14 ธันวาคม 2549 14:34 น.
แก้วประเสริฐ
** เสี้ยวรักหักอารมณ์ **
ฐิตินัย วิริยะกุล ชายวัยฉกรรจ์หยิบจดหมายเปิดผนึกที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานขึ้นมาอ่าน
ด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างจะเคร่งขรึมแต่ยังแฝงรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก พร้อมเก็บจดหมายดังกล่าว
ใส่ในซอง ก้มหน้าก้มตาเก็บเอกสารที่จำเป็นและสิ่งของเล็กๆน้อยลงในกระเป๋าเอกสารใบไม่
ใหญ่นักวางลงบนโต๊ะทำงาน ท่ามกลางสายตาแปลกใจของพนักงานที่ต่างหันมามองด้วยเห็น
ความผิดปกติของเจ้านายมิได้เคยกระทำดังนี้มาก่อนตั้งแต่ทำงานร่วมกันมา
“ คุณ อรสา บ่ายนี้ช่วยบอกทุกๆคนด้วยนะครับว่า ผมของดการประชุมเพราะมีธุระด่วน”
เขาหันไปสั่งเจ้าหน้าที่ด้านซ้ายมือที่ทำหน้าที่เป็นเลขานุการประจำตัว
“ค่ะๆ?? ทำคุณจะไปไหนหรือค่ะ” หญิงสาวที่ชื่อ “อรสา” ถามขึ้นเบาๆ ด้วยความสงสัย
“เดี๋ยวผมต้องไปพบกับคุณธเนศยังไม่รู้ว่าเราจะได้ร่วมกันทำงานอีกต่อไปหรือไม่ครับ”
เขาหันมายิ้มตอบเพียงสั้นๆ
“คงไม่เป็นไรนะครับ ขอให้ทุกๆคนทำงานให้เต็มความสามารถก็แล้วกัน ผมขอฝากไว้ด้วย”
เขาก้าวลุกขึ้นพร้อมหยิบกระเป๋าเอกสารเดินไปตามโต๊ะพนักงานสนทนาเบาๆ บางครั้งก็ตบ
ไหล่เจ้าหน้าที่ ก่อนจะออกจากห้องไป เขาหันกลับมามองยังเหล่าพนักงานพลางค้อมศีรษะลง
ส่งยิ้มแล้วโบกมือเสมือนจะอำลาจากไป ยิ่งทำให้ทุกๆคนแสดงสีหน้าเลิกหลักสงสัยยิ่งนักเกิด
การวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นถึงกับเสียงดังเซ็งแซ่ไปหมด
ก๊อกๆๆๆ เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้นเบาๆ
“เชิญ” เสียงดังจากภายในก้องออกมา
ร่างชายนั้นพลันก้าวผ่านประตูเข้าไป พร้อมทั้งก้มศีรษะทำความเคารพ เห็นภายในห้องนั่งไว้
ด้วยร่างชายหนุ่มใบหน้ายาวมีหนวดประดับไว้เหนือริมฝีปากพองามยังโต๊ะทำงานใกล้ริมหน้าต่าง
“เชิญนั่งคุณฐิตินัย” เขากล่าวขึ้นด้วยสำเนียงเคร่งขรึม
เมื่อชายกลางคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงกล่าวต่อขึ้นว่า
“จากผลงานที่คุณทำมาแล้วให้นึกเสียดายจริงๆที่ผมจำเป็นต้องพักงานคุณไว้ชั่วคราวเนื่องจาก
ระยะนี้เศรษฐกิจกำลังตกต่ำทำให้ค่าใช้จ่ายของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากรายจ่ายสูงกว่ารายรับ การ
ติดต่อกับด้านต่างประเทศก็ขาดทุนอย่างมาก แต่มิใช่ความผิดของคุณหรอก หวังว่าคุณฐิตินัยคงจะรู้ดี
หากบริษัทเราดีขึ้นกว่าเดิมผมจะติดต่อขอให้คุณมาช่วยทำงานให้แก่เราอีกด้วย คิดว่าคุณคงจะเข้าใจดี
อ้อ..นี่เงินเดือนคุณพร้อมโบนัสประจำปีและเงินค่าแรง 6 เดือนตามกฎหมายแรงงาน” เขากล่าวพร้อม
ยื่นซองยาวสีขาวมอบส่งให้แก่ชายกลางคน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเองก็คิดจะวางมือเรื่องงานนี้สักพักครับ งั้นผมขอลาไปเลยนะครับ”
เขายื่นมือมารับซองขาวนั้นใส่ลงในกระเป๋าเอกสาร พร้อมกับลุกขึ้นก้มศีรษะทำความเคารพแล้ว
หันหลังก้าวเดินออกจากห้องไป เมื่อพ้นหน้าบริษัทฯเขาหันมาหยุดยื่นมองเสมือนจะอำลา
บริษัทนี้เริ่มต้นก่อตั้งด้วยเขากับหญิงสาวเจ้าของบริษัทมีเพียงสองคนเท่านั้นที่เริ่มดิ้นรนขนขวาย
จากตึกห้องแถวที่เช่ากันมาจนกิจการรุ่งเรืองค่อยๆขยับขยาย ไปซื้อเนื้อที่เล็กๆปลูกสร้างขึ้นต่อมา
การค้าด้านต่างประเทศให้ความเชื่อถือ จนได้รับเอกสิทธิ์เป็นตัวแทนจำหน่ายผู้เดียวในประเทศก็ผัน
เปลี่ยนไปจัดหาเนื้อที่กว้างขวางเป็นไร่จัดการสร้างบริษัทฯและโรงงานจนใหญ่โตการค้าได้รับความ
เจริญรุ่งเรืองมาจนถึงบัดนี้ หญิงสาวพยายามอ้อนวอนเขาให้มีชื่อร่วมด้วยแต่ด้วยความรักที่มีและ
เกรงครหานินทาจากคนในสังคมเขาจึงได้ปฏิเสธความหวังดีนั้นอย่างสิ้นเชิง การวางตัวปฏิบัติมิได้
เย่อหยิ่งเสมอต้นเสมอปลายในความสมถะของเขาแม้แต่รถยนต์ที่เขาพอจะมีปัญญาซื้อหาได้ก็มิได้
สนใจใยดี คงอาศัยรถประจำทางมาทำงานจนผ่านล่วงมา 40 กว่าปีจนหญิงสาวที่เขาเฝ้าหลงรักหันเห
ชีวิตเปลี่ยนไปสู่ในสภาพแวดล้อม แม้กระทั่งลืมคำมั่นสัญญาที่ให้กันไว้เสียสิ้นไปแต่งงานกับหนุ่ม
สังคมมีหน้ามีตาเขาก็ยังไปร่วมในงานแต่งงานด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอวยพรคู่บ่าวสาว ครั้งนั้น
ยังจำได้ว่าระหว่างการรดน้ำสังข์นั้นเขาเห็นหยาดน้ำตาเล็กๆไหลคลอเบ้าตาหญิงอันเป็นที่รัก จนเขา
อดเสียมิได้ที่จะเอื้อมมือไปซับหยาดน้ำนั้นด้วยผ้าเช็ดหน้าของเขา ทุกๆวันนี้ผ้าน้อยผืนนี้เขายังเก็บรักษา
ไว้แนบกายเสมอมิได้ขาดหายไปไหนพกติดตัวตลอดเวลา
กาลเวลาเปลี่ยนแปลงไปมาสู่ปัจจุบันนี้ คุณธเนศบุตรชายคนเดียวของ คุณยุพดีหญิงที่เขาใฝ่ปอง
เข้ามาดูแลกิจการแทนแม่ของเขาซึ่งบิดาได้เสียชีวิตไปในระหว่างเดินทางไปต่างประเทศ เมื่อเศรษฐกิจ
ผันแปรไปตามจังหวะการเมืองเข้าแทรกซ้อนกิจการก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงของ
คุณธเนศที่หันเหชีวิตเข้าสู่การเมือง บริษัทเริ่มคลอนแคลนแต่ด้วยประสบการณ์ชีวิตของเขาที่ผ่านมา
ทำให้บริษัทมิได้ผันแปรเปลี่ยนไปตามกระแสร์วิถีทาง เขายืนมองบริษัทด้วยน้ำตาคลอเบ้าพลางพรึ่มพรำ
“ลาก่อนยุพดี..บริษัทที่รัก” แล้วหันตัวเดินจากไปในที่สุดท่ามกลางฝูงชนขวักไขว่ไปมา
บ้านพักน้อยใหญ่ตั้งเรียงรายเหนือเชิงผาริมเนินเขาที่อุดมไปด้วยพฤกษานานาพันธุ์ ไม้ดอกที่ขึ้น
ตามป่าเขาบ้าง ที่ปลูกจัดเป็นบริเวณบ้างสีสันหลายหลากสีส่งกลิ่นหอมวนเวียนด้วยหมู่แมลงต่างๆที่พา
กันไต่ตอมดอกเกสรของหมู่ไม้ เสียงนกต่างๆพากันร้องเซ็งแซ่ เหนือขึ้นไปยังยอดเขาเห็นลิงไต่ตามกิ่ง
ไม้แกว่งตัวไปมา บริเวณกว้างที่รายรอบด้วยบ้านพักต่างๆนั้นเทลาดลงสู่ชายหาดทะเลแลไกลสุดขอบฟ้า
บ้างแลเห็นหมู่เกาะเป็นตะคุ่มๆไม่ห่างไกลมากนัก มีเรือและสิ่งละเล่นจอดริมชายหาดไว้ให้นักท่องเที่ยว
ใช้เป็นที่สนุกสนานสำราญกัน ทุกๆบ้านอยู่ภายใต้ต้นสนล้อมรอบร่มรื่น เสียงน้ำทะเลซัดสู่ชายหาดเป็น
ระยะๆ ในยามเย็นพระอาทิตย์ยามอัสดงจะทอดตัวลงยังเหนือน้ำทะเลเป็นจุดมุมมองที่น่าทัศนายิ่ง
มีเหล่าคนงานจำนวนมากกำลังแยกย้ายกันทำความสะอาดบริเวณบ้านพักต่างๆและชายหาดให้ดูสะอาด
ร่างของชายค่อนข้างวัยชราแต่ท่าทางกระฉับกระเฉง ยืนทอดสายตาเหม่อมองท้องทะเลเหนือโขดหินริม
ชายหาดโดดเด่นเดียวดาย จนกระทั่งร่างชายชราสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเรียกของเด็กสาวที่กำลังวิ่งเข้า
มาหาพลางโอบกอดเอวไว้
“แม่เรียกจ๊ะพ่อ ให้หนูมาตามด้วยล่ะ ” เด็กสาวอายุราวประมาณ 14-15 ปีกล่าวเร่ง พร้อมดึงมือผู้
เป็นพ่อให้รีบไป
“มีคนมาขอเช่าบ้านพักจ๊ะพ่อ มากันหลายๆคนด้วยล่ะ” เด็กสาวกล่าว
“อ้าว!!! แล้วแม่บ้านล่ะลูกเขาทำไมไม่ต้อนรับล่ะ” ชายมีอายุถามด้วยความสงสัย
“อ้อ??? เขามาถามคนที่ชื่อฐิตินัย หนูไม่รู้จักบอกกับเขาแล้วว่ามีแต่คนที่ชื่อ ทัศน์นัยจ๊ะ แต่เขาบอกว่า
ไปสำรวจแล้วว่าบ้านพักเหล่านี้เป็นของคุณฐิตินัยแล้วมาเปลี่ยนชื่อภายหลัง หนูก็งง แม่บอกว่าพ่อเคยอยู่
กรุงเทพฯอาจจะเปลี่ยนชื่อเสียงก็ได้ ให้มาตามพ่อดีกว่าจ๊ะ” เด็กสาวกล่าวด้วยความสงสัย
“แล้วมันเกี่ยวกับฐิตินัยกันทำไมล่ะหนู จะเช่าก็เช่าไปซิทำไมต้องถามหากันด้วยล่ะ” เขาถามด้วยสงสัย
“ไม่รู้ซิพ่อ เห็นหญิงกลางคนแต่สวยจริงๆจ๊ะ เขาว่าอยากพบคุณฐิตินัยจ๊ะ” เด็กสาวเบิ่งตาโตตอบ
ชายกลางคนสะดุ้งแต่รีบปิดอาการมิให้ลูกสาวจับได้ แสร้งทำเป็นหงุดหงิดทันที
“ยุ่งจริงพวกนี้” เขากล่าวพลางกอดไหล่ลูกสาวก้าวเดินออกไป แต่นึกสังหรณ์ในใจหรือว่าจะเป็น
ยุพดี ใบหน้าของสาวคนรักเก่าในอดีตผุดขึ้นมาทันที รอยยิ้มที่ช่างตราตรึงเสียเหลือเกิน ปากน้อยๆถ้อยเจรจา
ที่เขายากจะลืมเลือนเสียได้ผุดขึ้นในโสตแว่วกังวานมิรู้เลือน ช่างเถอะบัดนี้มันเปลี่ยนไปเสียแล้ว
ยากจะหวนคืนมาได้อีก เขาก้าวเดินกลับบ้านพักที่จัดไว้เป็นที่ติดต่อของนักท่องเที่ยวทั้งหลาย
ก็แลเห็นภรรยายืนกวักมือเรียกไหวๆอยู่ หน้าบ้านพักที่ใช้เป็นที่ทำงาน เต็มไปด้วยคนเรียงราย
บ้างยืนบ้างนั่งบ้างกระจายเต็มไปหมด เขาก้าวมาหน้าห้องรับรองพร้อมด้วยลูกสาว หันไปทักภรรยา
“อ้าวแม่พัชร มีอะไรหรือจ๊ะทำไมเขาไม่พอใจอะไรหรือ?” เขาหันมายิ้มกับหญิงสาวสวยรูปร่างคล้ำอายุ
อานามห่างกับเขาหลายปีนัก
“บอกเขาแล้วล่ะพ่อ แต่เขายืนกรานว่าขอพบกับคุณฐิตินัยก่อนจะเข้าบ้านพักนะ” หญิงสาวรูปร่างได้สัด
ได้ส่วนสวยงามเพียงแต่ผิวร่างกายดูออกจะคล้ำไปเท่านั้นเอ่ยขึ้น
“เขาบอกว่า คุณฐิตินัยกับคุณทัศน์นัยนั้นคนๆเดียวกันคือนามสกุล วิริยะกุลเหมือนกันจ๊ะพ่อ” หล่อน
ตอบพร้อมจ้องตาเขม็งมองหน้าเขา
“ใช่แล้วพัชร พ่อเองนั้นก่อนชื่อฐิตินัยแต่พ่อมาเปลี่ยนเป็นทัศน์นัยเพราะพ่อทิ้งอดีตไปหมดสิ้นแล้ว
ที่ไม่บอกกับแม่นั้นเพราะไม่อยากรื้อฟื้นอดีตเก่าๆอีกจ๊ะ แม่คงไม่โกรธพ่อนะ เพราะตอนนี้พ่อมีเพียงแม่
และลูกเท่านั้นเองจึงลืมชื่อ ฐิตินัยไปตั้งนมนานแล้วจ๊ะ” เขาหันมากล่าวแล้วเข้าโอบกอดภรรยาไว้
“ช่างเถอะพ่อ อดีตคือแค่เพียงความฝันเท่านั้นต่างก็มีอดีตกันทั้งสิ้น แม่เองก็ลืมไปหมดสิ้นแล้วเช่นกัน
คงมีพ่อและยายนันท์ เราสามคนเหลือเท่านี้ก็เพียงพอแล้วจริงไหมจ๊ะพ่อ” หล่อนหันมายิ้มกับสามี
“จ้า ชีวิตนี้พี่มอบให้แก่แม่และลูกหมดสิ้นแล้ว ถึงมันจะหวนกลับมาก็เพียงแค่รำลึกกันเท่านั้นมัน
หมดสิ้นจริงๆไปแล้วจ๊ะ ” เขาหัวเราะเบาๆพร้อมจูบลงบนใบหน้าภรรยา
“อิ้วๆๆๆน่าไม่อาย” ลูกสาวหยิกตรงแขนพ่อเบาๆ แล้วหัวร่อพลางวิ่งเข้าไปข้างในห้องทันที
“ไปเถอะแม่ พ่อสังหรณ์ใจว่าจะเป็นคนในอดีตที่เคยชอบกันไว้จ๊ะ แม่อย่าหึงนะจ๊ะ อดีตก็คืออดีต
พ่อไม่หวนกลับไปอีกแล้วล่ะจ๊ะ” เขาตอบพร้อมดึงร่างภรรยาก้าวเดินเข้าไปข้างในด้วยกัน
ภายในห้องที่จัดไว้ด้วยโต๊ะเก้าอี้รับแขกและ เคาสเตอร์จัดเอกสารที่ยืนไว้ด้วยแม่บ้านที่คอยต้อนรับ
เขาหันไปสอบถามแม่บ้านทันที
“มีอะไรหรือ พิม?” หญิงวัยกลางคนหันมายกมือไหว้ พร้อมผายมือกล่าวขึ้นว่า
“คุณเธอคนนั้น...เขาอยากพบคุณชายเจ้าค่ะ”
ทันทีที่เขาก้าวเข้ามาพร้อมพัชราและฐิตินันท์ หญิงวัยกลางคนที่นั่งรออยู่ก็เบิ่งตาโต ยกมือขึ้นปิดปาก
เผลอคำอุทานขึ้นทันที
“คุณนัย !!! คุณนัยนั่นเอง” พร้อมลุกขึ้นรีบก้าวเข้ามาหา ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำที่เบ้าตา
“สวัสดีครับคุณยุพดี สบายดีไหมครับ ไม่ได้พบกันกันนาน นี่ครับ พัชราภรรยาผม และโน่น ฐิตินันท์
ลูกสาวผมเองครับ” เขายกมือขึ้นไหว้หญิงวัยกลางคน แล้วหันมาทางภรรยาและลูกสาว ซึ่งยืนมองแต่
ก็รีบหันมายกมือไหว้ด้วยกันทั้งสองคน เห็นหญิงวัยกลางคนชะงักแล้วหันมาจ้องภรรยาและลูกสาว
เขาด้วยท่าทีเหม่อลอย แต่ก็ยังยกมือไหว้ตอบ
“สวยทั้งแม่ลูกเลยนะคุณนัย” หล่อนหันมากล่าวกับเขา
“ว่าจะมาขออาศัยพักผ่อนสักระยะหนึ่ง ได้ข่าวว่าที่นี่เป็นทำเลที่สวยงามมากติดภูเขาและทะเลร่ำลือไป
ถึงกรุงเทพฯ แหมแต่กว่าจะมาได้นี้ก็ไกลโขนะ นัย ”
“ครับ...ที่ดินบริเวณนี้เป็นของภรรยาผมทั้งหมดครับ ผมเองเพียงแค่มาปรับปรุงแต่ก่อนเป็นป่าติดชาย
ทะเลครับรกร้าง ผมมาพบเห็นว่าเหมาะแก่การท่องเที่ยวจึงได้ดำเนินแต่ยังไม่ดีเท่าที่ควรนักครับอาจจะ
ไม่สะดวกสบายเหมือนในกรุงเทพฯครับ” เขากล่าวขึ้น
“โอ้..ขนาดนี้ก็นับได้ว่าเยี่ยมแล้วล่ะนัย ยุพฯเองก็เชื่อในความสามารถนัยเสมอ นับว่าโชคดีของคุณพัชร
และนันท์จริงๆนะที่ได้พ่อที่แสนประเสริฐเช่นนี้ ยุพฯเองวาสนาน้อยเหลือเกิน” หล่อนกล่าวด้วยน้ำตานอง
หน้า
“ช่างเถอะครับอดีตที่ผ่านไปแล้วมันกลับมามิได้อีกแล้ว นอกจากเป็นแค่ความทรงจำอันดีเท่านั้นเอง
แล้วทางบริษัทฯเป็นอย่างไรบ้างคุณยุพดี”
“ตั้งแต่เจ้าธเนศให้คุณออกจากงาน มิได้บอกกล่าวแก่ยุพฯเลย ยุพฯเสียใจมากทะเลาะกันใหญ่ แล้วไล่มัน
ออกจากบ้านไป แต่อย่างไรก็สงสารคิดว่าเป็นลูกจึงให้คนไปตามกลับมาแต่ไม่ให้บริหารงานบริษัทอีก
มันขอโทษว่าไม่รู้ว่าคุณกับยุพฯนั้นก่อตั้งบริษัทขึ้นมาจากเราทั้งสองคนไม่มีอะไรจนใหญ่โตได้ อีกทั้งคุณ
บอกมิให้แจ้งแก่เจ้าธเนศไว้ยุพฯก็ทำตามเสมอๆ เขาไปเล่นการเมืองก็แทบจะหมดตัว ตอนนี้บริษัทเราแย่
มากๆจำต้องปิดบริษัทไว้ชั่วคราว ที่เป็นตัวแทนต่างประเทศเขาก็ขอคืนไปให้คนอื่นทำแทนแล้วล่ะ พึ่งจะ
มาเปิดใหม่ก็ได้ประมาณปีกว่าๆ นี่นำพนักงานบริษัทมาพักผ่อนและพยายามสืบหาคุณตลอดเวลาจนเจ้า
ธเนศมันสืบให้จึงรู้ว่าคุณเปลี่ยนชื่อแล้วมาทำกิจการอยู่ที่นี่” หล่อนกล่าวพลางยกมือก้มตัวไหว้ขอโทษ
ต่อเหตุการณ์ทั้งหมด
“ไม่คิดว่าคุณมาทำกิจการที่นี่ ตอนแรกตั้งใจจะให้คุณกลับไปช่วยบริหารงานบริษัท แต่ว่าตอนนี้เปลี่ยน
ใจเสียแล้วล่ะ” หล่อนกล่าว
“อ้าวแล้วคุณธเนศมาด้วยหรือเปล่าล่ะ” เขาถาม
“มาจ๊ะแต่ไม่กล้าเข้าหน้าคุณ ว่าตอนค่ำๆจะขับรถมาขอโทษคุณเอง คงอายคุณล่ะมั๊ง”
“แล้วคุณยุพฯจะมาพักสักกี่วันล่ะครับ ผมจะได้ให้เขาจัดการต้อนรับอย่างเต็มที่” พร้อมหันไปทาง
ภรรยาและลูกสาวให้เข้ามาพบปะคุยกันด้วย
เมื่อทั้งหมดเข้าคุยกันและแลกเปลี่ยนสนทนาก็เกิดความสนิทชิดชอบซึ่งกันและกันด้วยอัชฌาสัย
ตลอดคุณยุพดีนั้นเป็นนักธุรกิจย่อมเข้าใจชำนาญในการเจรจายิ่งนักนั่นเอง จนถึงกับมีเสียงหัวเราะต่อ
กระซิกกันอย่างสนุกสนานต่างก็ไม่มีข้อขุ่นข้องหมองใจกันและกัน สร้างความปิติยินดีแก่เขาเป็นอย่างยิ่ง
“คุณนัย นี่เป็นรายจ่ายของบริษัทให้คุณและคุณพัชรคิดในอัตราปกตินะ อย่ามีพิศกพิเศษอะไรทั้งสิ้น”
หล่อนหันมากล่าวกับเขา
“เราไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันนะคุณยุพฯ เอาอย่างนี้ดีกว่าคนล่ะครึ่งทางดีไหมครับ คือว่า ค่าที่พักทั้งหมด
เรางดเก็บยกเว้นค่าอาหารเท่านั้น จะพักกี่วันก็ได้ตามใจคุณ และวันสุดท้ายขอเป็นวันพิเศษสำหรับผม
และครอบครัวจะจัดเลี้ยงดูให้ทั้งหมดถือว่าผมเองก็ได้มีส่วนช่วยเหลือบริษัทที่เราสองต่างก็ก่อตั้งขึ้นมา
ก็แล้วกันนะครับ ดีไหมล่ะแม่” เขากล่าวพร้อมหันมาทางภรรยาเพื่อขอคำตอบ
“แล้วแต่พ่อซิจ๊ะ แม่ว่า เราควรจะยกเว้นในกรณีพิเศษทั้งหมดไม่ดีกว่าหรือจ๊ะพ่อ” หญิงสาวกล่าวพร้อม
หันมายิ้มกับเขาและคุณยุพดี
“อย่าเลยนะแม่พัชร ค่าใช้จ่ายของเด็กๆตั้งหลายคนที่ต้องกินต้องใช้ในการต้อนรับ แค่นี้ก็ถือเป็นบุญคุณ
มากแล้วล่ะ ถ้าครั้งต่อไปขอให้ดำเนินการตามปกตินะอย่าได้ทำแบบนี้อีก ครั้งนี้ถือว่าเราทั้งหมดต่างพึ่งมา
พบกันจึงยกเว้นไว้นะจ๊ะ” หล่อนหันมาโอบร่างของพัชราเข้ามากอด พร้อมดึงร่างของนันท์ลูกสาวเขามา
กอดด้วย ทั้งหมดแสดงความยินดีต่อมิตรไมตรีของกันและกัน
“นี่พิม...จัดการต้อนรับพวกคุณๆทั้งหมดอย่าให้มีสิ่งขาดตกบกพร่องขึ้นได้นะจ๊ะ ถือว่าเขาทั้งหมด
เป็นญาติๆของเราไว้ด้วยแล้วสั่งพนักงานทุกๆคนด้วยให้อำนวยความสะดวกตลอดจนเรือและเครื่องเล่น
ต่างๆด้วยนะ” หญิงสาวเจ้าของสถานที่หันมากล่าวแก่แม่บ้านของหล่อน แม่บ้านซึ่งยืนฟังการสนทนา
ย่อมเข้าใจอะไรๆได้ดี น้อมกายรับคำทันที
“จ๊ะแม่หญิง” พร้อมทั้งถือเอกสาร ไปหาเหล่าพนักงานและแจ้งให้ทราบว่าสมควรจะพักบ้านหลังใด
ทุกๆอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยจวบจนถึงวันสุดท้ายของการพักผ่อน ที่ทางเจ้าของสถานที่จัดไว้
ต้อนรับอย่างมโหฬารเกิดขึ้น ณ ริมชายหาด ประดับประดาด้วยโคมไฟหลายหลากสี มีดนตรีที่ถูกจัดขึ้น
ลักษณะแบบพื้นเมืองปนกับดนตรีสมัยใหม่ บรรเลงตั้งแต่หัวค่ำไปจนดึกดื่นเที่ยงคืน ท่ามกลางเสียงน้ำ
ทะเลที่ซัดสู่ชายหาดเคล้าเสียงดนตรีกลมกลืนกัน พระจันทร์ส่องสว่างกลางท้องฟ้าท่ามกลางดวงดาว
ที่ส่งแสงระยิบระยับ แสงจันทร์เป็นประกายในท้องทะเลที่ส่งเสียงคลื่นค่อยๆทยอยเข้ากระทบฝั่ง
ทุกๆคนต่างรื่นเริงบันเทิงใจ ออกไปเต้นรำกันบ้างร้องเพลงกันตามคนหนุ่มๆสาวๆเป็นที่สนุกสนาน
คุณธเนศเข้ามากราบที่ตักของเขาพร้อมกล่าวคำขอโทษผิดทั้งปวงที่ได้ล่วงกระทำโดยไม่รู้มาก่อนพึ่งจะมา
ทราบภายหลังจากคุณแม่พร้อมฝากเนื้อฝากตัวซักถามปัญหาต่างๆเพื่อกลับไปแก้ไขดัดแปลงเมื่อกลับไป
จะนำไปใช้กับทางบริษัทอีกครั้งหนึ่ง ด้วยเห็นการบริหารงานของสถานที่นี้ได้ถูกจัดขึ้นเป็นระบบตลอด
จนพนักงานทุกๆคนต่างขยันหมั่นเพียรอ่อนน้อมยิ่ง ยากนักที่จะสร้างสิ่งนี้ได้โดยง่ายอีกทั้งสถานที่ก็ถูก
จัดการอย่างยอดเยี่ยม นอกจากนักบริหารชั้นโปรฯเท่านั้นที่ถึงจะดำเนินการเช่นนี้ได้ เขารู้สึกทึ่งและเกิดความ
เสียดายยิ่งนักที่ได้คนมีฝีมือเช่นนี้ไว้แต่หาได้รู้จักถึงคุณค่ากลับหลงงมงายปล่อยปะละเลยด้วยความ
เย่อหยิ่งหลงในสิ่งที่ป้อยอจนขาดความคิดอ่านรอบคอบไป ซึ่งทางฐิตินัยเองก็หาได้ถือสาความใดๆไม่ตาม
นิสัยของตนกลับแนะนำบางสิ่งบางอย่างที่ประสบการณ์รอบรู้ให้แก่คุณธเนศจนหมดสิ้น เพียงแค่กำชับ
ไว้ข้อหนึ่งว่า “ให้รู้เขารู้เรา รู้จักประมาณตัวเอง หมั่นศึกษาตรวจสอบทั้งก่อนทำและหลังทำไปแล้ว
ค้นหาแนวทางต่างๆอย่าได้หยุดชะงักให้ทันสมัยอยู่เสมออย่าหลงแก่ตัวเองเป็นอันขาด
หาทางหนีทีไล่หลบหลีกปัญหาที่จะมาในภายหน้าเพื่อใช้เป็นวิถีทางในการดำเนินกิจการต่อไป
เป็นสำคัญยิ่ง” ซึ่งคุณธเนศก็รับฟังและให้สัญญาต่อหน้าแม่ของเรา คุณธเนศยังกล่าวว่าจะขอน้องสาว
ไปร่วมทำงานด้วย เขาได้แต่อมยิ้มบอกให้โตเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ก่อนแล้วจะค่อยพิจารณาอีกที อีกทั้งงาน
ทางด้านนี้เขาเองก็ชรามากแล้วอยากให้ลูกสาวมาช่วยดูแลปกครองจะหาความสบายในบั้นปลายชีวิตกับ
คุณพัชราเสียมากกว่า ส่วนคุณยุพดีก็กล่าวว่าหากทุกๆอย่างเรียบร้อยแล้วอยากจะมาขอพักอาศัยที่นี่
ด้วยคนและจะขอปลูกบ้านเล็กๆไว้ที่ริมเขาเพื่อใช้ชีวิตตอนบั้นปลายศึกษาธรรมไว้ด้วย ขอความเห็นว่า
จะสมควรหรือไม่ เขาและภรรยาก็ยิ้มต่างบอกว่ายินดีเสมอ เมื่อกาลเวลานั้นมาถึงเราต่างก็จะทิ้งชีวิต
บั้นปลายหนีทางโลกทิ้งไว้ ต่างก็จะพากันขึ้นเขาไปหาสถานที่เงียบสงัดอยู่กัน ทั้งหมดก็พากันหัวร่อ
และให้สัญญากันไว้ จวบจนดึกดื่นได้เวลาพักผ่อน ต่างก็ทยอยกันเข้านอน ยกเว้นเขาและภรรยาต่างพา
กันเดินไปยังริมชายหาดทั้งสองกอดเอวหันหน้าเข้าหากันยิ้มต่อกัน เขาค่อยๆบรรจงก้มลงจูบภรรยา
อันเป็นสุดที่รัก ถึงแม้ว่าจะต่างวัยกันและความรักศรัทธาซึ่งกันและกันหาได้มีอุปสรรคใดจะมาขวางกั้น
แต่หนทางนี้ได้ จวบพระจันทร์จะลับสู่ขอบฟ้าแต่เขาทั้งสองยังนั่งเคียงคู่มองท้องฟ้าและทะเลรับลมโชย
พัดมาปล่อยอารมณ์ท่องเที่ยวไปด้วยกันตราบนานแสนนาน.ฯ
*** แก้วประเสริฐ. ***
10 ธันวาคม 2549 07:31 น.
แก้วประเสริฐ
บทที่ ๓๒
เสวยสวรรค์ราชสมบัตินาครินทนาคร
ว่าเอ็งห้ามเปิดโดยเด็ดขาดหากข้าคนของข้ายังไม่ไป ยกเว้นเข้าและป้าตลอดคน
ทั้งหลายของข้าได้กลับไปแล้ว นั่นแหละเอ็งถึงจะเปิดดูสิ่งของภายในได้ อย่าลืมเสียล่ะ”
พระองค์ทรงรับสั่งกำชับไอ้เจนไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ เมื่อไอ้เจนรับสิ่งของมาแล้วก็ชักชวน
ให้พระองค์และเจ้าหญิงกับทหารทั้งหลายให้มาร่วมกันกินข้าวด้วยกัน
แต่พระองค์ทรงปฏิเสธบอกว่าจะกลับแล้ว ไม่ต้องห่วงในเรื่องเหล่านี้
ทางฝ่ายไอ้เจนและไอ้จ้อยตลอดลูกสะใภ้นึกว่าพระองค์จะเดินทางกลับกรุงเทพ
“ อ้าวปู่จะไม่ค้างคืนก่อนหรือ รถเข้ากรุงเทพไม่มีแล้วหมดเวลามันแล้ว
ต้องคอยเป็นพรุ่งนี้ตอนสายๆถึงจะมีรถออกจากหมู่บ้านไปที่ท่ารถต่อเข้ากรุงเทพจ๊ะ
หากปู่และป้าจะกลับจริงๆ ข้าก็จะไปหาเพื่อให้มันเอารถของมันออกมารับ
ไปส่งปู่ที่ท่ารถให้จ๊ะ”
องค์ทัศยุราชันย์ทรงพระสรวล แล้วทรงตรัสว่า
“ไม่เป็นหรอกไอ้เจนเอ๋ย ปู่มาได้ก็กลับได้ แต่อย่าลืมล่ะดูแลพ่อเอ็ง
ให้ดีๆนะปู่เป็นห่วงมันมากเลี้ยงดูมันตั้งแต่นอนแบเบาะ ตอนนี้ไม่มีเวลามาดูแล
ไม่ใช่ลูกก็เหมือนลูก แม่มันทิ้งไปตั้งแต่เล็กๆ พ่อมันก็หายสาบสูญไปตั้งนมนาน
ไม่ได้ข่าวคราวเลยป่านนี้คงจะตายไปแล้วล่ะ เออเอ็งเป็นหูเป็นตาแทนปู่ด้วยนะ
เพราะปู่ต้องไปไกลมากพวกเอ็งไปหาไม่ได้หรอกแล้วก็ไปไม่ได้เสียด้วย”
แล้วพระองค์ทรงหันมาทางไอ้จ้อยพลางตรัสขึ้นว่า
“ไอ้จ้อย ในห่อนั้นมีสมุนไพรให้มึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ให้เอามาเล็กน้อย
มาฝนกับน้ำค้าง เอ็งควรรองเก็บเอาไว้ใช้ในคราวจำเป็น แล้วเอามากิน
ห้ามนำมาใช้สุ่มสี่สุ่มห้านะหมดไปก็หาไม่ได้อีกแล้ว ส่วนของที่มอบให้
เอาไปแลกมาเลี้ยงชีพให้หลานๆมันจะได้ดีกว่าเป็นอยู่นี้
นี่ก็ได้เวลาแล้วที่ข้าควรต้องไป ไม่รู้ว่าจะมาเยี่ยมเอ็งได้อีกหรือเปล่านะ
คิดถึงข้าก็เอาของที่ข้าให้ไว้มีบางอย่างไม่ต้องเอาไปขาย เพราะเป็นของสำคัญ
เก็บไว้คุ้มครองป้องกันเอ็งและลูกหลานจะไม่มีอันตรายมากล้ำกรายเอ็งได้
เพียงเอ็งเก็บไว้ในที่สูงๆก็จะคุ้มครองได้แล้วหากเวลาจะออกนอกบ้าน
ให้บอกกล่าวกับเขาก็พอเขาก็จะคอยปกป้องเอ็งและลูกหลาน อย่าลืมจำคำของข้าล่ะ”
พระองค์ทรงตรัสสั่งกำชับ
“จ๊ะลุง เพียงเป็นของลุง ไอ้จ้อยก็ชื่นใจแล้วจะเก็บรักษาไว้” แล้วหันไปทางลูกแก
“ส่วน มึงก็เหมือนกันไอ้เจนหากกูยังไม่ตายมึงห้ามขายของปู่มึงโดยเด็ดขาด”
พร้อมกล่าวแล้วไอ้จ้อยก็ก้มลงกราบองค์ทัศยุราชันย์ทันที
ด้วยความรักและเคารพยิ่ง อาการสั่นเทาไปตามร่างกาย พระองค์ทรงตรัสว่า
“เมื่อข้ากลับไปแล้วไอ้จ้อยมึงก็เอาสมุนไพรที่กูให้ไว้
มากินสักแค่องคุลีนิ้วแล้วกลืนกับน้ำลายมึงก็ได้ อย่าลืมคำกูเสียล่ะ”
“จ๊ะลุง ลุงสั่งอย่างไรไอ้จ้อยเชื่อฟังหมดจ๊ะ”
ชายชรากล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ
“อ้อๆ ของอื่นๆขายได้นะไอ้เจน ยกเว้นมีของสิ่งหนึ่งซึ่งผิดแผก
ไม่เหมือนของอื่นๆทั้งสิ้น แล้วมึงก็จะเห็นเองแหละส่วนอื่นๆขายเอามาใช้เลี้ยงดูกัน
อีกชิ้นมึงเก็บไว้ในที่สูงจะได้คุ้มครองปกป้องภัยให้แก่พวกมึง
อย่าลืมเสียล่ะ แล้วสมุนไพรนั้นก็ให้เก็บรักษาไว้ให้ดีมันไม่มีวันสลาย
ไปหรอก เวลาลูกหลานเป็นอะไรให้ใช้ฝนกับน้ำค้างเท่านั้นกินก็จะหายเจ็บไข้
รักษาได้สารพัดโรคนะมึง พอกูไปแล้วไอ้เจนเอาให้พ่อมึงกินด้วยตามที่สั่งไว้”
พระองค์กำชับกลัวลืม
ครั้นได้เวลาพอสมควร พระองค์ก่อนที่จะกลับให้นึกสงสารไอ้เจนพลางหัน
ไปทางไอ้เจนและเมียมัน เรียกให้เข้ามาใกล้ๆ แล้วพระองค์ทรงหลับพระเนตร
ตบลงบนศีรษะทั้งสองเบาๆทันที ปรากฏร่างกายหญิงชายพากันสะดุ้งสุดตัว
ทำให้ไอ้เจนและอีกสร้อยมีความรู้สึกว่าร่างกายช่างเบาหวิวและก่อเกิด
พลังอย่างหนึ่งแผ่ซ่านไปทั่วๆรอบร่างกายความอ่อนล้าอันตรธานหายสิ้น
สายตารู้สึกว่าสว่างไสวผิดปกติขึ้นมาในทันที ทั้งสองรีบก้มลงกราบปู่
ด้วยความเคารพยิ่ง พลางคิดว่าปู่นี้คงจะมีวิชาอาคมมอบให้แน่นอนมิฉะนั้น
ร่างกายของตนคงไม่รู้สึกเกิดผิดปกตินี้ขึ้นได้ ครั้นแล้วพระองค์ทรงหัน
ไปทางไอ้จ้อย พลางลูบศีรษะเบาๆกล่าวคำอวยพรให้อยู่เย็นเป็นสุข
อายุมั่นขวัญยืน จงพ้นจากเจ็บไข้ได้ป่วยโรคภัยทั้งสิ้น ไอ้จ้อยร้องไห้ทันที
เมื่อรู้ว่าลุงที่มันรักเคารพมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยจะต้องจากไปอีกครั้งแล้ว
น้ำตาชายแก่หลั่งไหลมิหยุดสิ้น สะอึกสะอื้นตลอดเวลาตรงเข้ากอดรัด
องค์ทัศยุราชันย์มิยอมปล่อยวาง จนพระองค์ต้องเกาะมือออกแล้วทรงตรัสว่า
“จ้อยเอ๋ยสิ่งใดได้มา สิ่งนั้นย่อมหลุดสิ้นสลายไปตามกาลเวลานะจ้อย
สิ่งทั้งหลายมิได้จีรังยั่งยืนหรอก มันเป็นวัฏฏะจักรเวรกรรมของมนุษย์เรา
เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ตั้งอยู่ เมื่อตั้งอยู่แล้วก็ต้องเปลี่ยนแปลง เมื่อเปลี่ยนแปลงแล้ว
ก็สิ้นสลายไปทุกรูปหมู่นามหรอก หาได้เป็นอมตะไปสิ้นเว้นไว้แต่สามารถ
สร้างในสิ่งบางอย่างเพื่อคุ้มครองหลุดพ้นจากกิเลสของมนุษย์แล้วเท่านั้น
ถึงจะสามารถเอาตัวรอดพ้นจากเวรกรรมนี้ได้ มันเป็นอนิจจัง ทุกขังและ
อนัตตาตามคำพระดำรัสขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกรูปทุกนามแหละ
ฉะนั้นเอ็งจงละเสียวางเสียในสิ่งที่ควรวางอย่าได้เกิดความคิดไปในทาง
โลภ โกรธ หลง พะวงอยู่ในหมู่ตัณหาที่มันรบกวนจิตใจของเอ็งทุกๆเสี้ยววินาที
มิยอมให้จิตเอ็งพักผ่อนรวมตัวกันได้ หากเอ็งเชื่อข้าจงหมั่นประกอบความดี
สร้างแต่ในทางผลบุญทานละเว้นในทางโลภได้ประการหนึ่งจิตเอ็งก็จะผ่อน
คลายลงได้บ้าง หมั่นถือศีลภาวนาเพื่อชำระล้างจิตที่เอ็งประกอบเอาไว้จะได้
ผ่อนคลายลงเสียบ้าง แต่ข้าเลี้ยงเอ็งมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยย่อมเข้าใจจิตเอ็งได้ดี
เห็นว่าเอ็งนั้นจิตใจผ่องใสยิ่งนักสะอาดบริสุทธิ์จะมีบ้างก็เพียงแค่เศษธุลีผง
หากมาดแม้นเอ็งทำตามที่ข้าสั่งไว้ ไม่ช้าหรอกเอ็งจะพบทางสุขคติที่สมควร
ไปแล้วบางทีเอ็งอาจจะได้ไปอยู่รวมกับข้าก็ได้ เอ็งจำคำของข้าไว้ให้ดีนะ
หากทำตามที่ข้าสั่งนี้ ข้าคิดว่าไม่ช้าไม่นานหรอกเอ็งคงได้ไปอยู่รวมกับข้า
ตามที่เอ็ง พึงปรารถนาทุกประการแล้วพระองค์ก็ทรงตบเบาเตือนสติมิให้
ชายชราที่กำลังสะอื้นร่ำไห้ อยู่ ครั้นชายชราได้รับฟังคำกล่าวทั้งหมดก็
ให้รู้สึกซาบซ่านผ่านเข้าสู่จิตใจทันที ให้รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจอย่างไรพิกล
รำลึกนึกถึงคำสั่งสอนให้ไว้จดจำมิให้ตกหล่นหายไปไหนเสียได้ ครั้นเมื่อได้
เวลา องค์ท่านท้าวทัศยุราชันย์ก็ทรงลุกพระวรกายยืนขึ้น ทรงหันไปยิ้มกับ
เจ้าหญิงทั้งสามแล้วออกทอดพระบาทล่วงหน้าติดตามด้วยเจ้าหญิงและ
เหล่าทหารหญิงทั้งหมดก้าวพ้นออกจากอาณาเขตบ้านทันที พอพ้นสายตา
ก็ทรงคืนร่างพระวรกายคืนกลับเป็นองค์ทัศยุราชันย์และเจ้าหญิงทั้งสามพร้อม
ด้วยเหล่าทหารหญิงพากันเหาะกลับไปยังนาครินทนาครทันที
ครั้นองค์ทัศยุราชันย์พร้อมด้วยเจ้าหญิงและเหล่าบริวารกับไปแล้ว
นายเจนก็แก้ห่อผ้าดูสิ่งของที่ปู่มอบหมายเพื่อจะเอาสมุนไพรมาให้พ่อได้กิน
ทุกๆคนก็ตกตะลึงพึงเพริศไปตามๆกัน เพราะสิ่งของนอกจากสมุนไพร
ซึ่งไม่เคยพบเห็นในดินแดนแถบนี้แล้ว ก็ประกอบไปด้วยเพชรนิลจินดามณี
ต่างๆส่งประกายสดใสแวววาวตลอดจนทองคำเป็นแท่งๆเหลืองอร่าม
มากมายนักจัดเรียงไว้เป็นระเบียบมิได้ปะปนกันโดยแยกเป็นสัดส่วน
มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนและแปลกกว่าใดๆทั้งสิ้นส่งแสงประกายเจิดจ้า
สว่างไสวไปทั้งบริเวณ เป็นรูปดาวเจ็ดแฉกปลายของดาวนี้เป็นรูปดาว
ดวงเล็กทั้งเจ็ดมุมตรงกลางเป็นดาวขนาดใหญ่มีวงกลมภายในดาวเห็น
เป็นรูปสัตว์ต่างๆผิดแผกกับสัตว์ที่เคยเห็นมาคล้ายๆคชสีห์ ราชสีห์
หงส์ทอง พระยานาค วานร ปักษียักษ์ และบรรดาอาวุธต่างๆเล็กๆกำลัง
ลอยละล่องในหมู่เมฆหมุนเวียนสลับเปลี่ยนเวียนวนไปมาภายในรูปวงกลม
วัตถุนี้มีฐานทองคำประดับด้วยเพชรนิลจินดาเป็นประกายวูบวาบเรืองรอง
รองรับวัตถุนี้ไว้ลวดลายช่างสวยงามวิจิตรตระการตายิ่งนัก สิ่งนี่เองที่ปู่ทัด
คงจะแจ้งไว้ ทั้งหมดพลางยกขึ้นจบเหนือหัวทันที ปรากฏเหตุพิสดารเกิด
ขึ้นทันทีมีกระแสคล้ายประกายไฟฟ้าพุ่งเข้าสู่ร่างจนสะท้านไปทั่วทั้งสาม
ที่ต่างได้ยกขึ้นไว้บนศีรษะ ด้วยความศรัทธาพลางก้มลงกราบสิ่งนี้ทันที
ไอ้เจนก็รีบนำเอาสมุนไพรมาหักตามที่ปู่ทัดสั่งไว้ส่งให้พ่อจ้อยกิน พอตัว
ยาตกลงสู่ท้องนายจ้อยก็เกิดอาการสะท้านไปทั่วร่างกระตุกไปมาทั่วตัว
จนไอ้เจนและอีสร้อยพากันตระหนกตกใจร้องกันลั่น แต่สักครู่หนึ่งร่าง
ของพ่อจ้อยก็ค่อยๆผ่อนคลายลง อาการที่เกิดขึ้นสร้างสิ่งมหัศจรรย์แทบ
ไม่น่าเชื่อร่างของพ่อที่เคยโก่งงอคุ้มตลอดเวลากับยึดร่างตรงได้ราวอัศจรรย์
พลางสะบัดแขนขาได้คล่องแคล่วว่องไว้กับราวมีพลังหนุนเสริมดังคนหนุ่ม
ก็มิปาน ทำเอาไอ้จ้อยและภรรยาพากันตาเบิกค้างงวยงงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
สำเนียงพ่อที่กล่าวก็แปรเปลี่ยนสิ้นเชิงกลับเหมือนสำเนียงของคนวัยกลางคน
มิได้สั่นเครือเหมือนแต่ครั้งเก่าก่อน พลางได้ยินพ่อจ้อยคอย พร่ำรำพันเสียงดัง
“ลุงกูเป็นเทวดาแน่เลยไอ้เจนอีสร้อย หากมิฉะนั้นร่างกูคงจะไม่เป็นดังนี้”
พร้อมส่งเสียงหัวร่อด้วยความยินดี มึงไอ้เจนไปดูซิว่าลุงกูไปถึงไหนแล้ว
ไอ้เจนได้ฟังดูก็อยากรู้ความวิ่งหายไปสักพักกลับมาด้วยเหงื่อท่วมตัวพลางพูดว่า
“ไม่รู้ปู่หายไปไหนแล้วไม่มีร่องรอยเหลือไว้เลยจ๊ะ “ ไอ้เจนรายงาน
“นั่นซิกูก็ต้องว่าอย่างนั้นมิฉะนั้นกูคงไม่เป็นอย่างนี้แน่เลย แล้วมึงมันก็เคย
เป็นพรานเก่าถิ่นทางแถวนี้ชำนาญยิ่งการแกะรอยแล้วกูเชื่อมึง” พ่อเฒ่ากล่าว
“กูเองก่อนก็สงสัยอยู่เชียว รูปร่างปู่เอ็งมันช่างมีราศีผิดคนธรรมดาถึงจะ
แต่งตัวเหมือนแบบพวกเราแต่ก็มิอาจปิดบังราศีได้ “ชายชรารำพึงพร้อมก้มลงกราบ
ชายหนุ่มหญิงสาวเห็นก็ทำตามทันที ตั้งแต่นั้นมานายจ้อยก็หมั่นทำบุญรักษาศีล
นั่งภาวนาทำสมาธิไหว้พระสวดมนต์แผ่กุศลให้กับลุงและป้าและสัตว์อื่นๆมิได้ขาด
ด้วยเชื่อคำสั่งเสียของลุงอย่างยึดมั่นถือมั่นแม้แต่ลูกแกและลูกสะใภ้ก็ปฏิบัติเยี่ยงแก
เลิกทำความชั่วทั้งปวงประพฤติตนอยู่ในศีลห้าอย่างเคร่งครัด ช่วยเหลือเผื่อแผ่
ให้ทานคนด้อยกว่า ขยันหมั่นเพียรสร้างแต่ความดีใช้จ่ายสินทรัพย์ ในทางอดออม
ขวนขวายหาสินทรัพย์ในทางสุจริตจนเกิดความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง ร่ำรวยทันตาเห็น
โดยที่มิได้เกี่ยวกับสิ่งของที่ให้ไว้แต่ประการใด ต่างถือว่าเป็นของที่เทพยาดานำมาให้
คงเฝ้าเก็บรักษาไว้บูชาทุกๆวันมิได้ขาด เพียงแต่คำนึงถึงว่าจะได้มีโอกาสไปพบลุง
กับปู่ดังที่เคยพบเห็นมาแล้วและต่างเล่าให้ลูกๆหลานๆฟังเป็นตำนานมาตราบเท่าทุกวันนี้
เมื่อท่านท้าวองค์ทัศยุราชันย์และพระองค์หญิงดาริกาเจ้าหญิงมณีกานต์และเจ้าหญิง
ปทุมวดีพร้อมเหล่าทหารหญิงครั้นเสด็จถึงยังพระนครเรียบร้อยแล้วก็ทรงประกาศแต่งตั้ง
เจ้าหญิงดาริกาเป็นพระอัครมเหสีฝ่ายขวา เจ้าหญิงมณีกานต์เป็นพระอัครมเหสีฝ่ายซ้าย
เจ้าหญิงปทุมวดีเป็นพระอัครชายา และท่านมหาราชครูสิริปัญญาเป็นพระชนกนาถ
โดยประกาศแต่งตั้งอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่งตลอดจนทรงเฉลิมฉลองสมโภชงานนี้
อย่างมโหฬาร มีแขกต่างเมืองมากันมากมาย ดั่งพระยุพราชสิงหะฤทธากับเจ้าหญิงเฌอมาลย์
พระมเหสีในพระองค์ พระยุพราชโกเมศกุมารกับเจ้าหญิงอรุณรัศมีพระมเหสีในพระองค์
พระยุพราชวานนรินทร์กับเจ้าหญิงอุทัยเทวีพระมเหสีในพระองค์ เจ้าชายอหิงสากุมารทรงขึ้น
เป็นกษัตริย์แห่งเมืองอหิงสากะนคร เจ้าชายนิละกาสูรย์ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งเมืองกาฬคีรีนคร
ต่างเป็นพระสหายรักขององค์ท้าวทัศยุราชันย์ และเจ้าเมืองทั้งหลายต่างๆ ส่วนเจ้าหญิงทั้งหมด
ทรงจับกลุ่มสนทนากันอย่างมีความสุขเกษมสำราญยิ่งนัก ส่วนเจ้าชายทั้งยุพราชและกษัตริย์ต่าง
สนทนาวิสาสะล้วนถูกพระอัชฌาสัยกันถึงกับทรงพระสรวลเกษมสำราญเป็นที่ครื้นเครง
กระเซ้าเย้าแหย่ถึงเจ้าหญิงต่างๆอย่างสนุกสนานพระราชหฤทัยจนไม่อยากจะลาจากกัน
เมื่อสิ้นสุดงานเฉลิมฉลอง ต่างพระองค์ก็ทรงทูลลาท่านท้าวเธอเสด็จกลับพระนครไป
องค์ท่านท้าวทัศยุราชันย์ก็ทรงมั่นคงต่อเจ้าหญิงทั้งสามยิ่งนักมิได้ใฝ่หาหญิงใดๆมาเป็นพระชายา
และพระสนมอื่นอีกแต่ประการใดก็หาไม่ ล้วนทรงหมั่นดูแลเพียรเฝ้าปกครองเหล่าอาณาเขต
ชาวอาณาประชาราษฎร์ให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ปราศจากภัยพิบัติทั้งปวงเป็นที่พระเกษมสำราญ
พระราชหฤทัยองค์ทัศยุราชันย์และเจ้าหญิงทั้งสามพระองค์อย่างยิ่ง ทรงบังเกิดพระราชบุตร
พระราชธิดากับทุกๆพระองค์หญิง ทรงพระร่วมทุกข์ร่วมสุขกันไปตราบพระชนม์ชีพนิจนิรันดรฯ
“ จบบริบูรณ์ ”
บทส่งท้าย.....สิ่งที่บังเกิดเป็นความโลภ ความโกรธ และความหลง อันซึ่งเป็นสิ่งที่
ไม่บังควรจะได้หากได้มาโดยมิชอบด้วยเหตุใดๆ หรืออาจได้มาเองนั้นย่อมทำให้เป็น
ที่เดือดเนื้อร้อนใจไม่มีวันสิ้นสุดเกิดขึ้นได้ สิ่งนั้นย่อมผันแปรเปลี่ยนไปมิเกิดสันติสุข
ดูดั่งท่านท้าวนิลกาฬและเหล่ากษัตริย์บางนคร ซึ่งพระองค์มีพร้อมในทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง
ทั้ง ยศถาบรรดาศักดิ์ เกียรติยศชื่อเสียงตลอดจนอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากมาย ไพร่พลมาก
ยากยิ่งจะหาผู้ใดทัดเทียมได้ เป็นที่เกรงกลัวของเหล่าแว่นแคว้นอาณาเขตต่างๆ
แต่ด้วยเพียงแค่เกิดความโลภในสิ่งอันมิควรจะได้มาจนต้องเกิดความเดือดร้อนระทม
ทุกข์หาความสุขมิได้ตลอดเวลาแล้วยังต้องเส้นสังเวยสิ้นชีวิตตกตายไป มิสมดังเจตนารมณ์
จนต้องสูญสิ้นเกือบทุกๆอย่างไป แล้วเหตุไฉนใยพวกเราล่ะจะประพฤติปฏิบัติตนอย่างไร
เพื่อใช้เป็นหลักเข้ายึดเหนี่ยวจิตใจไว้เพื่อให้พ้นจากความโลภ โกรธ และหลงนี้ เพียงพอแล้ว
หรือที่จะปล่อยชีวิตในการดำรงชีพอยู่นี้ให้ล่องลอยไปในกระแสกรรมนั้นๆ จะหาอะไรบ้างละ
ให้เพียงพอที่จะใช้ยึดมั่นเป็นหลักค้ำประกันแก่พวกเราได้บ้างดั่งเทพนิยายเรื่องนี้
ขอได้โปรดมีสติพิจารณาไตร่ตรองให้ดี ดั่งตัวละครในเรื่องนี้ที่ใช้ชีวิตโลดแล่นไปตาม
อำเภอน้ำใจของแต่ละตัวละคร หลงใหลในสิ่งที่กล่าวมานี้บ้าง หยุดยั้งเพียงพอบ้าง
อัน “เทพนิยาย” เรื่องนี้ข้าพเจ้ามาดแม้นมิได้สอดแทรกไว้มากนัก เพียงให้คิดเองเพื่อเน้น
เนื้อหาสาระรสชาติของเนื้อเรื่อง แค่ให้สนุกเพลิดเพลินบันเทิงใจเท่านั้น เพียงแค่ปรารถนา
ให้ผู้อ่านทุกๆคนได้สนุกสนานไตร่ตรองขบคิดกันเอาเอง ไม่ต้องการให้คิดมากมายอะไรนัก
ย่อมต้องขาดตกบกพร่องบางสิ่งบางอย่างไปบ้าง ด้วยรวบรัดเนื้อเรื่องมากเกินไปให้กะทัดรัด
เน้นเนื้อหาสาระมิได้เน้นเนื้อหาคำพูดแต่ประการใดไม่
ฉะนั้นจึงมีสิ่งที่ขาดตกบกพร่องเกิดขึ้นได้ เพราะเนื้อหาคำพูดแล้วย่อมสามารถสอดแทรก
บางสิ่งบางอย่างได้อย่างมากมาย กรณีนี้ผู้เขียนเอง ก็รู้เพียงแค่เล็กๆน้อยๆดุจปลาเล็กปลาน้อย
ปลาซิวปลาสร้อยในกระชัง หาสามารถจับปลาใหญ่ในแม่น้ำท้องทะเลมหาสมุทรอย่างไรได้
ยิ่งกริ่งเกรงกลัวจะทำให้เกิดความผิดพลาดมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นแค่ความคิดจินตนาจิตตัวเอง
อีกประการหนึ่งเรื่องนี้ที่จริงแล้วควรจะเป็นเนื้อเรื่องที่ยาวมากไม่เหมาะกับคอลัมน์ที่ว่า
เป็นเรื่องสั้นหากจะคิดแต่งเขียนขึ้นมากกว่านี้อีกก็เกรงใจเจ้าของคอลัมน์นี้จะเกลียดชังว่ากล่าวได้
จึงคิดเพียงแค่รวบรัดเท่าที่ข้าพเจ้าจะทำได้ หากมีกรณีใดที่ผิดพลาดเกิดขึ้นในเรื่องราวเหล่านี้
จำต้องขออภัยไว้ใน ณ ที่นี้ด้วย งานเขียนนี้ก่อเกิดจากเรื่องสั้นๆก่อนแล้วค่อยมาเป็นเรื่องยาวๆ
ในเทพนิยายนี้ จึงได้ทดลองเขียนดูเพราะเห็นว่ามีผู้เข้ามาอ่านชมดูพอประมาณ เมื่อเขียนขึ้นแล้ว
ครั้นจะวางมือเสียไปทำงานด้านอื่นก็เกิดความเสียดายในความคิดอ่าน จึงต้องทนๆเขียนให้จบเรื่อง
ซึ่งชื่อ*ทัศยุราชันย์*เทพนิยายเรื่องนี้ ข้าพเจ้าตั้งใจไว้ในชื่อนี้แล้วตั้งแต่ ครั้งแรก เพียงเพื่อ
ข้าพเจ้าทดลองใช้ชื่อเรื่องว่า *เธออยู่ไหน* เพราะเป็นความฝันของหนุ่ม ทัด ทัดบ้านป่าก่อน
ต่อมาได้ดัดแปลงเปลี่ยนไปตามเนื้อหาของเรื่องนี้จนเหมาะสมกว่าชื่อเดิม จึงได้เปลี่ยนชื่อถาวร
ทัศยุราชันย์เทพนิยายเป็นการเขียนเรื่องแรกในชีวิตของข้าพเจ้าที่ได้ทดลองขึ้นตามจินตนาการ
ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างนั้นล้วนแล้วแต่ก่อเกิดสร้างสรรค์ขึ้นจากภายในใจของข้าพเจ้าทั้งสิ้นมิมีอื่นใด
แม้แต่ชื่อของตัวละครจะมีบ้างแต่ได้เกริ่นขออนุญาตไว้แล้วนอกนั้นข้าพเจ้าตั้งขึ้นเองประดิษฐ์ค้น
คิดตามสถานการณ์ในเนื้อเรื่องเป็นหลักสำคัญ แต่ก็พยายามอย่างยิ่งมิให้ซ้ำกับชื่อของบุคคลใดๆ
อาจจะมีบ้างคิดว่าคงจะมีเล็กๆน้อยๆเท่านั้นที่ผู้เขียนคาดคิดมิถึง ผู้อ่านก็มิได้ทักท้วงติงประการใด
หากเกิดซ้ำก็ขอกราบประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าด้วย ที่ได้จาบจ้วงโดยมิได้มีเจตนาจะลบหลู่หรือ
กระทำการอันใดๆให้บังเกิดความเสียหายเกิดขึ้นแก่ท่านทั้งหลายได้
ขอขอบพระคุณทุกๆท่านที่ได้ผ่านอ่านชมดูผลงานของข้าพเจ้า หากมาดแม้นมีสิ่งใดผิดพลาด
สามารถมาติชมได้ทุกประการ กรุณาแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบด้วยจักเป็นพระคุณยิ่ง
ด้วยความเคารพนับถืออย่างยิ่งขอรับทุกๆท่าน ขอบคุณ...สวัสดีครับ.
*** แก้วประเสริฐ. ***
เขียนเรื่องจบ เมื่อ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
เวลา ๑๖.๐๐ นาฬิกา.
9 ธันวาคม 2549 09:31 น.
แก้วประเสริฐ
บทที่ ๓๑
สั่งลาและอาลัย
พากันวิ่งหางจุกตูดหนีกันไปหยุดเห่าพากันเบิ่งตามองดูเท่านั้น
องค์ทัศยุราชันย์ในร่างของทัดบ้านป่า นำขบวนเดินลัดเลาะผ่าน
บ้านหลังเล็กหลังใหญ่ จนมาถึงเนื้อที่ผืนหนึ่ง จึงหยุดชะงัก
คล้ายกำลังทรงรำลึกย้อนอดีต ก็เห็นชายชราคนหนึ่งกำลังเดินออกมาบริเวณ
บ้านที่ทรุดโทรมดูเก่าซอมซ่อคงเหลือแต่หลังคาที่มุงสังกะสีและฝาดีบ้าง
นอกนั้นทรุดโทรมเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวยกสูง แทบจะไม่สามารถกันฝนได้
พระองค์จึงทรงเดินเข้าไปยกมือไหว้แล้วถามว่า
“คุณลุงครับ ใครดูแลบ้านหลังนี้หรือครับแล้วเจ้าของล่ะคือใคร”
ครั้นพระองค์เพ่งเห็นชัดถนัดตาก็ให้นึกเกิดความสงสัยลังเลคลับคล้ายคลับคลา
ชายชราเดินหลังโก่งโค้งค่อยๆแหงนหน้ามองมาทางองค์ทัศยุราชันย์
ด้วยความสงสัยเพ่งแล้วเพ่งอีกเป็นเนิ่นนาน ทันใดนั้นร่างชายชราบ้านป่า
พลันร่างนั้นก็ให้สะดุ้งสุดตัวเกิดอาการหวาดกลัวตกใจเป็นอันมากร่างนั้น
พลันถอยหลังกรูดๆทันที พร้อมอุทานร้องเสียงลั่นสั่นเครือ กระวนกระวาย
โบกไม้โบกมือไหวๆด้วยอาการคล้ายตกใจลืมตัวอย่างยิ่ง
ทำท่าหันหลังจะวิ่งหนีทันที จนองค์ทัศยุราชันย์ในร่างของชายบ้านป่า
ต้องรีบเข้าไปจับตัวประคองไว้แล้วพาไปนั่งยังแคร่ที่มีวางไว้ ทรงตรัสว่า
“นี่ลุงๆๆนี่ผม ทัด บ้านป่าไงล่ะพอจะจำได้ไหมครับ”
“ โอยๆๆๆ!!!!! ผีหลอกช่วยด้วยกูด้วยโว้ย” แกสะบัดตัวเพื่อให้หลุด
แต่ก็ไม่อาจจะหลุดรอดพ้นมือองค์ทัศยุราชันย์ไปได้
“ไม่ใช่ผี นี่คนนะลุง ผีจับตัวลุงได้หรือ นี่ไงยังมีเนื้อหนังอยู่เลย”
พระองค์ ทรงตรัสบอกพร้อมเขย่าตัวเรียกสติแกกลับคืนมา
ชายชราคล้ายจะรู้สึกตัวเห็นจริงเพราะแกจับอยู่เพื่อดึงให้มือหลุด
ก็เป็นเนื้อหนังจริงๆ จึงค่อยๆทรุดตัวลงนั่ง องค์ทัศยุราชันย์ก็นั่งตาม
ชายชราพอตั้งสติได้ก็ค่อยๆแหงนหน้าจ้องเพ่งมอหน้าอีกที
แล้วพลันขยี้หนังตาที่เหี่ยวย่นๆไปๆมาๆ แล้วกล่าวขึ้นว่า
“โอ้ใช่แล้วนี่มันลุงทัดนี่หว่า ใช่ลุงทัดหรือเปล่าล่ะ ช่วยตอบข้าที
มีเขาบอกว่าลุงทัดตายไปแล้วนี่นา เมื่อคราวถูกน้ำป่าพายุพัดหายไป
ครั้งที่หมู่บ้านถูกน้ำท่วมจนเกือบตายกันหมดเหลือเพียงไม่กี่หลัง
อ้ายอ้นและข้าก็พากันออกตามหาอยู่เลย แต่ไม่พบพบเพียงแต่เสื้อผ้าลอย
ติดมากับต้นไม้พัดมาเท่านั้นเองแหละ เอ๊ะใบหน้ามันลุงทัดนี่นา”
และแล้วก็ต้องเบิกตาโพลง
“ เอ๊ะๆๆทำไมถึงไม่แก่ล่ะ เค้าใบหน้าช่างเหมือนเมื่อหกสิบปีกว่าๆ
ที่แล้วนี่นาไม่ผิดแผกแตกต่างกันเลย ไอ้ข้าก็อายุเพียงสิบสองปีกว่าเท่านั้นเอง”
“แปลกโว้ยแปลกจริงๆโว้ย ทำไมถึงไม่ยักแก่กลับหนุ่มหล่อกว่าเก่าเสียอีก
โอ๊ยๆๆกูจะบ้าตาย” แกส่งเสียงรำพันลั่นพลางเขย่าไหล่ทั้งสองข้างไปมาด้วยมือ
อันสั่นเทาเพื่อให้พระองค์ทรงตอบคำถามของแก
ทำให้องค์ทัศยุราชันย์พลันรำลึกจำความหลังได้พระองค์ จึงทรงตอบไปในทันที
“อ้อๆข้านึกได้แล้ว เอ็งมันไอ้จ้อยใช่ไหมล่ะ พ่อมึงชื่อไอ้แท่น แม่มึงชื่อจำปาใช่ไหม”
พระองค์ทรงตรัสถามออกไป
“ใช่แล้ว ข้านี่แหละไอ้จ้อยที่คอยติดตามลุงเข้าป่าหาฟืนและเก็บผักมาช่วยกัน
ขายและคอยนวดให้ลุงนั่นแหละคือข้าเอง” ชายชราตอบเสียงสั่นเครือด้วยอาการ
ดีใจ พร้อมยกมือขึ้นไหว้ด้วยมือที่สั่นไปมาทันทีแล้วก้มลงกราบ
“แล้วลุงหายไปอยู่ไหนไม่ตายหรือไปได้ยาวิเศษอะไรหรือถึงกินไม่ยอมแก่สักที”
แกถามด้วยความดีใจ เชื่อมั่นจริงจังว่าเป็นลุงที่มันรักเคารพเหมือนพ่อบังเกิดเกล้า
“ลุงพาใครกันมาตั้งเยอะแยะเต็มไปหมด ผู้หญิงสวยๆกันทั้งนั้นไม่เหมือนกับคน
บ้านเราสักคน สามคนข้างๆลุงเป็นป้าหรือเปล่าล่ะสงสัยจะใช่แน่ๆเลย”
แกพลันหันไปมองซ้ายมองขวาที และคนที่ยืนรออีกตั้งหลายๆคน
“แล้วลุงจะมาอยู่เลยหรือพาพวกป้าๆและใครตั้งแยะจะมาอยู่ที่นี่หรือ”
แกถามพร้อมทั้งเขม้นมองไปยังองค์หญิงทั้งสามและทหารหญิงแปลง
“เปล่าหรอกไอ้จ้อย ข้าคิดถึงก็จะมาเยี่ยมเยียนสักหน่อย แล้วข้าก็จะกลับไป”
พระองค์ทรงตรัสตอบ
“อ้าวๆๆแล้วใครจะดูแลบ้านล่ะ ข้าดีใจนึกว่าลุงจะกลับมาดูแลมันเสียอีก
ข้าต้องมาคอยเฝ้าซ่อมแซมบ้านและดูแลที่ดินของลุง มันมีคนมาขอซื้อกับข้า
ข้าไม่ยอมขายบอกว่าเป็นของลุงข้าไม่ขายให้ใครทั้งสิ้นถึงลุงไม่อยู่ข้าก็จะเก็บไว้
เพราะนับจากข้าเกิดมาพ่อก็หายไปไม่เห็นหน้า ก็มีลุงนี่แหละเลี้ยงดูข้ามาตั้งแต่เล็ก
แต่น้อย ลูกเมียลุงหรือก็ไม่มีเพราะมัวแต่มาเลี้ยงตัวข้า” ชายชราพร่ำสาธยายมาไม่หยุดปาก
แล้วพลางหันไปทางเจ้าหญิงทั้งสามและทหารหญิงแปลง พลางยกมือไหว้กล่าวว่า
“หวัดดีป้า สบายดีหรือ”
พระ องค์หญิงทั้งสามให้ทรงรู้สึกเวทนายิ่งนักยิ่งได้ฟังชายชราที่เล่าเบื้องหลัง
ยิ่งฟังนึกถึงความกตัญญูแก่พระองค์ชายก็ยิ่งทรงพระเมตตายิ่งขึ้น
พระองค์ทรงตรัสว่า
“ไม่หรอกจ๊ะพ่อจ้อย เดี๋ยวก็คงจะกลับกันแล้วล่ะ พ่อทัดเขาอยากมา
เยี่ยมบ้านเดิมแนะ”
“ไอ้ข้านึกว่าลุงและป้าจะมาอยู่เองหลงดีใจแทบตาย
นี่ก็ว่าจะกลับบ้านสักหน่อยมานั่งเฝ้านอนเฝ้าหลายวันแล้วล่ะ
ป่านนี้ไอ้เจนและอีสร้อยคงจะเอาข้าวมาให้ข้าแล้วล่ะ
ลุงกับป้ามากินข้าวกับข้าหน่อยนะนานแสนนานเจอกันที” ชายชรารำพึงเบาๆ
“ใครล่ะไอ้เจนกับอีสร้อยของเอ็งนะ” พระองค์ทรงตรัสถาม
“อ้อๆ...ไอ้เจนคือลูกของข้านะลุง ส่วนอีกสร้อยมันลูกสะใภ้
มีหลานอีกสามคน หญิงหนึ่งชายสองคน แต่ว่ามันโตๆเกือบเป็นหนุ่มสาว
แล้วล่ะมันไปทำนาทางโน้นแนะและนาของลุงด้วยทางผ่านไปขึ้นเขาไงล่ะลุง”
แกกล่าวพร้อมชี้ไม้ชี้มือประกอบ
“ทางที่ลุงกับป้าเดินลงมานั่นแหละข้าวกำลังตั้งท้องอยู่อีกข้าคิดว่าคงอีก
ไม่กี่เดือนก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว”
องค์ทัศยุราชันย์และเจ้าหญิงทั้งสามก็เข้าพระทัยทันที เพราะพระองค์
ยังทรงลงไปวิ่งเล่นมาในผืนนาเหล่านี้นี่เอง
“นั้นขึ้นไปบนบ้านก่อนเถอะลุงและป้าด้วยนะ”
พลางลุกขึ้นกระย่องกระแย่งจูงมือเพื่อให้เดินตามแกไป
แต่องค์ทัศยุราชันย์ทรงตรัสขึ้นว่า
“ไม่หรอกจ้อย เดี๋ยวข้าก็จะไปแล้วล่ะเพียงแวะมาเที่ยวเท่านั้น
เออๆๆบ้านและที่ดินนี้ข้าจะยกให้เอ็งและลูกหลานนะไม่ต้องขายมันหรอก
ไว้บางทีข้าว่างๆก็อยากมาเดินดูเล่นบ้างหากเป็นของคนอื่นแล้วข้าก็ไม่อยากจะมา”
“ข้อนั้นลุงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ตราบใดชีวิตข้ายังอยู่
จะไม่ยอมเด็ดขาด อีกอย่างหนึ่ง ข้าสั่งไอ้เจนไว้แล้วด้วยว่า หากข้าตายลง
ไม่ต้องเผาศพให้เอาศพมาฝังยังบ้านนี้ทำเป็นหลุมขนาดใหญ่เพราะข้าก็รัก
ที่ผืนนี้บ้านนี้มากตั้งแต่เล็กมาจนแก่ปูนนี้ก็ได้ที่ผืนนี้นี่แหละคุ้มกะลาหัว
เลี้ยงดูมามาจนพอจะมีกินขึ้น หากไม่ทำตามข้าก็ขอสาปแช่งมัน
มันกลัวรับปากทั้งผัวเมียแก่ข้าแล้ว ถึงตายก็รู้สึกสบายใจลุง”
ชายชรากล่าวแก่องค์ทัศยุราชันย์
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีบางทีหากเอ็งยังไม่ตายหรือตายข้าคิดถึงก็จะมาเยี่ยม
ลูกหลานได้บ้าง จะไม่ต้องเดือดร้อนคนอื่นต่อไป”
พระองค์ท่านทรงตรัส
“อ้าวๆมาแล้วไอ้เจนอีสร้อย มึงทั้งสองมานี่เร็วๆเข้า”
ชราชราหันไปทางลูกชายลูกสะใภ้
ที่กำลังก้าวเข้ามาพร้อมปิ่นโตใหญ่แถวหนึ่งกับน้ำขวดเดินเข้ามาพอดี
พลางหันมาทางคนแปลกหน้าอย่างสงสัยที่เห็นคุยกับพ่ออยู่ ไม่กล้าพูดสอบถาม
เพียงแค่ชะงักหลีกเลี่ยงไปๆมาๆเท่านั้น จนกระทั่งชายชราเห็นจึงรีบกวักมือเรียกไหวๆ
ด้วยน้ำเสียงลั่นสั่นเครือรีบเร่งให้มาเร็วๆ เพื่อจะได้แนะนำคนที่แกเคารพรักนับถือ
“นี่ลุง ทัด บ้านป่าลุงแท้ๆของกูที่เลี้ยงกูมาตั้งแต่เล็กๆแต่น้อย
เป็นปู่ของมึงนะไอ้เจนอีสร้อยมึง รีบมากราบท่านเสียโดยเร็วๆเข้าอย่าชักช้า เดี๋ยวนี้
เดี๋ยวเขาก็จะกลับกันแล้วล่ะข้าให้ค้างแกไม่ยอมค้างด้วย” ชายชราเรียกเสียงสั่นเครือ
ไอ้เจนกับอีสร้อยรีบเข้ามากราบปู่ทัดทันที พร้อมหันไปยกมือไหว้
ป้าพระองค์หญิงทั้งสามที่ยังยืนอยู่ข้างๆ มันก็สุดแสนจะแปลกใจยิ่งนัก
หากพ่อมันไม่บอกมันมิยินยอมเชื่อโดยเด็ดขาด ว่าเป็นปู่ที่เคยน้ำพัดหายไปตั้งนาน
ดีนะที่ยังมีรูปภาพของปู่ทัดติดแขวนไว้ในห้องพ่อตลอดเวลาและแกมักจะยกมือไหว้เสมอ
ถึงจะเชื่อเพราะเค้าหน้าใบหน้าเหมือนกัน เพียงแต่พ่อเชื่อมั่นว่าเป็นปู่คือผู้ที่ยืนอยู่นี้
กลับเป็นชายหนุ่มรูปหล่อและรู้สึกว่าจะหล่อกว่ารูปที่ถ่ายไว้เสียอีก
องค์ท่านท้าวทัศยุราชันย์พลันหันมาทางหนุ่มชนบทลูกของไอ้จ้อยของพระองค์
ซึ่งพระองค์ทรงสังเกตเห็นชัดเจนขึ้นว่ามีใบหน้าละม้ายคล้ายกับพระองค์มาก
ร่างกายก็กำยำล่ำสันผึ่งผายกิริยาท่าทางอ่อนน้อมละมุนละม่อมลักษณะงาม
ก็ทรงพึงพอพระราชหฤทัยนักทรงตรัสขึ้นว่า”
“นี่แนะไอ้เจน ข้าจะขอมอบสมบัติเหล่านี้ให้แก่เอ็งและไอ้จ้อยไว้
จะทำหนังสือสัญญาไว้ให้ถูกต้องเผื่อต่อไปจะมีปัญหาเกิดขึ้นแก่เอ็งไว้
แสดงเป็นหลักฐานไว้แก่กำนัน ส่วนไอ้จ้อย ข้าขอฝากพ่อเอ็งไว้ด้วยให้ทำตามสัญญา
ที่รับเอ็งเคยสัญญารับปากพ่อเอ็งอย่าให้ผิดขึ้นนะ ข้ารู้นะหากเอ็งผิดสัญญาเมื่อไหร่
ข้าจะมากล่าวปรับโทษเอ็งทันที เอ็งอย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ” แล้วทรงพระสรวลเบาๆ
พระองค์ทรงตรัสแล้วหันไปสั่งทหารหญิงให้หยิบสิ่งของเป็นหนังอ่อนๆมา
พร้อมเครื่องเขียน เพื่อจะได้ร่างหนังสือสำคัญไว้แล้วส่งมอบให้พร้อมด้วยของที่
พระองค์ทรงหยิบเอาห่อผ้าจากเจ้าหญิงดาริกาซึ่งยื่นพระหัตถ์ส่งมาด้วยทราบ
ในน้ำพระทัยของพระองค์อยู่แล้ว พระองค์ทรงส่งมอบให้แก่เจนหนุ่มชนบททันที
พลางทรงกำชับไว้ว่าห้ามเปิดเป็นเด็ดขาด
“นี่เสร็จแล้วเอ็งเก็บเอาไว้ และนี่ห่อของเล็กๆน้อยๆจากข้าจะได้
เป็นทุนหาเลี้ยงดูต่อไปให้ดีกว่านี้ แต่อย่าลืมจำคำของข้าไว้นะไอ้เจน
8 ธันวาคม 2549 20:45 น.
แก้วประเสริฐ
บทที่ ๓๐
เสด็จเยี่ยมบ้านชนบท
โปรดเกล้าทรงพระอนุญาตแก่เราในการกระทำครั้งนี้ จึงมิได้ทำโดยพละการเอง
ด้วยพระองค์ทรงตรวจสอบดูแล้วเห็นว่าเหมาะสมอย่างยิ่งที่สมควรจะได้รับเพื่อ
ใช้ในการทะนุบำรุงเหล่าอาณาประชาราษฎร์ให้ร่มเย็นเป็นสุขช่วยเหลือเหล่า
เทพยาดาและมนุษย์สัตว์ทั้งปวงได้ควรแก่ได้รับของศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้ในครองครอง”
เมื่อองค์ทัศยุราชันย์ทรงตรัสจบลง บรรดาเหล่ากษัตริย์พระยุพราชทั้งหลายต่าง
ย่อพระชานุเสมอพื้น แล้วก็ยกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้เหนือเกล้าของแต่ละพระองค์
ส่วนบุคคลที่ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิต่างก็ยกพระหัตถ์ทั้งสอง อัญชุลีเหนือพระเศียรไว้
พร้อมทั้งกล่าวให้สัตย์ปฏิญาณตนเปล่งพระสุระเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน
“ข้าพเจ้าขอถวายสัจจะแด่องค์พระจอมเทพไท้แห่งสรวงสวรรค์ว่าต่อไปนี้
จะปกป้องคุ้มครองดูแลพระนครนาครินทนาครอันเป็นสถานที่รักษาไว้ซึ่ง
น้ำอำมฤตและของวิเศษทั้งหลายตลอดจนเหล่าอาณาประชาราษฎร์สรรพสัตว์
ให้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดไปชั่วอายุของข้าพเจ้าและบรรดาผู้สืบสันติวงศ์ข้าพเจ้าต่อไป
ขอพระองค์จอมเทพบนสรวงสวรรค์ได้โปรดรับรู้ถึงการกระทำของข้าทั้งหลาย
ด้วยเทอญ” บรรดากษัตริย์และพระยุพราชทั้งหลายต่างก็น้อมพระวรกายทันที
บัดดลเสมือนดั่งหนึ่งเทพบนสรวงสวรรค์จะรับทราบถึงการปฏิญาณของ
เหล่ากษัตริย์และองค์พระยุพราชนี้แล้ว พลันก็บังเกิดเสียงมโหรีแว่วลอยเข้ามา
จนได้ยินกันชัดทั่วภายในท้องพระโรง แล้วมีดอกไม้ทิพย์ต่างๆโปรยลงมาสู่ยัง
บรรดากษัตริย์พระยุพราชและคนทั้งปวง ต่างก็พากันบังเกิดความปลาบปลื้มปิติ
อย่างยิ่งแก่เหล่าบรรดากษัตริย์และเหล่าผู้ที่อยู่ในท้องพระโรงให้รู้สึกถึงความ
ซาบซึ้งยินดีในเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดความเชื่อมั่นยึดมั่นในสัจจะทุกๆพระองค์
บรรดากษัตริย์และพระยุพราชทั้งหลายต่างพากันเข้ามาโอบล้อมองค์
ท่านทัศยุราชันย์ทรงสวมกอดแสดงความยินดีขอร่วมทุกข์ร่วมสุขกันทั่วทุก
พระองค์ ครั้นได้เวลากาลอันสมควรยิ่ง องค์ท่านท้าวทัศยุราชันย์ก็ทรงตรัส
เรียกองค์พระยุพราชทั้งสามอันได้แก่พระยุพราชสิงหะฤทธา พระยุพราช
โกเมศกุมารและพระยุพราชวานนรินทร์เข้ามาทรงกระซิบรับสั่งความนัยกัน
ครั้นองค์พระยุพราชทรงได้รับพระดำรัสจากองค์ท้าวทัศยุราชันย์ต่างก็ทรง
พอพระราชหฤทัยยิ่งเบิกบานแย้มยิ้มแจ่มใสนัก รีบพากันไปเฝ้าพระราชบิดา
ทูลให้ทราบถึงความประสงค์ขององค์ทัศยุราชันย์ทันที ท่านท้าวเธอต่างก็ทรง
พระสรวลดังลั่นต่างก็นำพระราชบุตรของตนเข้าพบกษัตริย์ที่พระยุพราชใน
พระองค์พึงปรารถนา องค์ท่านท้าวทัศยุราชันย์เห็นดั่งฉะนี้ก็ทรงหันพระพักตร์
มาแย้มยิ้มกับพระอัครมเหสีและพระอัครชายา พร้อมอัญเชิญเหล่ากษัตริย์ที่
ทรงเกี่ยวข้องมายังพระเก้าอี้ที่พระมเหสีทรงตรัสใช้ให้พนักงานนำมาในการนี้
เป็นพิเศษ พอองค์กษัตริย์ท่านท้าวสิงหะราช ท่านท้าวนาคุระนาคราชและ
ท่านท้าวนิระหะที่องค์ท้าวทัศยุราชันย์เชิญเสด็จประทับยังพระเก้าอี้แล้ว
ก็ทรงเข้าไปจูงพระหัตถ์ขององค์ยุพราชทั้งสามให้เสด็จเข้ามายังเหล่ากษัตริย์
พระยุพราชสิงหะฤทธาทรงเข้าไปกราบพระบาทของท่านท้าวนิระหะ
พระยุพราชวานนรินทร์ทรงเข้าไปกราบพระบาทท่านท้าวนาคุระนาคราช
นำโดยท่านท้าววิหะคะยุราช องค์พระยุพราชโกเมศกุมารทรงเข้าไป
กราบพระบาทท่านท้าวสิงหะราช ท่านท้าวดังกล่าวต่างก็ทรงพระสรวลลั่น
พลางหันมาทรงทูลขอพระราชธิดาให้แก่พระยุพราชทั้งสามของพระองค์
ซึ่งต่างก็ได้รับความปรารถนากันทุกๆพระองค์ ซึ่งท่านท้าววิหะคะยุราช
ในฐานะที่ทรงพระอาวุโสสูงสุดก็ทรงตรัสขึ้นว่า
“วันนี้ข้าพเจ้ารู้สึกปลาบปลื้มยินดีเป็นยิ่งนักที่ได้มาร่วมเฉลิมฉลอง
ในพระนครนาครินทนาครซึ่งยากยิ่งเหลือเกินที่บุคคลอื่นยกเว้นชาวนคร
เท่านั้นที่จะสามารถผ่านเข้าออกได้หรือได้รับทานผลไม้วิเศษกับน้ำอำมฤตนี้
เท่านั้น มิฉะนั้นก็ไม่สามารถจะเหยียบย่างเข้าเขตกำแพงเมืองนี้ได้
แม้แต่บรรดากษัตริย์ทั้งหลายแม้จะยกพหลพลพยุหะเสนามากันมากมาย
ก็ยังมิอาจจะเหยียบย่างลงพื้นแผ่นดินภายในกำแพงเมืองได้
ถือได้ว่าบรรดาพวกเรานั้นนับได้ว่าต่างช่างมีบุญเหลือประมาณ
ถึงได้ผ่านเข้ามาจนถึงพระในพระราชวังนี้ได้ เป็นประการที่หนึ่ง
ประการที่สองนั้นพวกเราต่างก็พากันได้พระราชธิดาและพระราชบุตรเขยกัน
ไปเกือบทุกๆพระองค์อันนับได้ว่าเป็นมหามงคลฤกษ์งามดีเช่นนี้
ประการที่สามเราต่างก็ถือได้ว่าเป็นเครือญาติกันแล้วทางสายเลือดซึ่งต้อง
คอยดูแลซึ่งกันและกันดุจประหนึ่งเผ่าพงศ์อันเดียวกัน
และประการสุดท้ายที่สี่นี้คือองค์ทัศยุมหาราชทรงถ่อมพระองค์รับพวกเรา
เป็นเครือญาติผู้ใหญ่ไว้ในพระองค์ ทรงให้เกียรติยศอันสูงส่งนี้ไว้
ข้าพเจ้าเจ้านครปักษินนครจะขอให้สัจจะปฏิญาณชั่วชีวิตของข้าพเจ้านี่ว่า
หากมาดแม้นเกิดศึกรุกรานเหล่านครอันเป็นเครือพระญาติของข้าพเจ้า
แล้วไซร้จะนำไพร่พลชาวเมืองปักษินนครเข้าร่วมต่อสู้จนกว่าจะชีวิตจะ
ตักษัยไปข้าพเจ้าขอให้สัญญา และขอให้เครือญาติของข้าพเจ้าทุกๆพระองค์
โปรดยืนขึ้นถวายพระพรแด่องค์ทัศยุราชันย์มหาราชด้วยเถิด”
พอสิ้นกระแสเสียงพระราชดำรัสของเจ้าเหนือหัวแห่งปักษินนคร บรรดา
กษัตริย์พระยุพราชและทหารหาญของทุกๆนครต่างก็เปล่งเสียงให้สัตย์ปฏิญาณ
ตนโดยพร้อมเพรียงกันแล้วทรงส่งเสียงถวายพระพรเสียงดังอึงมี่ไปทั่วท้องพระโรง
เป็นที่ปลาบปลื้มยินดีไปทุกถ้วนหน้า องค์ทัศยุราชันย์ทรงเข้าไปกราบ
ท่านพ่อปู่ราชครู ทำเอาบรรดากษัตริย์พระยุพราชทั้งหลายต่างก็พากันน้อมพระ
วรกายเข้าไปถวายความเคารพแด่มหาราชครูทั้งสิ้นมิขาดแต่เพียงผู้เดียว
ท่านพ่อปู่มหาราชครูถึงกับหลั่งน้ำตาอาบแก้มด้วยความปลื้มปิติยินดีเป็นล้นพ้น
แล้วทุกๆพระองค์ก็ทรงพระวิสาสะกันและกัน ประหนึ่งเครือพระญาติต่างพระองค์
กับมิได้สนใจเหล่านางรำที่มาร่ายฟ้อนรำงามจับตายิ่งนักปานหนึ่งเทพบนสรวงสวรรค์
เท่าใดนัก เพราะพระองค์เหล่านี้ทรงมีขันติธรรมยิ่งทรงเกือบจะทรงพ้นแล้วในทางนี้
จนผ่านไปหลายทิวาราตรีกาลจึงได้ค่อยทยอยกันเสด็จกับเมืองของพระองค์ และทรงนัด
บรรดาเหล่ากษัตริย์ทั้งหลายให้ไปในงานพระสยุมพรขององค์พระยุพราชและพระ
ราชธิดาทั้งสามพระองค์ ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองสิงหะนครขึ้นพร้อมเพรียงกันในไม่อีกกี่เพลานี้
เมื่อเสร็จสรรพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว องค์ทัศยุราชันย์พร้อมอัครมเหสีซ้ายขวาและ
พระอัครชายาก็ฝากกิจการบ้านเมืองให้พ่อท่านปู่มหาราชครูดูแล เพื่อพระองค์ทั้งสี่จะ
เสด็จไปยังเมืองรัตนานคร ทรงจัดงานพระอภิเษกองค์ท่านท้าวทิพยะราชขึ้นครองนคร
เมื่อถึงเมืองนครรัตนาแล้วพระองค์ก็ทรงเข้าพักในพระราชตำหนักเจ้าหญิงมณีกานต์
ทรงพระเกษมสำราญทุกๆพระองค์ ครั้นทรงจัดการบ้านเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พระองค์ทั้งสี่ก็จะเสด็จกลับมายังมหานครนาครินทนาคร พอเดินทางผ่านในที่ต่างๆก็
เข้าสู่กึ่งกลางระหว่างเชิงเขาไกรลาสและแคว้นดินแดนสุวรรณภูมิ องค์พระทัศยุราชันย์
ก็ทรงพระรำลึกถึงเหตุการณ์เก่าๆเมื่อยังครั้งมีพระชนม์ชีพเป็น “ทัด บ้านป่า” ก็ให้ทรง
คิดถึงบังเกิดความอยากที่จะเข้าไปยังดินแดนมนุษย์ที่แคว้นสุวรรณภูมิทันที จึงทรง
พระดำรัสแก่เจ้าหญิงทั้งสามพระองค์ว่า
“น้องหญิงอันเป็นที่รักยิ่งของพี่ พอถึงดินแดนนี้ทำให้ตัวพี่รู้สึกสะท้อนใจ
ยิ่งนักใคร่อยากจะกลับไปดูเบื้องหลังแห่งอดีตที่ครั้งยังมีพระชนม์ชีพในร่างมนุษย์อยู่
จึงอยากจะชวนพระน้องทั้งสามย้อนกลับไปดูสักเพลาหนึ่งจึงถึงใคร่กลับพระนคร
น้องอันเป็นที่รักของพี่จะเห็นชอบประการใดหรือไม่”
เจ้าหญิงทั้งสามพระองค์ต่างแลเห็นพระพักตร์ประหนึ่งดั่งเศร้าของพระราชสวามี
ก็ให้ทรงพระรู้สึกถึงความในใจจึงพากันพร้อมใจกันตรัสว่า
“หากมาดแม้นเสด็จพี่ทรงดำริเช่นนี้แล้ว น้องหรือจะกล้าขัดพระราชหฤทัยเสด็จพี่ได้
จะลองเข้าไปในถิ่นมนุษย์เพื่อทัศนาแลหาประสบการณ์ก็ดีเหมือนกัน เพค่ะ”
“หากแม้นน้องหญิงทั้งสามเห็นพ้องต้องดังฉะนี้แล้ว พี่เองก็ให้รู้สึกปลื้มปิติเป็นล้นพ้น
อีกประการสิ่งหนึ่งซึ่งซ่อนเร้นภายในใจพี่มาช้านานแล้วก็จะได้หลุดพ้นออกจากใจพี่เสียที
มิได้ซ่อนเร้นอีกต่อไป หากมาดแม้นจะเข้าไปในดินแดนนี้พี่เองก็อยากจะให้น้องพี่ตลอดจน
เหล่าทหารหญิงทั้งหลายเนรมิตกายลงไปในรูปกายของมนุษย์ทั้งผิวกายและกลิ่นเพื่อจะได้
มิเป็นที่สงสัยแก่มนุษย์ทั้งหลาย จะได้ท่องเที่ยวไปโดยที่มิเป็นที่สังเกตแต่ประการใด”
เพค่ะ แล้วจะเนรมิตแบบใดล่ะเพค่ะ” เจ้าหญิงทั้งสามทูลถามด้วยความสงสัย เพราะด้วย
ยังมิเคยเลยที่จะเห็นมนุษย์อันแท้จริงมีลักษณะประการใด
“ อันข้อนี้มิมีปัญหาแต่ใดไม่ เดี๋ยวพี่จะแสดงให้น้องดู”
ว่าแล้วองค์ทัศยุราชันย์ก็ทรงสำรวมพระวรกายและจิตลงพลางกำหนดเกิดเป็น
พระฉายบานใหญ่มองเห็นความเป็นไปต่างๆของ
ชาวชนบททั้งหญิงและชายกำลังต่างทำงานในท้องทุ่งบ้าง
เดินซื้อขายของในท้องตลาดบ้าง
บางคนกำลังเดินทางด้วยรถพาหนะบ้าง เป็นที่แตกตื่นตาตื่นใจ
ให้แก่เจ้าหญิงทั้งสามและตลอดจนบรรดาทหารหญิงที่พระองค์ทรงเรียกมาดู
ด้วยเพื่อการนี้โดยเฉพาะ แล้วพระองค์ทรงจารนัยถึงลักษณะการแต่งกาย
ของชายและหญิงตลอดจนบรรดาผู้ติดตามทั้งปวง
ครั้นเมื่อเสด็จเหาะมาถึงใกล้บริเวณเชิงเขาอันเป็นที่กึ่งกลาง
ของมิติคั่นรอยต่อแบ่งแยกมนุษย์และเทพยาดาแล้ว
พระองค์ก็ทรงให้พระมเหสีและพระชายาตลอดจนทหารหญิงทั้งปวง
เนรมิตร่างกายเป็นมนุษย์ชายหญิง ออกเดินทางลัดเลาะผ่านป่าเขาลำเนาไพร
พระองค์ทรงนึกย้อนอดีตถึงเหตุการณ์ต่างๆ เข้าสู่บริเวณที่เคย
ใช้เป็นที่ทำมาหากินเลี้ยงชีพแต่เก่าก่อน
แล้วนำพาทั้งหมดเดินลัดเลาะไปตามแนวคันนาที่ชาวบ้านกำลังปลูกข้าว
กำลังบานสะพรั่งขึ้นเขียวขจีดุจคล้ายพรมไหมสีเขียวเต็มไปทั่ว
บ้างก็กำลังตกท้องรวงอ่อนๆ ลมพัดพลิ้วไสวกลิ่นหอมอ่อนๆปลิวล่องลอยมา
พระองค์หญิงทั้งสามและเหล่าทหารมิเคยพบเห็นแต่ประการใดต่างก็พากันเริงร่า
พากันวิ่งลงไปยังท้องทุ่งนาที่ต้นข้าวยังเขียวขจีสนุกสนานกันอย่างสนุกสนาน
จนพระองค์ต้องรีบตรัสห้ามและบอกถึงโทษทำให้ต้นข้าวและเหล่าสัตว์
ที่แฝงอาศัยในน้ำเช่นปลิงเข็ม เป็นต้น ให้ฟังและอาจจะทำความเสียหาย
แก่ผู้ปลูกข้าวไว้ เมื่อทั้งหมดเดินผ่านตามคันนามาได้ก็เป็นทางเข้าสู่ภายในหมู่บ้าน
บรรดาสุนัขต่างๆก็พากันเข้ามาเห่ากรรโชกเป็นแถวแต่พอเข้ามาในระยะก็ตกใจ
8 ธันวาคม 2549 08:28 น.
แก้วประเสริฐ
บทที่ ๒๙
เฉลิมฉลองนครนาครินทนาคร
“พี่ให้สัจจะวาจาสัญญาจ๊ะน้องทั้งสอง พี่จะมิทำให้เป็นที่ระคายเคือง
แก่น้องหญิงทั้งสองของพี่เป็นอันขาด” องค์ท่านท้าวทรงพระดำรัสทันที
“หากได้รับสัจจะวาจาเช่นนี้ กระหม่อมก็พร้อมจะสละราชสมบัติเมือง
รัตนานคร จะมอบหมายให้องค์เธอพระปิตุลาทิพยะราชของเสด็จพ่อทศราช
ขึ้นปกครองนครรัตนาต่อไป เพียงแต่ต้องกลับไปยังเมืองรัตนาก่อนเพื่อ
จัดการสะสางแต่งตั้งองค์พระปิตุลาเสียก่อน แล้วถึงจะกลับมา เพค่ะ”
องค์หญิงมณีกานต์ทรงตรัสกับพระราชสวามี” องค์หญิงทรงตรัสตอบ
“หากเมื่อเฉลิมฉลองนครนาครินทนาครเสร็จสิ้นลง พี่กับน้องหญิง
ดาริกาก็จะร่วมไปในงานที่เมืองรัตนาด้วยนะ” พระองค์ทรงกล่าวยิ้มแย้ม
ด้วยความดีพระทัย
“อีกประการหนึ่งเพค่ะ เหล่าทหารหญิงชายที่หม่อมฉันนำมานี้ก็ทูลขอ
ไว้ในกรณีพิเศษ เพียงขึ้นตรงกับหม่อมฉันแล้วก็มีเพียงเสด็จพี่ เจ้าพี่หญิง
และน้องปทุมวดีเท่านั้นที่สามารถบังคับบัญชาใช้สอยได้เท่านั้นนะ เพค่ะ”
พระองค์หญิงมณีกานต์ทรงตรัสต่อ
“ได้ซิน้องหญิงพี่อนุญาตน้องทุกๆอย่าง” องค์ท่านท้าวเธอทรงดำรัส
“หม่อมฉันอยากได้ภูเขาด้านทางทิศตะวันออกของเมืองให้เป็นที่พำนัก
ของเหล่าทหารหญิงชายส่วนใหญ่พักอยู่ ด้วยเป็นทำเลเหมาะยิ่งนักสามารถ
ใช้เป็นที่ประกอบอาชีพได้อย่างดีในการเลี้ยงตัวเองและเหล่าทัพจะได้มิต้อง
เป็นที่เดือดร้อนพระราชหฤทัยและเหล่าประชาราษฎร์ของพระองค์ต่อไป
ส่วนทหารหญิงกระหม่อมก็จะคัดไว้เพียงเล็กน้อยเพื่ออยู่รับใช้หม่อมฉัน
และพระองค์ตลอดจนเจ้าพี่หญิงดาริกาเท่านั้น ห้ามทหารของพระองค์เข้าไป
สร้างความเดือดร้อนแก่เหล่าทหารของหม่อมฉันด้วยนะ เพค่ะ”
องค์หญิงมณีกานต์ทรงย้ำขึ้นเพื่อเหล่าทหารของพระองค์ เพราะทรงคิดแล้วว่า
หากต่อไปในกาลข้างหน้าจะมีปัญหาเกิดขึ้นได้
“ได้ซิน้องหญิงแล้วพี่จะทำหนังสือยืนยันตลอดจนสัญลักษณ์ไว้
มอบให้น้องหญิงเพื่อป้องกันทหารที่ขาดความรับผิดชอบ
อาจจะมีเกิดขึ้นได้ในภายหน้าได้”
องค์ทัศยุราชันย์เทรงย้ำและเน้นไว้ให้เป็นพิเศษ
“หากเป็นเช่นนั้นกระหม่อมก็รู้สึกซาบซึ้งในน้ำพระหฤทัย
ของพระองค์ยิ่งนัก จะขอเฝ้าปรนนิบัติรับใช้พระองค์จวบจนชีวิตจะหาไม่ เพค่ะ”
“พี่เองก็จะเป็นพยานและรับรองไว้ให้แก่น้องหญิงของพี่ไว้ด้วยนะ
หากวันใดที่เสด็จพี่ผิดคำสัญญาเมื่อใด เราทั้งสามก็จะลงมือทำโทษ
เสด็จพี่ทันที ดีไหมล่ะน้องรัก”
องค์หญิงดาริกาหันมาตรัสขึ้นบ้าง
“แล้วจะทำโทษเสด็จพี่ฉันท์ใดล่ะ” องค์หญิงปทุมวดีหันมาตรัสขึ้นบ้าง
“มาๆใกล้เข้ามาแล้วพี่จะบอกให้อย่าให้เสด็จพี่ได้ยินนะ” องค์หญิง
ดาริกาตรัสเรียกเจ้าหญิงมณีกานและเจ้าหญิงปทุมวดีให้ใกล้เข้ามา แต่
เจ้าหญิงเฌอมาลย์ก็ทรงอยากรู้เหมือนกันจึงเข้าร่วมฟังด้วย
ครั้นเจ้าหญิงดาริกากระซิบบอกโทษของท่านท้าวทัศยุราชันย์ให้แก่
ทั้งสามพระองค์ทราบ เสียงหัวร่อต่อกระซิกเย้าหยอกเสียงดังก็เกิดขึ้นทันที
สร้างความมึนงงสงสัยให้แก่ท้าวเธอยิ่งนัก ถึงกับต้องทรงเอ่ยตรัสถามขึ้นว่า
“อะไรหรือโทษพี่ร้ายแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ ขอทราบหน่อยได้ไหม
ล่ะน้องหญิง”
“มิได้หรอกเพค่ะ ถ้าหากเสด็จพี่จะรู้ก็ลองทำผิดดูซิเพค่ะ” องค์หญิง
ดาริกาทรงตรัสเอ่ยขึ้น
ทำให้บรรดาเจ้าหญิงต่างก็ทรงพระสรวลลั่นกว่าเดิมเสียอีก พลางทอด
พระเนตรมองพระพักตร์องค์ทัศยุราชันย์ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทุกๆพระองค์
หลังจากที่ทรงเย้าหยอกกันจนเพลิดเพลินจนผ่านการเสวย
พระกระยาหารล่วงไปแล้ว องค์หญิงเฌอมาลย์ก็ทูลลากลับไป
ยังกองทัพพระองค์ทันที พบองค์ชายสิงหะฤทธาเฝ้าคอยอยู่และไต่ถามว่า
ทำไมถึงกลับล่าช้ายิ่งนัก พระองค์หญิงเฌอมาลย์ก็ทรงเล่าเหตุการณ์ต่างๆ
ให้องค์ชายสิงหะฤทธาทรงทราบ องค์ชายก็ทรงพระสรวลดังลั่นด้วยความ
พอพระราชหฤทัยยิ่งนัก พร้อมทั้งรำลึกถึงกาลในภายหน้า หากแม้นว่า
พระองค์ผิดบ้างเห็นทีจะต้องระมัดระวังให้เป็นพิเศษ จากนั้นทั้งสอง
พระองค์ก็ทรงหยอกล้อเกี้ยวพาราสีกันและกันจนควรแก่เวลาองค์ชายจึง
ลากลับไป
เมื่อกาลเวลาเฉลิมฉลองความมีสันติสุขเมืองนาครินทนาครเกิดขึ้น
ภายในพระราชวังและภายในกำแพงเมืองก็จัดงานเฉลิมฉลองกันอย่าง
มโหฬารเอิกเกริกไปทั่วทุกมุมเมือง อาณาประชาราษฎร์ต่างยิ้มแย้มแจ่มใส
เข้าร่วมฉลองกันทุกๆครัวเรือนต่างออกมาร่วมงานสิ้นทุกๆคน พบปะสนทนา
ชมมหรสพที่ทางการจัดไว้ให้ทุกๆมุมเมือง นับเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มโหฬารยิ่ง
ภายในท้องพระโรงและพระตำหนักทุกๆตำหนักก็ถูกประดับประดา
ด้วยโคมไฟแสงสีอันตระการตา ส่องแสงแพรวแวววาวไปทั่ว บรรดาทหาร
ชายหญิงที่เข้าเวรยามก็ได้รับอนุเคราะห์เป็นพิเศษต่างเย้าแหย่หยอกล้อกันได้
ทุกๆคนใบหน้าแย้มยิ้มผ่องใส ภายในท้องพระโรงถูกจัดขึ้นใช้เป็นงานต้อนรับ
แขกเมืองที่จะเสด็จมาร่วมเฉลิมฉลอง ก็ถูกจัดวางไว้ตามลำดับเรียงรายไปด้วย
โต๊ะที่ประดับไว้อย่างสวยงามตระการพร้อมผลไม้นานาๆชนิดวางแบ่งเป็นโต๊ะๆ
ตามลำดับ
ครั้นได้เวลาองค์ท้าวเธอทัศยุราชันย์ก็ทรงเสด็จนำพระอัครมเหสีซ้ายขวา
และพระอัครชายาที่ทรงฉลองพระองค์งดงามดุจประหนึ่งเทพธิดาเสด็จมาจาก
สรวงสวรรค์ก็มิปานกระหนาบข้างตามหลังเสด็จบนพระลาดพระบาทเข้าสู่ที่
พระราชอาสน์พระทับพร้อมด้วยพระมหาราชครูที่ถือของใส่พานตามมาเบื้อง
หลังห่างๆติดตามด้วยเหล่านางสนมกำนัลในทั้งหลายเรียงแถวตามเสด็จ
เมื่อทรงเข้าประทับยังพระราชอาสน์เรียบร้อยแล้วก็ทรงหันพระพักตร์
ไปยังแขกเมืองทั้งหลาย ที่นั่งอยู่ตามโต๊ะเก้าอี้ที่ฝ่ายพระราชวังจัดไว้นั้นซึ่งนั่ง
เต็มอยู่ทุกพระเก้าอี้ องค์ท่านท้าวทัศยุราชันย์ก็ทรงลุกขึ้นจากที่ประทับก้าว
พระบาทเสด็จเข้าไปหาองค์ท้าวเธอสิงหะราช องค์ท้าวเธอวิหะคะยุราช
องค์ท้าวเธอนาคุระนาคราช องค์ท้าวเธอวานิระหะ และองค์ท้าวเธอพิษยะราช
กระทำพระบังคมกราบถวายลงบนพระชานุทุกๆพระองค์ พร้อมทั้งองค์หญิง
ทั้งสามก็ย่อพระชานุถวายพระพร ทำให้องค์ท้าวเธอผู้ยิ่งใหญ่ถึงกลับทรงหลั่ง
น้ำพระเนตรนองพระพักตร์ไปตามๆกันมิคาดคิดว่าองค์ทัศยุราชันย์มหาราชนั้น
จะทรงเคารพและให้พระเกียรติอันยิ่งใหญ่แก่พระองค์เกินกว่าที่จะคาดคิดได้
ถึงกลับทรงเขย่าพระหัตถ์ด้วยความปลาบปลื้มยินดียิ่ง
ครั้นแล้วองค์ทัศยุราชันย์ก็ทรงจูงพระหัตถ์กษัตริย์ทั้งหลายให้ไปประทับยัง
ที่พระราชอาสน์เคียงคู่กับพระองค์ทันที ตลอดจนเข้ามาจูงเหล่าพระยุพราชให้มา
ร่วมประทับร่วมด้วยเคียงคู่ตามลำดับด้วยกัน มิได้แบ่งชั้นวรรณะเปรียบประดุจดั่ง
ญาติในครอบครัวเดียวกันฉะนี้ สร้างความประทับใจแก่ผู้มาเยือนยิ่งนักสุดจะหาที่
เปรียบมิได้ แล้วพระองค์ทั้งหลายก็ทรงพระวิสาสะไต่ถามความทุกข์สุขซึ่งกัน
และกันดุจเป็นครอบครัวเดียวกัน บางครั้งก็ทรงพระสรวลดังสนั่นไปทั่ว
เมื่อเวลาผ่านไปพอสมควรหลังพระกระยาหารเสร็จสิ้นลง เหล่ากษัตริย์ทั้งหลาย
ก็ยังมิยอมเลิกราโดยง่ายยิ่งเพิ่มความฉันท์ไมตรีแนบแน่นกว่าเดิม องค์ท่านท้าว
ทัศยุราชันย์ทรงตรัสว่า
“ข้าพเจ้าขอถวายพระพรแด่ทุกๆพระองค์ซึ่งมีน้ำพระทัยไมตรีได้รับพระกรุณา
จากทุกๆพระองค์ที่ทรงพระเมตตาอุปการะเกื้อหนุนในการครั้งนี้ จนนาครินทนาคร
ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นสินน้ำใจเล็กๆน้อยๆจากข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าพึงจะน้อมมอบให้แก่ทุกๆพระองค์เป็นที่ระลึกว่ากาลครั้งหนึ่งไมตรีนี้
จะยั่งยืนไว้จากห้วงดวงใจของข้าพเจ้ายิ่งนัก ขอพระองค์ทุกๆพระองค์ได้โปรด
เอ็นดูแก่ข้าพเจ้าด้วยเปรียบประดุจลูกหลานของท่านนี้ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
แล้วองค์ท่านท้าวทัศยุราชันย์ก็ได้น้อมพระวรกายอัญชูลีถวายบังคมเหล่า
กษัตริย์ทั้งปวงด้วยพระวรกายอ่อนน้อมยิ่ง แล้วทรงตรัสให้ท่านมหาราชครู
เข้ามาแล้วทรงตรัสแจ้งแก่เหล่ากษัตริย์ทั้งปวงว่า
“ข้าพเจ้าขอน้อมกราบเรียนทูลพระองค์ว่า นี่คือท่านมหาราชครูแห่งนครนี้
ซึ่งข้าพเจ้ายกย่องเปรียบประดุจพระชนกนาถของข้าพเจ้ามิปาน” แล้วพระองค์
ทรงหยิบของในพานทองคำที่พ่อปู่มหาราชครูถือไว้ออกมามอบให้แก่เหล่า
กษัตริย์ทุกๆพระองค์ แล้วทรงตรัสขึ้นว่า
“อันน้ำใจของข้าพเจ้าและท่านพ่อปู่ผู้ทรงเป็นพระชนกนาถของข้าพเจ้า
ขอแสดงน้ำใจเพียงน้อยนิดนี้ไว้ นั่นคือ แก้วน้อยที่บรรจุน้ำอำมฤตศักดิ์สิทธิ์
และผลไม้วิเศษซึ่งภายในบรรจุด้วยพลังธาตุทั้งสี่ไว้ เพื่อมอบให้เป็นที่รำลึก
จากนครนาครินทนาครไว้ด้วยความเคารพยิ่ง”
เมื่อองค์ทัศยุราชันย์ทรงตรัสเสร็จสิ้น ภายในท้องพระโรงก็เงียบกริบ เหล่า
กษัตริย์ทั้งหลายเบิกพระเนตรค้างจ้องมองดูแก้วน้อยที่บรรจุน้ำอำมฤตศักดิ์สิทธิ์
ภายในส่องแสงประกายแวววาวดุจดั่งปรอทเป็นประกายสีสวยสดต่างๆกัน
สะท้อนออกมาพ้นแก้วน้อยขวดนั้น ฉับพลันทุกๆพระองค์ทรงทรุดพระวรกาย
ลงกับพระเก้าอี้โดยพร้อมเพรียงกันกำขวดแก้วน้อยมือไม้สั่นระริกไปหมด
แม้แต่เหล่าพระยุพราชทั้งหลายก็แตกตื่นตะลึงพึงเพริดไปตามๆกันมิคาดคิด
เลยว่าพระราชบิดาจะได้น้ำอำมฤตที่ศักดิ์สิทธิ์มาโดยมิคาดฉะนี้
แล้วองค์ทัศยุราชันย์ก็ทรงตรัสเรียกพระยุพราช นิละกาสูรย์และพระยุพราช
อหิงสากุมารเข้ามา พระองค์ทรงหยิบขวดแก้วน้ำอำมฤตพร้อมผลไม้วิเศษมอบ
ส่งให้แก่พระยุพราชทั้งสองทรงพระดำรัสว่า
“เราขอมอบทั้งสองสิ่งนี้ไว้แก่ท่านทั้งสองด้วย เป็นเพราะเจตนารมณ์ของ
พระราชบิดาของท่านยุพราชที่มีความต้องการยิ่งนักแต่หากทว่าทรงกระทำ
ในสิ่งผิดพลาดขัดกับเจตนารมณ์ของพระผู้เป็นเจ้า การครั้งนี้เราได้ไปกราบทูล
แด่จอมเทพแห่งสรวงสวรรค์แล้วถึงเหตุการณ์นี้ทั้งหมด พระองค์ทรงพระกรุณา