพลางกล่าว....
ค่อยๆดื่มนะพี่...เดี๋ยวสำลักจ๊ะ หล่อนหนุนศีรษะให้สูงขึ้นพอรับน้ำได้
สงสัยพี่จะอยู่กับเพ้อได้ไม่นานหรอก.....
เมื่อกี้นี้ฝันว่าแม่มารับไปจ๊ะ ชายคนเจ็บกล่าว
แต่แปลกนะ......พี่กลับสามารถเดินเหินได้ดี ตามแม่ไปเพียงแต่เป็นห่วง
เพ้อและลูก จึงได้ขอตัวกลับก่อนจะไปกับแม่ แม่บอกว่าจะมารับจ๊ะ
เสียงนั้นหยุดชะงัก เงียบหายไปสักพัก....จึงกล่าวต่อ
หากพี่เป็นอะไรไป..เพ้อ..ดูแลลูกให้ดีด้วยนะ เสียงเงียบไปอีก
สัญญากับพี่ได้ไหมเพ้อ...ว่าให้ลูกโตกว่านี้สักหน่อยจนพึ่งตัวเองได้...แล้วเพ้อ
ค่อยจะหาผัวใหม่....พี่จะได้สบายใจนะ ชายคนเจ็บขอสัญญาเมียรัก
จ๊ะ..พี่..เพ้อให้สัญญา จ๊ะ หล่อนกล่าวกับสามี พร้อมน้ำตาไหลซึมจากเบ้า
ชายผู้เป็นสามียิ้มน้อยๆ และจ้องมองหน้าเมียรัก คล้ายอ้อนวอนคล้ายพ้อ
ด้วยดวงตาที่ปราศจากน้ำเลี้ยงแววตา พร้อมทั้งกล่าวลอยๆขึ้นอีกว่า
พี่ทราบดีนะเพ้อ...อ๋า...ว่าเพ้อไม่ได้รักพี่หรอก..แต่ไปรักชิดชัย หนุ่มทุ่งหัวโค้ง
เสียงชายผู้สามีกล่าวพร้อมไอถี่เล็กน้อย
พี่ขอโทษเพ้อ...แม้ว่าพี่รู้ว่าเพ้อรักพี่อย่างเพื่อน...แต่ๆๆๆๆพี่หมดสิ้นหนทางจริงๆ
รักที่พี่มอบให้เพ้อมันทำให้พี่ต้องทำผิดทำนองคลองธรรมไป...อภัยพี่เถอะนะ....
อ้อ...อีกอย่างพี่เกือบลืมบอกไป...เงินทองพี่เก็บซ่อนเอาไว้ในกระบอกไม้ไผ่
ในห้องพร้อมโฉนดที่ดินใต้กระดานแผ่นไม้ใต้เตียงนะ ชายคนเจ็บกล่าว
พี่สบายใจแล้วล่ะ ที่เพ้อให้สัญญากับพี่ กล่าวจบชายสามีก็พริ้มหลับตา
พี่ไม่ต้องห่วงหรอกจ้า...พี่ไม่เป็นอะไรมากหรอก ...ยังอยู่กับเพ้อนานๆจ๊ะ
ชายผู้สามีเผยอเปลือกตาขึ้นอีกครั้งพร้อมยิ้มและกล่าวว่า
พี่ก็อยากเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน...แต่พี่รู้อาการพี่ดี...คงอยู่ได้ไม่นานหรอก
สัญญาต้องเป็นสัญญานะเพ้อ...พี่รักเพ้อมากจริงๆหมดทั้งกายและใจ
พร้อมทั้งพริ้มหลับตาอีกครั้ง
หล่อนสะอื้นในอกน้ำตาซึม...ยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้า ดูเหมือนจะเป็น
ลางสังหรณ์กระมัง ...หล่อนรู้ว่า ทัด เป็นคนเข้มแข็ง อดทน หากไม่เหลือ
บ่ากว่าแรงน้อยครั้งนักจะพูดให้เมียต้องกังวลเสียใจเป็นอันขาด
เวลาผ่านไปเขาคงหลับตาหายใจแผ่วเบา บางครั้งโกรน หล่อนคิด
สามีอาจจะคงต้องการพักผ่อนมากๆ นี่ใกล้เย็นแล้วต้องไปเตรียมหาอาหาร
เผื่อมื้อเย็นผัวและลูก หล่อนค่อยๆยกผ้าห่มคลุมร่างสามี
แล้วเปิดพัดลมเบาๆให้ส่ายไปมา ค่อยๆย่องเข้าไปในครัวจัดเตรียมอาหารต่อไป
อดไม่วายหันมาสั่งลูกให้ดูแลพ่อด้วย หากตื่นมามีอะไรให้เรียกแม่ในครัว
แม่จะได้รีบมาดูแล...และอย่าไปเล่นที่ไหนอีกเสียล่ะ
จ๊ะแม่ เด็กหญิงน้อยวัยน่ารักตอบแม่ พร้อมนั่งลงข้างๆพ่อของเขา
หลังจากอาหารมื้อเย็นผ่านพ้นไปเลยค่ำ จัดการธุระเสร็จสรรพแล้ว
หล่อนกางมุ้งให้สามีและนำลูกไปนอนในห้อง ส่วนตัวเองออกมาอาบน้ำเพื่อจะได้
ไหว้พระอันเป็นกิจวัตรประจำวันของหล่อนเสมอมา นับตั้งแต่มีครอบครัวไม่เคยขาด
อรุณสางเริ่มต้นวันใหม่ เสียงไก่ขันกังวานแว่ว หล่อนรีบกระวีกระวาดลุกขึ้น
เข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา จัดหาอาหารเพื่อใส่บาตรพระ ที่มักจะผ่านมาเสมอๆ
ปล่อยให้สามีนอนต่อไป เพียงแต่ไปดูแลลูกและหันมามองสามีคิดว่าให้นอนต่อเถอะ
สายๆหน่อยจะเก็บมุ้งทำความสะอาดร่างกายสามีจัดหาอาหารให้ทาน
หลังจากใส่บาตรพระเรียบร้อย หล่อนเดินขึ้นบนเรือน บอกลูกให้ไปอาบน้ำ
เพื่อทานอาหาร แล้วเลยเลยไปปลุกสามีเพื่อทำความสะอาดร่างกายเคยเป็นประจำ
เมื่อจับโดนร่างสามี...ทำไมร่างกายเย็นเฉียบและไม่อ่อนนุ่มดังเคย หันไปมองหน้า
เห็นยังหลับตาพริ้มรอยยิ้มปรากฏอยู่ ความไม่แน่ใจจึงเอาหูแนบที่หน้าอก
กลับไม่มีอาการตอบสนองของการเต้นหัวใจ หล่อนตะลึงพูดอะไรไม่ออก
แต่ก็ยังเอามือจ่อที่ปลายจมูกก็ปราศจากลมหายใจ จึงทราบว่าสามีได้จากไปเสียแล้ว
หล่อนร้องไห้โฮ...เรียกลูกมากอดแน่น...น้ำตาไหลพราก..วางลูกไว้ข้างๆถลาเข้าไป
กอดร่างที่ไร้วิญญาณพลางพรมจูบไปบนใบหน้าก็หาได้มีความรังเกียจใดๆไม่
พี่ทัด..พี่ทัด...พี่ทิ้งเพ้อไปเสียแล้ว..ฮือๆๆ หล่อนคร่ำครวญด้วยน้ำตาที่หลั่งมาจาก
น้ำใสใจจริง ร่างนี้มิใช่หรือที่ให้ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างแก่หล่อน จนมีฐานะไม่ต่ำกว่าใคร
ใช่ก่อนหน้านี้หล่อนไม่เคยคิดมอบความรักจริงใจให้เขา...แต่ทว่ามาบัดนี้...อนิจจา..
มันสายไปเสียแล้วที่หล่อนจะบอกว่า...ตอนนี้หล่อนหัวใจหล่อนแทบจะแตกสลายตามไป
ด้วยความดี....ความรักอันมั่นคงซื่อสัตย์ต่อหล่อนเสมอต้นเสมอปลายมิเคยเปลี่ยนแปลง
ฉันก็รักพี่ทัด...และจะทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่
สัญญาจ๊ะสัญญา...เพ้อจะไม่ทำให้พี่ผิดหวังเป็นอันขาด พร้อมร่างที่ฟุบไปบน
ทรวงอกที่ปราศจากวิญญาณของชายผู้เป็นสามีอย่างคร่ำครวญอาลัยเปี่ยมใจจะขาด
ในปลายฤดูฝนหลายปีต่อมาอากาศเริ่มร้อน ท้องทุ่งนาที่เคยชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำ
ก็จะเริ่มจะแตกระแหง การทำนาหยุดชะงักบางครัวเรือนก็หันมาปลูกผักอื่นเสริม
ตามโครงการของรัฐบาลที่เข้ามาดูแลแนะนำด้านเกษตรเพื่อใช้ในการดำรงเลี้ยงชีพ
ทดแทนการปลูกข้าวที่ไม่สามารถทำได้จนกว่าจะถึงฤดูการทำนา
เพ้อฝัน...ก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นที่หันมาทำการด้านเกษตรครัวเรือน และอาชีพ
การทอผ้าไหมอันสร้างชื่อเสียงให้แก่ตำบลจนขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นผ้าไหมชั้นดี ไหมหมี่ขิด
จนสามารถเลี้ยงชีพได้เป็นอย่างดีพร้อมคนงานมากที่ต่างมาช่วยกันทำงานให้แก่หล่อน
ขยายกิจการได้เจริญรุ่งเรืองจนมีชื่อเสียงดังไปถึงอำเภอได้รับประกาศนียบัตรคนดีเด่น
ประจำตำบลนั้น แน่ล่ะความโดดเด่นโด่งดัง...ขจรขจายไปยังตำบลต่างๆถึงความสามารถ
ของแม่ม่ายสาวลูกติดจนเป็นที่ใฝ่ปองของหนุ่มและไม่หนุ่มทั้งหลาย พยายามที่จะเข้ามา
สร้างสัมพันธ์ไมตรีกับหล่อน แต่ก็หาได้มีหนุ่มใดพิชิตใจหล่อนลงได้
เพราะหัวใจหล่อนนั้นได้ปิดสนิทเสียแล้วจะมีก็เพียงลูกสาวคนเดียวของหล่อนที่กำลัง
ศึกษาเล่าเรียนเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยประจำภาค ในส่วนลึกๆนั้นความรักหล่อนยังคุกรุ่น
ถึงชายอันเป็นที่รักและชายอันเป็นที่เกาะกุมหัวใจหล่อนไว้อย่างที่มิมีวันเสื่อคลายไปได้
บางครั้งหล่อนนั่งคิดย้อนอดีตความหลังเผลอไผลอุทานออกมา
ชิดชัยๆ... อยู่ที่ไหนหรือ...คงมีลูกเมียแล้วนะ ออกมาจนลูกสาวต้องสงสัยย้อนถาม
ใครหรือแม่...ชิดชัย...นะ
ไม่มีอะไรหรอกลูก...เพื่อนเก่าแม่เองแหละ
ไม่ได้เจอกันตั้งนานหายเงียบไปจ๊ะ หล่อนตอบ แต่ภายในซิหาได้เป็นดังคำพูดไม่
นึกถึงเรื่องเก่าๆก็เลยสงสัย ก่อนเขากับแม่สนิทกันมาก หล่อนตอบต่อ
แล้วเขาไม่เคยมาเลยอีกหรือแม่ หนูไม่เคยเห็น
อ้อ..ได้ข่าวว่าเขาอยู่กรุงเทพฯ เมื่อก่อนก็เป็นคนบ้านเรา แต่อยู่คนละตำบลนะ
อย่างนี้แม่ก็ไปตามหาเขาซิแม่ ลูกสาวเย้า
หล่อนอึ้งต่อคำพูดของลูกสาว ซึ่งหารู้ไม่ว่ามันเปิดประตูห้องหัวใจของหล่อนขึ้นอีก
วาระหนึ่ง ทั้งๆที่มันปิดไปตั้งนานนับแต่พ่อของลูกได้ตายไปแล้ว
หล่อนยังรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อเด็กเสมอ แม้จะมีเหตุการณ์บางอย่าง
เข้ามาเร่งเร้าตามวัยของผู้ที่ยังไม่ถึงกับเรียกว่าแก่เฒ่า
แม่...เมื่อวานหนูไปเที่ยวกับเพื่อนแถวเนินเขาน้อย...สวยและอากาศดีจัง
เห็นต้นไม้สูงใหญ่สองต้นคู่กันจ๊ะ...เอ๊ะแปลกนะแม่..ทั้งสูงและใหญ่มาก
ใหญ่และสูงกว่าต้นอื่นๆมากๆเลย...แต่ไม่ยักมีใครไปตัดนะ
หนูไม่กล้าไปใกล้ๆ เพราะมีคนนอนหลับอยู่ที่โคนไม้จ๊ะ ลูกสาวกล่าว
ต้นรังคู่ริมเนินเขา??....โอ้เราลืมไปเสียสนิทเพราะมัวหมกมุ่นอยู่กับการทำงาน
หล่อนรำพึงเบาๆ เห็นจะต้องแวะไปดูสักหน่อยไม่ได้แวะไปนานแล้ว
สภาพเดิมๆจะเปลี่ยนไปหรือเปล่าหนอ ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ๆเราเคยสัญญา
ว่าจะรักกันอย่างมิมีวันเปลี่ยนใจกันและกัน โอ้..ไม่เคยคิดว่าจะแปรผัน
จนไม่สามารถจะพบหน้ากัน....หล่อนรำพึง พร้อมถอนใจยาวๆ
แล้วเป็นหญิงหรือชายล่ะลูก หล่อนย้อนถามลูกสาว
ผู้ชายจ๊ะแม่...แต่งตัวไม่เหมือนคนแถวบ้านเรา ลูกสาวบอก
ลางสังหรณ์บางอย่างทำให้หล่อนนึกไปถึงชายคนหนึ่ง เอ๋..แต่ว่าเขาไปอยู่
ที่กรุงเทพฯนี่นา...คงไม่ใช่มั๊ง.....หล่อนคิด
จ๊ะลูก...เมื่อแม่วัยเท่าแก่นี่แหละชอบไปเที่ยวแถวนั้นเสมอๆ ด้วยเพราะ
เป็นสถานที่ร่มรื่นมีไม้ดอกมากมายและธารน้ำไหลเอื่อยๆสวยมากจ๊ะ
นั่นซิแม่...เพื่อนๆหนูติดใจและชักชวนกันว่าจะไปพักผ่อนอีกและ
หาอาหารไปรับทานกันแบบเที่ยวปิกนิกไงล่ะแม่ ลูกสาวกล่าว
จ๊ะ...ตามสบายเถอะ ยังไงๆก็อย่าให้มืดค่ำมากๆนะ มันเปลี่ยว ผู้เป็นแม่กล่าว
ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
หนูคิดว่าคงไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ เพราะ น้าทองกับน้านวลก็อยู่แถวๆนั้น
วันนั้นหนูกับเพื่อนยังไปขอน้ำมาทานกันเลย ลูกสาวกล่าวอ้างญาตของหล่อน
ถ้าอย่างงั้นแม่ก็ไม่ต้องห่วง ได้ข่าวเหมือนกันว่าเขาไปปลูกกระต๊อบใกล้ๆที่นั่น
เพื่อปลูกถั่วฝักยาวและผักด้วย...อย่างไรหากมีอะไรๆก็รีบไปหาน้าเขานะ.
จ๊ะแม่....หนูไปก่อนนะไปติววิชากับเพื่อนๆหน่อยนแม่ ลูกสาวกล่าวแล้ว
ผลุนผลันออกไปพร้อมหนังสือเรียน
อย่ากลับมืดล่ะ...แล้วมาทานข้าวด้วยกัน
จ๊ะแม่...ไม่เย็นมากหรอก ได้ยินเสียงแต่ไกล
อืมม.. ช่างเถอะพรุ่งนี้ว่าง...เห็นจะไปลองแวะไปดูสักหน่อย...หล่อนคิด
ตอนสายของวันรุ่งขึ้นท้องฟ้าแจ่มใส อากาศไม่ร้อนเกินไปเนื่องจากมี
หมู่เมฆมากมาบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้การเดินทางของหญิงที่มีความตั้งใจ
จะไปยังสถานที่เมื่อครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ให้ความสุขแก่หล่อนเป็นอย่างยิ่ง
พอพ้นแมกไม้กลุ่มนั้นก็จะถึงแล้ว....หล่อนคิด...พร้อมถือของพะรุงพะรังที่
ติดตัวมาตั้งใจว่าจะไปสักการะต้นไม้คู่นั้นพร้อมเอาแพรไหมที่นางเองทอ
หลายหลากสีไปผูกไว้เพื่อระลึกถึงความหลังครั้งที่หล่อนกับเขารักกันสัญญากัน
ใน ณ สถานที่นี้......ป่านฉะนี้เขาจะคิดเหมือนเราหรือเปล่าหนอ........
พ้นจากกลุ่มไม้จะเป็นคันทางเดินเล็กๆมีต้นหญ้าปกคลุมแต่ก็ยังมองเห็น
เป็นทางใช้สำหรับเดินได้อยู่ หล่อนก้าวไปยังบริเวณใต้โคนต้น
แปลกจริงบริเวณใต้ต้นไม้ทำไมสะอาดสะอ้านไม่มีสิ่งรกรุงรังเช่นใบไม้เลย
หรือพวกเด็กๆที่มาเที่ยวจะทำความสะอาด แต่เอ๊ะ...ก็หลายวันแล้วนี่นา
น่าที่จะมีเศษใบไม้หลงเหลือบ้างซิ.....หล่อนรำพึง
พลางนางหันซ้ายแลขวาด้วยความสงสัย....สายตาก็เหลือบไปเห็นผ้าขาวม้า
ปูวางไว้ระหว่างกลางต้นรังคู่นั้น แต่ผ้าผืนนี้นางคุ้นตานางยิ่งนัก ถึงแม้ว่ามันจะเก่า
และสีซีดๆแต่ทว่าความเป็นผ้าไหมก็ยังรักษาเนื้อผ้าไว้เป็นอย่างดี นางรีบตรงเข้าไป
หยิบผ้าผืนนั้นขึ้นมาพิจารณา พลัน....ร่างนางสะท้านทั้งร่างใจเต้นระรัว มือไม้สั่น
เพราะนางจำได้ว่าผ้าขาวม้าผืนนี้ เป็นผืนพิเศษผิดกับผ้าอื่นๆที่นางทอขาย
ด้วยชายผ้ายังมีรูปหัวใจคู่ที่ริมชายทั้งสองข้าง เป็นผ้าที่นางตั้งใจทำเป็นพิเศษ
มอบให้เฉพาะคนที่นางรักเท่านั้น มีคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับผ้าน้อยผืนนี้ไป
นางโอบผ้าผืนน้อยไว้ระหว่างอก...พร้อมทั้งหันซ้ายหันขวาเหมือนจะมอง
หาใครคนหนึ่ง แต่เงียบ...โอ้เขาเป็นอะไรไปแล้วหรือ...นึกเท่านั้นใจหายวูบ
คล้ายๆจะเป็นลมต้องทรุดร่างลงนั่งข้างโคนต้นไม้ ....ตัวสั่นระรัว...โอ้ๆๆๆ...
รีบแหงนหน้ามองยอดไม้คู่นั้นเหมือนจะหาใครคนหนึ่ง...แต่ว่างเปล่าไร้วี่แวว
ทำให้นึกย้อนอดีตรักที่เคยผ่านมา หรือว่าเขามาแล้วแต่ๆๆๆนำของรักมาวางไว้
เพื่อส่งคืนเราหรือ.....ความคิดหล่อนแผ่ฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา
ฉับพลันร่างนางก็ต้องสะดุ้งสุดตัว...เพราะมีมือใครมาจับหัวไหล่นาง
ว๊าย.ๆๆ...ตาเถรตกกระได....เสียงอุทานดังลั่น พร้อมหันหลังกลับมอง
ทันใดนั้นร่างก็สะท้าน ตกตลึงพรึงเพริด..นัยน์ตาพร่า.......พอแลเห็นใบหน้า
น้ำตาหล่อนก็พร่างพรูออกมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว...คุณๆๆๆ....ชิดชัย......
คุณๆๆๆ....เพ้อฝัน...ใช่...เพ้อฝัน..จริงๆแหละ...เสียงอุทานดังลั่น
ผมรอคอยคุณมานานนัปนาน...ตั้งแต่ทราบข่าวคุณ...เพียงๆ...แต่..ไม่กล้า
เข้าไปหาคุณ...ผมกลัวจะทำให้ครอบครัวคุณแตกแยก...และเป็นที่ครหานินทา
ของคนทั่วๆไป....ทุกๆปี ณ เวลานี้ผมจะมาพักผ่อนทวนย้อนอดีตถึงเราทั้งสอง
ใต้ต้นไม้คู่นี้หลายๆวันเสมอมา.....คุณสบายดีหรือครับ....เสียงกล่าวถามด้วย
น้ำเสียงกระท่อนกระแท่น
ยังจำได้ไหมเพ้อ...เราเคยสัญญากันไว้ว่าถึงอย่างไรก็ตาม..
เราจะมาที่นี่กันทุกๆปี แต่...แต่ๆๆ....ผมรอคอยหวังพบหน้าคุณ..
มิได้มีเจตนาอื่นใด...เพียงเพื่อสอบถามคุณ ถึงความทุกข์...สุขดิบ...
มีอะไรบ้างที่ผมจะช่วยได้..........เพราะที่นี้พ้นหูพ้นตาคนอื่นๆ....
คงจะไม่เสียหายแก่คุณ ชายสูงอายุกล่าว
ค่ะ...ค่ะๆ...เพ้อจำได้ดีเสมอและไม่มีวันลืมไปจากใจเพ้อได้...แต่ทว่า.....
น้ำเสียง...หล่อนขาดหายไป... เพียงแต่ไม่สามารถจะมาที่นี่ได้ตามคำสัญญา..
เพราะเขานั้น
ดีเกินไป...ดีเสียจนเพ้อละอายใจและละอายต่อบาป..หากทำลงไป
อีกอย่างหนึ่งต้องคอยระวังดูแลลูกอยู่..ค่ะ หล่อนตอบปนเสียงสะอื้นน้อยๆ
ครับผมเข้าใจและมองคนไม่ผิดหรอกครับ...คิดว่าเป็นเวรกรรมของเราทั้งสอง
ก็แล้วกันครับ...อ่าๆๆ...เขาสบายดีหรือครับสามีคุณ...ลูกคุณ เสียงถามสั่นน้อยๆ
พี่ทัดเขาจากไปหลายปีแล้วค่ะ...ส่วนลูกปีหน้าคงจะได้เข้ามหาวิทยาลัย..ค่ะ
หล่อนตอบ...พร้อมหันหน้ากลับมองเจ้าของเสียงที่กุมหัวใจหล่อนไว้
เสียใจด้วยนะครับ.....แล้วมาทำอะไรที่นี่หรือครับ.....
ก็เหมือนคุณแหละค่ะ...วันนี้ว่างเลยมาดูสถานที่นี้
คิดว่าจะเอาผ้าไหมมาผูกกับต้นไม้ด้วย พร้อมเงยหน้ามองชายคนที่รักยืนอยู่...
แต่ก็รีบหลบสายตาที่อ่อนละมุนคู่นั้นทันที
ไม่เปลี่ยนแปลงเลยนะสำหรับเขา เพียงแต่ซูบไปเล็กน้อยเท่านั้น....
แล้วก็...ผมก็ขาวขึ้นอีกเยอะ...หล่อนคิด
แล้วครอบครัวคุณล่ะ..คุณชัย...มีลูกกี่คนแล้วล่ะ...หล่อนถามบ้าง
ผมยังไม่ได้แต่งงานเลยครับ...อ่าๆๆๆ...คิดถึงคุณเลยไม่มีกะใจหาคนอื่น
หล่อนเงยสบตาเขาอีกครั้งหนึ่ง...โอ๋ๆๆ...ช่างรักเดียวใจเดียวจริงหนอ...หล่อนคิด
คอยทำไมหรือ..ในเมื่อเพ้อเอง..ก็มีครอบครัวแล้วนี่นา....หล่อนติง
ใช่แล้วครับ...แต่ทว่าหาใช่ความผิดของคุณก็หาไม่...เพียงแต่... น้ำเสียงหยุดชะงัก
ช่างเถอะครับ...อดีตผ่านพ้นไปแล้วเพียงเราไม่ลืมกัน...อยู่ในฐานะเพื่อนก็ได้ครับ
เพื่อนๆๆๆ...หล่อนสะอึก...แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดทำให้หล่อนเผลอกล่าวขึ้น
อ๋าๆๆมากกว่าเพื่อนก็ได้ค่ะ...เพราะ..เพ้อ...พ้นพันธะสัญญาแล้วคุณ
สัญญา...อึๆๆ...สัญญาอะไรหรือครับ เขาถามด้วยความสงสัย
สัญญาที่เพ้อให้กับพี่ทัดค่ะ...ว่าหากลูกโตพอจะรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว
สามารถรักษาตัวได้แล้ว...เพ้อ..ก็ๆ...จะทำตามใจของเพ้อเองค่ะ...หล่อนก้มหน้าตอบ
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ...พลางย่อตัวลงแล้วจับหัวไหล่สาวเจ้า..แล้วประคองหน้า
ให้เงยขึ้น...พลางบรรจงจูบที่หน้าผากหล่อน...สาวเจ้าสะท้านทั้งร่างแต่ไม่หลบหลีก
ปิดป้องแต่ประการใด...กลับผวาเข้าสวมกอดพร้อมทั้งร้องไห้รำพันถึงความหลัง...
เพ้อครับ...ต่อไปนี้ผมจะปกป้องคุณเอง...และจะดูแลลูกคุณเสมือนหนึ่งลูกผม
พร้อมทั้งจะทำตามใจคุณทุกประการ อีกอย่างหนึ่งทำให้ถูกต้องตามประเพณีเราด้วย
ผมจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง...พร้อมพิธีที่จะแต่งงานกับคุณ...รอผมด้วยนะครับ
หล่อนเงยหน้ายิ้มรับคำกล่าวของชายอันเป็นที่รัก
ค่ะ...เพ้อจะรอคุณ...ถึงแม้โลกจะแตกดับ...เพ้อ..ก็จะรอคุณ...รอคุณเพียงคนเดียวค่ะ
เหตุการณ์ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง...มีมืดก็ย่อมมีสว่างฉันท์ใด...ฟ้าย่อม
จักเปลี่ยนสีฉันท์นั้น...ความรักมีทุกข์ก็ย่อมมีสุข...การเพียบพร้อมสมบูรณ์ต่อทุกสิ่งทุกอย่าง
ย่อมไม่มีในโลกนี้.........
ทั้งสองซึ่งมีรักอันมั่นคงภายใต้สัญญาใต้ต้นรังคู่...ต่างพร่ำพรอดเล่าสู่เหตุการณ์เบื้องหลัง
บางครั้งจะได้ยินเสียงหัวร่อ...ระริกกัน...บางครั้งก็เงียบงัน...ปนเสียงสะอื้นน้อยๆ แต่ทุกอย่าง
ก็จบลงได้ด้วยความสุขสมบูรณ์.........
สายลมพัดแผ่วโชยปะทะร่างทั้งสอง แว่วเสียงใบไม้ดังสอดแทรกผ่านเข้าหูคนทั้งสองจนเกิด
อุปทานคล้ายเสียงแสดงความยินดีต่อความรักอันบริสุทธิ์และน้ำเสียงแสดงความยินดีอวยพร
สุขเถิดลูกทั้งสอง...ร้ายๆผ่านพ้นไปแล้ว...เจ้าจะมีแต่ความสุข...ตามคำที่แม่พ่อเคยพูดไว้
ให้เจ้าฟัง...ผ่านล่องลอยแล้วเงียบหายไป
นอกจากเสียงนกบางชนิดร่ำร้องเปรียบสนองความรักของหนุ่มสาวเจ้า
มาดแม้นจะต่างวัยก็ตามทีหาใช่เหตุอันใดไม่ที่จะขวางกั้นเป็นอุปสรรคแก่
เขาทั้งสองตราบชั่วอายุขัยสิ้นกาลนานเทอญ
จบบริบูรณ์
*** แก้วประเสริฐ. ***
5 กรกฎาคม 2549 14:12 น.
แก้วประเสริฐ
เพ้อรักสลักจิต
ตะวันอ่อนรอนแสงแฝงสีแดงระเรื่อ
เจือชมพูทองสาดส่องลอดพุ่มไม้ที่สูงตระหง่าน
ประหนึ่งเสียดฟ้าของต้นรังคู่ ที่รายล้อมไปด้วย
แมกไม้นานาพันธุ์ บ้างผลิดอกออกสีสันหอมเย็น
แผ่คลุ้งกระจายยามลมโชย อภินันทนาการแก่
ผู้มาเยือนชมดุจความรักแท้ดั่งคนที่กล้าท้าทาย
ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดๆทั้งสิ้น เปรียบเสมือนจะ
เย้ยฟ้าท้าดินของต้นไม้คู่นี้ หยันในการดูแคลนต่อรัก
ผ้าขาวม้าผืนน้อยในมือที่สร้างจากผ้าไหมหมี่ขิด
ถูกยกขึ้นซับใบหน้าจากหยาดเหงื่อที่ไหลย้อยด้วย
ความร้อนอบอ้าวอากาศแผ่ซ่านออกมาพร้อมเมฆ
ที่แปรสภาพของฟ้าที่มึดคลื้ม เสมือนแจ้งว่าฝนจะเท
หลั่งลงมาก็มิปาน
ชายฉกรรจ์วัยย่างสู่ชรายกผ้าไหมน้อยขึ้นมองดู
หลังจากซับเหงื่อเรียบร้อยแล้วขึ้นมาพิจารณา
ยิ้มเศร้าๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เหี่ยวย่นเล็กน้อย
ย้อนความนึกคิดหวนสู่อดีตของผ้าผืนนี้
ใช่แล้ว...นี่เป็นผลงานของหญิงหนึ่งที่พึงต้องตา
ต้องใจบรรจงทอขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์มอบให้
ในระหว่างการพบปะสังสรรค์ในงานบ้านเชียงของ
เราพบกันยิ้มให้แก่กันความสัมพันธ์ของหนุ่มสาว
ที่มีต่อกันถูกต่อยอดสืบทอดกันเรื่อยๆมา
จนกระทั่งส่งต่อไปที่บ้านนาง ซึ่งเป็นบ้านโดดเดี่ยว
หลังน้อยถัดแยกห่างจากบ้านที่ปลูกเรียงรายเว้นช่วง
ของหมู่บ้านที่มีอาชีพพิเศษในการทอผ้าไหมไทยขาย
ในยามว่างเว้นช่วงจากงานท้องนาที่ห่างไปเพียงเล็กน้อย
บ้านนางรายล้อมไปด้วยพันธุ์ไม้ที่ผลิดอกหลาย
หลากสีส่งกลิ่นหอมยิ่งนัก ตลอดจนพืชพันธุ์สวนครัว
นานาชนิด เช่น พริก ตระไคร้ ข่า มะกรูด เป็นต้น
ทั้งสองต่างชี้ชวนชม พร่ำพรอดสนทนาด้วยสันถวไมตรี
ที่งดงามยิ่ง ด้วยสิ่งที่ผุดเกิดความผูกพันของกันและกัน
ความนึกคิดที่ซึ้งตรึงใจประทับอยู่ในห้วงจินต์เสมอๆ
ภาพของสาวเจ้าส่งขันน้ำที่โรยไปด้วยกลีบกุหลาบสีชมพู
พร้อมบอกว่าเป็นน้ำฝนที่เก็บไว้ค้างปีมอบให้เฉพาะ
คนพิเศษเท่านั้น กึ่งล้อเล่นด้วยรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ผุดซึ้งลงในห้วง
แห่งสายตาที่ส่งประกายเจิดจ้าผ่องใสยิ่งนัก พร้อมด้วยสิ่งของ
เป็นผ้าขาวม้าที่ถักทอขึ้นด้วยไหมที่จัดทำอย่างประณีต
ส่งประกายระยิบระยับสีทองสลับชมพูแดงเหลืองไปมา
ชายหนุ่มส่งยิ้มยื่นมือรับและประสานสายตากันและกัน
ทั้งยังถอดสร้อยเส้นเล็กๆจากคอที่ประดับด้วยพระองค์น้อยๆ
ที่ใช้ติดตัวเสมอมา เป็นสิ่งทดแทนน้ำใจนาง บรรจงสวมใส่
คอที่นวลขาวผ่องเป็นยองใย แทน คอที่ว่างเปล่าดุจประหนึ่ง
การฝากใจไว้แทนตัวเพื่อความหมายที่จะแนบหัวใจไว้เพื่อ
จะได้ใกล้ชิดต่อกันมิมีวันจางหายไปไว้ประทับกายนางอยู่เสมอ
วันเวลาผ่านมา ทั้งสองต่างท่องเที่ยวไปในถิ่นของนาง
ตามเขาลำเนาไพร ธารน้ำไหลเอื่อยๆ พุ่มแมกไม้ต่างๆบ้างกลิ่นหอม
เดินไปจนมาพบต้นรังคู่ที่แปลกประหลาดตายิ่งนัก ทั้งสูงใหญ่เคียงคู่กัน
เนื่องจากเป็นไม้คู่เดียวเท่านั้นที่เหลืออยู่สูงตระหง่านเทียมฟ้าแวดวงนั้น
ดุจประหนึ่งความรักที่ผูกพันไม่ยอมห่างหายเย้ยหยันต่อไม้นานาพันธุ์
แน่ล่ะ คนทั้งสองต่างให้คำมั่นสัญญาฝากไว้ซึ่งกันและกันจะไม่มี
วันพรากจากกันดั่งต้นไม้คู่นี้ เนิ่นนานวันความสัมพันธ์ผูกพันกันสัญญาที่
แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นจนกลายเป็นความรักมั่นคงระหว่างต้นไม้ที่ใช้เวลามาสื่อ
จากสิ่งที่อยู่ในใจทั้งสอง เมื่อยามที่มีเวลาว่างภายในบริเวณนี้เป็นที่พบกัน
ใกล้เวลาที่เราสองจะร่วมเป็นคนๆเดียวกัน เหตุการณ์ไม่น่าจะเกิดขึ้น
ก็เกิดขึ้น ปั่นป่วนผันแปรกระแสชีวิต เข้าสู่ความอ้างว้าง รันทดหดหู่จน
เราต้องพรากจากกัน การพรากครั้งนี้ไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นการพราก
ที่ยาวนานกีดกั้นหนทางแห่งรักต้องสลายไป
ปีแห่งฝนแล้งท้องทุ่งนาแตกระแหงเศรษฐกิจตกสะเก็ด ทุกๆคนต่าง
มุ่งสู่เมืองหลวงต่างดิ้นรนขนขวายหาเงินทองมาเพื่อเลี้ยงคนที่อยู่เบื้องหลัง
เขาก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านี้ ที่จะต้องเดินทางไปสู่แหล่งที่ทุกๆคนมุ่งหวัง
การติดต่อก็ยังต่อเนื่องเสมอมา จนกระทั่งการต่อสู้ส่งผลขยายไปสู่ยัง
ต่างประเทศที่ใช้แรงงาน ทำให้การติดต่อนับวันจะจางหายไป
จดหมายถูกส่งมาต่อเนื่องไม่เคยขาดแต่ อนิจจานานๆเข้าการตอบรับ
กลับหายไป ไร้วี่แววทุกข์สุขของหล่อนเป็นเสมือนถูกกลืนไปสู่ความมืดมิด
สร้างความกระวนกระวายไม่เป็นอันทำงาน ทนทำไปจนกระทั่งพ้นสัญญา
ผูกมัดได้หวนกลับบ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้ง รีบเดินทางกลับบ้านเกิดทันที
เสมือนฟ้าผ่าสะท้านผ่านร่าง สั่นหวั่นไหวใจแทบจะขาด ชาเย็นเฉียบ
เหงื่อกาฬผุดต้องทรุดร่างนั่ง ภายหลังจากทราบจากคนในหมู่บ้านหล่อนว่า
สิ่งอันเป็นที่รักยิ่งถูกฉุดไป จนกระทั่งหล่อนท้องจึงได้มาผูกไม้ผูกมือกันใน
ภายหลังตามประเพณี
น้ำตาของลูกผู้ชายรินหลั่งไหลทั้งภายในและภายนอก มันปวดร้าวเสียยิ่ง
กว่าสิ่งใดๆ รักถูกพรากจากไปเสมือนตายไปจากห้วงแห่งความฝัน ที่ถูกวาดไว้
ในจินตนาการอันอลังการยิ่ง พร้อมสิ่งที่เพียบพร้อมเพียงพอต่อการสร้างชีวิต
อันสดใสยาวนาน บัดนี้หนอความฝันอันสลายกลับเป็นใยผูกมัดรัดกระชับ
บีบคั้นยากที่จะทนได้ แต่ด้วยจิตสำนึกภาระที่ต้องรับผิดชอบอีกมากมาย
ทำให้ต้องทนทุกข์ระทมเก็บไว้ ใช้ชีวิตด้วยการทดแทนคุณผู้ที่มีอุปการคุณ
เหนือสิ่งอื่นใด แม้นน้ำตาจะเป็นสายเลือดแต่มิเหือดแห้งไปจากใจได้
เริ่มแรกคิดจะหวนกลับไปในทางใช้ชีวิตประชดในสิ่งที่ขวางกั้นและ
ทำลายสิ่งที่สร้างความปวดร้าวให้แดดิ้นสิ้นไป แต่ด้วยจิตสำนึกที่ถูกอบรม
สั่งสอนตั้งแต่เล็กๆในคุณธรรม จึงทำให้บังเกิดความละอายต่อบาปที่จะบังเกิด
เวรย่อมละงับด้วยการไม่จองเวร พ่อแม่กล่าวสั่งสอนอยู่เสมอครั้งยังเยาว์วัย
จึงได้หันเหชีวิตไม่ทำในสิ่งที่ชั่วร้าย พร้อมนำครอบครัวมุ่งเข้าสู่เมืองหลวง
วางรากฐานใหม่ ใช้ชีวิตปรนนิติผู้มีคุณจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แต่ไม่วายอดที่จะกลับ
หวนสู่ถิ่นเก่าเฝ้าผูกพันถึงคำมั่นสัญญาภายในบริเวณที่เคยเป็นสถานที่ปักรักไว้
ตะวันใกล้จะลาลับแนวแมกไม้ สายลมเอื่อยฉิว ใบไม้พลิ้วปลิวไสว หอมกรุ่น
ด้วยพันธุ์ไม้ เงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงกระทบของใบไม้ได้ยินแผ่วๆเบาๆ
หนุ่มวัยเลยฉกรรจ์หยิบผ้าข้าวม้าไหมผืนน้อยที่สีออกจะซีดมัวๆ
ขึ้นมาบรรจงจูบแล้วปูลงใต้ต้นรังคู่ พลางเอนกายลงใช้ลำแขนพาดจรดหน้าผาก
ฝากความนึกคิดต่างๆลงในห้วงคำนึงถึงกับกลั่นบทความไว้ในห้วงแห่งความหลัง
ครั้งความมีสัมพันธ์ระลึกถึงนางอันเป็นที่รัก แม้บัดนี้สิ่งนั้นก็ยังตราตรึงประทับไว้ไม่มี
วันจืดจางไปพร้อมรำพึงถึงบทความผ่านสายลมที่กิ่งไม้ไหวเอนประสานเสียงทำนองนั้น
รักเพ้อฝันฉันเพ้อละเมอหา
แก้วกานดาสวยสดงดงามเหลือ
จากอุดรผ่อนพักยากจุนเจือ
สิ่งที่เอื้อเหลือไว้เพียงสายลม
มาบัดนี้ตามฝันอันเจิดจ้า
สิ่งที่มาเพียงเงาเคล้าเริงล่ม
ปวงห้วงใจในรักมิอาจชม
เหลือเพียงปมยากขจัดพลัดจากใจ.
เพ้อ เธออยู่ที่แหล่งหนใดหนอ?
ฉันยังรักเธอเสมอนะเพ้อ สำเนียงดุจเสียงละเมอ
หวังว่าเธอคงสุขสบายดีนะ เสียงรำพึงแผ่วเบาๆระคนเศร้า
ฉันจะคอยเธอเสมอ เพื่อรอวันกลับของเธอภายใต้ต้นไม้นี้
ด้วยหัวใจแม้จะปวดร้าวแต่ก็ให้อภัยเสมอ แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะทำ
ให้เราต้องสุดสิ้นกระแสชีวิต แต่ทว่าความรักหาสิ้นสุดลงไม่นะเพ้อ
เสียงแผ่วค่อยๆจางหายไปด้วยอาการหลับใหลอย่างมีความสุข
แน่ล่ะ....เขาคงจะฝันที่จะสร้างวิมานอันสดใสโดดเด่นต่อ ภายใต้ห้วงจิตสำนึก
แห่งความรักที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในใต้จิตใจยากที่จะผันแปรได้
ยินดีและอวยพรด้วยแด่หนุ่มผู้ที่มีความรักมั่นคงประดุจดั่งขุนเขา
ฝันเถอะ...จงฝันไป...เพื่อจะได้คลายสิ่งหม่นหมองให้จางหายไปแม้แต่น้อยก็ตาม
ให้เป็นเพียงประดุจดั่งสายลมที่พัดแผ่วเบาๆแล้วก็จางหายไปในที่สุด
เราจะสนองอารมณ์เจ้าจนกว่าเจ้าจะตื่นขึ้นมา เป็นสำเนียงแว่วๆแผ่วๆ
คละเคล้าปนเข้าดุจสายลมแว่วมาจากต้นไม้รังคู่นั้น สอดแทรกใส่ลงสู่ห้วงอารมณ์
คลอด้วยเสียงเพลงดนตรีสวรรค์ผ่านลงห้วงจิตใต้สำนึกนั้น...
วันหนึ่งจะเป็นของเจ้า เสียงแว่วแผ่วๆกระซิบ
คอยเถิดจะกลับมา... พร้อมรักที่เป็นไปตามสัญญาตราบชั่วกาลนาน.
*** แก้วประเสริฐ. ***